คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ปฐมบท คำอธิษฐานที่ 2 : สู่ดาเรน (100% O[]o)
ทั้งฝุ่นควันและกลิ่นอายความตายลอยมาตามลมอย่างบางเบา หมู่บ้านที่ควรจะเป็นหมู่บ้านชายแดนแสนสงบบัดนี้กลับดูตึงเครียดจนน่ากลัวยามที่ขบวนรถม้าประดับตราราชวงศ์ดาเรนเคลื่อนผ่าน ชาวบ้านหน้าตาหวาดหวั่นหลายคนแอบมองลอดผ้าม่านหน้าต่างออกมายามที่รถม้าควบผ่านไป
“ค่ายทหารดาเรนอยู่เลยออกไปอีกไม่มาก เราพยายามบอกชาวบ้านแล้วว่าให้อพยพ...พวกที่เหลือนี่เป็นพวกตกสำรวจกับพวกหัวรั้นที่ไม่ยอมฟังประกาศทางการ” เจ้าชายเบลาสกล่าวเมื่อเห็นดวงตาสีน้ำทะเลของเจ้าหญิงเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง
“ดูเครียดกันจังเลยนะเจ้าคะ” เจ้าหญิงแห่งอีริออสออกความเห็น
“หึ ๆ...ในยามสงครามน่ะ พวกที่ยังสบายอกสบายใจกันอยู่ได้ก็คงจะมีแต่คนสติไม่ดีน่ะแหละ แถมหมู่บ้านแถบนี้น่ะไม่ได้รับการคุ้มครองจากดาเรนมากเท่าที่ควร ก็เลยออกจะหัวกบฏกันอยู่หน่อย ๆ...ไม่ยอมเชื่อประกาศทางการกันง่าย ๆ หรอก”
“อืม...” ซาจิทาเรียสจ้องมองไปนอกหน้าต่าง รถม้าควบช้า ๆ ผ่านบ้านเรือนที่บางหลังใกล้จะทรุดพังเต็มที ผ่านร้านเหล้าที่ดูคล้ายจะร้างไปแล้ว
“ไม่เกินสามชั่วยามก็คงจะถึงแล้วล่ะ” เจ้าชายเบลาสกล่าว “ส่วนค่ายทหารของเอเวียสอยู่ห่างออกไปอีก แทบจะติดกับแม่น้ำเลเธเลยล่ะ”
“งั้น...ก็เท่ากับอยู่ใกล้ป่าเหนือมากเลยสิเจ้าคะ ?” ดวงตาสีฟ้าใสของเจ้าหญิงแห่งอีริออสเบิกขึ้นเล็กน้อยเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
“เป็นเรื่องที่ข้าเองยังสงสัย” เจ้าชายพยักหน้ารับ บรรยากาศในรถม้าคันน้อยดูเครียดขึ้นอย่างน่าประหลาด “น่าแปลก...โดยปกติป่าเหนือจะมีพลังอำนาจแปลกประหลาดที่แม้แต่คนในแผ่นดินแสงสว่างเองก็ยังยากที่จะรอดออกมาถ้าเฉียดเข้าไปใกล้ แล้วนี่...ทำไมพวกมันถึงกล้าเสี่ยงกันขนาดนี้ ข้าเองคิดอยู่หลายรอบแล้วก็ยังไม่เข้าใจความคิดของฝั่งนั้นเลย”
“อืม” เจ้าหญิงขมวดมุ่นคิ้วเข้าเล็กน้อย
“ถ้าเป็นคนที่มีมนตราสูงก็ไม่น่าจะเป็นปัญหานี่นา ?”
เสียงจากด้านหน้าของรถ ใบหน้าของรีเฟย์หันมาทางช่องเล็ก ๆ ที่คั่นระหว่างผู้โดยสารด้านในและคนที่นั่งอยู่ข้างนอก
“ขออภัยที่เสนอความคิดเห็นโดยไม่ขออนุญาต” องครักษ์หนุ่มค้อมศรีษะลงเล็กน้อย
“อย่างที่รีเฟย์พูดมาก็มีเหตุผล...เจ้าว่ายังไง ? ซาจิทาเรียส”
“ก็มีความเป็นไปได้ แต่ถึงขนาดที่สามารถแก้อาถรรพของป่าเหนือได้นี่...จะเป็นพ่อมดประเภทไหนกันนะ ?”
“ประเภทข้าไง ?” คำตอบจากชายหนุ่ม ดวงตาสีอำพันทอประกายเยือกขึ้น “หรือไม่ก็...ประเภทที่พวกเรากำลังตามหากันอยู่ ?”
“ไม่ใช่พวกเรา” เจ้าหญิงแห่งอีริออสกล่าวเสียงเย็นขึ้นทันที ดวงเนตรคมใสคู่นั้นบัดนี้ทอประกายคล้ายคุโชน “ข้าคนเดียวต่างหาก ข้าคนเดียวเท่านั้น”
บรรยากาศดูราวกับว่าจะปริแตก หากไม่ใช่เพราะเสียงของสารถีที่ดังมาจากด้านหน้า
“พ้นเขตหมู่บ้านแล้วพะย่ะค่ะ เจ้าชายเบลาส”
“อือ” เจ้าชายแห่งดาเรนพยักหน้าเล็กน้อย “เร่งความเร็วขึ้นอีก...เราต้องไปให้ถึงค่ายทหารก่อนที่จะมืดจนเกินไป”
“พะย่ะค่ะ”
เสียงขานรับจากด้านหน้า เป็นอันว่า...บทสนทนาก่อนหน้านี้นั้นจบลงเป็นที่เรียบร้อย รีเฟย์หันกลับไป ส่วนซาจิทาเรียสเบือนหน้าออกไปนอกหน้าต่าง
ที่ปลายฟ้านั้น ดวงอาทิตย์กำลังทิ้งตัวลงสู่เส้นโค้งอันงดงามของผืนดิน สาดไล้อย่างอ่อนโยน...ขับปลายฟ้าให้โดดเด่นขึ้นมาได้อย่างน่าชม
ความรู้สึกต่าง ๆ ของเจ้าหญิง...ค่อย ๆ จมลงสู่ห้วงลึกมืดมิดในใจนางอีกครั้ง
...สถานที่ซึ่งมันควรจะอยู่ตรงนั้น...
...ตลอดไป...
นครดาเรนนั้นตั้งอยู่ทางตอนเหนือของนครหลวงแห่งแสงสว่างซานเกเบียครอบคลุมพื้นที่ลงมาถึงช่วงด้านตะวันตกซึ่งติดกับป่าเหนือ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ติดกับชายแดนโดยตรง...ทว่าด้วยความที่เป็นทางอันจะผ่านไปสู่ซานเกเบียได้จึงถูกฝ่ายความมืดโจมตีบ่อยครั้ง
เส้นทางที่สามารถจะผ่านไปสู่ซานเกเบียนั้นมีอยู่ด้วยกันสามเส้นทาง คือ...หนึ่ง ซากปรักหักพังของนครนอร์เธนซึ่งอยู่เหนือสุด ทว่าเส้นทางนั้นนอกจากจะทุรกันดานแล้วยังเหน็บหนาวตลอดปี ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับการเคลื่อนทัพอย่างแน่นอน สองก็คือเข้าทางนครซาจิเอนด์แล้วผ่านทางเลเธนส์เข้าสู่ซานเกเบีย
ส่วนทางที่สามซึ่งซาจิทาเรียสไม่เคยคิดเลยว่าจะใช้ได้จริง...คือเส้นทางลัดตัดผ่านป่าเหนือแล้วผ่านดาเรนเข้าสู่ซานเกเบียซึ่งเป็นเส้นทางที่ลัดสั้นที่สุด...
...และอันตรายที่สุดเช่นกัน...
ค่ายทหารของดาเรนนั้นกว้างกินเนื้อที่ไปไกลที่เดียว กระโจมสีขาวตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ กลิ่นควันไฟลอยอบอวลในบรรยากาศของยามค่ำคืนเช่นนี้ การวางเวรยามรักษาการณ์เข้มงวด ธงสีเขียวปักตรามังกรสามหัวอันเป็นสัญลักษณ์ของนครดาเรนปักอยู่รอบ ๆ ค่าย
สายลมหนาวของแดนเหนือพัดต้องร่างบางแผ่วเบา ส่งเส้นผมและกระโปรงสีขาวให้พลิ้วไปกับสายลม ดวงดาวนับพัน ๆ สะท้อนอยู่ในดวงตาสีฟ้าราวกับสีของน้ำทะเลคู่นั้น
“ยืนทำอะไรอยู่น่ะ ?”
เสียงจากด้านหลังที่ไม่ได้ทำให้คนถูกถามหันไปมอง
“รีเฟย์หรือ ?”
ชายหนุ่มก้าวมายืนข้าง ๆ ด้วยสีหน้าราบเรียบดุจเคย
“อย่าลืมว่าคราวนี้เรามาที่นี่กันอย่างเป็นความลับ ถ้ามีใครเห็นเจ้าตรงนี้คงลำบาก...แล้วอีกอย่าง ที่นี่เป็นค่ายทหาร ถึงจะเป็นเขตของแม่ทัพและเป็นเจ้า...แต่มันก็ไม่ปลอดภัย”
“ข้ารู้แล้ว” คนถูกตักเตือนตอบ “ท่านอาล่ะ ?”
“ดูแผนที่อยู่ในกระโจม” องครักษ์หนุ่มตอบ
“รีเฟย์...” เจ้าหญิงเอ่ยเสียงแผ่วเบา “...เจ้า...เคยคิดบ้างไหมว่าถ้าหากไม่เกิดเรื่องพวกนี้ขึ้น ‘พวกเรา’ ตอนนี้จะเป็นยังไงกัน ?”
“ซาจิทาเรียส...” ดวงตาสีอำพันของชายหนุ่มทอประกายอ่อนลง
“ข้าน่ะ...มั่นใจอยู่เสมอนะ ว่าสิ่งที่ข้าเลือกทำอยู่ในตอนนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แต่ว่านะ...”
ใบหน้าของเจ้าหญิงแห่งอีริออสผินมาทางเขา
...เสี้ยวนาที...ที่องครักษ์หนุ่มอยากจะยืดมันให้ยาวตราบนานเท่านาน...
เพียงแว่บเดียว...ราวกับเขาได้ย้อนวันคืนกลับสู่อดีตอีกครั้ง
...ในอดีตนั้น...เด็กหญิงคนหนึ่งกำลังส่งยิ้มเป็นประกายสดใสยิ่งกว่าอัญมณีใด ๆ มาให้เขา...
เป็นพริบตาแห่งห้วงอดีตที่ยากจะย้อนคืน
“...บางครั้ง ข้ารู้สึกคิดถึงช่วงเวลาพวกนั้นเหลือเกิน”
เพียงสิ้นคำพูด ห้วงเวลาแห่งมนสะกดนั้นก็พังครืน
เขากลับมายืนอยู่ที่ปัจจุบันอีกครั้ง...เบื้องหน้า ใบหน้าที่เรียบเฉยและดวงตาสีน้ำทะเลล้ำลึกจ้องมองกลับมา
...เด็กหญิงคนนั้นหายไปแล้ว...
“ข้าจะไปนอนแล้ว...ช่วยนำทางไปที่กระโจมที รีเฟย์”
มีตำนานเล่ากันว่า...ในสมัยซึ่งพระเจ้าสร้างโลกนั้น...
โลกยังเป็นสิ่งไร้รูปร่างและปกคลุมด้วยความมืด ทว่า...เมื่อพระเจ้าตรัสว่า ‘จงสว่าง’ ความสว่างก็ถือกำเนิดขึ้น
พระเจ้าทรงแยกแสงสว่างออกจากความมืด ทรงเรียกแสงสว่างว่ากลางวัน เรียกความมืดเรียกว่ากลางคืน แล้วชี้นำกลางวันไปยังทิศตะวันออกและประทานตะวันตกให้แก่กลางคืน...
ทว่า...แต่แรกเริ่มเดิมทีนั้น แสงสว่างและความมืดก็เป็นผืนแผ่นเดียวกัน ดังนั้นจึงยังคงมีบางอย่างที่เชื่อมโยงกลางวันและกลางคืนเข้าด้วยกัน
ในตอนกลางวันยังคงมี ‘เงา’ เป็นความมืดมิด ส่วนในตอนกลางคืนก็ยังคงมี ‘ดวงดาว’ เป็นแสงสว่าง...
เวลาผ่านไป ในแสงสว่างและความมืดก็ปรากฏสิ่งมีชีวิตขึ้นมา พวกเขาก้าวออกจากสถานที่ซึ่งตนถือกำเนิดและเริ่มสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ เพาะปลูก เลี้ยงสัตว์และสร้างเมืองขึ้นมาจากซากปรักหักพัง
สุดท้าย...แสงสว่างและความมืดก็เริ่มทำสงครามกันเอง...
นั่นสินะ...พวกเราจะทำสงครามกันทำไม ในเมื่อ...เมื่อแรกที่พระเจ้าสร้างโลกนั้น ทั้งแสงสว่างและความมืดก็เป็นผืนแผ่นเดียวกัน
เสียงกริ๊กเบาแสนเบาดังตัดรัตติกาลที่มีเพียงเสียงปะทุของเปลวเพลิง
ดึกดื่นป่านนี้...ทว่าภายในค่ายทหารของดาเรนยังคงมีผู้ที่ตื่นอยู่
ดวงเนตรสีน้ำทะเลจับมองสิ่งที่เป็นต้นเหตุของเสียงกริ๊กดังกล่าวที่อยู่ในมือข้างซ้าย
มันเป็นจี้รูปดวงดาวแปดแฉกแบน ๆ สีทองอร่าม ตรงขอบนั้นมีกลไกเล็ก ๆ ที่ถ้าหากไม่สังเกตดูดี ๆ หรือรู้อยู่ก่อนแล้วก็จะไม่สามารถมองเห็นได้เลยซ่อนอยู่ และกลไกนี้เองที่เป็นต้นเหตุของเสียงกริ๊กดังกล่าว
ในมือของเจ้าหญิงมีจี้เช่นนี้อยู่สองอัน เป็นจี้ลักษณะเดียวกันไม่มีผิดเพี้ยน...
ใบหน้าของเจ้าหญิงแห่งอีริออสยามนี้ นิ่งเฉยราวกับจิตใจของนางได้ล่องลอยไปสู่สถานที่ไกลแสนไกล...
...ไปยังอดีตที่ไม่มีวันหวนคืน...
ซาจิทาเรียสเบือนสายตากลับมายังสิ่งของสีทองในมือ มันทอประกายสดใสในยามค่ำคืนเช่นนี้ ทันทีที่นางกดปุ่มกลไกเล็ก ๆ นั้น จี้ก็เปิดออก...
แสงสีทองฉายขึ้นก่อนจะไล่ลากเป็นตัวอักษรบางอย่างท่ามกลางความมืดมิดของรัตติกาล
เป็นตำนาน...อันเดิมที่เธออ่านมาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง...
ตำนานเกี่ยวกับการสร้างโลก แสงสว่างและความมืด...
...พวกเราทำสงครามกันทำไม...ในเมื่อ...เมื่อแรกที่พระเจ้าสร้างโลกนั้น ทั้งแสงสว่างและความมืดก็เป็นผืนแผ่นเดียวกัน...
ราวกับว่า...เสียงของคน ๆ นั้นยังคงกระซิบอยู่ข้างหู...
...ทุกคืน...ทุกวัน...
มือขาวกำจี้แน่นเข้าโดยไม่รู้ตัว จี้ทองปิดฉับ ริมฝีปากบางเม้มแน่น แนบหน้าผากลงบนจี้ทองเย็น ๆ นั้น ร่างบางงอตัวลงคล้ายว่าจะเจ็บปวดทรมาณ
...เจ็บปวด...ในใจ...
ทรมาน...ดุจว่าจะตายลงเสียเอง
คนที่ตายไปน่ะ...ไม่รู้สึกอะไร แต่คนที่ยังต้องใช้ชีวิตอยู่เบื้องหลัง...โศกเศร้า เจ็บปวดกว่าเป็นพัน ๆ เท่า
“รามิเอล...” เสียงใสสั่นเครือเบาหวิว แรงกายใจทั้งหมดถูกใช้ไปกับการพยายามเก็บกลั้นหยาดน้ำตา ปล่อยให้มันหยดลงในหัวใจอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ปล่อยให้มันไหลออกมาให้ผู้ใดเห็น...
...จะต้องไม่มีผู้ใดได้เห็น...ความอ่อนแอของนาง
“ข้าคิด...ถึงท่าน”
“เอาล่ะ...ต่อไปพวกท่านจงอ้อมไปทางด้านเหนือ และตีโอบลงมา ที่เหลือก็เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้”
“พะย่ะค่ะ!!”
เสียงตอบรับแข็งขันก่อนที่เหล่านายทหารตำแหน่งสูงในชุดสีดำตามแบบฉบับของดาเรนจะทยอยกันแยกย้ายไปปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายอย่างพร้อมเพรียงกัน
“อย่างนี้คงเป็นไปตามแผนที่เราคุยกันแล้วสินะ ? ซาจิทาเรียส”
“เจ้าค่ะ” เสียงตอบจากด้านหลังฉากกั้นในกระโจมบัญชาการ เจ้าหญิงแห่งอีริออสก้าวออกมาพร้อมด้วยรีเฟย์ซึ่งยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม
“จากนี้ก็คงต้องรอดูว่าทางโน้นจะโต้ตอบกลับมาอย่างไร ตอนนี้สิ่งที่เราจำเป็นต้องทำคือการเตรียมการให้พร้อมทั้งบุกและตั้งรับ เพราะข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจความคิดของฝ่ายนั้นอยู่เหมือนกัน...ดูจากที่ตั้งค่ายอยู่ที่ชายป่าเหนือ แต่กลับไม่บุกเข้ามาเสียที”
“อืม...ก็ต้องรอดูกันต่อไป” เจ้าชายเบลาสถอนหายใจออกมาเบา ๆ ทีหนึ่ง ก่อนดวงตาสีเขียวราวกับใบไม้คู่นั้นจะหันมาทางเจ้าหญิงแห่งอีริออส “แล้วเจ้า...มีแผนจะทำอะไรต่อจากนี้หรือเปล่า ?”
“ข้าคิดว่าจะรอดูอยู่ที่นี่สักครู่ก่อน บ่ายนี้ข้าอยากจะออกไปดูในหมู่บ้านเสียหน่อย” เนตรสีฟ้าน้ำทะเลของเจ้าหญิงทอประกายคมกริบยิ่งกว่าใบดาบ “อย่างไรข้าก็คิดว่าควรจะเกลี่ยกล่อมให้พวกชาวบ้านอพยพไปก่อน อีกอย่างหนึ่ง...ช่วงสงครามมักจะมีพวกที่รอจะโกงราคาสินค้าให้สูงขึ้นเพื่อกอบโกยเข้าตัว ข้าจะไปตรวจสอบเสียหน่อยแล้วจะมารายงานเจ้าค่ะ”
“จะไปไกลมากไหม ? อย่างที่เจ้าเห็นมาว่าแถบนี้น่ะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมดสี่หมู่บ้าน...เจ้าจะไปตรวจดูทั้งหมดเลยหรือเปล่า ?”
“อาจจะ” ซาจิทาเรียสตอบ “ถ้าหากไม่ค่ำเสียก่อนนะเจ้าคะ”
“ข้าจะเป็นคนนำไปเอง”
“ไม่ต้องหรอก” เจ้าหญิงแห่งอีริออสห้ามเจ้าของดวงตาสีทองอำพันเอาไว้อย่างรวดเร็ว “เจ้าอยู่ที่นี่...คอยจับดูความเคลื่อนไหวของทางทัพนั้นเอาไว้ให้ดี พวกมันใช้มนตราอะไร เคลื่อนไหวยังไง เจ้าช่วยตรวจดูจากที่นี่ให้ข้าด้วยแล้วกัน”
“แต่ว่า...”
“การไปไหนกันสองคนเป็นที่สังเกตง่ายกว่าไปคนเดียวนะ”
องครักษ์หนุ่มอ้าปาก ทว่าไร้คำใดที่จะโต้ตอบ
...คนอย่างซาจิทาเรียส...หากนางตัดสินใจสิ่งใด...
ไม่ว่าใครก็เปลี่ยนไม่ได้!!!
“อย่างนั้น...ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ ท่านอา”
“ยังไงก็ระวังตัวล่ะ...ซาจิทาเรียส” เจ้าชายเบลาสยิ้มน้อย ๆ
คำพูดที่จุดรอยยิ้มเบาบางขึ้นมีมุมปากขององค์หญิงแห่งอีริออส
“ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ...ข้าไม่มีวัน ยอมตายไปก่อนที่จะจัดการเรื่องที่ข้าตั้งใจสำเร็จแน่!!”
ห่างจากค่ายของกองทัพดาเรนไปราว ๆ ชั่วระยะที่คนปกติเดินก็คงจะใช้เวลาสองชั่วยาม
หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านตามแนวชายแดนอีกแห่งหนึ่ง แม้ว่าสภาพบ้านเรือนจะไม่ได้เก่าทรุดโทรมเหมือนที่เจ้าหญิงแห่งอีริออสนั่งรถม้าผ่าน แต่ก็ยังสะท้อนสภาพของบ้านเมืองในยุคสงครามได้เป็นอย่างดี
ร้านเหล้าเล็ก ๆ ฝุ่นจับ ภายในก็มืดมิดทั้ง ๆ ที่เป็นเวลากลางวันแท้ ๆ ในร้านมีคนอยู่แปดเก้าคน กว่าครึ่งนั้นเป็นลูกค้าขาประจำที่มาเมาหัวราน้ำอยู่ที่นี่ทุกวัน และวันนี้ก็เช่นเดียวกัน
แต่ทว่า...บุรุษอีกคนหนึ่งนั้นเป็นลูกค้าขาจร ดูจากผ้าคลุมสีดำมอ ๆ และย่ามสีซีดนั้นคงจะเป็นนักเดินทางไม่ผิดแน่ ทว่า...กลับไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้เพราะเงาจากผ้าคลุมที่บดบังมันจนมิด เห็นเพียงแต่แสงสะท้อนวาว ๆ เรือง ๆ จากดวงตาคู่นั้น...ให้ความรู้สึกที่เย็นยะเยือกราวกับเงาของแสงสะท้อนบนพื้นหิมะ
เขาไม่ดื่มหนัก แต่ดื่มเรื่อย ๆ และไม่มีท่าทีว่าจะหยุดดื่มง่าย ๆ ตั้งแต่เข้ามาในร้าน...ลูกค้าผู้นี้ไม่ได้ปริปากพูดอะไรนอกจากสั่งเหล้าที่แรงที่สุดในร้านมาหกขวด ซึ่งตอนนี้กลายเป็นขวดเปล่าไปเสียสี่ขวดแล้ว
“เอ่อ...ไม่ทราบว่าท่านจะรับอะไรอีกไหมครับ ?” เจ้าของร้านเดินมาถามอย่างสุภาพ บุรุษในผ้าคลุมสีเข้มไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง
“เอามาอีก...ขอที่แพงที่สุดในร้าน”
“อ่า...” ชายวัยกลางคนหนวดเคราครึ้มผู้เป็นเจ้าของร้านเหล้าถูมือไปมา นาน ๆ จะเจอลูกค้าที่ใจกล้าอย่างนี้สักที...แถมยังเป็นยามสงคราม คงจะต้องเรียกราคาให้หนัก
“...เหล้าที่แพงที่สุดในร้านราคายี่สิบห้าเหรียญทองนะครับ จะรับไหมครับ ?”
ราคา...สูงพอ ๆ กับเหล้าธรรมดาหนึ่งร้อยขวดรวมกัน
เงาของดวงตาที่วูบวาบอยู่ใต้ผ้าคลุมนั้นเงยขึ้นเหลือบมองนิดหนึ่ง นิดเดียวจริง ๆ
กริ๊ง!!!
เหรียญสีทองจำนวนมากถูกวางลงบนโต๊ะ
“เอาอย่างที่ว่ามาให้สองขวด”
รอยยิ้มคลี่ออกบนใบหน้าของชายเจ้าของร้านราวกับรอยยิ้มแสยะของสุนัขป่ายามได้กลิ่นเนื้อ
“ครับ ๆ”
เขารีบกวาดเหรียญสีทองทั้งหมดใส่กระเป๋า กุลีกุจอไปนำเหล้าอย่างที่ว่ามาทันที
...บางครั้ง...ลูกค้าก็มองกันเพียงภายนอกไม่ได้...
เงินจำนวนนี้...เกือบจะพอให้เขาเปิดร้านใหม่ได้อย่างสบาย
เสียงกระดิ่งที่ประตูหน้าร้านดังใส ผิดกับบรรยากาศในร้านโดยสิ้นเชิง
ผู้ที่เข้ามาใหม่...ก็ผิดกับบรรยากาศในร้านโดยสิ้นเชิงเช่นเดียวกัน
“ยินดีต้อนรับครับ...ยินดีต้อนรับ”
ชายเจ้าของร้านตะโกนบอก ผู้มาใหม่เพียงนิ่งเฉย
นางเป็นหญิงสาว ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลอย่างที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ชาวดาเรน เส้นผมหยักเป็นลอนและเป็นสีทอง ใบหน้าขาวนวลเหมือนรูปวาดนั้นไร้ร่องรอยอารมณ์ใด ๆ นางอยู่ในชุดสีขาวสว่าง...สะอาดบริสุทธิ์ราวกับเทพธิดา คลุมด้วยผ้าคลุมไหล่อีกชั้น...ดูคล้าย ๆ กับบุตรีในตระกูลขุนนาง
นางเดินตรงไปยังโต๊ะที่ถัดจากบุรุษในผ้าคลุมสีดำสนิท...
...คนที่ดูขัดกับบรรยากาศในร้านเป็นที่สุดสองคนนั่งหันหลังชนกัน...
“มาแล้วครับ...มาแล้ว”
ชายเคราครึ้มถือขวดเหล้าเก่า ๆ ฝุ่นจับสองขวดเดินตรงมายังบุรุษในผ้าคลุมสีดำ วางขวดลงบนโต๊ะอย่างนุ่มนวล
ผู้อยู่ในผ้าคลุมสีดำไม่ว่าอะไรสักคำ เขาหยิบขวดเหล้าที่เพิ่งได้รับมาใหม่นั้นมาเปิด
กลิ่นฉุนจัดบ่งบอกให้รู้ว่า...มันเป็นเพียงแค่เหล้ารัมย์ธรรมดา ๆ ที่ไม่ได้วิเศษไปกว่าเหล้าราคาไม่กี่เหรียญเงินสักเท่าไหร่
ของเพียงแค่นี้...เรียกราคาถึงยี่สิบห้าเหรียญทอง
แต่เขาก็ไม่ได้โวยวายอะไรออกมา เพียงแค่จิบมันอย่างเงียบเชียบ
“ค...คุณหนู...” ชายเจ้าของร้านหันมาทางหญิงสาวในชุดสีขาว
ใบหน้านั้น...ทำให้เขามือสั่นแทบจะควบคุมไม่ได้...
“...เอ่อ...รับอะไรดีครับ ?”
“เอาที่แพงที่สุดในร้าน”
คำตอบดังลอดจากริมฝีปากบางชมพูระเรื่อนั้น
“อา...”
...มาอีกแล้ว...พวกกระเป๋าหนักช่วงข้าวยากหมากแพง...
“ฮ่ะ ๆ...คุณหนู เหล้าที่แพงที่สุดในร้านราคาสามสิบเหรียญทองนะครับ”
มือที่กำลังจะยกแก้วขึ้นของบุรุษในผ้าคลุมชะงักเล็กน้อยกับประโยคนั้น แต่เขาก็จิบมันต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เหล้าราคาสามสิบเหรียญทอง ?” หญิงสาวเจ้าของดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลเลิกคิ้วเรียวขึ้นเล็กน้อย
“ครับ”
“เอามาสักขวดแล้วกัน”
“แต่ว่า...เอ่อ ข้าจะขอเก็บเงินก่อนได้ไหมครับ ?”
เนตรสีน้ำทะเลทอประกายเรียบเฉย
...คน ๆ นี้คงคิดว่านางไม่มีปัญญาจ่าย...
“นี่...สามสิบเหรียญทอง” หญิงสาววางเหรียญสีทองลงบนโต๊ะ
“อ่า...ครับ ๆ ข้าจะไปเอามาเดี๋ยวนี้ล่ะครับ”
“จำไว้...” เสียงใสเย็นยะเยือกเรียกชายเจ้าของร้านให้ชะงักได้เป็นอย่างดี “...ถ้าหากเหล้าราคาสามสิบเหรียญทองของเจ้าไม่สามารถทำให้ข้าเมาได้แม้สักนิดล่ะก็ ข้าจะฆ่าเจ้า”
ไม่รู้เพราะอะไร...แต่ชายเจ้าของร้านกลับรู้สึกว่าหญิงสาวร่างแบบบางคนนี้ไม่ได้โกหก
นางสามารถฆ่าเขาได้จริงดังว่า
...แม้กระทั่งร้านเหล้าเล็ก ๆ อย่างนี้ก็ยังมีการขูดรีด...
หญิงสาวถอนหายใจเบาแสนเบา
ใช่แล้ว...หญิงสาวผู้นี้ก็คือเจ้าหญิงแห่งอีริออสนั่นเอง
เพียงไม่นาน ขวดเหล้าลักษณะซ่อมซ่อฝุ่นจับขวดหนึ่งก็ถูกยกมาวางตรงหน้าพร้อมด้วยแก้วไม้ปอน ๆ อีกใบ เจ้าหญิงยกขวดเหล้าขึ้นเทเล็กน้อย กลิ่นเหล้าฉุนแตะจมูก
เสียงฝีเท้าดังเข้ามา แต่นางไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง เพียงแค่ยกแก้วเหล้าขึ้นจิบช้า ๆ เท่านั้น
“ไง!! น้องสาว...ดื่มด้วยกันสักแก้วสิ”
ขวดเหล้าขนาดใหญ่ถูกวางโครมลงบนโต๊ะ ชายร่างสูงใหญ่สองคนที่เมื่อครู่ยังนั่งดื่มอยู่ที่มุมอีกฟากยืนค้ำหัวนางอยู่
ดวงเนตรสีฟ้าอ่อนเงยขึ้นมองด้วยสายตาว่างเปล่า
“พวกเราเป็นทหารดาเรน...คอยต่อสู้เสี่ยงตายเพื่อให้พวกเจ้าได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญ!! ไม่คิดจะตอบแทนกันบ้างรึยังไง!?!”
เสียงตะโกนที่ดังกึกก้องไปทั่วร้านทำให้ทุกสายตาหันมามองเห็นจุดเดียว
สิ่งที่โต้ตอบคำพูดนั้นมีเพียงสายตาว่างเปล่าไร้ซึ่งอารมณ์
เจ้าหญิงแห่งอีริออสถอนหายใจแผ่วเบาอีกครั้ง ก่อนจะก้มหน้าก้มตาดื่มต่อไปราวกับเสียงตะโกนนั้นไม่มีค่าแม้ให้นางต้องสดับรับฟัง
“หนอย!! ทำเป็นเมินอย่างนั้นหรือ!!?”
มือหยาบข้างหนึ่งพุ่งเข้าคว้าข้อมือบาง ๆ ของหญิงสาวทันที อีกมือเข้ารัดที่ลำคอ
นิ้วเรียวเล็กเปราะบางของซาจิทาเรียสเกร็งเข้าหากัน
“ปล่อย”
นางกดเสียงต่ำ
“หึ ๆ...ดู ๆ ไปเจ้าก็หน้าตาเหมือนพวกขุนนางที่ดีแต่เห่าหอนนะ”
รอยยิ้มแสยะออกบนใบหน้าน่าเกลียดตรงหน้า
“อยากจะรู้เหมือนกัน เวลาที่หน้าสวย ๆ นี่บิดเบี้ยวด้วยความกลัวมันจะเป็นยัง...”
“น่ารำคาญ”
เสียงเรียบ ๆ อีกเสียงที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบลงในฉับพลันดังมาจากอีกด้านหนึ่ง
“แก...” ดวงตาที่ฉ่ำเป็นสีแดงเพราะฤทธิ์สุราหันควับไปทางต้นเสียง
บุรุษในเสื้อคลุมสีดำคนนั้นนั่นเอง
“...ที่แส่นี่ อยากตายนักหรือยังไง!?!”
วูบ!!!
เปรี๊ยะ!! เปรี๊ยะ!!
ลมหนาวพัดกรูเกรียว...ลมหนาว ในฤดูใบไม้ผลิ...
“บอกแล้วใช่ไหม...ว่าข้ารำคาญ”
ลมที่พัดสะบัดทำให้ผ้าคลุมนั้นหลุดออก เผยให้เห็นใบหน้าที่อยู่ข้างใต้...ชายในชุดคลุมลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางเนิบเนือย ผิดกับการกระทำลิบลับ
ดวงเนตรสีน้ำทะเลของซาจิทาเรียสเบิกขึ้น
ผู้ใช้มนตรารึนี่?!!
ใบหน้าคมคายราวกับรูปสลักน้ำแข็ง หล่อเหลา...เยือกเย็นเกินบรรยาย เส้นผมสีดำสนิทเหมือนขนปีกของนกกาน้ำ และดวงตาสีเดียวกันที่ล้ำลึกสุดจะหยั่ง...เหมือนกับมองลงไปในถ้ำน้ำแข็งที่มืดมิด หนาวเย็นและไร้ทางออก
“แก...อยากตายใช่มั้ย?!!”
ฉับ!!!
เพียงหนึ่งพริบตา...กับหนึ่งดาบ...
...ไม่มีใครมองเห็นว่าเอาดาบมาจากไหน ชักดาบตอนไหนและเก็บดาบเมื่อไหร่...
แต่ฝนเลือดก็โปรยปรายลงมา
พร้อม ๆ กับร่างสองร่างที่ล้มลงบนพื้น
“ขอโทษที่ทำให้พื้นร้านเปื้อน” ชายหนุ่มกล่าว “นี่คือค่าเสียหาย...ขออภัยที่ทำให้ยุ่งยาก”
ดวงตาสีดุจนิลดำสนิทหันมาทางหญิงสาว
ชุดขาวมีรอยสีแดงคล้ำอย่างน่ากลัว ใบหน้าขาว ๆ มีหยดเลือดอยู่เล็กน้อย...ทว่า...
...ทว่า...ทำให้ดวงตาของผู้หันมามองกระตุกเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย...
หัวใจ...พลันเต้นรัวขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน...
...เขามั่นใจว่าตัวเองเห็นผู้หญิงมามาก...
ทั้งที่หน้าตาสะสวยอย่างเด็กสาววัยแรกแย้ม ทั้งที่สวยฉลาดเยือกเย็น ทั้งที่งดงามจนดูอันตรายคล้ายกับดอกไม้ประดับหนาม...
...แต่เขาไม่เคยเจอ...ผู้หญิงที่ทำให้เขาต้องนิ่งอั้นไปเช่นนี้
ท่ามกลางร้านเหล้าฝุ่นจับ นางยืนอยู่ตรงจุดที่แสงทอเข้ามาเป็นสีทองสาดส่องชุดขาวให้ดูละลานตา ดวงตาสีฟ้าอ่อนทอประกายใสเหมือนจะพาหัวใจให้หลุดไปสู่อีกโลกหนึ่ง สีดุจน้ำทะเลวันฟ้าเปิดนั้นมีประกายเฉลียวฉลาดเหนือชั้น แต่ก็สงบราบเรียบ ราวกับจะดูดผู้ถูกจ้องมองให้จมดิ่งลงสู่ห้วงฝันที่ไม่จริง
ความงามอย่างร้ายกาจเช่นนี้บาดหัวใจจนเจ็บแปลบ
เขาเคยคิดว่า...หากเขาปรารถนา ไม่ว่าสิ่งใด ๆ ก็ต้องเป็นไปตามที่เขาหวังให้มันเป็น
แต่ผู้หญิงคนนี้ทำให้เขารู้สึกว่า...สิ่งที่เขาคิดมาตลอดนั้นอาจผิด...
ความงดงามลึกลับราวกับประกายแสงของดวงดาวที่มองเห็นว่าใกล้เพียงมือแต่กลับไขว่คว้าไม่ถึงนี้ทำให้เขารับมือไม่ถูก
เสี้ยวพริบตาที่ความคิดของชายหนุ่มวูบไหว...เขารู้สึกราวกับเคยเห็นคนตรงหน้าที่ไหนมาก่อน แต่จะเป็นไปได้อย่างไร...หากเขาเคยเห็นนางมาก่อน มีหรือจะจำไม่ได้ ?
ดวงเนตรสีน้ำทะเลของเจ้าหญิงแห่งอีริออสเบิกกว้างขึ้นเช่นกัน
คน ๆ นี้...เป็นผู้ใช้มนตรา?!!
ในดินแดนผืนนี้ประกอบด้วยชนสองกลุ่มคือผู้ใช้มนตราและคนธรรมดา ถึงแม้ว่าตำนานดั้งเดิมจะกล่าวว่าในสมัยแรกเริ่มนั้น ทุกคนมีมนตราสูงเท่าเทียมกันหมด แต่เวลาผ่านไป...เพราะการทำสงครามกันระหว่างแสงสว่างและความมืด ทำให้เกิดการปะทะกันของมนตราบ่อยครั้ง ด้วยเหตุอะไรสักอย่าง การปะทะกันของมนตรานี้บางครั้งก็ทำให้ผู้ใช้มนตราฝั่งที่พ่ายแพ้กลายเป็นคนธรรมดาไปได้
ปัจจุบัน ผู้ใช้มนตราที่เหลืออยู่มักจะดำรงอยู่ในฐานะราชาบ้าง ขุนนางชั้นสูงบ้างหรือไม่ก็นักบวช เรียกได้ว่าระบบชนชั้นของที่นี่จัดตามระดับของมนตราที่มีอยู่เลยทีเดียว
เพราะฉะนั้น...คน ๆ นี้ก็ไม่น่าจะที่เป็นเพียงคนธรรมดาอย่างแน่นอน!!!
แต่ดูท่าทาง...ชายหนุ่มจะเข้าใจอาการนิ่งงันของเจ้าหญิงผิดไป
“ขออภัยที่ทำให้ตกใจ”
“ข้า...ไม่เป็นไร” เจ้าหญิงตอบเสียงเบา เค้นสมองคิดอย่างหนักว่าคน ๆ นี้จะมีฐานะเป็นอะไรได้บ้าง จะรู้จักหน้านางไหมนะ ?
“ขอบคุณท่านมากกว่า...ฝีมือดาบท่านเยี่ยมนัก ไม่ทราบว่า...”
“ข้าเป็นผู้ติดตามราชบัณทิตแห่งดาเรน แต่ว่า...ระหว่างเดินทางเกิดพลัดหลงกันเสียก่อน” คำเฉลยที่ทำให้สบายใจไปเปลาะหนึ่ง
...อ้อ...อย่างนี้นี่เอง...
“เอ่อ ยังไงข้าก็ต้องขอบคุณท่านมาก” ซาจิทาเรียสค้อมหัวลงเล็กน้อย อย่างไรเสีย...ก็ต้องนับว่าเขามีบุญคุณต่อนาง
ถึงแม้ว่า...ถึงเขาจะไม่จัดการ นางก็คงจะสามารถจัดการเองได้ก็ตามที
“เจ้าเป็นหญิงสาวคนเดียว...ไม่ควรมาในที่แบบนี้”
คำเอ่ยเตือนพร้อมกับผ้าเช็ดหน้าสีดำผืนหนึ่งถูกยื่นมาให้นางเช็ดรอยเลือดออกจากใบหน้า
“ช่วงนี้อยู่ในภาวะสงคราม ถ้ายังไง...ระวังตัวหน่อยแล้วกัน” ชายหนุ่มในเสื้อคลุมสีดำกล่าวต่อ เดินไปหยิบย่ามสะพายและเหล้าราคายี่สิบห้าเหรียญทองอีกขวดที่ยังไม่ได้เปิด
“ข้าขอตัว”
“ยังไง...ข้าก็ขอบคุณท่านมาก” หญิงสาวกล่าวอีกครั้ง
รอยยิ้มบางแสนบาง เล็กน้อยจนดูคล้ายกับภาพลวงตาจุดขึ้นบนมุมปากของชายหนุ่มผู้เยือกเย็น
“หากพบกันครั้งหน้าในสถานการณ์ที่ดีกว่านี้ เจ้าค่อยขอบคุณแล้วกัน...ขอตัว”
กริ๊ง!!
เสียงกระดิ่งหน้าร้านดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้...มันบอกการไปของคน ไม่ใช่การมา
เจ้าหญิงแห่งอีริออสยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง แล้วจึงนึกขึ้นได้
...น่าจะถามชื่อเสียหน่อย...ดูเสียมารยาทจริง ๆ...
“เหล้าแกล้มเลือด...อร่อยไหม ?”
เสียงที่ฟังดูร่าเริงบันเทิงใจเหลือเกินดังมาจากด้านหลัง ทำให้ดวงตาสีนิลเย็นยะเยือกคู่นั้นหันกลับไปมองเล็กน้อย ก่อนจะออกปากเบา ๆ
“เซนท์...เจ้ามาที่นี่ทำไม ?”
“เห็นเจ้าออกมาท่าทางเหมือนหงุดหงิด ข้าก็เลยตามออกมาดูไม่ให้เจ้าไปฆ่าใครเข้า”
เจ้าของเสียงร่าเริงผู้มีนามว่าเซนท์ยิ้มแย้มสดใส ใบหน้าสะอาดสะอ้านอ่อนเยาว์ ดูเผิน ๆ...ให้ความรู้สึกราวกับมองหญิงสาว เส้นผมสีเงินยวงส่องประกายสว่างไสว ดวงตาสีเดียวกันก็ทอประกายระยับพราวด้วยความสนุก เขาอยู่ในชุดลักษณะเดียวกันกับคนที่เดินอยู่ตรงหน้าไม่ผิดเพี้ยน
“ไม่เห็นออกตัวมาห้ามจริง ๆ เลยนี่ ?” ชายหนุ่มผู้เดินนำหน้าอยู่กล่าวขณะที่ก้าวเอื่อยเฉื่อยผ่านบ้านเรือนที่ดูเหมือนจะร้างไปกว่าครึ่งแล้วอย่างไม่ใส่ใจคนที่เดินตามมาเลยสักนิด
“ก็แหม...ท่าทางเจ้ากำลังสนุก แล้วคนพวกนั้นก็ไม่มีค่าพอจะให้ข้าออกไปห้ามเสียด้วย”
เสียงร่าเริงนั้นตอบกลับมา ก่อนที่เจ้าของเสียงจะผิวปากหวือเบา ๆ
“แต่ว่า ท่าทางแย่เอาการเลยนะที่นี่น่ะ...ดูไม่น่าอยู่เอาเสียเลย”
“เซนทาเรีย เลวิส...ในขณะที่ข้าซึ่งเป็นแม่ทัพออกมาจากค่าย เจ้าซึ่งขณะนี้ดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพก็ควรจะทำหน้าที่อยู่ที่ค่ายไม่ใช่หรือ ?”
“อย่าเคร่งครัดนักเลยน่า...ไนท์ เจ้าก็น่าจะรู้ว่านาน ๆ ทีข้าถึงจะได้ออกมาจากเมือง ใจคอจะไม่ให้คนที่ทำงานหนักตลอดปีอย่างข้าได้ออกมาพักผ่อนบ้างเลยหรือยังไงกัน ?”
เสียงโอดครวญที่ทำให้เจ้าของนาม ‘ไนท์’ มุ่นคิ้วเข้าหากัน
“นี่...”
ควับ!!
ของบางอย่างถูกโยนมาให้ ชายหนุ่มนามเซนท์รับมันเอาไว้ได้อย่างแม่นยำ
“อะไรกันนี่ ?”
ผู้รับพลิกของที่เพิ่งรับมามองอย่างฉงน เป็นขวดบรรจุเหล้าสีน้ำตาลอมเหลือง ท่าทางอายุไม่น่าจะต่ำกว่าห้าปีแถมสภาพก็พอจะรู้ว่าคงไม่ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดีด้วย
“เหล้านั่น...ราคายี่สิบห้าเหรียญทองเชียวนะ”
“หา!!”
ตกใจจนเกือบทำขวดเหล้าราคาสูงลิบหลุดมือ
“จ...เจ้าเอาทองจากท้องพระคลังมาผลาญกับ...กับ...” อับจนด้วยคำพูด ไม่รู้ว่าจะสรรหาคำอะไรมาบรรยายความไม่สมราคาของสุราในมือนี่ดี
“เอาไปดื่มซะ...แล้วเราก็กลับไปที่ค่ายกันได้แล้ว”
“เฮ้อ!!”
...ก็ในเมื่อคนตรงหน้าพอใจจะจ่ายเงินให้กับของพรรค์นี้...เขาก็คงไม่มีปัญญาห้ามไหวหรอก...
“ว่าแต่...เจ้าดูแปลก ๆ ตั้งแต่ออกมาจากร้านเหล้านั่นแล้วนี่ ? ท่าทางดูเหมือนพออกพอใจอะไรสักอย่างอยู่รึเปล่า ?”
ดวงตาสีเหมือนรัตติกาลไร้ขอบเขตหันกลับมามองหน้าของผู้ชายหน้าตาสะสวยที่เดินตามมาเบื้องหลังอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ดูเหมือนคนถูกจ้องจะไม่ได้รู้สึกถึงสายตาเย็นยะเยือกนั่นเลย...
...หรือไม่ก็รู้สึก...แต่เคยชินเสียแล้ว...
“ไม่มีอะไรนี่”
“หืม...หรือแค่คิดถึงบรรยากาศของสงครามก็เลยรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเท่านั้น ?” ชายหนุ่มผมเงินเดา
“กลับค่ายเถอะ” คำย้ำราวไม่อยากตอบคำถามของคนตรงหน้าทำให้เซนท์รู้ตัวว่าควรจะเงียบได้แล้ว หรือไม่อย่างนั้นอาจจะต้องเจออะไรที่เลวร้ายยิ่งกว่าเผชิญหน้ากับมังกรพ่นไฟหลายเท่าตัว
กระนั้น...ปากมันก็ยังอดไม่ได้
“ข้าก็แค่นึกว่าเจ้าจะคิดถึงบรรยากาศเก่า ๆ หลังจากที่ไม่ได้ออกมาจากเอเวียสตั้งเกือบสองปี”
รอยยิ้มเย็น ๆ สะบัดบนริมฝีปากของไนท์
“นั่นสินะ...เกือบสองปี...” ดวงตาสีดำสนิทเหมือนโพรงถ้ำมืดมิดเยือกเย็นนั้นทอประกายประหลาด “...นานใช่เล่นเลยนะ”
“อื้อ” เซนทาเรียยิ้มหวาน “ต้องทำผลงานให้ดีล่ะ อย่าให้ใครว่าเอาได้ว่า ‘อัจฉริยะปีศาจ’ มือตกลงจากเดิมนะ”
“ท่านอา!! ข้าซาจิทาเรียสเจ้าค่ะ!!!”
“เข้ามาได้เลย!!”
เสียงเรียกที่ทำให้เจ้าชายเบลาสละสายตาจากเอกสารต่าง ๆ ตรงหน้าขึ้นมอง ทางเข้ากระโจมถูกเลิกขึ้นเล็กน้อยและเจ้าหญิงแห่งอีริออสเดินเข้ามาด้วยท่าทางหนักใจ ชุดสีขาวที่เปื้อนคราบเลือดถูกเปลี่ยนออกแล้ว...กลับมาเป็นสีขาวสะอาดบริสุทธิ์ดุจเดิม
“เป็นยังไงบ้าง ? มีอะไรผิดปกติไหม ?”
“ท่านอา...ราคาข้าวของสูงขึ้นหลายเท่าตัวทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เปิดสงครามจริง ๆ ด้วยซ้ำ เรื่องนี้...คงต้องรายงานไปยังท่านเสนาฯ แล้วล่ะเจ้าค่ะ”
“อืม” เจ้าชายแห่งดาเรนพยักหน้าเล็กน้อย “ข้าจะจัดการให้ นอกจากนี้แล้วยังมีอะไรแปลก ๆ ไปอีกไหม ข้ากำลังสงสัยว่าอาจจะมีพวกสอดแหนมหลบอยู่ตามหมู่บ้านต่าง ๆ ปะปนกับชาวบ้านที่เหลือน่ะ”
แว่บหนึ่ง ความคิดของเจ้าหญิงไพล่ไปถึงชายหนุ่มที่ร้านเหล้าคนนั้น...
...นั่นจะนับว่าผิดปกติได้ไหมนะ ?
สุดท้าย นางก็ตอบไปอย่างง่าย ๆ
“นอกจากพวกที่อ้างตัวว่าเป็นทหารดาเรนแล้ว ก็ไม่มีเจ้าค่ะ แล้วทางนี้ ?”
“ข้าสั่งการไปหลายอย่าง รายงานอยู่ที่รีเฟย์...ส่วนเรื่องหลังจากนี้คงจะต้องพึ่งพาเจ้าแล้วล่ะ”
“อืม” หญิงสาวรับเบา ๆ “แล้วรีเฟย์ล่ะเจ้าคะ ?”
คำถามที่ทำให้เจ้าชายแห่งดาเรนยิ้มน้อย ๆ
“รอเจ้าอยู่ที่กระโจมแน่ะ...พอจัดการงานเสร็จก็รีบไปรอเจ้าทีเดียว คงกลัวว่าจะคลาดกันกับเจ้าล่ะมั้ง”
“ทำไมเจ้าไม่ไปทำงานอย่างอื่น ?”
คำพูดแรกดังขึ้นทันทีที่กระโจมส่วนตัวของเจ้าหญิงแห่งอีริออสถูกเลิกขึ้นและพบว่ามีคนนั่งรออยู่ด้านในจริงอย่างที่เจ้าชายเบลาสว่า
“ข้าจัดการเสร็จหมดแล้ว” คนถูกตำหนิตอบกลับด้วยท่าทางเรียบเฉย เขาเพียงนั่งอยู่ข้างโต๊ะกลางกระโจม จิบชาตามอารมณ์เท่านั้น...ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่ากำลังรอนางอยู่เลยแม้เพียงนิด
“แล้วเรื่องเอกสารล่ะ ?” ดวงเนตรสีฟ้าอ่อนหรี่ลงราวกับหาเรื่องตำหนิต่อ
“ข้าทำเสร็จแล้ว รวมถึงเรื่องตรวจดูภาษีในแถบนี้และเรื่องตรวจจับมนตราในระยะห้าร้อยโยชน์ด้วย”
คำตอบที่ทำให้ซาจิทาเรียสจำต้องเงียบด้วยไม่รู้ว่าจะหาเรื่องใดมากล่าวหาคนตรงหน้าต่อดี เพราะดูราวกับคนตรงหน้าจะจัดการอะไร ๆ ไปมากกว่าที่นางสั่งเสียอีก
“แล้วเป็นยังไงบ้าง ? ออกไปตรวจการณ์ในหมู่บ้าน...ได้อะไรรึเปล่า ?”
“อืม”
เจ้าหญิงส่งเสียงเบา ๆ ในลำคอ ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกฟากหนึ่งของโต๊ะไม้ตัวกลม องครักษ์หนุ่มวาดมือผ่านโต๊ะด้วยท่าทางงามสง่า ชุดน้ำชาอีกชุดหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า เพียงชายหนุ่มแตะมือลงบนกาสีขาวนวลนั้น...ควันหอมกรุ่นก็ลอยฟุ้งไปทั่วทั้งกระโจม
“นี่...ข้าคิดว่าบางทีเจ้าอาจจะอยากเห็น” หญิงสาวดึงของบางอย่างออกมาวางลงบนโต๊ะ
...ขวดเหล้าเก่า ๆ ที่มีของเหลวสีเหลืองเหลืออยู่ครึ่งค่อนขวด ดูจากสภาพฝุ่นจับแล้ว...บอกได้เลยว่าคงจะมีราคาไม่เกินหนึ่งเหรียญทองเป็นแน่
“มันเป็นสุราราคาสามสิบเหรียญทอง...”
รอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปากของซาจิทาเรียสเมื่อเห็นท่าทางชะงักเล็กน้อยขององครักษ์หนุ่มซึ่งไม่ได้หาดูได้ง่ายนักจากคนที่ปกติสวมหน้ากากเยือกเย็นอยู่เสมอเช่นนี้
“...กระทั่งสุราเก่า ๆ แค่นี้ยังมีราคาสูงเพียงนี้ ไม่ต้องเดาเลยว่าข้าวของอื่น ๆ ราคาคงจะเพิ่มสูงไม่ต่ำกว่าห้าหรือหกเท่าแน่ ๆ”
“บอกเจ้าชายเบลาสหรือยัง”
“บอกไปแล้ว” หญิงสาวตอบ ถอนหายใจเบาแสนเบา “แต่คงช่วยอะไรไม่ได้มากหรอก...เรื่องแบบนี้ ทางราชสำนักเองใช่ว่าก้าวก่ายได้มากมายเสียเมื่อไหร่”
“ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย” รีเฟย์ตอบเรียบ ๆ ขยับขวดเหล้าฝุ่นจับไปอีกทาง “แต่สีหน้าเจ้า...เหมือนไม่ได้มีเรื่องแค่นี้นี่นา ?”
ดวงเนตรสีดุจผืนทะเลสาบยามต้องประกายแสงอาทิตย์นั้นเบือนขึ้นจากถ้วยชาหอม ๆ นั้นเล็กน้อย คิ้วเรียวเลิกขึ้น
“อะไรทำให้เจ้าคิดอย่างนั้น ?”
“เจ้าคิดว่า...ข้ารู้จักเจ้ามากี่ปีกัน ?” ถ้อยย้อนถามเยือกเย็น ทว่าในความหมายของมัน...กลับเจือความห่วงใยลึกซึ้ง
...ลึกซึ้งเสียจนทำให้เจ้าหญิงยิ้มน้อย ๆ ออกมา...
“นั่นสินะ...ราว ๆ สิบ ไม่สิ...สิบสามปีได้กระมัง”
“สิบสามปีครึ่ง” ชายหนุ่มแก้แทน
...สิบสามปีครึ่ง...ที่เขาได้มาอยู่ข้างกายของหญิงสาวผู้นี้...
...อยู่เพียงข้างกาย...แต่ไม่เคยได้กร้ำกรายเข้าไปถึงในหัวใจนางแม้เพียงส่วนเสี้ยว...
...ทั้ง ๆ ที่...ในหัวใจเขา...มันไม่มีที่หลงเหลือให้สิ่งอื่นใดนอกเหนือจากนางเลยแท้ ๆ
ซาจิทาเรียสระบายลมหายใจออกมาช้า ๆ
“สิบสามปีเชียวหรือ...” คำกล่าวที่ไม่ดูคล้ายคำถาม ชายหนุ่มจึงใช้ความเงียบงันเป็นคำตอบ
“...นั่นสินะ สิบสามปี เปลี่ยนเจ้าจากเด็กบ้าหนังสือให้กลายเป็นพ่อมดอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน เปลี่ยนข้าจากเด็กหญิงที่ดีแต่ชวนทะเลาะมาเป็นธิดาแห่งชัยชนะ...และเปลี่ยน...”
สายตานางคล้ายว่าจมดิ่งลึก มีเพียงรอยยิ้มประดับมุมปากน้อย ๆ เท่านั้นที่แต่งแต้มบนใบหน้า...บ่งบอกร่องรอยอารมณ์อันเดียวที่คงเหลือไว้
รอยยิ้ม...หวานชื่น ขมขื่น...รวดร้าว...
...อดีต...มิใช่สิ่งที่ควรนึกถึงด้วยความรู้สึกอยากให้หวนคืน...
...มันเป็นสิ่งที่ควรรำลึกด้วยความอาวรณ์เพียงแค่นั้น...
นางรู้ดีแก่ใจ...เพราะไม่ว่าด้วยพลังอำนาจใด ๆ ทั้งที่มีอยู่ในตัวนางหรือในโลกหล้า...ก็ไม่มีทางหวนมันคืนกลับมาได้ แม้เพียงเศษเสี้ยวของพริบตา
...ทว่า...บางคราว...มันก็ชวนให้หัวใจหวั่นไหว...
“...คนขี้แกล้งบางคน ให้กลายเป็นพระราชา...”
ทุกสิ่งทุกอย่าง...จมดิ่งลงสู่ความเงียบ
อึดใจ ก่อนที่เจ้าหญิงจะเงยหน้าขึ้นจากถ้วยชา
“ขอบคุณสำหรับชา...เจ้าไปทำงานต่อเถอะ ข้าอยากจะอยู่คนเดียวสักพัก”
รีเฟย์เลิกคิ้ว มองหญิงสาวอย่างเป็นห่วงเพียงชั่วครู่ ก่อนที่จะพยักหน้ารับแล้วถอยออกไปจากกระโจม
แต่กลับถูกรั้งด้วยคำ ๆ หนึ่งเสียก่อน
“รีเฟย์...คนแถบนี้น่ะ มีพวกที่มีดวงตากับเส้นผมสีดำหรือเปล่า ?”
คำถามที่ทำให้องครักษ์หนุ่มชะงักไปเล็กน้อย เขาใช้เวลาครุ่นคิดเพียงแค่ชั่วนาที
“ไม่นี่...คนทางเหนือจากที่นี่ขึ้นไปผมทองหรือไม่ก็ผมเงิน ดวงตาก็เป็นสีเขียวหรือไม่ก็สีฟ้า คนลักษณะอย่างเจ้าว่า...จะมีก็คงอยู่ในแถบเลเธนส์ลงไปจนถึงวิส” คิ้วเรียวของรีเฟย์เลิกขึ้นอีกหน่อย ก่อนจะย้อนด้วยคำถาม
“มีอะไรหรือ ?”
“อืม...” หัวคิ้วของเจ้าหญิงแห่งอีริออสเริ่มเคลื่อนเข้าชนกันช้า ๆ “...ถ้าอย่างนั้น แล้วราชบัณฑิตในดาเรนนี่ล่ะ ? เจ้าพอจะรู้เรื่องของพวกเขาบ้างไหม ?”
“ดาเรนมีราชบัณฑิตทั้งหมดสี่สิบเจ็ดคน ถ้าข้าจำไม่ผิดหรือไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นในช่วงห้าเดือนที่ผ่านมานี้”
“ในจำนวนนั้น...มีใครที่มีผู้ติดตามจากทางใต้ หรือว่ากำลังเดินทางอยู่หรือเปล่า”
คราวนี้ คิ้วเข้มของชายหนุ่มแทบจะกลืนหายไปกับไรผม
“เท่าที่ข้าจำได้ ราชบัณฑิตอายุน้อยที่สุดอายุหกสิบสามแล้วนะ เจ้าคิดว่าจะมีใครในนั้นออกเดินทางอีกไหมล่ะ ?”
ถ้อยตอบที่ทำให้หญิงสาวกะพริบตาปริบสองสามทีขณะที่รีเฟย์เดินออกไปจากห้องด้วยสีหน้าที่ยังคงไม่เข้าใจอยู่เล็กน้อย
...หมายความว่ายังไง ?
ชายคนนั้นโกหกนางหรือ ?
...เขาจะโกหกนางทำไม ? หรือไม่สามารถบอกฐานะจริง ๆ ให้ใครรับรู้ได้ ?
ถ้าอย่างนั้น...เขามาอยู่ที่นี่ทำไม
แล้วยิ่งกว่านั้น...ทางดาบแบบนั้น...
ซาจิทาเรียสยกมือขึ้นคลึงหว่างคิ้วเบา ๆ อย่างใช้ความคิด
...เขาเป็นใครกันนะ ?
100 จนได้นะเออ แหะ ๆ
เมื่อวันก่อน วันก่อนและวันก่อน ๆ ข้าน้อยได้ไปงานหนังสือมา อิอิ...มีใครได้ไปเจอกันบ้างรึเปล่าเอ่ย ?
(แต่มีเฉพาะวันที่ 29 เท่านั้นแหละที่เข้าไปที่บู้ธ PC แหะ ๆ)
สำหรับเรื่องซาจิทาเรียสนี้คาดว่าจะออกในงานหนังสือคมนี้นะเจ้าคะ (เฉพาะเล่ม 1 น้า) ถ้ามีข่าวคราวยังไงเดี๋ยวจะมาคอนเฟิร์มอีกที (ถึงจะไม่ใช่หมอกฤษฎ์แต่ก็จะคอนเฟิร์ม 555+)
*T* Bear*M* bear
ความคิดเห็น