ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Sagittarius : ดวงดาวอธิษฐาน

    ลำดับตอนที่ #2 : ปฐมบท คำอธิษฐานที่ 1 : เจ้าหญิงแห่งอีริออส (จบตอนแล้วเน้อ!!)

    • อัปเดตล่าสุด 23 มี.ค. 52


                แสงแดดยามสายอาบไล้อย่างนุ่มนวลลงบนพระราชวังสีขาวแห่งอีริออส  สิ่งก่อสร้างที่ได้ชื่อว่างดงามที่สุดในนครแห่งนี้

                อีริออสเป็นหนึ่งในนครจำนวนมากที่ตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเลเธ  ฝั่งของแผ่นดินแห่งแสง

                แผ่นดินผืนนี้ถูกผ่าแบ่งครึ่งออกเป็นสองซีกตั้งแต่เมื่อใดไม่อาจทราบได้   ฟากฝั่งตะวันออกนั้นคือที่ตั้งแคว้นต่าง ๆ ของนครแห่งแสง  โดยทั้งหมดนี้ล้วนขึ้นตรงต่อเมืองหลวงซานเกเบียซึ่งเป็นจุดศูนย์รวมอำนาจทั้งมวลของแผ่นดินแห่งนี้

                ส่วนอีกฟากด้านตะวันตกซึ่งถูกคั่นไว้ด้วยแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์เลเธคือดินแดนแห่งความมืด  ซึ่งประกอบด้วยแคว้นอีกมากมาย    ทั้งหมดขึ้นตรงต่อเมืองหลวงเอเวียส

                ปัจจุบัน  นครซานเกเบียแห่งแสงมีกษัตริย์ชาออสผู้ได้รับสมญาเป็นถึงปราชญ์แห่งแสงปกครอง  ส่วนฝั่งความมืดนั้นก็อยู่ใต้อำนาจของกษัตริย์คาซัสแห่งเอเวียส

                ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตาม   แต่แผ่นดินทั้งสองฝ่ายก็ทำสงครามกัน

                ทำมานานแล้ว...และไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงง่าย ๆ

                ถึงแม้วันนี้จะสงบ  แต่ก็เป็นเพียงความสงบแสนสั้น

                ไม่นาน...สงครามก็จะเริ่มขึ้นอีก   และอีกครั้ง...ที่หลายชีวิตต้องจากไป...

                เช่นเดียวกับที่เคยเป็น...

     

                แสงสว่างจัดจ้าของดวงอาทิตย์สาดลอดเข้ามาผ่านบานหน้าต่างกระจกบานใหญ่  ก่อนจะฉาบทาบลงบนกระดานสีขาวสลับดำในห้อง ๆ หนึ่งภายในพระราชวังแห่งอีริออส

                รอบ ๆ นั้นคือชั้นวางหนังสือมากมาย  มีทั้งที่ปกหนังถลอกดูคร่ำคร่า  และที่ดูใหม่เอี่ยม  แผนที่ทางการทหารขนาดใหญ่กางอยู่เหนือขึ้นไป  ถัดออกมาคือโต๊ะไม้สีเข้มใหญ่มหึมาที่ตอนนี้ถูกจับจองเอาไว้ด้วยเอกสารกองมโหฬาร  บนเพดานสูงเหนือหัวนั้นถูกวาดเป็นภาพของแผนที่ทางดาราศาสตร์   นอกจากนี้...ในห้องยังมีเตียงไม้สี่เสาหลังหนึ่ง

                หากเป็นผู้ไม่รู้จักคนที่อาศัยอยู่ที่นี่...คงจะเดาลักษณะของผู้อยู่อาศัยว่าน่าจะเป็นราชบัณฑิตอาวุโส  แม่ทัพ  หรือไม่ก็จอมเวทย์ผู้รอบรู้เป็นแน่แท้

                ใครเล่าจะเดาได้ว่า...ผู้อยู่อาศัยในนี้จะเป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่ง

                และตอนนี้   หญิงสาวคนที่ว่าก็กำลังนั่งเหนือกระดานหมากรุกสีขาวดำข้างหน้าต่าง   สีหน้าดูครุ่นคิด

                หากผู้ใดได้พบหน้านาง...คงจะไม่มีทางลืมใบหน้านี้ได้เลยตลอดชีวิต

                แม้ขณะที่คิ้วเรียวได้รูปนั้นกำลังขมวดมุ่นเข้าหากันน้อย ๆ นั้น   ใบหน้าของนางก็ยังคงงดงามดุจเทพธิดาในตำนาน   ดวงตากลมโตสีฟ้าคล้ายสีของมหาสมุทรล้ำลึกยากจะหยั่งยามต้องแสงอาทิตย์เป็นประกาย  จมูกโด่ง  ริมฝีปากชมพูเรื่อเม้มเข้าหากันยามใช้ความคิดเช่นนี้   เส้นผมสีทองยาวคล้ายไหมทองละเอียดนั้นหยักศกน้อย ๆ และถูกปล่อยสยายยาวถึงเอว   ร่างของหญิงสาวอยู่ในชุดสีขาวสะอาด...ยิ่งขับให้นางดูคล้ายเทพธิดามากยิ่งขึ้น

                แกร๊ก!!

                มือขาวเอื้อมออกจับตัวหมากสีดำเดินไปด้านหน้าช้า ๆ   คล้ายว่าไม่แน่ใจอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้

                แกร๊ก!!

                นางเอื้อมออกไปจับหมากขาวที่อยู่ใกล้ที่สุดก่อนจะวางลงบนกระดานอีกช่องหนึ่ง

                “ล่อแหลม...ล่อแหลมจริง ๆ” หญิงสาวพึมพำ   ดวงตาจับมองกระดาน   สถานการณ์ของหมากดำกำลังย่ำแย่   นางจึงเอ่ยออกมาเช่นนี้

                “อืม”

                แกร๊ก!!

                หมากดำอีกตัวถูกวางลง

                “ข้าไม่ค่อยแน่ใจว่าได้ยินเจ้าเคาะประตูแล้ว...รีเฟย์”

                คำเอ่ยเบา ๆ โดยที่ดวงตายังไม่ละจากกระดานหมากรุก   เบื้องหลังของหญิงสาวคือชายหนุ่มผู้หนึ่ง...เขาผู้มีผิวขาวจัดอย่างคนเหนือ   เส้นผมสีเงินยาวถูกรวบด้วยเส้นไหมสีดำสนิท   ดวงตาสีทองอำพัน...เยือกเย็น   เป็นประกายวาวคล้ายว่าจะมองทะลุได้ทุกสิ่งทุกอย่าง   ใบหน้าเข้มนั้นมักจะเรียบเฉยเป็นประจำ   เขาอยู่ในเครื่องแต่งกายสีขาวตามระเบียบขององครักษ์ทุกประการ

                “ข้าคิดว่าข้าเคาะไปแล้ว  ดูท่าเจ้าจะไม่ได้ยิน”

                “งั้นหรือ ?” หญิงสาวเลิกคิ้ว  

                “ถ้าจะมารายงานเรื่องการประชุมสภาขุนนางล่ะก็   ไม่ต้องเล่านะ...ข้าไม่อยากฟัง”

                “ไม่ใช่” สีหน้าและน้ำเสียงของชายหนุ่มนามรีเฟย์เจือแววกังวลเล็กน้อย  แต่ดูท่าว่าหญิงสาวจะจับสังเกตได้  นางจึงละสายตาจากกระดานหมากมามอง

                “อะไร ? เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ ?”

                “มีรายงานด่วนมา   จากนครดาเรน...” เสียงขององครักษ์หนุ่มเข้มขึ้น

                ดวงตาสีฟ้าอ่อนของหญิงสาวหรี่ลงเล็กน้อยอย่างสงสัย  ก่อนจะแปรเป็นเบิกกว้างเมื่อได้ยินคำพูดต่อมา

                “...มีกองทัพจากเอเวียสบุกเข้ามาทางดาเรน  คาดว่าข้ามแม่น้ำเลเธเมื่อวานนี้  อีกเดี๋ยว...เจ้าชายเบลาสแห่งดาเรนจะเสด็จมาที่นี่  เพื่อ...มาหาเจ้า  ซาจิทาเรียส”

                คำเอ่ยที่ทำให้ดวงตาสีฟ้าสดคู่นั้นเบิกขึ้นอีกเล็กน้อย  ก่อนแปรเป็นหรี่ลงอย่างรวดเร็ว

                “อีกนานเท่าไหร่ ?”

                “เจ้าชายเบลาสเสด็จมาด้วยประตูมิติ   ไม่เกินครึ่งชั่วยามคงจะถึง”

                “อืม”

                หญิงสาวผู้มีนามว่าซาจิทาเรียสพยักหน้ารับนิดหนึ่ง  สีหน้าครุ่นคิดไม่อาจบอกได้ว่าในดวงตาคมคู่นั้นมีความคิดอะไรไหลเวียนอยู่  แต่ในที่สุด...นางก็หันกลับไปยังกระดานหมากรุกสีขาวดำอีกครั้ง  เป็นเชิงบอกให้ชายหนุ่มผู้บุกรุกเข้ามารู้ว่า...ควรจะออกไปได้แล้ว

                นัยน์ตาสีเหลืองอำพันของบุรุษหนุ่มจับมองด้านหลังของหญิงสาวครู่หนึ่ง...

                ...แววตา...เปลี่ยนไปโดยฉับพลัน...

                กับแผ่นหลังของนาง...เขาไม่จำเป็นจะต้องปิดบังสิ่งใด   เขา...สามารถแสดงความรู้สึกใด ๆ ได้ตามที่ใจต้องการ

                ...นางไม่จำเป็นต้องรู้หรอก...

                ...นางยังมีสิ่งที่สำคัญกว่าต้องทำอีกมากมาย...

                ไม่สมควร...ต้องใส่ใจเรื่องเล็กน้อยอย่างเขา...

                ใบหน้าของชายหนุ่มผู้เยือกเย็นอยู่เสมอฉายแววห่วงใยลึกซึ้งขึ้น  เพียงชั่วครู่...ก่อนที่เขาจะโค้งคำนับแล้วถอยออกจากห้องนั้นไป

                ทิ้งไว้แต่หญิงสาวในชุดขาวเพียงคนเดียว...

                แกร๊ก!!

                ตัวหมากยังคงเคลื่อนไปในกระดานสี่เหลี่ยม

                ริมฝีปากของหญิงสาวยกขึ้น...เป็นมุมคล้ายรอยยิ้ม  ทว่ากลับเจือด้วยรอยหยันบาง ๆ...

                ...ไม่แน่บางที...

                ...อาจเป็นครั้งนี้ก็ได้...

                ...อาจเป็นครั้งนี้...ที่จะได้พบกับคน ๆ นั้น...

                ...คนที่หัวใจนาง...ไม่มีวันยอมยกโทษให้ชั่วชีวิต...

                ซาจิทาเรียสลุกขึ้นจากเก้าอี้  กระโปรงสีขาวสะอาดพลิ้วไหวน้อย ๆ ยามนางเคลื่อนไหว  ใบหน้าขาวนวลเบือนไปจากกระดานหมากรุก

                ตั้งแต่วันนั้น...เมื่อสองปีที่แล้ว...

                ...นางไม่เคย...มีชีวิตเหลือให้กับอะไรอีกเลย...

                ...นอกจากความแค้นนี้...

                ร่างบางหันหลังให้กับกระดานสีขาวสลับดำ...

                ...บนกระดานนั้น...หมากสีขาวไล่ต้อนหมากดำจนมุมไปแล้ว...

                รุกฆาต!!

               

               
    ซาจิทาเรียส...เป็นนามแห่งดวงดาว

                ดาวนั้นจะปรากฏทางฟ้าด้านตะวันออกแทบจะพร้อม ๆ กับดวงตะวันในยามฟ้าสาง

                ...คนฝั่งแสงเชื่อกันว่า...มันเป็นดวงดาวนำทางให้แก่ผู้ไร้หนทาง เป็นแสงสว่างยามสิ้นหวัง...

                ...ซาจิทาเรียส...เป็นชื่อของเจ้าหญิงองค์หนึ่งในอีริออส...     

                ฝีเท้าเบากริบเหยียบย่างลงบนพื้นหินอ่อน  แสงแดดสาดจ้า  เงาของเสาสีขาวทรงสวยที่ตั้งเรียงรายเป็นแถวอย่างน่าชมทอดลงบนพื้น   เลยจากแถวของเสาสีขาวออกไปคืออุทยานที่ถูกตกแต่งอย่างลงตัว  นกสีสดตัวเล็ก ๆ บินหยอกล้อกันตามพุ่มไม้  สายลมพัดเอื่อยพาเอากลิ่นของดอกกุหลาบที่เลื้อยพันกำแพงอีกฟากของสวนต้องร่างบางอย่างอ่อนโยน  เส้นผมและชุดกระโปรงพลิ้วไหวน้อย ๆ ไปตามแรงลม

                ที่ผนังอีกข้างประดับด้วยธงสีน้ำเงินเข้มเดินลายทองรูปพระอาทิตย์แห่งอีริออสดูสวยสง่าคู่กับธงสีเขียวปักตรามังกรสามหัวแห่งดาเรน

                ที่นี่คือระเบียงทางเดินเขตพระราชฐานชั้นในภายในพระราชวังหลวงของนครอีริออส

                ที่ปลายสุดทางนั้นทอดไปสู่เรือนขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในบริเวณอุทยานหลวง  บนเรือนหลังน้อยสีขาวนั้นบัดนี้ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายทว่าสูงศักดิ์  รอบ ๆ นั้นเต็มไปด้วยทหารองครักษ์ในชุดสีขาวสะอาด

                เมื่อหญิงสาวก้าวผ่าน  เสียงขานก็ดังขึ้น

                “เจ้าหญิงซาจิทาเรียส  ดอว์เรเน่เสด็จมาพะย่ะค่ะ”

                ดวงตาสองคู่บนเรือนน้อยหันมามองที่หญิงสาวพร้อมกัน  ผู้ถูกเรียกขานนามว่าเจ้าหญิงยอบตัวลงเล็กน้อย

                “ซาจิทาเรียสมาแล้วเจ้าค่ะ”

                บนเรือนนั้นมีบุรุษอยู่สองคน

                คนแรกนั้นมากวัยกว่า  ทว่ารูปร่างสูงยังคงเค้าองอาจของวัยหนุ่มเอาไว้เกือบจะสมบูรณ์  ดวงตาสีเขียวทอประกายสดใสและรอบรู้ราวกับเจ้าของดวงตายังเป็นเด็กหนุ่มก็ไม่ปาน  ใบหน้านั้นมีรอยแย้มยิ้มด้วยท่าทางสบาย ๆ ไร้กังวลใด ๆ

                หลาย ๆ อย่างในตัวของบุรุษผู้นี้...คล้ายกับหญิงสาวนามซาจิทาเรียสราวกับลอกแบบกันมา

                บุรุษผู้นี้คือองค์ราชาครีลิคัสแห่งอีริออส  และเป็นบิดาของหญิงสาวอีกด้วย

                กษัตริย์แห่งนครอีริออสนั้นขึ้นชื่อลือชาในเรื่องการรบมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังทรงเป็นเจ้าชาย  หลังจากทรงอภิเษกกับเจ้าหญิงเวเน่...หลานสาวของกษัตริย์ชาออสผู้ปกครองนครซานเกเบียและมีพระธิดาแล้ว  ก็ทรงประกาศวางมือจากสงครามและหันมาทุ่มเทให้กับพระธิดาแทน  และยิ่งเมื่อราชินีของพระองค์สิ้นพระชนม์ตั้งแต่เจ้าหญิงน้อยยังเด็กด้วยแล้ว  ทำให้ราชาแห่งอีริออสยิ่งรู้สึกเป็นหน้าที่ที่จะต้องดูแลพระธิดาไม่ได้ขาดตกบกพร่อง

                ส่วนบุรุษอีกคนอ่อนวัยกว่า  ร่างสูงอยู่ในเครื่องแต่งกายสีดำตามแบบของราชนิกูลแห่งดาเรน  ใบหน้าคมกร้านนั้นมักประดับไปด้วยรอยยิ้มรื่นเริงใจเสมอ ๆ

                ท่านผู้นี้คือ เจ้าชายเบลาสแห่งดาเรน

                เจ้าชายเบลาสแห่งดาเรนนั้นมีศักดิ์เป็นญาติห่าง ๆ ขององค์ราชินีเวเน่ผู้ซึ่งเป็นเสด็จแม่ของซาจิทาเรียส  และเจ้าชายเองก็เสด็จมาพำนักที่อีริออสเป็นการส่วนตัวบ่อย ๆ ทำให้รู้จักสนิทสนมกับซาจิทาเรียสเป็นอย่างดีทีเดียว

                “กำลังรออยู่เลย...ซาจิทาเรียส”

                ผู้เอ่ยปากก่อนคือราชาแห่งอีริออส  ราชาครีลิคัสแย้มสรวลกว้าง

                “ขออภัยที่ทำให้รอนานนะเจ้าคะท่านพ่อ” ผู้เป็นธิดาตอบกลับด้วยรอยยิ้ม  ก่อนจะนั่งลงตรงเก้าอี้ที่ยังเหลืออยู่

                “ท่านอาเองก็สบายดีหรือเจ้าคะ ? ไม่ส่งข่าวมาเป็นนานทีเดียว”

                “ฮ่ะ ๆ...ข้าเองก็สบายดีน่ะแหละ  เพียงแต่ว่าช่วงนี้งานทางดาเรนยุ่งยากนิดหน่อยก็เลยไม่ค่อยได้ส่งข่าว”

                “ว่าแต่...รีเฟย์บอกข้าว่ามีศึกทางดาเรน ?” ซาจิทาเรียสเปรยขึ้น 

                บรรยากาศเคร่งเครียดขึ้นโดยฉับพลัน  ทว่า...บุรุษสูงศักดิ์ทั้งสองคนยังคงรอยยิ้มบาง ๆ เอาไว้ได้ราวกับไม่รู้สึกอะไร

                “อันที่จริง  ข้าคิดว่าเจ้าอาจจะกำลังเบื่อ...ก็เลยจะมาชวนไปดาเรนด้วยกันสักหน่อยน่ะ”

                ราวกับรู้หน้าที่  เหล่าทหารองครักษ์ในชุดขาวต่างถอยห่างจากรัศมีการได้ยินการพูดคุยของคนทั้งสามในเรือนเล็กสีขาวทันที

                “อืม...” เจ้าหญิงแห่งอีริออสเปิดยิ้มขึ้น “...ท่านอาคิดว่าข้าควรจะเอาเสื้อผ้าไปสำหรับกี่วันดีล่ะเจ้าคะ ?”

                “เยอะหน่อยนะ...จะได้ใส่ไม่ซ้ำกัน” เจ้าชายเบลาสตอบกลั้วหัวเราะ

                “แล้ว...เตรียมอะไรไปอีกดีเจ้าคะ ?”

                “เอารีเฟย์ไปด้วยก็ดีนะ...พ่อของเจ้าจะได้อุ่นใจ”

                เจ้าหญิงแห่งอีริออสมีสีหน้าครุ่นคิดนิดหนึ่ง

                “ว่าแต่คราวนี้...ท่านอาจะพาข้าเที่ยวที่ไหนดีล่ะเจ้าคะ ?”

                “มีหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ชานเมืองดาเรนค่อนไปทางเหนือเล็กน้อย  ตอนนี้อากาศกำลังดีเลยล่ะ...แต่อาจจะมีแมลงรบกวนเยอะสักหน่อย”

                “งั้นหรือเจ้าคะ ?” ดวงเนตรกลมโตของซาจิทาเรียสเบิกขึ้นราวกับอัศจรรย์ใจอย่างมาก “แมลงประเภทไหนกันที่อยู่ในอากาศเย็นของทางเหนือได้ ?”

                “แมลงสีดำปีกมันไงล่ะ” เจ้าชายแห่งดาเรนตอบเสียงเรื่อย ๆ “กัดเจ็บซะด้วยนะ...ช่วงนี้กำลังชุมเลยล่ะ”

                “งั้นหรือเจ้าคะ ?” เจ้าหญิงหัวเราะเบา ๆ  ก่อนหันไปหาองค์ราชาครีลิคัสที่นั่งฟังด้วยรอยยิ้มอยู่เป็นนาน “ท่านพ่อ...ทรงอนุญาตให้ข้าไปได้ไหมเจ้าคะ ?”

                “อืม...แต่อย่างที่เจ้าชายเบลาสว่า  ต้องเอารีเฟย์ไปด้วยนะ”

                “ก็ได้เจ้าค่ะ” หญิงสาวพยักหน้านิดหนึ่ง  สีหน้าไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่แต่ก็ยอมรับแต่โดยดี “งั้นข้าจะไปเตรียมตัวก่อนนะเจ้าคะ   แล้วท่านอาจะให้ข้าออกเดินทางเมื่อไหร่ ?”

                “เร็วเท่าที่จะเป็นไปได้  เราจะไม่ใช้ประตูมิตินะซาจิทาเรียส...เพราะพวกแมลงอาจจะรู้สึกได้ว่าเรากำลังจะไป” เจ้าชายแห่งดาเรนหลิ่วตา

                “เจ้าค่ะ  งั้นข้าขอตัว”

               

                “ว่ายังไง ? เจ้าชายเบลาสทรงตรัสอะไรบ้าง ? ซาจิทาเรียส ?”

                ดวงเนตรสีน้ำทะเลเจิดจ้าของซาจิทาเรียสเหลือบมองชายหนุ่มที่ยืนพิงกำแพงในห้องของนางอยู่

                “ไม่ว่าจะเป็นอะไร...ดูเจ้าไม่อนาทรร้อนใจเอาเสียเลยนะรีเฟย์” เจ้าหญิงแขวะเล็กน้อยให้กับสีหน้าเรียบสนิทขององครักษ์หนุ่ม

                รีเฟย์   เดนาร์...องครักษ์หนุ่มร่างสูงสง่า    เส้นผมสีเงินวาวราวกับเส้นไหมมักจะถูกรวบไว้ง่าย ๆ   และดวงตาสีทองอำพันเยือกเย็นที่สะกดให้ผู้ถูกมองรู้สึกขนลุกได้อย่างน่าประหลาด   ชายหนุ่มอายุมากกว่าเจ้าหญิงราว ๆ หนึ่งปี   โดยปกติ...ชายหนุ่มเป็นคนเงียบขรึม   สุขุมรอบคอบและมีฝีมือจนได้รับการไว้วางใจให้เป็นองครักษ์เจ้าหญิงมาตั้งแต่อายุยังน้อย

                เขา...เห็นหญิงสาวคนนี้มานาน

                นานจนบางครั้ง...ได้รู้อะไรที่คนทั่วไปยากจะได้รับรู้

                อะไร...ที่หญิงสาวคงจะอยากเก็บเอาไว้คนเดียว...ตลอดไป...

                “หากเจ้ายังเฉยได้...คงไม่มีอะไรให้ข้าต้องกังวล” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ  สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลงแม้สักนิด

                “มีแมลงสีดำปีกมันที่หมู่บ้านทางเหนือของดาเรน” เจ้าหญิงตอบ  น้ำเสียงไม่สนใจอะไรเช่นกัน  นางเดินผ่านองครักษ์หนุ่มไปยังโต๊ะหมากรุกด้านหลัง  ค่อย ๆ จัดเรียงตัวหมากบนกระดานเสียใหม่

                “แมลงสีดำ ? ปีกมัน ?” รีเฟย์ทวนคำ

                มันเป็นการพูดถึงสงครามในรูปแบบอ้อม ๆ เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้

                แมลงสีดำปีกมัน...กองทัพฝ่ายความมืดติดอาวุธครบมือ

                “ท่านอาสั่งให้จัดเสื้อผ้าไปเยอะ ๆ ด้วย  แสดงว่าคราวนี้อาจจะยืดเยื้อ” เจ้าหญิงเสริม

                “งั้นหรือ ?” องครักษ์หนุ่มเลิกคิ้วขึ้น “งั้นข้าจะไปเตรียมของให้นะ...ซาจิทาเรียส”

                รีเฟย์กลับหันหลัง  เขากำลังจะผลักประตูออกไปอยู่แล้ว...

                “รีเฟย์...ข้าถามอะไรหน่อย” เสียงใสเรียกจากด้านหลัง  ชายหนุ่มหยุดนิดหนึ่งเพื่อรอฟังโดยไม่หันกลับไป

                “ในสายตาของเจ้า  ข้า...อ่อนแอรึเปล่า ?”

                มันอาจเป็นชั่วพริบตาหนึ่ง...พริบตาที่หญิงสาวไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดจึงถามคำถามนี้ออกไป  ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลไม่ได้เงยขึ้นจากกระดานหมาก  แต่หัวใจรอฟังคำตอบ

                เจ้าของดวงตาสีอำพันนั้นยิ้มให้กับลายไม้ของประตูอย่างบางเบา

                “ไม่หรอก...”

                ...ไม่หรอก...แต่การที่เจ้าพยายามจะเข้มแข็งขึ้นอยู่เสมอนั้น...รู้ไหมว่าบางครั้งมันทำให้คนอย่างข้าต้องเจ็บปวด ?

                ...ไม่หรอก...เพราะเจ้าเข้มแข็งขึ้นด้วยตัวเองมามากมายขนาดนี้แล้ว...

                ...ข้าสิ...ที่เฝ้ามองเจ้าโดยไม่ได้ทำอะไร  น่าจะถูกปรามาสว่าอ่อนแอเสียยิ่งกว่าเจ้าอีก...

                ... เพราะถึงแม้เจ้าจะอ่อนแอกว่านี้เป็นพันเท่า...

                ...ข้าก็จะปกป้องเจ้าเอง!!!

               

                “เบลาส...ข้าคิดว่าเจ้าคงเข้าใจว่าทำไมซาจิทาเรียสถึงอยากจะรบ ?”

                “นางเคยเป็นเจ้าหญิงน้อยจอมยุ่ง...” สีหน้าของเจ้าชายแห่งดาเรนเคร่งขึ้นเล็กน้อย “ตอนนี้  เจ้าหญิงจอมยุ่งคนนั้นหายไปไหนแล้ว ? เหลือแต่หญิงสาวแสนสวยที่ฉลาดเฉลียวและเยือกเย็นอย่างนี้”

                ราชาครีลิคัสกุมขมับเล็กน้อย

                พระองค์ผู้เป็นบิดาหรือจะไม่รู้ในสิ่งที่เจ้าชายเบลาสกล่าวมา

                “นางเจอเรื่องร้ายมามาก...ในฐานะที่ข้าเป็นพ่อ  รู้สึกโกรธตัวเองเหลือเกินที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย”

                “ไม่ใช่ความผิดของท่านหรอก” เจ้าชายเบลาสยิ้มเล็กน้อย “ถึงจะไม่มีเจ้าหญิงน้อยจอมยุ่งแล้ว  แต่...หญิงสาวแสนเยือกเย็นคนนี้ก็มีเส้นทางของตัวเอง  เส้นทางที่นางคิดจะเดินให้สุดทางด้วยตัวเองคนเดียวจริง ๆ”

                “ข้าไม่อยากให้นางเป็นอย่างนี้ตลอดไปหรอกนะ” องค์ราชาครีลิคัสเปรยเบา ๆ

                “ข้าเอง...ก็อยากให้นางกลับมาเป็นเช่นเจ้าหญิงคนอื่น ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องแบกรับเรื่องที่หนักหนาเช่นนี้เหมือนกัน”

                “ธิดาแห่งชัยชนะ...” ราชาแห่งอีริออสถอนพระทัย “...จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าทำไมนางถึงอยากชนะเพียงนั้น”

                ตั้งแต่เหตุการณ์นั้น...เหตุการณ์ที่ทำให้เจ้าหญิงแห่งอีริออสเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนในชั่วข้ามคืน

                นางเข้าควบคุมกองทัพที่สูญเสียแม่ทัพ  บัญชาการอย่างเด็ดขาด...ออกคำสั่งฉะฉานราวบุรุษ  ไล่ต้อนกองทัพความมืดที่กำลังจะรุกล้ำดินแดนแห่งแสงสว่างถอยร่นกลับไปได้อย่างปาฎิหาริย์

                ...พลิกสถานการณ์ที่กำลังจะพ่ายแพ้ให้กลับมาเป็นเสมอได้ในชั่วพริบตา...

                ตั้งแต่นั้น  ผู้คนต่างขนานนามนางในฐานะธิดาแห่งชัยชนะ 

                ซาจิทาเรียสให้ความร่วมมือกับอาณาจักรอื่น ๆ ทั้งเป็นความลับบ้างและเปิดเผยบ้าง  วางแผนและแนะแนวทาง...บางครั้งถึงกับเข้าร่วมการรบด้วยตนเอง

                คร่ำเคร่งกับกลศึก  ครุ่นคิดแต่การรบ...

                ...นาง...ไม่เคยมีเวลาให้กับสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากนี้เลย...

                ...เหมือนกับว่า...นางมีทั้งชีวิตเพียงเพื่อสิ่งเหล่านี้เท่านั้น...

                “ข้าจะไปจัดเตรียมรถม้าและแจ้งข่าวไปให้ทางดาเรนได้ทราบ” ในที่สุด  เจ้าชายเบลาสเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นก่อน

                “อืม...ยังไงเจ้าก็ช่วยดูแลลูกสาวข้าด้วยนะ  นางเก่ง...ฉลาดเฉลียวในด้านการวางแผนก็จริง  แต่ในเรื่องมนตราและทางดาบนั้น  ระดับของนางนับว่าไม่ได้เก่งกาจ  อาจป้องกันตัวในสถานการณ์ทั่วไปได้...แต่ในสงครามคงจะไม่ไหว  หากเกิดอะไรขึ้น...” ราชาแห่งอีริออสกล่าว

                “ไม่ต้องห่วงไปหรอก...ท่านครีลิคัส” เจ้าชายแห่งดาเรนยิ้มกว้าง “ข้าต้องดูแลนางสุดใจแน่นอน  เพราะขืนทำลูกสาวท่านเป็นอะไรไป...มีหวัง  ทั้งท่านทั้งองค์ชาออสเล่นงานข้าตายแน่ ๆ”


    จบตอนแล้วจ้า ^ ^

    แหะ ๆ...ต้องบอกว่านิยายรักเรื่องแรกนี่ทำให้เขียนยากมาก ๆ เลย >_< ฝืดเคืองทางความคิดกันสุด ๆ (แล้วจะพยายามเขียนเพื่อ -*-)

    แต่ก็จะสู้ต่อไปนะเจ้าค้า ^ ^v





    Green [ T ]
    *T* bear 
    *M* bear
      
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×