ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    << Kill - in - D >> บริษัทรับจ้างฆ่าไม่จำกัด (เพื่อมหาชน!!)

    ลำดับตอนที่ #6 : เรื่องยุ่งยากนอกแผน (100% จนได้ ^ ^)

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.ย. 50


    5.

    เรื่องยุ่งยากนอกแผน

               

                ว...ว่าไงนะ!!?

                มีคนมา!? มีคนมางั้นหรอ ?

                "ริวเซ  ใจเย็น ๆ   ที่ไหน   แน่ใจนะ ? เป็นยังไง ? สะกดรอยตามมา   เห็นโดยบังเอิญหรือว่ามาดักรออยู่ก่อน   เป็นคนที่มีฝีมือรึเปล่า ?" ฉันวางมือลงบนบ่าของน้องชายทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น   ดูท่าพ่อน้องชายตัวดีจะรู้สึกตัวแล้วเหมือนกันว่าควรทำยังไง   จึงกะพริบตาสองสามครั้งแล้วไหวไหล่เหมือนไม่มีอะไร

                "ห่างไปจากที่นี่ทางตะวันตก  สักห้าสิบเมตรได้   การที่ผมเพิ่มรู้สึกตัวแสดงว่ากลบกลิ่นตัวเองได้ดีพอควร   มีฝีมือ...มาก"

                พ่อน้องชายตัวดีตอบ    คำตอบที่ได้ทำให้ฉันเม้มปากแน่น   แต่พยายามรักษาสีหน้าท่าทางเอาไว้ไม่ให้ผิดสังเกต

                ถ้าหากว่ามีคนมองเราสองคนอยู่ไกล ๆ ล่ะก็  คงจะต้องคิดว่าเราสองคนกำลังคุยกันแบบธรรมดา ๆ  อยู่แน่ ๆ (แต่จริง ๆ ข้างในน่ะเหงื่อแตกพลั่ก ๆ ไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ - -"")

                ถ้าขนาดว่าตาเหยี่ยวอย่างริวเซยังเพิ่งจะสังเกต    แถมยังจับความรู้สึกไม่ได้ก็คงจะไม่ใช่ธรรมดาจริง ๆ    งานนี้คงต้องเก็บอีกรอบแล้วละมั้ง ?  

                "เก็บนะ  ยูเอะ ?" ริวเซหันมาเหมือนจะขอความเห็นจากฉัน    โว้ย!! ทำไมไม่ตัดสินใจเองซะบ้างละยะ!?!

                จะให้มีใครรู้เรื่องของตระกูลซานาดะไม่ได้   ยิ่งเห็นกับตาจะ ๆ    ถึงจะไม่มีหลักฐานก็เถอะ  แม้ว่าตอนนี้เราจะเป็นมิตรกับสันติบาล    ผู้บริหารระดับสูงและนักการเมืองหลายคนก็ใช่ว่าสถานภาพของพวกเราจะมั่นคงซะที่ไหน!? ถ้ามีเรื่องราวขึ้นมาแล้วมีหลักฐานชัด ๆ นี่  คงไม่ต้องคิดเลยว่าจะเกิดอะไรต่อไป (ไหนตอนแรกบอกว่าไม่ผิดกฎหมายไง ? -*-)

                เหงื่อเริ่มซึมออกมาจากฝ่ามือของฉัน

                ว้าโว้ย!! การตัดสินใจทำไมมันยากขนาดนี้!!?

                "ริวเซ  แกมีอะไรมากับตัวบ้าง ?" ฉันเริ่มหันไปขอข้อมูลประกอบการตัดสินใจจากน้องชายตัวดี

                "มีไรเฟิล  ปืนสั้นอีกกระบอก   แต่ไม่ได้พกกระสุนสำรองมาด้วย   แล้วก็มีดสั้น   กับ..." น้องชายของฉันยิ้มหวานแล้วชี้ไปที่หน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง           

                "หัวใจที่เปี่ยมความกล้าหาญ"

                ผัวะ!!

                ฉันซัดเจ้า 'หัวใจที่เปี่ยมความกล้าหาญ' นั่นไปซะหนึ่งที   สถานการณ์คับขันยังมีหน้ามาเล่นมุขตลกอีกนะ  ไอ้คุณริวเซ!!

                "ของฉันมีเจ้าหญิง" ฉันพยักเพยิดไปที่ทวนในมือ "ปืนก็ไม่ได้พกมา   มีดาบสั้นอีกเล่มนึง   พอฉันให้สัญญาณ   เราลุย...แกใช้ปืนพกแล้วกัน"

                ฉันตัดสินใจ   เพราะไรเฟิลจะดีก็ต่อเมื่อเราเป็นฝ่ายดักรอเท่านั้น   ในสถานการณ์คับขัน   ปืนพกน่าจะคล่องตัวมากกว่า

                น้องชายของฉันพยักหน้าน้อย ๆ เป็นเชิงตกลง

                พูดกันตามตรง   การที่มีริวเซอยู่ทำให้ฉันเบาใจลงไปได้มากเลยเชียวล่ะ

                ถึงจะดูกวน ๆ และอายุแค่นี้เอง   แต่ไอ้เจ้าริวเซนี่ก็โดนจับฝึกโหดมาพอ ๆ กับฉัน    แถมยังผ่านสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาไม่ต่างกัน 

                การที่มีคนที่ไว้ใจได้อยู่ข้าง ๆ นี่มันให้ความรู้สึกปลอดภัยจริง ๆ นะ ^ ^

                "เออ...ป้า" ริวเซหันมาถาม "ว่าแต่  ป้าจะไหวเร้อ ? ทางโน้นไม่ใช่พวกไร้ฝีมือแน่ ๆ    ให้ผมจัดการคนเดียวเถอะนะป้า!!"

                หนอย!! ฉันขอถอนคำพูดเมื่อกี้ทั้งหมดเลย!!! ไอ้คุณริวเซ!!

                "หุบปาก!!" ฉันเค้นเสียงลอดไรฟัน "นับถึงสาม...ลุยเลย   ถ้าแกไปถึงช้ากว่าฉัน  ฉันเอาแกตายแน่   สาม!!"

                วูบ!!

                พวกเราสองคนพุ่งตัวเข้าหาแขกผู้ไม่ได้รับเชิญพร้อมกัน   เร็วจนภาพรอบตัวกลายเป็นเส้นสีที่ดูมัว ๆ

                ห้าสิบเมตร  สามสิบเมตร    เอาล่ะ!! ตอนนี้ฉันเริ่มมองเห็นเจ้าคนที่ริวเซว่าเป็นเงา ๆ แล้ว   แต่เพราะมันมืดและเจ้าคนนั้นยืนอยู่ในมุมอับแสงไฟด้วยละมั้งทำให้มองแทบไม่เห็นรายละเอียดอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

                ยี่สิบเมตร...สิบเมตร

                ฉันเห็นริวเซวิ่งมาตีคู่กันกับฉัน   ฝีเท้าขนาดนี้ไม่เรียกว่าช้าสักนิด

                ห้าเมตร...

                คน ๆ นั้นยังยืนนิ่งเหมือนกับไม่สนใจอะไร    ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะไม่รู้หรือเพราะมั่นใจในฝีมือของตัวเองสูงเกิน   ถ้าเป็นอย่างหลังก็ต้องเสียใจด้วยละนะ...

                สามเมตร...สองเมตร

                คน ๆ นั้นเป็นผู้ชายร่างสูงในชุดสูทอย่างดีที่ดูเรียบร้อยเป็นบ้า   เหมือนกับลูกคุณหนูอะไรอย่างนั้นเลยล่ะ

                หมอนั่นยืนเอามือล้วงกระเป๋า    นิ่งเหมือนรูปปั้น    ดวงตาอยู่ในเงามืดก็เลยไม่รู้ว่าหันไปทางไหนกันแน่

                หนึ่งเมตร

                "ริวเซ!!"

                ฉันตะโกนใส่น้องชายแสนดีที่ตีคู่กันมา   ริวเซพยักหน้าแล้วดีดตัวถอยหลังโดยฉับไว    ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับคนที่วิ่งมาด้วยความเร็วระดับนี้ที่จะถอยหลังโดยไม่เสียหลัก    ปืนพกถูกชักออกมาในมือทั้งสองข้าง    แล้ว...

                ฟ้าว!! ฟ้าว!! ฟ้าว!!  

                กระสุนสามนัดจากกระบอกปืนเก็บเสียงถูกรัวออกไปยังเป้าหมาย    ร่างของน้องชายฉันถอยหลังไปอีกหน่อยเพราะแรงปืน    แต่หมอนั่นรีบพลิกกลับตัว    ถีบต้นไม้ที่อยู่ใกล้ ๆ แล้วพุ่งเข้าใส่ร่างสูงในชุดสูทนั้นอย่างรวดเร็ว

                หมอนั่นยังเอามือล้วงกระเป๋าอยู่เลยตอนที่กระสุนพุ่งเข้าใส่

                แต่ว่า...

                เคร้ง!! เคร้ง!! เคร้ง!!!~

                เสียงเหมือนกระสุนปืนที่ถูกส่งเข้าใส่จุดตายนั้นกระทบอะไรบางอย่างที่คล้ายกับว่าน่าจะเป็นเหล็ก    มันเร็วมากจนแม้แต่ฉันเองก็มองไม่ทัน  

                เก่งชะมัดหมอนี่!!!

                แต่ฉันก็ไม่ยอมแพ้หรอกนะ!!

                เจ้าหญิงในมือของฉันเงื้อขึ้น    วาดวืด   ร่างในชุดสูทเอี้ยวตัวหลบไปได้อย่างสวยงาม   

                ให้ตายเถอะ!! มันยังไม่เอามือออกจากกระเป๋าด้วยซ้ำ!!!

                นี่คือการหยามหน้ากันอย่างเห็นได้ชัด!!!

                ฟั่บ!! ฟั่บ!! ฟั่บ!!

                ฉันตวัดทวนรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่อยู่ในมือของฉันจะเป็นอาวุธยาวที่ทุกคนล้วนแต่ลงความเห็นว่าใช้ให้รวดเร็วได้ยาก

                จะไม่ให้ใช้ได้อย่างคล่องแคล่วได้ยังไงล่ะ ?  ก็ฉันจับเจ้าหญิงนี่มาตั้งแต่ยังไม่ทันจะเดินด้วยซ้ำ   ตอนนี้...มันแทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายไปแล้ว

                วืด!! วืด!! วืด!!

                ยังคงไม่มีครั้งใดโดนเป้า

                หนอย!! นี่คิดจะให้ฉันเอาจริงหรือไง!!?

                แต่ก่อนที่ฉันจะได้ทำอะไร   ริวเซก็พุ่งเข้ามา  

                ควับ!!

                น้องชายฉันวาดเท้าเตะรัว    ร่างสูงในชุดสูทสีดำก็ยังคงหลบหลีกได้อย่างว่องไวยิ่งกว่าปรอทเสียอีก

                ปืนในมือของริวเซเบี่ยงปากกระบอกวูบ    จากจุดตายไปเล็งเท้าแทน!!

                ก็แหงล่ะ  ในมือยังยิงจุดตายไม่ได้ก็ขอหยุดความเคลื่อนไหวไว้ก่อนแล้วค่อยจัดการทีหลังก็ยังไม่สายนี่เนอะ

                ฟ้าว!! ฟ้าว!!

                กระสุนอีกสองนัดถูกยิงออกไป    ชายลึกลับยืนนิ่งไปชั่วครู่   และ...

                วูบ!!

                เฮ้ย!!!

                ฉันอ้าปากค้าง   

                หมอนั่นมันฟุตเวิร์กสุดยอดมากมายเลยอ่ะ!! เกิดมาเพิ่งเคยเห็นลักษณะการเคลื่อนไหวอย่างนี้เป็นครั้งแรกนะเนี่ย!! เหมือนกับ...

                ...เหมือนกับแตะพื้นด้วยปลายเท้าแล้วเคลื่อนที่ไปอย่างแผ่วเบา    ใช่แล้ว!!

                เหมือนกำลังร่ายรำเลย!!!

                ริวเซทำเสียงจึ๊จ๊ะไม่สบอารมณ์นิดหน่อยที่กระสุนสูญเปล่าไปถึงห้านัดแล้ว (แหงล่ะ...คิดว่าค่ากระสุนมันถูก ๆ รึยังไง ?  นี่ไม่ใช่หนังแอ็กชั่นที่รัวกระสุนได้ทีเป็นลัง ๆ นะ!! -*-) แต่ก็ต้องยอมถอยออกไปหาจังหวะเข้ามาใหม่

                ฉันตวัดทวนถีบตัวจากพื้นอย่างแรง    แล้ว...

                เจอนี่หน่อยเหอะ!!

                วูบ!! วูบ!! วูบ!!!

                ฉันตวัดควงทวนเป็นวงกลมอย่างรวดเร็ว    ก่อนจะจ้วงแทงไม่ยั้ง!!

                ฟ้าว!!! ฟ้าว!!! ฟ้าว!!! ฟ้าว!!!

                เสียงทวนแหวกอากาศดังลั่น   หมอนั่นเอี้ยวตัวหลบ   แต่ว่า...นี่แหละที่ฉันรอคอย!!

                ถึงฆาตแล้ว!!

                ฉัวะ!! ฉัวะ!! ฉัวะ!!!

                สายลมที่เกิดจากทวนที่แหวกอากาศอย่างรวดเร็วนั้นคมแทบจะพอ ๆ กับทวนเลยทีเดียว!! และคมดาบที่มองไม่เห็นพวกนี้ก็หลบได้ยากกว่าคมดาบจริง ๆ เสียด้วย!!

                นี่คือหนึ่งในวิชาลับที่ใช้กับยูกิฮิเมะ...บุปผาเงาศาสตรา!! (ตั้งชื่อซะยาวเชียว..-*-   อ่านะ...คนคิดชื่อคือย่าทวดของฉันเอง   ไม่แปลกที่มันจะฟังดูลิเก ๆ ไปหน่อยเพราะมันตั้งเมื่อหลายสิบปีก่อนโน้นนนนน!!)

                คมดาบลมพุ่งเข้าใส่ร่างในชุดสูทนั่น   ร่างนั้นชะงักกึกไปนิดหนึ่ง

                เหอะ ๆ...คราวนี้ต่อให้ฟุตเวิร์กแจ่มยังไงก็ไม่พ้นแล้วล่ะย่ะ!!

                แต่ว่า...

                วูบ!!

                เฮ้ย!!!

                หมอนั่นมันหายไปซะเฉย ๆ!!

                "ก็ว่าเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือ ?"

                เสียงที่คุ้นเคยเหมือนเคยได้ยินมาจากที่ไหนสักที่ดังเข้ามาในโสต    ริวเซพุ่งตัวกลับเข้าไปอีกครั้ง  

                หมับ!!

                มือที่ถูกชักออกจากกระเป๋าของหมอนั่นคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของน้องชายฉัน   แล้วสอดนิ้วเข้าไปหลังไกปืน   

                เอาว่าตอนนี้  ปืนใช้ไม่ได้แล้วล่ะครับพี่น้อง >O<

                แต่ว่าหมอนั่นก็ขยับไปไหนไม่ได้เหมือนกัน

                "ยูเอะ!! เอาเลย!!!" ริวเซหันมาตะโกน

                เออ...ไม่บอกก็ลุยอยู่แล้วล่ะ!!

                ฉันตวัดทวนอีกครั้ง    คราวนี้เร็วกว่าเก่า

                ทวนพุ่งเข้าไป!!

                ฉืบ!!!

                ไม่จริง!!

                ดวงตาฉันเบิกโตเท่าไข่ห่านแล้วมั้งตอนนี้

                ม...หมอนั่น   หมอนั่นเอานิ้วรับทวนของฉันได้หน้าตาเฉย!!!

                ไม่น่าเชื่อ!! นี่มันอะไรกันเนี่ย!?!~

                คราวนี้เจ้าหญิงของฉันเลยถูกยึดเอาไว้  

                เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นใบหน้าของเขาเต็ม ๆ    และยิ่งทำให้ดวงตาเบิกกว้างเป็นไข่นกกระจอกเทศไปเลย

                "ฝีมือน่ะเก็บเอาไว้ก็ไม่บูดไม่เน่าหรอก  ไม่ต้องเอาออกมาใช้ให้มากนักก็ได้    แล้วฉันก็ไม่ใช่ศัตรู"

                "นี่แก!!!"

                นัยน์ตาสีขี้เถ้าเบื้องหลังกรอบแว่นมองลงมาที่ฉันพอดีเป๊ะ!!

                ไอ้หมอนั่น!! เจ้าคนที่เจอกันเมื่อตอนเย็นวันนั้น!!! เจ้าคนกวนประสาทนั่น!!?

                บัดนี้หน้าหล่อ ๆ นั่นถูกทวนของฉันเฉี่ยวเป็นแผลบาง ๆ ไปนิดหนึ่ง   แว่นนั่นก็เอียงไปนิด   แต่ดูยังไงก็เจ้าตัวกวนประสาทคนเดิมไม่ผิดแน่!!

                แต่มันมาทำอะไรที่นี่!!?

                แล้วยังฝีมือนั่นอีก!?!

                หมอนี่ไม่ใช่คนธรรมดาแน่!!

                บรรยากาศอึดอัดเหมือนจะหายใจไม่ออกอยู่สักนาทีนึงได้มั้ง    แต่เป็นนาทีนึงที่ยาวนานเหมือนสักสิบปีได้    เราสามคนยังไม่มีใครยอมถอยออกเลยแม้แต่คนเดียว   แล้วก็ไม่มีใครพูดจา  

                "ท่านคิทสึเนะ!!"

                เสียงตะโกนที่ทำให้ทุกอย่างสลายวับ     

                มีผู้ชายร่างสูงอีกคนหนึ่งวิ่งทั่ก ๆ หน้าตาตื่นเข้ามา    คน ๆ นั้นสูงกว่าหมอนี่นิดหน่อย   นั่นทำให้ฉันดูเตี้ยไปเลย   และยิ่งริวเซ... -*- ยิ่งดูเป็นคนแคระไปเลยล่ะ (โอ๋ ๆ  น้องชายฉันยิ่งมีปมด้อยเรื่องความสูงอยู่ซะด้วย    อย่าคิดมากไปเลยนะ  เจ้าเตี้ย!! ^[]^ เหอ ๆ )

                "ท่านคิทสึเนะครับ  ออกมาทำอะไรครับ ? นี่จะเริ่มเสิร์ฟอาหารกันแล้วนะครับ" ดูเหมือนเจ้าคนที่มาใหม่จะยังไม่รู้สึกถึงความอึดอัดหรือไม่ก็ลืมสังเกตดูให้ดีว่ารอบ ๆ ตัวของไอ้หมอนี่มีฉันกับริวเซยืนอยู่ตั้งสองตัว...เอ้ย!! สองคน

                "อ๊ะ!!"

                โอ้!! ในที่สุด  ดูเหมือนหมอนั่นจะสังเกตได้สักทีว่ามีใครยืนอยู่ตรงนั้นบ้าง  

                นิ่ง...

                ควับ!!!

                ปืนถูกชักออกมาจากกระเป๋าของผู้มาใหม่ล่าสุด    แต่เด็กหนุ่มนามคิทสึเนะกลับปล่อยเจ้าหญิงของฉันและปืนของริวเซทันควัน   แล้วหันไปส่งสัญญาณเป็นเชิงให้คนมาใหม่ลดปืนลง

                "เก็บปืนเถอะ  ซาโนะ"

                "แต่ว่า...ท่านคิทสึเนะ!! แผลนั่น!!?" โห  หมอนั่นทำตาโตเมื่อเห็นว่าข้างแก้มของชายหนุ่มที่ชื่อคิทสึเนะมีรอยแผลเท่าแมวข่วน   และยิ่งหันมาทำหน้ากินเลือดกินเนื้อใส่ฉันกับริวเซมากขึ้น

                "พวกแกเป็นใคร!!?"

                สงสัยเจ้าสูงโย่งที่มาใหม่ล่าสุดนี่จะเป็นแฟนของเจ้าคนกวนประสาทที่ชื่อคิทสึเนะ -*- ฉันเริ่มจัดระเบียบข้อมูล   มีอย่างรึ  ผู้ชายด้วยกันมานั่งเป็นห่วงเป็นไยกัน    น่าแหวะชะมัด -O-

                "ซาโนะ!!" ชายหนุ่มในชุดสูทที่ขาดวิ่นไปบ้างเป็นหย่อม ๆ กดเสียงหนัก ๆ เหมือนจะปราม "เก็บปืนซะ!!"

                ได้ผลแหะ  แค่หมอนี่สั่งให้เก็บปืนเสียงดุเข้าหน่อย   เจ้าโย่งนั่นก็จ๋อยเชียว  รีบเก็บปืนไปตามระเบียบ

                "เดี๋ยวผมตามไป  กลับเข้าไปหาสูทใหม่ให้ที" ชายหนุ่มจอมกวนคนนั้นหันไปสั่งสั้น ๆ   เจ้าสูงโย่งที่ชื่อซาโนะก็ต้องหันหลังกลับไปทันที   ถึงดูจากท่าทีจะไม่ค่อยเต็มใจนักก็เถอะ

                "แกเป็นใครกันแน่!?"      

                ฉันเริ่มตั้งคำถามกับเจ้าคนเบื้องหน้า

                หมอนั่นเลื่อนแว่นกลับเข้าที่

                "ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะต้องรู้   คนของซานาดะ"

                กรี๊ด!! ม...เมื่อกี้มันเรียกฉันว่าอะไรนะ!!?

                คน...คนของซานาดะหรอ!?!

                นี่...แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร!!? หา!?! คิดว่าฉันเป็นพวกฝีมือลูกกระจ๊อกหรือยังไง!?

                "ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร   บอกแล้วว่าถึงยังไงฉันก็ไม่ใช่ศัตรูของซานาดะหรอก" เด็กหนุ่มพูดต่อเหมือนไม่มีอะไร    เหมือนไม่ได้โดนทั้งทวนทั้งปืนจ่อคอหอยอยู่ในตอนนี้

                "ฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่านายไม่โกหก!!?" เอาฟะ!!  เห็นว่าเป็นคนที่เคยเจอกันมาก่อนนะเนี่ยถึงได้พูดดี ๆ (ขึ้นมาอีกนิดสสสส์นึง) ด้วยเนี่ย

                "ฉันไม่มีสิทธิ์ห้ามไม่ให้เธอไม่เชื่อ" คิทสึเนะตอบเรียบ ๆ    ยกมือดันแว่นกลับเข้าที่

                "แค่จะบอกว่าฉันบังเอิญผ่านทางมาเท่านั้น    ไม่ได้สะกดรอยตามมา"

                "นายเอาอะไรมาพิสูจน์ ?"

                "ไม่มี" เขาตอบง่าย ๆ

                "งั้นทำไมฉันควรปล่อยนายไป!?~"

                "ไม่มีเหตุผล  แต่ถ้าฆ่าฉันไปก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นทั้งสำหรับเธอและสำหรับฉัน" ดวงตาสีขี้เถ้าแปลกตาหลังกรอบแว่นกล่าว

                พูดได้ฉลาดดีนี่หว่า!?!

                "ยูเอะ  ปล่อยเขาไปเถอะ" ริวเซที่ถูกลืมไปชั่วครู่เอ่ยขึ้น "จริงอย่างที่เขาบอก  ถึงจะฆ่าไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา    ยิ่งเป็นคนที่รู้ว่าอยู่ที่ไหนแล้วจะตามไปเก็บก็ง่ายแล้วไม่ใช่หรอ ? อีกอย่าง...ถึงเขาจะเห็นก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี    แล้วผมก็รู้สึกว่าเขาจะไม่บอกใครจริง ๆ ซะด้วย"

                คำพูดที่ทำให้ฉันเหลือบมองน้องชายจอมยุ่งที่อยู่ ๆ ก็ยกเหตุผลขึ้นมาพูดได้เป็นฉาก ๆ ๆ ๆ อย่างชั่งใจนิดหนึ่ง   ก่อนจะยอมลดทวนลง

                "ขอบใจ"

                "นายชื่อคิทสึเนะใช่ไหม ?"

                "ใช่" เขาตอบ

                "ดีมาก  ฉันจะจำชื่อนายไว้" ฉันยิ้มเหี้ยม ๆ "ถ้านายปากโป้งเมื่อไหร่  ฉันจะตามไปปิดปากนายเมื่อนั้น    อย่าคิดว่าจะซ่อนตัวจากฉันได้"

                เออ...ขอแก้เป็น   อย่าคิดว่าจะซ่อนตัวจาก 'พี่ชายแสนดี' ของฉันได้จะถูกต้องกว่านะตรงนี้ - -" เอาเหอะ ๆ   หยวน ๆ แล้วกัน  รักษามาดหน่อยโว้ย!!

                คิทสึเนะไหวไหล่

                "ตามใจ  ฉันไม่มีสิทธิ์ห้าม"

                "ดี" ฉันแสยะยิ้มหวาน ๆ ส่งให้เขาทีหนึ่ง   สำหรับคนอื่น ๆ มันคงเป็นรอยยิ้มมัจจุราชมากกว่ายิ้มหวานนะเนี่ย

                "กลับกันเถอะ    ริวเซ!!"


    ** ** ** ** ** ** ** ** ** ** **

                สองคนนั่นกลับไปแล้ว

                ผมยกมือขึ้นมาแตะที่ข้างแก้มเบา ๆ    มันเจ็บแปลบ ๆ อยู่เหมือนกัน    แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทนไม่ได้

                ต้องยอมรับว่าผู้หญิงคนนั้นฝีมือไม่ธรรมดาจริง ๆ    ดูท่าจะไม่ใช่แค่ชั้นลูกน้องละมั้ง ?

                แต่ว่า...ต้องยอมรับความจริงอยู่ข้อหนึ่ง

                ผมเกลียดนักฆ่า...

                ไม่ว่าจะเป็นนักฆ่าที่ไหนก็เกลียดทั้งนั้น    เรียกว่าเกลียดสุดขั้วหัวใจเลยด้วย...

                ...เป็นเรื่องที่ไม่แย่เท่าไหร่ถ้าไม่จำเป็นต้องข้องเกี่ยวกับพวกนักฆ่ามากนัก...

                ...แต่เป็นเรื่องที่แย่มาก ๆ เมื่อบ้านของผมเองก็ประกอบอาชีพนี้เหมือนกัน...

                เฮ้อ!! สภาพเสื้อดูไม่เหลือชิ้นดีจริง ๆ  สงสัยจะซ่อมไม่ได้แล้ว   คงต้องทิ้งอย่างเดียว

                ผมถอดเสื้อสูทตัวนอกที่ราคาแพงขนาดที่สามารถเอาไปเป็นค่าใช้จ่ายทั้งเดือนของครอบครัวระดับกลาง ๆ ได้อย่างสบาย    แต่บัดนี้มันขาดแหว่งวิ่นไปหมดแล้วเพราะฝีมือของผู้หญิงคนนั้นที่ผมไม่คิดจะถามแม้แต่ชื่อ

                แต่ก็รู้ว่าเป็นซานาดะอยู่แล้ว  เพราะแถบนี้   นอกจากซานาดะแล้วและไม่นับตระกูลของผมจะไม่มีนักฆ่าที่อื่นเข้ามายุ่มย่ามอีก   เพราะมันเป็นข้อตกลงกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ

                ส่วนที่ตระกูลมินาโมโตะต้องบินมาจากคันไซทั้งครอบครัวนั้นคงเป็นกรณีพิเศษที่นาน ๆ จะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง

                ผมเดินออกจากที่ตรงนั้นเข้าสู่แสงไฟสว่างไสวของเมืองหลวง   ร้านค้าต่าง ๆ พากันเปิดอย่างมากมาย    ผู้หญิงหลายคนมองมาทางผมพลางหัวเราะคิกคักแม้ผมจะไม่ได้หันไปมองสักนิด

                สายลมยามดึกของเมืองหลวงที่แออัดคับคั่งไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตายังคงพัดอย่างแผ่วเบา    แสงจากดวงไฟมากมายทำให้ไม่อาจมองเห็นดวงดาวบนฟากฟ้า    เสียงรถราที่สัญจรผ่านไปมายิ่งทำให้ผมรู้สึกรำคาญใจ

                "ท่านคิทสึเนะ!! เร็วหน่อยครับ   อาหารกำลังจะเสริฟ   ตอนนี้ทุกคนมารวมกันพร้อมหมดแล้วนะครับ"

                "รู้แล้ว" ผมตอบกลับไปเรียบ ๆ    มองซาโนะที่รีบกุลีกุจอรับเสื้อสูทตัวเดิมที่ขาดวิ่นไปแล้วหยิบตัวใหม่มาให้ผมแทน

                ซาโนะเป็นคนที่รู้จักผมมาตั้งแต่เด็ก ๆ   จะเรียกว่าสนิทกันเหมือนเป็นพี่ชายแท้ ๆ เลยก็ว่าได้

                ไม่สิ...มากกว่าพี่ชายแท้ ๆ เสียอีก

                ผมตวัดเสื้อคลุมตัว    แล้วเดินผ่านประตูเข้าไปในภัตตาคารหรูแห่งหนึ่ง

                หญิงสาวในชุดกิโมโนสีชมพูอ่อนเดินออกมาต้อนรับอย่างเรียบร้อย    เสียงน้ำจากลำธารเทียมไหลเอื่อย ๆ ดังเข้าโสตแทนเสียงจอแจของท้องถนนด้านนอก   โคมระย้าถูกแขวนประดับรับกับการตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นขนานแท้อย่างลงตัว 

                ผมเดินผ่านผู้คนมากมายที่หันมามองอย่างสนอกสนใจ   ก็คงไม่แปลกเพราะภัตตาคารแห่งนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในหลาย ๆ ธุรกิจของครอบครัวผม

                ตระกูลมินาโมโตะนั้นนอกจากจะเป็นตระกูลนักฆ่าตามที่ตกทอดกันมารุ่นต่อรุ่นตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว   ยังเป็นหนึ่งในตระกูลที่ได้ชื่อว่าร่ำรวยและมีชื่อเสียงมากที่สุดในญี่ปุ่น    ตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัวที่นำหน้าชื่อของผมนั้นมีอำนาจยิ่งกว่าคนบางคนเสียอีก

                ผมเดินเข้าไปด้านในของร้านซึ่งเป็นส่วนที่ถูกจัดเอาไว้เป็นห้อง ๆ สำหรับแขกคนสำคัญที่จองไว้ล่วงหน้า   ไม่ต้องสงสัยเลยว่า...ราคาของอาหารมื้อนี้คงสูงพอที่จะซื้อข้าวได้หลายกระสอบเป็นแน่

                ซาโนะเลื่อนประตูไม้ไผ่ออก 

                ผมถอนหายใจเบา ๆ    แล้วจึงเอ่ยขึ้น...

                "คิทสึเนะครับ"

                "มาแล้วหรือ ? นึกว่าจะไม่มาเสียแล้วนะ" ผมหันไปมองผู้ที่กล่าวขึ้นเป็นคนแรก   แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ

                "ครับ...แม่" ผมตอบเบา ๆ

                แม่ของผมเป็นผู้หญิงร่างบอบบาง   ผมของแม่ตัดสั้นและได้รับการดูแลเป็นอย่างดี   ดูเป็นผู้หญิงที่น่าเคารพนับถือทุกกระเบียดนิ้ว

                ส่วนพ่อของผมนั่งอยู่ข้าง ๆ ของแม่   พ่อเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างสูง   สูงกว่าผมที่สูงแล้วไปนิดหน่อย   ดวงตาของพ่อนั้นคมปลาบเหมือนกับดาบที่ถูกขัดจนมันวับ    เมื่อผมมองเข้าไปในตาของพ่อ    บางครั้งผมรู้สึกเหมือนกำลังมองตาของตัวเอง

                พ่อไม่ตอบอะไรที่ผมมาถึง   เพียงแต่พยักหน้าน้อย ๆ เป็นเชิงว่ารับรู้เท่านั้น

                ส่วนอีกคนหนึ่งที่อยู่ในห้องนั้นด้วย...

                "นายมาสายนะ...คิทสึเนะ ?"

                "ติดธุระนิดหน่อยน่ะครับ...พี่คาสึโยะ"

                มินาโมโตะ   โนะ   คาสึโยะ...พี่ชายแท้ ๆ เพียงคนเดียวของผมเหลือบมองผมนิดหนึ่ง    ก่อนจะแย้มรอยยิ้มแบบที่ผมไม่ชอบเลย

                มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าจะต้องต่อสู้กับพี่ตลอดเวลา...

                ตั้งแต่เด็กแล้ว   ไม่รู้ว่าเพราะอะไร    แต่พี่กับผมไม่เคยเฉียดเข้าไปใกล้กันได้เลยแม้แต่นิดเดียว...

                พี่เป็นคนที่ฉลาดเป็นกรด   ช่างพูด   กล้าได้กล้าเสียและค่อนข้างจะเป็นคนเจ้าเล่ห์อยู่พอควร   ซึ่งนั่นทำให้พี่เป็นที่จับตามองของทุกคนในตระกูลในฐานะของว่าที่ผู้นำตระกูลมินาโมโตะคนต่อไป   

                ส่วนผม...เป็นน้องชายที่เงียบขรึม    ถึงแม้ผมจะไม่ได้โง่แต่ก็ไม่เคยพูดได้เป็นฉาก ๆ เหมือนพี่เลยสักครั้ง    จึงไม่ค่อยจะตกเป็นเป้าสนทนาของคนในตระกูลเท่าใดนัก   ซึ่งผมก็ไม่ได้เดือดร้อน

                ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...ไม่รู้ว่ามีแต่ผมคนเดียวเท่านั้นหรือเปล่าที่รู้สึกอย่างนี้...

                ...เหมือนกับว่า   มันเป็นโชคชะตาอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมกับพี่จะต้องสวนทางกันอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะคิดหรือจะพูดเรื่องอะไรก็ตาม

                ในขณะที่พี่กำลังฝึกซ้อมดาบอย่างเอาเป็นเอาตาย    ผมกลับชอบที่จะนั่งเรียงหมากบนกระดานหมากล้อมมากกว่า   ในขณะที่พี่ชื่นชอบและใฝ่ฝันจะเป็นนักฆ่ามาตั้งแต่เด็ก    แต่ผมกลับเกลียดนักฆ่าชนิดเข้าไส้    และสิ่งที่ผมเกลียดที่สุดในตัวพี่...

                "จะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม ?"

                คาสึโยะปรายตามองนิดหนึ่ง   ผมจ้องมองตอบกลับไปอย่างเย็นชา...นี่ไม่ใช่สิ่งที่พี่น้องควรจะปฎิบัติต่อกันเลยสักนิด   แต่ผมเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าพี่คาสึโยะมองผมเป็นน้องชายรึเปล่า ?

                ดวงตาสีขี้เถ้าเทาจาง ๆ ของพี่ทอประกายเหยียด ๆ อย่างเคยนิสัย

                นี่แหละคือสิ่งที่ผมเกลียด...ผมเกลียดดวงตานั่น   ตาของพี่มักจะมีแววดูถูกหยามเหยียด   เหมือนกับกำลังเสแสร้งอยู่ตลอดเวลาที่มันมองมาทางผม   ผมเคยพยายามลองสังเกตว่าพี่มองคนอื่น ๆ แบบนั้นบ้างหรือเปล่า    แต่ก็ปรากฏว่ามีเพียงแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่พี่มองด้วยสายตาแบบนั้น

                เหมือนกับกำลังเยาะเย้ย...

                "ครับ" ผมพยักหน้ารับน้อย ๆ   แล้วเดินไปนั่งเก้าอี้ที่ยังว่างอยู่ข้าง ๆ แม่

                อาหารค่อย ๆ ถูกยกมาเสริฟเมื่อเห็นว่าคนมากันครบแล้ว

                ในสายตาของผม   การรับประทานอาหารครั้งนี้อึดอัดสิ้นดี    แม้พ่อกับแม่จะพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับผมและพี่อยู่เป็นระยะ ๆ แต่นั่นก็ไม่ทำให้สายตาที่พี่มองมาทางผมดีขึ้น   ทุก ๆ คำพูดของพี่เหมือนกับจะจงใจเหน็บมาทางผมอยู่เรื่อย

                ไม่รู้เหมือนกันว่าผมไปทำอะไรให้พี่จงเกลียดจงชังนัก ?

                "พ่อแม่กับพี่เพิ่งจะบินมาถึงหรือครับ ?"

                "จ้ะ" แม่รับ    ยิ้มน้อย ๆ "เพิ่งจะมาถึงเมื่อตอนบ่าย ๆ นี้เอง"

                "แล้วทำไมไม่ไปที่บ้านล่ะครับ ?" ผมพูดเหมือนจะติงอยู่หน่อย ๆ   แม่ยิ้มอย่างขอโทษ

                "พอดีพ่อของลูกต้องไปจัดการธุระน่ะ"

                "อ้อ...พ่อครับ" คาสึโยะหันไปทางพ่อของผมซึ่งไม่ได้พูดอะไรมาสักพักแล้ว "เรื่องที่ว่าน่ะ...ครับ   สัญญาของท่านทวดน่ะ"

                สีหน้าแม่ของผมดูจะเปลี่ยนไปนิดหน่อย   แต่ถึงจะนิดเดียวผมก็พอจะจับสังเกตได้

                "เอ่อ...พ่อของลูกน่ะเรียกลูกทั้งสองคนมาเพราะเรื่องนี้แหละจ้ะ" แม่พูด   หันไปทางพ่อของผม

                "พ่อมีเรื่องสำคัญที่จะต้องบอกทั้งสองคน..." พ่อของผมกล่าวเปิดบทสนทนาขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด   ดวงตาสีขี้เถ้าของพ่อเหลือบมองมาทางผมนิดหนึ่ง

                แล้วเอ่ยคำพูดที่ทำให้ผมนิ่งอึ้งเหมือนโดนจับแช่ปูน

                "การหมั้นระหว่างมินาโมโตะกับซานาดะจะมีการเปลี่ยนตัว...คนที่จะหมั้นคือลูก   คิทสึเนะ  รู้ใช่ไหมว่าหมายถึงอะไร ? คาสึโยะ...คิทสึเนะ ?"

    _______________________________________

    หุหุ ^ ^ อัพ 100% ซักกะทีเน้อ

    อิอิ   เฉลยตัวคู่หมั้นเรียบร้อย   555+ เป็นไปตามที่คาดกันเลยใช่มั้ยล่ะเอ้อ   อิอิ

    แล้วจะรีบเอามาลงเพิ่มให้นะเจ้าคะ   ช่วงนี้อยู่ระหว่างการกลับมาแหวกว่ายในมหาสมุทรแห่งการบ้านอีกแล้ว >[]< เง้อ!!

    บายเน้อ

    มิริน

    m.tokiya m.tokiya m.tokiya m.tokiya
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×