คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : เรื่องยุ่งยากนอกแผน (100% จนได้ ^ ^)
5.
เรื่องยุ่งยากนอกแผน
ว...ว่าไงนะ!!?
มีคนมา!? มีคนมางั้นหรอ ?
"ริวเซ ใจเย็น ๆ ที่ไหน แน่ใจนะ ? เป็นยังไง ? สะกดรอยตามมา เห็นโดยบังเอิญหรือว่ามาดักรออยู่ก่อน เป็นคนที่มีฝีมือรึเปล่า ?" ฉันวางมือลงบนบ่าของน้องชายทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดูท่าพ่อน้องชายตัวดีจะรู้สึกตัวแล้วเหมือนกันว่าควรทำยังไง จึงกะพริบตาสองสามครั้งแล้วไหวไหล่เหมือนไม่มีอะไร
"ห่างไปจากที่นี่ทางตะวันตก สักห้าสิบเมตรได้ การที่ผมเพิ่มรู้สึกตัวแสดงว่ากลบกลิ่นตัวเองได้ดีพอควร มีฝีมือ...มาก"
พ่อน้องชายตัวดีตอบ คำตอบที่ได้ทำให้ฉันเม้มปากแน่น แต่พยายามรักษาสีหน้าท่าทางเอาไว้ไม่ให้ผิดสังเกต
ถ้าหากว่ามีคนมองเราสองคนอยู่ไกล ๆ ล่ะก็ คงจะต้องคิดว่าเราสองคนกำลังคุยกันแบบธรรมดา ๆ อยู่แน่ ๆ (แต่จริง ๆ ข้างในน่ะเหงื่อแตกพลั่ก ๆ ไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ - -"")
ถ้าขนาดว่าตาเหยี่ยวอย่างริวเซยังเพิ่งจะสังเกต แถมยังจับความรู้สึกไม่ได้ก็คงจะไม่ใช่ธรรมดาจริง ๆ งานนี้คงต้องเก็บอีกรอบแล้วละมั้ง ?
"เก็บนะ ยูเอะ ?" ริวเซหันมาเหมือนจะขอความเห็นจากฉัน โว้ย!! ทำไมไม่ตัดสินใจเองซะบ้างละยะ!?!
จะให้มีใครรู้เรื่องของตระกูลซานาดะไม่ได้ ยิ่งเห็นกับตาจะ ๆ ถึงจะไม่มีหลักฐานก็เถอะ แม้ว่าตอนนี้เราจะเป็นมิตรกับสันติบาล ผู้บริหารระดับสูงและนักการเมืองหลายคนก็ใช่ว่าสถานภาพของพวกเราจะมั่นคงซะที่ไหน!? ถ้ามีเรื่องราวขึ้นมาแล้วมีหลักฐานชัด ๆ นี่ คงไม่ต้องคิดเลยว่าจะเกิดอะไรต่อไป (ไหนตอนแรกบอกว่าไม่ผิดกฎหมายไง ? -*-)
เหงื่อเริ่มซึมออกมาจากฝ่ามือของฉัน
ว้าโว้ย!! การตัดสินใจทำไมมันยากขนาดนี้!!?
"ริวเซ แกมีอะไรมากับตัวบ้าง ?" ฉันเริ่มหันไปขอข้อมูลประกอบการตัดสินใจจากน้องชายตัวดี
"มีไรเฟิล ปืนสั้นอีกกระบอก แต่ไม่ได้พกกระสุนสำรองมาด้วย แล้วก็มีดสั้น กับ..." น้องชายของฉันยิ้มหวานแล้วชี้ไปที่หน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง
"หัวใจที่เปี่ยมความกล้าหาญ"
ผัวะ!!
ฉันซัดเจ้า 'หัวใจที่เปี่ยมความกล้าหาญ' นั่นไปซะหนึ่งที สถานการณ์คับขันยังมีหน้ามาเล่นมุขตลกอีกนะ ไอ้คุณริวเซ!!
"ของฉันมีเจ้าหญิง" ฉันพยักเพยิดไปที่ทวนในมือ "ปืนก็ไม่ได้พกมา มีดาบสั้นอีกเล่มนึง พอฉันให้สัญญาณ เราลุย...แกใช้ปืนพกแล้วกัน"
ฉันตัดสินใจ เพราะไรเฟิลจะดีก็ต่อเมื่อเราเป็นฝ่ายดักรอเท่านั้น ในสถานการณ์คับขัน ปืนพกน่าจะคล่องตัวมากกว่า
น้องชายของฉันพยักหน้าน้อย ๆ เป็นเชิงตกลง
พูดกันตามตรง การที่มีริวเซอยู่ทำให้ฉันเบาใจลงไปได้มากเลยเชียวล่ะ
ถึงจะดูกวน ๆ และอายุแค่นี้เอง แต่ไอ้เจ้าริวเซนี่ก็โดนจับฝึกโหดมาพอ ๆ กับฉัน แถมยังผ่านสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาไม่ต่างกัน
การที่มีคนที่ไว้ใจได้อยู่ข้าง ๆ นี่มันให้ความรู้สึกปลอดภัยจริง ๆ นะ ^ ^
"เออ...ป้า" ริวเซหันมาถาม "ว่าแต่ ป้าจะไหวเร้อ ? ทางโน้นไม่ใช่พวกไร้ฝีมือแน่ ๆ ให้ผมจัดการคนเดียวเถอะนะป้า!!"
หนอย!! ฉันขอถอนคำพูดเมื่อกี้ทั้งหมดเลย!!! ไอ้คุณริวเซ!!
"หุบปาก!!" ฉันเค้นเสียงลอดไรฟัน "นับถึงสาม...ลุยเลย ถ้าแกไปถึงช้ากว่าฉัน ฉันเอาแกตายแน่ สาม!!"
วูบ!!
พวกเราสองคนพุ่งตัวเข้าหาแขกผู้ไม่ได้รับเชิญพร้อมกัน เร็วจนภาพรอบตัวกลายเป็นเส้นสีที่ดูมัว ๆ
ห้าสิบเมตร สามสิบเมตร เอาล่ะ!! ตอนนี้ฉันเริ่มมองเห็นเจ้าคนที่ริวเซว่าเป็นเงา ๆ แล้ว แต่เพราะมันมืดและเจ้าคนนั้นยืนอยู่ในมุมอับแสงไฟด้วยละมั้งทำให้มองแทบไม่เห็นรายละเอียดอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
ยี่สิบเมตร...สิบเมตร
ฉันเห็นริวเซวิ่งมาตีคู่กันกับฉัน ฝีเท้าขนาดนี้ไม่เรียกว่าช้าสักนิด
ห้าเมตร...
คน ๆ นั้นยังยืนนิ่งเหมือนกับไม่สนใจอะไร ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะไม่รู้หรือเพราะมั่นใจในฝีมือของตัวเองสูงเกิน ถ้าเป็นอย่างหลังก็ต้องเสียใจด้วยละนะ...
สามเมตร...สองเมตร
คน ๆ นั้นเป็นผู้ชายร่างสูงในชุดสูทอย่างดีที่ดูเรียบร้อยเป็นบ้า เหมือนกับลูกคุณหนูอะไรอย่างนั้นเลยล่ะ
หมอนั่นยืนเอามือล้วงกระเป๋า นิ่งเหมือนรูปปั้น ดวงตาอยู่ในเงามืดก็เลยไม่รู้ว่าหันไปทางไหนกันแน่
หนึ่งเมตร
ฉันตะโกนใส่น้องชายแสนดีที่ตีคู่กันมา ริวเซพยักหน้าแล้วดีดตัวถอยหลังโดยฉับไว ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับคนที่วิ่งมาด้วยความเร็วระดับนี้ที่จะถอยหลังโดยไม่เสียหลัก ปืนพกถูกชักออกมาในมือทั้งสองข้าง แล้ว...
ฟ้าว!! ฟ้าว!! ฟ้าว!!
กระสุนสามนัดจากกระบอกปืนเก็บเสียงถูกรัวออกไปยังเป้าหมาย ร่างของน้องชายฉันถอยหลังไปอีกหน่อยเพราะแรงปืน แต่หมอนั่นรีบพลิกกลับตัว ถีบต้นไม้ที่อยู่ใกล้ ๆ แล้วพุ่งเข้าใส่ร่างสูงในชุดสูทนั้นอย่างรวดเร็ว
หมอนั่นยังเอามือล้วงกระเป๋าอยู่เลยตอนที่กระสุนพุ่งเข้าใส่
แต่ว่า...
เคร้ง!! เคร้ง!! เคร้ง!!!~
เสียงเหมือนกระสุนปืนที่ถูกส่งเข้าใส่จุดตายนั้นกระทบอะไรบางอย่างที่คล้ายกับว่าน่าจะเป็นเหล็ก มันเร็วมากจนแม้แต่ฉันเองก็มองไม่ทัน
เก่งชะมัดหมอนี่!!!
แต่ฉันก็ไม่ยอมแพ้หรอกนะ!!
เจ้าหญิงในมือของฉันเงื้อขึ้น วาดวืด ร่างในชุดสูทเอี้ยวตัวหลบไปได้อย่างสวยงาม
ให้ตายเถอะ!! มันยังไม่เอามือออกจากกระเป๋าด้วยซ้ำ!!!
นี่คือการหยามหน้ากันอย่างเห็นได้ชัด!!!
ฟั่บ!! ฟั่บ!! ฟั่บ!!
ฉันตวัดทวนรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่อยู่ในมือของฉันจะเป็นอาวุธยาวที่ทุกคนล้วนแต่ลงความเห็นว่าใช้ให้รวดเร็วได้ยาก
จะไม่ให้ใช้ได้อย่างคล่องแคล่วได้ยังไงล่ะ ? ก็ฉันจับเจ้าหญิงนี่มาตั้งแต่ยังไม่ทันจะเดินด้วยซ้ำ ตอนนี้...มันแทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายไปแล้ว
วืด!! วืด!! วืด!!
ยังคงไม่มีครั้งใดโดนเป้า
หนอย!! นี่คิดจะให้ฉันเอาจริงหรือไง!!?
แต่ก่อนที่ฉันจะได้ทำอะไร ริวเซก็พุ่งเข้ามา
ควับ!!
น้องชายฉันวาดเท้าเตะรัว ร่างสูงในชุดสูทสีดำก็ยังคงหลบหลีกได้อย่างว่องไวยิ่งกว่าปรอทเสียอีก
ปืนในมือของริวเซเบี่ยงปากกระบอกวูบ จากจุดตายไปเล็งเท้าแทน!!
ก็แหงล่ะ ในมือยังยิงจุดตายไม่ได้ก็ขอหยุดความเคลื่อนไหวไว้ก่อนแล้วค่อยจัดการทีหลังก็ยังไม่สายนี่เนอะ
ฟ้าว!! ฟ้าว!!
กระสุนอีกสองนัดถูกยิงออกไป ชายลึกลับยืนนิ่งไปชั่วครู่ และ...
วูบ!!
เฮ้ย!!!
ฉันอ้าปากค้าง
หมอนั่นมันฟุตเวิร์กสุดยอดมากมายเลยอ่ะ!! เกิดมาเพิ่งเคยเห็นลักษณะการเคลื่อนไหวอย่างนี้เป็นครั้งแรกนะเนี่ย!! เหมือนกับ...
...เหมือนกับแตะพื้นด้วยปลายเท้าแล้วเคลื่อนที่ไปอย่างแผ่วเบา ใช่แล้ว!!
เหมือนกำลังร่ายรำเลย!!!
ริวเซทำเสียงจึ๊จ๊ะไม่สบอารมณ์นิดหน่อยที่กระสุนสูญเปล่าไปถึงห้านัดแล้ว (แหงล่ะ...คิดว่าค่ากระสุนมันถูก ๆ รึยังไง ? นี่ไม่ใช่หนังแอ็กชั่นที่รัวกระสุนได้ทีเป็นลัง ๆ นะ!! -*-) แต่ก็ต้องยอมถอยออกไปหาจังหวะเข้ามาใหม่
ฉันตวัดทวนถีบตัวจากพื้นอย่างแรง แล้ว...
เจอนี่หน่อยเหอะ!!
วูบ!! วูบ!! วูบ!!!
ฉันตวัดควงทวนเป็นวงกลมอย่างรวดเร็ว ก่อนจะจ้วงแทงไม่ยั้ง!!
ฟ้าว!!! ฟ้าว!!! ฟ้าว!!! ฟ้าว!!!
เสียงทวนแหวกอากาศดังลั่น หมอนั่นเอี้ยวตัวหลบ แต่ว่า...นี่แหละที่ฉันรอคอย!!
ถึงฆาตแล้ว!!
ฉัวะ!! ฉัวะ!! ฉัวะ!!!
สายลมที่เกิดจากทวนที่แหวกอากาศอย่างรวดเร็วนั้นคมแทบจะพอ ๆ กับทวนเลยทีเดียว!! และคมดาบที่มองไม่เห็นพวกนี้ก็หลบได้ยากกว่าคมดาบจริง ๆ เสียด้วย!!
นี่คือหนึ่งในวิชาลับที่ใช้กับยูกิฮิเมะ...บุปผาเงาศาสตรา!! (ตั้งชื่อซะยาวเชียว..-*- อ่านะ...คนคิดชื่อคือย่าทวดของฉันเอง ไม่แปลกที่มันจะฟังดูลิเก ๆ ไปหน่อยเพราะมันตั้งเมื่อหลายสิบปีก่อนโน้นนนนน!!)
คมดาบลมพุ่งเข้าใส่ร่างในชุดสูทนั่น ร่างนั้นชะงักกึกไปนิดหนึ่ง
เหอะ ๆ...คราวนี้ต่อให้ฟุตเวิร์กแจ่มยังไงก็ไม่พ้นแล้วล่ะย่ะ!!
แต่ว่า...
วูบ!!
เฮ้ย!!!
หมอนั่นมันหายไปซะเฉย ๆ!!
"ก็ว่าเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือ ?"
เสียงที่คุ้นเคยเหมือนเคยได้ยินมาจากที่ไหนสักที่ดังเข้ามาในโสต ริวเซพุ่งตัวกลับเข้าไปอีกครั้ง
หมับ!!
มือที่ถูกชักออกจากกระเป๋าของหมอนั่นคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของน้องชายฉัน แล้วสอดนิ้วเข้าไปหลังไกปืน
เอาว่าตอนนี้ ปืนใช้ไม่ได้แล้วล่ะครับพี่น้อง >O<
แต่ว่าหมอนั่นก็ขยับไปไหนไม่ได้เหมือนกัน
"ยูเอะ!! เอาเลย!!!" ริวเซหันมาตะโกน
เออ...ไม่บอกก็ลุยอยู่แล้วล่ะ!!
ฉันตวัดทวนอีกครั้ง คราวนี้เร็วกว่าเก่า
ทวนพุ่งเข้าไป!!
ฉืบ!!!
ไม่จริง!!
ดวงตาฉันเบิกโตเท่าไข่ห่านแล้วมั้งตอนนี้
ม...หมอนั่น หมอนั่นเอานิ้วรับทวนของฉันได้หน้าตาเฉย!!!
ไม่น่าเชื่อ!! นี่มันอะไรกันเนี่ย!?!~
คราวนี้เจ้าหญิงของฉันเลยถูกยึดเอาไว้
เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นใบหน้าของเขาเต็ม ๆ และยิ่งทำให้ดวงตาเบิกกว้างเป็นไข่นกกระจอกเทศไปเลย
"ฝีมือน่ะเก็บเอาไว้ก็ไม่บูดไม่เน่าหรอก ไม่ต้องเอาออกมาใช้ให้มากนักก็ได้ แล้วฉันก็ไม่ใช่ศัตรู"
"นี่แก!!!"
นัยน์ตาสีขี้เถ้าเบื้องหลังกรอบแว่นมองลงมาที่ฉันพอดีเป๊ะ!!
ไอ้หมอนั่น!! เจ้าคนที่เจอกันเมื่อตอนเย็นวันนั้น!!! เจ้าคนกวนประสาทนั่น!!?
บัดนี้หน้าหล่อ ๆ นั่นถูกทวนของฉันเฉี่ยวเป็นแผลบาง ๆ ไปนิดหนึ่ง แว่นนั่นก็เอียงไปนิด แต่ดูยังไงก็เจ้าตัวกวนประสาทคนเดิมไม่ผิดแน่!!
แต่มันมาทำอะไรที่นี่!!?
แล้วยังฝีมือนั่นอีก!?!
หมอนี่ไม่ใช่คนธรรมดาแน่!!
บรรยากาศอึดอัดเหมือนจะหายใจไม่ออกอยู่สักนาทีนึงได้มั้ง แต่เป็นนาทีนึงที่ยาวนานเหมือนสักสิบปีได้ เราสามคนยังไม่มีใครยอมถอยออกเลยแม้แต่คนเดียว แล้วก็ไม่มีใครพูดจา
"ท่านคิทสึเนะ!!"
เสียงตะโกนที่ทำให้ทุกอย่างสลายวับ
มีผู้ชายร่างสูงอีกคนหนึ่งวิ่งทั่ก ๆ หน้าตาตื่นเข้ามา คน ๆ นั้นสูงกว่าหมอนี่นิดหน่อย นั่นทำให้ฉันดูเตี้ยไปเลย และยิ่งริวเซ... -*- ยิ่งดูเป็นคนแคระไปเลยล่ะ (โอ๋ ๆ น้องชายฉันยิ่งมีปมด้อยเรื่องความสูงอยู่ซะด้วย อย่าคิดมากไปเลยนะ เจ้าเตี้ย!! ^[]^ เหอ ๆ )
"ท่านคิทสึเนะครับ ออกมาทำอะไรครับ ? นี่จะเริ่มเสิร์ฟอาหารกันแล้วนะครับ" ดูเหมือนเจ้าคนที่มาใหม่จะยังไม่รู้สึกถึงความอึดอัดหรือไม่ก็ลืมสังเกตดูให้ดีว่ารอบ ๆ ตัวของไอ้หมอนี่มีฉันกับริวเซยืนอยู่ตั้งสองตัว...เอ้ย!! สองคน
"อ๊ะ!!"
โอ้!! ในที่สุด ดูเหมือนหมอนั่นจะสังเกตได้สักทีว่ามีใครยืนอยู่ตรงนั้นบ้าง
นิ่ง...
ควับ!!!
ปืนถูกชักออกมาจากกระเป๋าของผู้มาใหม่ล่าสุด แต่เด็กหนุ่มนามคิทสึเนะกลับปล่อยเจ้าหญิงของฉันและปืนของริวเซทันควัน แล้วหันไปส่งสัญญาณเป็นเชิงให้คนมาใหม่ลดปืนลง
"เก็บปืนเถอะ ซาโนะ"
"แต่ว่า...ท่านคิทสึเนะ!! แผลนั่น!!?" โห หมอนั่นทำตาโตเมื่อเห็นว่าข้างแก้มของชายหนุ่มที่ชื่อคิทสึเนะมีรอยแผลเท่าแมวข่วน และยิ่งหันมาทำหน้ากินเลือดกินเนื้อใส่ฉันกับริวเซมากขึ้น
"พวกแกเป็นใคร!!?"
สงสัยเจ้าสูงโย่งที่มาใหม่ล่าสุดนี่จะเป็นแฟนของเจ้าคนกวนประสาทที่ชื่อคิทสึเนะ -*- ฉันเริ่มจัดระเบียบข้อมูล มีอย่างรึ ผู้ชายด้วยกันมานั่งเป็นห่วงเป็นไยกัน น่าแหวะชะมัด -O-
"ซาโนะ!!" ชายหนุ่มในชุดสูทที่ขาดวิ่นไปบ้างเป็นหย่อม ๆ กดเสียงหนัก ๆ เหมือนจะปราม "เก็บปืนซะ!!"
ได้ผลแหะ แค่หมอนี่สั่งให้เก็บปืนเสียงดุเข้าหน่อย เจ้าโย่งนั่นก็จ๋อยเชียว รีบเก็บปืนไปตามระเบียบ
"เดี๋ยวผมตามไป กลับเข้าไปหาสูทใหม่ให้ที" ชายหนุ่มจอมกวนคนนั้นหันไปสั่งสั้น ๆ เจ้าสูงโย่งที่ชื่อซาโนะก็ต้องหันหลังกลับไปทันที ถึงดูจากท่าทีจะไม่ค่อยเต็มใจนักก็เถอะ
"แกเป็นใครกันแน่!?"
ฉันเริ่มตั้งคำถามกับเจ้าคนเบื้องหน้า
หมอนั่นเลื่อนแว่นกลับเข้าที่
"ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะต้องรู้ คนของซานาดะ"
กรี๊ด!! ม...เมื่อกี้มันเรียกฉันว่าอะไรนะ!!?
คน...คนของซานาดะหรอ!?!
นี่...แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร!!? หา!?! คิดว่าฉันเป็นพวกฝีมือลูกกระจ๊อกหรือยังไง!?
"ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร บอกแล้วว่าถึงยังไงฉันก็ไม่ใช่ศัตรูของซานาดะหรอก" เด็กหนุ่มพูดต่อเหมือนไม่มีอะไร เหมือนไม่ได้โดนทั้งทวนทั้งปืนจ่อคอหอยอยู่ในตอนนี้
"ฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่านายไม่โกหก!!?" เอาฟะ!! เห็นว่าเป็นคนที่เคยเจอกันมาก่อนนะเนี่ยถึงได้พูดดี ๆ (ขึ้นมาอีกนิดสสสส์นึง) ด้วยเนี่ย
"ฉันไม่มีสิทธิ์ห้ามไม่ให้เธอไม่เชื่อ" คิทสึเนะตอบเรียบ ๆ ยกมือดันแว่นกลับเข้าที่
"แค่จะบอกว่าฉันบังเอิญผ่านทางมาเท่านั้น ไม่ได้สะกดรอยตามมา"
"นายเอาอะไรมาพิสูจน์ ?"
"ไม่มี" เขาตอบง่าย ๆ
"งั้นทำไมฉันควรปล่อยนายไป!?~"
"ไม่มีเหตุผล แต่ถ้าฆ่าฉันไปก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นทั้งสำหรับเธอและสำหรับฉัน" ดวงตาสีขี้เถ้าแปลกตาหลังกรอบแว่นกล่าว
พูดได้ฉลาดดีนี่หว่า!?!
"ยูเอะ ปล่อยเขาไปเถอะ" ริวเซที่ถูกลืมไปชั่วครู่เอ่ยขึ้น "จริงอย่างที่เขาบอก ถึงจะฆ่าไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ยิ่งเป็นคนที่รู้ว่าอยู่ที่ไหนแล้วจะตามไปเก็บก็ง่ายแล้วไม่ใช่หรอ ? อีกอย่าง...ถึงเขาจะเห็นก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี แล้วผมก็รู้สึกว่าเขาจะไม่บอกใครจริง ๆ ซะด้วย"
คำพูดที่ทำให้ฉันเหลือบมองน้องชายจอมยุ่งที่อยู่ ๆ ก็ยกเหตุผลขึ้นมาพูดได้เป็นฉาก ๆ ๆ ๆ อย่างชั่งใจนิดหนึ่ง ก่อนจะยอมลดทวนลง
"ขอบใจ"
"นายชื่อคิทสึเนะใช่ไหม ?"
"ใช่" เขาตอบ
"ดีมาก ฉันจะจำชื่อนายไว้" ฉันยิ้มเหี้ยม ๆ "ถ้านายปากโป้งเมื่อไหร่ ฉันจะตามไปปิดปากนายเมื่อนั้น อย่าคิดว่าจะซ่อนตัวจากฉันได้"
เออ...ขอแก้เป็น อย่าคิดว่าจะซ่อนตัวจาก 'พี่ชายแสนดี' ของฉันได้จะถูกต้องกว่านะตรงนี้ - -" เอาเหอะ ๆ หยวน ๆ แล้วกัน รักษามาดหน่อยโว้ย!!
คิทสึเนะไหวไหล่
"ตามใจ ฉันไม่มีสิทธิ์ห้าม"
"ดี" ฉันแสยะยิ้มหวาน ๆ ส่งให้เขาทีหนึ่ง สำหรับคนอื่น ๆ มันคงเป็นรอยยิ้มมัจจุราชมากกว่ายิ้มหวานนะเนี่ย
"กลับกันเถอะ ริวเซ!!"
** ** ** ** ** ** ** ** ** ** **
สองคนนั่นกลับไปแล้ว
ผมยกมือขึ้นมาแตะที่ข้างแก้มเบา ๆ มันเจ็บแปลบ ๆ อยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทนไม่ได้
ต้องยอมรับว่าผู้หญิงคนนั้นฝีมือไม่ธรรมดาจริง ๆ ดูท่าจะไม่ใช่แค่ชั้นลูกน้องละมั้ง ?
แต่ว่า...ต้องยอมรับความจริงอยู่ข้อหนึ่ง
ผมเกลียดนักฆ่า...
ไม่ว่าจะเป็นนักฆ่าที่ไหนก็เกลียดทั้งนั้น เรียกว่าเกลียดสุดขั้วหัวใจเลยด้วย...
...เป็นเรื่องที่ไม่แย่เท่าไหร่ถ้าไม่จำเป็นต้องข้องเกี่ยวกับพวกนักฆ่ามากนัก...
...แต่เป็นเรื่องที่แย่มาก ๆ เมื่อบ้านของผมเองก็ประกอบอาชีพนี้เหมือนกัน...
เฮ้อ!! สภาพเสื้อดูไม่เหลือชิ้นดีจริง ๆ สงสัยจะซ่อมไม่ได้แล้ว คงต้องทิ้งอย่างเดียว
ผมถอดเสื้อสูทตัวนอกที่ราคาแพงขนาดที่สามารถเอาไปเป็นค่าใช้จ่ายทั้งเดือนของครอบครัวระดับกลาง ๆ ได้อย่างสบาย แต่บัดนี้มันขาดแหว่งวิ่นไปหมดแล้วเพราะฝีมือของผู้หญิงคนนั้นที่ผมไม่คิดจะถามแม้แต่ชื่อ
แต่ก็รู้ว่าเป็นซานาดะอยู่แล้ว เพราะแถบนี้ นอกจากซานาดะแล้วและไม่นับตระกูลของผมจะไม่มีนักฆ่าที่อื่นเข้ามายุ่มย่ามอีก เพราะมันเป็นข้อตกลงกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ
ส่วนที่ตระกูลมินาโมโตะต้องบินมาจากคันไซทั้งครอบครัวนั้นคงเป็นกรณีพิเศษที่นาน ๆ จะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง
ผมเดินออกจากที่ตรงนั้นเข้าสู่แสงไฟสว่างไสวของเมืองหลวง ร้านค้าต่าง ๆ พากันเปิดอย่างมากมาย ผู้หญิงหลายคนมองมาทางผมพลางหัวเราะคิกคักแม้ผมจะไม่ได้หันไปมองสักนิด
สายลมยามดึกของเมืองหลวงที่แออัดคับคั่งไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตายังคงพัดอย่างแผ่วเบา แสงจากดวงไฟมากมายทำให้ไม่อาจมองเห็นดวงดาวบนฟากฟ้า เสียงรถราที่สัญจรผ่านไปมายิ่งทำให้ผมรู้สึกรำคาญใจ
"ท่านคิทสึเนะ!! เร็วหน่อยครับ อาหารกำลังจะเสริฟ ตอนนี้ทุกคนมารวมกันพร้อมหมดแล้วนะครับ"
"รู้แล้ว" ผมตอบกลับไปเรียบ ๆ มองซาโนะที่รีบกุลีกุจอรับเสื้อสูทตัวเดิมที่ขาดวิ่นไปแล้วหยิบตัวใหม่มาให้ผมแทน
ซาโนะเป็นคนที่รู้จักผมมาตั้งแต่เด็ก ๆ จะเรียกว่าสนิทกันเหมือนเป็นพี่ชายแท้ ๆ เลยก็ว่าได้
ไม่สิ...มากกว่าพี่ชายแท้ ๆ เสียอีก
ผมตวัดเสื้อคลุมตัว แล้วเดินผ่านประตูเข้าไปในภัตตาคารหรูแห่งหนึ่ง
หญิงสาวในชุดกิโมโนสีชมพูอ่อนเดินออกมาต้อนรับอย่างเรียบร้อย เสียงน้ำจากลำธารเทียมไหลเอื่อย ๆ ดังเข้าโสตแทนเสียงจอแจของท้องถนนด้านนอก โคมระย้าถูกแขวนประดับรับกับการตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นขนานแท้อย่างลงตัว
ผมเดินผ่านผู้คนมากมายที่หันมามองอย่างสนอกสนใจ ก็คงไม่แปลกเพราะภัตตาคารแห่งนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในหลาย ๆ ธุรกิจของครอบครัวผม
ตระกูลมินาโมโตะนั้นนอกจากจะเป็นตระกูลนักฆ่าตามที่ตกทอดกันมารุ่นต่อรุ่นตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ยังเป็นหนึ่งในตระกูลที่ได้ชื่อว่าร่ำรวยและมีชื่อเสียงมากที่สุดในญี่ปุ่น ตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัวที่นำหน้าชื่อของผมนั้นมีอำนาจยิ่งกว่าคนบางคนเสียอีก
ผมเดินเข้าไปด้านในของร้านซึ่งเป็นส่วนที่ถูกจัดเอาไว้เป็นห้อง ๆ สำหรับแขกคนสำคัญที่จองไว้ล่วงหน้า ไม่ต้องสงสัยเลยว่า...ราคาของอาหารมื้อนี้คงสูงพอที่จะซื้อข้าวได้หลายกระสอบเป็นแน่
ซาโนะเลื่อนประตูไม้ไผ่ออก
ผมถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงเอ่ยขึ้น...
"คิทสึเนะครับ"
"มาแล้วหรือ ? นึกว่าจะไม่มาเสียแล้วนะ" ผมหันไปมองผู้ที่กล่าวขึ้นเป็นคนแรก แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ
"ครับ...แม่" ผมตอบเบา ๆ
แม่ของผมเป็นผู้หญิงร่างบอบบาง ผมของแม่ตัดสั้นและได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ดูเป็นผู้หญิงที่น่าเคารพนับถือทุกกระเบียดนิ้ว
ส่วนพ่อของผมนั่งอยู่ข้าง ๆ ของแม่ พ่อเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างสูง สูงกว่าผมที่สูงแล้วไปนิดหน่อย ดวงตาของพ่อนั้นคมปลาบเหมือนกับดาบที่ถูกขัดจนมันวับ เมื่อผมมองเข้าไปในตาของพ่อ บางครั้งผมรู้สึกเหมือนกำลังมองตาของตัวเอง
พ่อไม่ตอบอะไรที่ผมมาถึง เพียงแต่พยักหน้าน้อย ๆ เป็นเชิงว่ารับรู้เท่านั้น
ส่วนอีกคนหนึ่งที่อยู่ในห้องนั้นด้วย...
"นายมาสายนะ...คิทสึเนะ ?"
"ติดธุระนิดหน่อยน่ะครับ...พี่คาสึโยะ"
มินาโมโตะ โนะ คาสึโยะ...พี่ชายแท้ ๆ เพียงคนเดียวของผมเหลือบมองผมนิดหนึ่ง ก่อนจะแย้มรอยยิ้มแบบที่ผมไม่ชอบเลย
มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าจะต้องต่อสู้กับพี่ตลอดเวลา...
ตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่พี่กับผมไม่เคยเฉียดเข้าไปใกล้กันได้เลยแม้แต่นิดเดียว...
พี่เป็นคนที่ฉลาดเป็นกรด ช่างพูด กล้าได้กล้าเสียและค่อนข้างจะเป็นคนเจ้าเล่ห์อยู่พอควร ซึ่งนั่นทำให้พี่เป็นที่จับตามองของทุกคนในตระกูลในฐานะของว่าที่ผู้นำตระกูลมินาโมโตะคนต่อไป
ส่วนผม...เป็นน้องชายที่เงียบขรึม ถึงแม้ผมจะไม่ได้โง่แต่ก็ไม่เคยพูดได้เป็นฉาก ๆ เหมือนพี่เลยสักครั้ง จึงไม่ค่อยจะตกเป็นเป้าสนทนาของคนในตระกูลเท่าใดนัก ซึ่งผมก็ไม่ได้เดือดร้อน
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...ไม่รู้ว่ามีแต่ผมคนเดียวเท่านั้นหรือเปล่าที่รู้สึกอย่างนี้...
...เหมือนกับว่า มันเป็นโชคชะตาอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมกับพี่จะต้องสวนทางกันอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะคิดหรือจะพูดเรื่องอะไรก็ตาม
ในขณะที่พี่กำลังฝึกซ้อมดาบอย่างเอาเป็นเอาตาย ผมกลับชอบที่จะนั่งเรียงหมากบนกระดานหมากล้อมมากกว่า ในขณะที่พี่ชื่นชอบและใฝ่ฝันจะเป็นนักฆ่ามาตั้งแต่เด็ก แต่ผมกลับเกลียดนักฆ่าชนิดเข้าไส้ และสิ่งที่ผมเกลียดที่สุดในตัวพี่...
"จะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม ?"
คาสึโยะปรายตามองนิดหนึ่ง ผมจ้องมองตอบกลับไปอย่างเย็นชา...นี่ไม่ใช่สิ่งที่พี่น้องควรจะปฎิบัติต่อกันเลยสักนิด แต่ผมเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าพี่คาสึโยะมองผมเป็นน้องชายรึเปล่า ?
ดวงตาสีขี้เถ้าเทาจาง ๆ ของพี่ทอประกายเหยียด ๆ อย่างเคยนิสัย
นี่แหละคือสิ่งที่ผมเกลียด...ผมเกลียดดวงตานั่น ตาของพี่มักจะมีแววดูถูกหยามเหยียด เหมือนกับกำลังเสแสร้งอยู่ตลอดเวลาที่มันมองมาทางผม ผมเคยพยายามลองสังเกตว่าพี่มองคนอื่น ๆ แบบนั้นบ้างหรือเปล่า แต่ก็ปรากฏว่ามีเพียงแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่พี่มองด้วยสายตาแบบนั้น
เหมือนกับกำลังเยาะเย้ย...
"ครับ" ผมพยักหน้ารับน้อย ๆ แล้วเดินไปนั่งเก้าอี้ที่ยังว่างอยู่ข้าง ๆ แม่
อาหารค่อย ๆ ถูกยกมาเสริฟเมื่อเห็นว่าคนมากันครบแล้ว
ในสายตาของผม การรับประทานอาหารครั้งนี้อึดอัดสิ้นดี แม้พ่อกับแม่จะพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับผมและพี่อยู่เป็นระยะ ๆ แต่นั่นก็ไม่ทำให้สายตาที่พี่มองมาทางผมดีขึ้น ทุก ๆ คำพูดของพี่เหมือนกับจะจงใจเหน็บมาทางผมอยู่เรื่อย
ไม่รู้เหมือนกันว่าผมไปทำอะไรให้พี่จงเกลียดจงชังนัก ?
"พ่อแม่กับพี่เพิ่งจะบินมาถึงหรือครับ ?"
"จ้ะ" แม่รับ ยิ้มน้อย ๆ "เพิ่งจะมาถึงเมื่อตอนบ่าย ๆ นี้เอง"
"แล้วทำไมไม่ไปที่บ้านล่ะครับ ?" ผมพูดเหมือนจะติงอยู่หน่อย ๆ แม่ยิ้มอย่างขอโทษ
"พอดีพ่อของลูกต้องไปจัดการธุระน่ะ"
"อ้อ...พ่อครับ" คาสึโยะหันไปทางพ่อของผมซึ่งไม่ได้พูดอะไรมาสักพักแล้ว "เรื่องที่ว่าน่ะ...ครับ สัญญาของท่านทวดน่ะ"
สีหน้าแม่ของผมดูจะเปลี่ยนไปนิดหน่อย แต่ถึงจะนิดเดียวผมก็พอจะจับสังเกตได้
"เอ่อ...พ่อของลูกน่ะเรียกลูกทั้งสองคนมาเพราะเรื่องนี้แหละจ้ะ" แม่พูด หันไปทางพ่อของผม
"พ่อมีเรื่องสำคัญที่จะต้องบอกทั้งสองคน..." พ่อของผมกล่าวเปิดบทสนทนาขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ดวงตาสีขี้เถ้าของพ่อเหลือบมองมาทางผมนิดหนึ่ง
แล้วเอ่ยคำพูดที่ทำให้ผมนิ่งอึ้งเหมือนโดนจับแช่ปูน
"การหมั้นระหว่างมินาโมโตะกับซานาดะจะมีการเปลี่ยนตัว...คนที่จะหมั้นคือลูก คิทสึเนะ รู้ใช่ไหมว่าหมายถึงอะไร ? คาสึโยะ...คิทสึเนะ ?"
_______________________________________
หุหุ ^ ^ อัพ 100% ซักกะทีเน้อ
อิอิ เฉลยตัวคู่หมั้นเรียบร้อย 555+ เป็นไปตามที่คาดกันเลยใช่มั้ยล่ะเอ้อ อิอิ
แล้วจะรีบเอามาลงเพิ่มให้นะเจ้าคะ ช่วงนี้อยู่ระหว่างการกลับมาแหวกว่ายในมหาสมุทรแห่งการบ้านอีกแล้ว >[]< เง้อ!!
บายเน้อ
มิริน
ความคิดเห็น