ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Sagittarius : ดวงดาวอธิษฐาน

    ลำดับตอนที่ #4 : ปฐมบท คำอธิษฐานที่ 3 : ว่าด้วยการศึกที่ดาเรน (100% แล้วจ้า!!!)

    • อัปเดตล่าสุด 20 เม.ย. 52


                ห่างออกไปจากค่ายทหารของดาเรนราวสามสิบโยชน์นั้นเป็นที่ตั้งของค่ายทหารอีกแห่งซึ่งแตกต่างจากค่ายทหารของดาเรนราวหน้ามือกับหลังมือ

                มิใช่เพราะการควบคุมของที่นี่ย่อหย่อน  มิใช่เพราะที่นี่ดูเล็กหรือด้อยความสามารถกว่าแต่อย่างใด  หากเพราะ...สีสัน...

                ...ค่ายทหารของดาเรนนั้นเป็นสีขาวสะอาด...

                ...ทว่า...ที่นี่กลับเต็มไปด้วยสีดำที่ทำให้บรรยากาศดูเคร่งขรึม  มิใช่หม่นหมอง...ทว่าก็กดดันความรู้สึกของคนให้เครียดขึงขึ้นได้

                ลึกเข้าไปภายใน  ใจกลางของค่ายอันกว้างขวางกินอาณาเขตออกไปไกลจนเกือบจะติดกับป่าเหนือ

                พรึ่บ!!~

                ผ้าคลุมกระโจมขนาดใหญ่ถูกเลิกเปิดออก  ภายในเป็นโต๊ะยาวทำจากไม้สีดำขัดมันตัวหนึ่ง  เก้าอี้หลายตัวถูกจับจองโดยผู้คนในชุดสีดำสนิททะมัดทะแมงอย่างทหาร  บนโต๊ะนั้น...แผนที่ซึ่งเขียนขึ้นบนหนังแผ่นใหญ่ถูกคลี่กางตรึงติดทั้งสี่มุม  เก้าอี้ตัวใหญ่ที่สุดตรงหัวโต๊ะยังคงว่างอยู่

                ทันทีที่กระโจมถูกเลิกผ้าขึ้น...สายตาทุกคู่ในกระโจมก็หันไปมองเป็นตำแหน่งเดียว  ทุกคนลุกขึ้นยืนโดยพร้อมเพรียงกัน

                บุรุษผู้เข้ามาใหม่มีสองคน...

                คนแรกหน้าตาคมคาย  หล่อเหลาเยือกเย็นราวรูปสลักหินอ่อนของช่างฝีมือ  ใบหน้าขาวจัดนั้นนิ่งเรียบไร้อารมณ์ใด ๆ ปรากฏ  ดวงตาสีดำเหมือนท้องฟ้าในรัตติกาลที่ไร้ดวงดาว  มืดมน  เหมือนไม่มีแสงสว่างใด ๆ ทอลอดเข้าไปได้...มีเพียงความเยือกเย็นและล้ำลึกที่ไม่อาจจะชี้วัดได้เท่านั้น  ร่างสูงอยู่ในชุดสีดำเช่นเดียวกัน  ผิดแต่ว่า...ที่ต้นแขนนั้นประดับตราทองคำอันเป็นสัญลักษณ์แห่งราชวงศ์เดเรเวส...ตระกูลสูงศักดิ์ผู้ปกครองนครหลวงแห่งความมืดเอเวียสมานานหลายยุคหลายสมัย

                ส่วนอีกคนดูผิดกับคนแรกโดยสิ้นเชิง  ใบหน้าอ่อนเยาว์ประดับยิ้มนั้นหากมองเพียงผิวเผินอาจดูคล้ายสตรี  ดวงตาสีเงินพราวประกายระยับอย่างนึกสนุกอยู่เสมอ  เส้นผมสีเดียวกับดวงตาทิ้งตัวพลิ้วลงบนแผ่นหลัง...ช่างเป็นบุคลิกที่ดูขัดกับบรรยากาศเคร่งขรึมของที่นี่เสียเหลือเกิน  ร่างสูงไม่เกินคนตรงหน้านั้นอยู่ในชุดเสื้อคลุม...บ่งฐานะพ่อมดชัดเจน

                ชายคนแรกที่เดินนำเข้ามาพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงให้ผู้ที่ยืนอยู่นั่งลง  ซึ่งได้รับการปฏิบัติตามในทันที

                “ท่านไนท์...ข้าได้ส่งทหารออกไปทางโน้นแล้ว  การตั้งรับก็ทำเหมือนขอไปทีอย่างที่เคย  ราวกับปิดบังจำนวนทหารอยู่” คำรายงานดังขึ้นแทบจะในทันทีที่ชายหนุ่มดวงตาสีนิลทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่หัวโต๊ะ

                “กองเสบียงรายงานมาว่า...ตอนนี้เสบียงของเราร่อยหรอลงไปครึ่งหนึ่งแล้วนะขอรับ  หากยังหยั่งเชิงกันอย่างนี้ต่อไป...ไม่แน่ว่าทางเราอาจต้องเป็นฝ่ายถอยให้เอง” คำรายงานจากด้านซ้าย

                “อืม...” ถ้อยตอบราบเรียบจากผู้นั่งหัวโต๊ะ  ส่วนชายหนุ่มอีกคนที่เข้ามาด้วยกันนั้นยืนนิ่งอยู่เบื้องหลังเก้าอี้หัวโต๊ะด้วยท่าทางสบายอารมณ์

                “...ข้าจะวางแผนให้เข้าปะทะในเร็ววันนี้”

                “ทหารกองเสริมกองสุดท้ายจากเอเวียสเดินทางมาถึงเมื่อครู่  ตอนนี้ตั้งค่ายอยู่รอบนอกแล้วขอรับเจ้าชาย”

                เจ้าชาย พยักหน้ารับน้อย ๆ

                เจ้าชาย...ทรงมีพระนามว่า ไนท์  เดเรเวส...

                ตั้งแต่ครั้งพระชนม์เพียงแค่สิบห้าก็มีความสามารถถึงขนาดคุมกองทัพหลวงตีทะลวงเข้าสู่แผ่นดินแสงสว่างได้  ความสามารถ...ร้ายกาจจนเข้าขั้นน่ากลัว

                ฉายา อัจฉริยะปีศาจ...เขาหาใช่ได้มาเพียงเพราะเป็นเจ้าชาย...

                ...ใช่แล้ว...คนผู้นี้แหละคือ อัจฉริยะปีศาจที่กล่าวขวัญว่าไม่แน่บางที...อาจมีพรสวรรค์และความสามารถไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า ปราชญ์แห่งแสง อันเป็นตำแหน่งที่กษัตริย์ชาออสแห่งซานเกเบียครองอยู่ในยามนี้เลยแม้สักนิด

                ทว่า...เพราะเหตุใดไม่อาจรู้...

                ราวสองปีก่อน   เขาทูลขอพระบิดา...ราชาคาซัสแห่งเอเวียส  ให้ปลดเขาออกจากตำแหน่งแม่ทัพเสีย

                น่าประหลาดเช่นกัน...ที่องค์ราชาทรงอนุญาตให้คนเก่งเช่นเขาลาออกได้อย่างง่ายดาย

                เรื่องนี้ยิ่งทำให้ข่าวลือที่ว่าเขาเป็น ลูกชัง ของกษัตริย์แห่งเอเวียสแพร่สะพัดหนาหูขึ้นไปอีก

                แต่ไม่ว่าจะเป็นลูกรักหรือลูกชังก็ตามแต่  สิ่งหนึ่งที่เป็นความจริงเสมอ...คือ...ความเก่งกาจ...

                ...เก่งกาจ  สงบนิ่ง  หนักแน่น  เยือกเย็นราวกับภูเขาน้ำแข็งไม่โยกคลอนนี้เองที่ทำให้เขาปกครองกองทัพได้อย่างเคร่งครัด  ฉลาดปราดเปรื่องเหมือนรอบรู้ฟ้าดิน  พลิกสถานการณ์ให้กลับหัวเป็นหาง  กลับขาวเป็นดำได้ง่าย ๆ เพียงแค่เขาออกคำสั่ง...

                การที่เจ้าชายแห่งเอเวียสซึ่งถูกถอดถอนลงจากตำแหน่งแม่ทัพไปเมื่อสองปีที่แล้ว กลับต้องมารับศึกเช่นนี้นั้นมีเหตุผล  เนื่องด้วยหลังจากที่เจ้าชายทรงถอนจากการเป็นแม่ทัพ ก็ไม่มีใครสามารถตีดินแดนแสงสว่างได้สำเร็จอีกเลยในระยะเวลาสองปีที่ล่วงมา  กลับกัน...เอเวียสเสียอีกที่ถูกโจมตีจนเสียหายหนักอยู่บ่อย ๆ

                มีคนกล่าวกันว่า  ในดินแดนแห่งแสงมีปราชญ์ผู้หนึ่งปรากฏตัวให้คำแนะนำในการศึกต่าง ๆ ปราชญ์ในคำเล่าลือนี้...ว่ากันว่า  เก่งฉกาจราวกับหยั่งรู้แผ่นดินแผ่นน้ำ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากษัตริย์ชาออสผู้ได้รับสมญาปราชญ์แห่งแสงเลยทีเดียว

                เพราะเหตุนี้...อัจฉริยะปีศาจจึงถูกเรียกตัวกลับมา

                สู่สงคราม...ที่เขาเกลียด

                ท่านรองแม่ทัพเอ่ยขึ้นก่อน

                “ที่จริง...ตั้งแต่พวกเรามาตั้งค่ายที่นี่จนรวบรวมกำลังคนและเสบียงเสร็จ  ตอนนี้รวมแล้วก็เกือบ ๆ หนึ่งเดือนแล้วนะขอรับท่านไนท์”

                “อืม” คำตอบสั้น ๆ จากลำคอไม่บ่งบอกอะไรเลยนอกจากการรับรู้  ดวงตาสีดำจัดนั้นหลับลงครู่หนึ่งเหมือนคิดไคร่ครวญ

                “เซนท์...” คำเรียกที่ทำให้หัวหน้าทัพมนตราหนุ่มผู้ยืนอยู่เบื้องหลังขยับตัว  ขานรับ

                “หืม ? ว่าไง ?”

                คำตอบนั้นเรียกให้สายตาทุกคู่หันไปมองคนตอบเป็นตาเดียว  หลายร่างขยับคล้ายหงุดหงิด

                มิใช่เพียงแค่ตัวเจ้าชายแห่งเอเวียสเท่านั้น...ความเก่งฉกาจยังหมายรวมไปถึงชายหนุ่มหน้าอ่อนเบื้องหลังเขาด้วย...

                ...เซนทาเรีย  เลวิส...เสนาธิการแห่งแคว้น  เป็นพ่อมด  หัวหน้าทัพมนตรา  อีกทั้งยังเป็นคนสนิทของเจ้าชายแห่งเอเวียส  อย่าให้ใบหน้าอ่อนเยาว์และรูปร่างบอบบางเหมือนผู้หญิงนั้นหลอกเอาได้ล่ะ...

                ...เคยมีคำร่ำลือว่าคน ๆ นี้...สามารถต้านทัพมนตราที่ประกอบด้วยผู้ใช้มนตราห้าร้อยคนได้ด้วยตัวคนเดียวทีเดียว!!

                อีกทั้ง...ความฉลาดแสนกลนั้น  พูดได้ว่า...สมราคาที่เป็นเสนาธิการที่อายุน้อยที่สุดในเอเวียส

                อันที่จริงแล้ว...ชายหนุ่มคนนี้  เป็นใคร  มาจากไหนก็ไม่มีใครรู้...

                อยู่ ๆ พอมาถึงก็ได้เป็นคนสนิทของเจ้าชาย  ต่อมาไม่นานก็ได้รับตำแหน่งหัวหน้าทัพมนตรา  ไต่เต้าจนได้ตำแหน่งเสนาธิการมาครองอีกหนึ่งตำแหน่งภายในชั่วเวลาสี่ปี...แล้วยังพูดกับเจ้าชายโดยไม่ใช้ราชาศัพท์แม้เพียงคำ

                แน่นอน...หลาย ๆ คนที่อยู่ที่นี่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำนั้น  บางคนอาจเข้าขั้นเกลียดขี้หน้าด้วยซ้ำไป...เกลียดใบหน้ายิ้มแย้มสดใสราวไม่อนาทรร้อนใจนั้นจนแทบอยากจะฆ่า

                มิใช่ว่าไม่มีใครเคยลอง...

                แต่ผู้ที่ลอง...ไม่เคยมีใครรอดกลับมา...

                ในขณะที่เจ้าตัวยังคงยิ้มแย้มอยู่ได้  ความห่างชั้นกันของระดับฝีมือ...ไม่ต้องพูดถึงกันแล้ว

                “มนตราทางป่าเหนือ...เจ้าคิดว่าจะต้านอยู่ไปได้นานเท่าไหร่ ?”

                ...หากแผ่นดินแห่งแสงมี พ่อมดอันดับหนึ่ง คือรีเฟย์ เดนาร์...

                แผ่นดินแห่งความมืดก็มีเซนทาเรีย  เลวิสนี่แหละที่ฝีมือทัดเทียมกัน

                “นานที่สุดเท่าที่จะยื้ออยู่ก็สองเดือน  แต่ข้าว่ามันไม่คุ้มหรอก...ตอนนี้ข้าเสียพลังมนตราไปกว่าหนึ่งในสามแล้วกับป่าบ้า ๆ นั่น  และหากไม่หมั่นร่ายมนตราซ้ำ ๆ ก็คงเอาไว้ไม่อยู่และถึงตอนนั้น  ทัพเราลำบากแน่  และถ้าพลังมนตราของข้าหมดเกลี้ยงละก็...เราจะยิ่งลำบากกว่านั้นอีก”

                คำตอบที่ทำให้ไนท์พยักหน้าน้อย ๆ

                “ถ้าเจ้าถอนมนตรา...คิดว่าจะนานแค่ไหนกว่าที่พลังของป่าเหนือจะกลับมีอำนาจเต็มอีกครั้ง ?”

                “สักห้าราตรี” เซนท์ตอบ

                ดวงตาสีดำตวัดกลับมาทางโต๊ะตัวยาวอีกครั้ง

                “ในห้าราตรีนี้...พวกท่านจงจัดเตรียมกำลังทหารกึ่งหนึ่ง  เราจะเตรียมตัวบุกทันทีที่ข้าสั่ง  เลิกประชุมได้...เซนท์  เจ้ามาคุยกับข้าที่กระโจม”

     

                ร่างสูงในชุดสีดำสนิทเดินผ่านกระโจมใหญ่น้อยมากมายที่ตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ  ตรงไปยังกระโจมอีกหลังหนึ่ง

                เจ้าชายแห่งเอเวียสเลิกผ้าคลุมกระโจมขึ้น  ภายใน...นอกจากเตียงไม้ต่ออย่างหยาบ ๆ หลังหนึ่ง  โต๊ะหนึ่งตัวที่ตอนนี้ถูกจับจองด้วยกระดานหมากรุกสีขาวสลับดำ  เก้าอี้อีกสาม  แผนที่  และตู้ไม้แล้วไม่มีเครื่องเรือนอื่นใด  ไม่มีการตกแต่งอย่างหรูหราเพื่อให้สมฐานะความเป็นเจ้าชาย ไม่มีเครื่องเรือนที่มากเกินความจำเป็น

                ภายในมีนายทหารองครักษ์ยืนประจำการอยู่สองนาย  ชายหนุ่มเหลือบมองเล็กน้อย  ก่อนจะเอ่ย

                “ข้ามีราชการลับ  พวกเจ้าออกไปก่อน”

                คำสั่งที่ได้รับการตอบรับและปฏิบัติในทันทีทันใด  ทันทีที่ในกระโจมร้างคนลง  ไนท์ก็หันกลับมากล่าว

                “เซนท์  เจ้าคิดว่าจะฟื้นพลังตัวเองอย่างเร็วที่สุดได้ในกี่วัน ?”

                “ขอเวลาสองวัน  อย่าให้ใครไปกวนข้าแล้วกัน” หัวหน้าทัพมนตราตอบอย่างมั่นใจ

                “ได้...ข้าจะประกาศคำสั่งห้ามใครไปยุ่มย่ามที่กระโจมเจ้า”

                ไนท์ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้  สีหน้าครุ่นคิด

                พวกเขามาตั้งค่ายอยู่ที่นี่เกือบหนึ่งเดือนจริงดังว่า  ที่ผ่านมามีการเข้าปะทะเพื่อหยั่งเชิงจากทั้งสองฝ่าย  น่าแปลก...เหมือนฝ่ายนั้นสงวนท่าที  จะบุกก็ไม่บุก  จะรับก็เอาแค่พอผ่าน ๆ ไป  คล้ายเต่าหลบอยู่ในกระดอง...

                ...เต่าที่หลบอยู่ในกระดองนั้นไม่ใช่ว่ามันขี้ขลาด...

                เขากลัวแต่ว่า...เขาเผลอเมื่อไหร่  มันจะโผล่หัวจากกระดองมากัดเขาเข้าให้เท่านั้น

                ที่แย่...คืออาถรรพ์ของป่าเหนือ

                ป่าเหนือ...ป่าซึ่งเป็นพรมแดนธรรมชาติของทางฝั่งแสงสว่าง  อาณาเขตของมันลากยาวจากเทือกเขานอร์ธจนจรดนครซาจิเอนด์ทางใต้  ว่ากันว่าครั้งหนึ่งมันเคยเป็นป่าผืนเดียวกับป่าอิคาสในแผนดินความมืดทว่าด้วยเหตุที่แม่น้ำเลเธได้ตัดผ่านกลางของป่าตั้งสองทำให้มีอันต้องแยกจากกันไปในที่สุด

                ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าป่าเหนือนั้นเป็นเหมือนพรมแดนธรรมชาติ  อีกทั้งเส้นทางตัดผ่านป่ายังมุ่งตรงสู่นครหลวงแห่งแสงสว่างซานเกเบีย  ทำให้มีเรื่องเล่าขานสืบต่อกันมาว่า...ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว  พ่อมดแห่งแสงสว่างแปดคนได้ร่วมกันร่ายมนตราซ้ำ ๆ ลงบนผืนป่าแห่งนั้น  นัยว่าเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้มีกองทัพฝ่ายความมืดเดินทัพผ่านป่านั้นไปสู่นครหลวงได้  ทว่าคงเกิดเหตุอันไม่คาดคิดบางอย่างทำให้มนตราที่ลงไปนั้นรุนแรงเสียจนทำให้แม้แต่ผู้คนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินแห่งแสงเองยังไม่สามารถเฉียดใกล้ได้  แถมยังยืนยงอยู่คงทนถาวรเสียด้วย

                มนตราที่ว่ามาก็เป็นต้นว่า...มนตราร้ายกาจน่ากลัวหลากหลายประเภท  มนตราดึกดำบรรพ์ที่เขาไม่รู้ว่ามันมาอยู่ที่นั่นได้อย่างไรหลายบทสถิตอยู่ในป่านั่น  ป่าที่ดูภายนอกสงบร่มรื่น  แต่...ใครจะรู้  ภายในอาจเต็มไปด้วยซากศพของคนที่เห็นมันเป็นเช่นนั้นก็เป็นได้

                หากเขาไม่ได้เซนท์...อย่าว่าแต่ตั้งค่ายที่นี่  กระทั่งเฉียดผ่าน...ก็ไม่แน่ว่าจะรอดไปได้

                แต่การจะกดมนต์อาถรรพ์ของป่านั้นก็มิใช่เรื่องง่ายดายแม้กระทั่งกับคนอย่างเซนท์  การต้องร่ายมนตราซ้ำ ๆ และเสียพลังไปเรื่อย ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย  ไม่ว่าจะสำหรับผู้ใช้มนตราคนไหนก็ตาม

                ทว่า...หากต้องการจะบุกเข้าสู่นครหลวงให้เร็วที่สุดและสูญเสียน้อยที่สุดก็คงมีแต่ทางนี้เท่านั้น

                “เจ้ารู้สึกไหมว่ามันแปลกมาก ?”

                คำเอ่ยเปรยขึ้นก่อนจากชายหนุ่มดวงตาสีเงินสว่างเรียกให้เจ้าชายแห่งเอเวียสเงยหน้าขึ้นจากกระดานหมาก  เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

                “เจ้ารู้สึก ?”

                “เจ้าก็รู้สึกไม่ใช่หรือ ?” เซนท์ย้อนถาม  ริ้มฝีปากยังคงยิ้มเยื้อน “ศึกครั้งนี้...ดูคล้ายกับเมื่อสองปีก่อนนะ ?”

                “อืม” คำตอบรับในลำคอ  แผ่วเบา...จนแทบจะไม่ได้ยิน  แต่ไม่มีทางรอดหูรอดตาของหัวหน้าทัพมนตราหนุ่มไปได้

                “เจ้าคิดว่าอย่างไร ?...ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหรือเปล่า ?”

                มุมปากของเจ้าชายแห่งเอเวียสยกขึ้น  คล้ายยิ้ม...แต่ก็คล้ายหยันอยู่ในที

                “ใครกันจะตอบได้...ข้ามิใช่เทพเจ้าแห่งสงคราม  จะแพ้บ้างก็ไม่แปลกอะไร”

                ถ้อยตอบที่ทำให้ใบหน้าประดับยิ้มอยู่เป็นนิจเคร่งขึ้นเล็กน้อย

                ...เพราะเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อน...

                การบุกที่เลเธนส์...ครั้งนั้นพวกเขาสังหารแม่ทัพลงได้

                แต่กลับทำได้แค่เสมอ...

                ...ไม่มีใครทราบว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร  การที่กองทัพที่ขาดผู้นำจะลุกขึ้นมาตีโต้กลับได้อย่างชาญฉลาดนั้น...คงจะพูดได้แต่เพียงว่าเป็นปาฎิหาริย์

                เพราะเหตุการณ์นั้น  ทำให้ไนท์ใช้เป็นโอกาสในการขอถอนตัวจากการเป็นแม่ทัพ...และหลบหน้าหายไปจากแวดวงการศึกเป็นเวลาเกือบสองปี

                แต่เวลานี้...เนื่องเพราะแผ่นดินแห่งความมืดกำลังมีปัญหา  องค์ราชาคาซัสจึงจำต้องมีคำสั่งตามตัวพวกเขากลับมาเข้าสู่สนามรบอีกครั้ง

                แต่การเสมอในครั้งนั้น...ยังคงเป็นที่โจษจันกันอยู่  แม้ในยามนี้

                ...ปริศนานั้นอยู่ที่ว่า...

                ใครกัน ? ใครกันที่สามารถคิดวิธีการตอบโต้อัจฉริยะปีศาจได้อย่างฉลาดแยบยลปานนั้น  ใครกัน...ที่ออกคำสั่งราวกับมองฟ้าดินออกแบบนั้นได้...

                ...คำตอบนั้น...ซ่อนงำอยู่กับคนเพียงคนเดียวที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร...

                “เจ้าพูดราวกับหวังให้ตัวเองแพ้ ?”

                เซนท์ว่ายั่วเย้า  รอยยิ้มกลับมายึดครองที่เดิมของมันตรงมุมปากของเขาอีกครั้ง

                ดวงตาสีนิลของเจ้าชายแห่งเอเวียสง้มหน้ากลับไปยังกระดานหมาก  ยิ้มขำน้อย ๆ อย่างที่นานแสนนานจะได้เห็นสักที...และคงมีแต่ชายหนุ่มดวงตาสีเงินผู้นี้เท่านั้นที่ได้เห็น

                “กล่าวหาข้ารึ ?”

                “เปล่า...ข้าแค่พูดความจริง  ก็สีหน้าเจ้ามันฟ้อง...คิดว่าข้ารู้จักเจ้าน้อยหรือ ? ไนท์ ?”

                หัวหน้าทัพมนตราหนุ่มเอ่ยแกมขำ  ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกัน

                แกร๊ก!!

                เบี้ยหมากสีขาวตัวหนึ่งถูกเลื่อนออกไปโดยมือของเจ้าชายแห่งเอเวียส  สีหน้าของเขาดูครุ่นคิดนิดหนึ่ง  ก่อนจะเอ่ยต่อ

                “เกี่ยวกับป่าเหนือ...เจ้าคิดว่า  พอจะใช้สิ่งที่อยู่ในนั้นให้เป็นประโยชน์ได้รึเปล่า ?”

                “หมายถึง...?”

                “มนตราโบราณในป่านั่น” ไนท์ตอบราบเรียบ “เป็นมนตราที่ค่อนข้างรุนแรงมาก  หากนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์กับฝ่ายเราได้คงจะทุ่นแรงเจ้าไปเยอะทีเดียว  และฝ่ายนั้นก็คงคาดไม่ถึงด้วย”

                “อ่าฮะ...งั้นเดี๋ยวข้าจะใช้เวลาสองวันระหว่างฟื้นพลังวิเคราะห์มนตรานั่นไปพลาง ๆ แล้วกัน” คำตอบรับราวกับรู้ว่าคนตรงหน้าหวังอะไรจากการเปรย  ทำให้อัจฉริยะปีศาจยกรอยยิ้มบางบนมุมปาก...บาง  ราวกับฝันไป

                ...เขายอมรับ...หากไม่ได้เซนท์  เขาคงทำทุกอย่างไม่ได้ง่ายดายเพียงนี้...

                ...บางครั้ง...ผู้นำที่ดีไม่จำเป็นต้องเก่งกาจไปเสียหมดทุกอย่าง...

                หากแต่ผู้นำที่ดีนั้น...คือคนที่สามารทำให้คนที่เก่งในแขนงต่าง ๆ มารวมตัวกันรอบ ๆ กายและเลือกใช้คนเหล่านั้นได้ราวกับมือเท้าของตัวเอง!!

                “ขอบใจมาก”

                ไนท์ตอบเบา ๆ

                “งั้นข้าขอตัว...อย่าลืมร่างคำสั่งล่ะ  ข้าไม่อยากให้ใครไปกวน...เดี๋ยวจะอาละวาดขึ้นมาเสียเปล่า ๆ” หัวหน้าทัพมนตราหนุ่มยิ้มหวาน

                เจ้าชายพยักหน้า  รับรู้ดีว่าคนหน้าอ่อนที่ยิ้มแย้มอยู่เป็นนิจเบื้องหน้า...เวลา อาละวาด ขึ้นมาแล้วจะเป็นอย่างไร

                “ได้...แล้วข้าจะจัดการให้”


                สายลมอันอบอุ่นพัดปะทะใบหน้าราวกับจะบ่งบอกการมาแห่งคิมหันตฤดูให้รับรู้  ใบไม้ทั้งหลายเปล่งสีเขียวเข้มราวกับจะโอ้อวด  ดอกไม้สีสดใสมากมายเบ่งบานรับฤดูร้อนอันแสนสั้นที่กำลังจะมาเยือนดินแดนทางเหนือเช่นดาเรน

                ร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งยืนอยู่บนเนินเขา  ร่างในอาภรณ์สีขาวของนางคล้ายว่าจะเปล่งแสงเรือง ๆ ออกมา  เรือนผมสีทองอร่ามพลิ้วสะบัดไปกับสายลม  ใบหน้าขาวนวลใสนั้นให้ความรู้สึกราวกับมองน้ำค้างแข็งที่ปลายยอดหญ้า  งดงาม...ส่องประกายแสงยวนใจ  ทว่าเป็นเพียงมายาที่พร้อมจะสลายไปกับไอแดด

                ...ใบหน้าล้ำลึกของนางให้ความรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ...

                ...เป็นใบหน้าของหญิงสาวที่ไม่มีใครจับได้ไล่ทัน...

                “ซาจิทาเรียส”

                เสียงเรียกจากเบื้องหลังที่ทำให้เจ้าหญิงแห่งอีริออสหันกลับไปมอง

                “เจ้าไม่ควรจะออกมาเดินนอกค่ายคนเดียวอย่างนี้...อันตรายมากนะรู้ไหม ?”

                ถ้อยตักเตือนที่ทำให้ซาจิทาเรียสมุ่นหัวคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย  ใบหน้าขององครักษ์หนุ่มมีประกายเคร่งเครียด

                “อืม” หญิงสาวพึมพำคำตอบ  ผ่อนลมหายใจออกเบา ๆ “ข้ารู้...แต่ก็ยังนึกสงสัย”

                “สงสัย ? เจ้าสงสัยอะไร ?”

                “เจ้าไม่รู้สึกหรือว่ามันแปลก” คิ้วเรียวคู่นั้นมุ่นเข้าน้อย ๆ  สีหน้าครุ่นคิด “ที่กองทัพสองกองทัพมาตั้งประจันหน้ากันแต่กลับไม่มีใครบุกใครอย่างจริงจัง  เรามาอยู่ที่นี่ราว ๆ หนึ่งเดือนแล้ว  แต่ที่ผ่าน ๆ มามีแค่การปะทะเล็ก ๆ น้อย ๆ  ที่ข้าไม่บุกย่อมมีเหตุผลของข้า...แต่ฝ่ายนั้น  ดูอย่างกับว่า...มีแผนการอะไรอยู่”

                “เจ้าคิดว่าใช่ ?” ดวงตาสีอำพันของรีเฟย์หรี่ลง

                “ข้าเพียงไม่แน่ใจ” หญิงสาวผ่อนลมหายใจออกช้า ๆ ในที่สุด “สองปีก่อน...ข้ามุ่งมั่นเพียงเอาชนะ  มิได้ใส่ใจรูปแบบการศึกของทางนั้นเท่าที่ควร  แต่กระนั้นก็ยังจำได้ราง ๆ ว่า...มันคล้ายอย่างที่เราเผชิญอยู่นี้”

                “แสดงว่า...”

                “ใช่แล้ว” ดวงตาสีน้ำทะเลของหญิงสาวโชนแสงกล้า “ไม่แน่คราวนี้...บางทีเราอาจจะตกได้ปลาตัวใหญ่ก็ได้”

               

                “ท่านแม่ทัพ...ท่านหัวหน้ากองมนตราและเสนาธิการ  เซนทาเรีย  เลวิสขอเข้าพบขอรับ”

                “ให้เข้ามา” เสียงตอบรับเยือกเย็นจากภายใน  ดวงตาสีนิลหันไปมองทางปากกระโจมเล็กน้อย  ชายหนุ่มในชุดคลุมตัวยาวก้าวเข้ามา  สีหน้ายิ้มแย้มพร้อมกับเอกสารปึกหนา

                “เอ้านี่!!” เซนทาเรียวางกองเอกสารดังกล่าวลงบนโต๊ะ “ข้านั่งวิเคราะห์มนตราจากป่าเหนือนั่นตั้งสองวันเต็ม ๆ อย่าให้เวลาที่ข้าใช้ไปเสียเปล่าล่ะ”

                เจ้าชายแห่งเอเวียสพยักหน้าเล็กน้อย  ละมือจากกระดานหมากรุก  ก่อนจะลงมือตรวจตราเอกสารที่เพิ่งได้รับคร่าว ๆ

                “แล้ว...พลังของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ?”

                “หืม ?” หัวหน้ากองมนตราหนุ่มทรุดตัวลงนั่งอย่างง่าย ๆ “ฟื้นขึ้นมากว่าเก้าในสิบส่วนแล้วล่ะ  สบายมาก...จะให้ไปป่าเหนือด้วยกันล่ะสิ ?”

                มุมปากของผู้มากศักดิ์กว่าขยับขึ้นเป็นรอยยิ้มบางเฉียบ

                ริมฝีปากของเซนท์คลี่รอยยิ้มสดใสราวกับดอกแอปเปิ้ล

                ดวงตาสีดำสนิทเบือนออกไปอีกทาง...

                ...รู้ทันจนได้...

                “รู้ก็ดีแล้ว...เท่าที่ดูคร่าว ๆ  มนตราในป่านั้นอันที่จริงแล้วมีจุดอ่อนมากอยู่เหมือนกันนะ ?”

                “อืม” เซนท์พยักหน้าเห็นด้วย “ถึงแม้มนตราบางบทจะอันตราย  แต่เท่าที่ดู...ไม่มีบทไหนทำให้ถึงตายในคราวเดียว  และถ้าหลบเลี่ยงมนตราพวกนี้ได้ก็คงสามารถเข้าออกป่าเหนือได้ตามใจชอบ”

                “แล้ว...” เจ้าชายแห่งเอเวียสยกมือขึ้นประสานกัน “...เจ้าคิดว่าพอจะ หลบเลี่ยง มนตราพวกนั้นได้ไหม ?”

                ชายหนุ่มดวงตาสีเงินเอียงคอราวกับเด็กน้อยไร้เดียงสายามเอ่ย

                “เจ้าคิดว่ากำลังพูดกับใครอยู่ ? หา ?”

     

                ดวงตาสีน้ำเงินของเจ้าหญิงแห่งอีริออสยังคงจับนิ่งอยู่ ณ จุดอันไกลออกไป  โดยมีรีเฟย์ยืนอยู่ข้าง ๆ ดวงตาสีอำพันมองตรงไปยังจุดเดียวกันกับซาจิทาเรียส  ทว่าประสาทสัมผัสอื่น ๆ นั้นระวังระไว...แม้กระทั่งเสียงใบหญ้าเสียดสีกันเพียงเล็กน้อยก็ไม่อาจจะหลุดรอดไปได้

                เบื้องล่างจากเนินตรงนั้น...ทัศนียภาพทุกอย่างเด่นชัด  ทุ่งหญ้าสีเขียวสล้างไล่เรื่อยลงสู่ค่ายทหารสีดำอันตั้งอยู่ห่างไกลออกไปกว่าสิบโยชน์  ด้านขวาเป็นภูเขาสูงราวกับจะพุ่งยอดของมันขึ้นทิ่มแทงฟากฟ้า  เทือกเขานี้มีนามว่าเทือกเขานอร์ธ  ส่วนเบื้องซ้ายคือป่าสีเขียวจัดอันอุดมสมบูรณ์  ป่าโบราณดึกดำบรรพ์อันถูกเรียกว่าป่าเหนือ  ด้านหลังของนางคือค่ายทหารดาเรนที่ตั้งอยู่ห่างออกไปราว ๆ สิบโยชน์...นางเดินออกมาไกลพอดูทีเดียว

                “ซาจิทาเรียส...” องครักษ์หนุ่มเอ่ยเบา ๆ เรียบ ๆ “...กลับไปที่ค่ายเถอะ”

                “ข้า...ขอเวลาอีกนิด” เจ้าหญิงแห่งอีริออสมุ่นคิ้วนิดก่อนจะผ่อนลง  อากาศยามต้นฤดูร้อนพัดเส้นผมของนางพลิ้วสยาย  กลิ่นหอมอ่อน ๆ คล้ายกลิ่นของสายลมแรกแห่งฤดูใบไม้ผลิโชยชายอ่อน ๆ จากร่างของนาง  ราวกับเทพธิดาแห่งพงไพรก็ไม่ปาน

                ...การได้มายืนทอดสายตามองออกไปยังที่ไกล ๆ เช่นนี้ทำให้นางผ่อนคลาย   ทำให้ลืมเลือนเรื่องราวที่อยากจะลืมเลือน  และรำลึกถึงเหตุการณ์อันสมควรแก่การจดจำ...

                รีเฟย์นิ่งเงียบงัน  เขารู้...บางครั้งนางก็ต้องการพักผ่อนบ้างเหมือนกัน

                “จะว่าไป...” ดวงเนตรสีน้ำทะเลหันไปทางเทือกเขาสูงที่แม้ยามนี้จะล่วงเลยเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว  ทว่า...บนยอดเขากลับถูกหิมะปกคลุมราวกับเป็นกลางฤดูหนาว “...เลยจากเทือกเขานี่ไป  ก็เป็น...”

                เจ้าหญิงทิ้งหางเสียงเอาไว้ราวกับไม่อยากจะเอ่ยต่อ  นัยน์ตาหันมองรีเฟย์ที่นิ่งอั้นไปชั่วครู่

                ชั่วครู่  ก่อนที่ชื่อ ๆ หนึ่งจะถูกเอ่ยออกจากริมฝีปากขององครักษหนุ่ม

                “นครนอร์เธน”

                สายลมหนาวคล้ายจะพัดวูบวับลงมาจากทิศเหนือตามนามนั้น  ลมหนาว...ต้นฤดูร้อน

                เบื้องหลังเทือกเขานี้ เคยเป็นที่ตั้งของนครที่กล่าวขานกันว่างดงามราวกับหิมะแรกแห่งเหมันต์ นครสีขาวสะอาดตั้งตระหง่านรายล้อมทะเลสาบกลางหุบเขาราวกับดินแดนแห่งทวยเทพที่หลบเร้นจากสายตาผู้คนภายนอก นครเก่าแก่อันเป็นสถานที่ซึ่งนักปราชญ์เมธีจากทั่วทุกสารทิศพากันกล่าวขานถึงด้วยความที่เป็นแหล่งเก็บบันทึกโบราณมากมาย ความงดงามแห่งนครนั้น...ถึงกับทำให้เหล่ากวีกล่าวขานถึง   ผู้ที่เคยได้ไปที่นั่นจะไม่มีวันลืมนครแห่งนั้นเป็นอันขาด นามแห่งนครนั้นคือ...     นอร์เธน  

                ทว่า...เมื่อสิบห้าปีก่อน  เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้นครแห่งนั้นหายสาบสูญไปจากแผนที่โดยสิ้นเชิง

                สงคราม!!!

                แม้ว่านอร์เธนจะเต็มไปด้วยปราชญ์และเหล่าผู้ใช้มนตรา  ทว่ากลับมีทหารน้อยยิ่งกว่าน้อย  จึงไม่แปลกที่เมื่อกองทัพพันธมิตรจากเมืองรอบข้างมาถึง...นอร์เธนจะกลายเป็นทะเลเพลิงไปเสียแล้ว

                ไม่อาจจะโทษใครได้...ด้วยว่าผู้ที่สมควรรับความผิดนั้นมีอยู่เพียงผู้เดียว

                ...ผู้ก่อสงครามนั่นแหละ!!

                “รีเฟย์” น้ำเสียงของซาจิทาเรียสอ่อนลง  ก่อนเจ้าตัวจะทอดถอนใจ  เบือนสายตากลับไปทางทิศเดิม “หากไม่มีสงครามก็คงจะไม่มีโศกนาฏกรรม  หากไม่มีสงคราม...คงจะไม่มีเรื่องที่ทำให้มนุษย์เราต้องโศกเศร้าเพียงนี้”

                คนสองคน  จมดิ่งสู่ความเงียบ

                สู่อดีต...

                “ยังจำตอนที่เราพบกันครั้งแรกได้ไหม ? ซาจิทาเรียส ?”

                คำเอ่ยที่ทำให้รอยยิ้มน้อย ๆ ผุดพรายบนริมฝีปากของคนสองคน

                “จำได้สิ...ใครจะไปลืมได้เล่า ?”

               

                ...สิบห้าปีก่อน...เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ในชุดกระโปรงบานสีขาววิ่งตรงจากบันไดปราสาทมาหาเขา...

              ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จักกัน  และทั้ง ๆ ที่เด็กหญิงคนนั้นร่างกายไม่แข็งแรงแท้ ๆ

              ...นางวิ่งลงมาอย่างร่าเริง...ราวกับลูกกวาง...

              หอบดอกกุหลาบสีส้มสดใสสิบสองดอกมาให้เขา

              สีส้มของมัน...สว่างสดใสในแสงแดดของฤดูร้อน  สว่างจนทำให้รู้สึกแสบตา...สว่างจนเขาในยามนั้นต้องหรี่ตาลงยามมองพวกมัน

              เด็กหญิงคนนั้นบอก...นางดีใจที่ได้เจอเขา...ยามที่เอ่ยคำดวงตาสีน้ำทะเลของนางเป็นประกายยิ่งกว่าอัญมณีเสียอีก

              นางเป็นคนทำให้โลกที่พังพินาศจนย่อยยับของเขาค่อย ๆ กลับมาเป็นรูปเป็นร่างอีกครั้ง

              นับแต่วันนั้น...เขาสาบานกับวิญญาณของตัวเอง...

              ...กับหัวใจของตัวเอง...

              ...ที่ของเขา...คือข้างกายเด็กหญิงคนนี้...

              ...ตลอดไป...

     

                “เป็นฤดูร้อนเหมือนตอนนี้เลยนะ” ซาจิทาเรียสว่า

                “นั่นสินะ” ดวงตาสีอำพันของชายหนุ่ม  ทอดยาวออกไปไกลสุดสายตา

                ...จนถึงวันนี้...เขาก็ยังรักษาคำสัตย์...

                “นี่...รีเฟย์”

                “หืม ?”

                “หากว่าไม่เกิดสงคราม...เรื่องก็คงไม่เป็นเช่นนี้  หากไม่เกิดสงคราม  เราสองคนก็คงจะไม่ได้เจอกัน...ฉะนั้น  หากเจ้าย้อนอดีตได้  เจ้าจะทำอย่างไร ?”

                หญิงสาวหันกลับมา  นัยน์ตาสีดุจน้ำทะเลของนางมองตรงมายังเขา  ตรงเข้าไปในดวงตา...ดุจว่าจะมองทะลุลงถึงจิตใจ  ไม่มีท่าทางเอียงอาย...ไม่มีการละสายตาแม้เพียงสักนิด  ไม่เหมือนกับหญิงสาวคนอื่น ๆ

                นางถามซ้ำ

                “เจ้า...จะทำอย่างไร ?  รีเฟย์ ?”

                หัวใจขององครักษ์หนุ่มเต้นสะดุดห้วงเล็กน้อย

                “ข้า...”

                วูบ!!!

                ทว่า...ยังไม่ทันได้ตอบคำ  ดวงตาสีอำพันพลันเบิกกว้างขึ้น  เขาหันควับไปทางทิศอันเป็นที่ตั้งของป่าเหนือทันที

                “เกิดอะไรขึ้นหรือ ?” ดวงตาสีน้ำทะเลของซาจิทาเรียสหรี่ลง  สัมผัสได้ถึงความไม่ปกติที่แสดงออกในสีหน้าขององครักษ์หนุ่ม

                “มีคนกำลังเข้าไปในป่าเหนือ!?

                “หมายความว่ายังไง ?”

                “ใครบางคน...กำลังใช้มนตราอะไรบางอย่างอยู่ในป่าเหนือ  นี่มัน...บ้าชัด ๆ!!” รีเฟย์กัดริมฝีปาก

                ...นี่มันอะไรกัน ? ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกเลยจนกระทั่งเมื่อครู่ ?

                หากมีสิ่งใดเคลื่อนไหวในรัศมีห้าโยชน์นับจากตรงนี้เขาควรจะรับรู้ได้ด้วยมนตราแท้ ๆ

                ...หมายความว่า...ใครคนนั้น...หรือคนกลุ่มนั้นจะต้องเป็นคนที่มีความสามารถทัดเทียมกับเขา

                ไม่แน่...อาจจะสูงกว่าด้วยซ้ำไป!!

                “พวกมันคิดจะทำอะไร ? เข้าไปในป่าเหนือโดยไม่โดนมนตราในนั้นเล่นงาน...แล้วยังใช้มนตรา...” ใบหน้านวลเผือดลงเล็กน้อย  ก่อนจะตั้งสติได้

                “ข้าจะไปดู!!

                “ซาจิทาเรียส!!!

                แต่ไม่ทันเสียแล้ว  เพราะร่างบางในชุดสีขาวทิ้งตัวพุ่งลงจากเนินสูง  ตรงไปยังป่าเหนืออันเขียวขจี...

                เนตรสีฟ้าน้ำทะเลหรี่ลงอย่างใคร่ครวญ

                “เดี๋ยวก่อน...ซาจิทาเรียส!! มันอันตรายนะ” ชายหนุ่มกล่าวขณะที่พุ่งตัวตามหญิงสาวมาติด ๆ  ไม่ว่าอย่างไร...เขาจะทิ้งนางไปไม่ได้เด็ดขาด!!

                “สิ่งใดหากจัดการได้ควรรีบจัดการก่อน...หากปล่อยให้ร่ายมนตราเสร็จเราไม่อาจรู้แน่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” เจ้าหญิงตอบเสียงเรียบ  สายลมอบอุ่นพุ่งผ่านร่างไปทำให้สิ่งรอบข้างกลายเป็นเส้นสีพร่ามัว “มนตราในป่านั่น...อันตรายขนาดไหนเจ้าน่าจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุด ถ้าฝั่งนั้นเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้...”

                หญิงสาวกัดริมฝีปากเบา ๆ...ทำไมนางไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน...

                ดวงตาสีเหลืองดั่งอำพันของพ่อมดแห่งตะวันออกทอประกายตึงเครียด...เขาหรือจะไม่รู้ว่าอันตรายขนาดไหน...

                ...อันตรายทุกทาง...ไม่ว่าจะปล่อยผ่านไป...หรือเข้าไปหยุดยั้ง...

                มุมปากของหญิงสาวบิดขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มบางแสนบางราวกับเท่าทันความคิดของเขาในยามนี้

                “ข้าไม่กลัวหรอกนะ...รีเฟย์ ยามนี้  ข้าไม่กลัวหรอกนะ  ไม่กลัวสิ่งใดทั้งนั้น...ทำไมน่ะหรือ ?”

                น้ำเสียงนั้นโศกเศร้า หม่นหมอง...แต่ก็มั่นคงเหมือนคนที่ตัดสินใจได้แล้ว...

                “เพราะว่า...ข้ามีพวกเจ้าอยู่เคียงข้างกระมัง  ทั้งเจ้าและรามิเอล...แค่มีพวกเจ้าสองคน  สิ่งใด ๆ ในโลกหล้านี้...”

                ราวกับรอยยิ้มเศร้านั้นเปล่งประกายที่ทำให้หัวใจเขาพลันอ่อนยวบลง

                “...ข้าก็ไม่กลัวทั้งนั้น”

     

                “รู้สึกต้นตอพลังมนตราจะอยู่ที่ต้นไม้ตรงนี้...แล้วก็ตรงนั้น  รวมเป็นแปดจุดรอบป่านี้พอดี...ตามตำนานนั่นเป๊ะ!!

                คำเอ่ยไปพลางสำรวจโน่นนี่ไปพลางจากหัวหน้าทัพมนตรา  ใบหน้าอ่อนหวานดุจสตรีเงยขึ้นจากโคนต้นไม้สีน้ำตาลอมเทาที่มีลายอักขระสีแดงชาดถูกเขียนเอาไว้ที่โคนต้นแทบจะติดกับพื้นชนิดที่หากไม่ก้มลงสังเกตดี ๆ คงไม่มีทางมองเห็นเป็นแน่

                “แล้วก็...ถ้าหากแก้มนตราจากตรงนี้ไปเรื่อย ๆ อาจจะคลายมนตราของป่านี้ลงได้ก็ได้นะ  จะเอายังไงล่ะ ? ไนท์ ?”

                ดวงตาสีเงินหันมามองร่างสูงในชุดสีดำที่ยืนพิงโคนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง  กลิ่นอับชื้นของป่าลอยอวลในบรรยากาศอันมัวซัว  ต้นไม้สูงที่ชิงกันพุ่งชะลูดขึ้นเพื่อรับแสงบดบังแสงอาทิตย์ที่ควรจะส่องลงมาสู่ผืนป่าไปจนหมด  ทำให้สภาพในป่านี้คล้ายจะเป็นกลางคืนอยู่ตลอดเวลา

                “คิดว่าจะทำได้ในเวลานานเท่าไหร่ ?” ชายหนุ่มผู้มากศักดิ์กว่าถามเรียบ

                “อืม...” เซนท์กลอกตาขึ้นฟ้า “...ถ้าข้าคนเดียว  ขอสักสองชั่วยาม  แต่ถ้าเจ้าคิดจะมาช่วยกันด้วย...คงเหลือประมาณหนึ่งชั่วยามละมั้ง”

                “งั้นเจ้าจัดการ”

                “ไม่คิดจะช่วยเลยหรือ ?”

                “เจ้าร่ายคนเดียวได้นี่” ไนท์ตอบคำ  หลับตาลงกอดอกราวกับมีเรื่องต้องครุ่นคิดมากมาย  ไม่ใส่ใจคำพึมพำเบา ๆ ที่เขาจับความอะไรคล้าย ๆ ใจดำ และ ข้าเหนื่อยแล้วนะ ของชายหนุ่มหน้าหวานเลยสักนิด

                “เชอะ!!” สุดท้ายเมื่อทำอะไรไม่ได้  หัวหน้าทัพมนตราหนุ่มก็จำต้องยืนตรง  ประสานมือเข้าด้วยกัน

                “เซนท์...” เจ้าชายแห่งเอเวียสเหลือบตาขึ้นนิดหนึ่ง  เขาวาดมือผ่านอากาศ  ท่าทางสง่างามราวกับผู้เป็นใหญ่เหนือพื้นพิภพ   ดาบเล่มใหญ่ในฝักดาบสีดำสนิทก็ปรากฏขึ้นที่กลางฝ่ามือ  เพียงมองปราดเดียวก็รับรู้ได้ว่าเป็นดาบชั้นเลิศ...ด้ามดาบดุนลายนูนโปร่งอย่างดีให้มีน้ำหนักเบา  ฝักดาบเดินด้วยเส้นเงินสวย  นอกจากนี้...ที่ด้ามยังประดับอัญมณีซึ่งส่องแสงสีดำเยือกเย็นออกมา

                “จำเอาไว้...ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น  หากยังร่ายไม่เสร็จ...ห้ามหยุดเด็ดขาด”

                “อืม” ชายหนุ่มหน้าหวานรับคำแผ่วเบา  ก่อนดวงตาสีเงินคู่นั้นจะหรี่หลับลง

                “ดวงอาทิตย์ทางตะวันออก  จันทราแห่งตะวันตก  จ้าวสมุทรแห่งโพ้นทะเล  มหาราชาแห่งสรวงสวรรค์...”

                คำบริกรรมแช่มช้า  เนิบนาบคล้ายเสียงขับบทกวี  แล้วอักขระบางแสนบาง...เล็กแสนเล็กค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนอากาศรอบตัวของเซนท์  มันรายล้อมเป็นวงกลมรอบร่างของเขา  เมื่อแรกก็เริ่มจากเส้นหนึ่ง  เชื่อมต่อไปยังอีกเส้นหนึ่ง  ตัวอักษรที่ไม่อาจจะบ่งบอกความหมายได้ค่อย ๆ เปล่งแสงประกายสีเงินราวกับเส้นด้ายที่ฟั่นทอมาจากแสงสว่างของดวงจันทร์  สัญลักษณ์เหล่านั้นประหลาดนัก  บางช่วงตอนก็ดูคล้ายลุกเริงดุจเปลวไฟ  บางช่วงตอนลื่นไหลราวกับสายน้ำ  ร้อยเรียงอย่างงดงามจนชวนตะลึง

                วูบ!!

                หัวหน้าทัพมนตราหนุ่มคลายมือออก  รวดเร็ว...รุนแรงและบิดกระชาก  ตัวอักขระสีเงินเหล่านั้นสั่นไหว  ก่อนจะพุ่งวูบกระจัดกระจายตรงเข้าใส่ร่างของชายหนุ่มผู้ยืนอยู่ตรงกึ่งกลางแห่งตัวอักษรเหล่านั้น  สลักจารึกลงบนร่างของเขา...เปล่งประกายออกจากเนื้อหนัง  งดงาม...น่าสะพรึงกลัว

                ดวงตาของเซนท์ลืมขึ้นเล็กน้อย...

                ...มันหาได้เป็นสีเงินไม่  บัดนี้...ดวงตาแฝงแววสนุกสนานสีเงินสว่างคู่นั้นกลับกลายเป็นสีแดงฉาน  ม่านตาแคบเล็กดุจม่านตาของสัตว์เลื้อยคลาน

                ทุกอย่างอยู่ในสายตาของเจ้าชายแห่งเอเวียส

                มิใช่เพราะเขาไม่อยากจะช่วยคนตรงหน้า  ทว่า...ในยามที่ดาบโลดแล่นฟาดฟันจนลืมตัวสิ้น...

                ...ก็ต้องมีฝักดาบเอาไว้คอยที่จะยับยั้งในยามที่ดาบบ้าคลั่งไปมิใช่หรือ ?

                ไนท์มองร่างของชายหนุ่มหน้าหวานที่บัดนี้เต็มไปด้วยรอยสัญลักษณ์อันเรื่อเรือง  และดวงตาที่กลายเป็นสีดุจโลหิตนั้นอย่างเยือกเย็น

                เขารู้ว่า...บัดนี้  เซนทาเรีย  เลวิส...ได้จากไปสู่สถานที่ไกลแสนไกล...

                ...ส่วนร่างที่อยู่ตรงหน้านี้...แม้จะเป็นร่างของเซนท์จริง  แต่ก็เป็นเพียงแค่เปลือกกลวง ๆ

                สิ่งที่อยู่ข้างในร่างนั้น...มิใช่หัวหน้าทัพมนตราหนุ่มอีกแล้ว  ทว่า...เป็นดวงจิตอีกดวงหนึ่ง  ซึ่งเปี่ยมพลังอำนาจกว่า  น่ากลัวกว่า  และไม่เสถียรเท่าใดนัก  หากกระทบกระเทือนร่างนั้นเพียงเล็กน้อย...ทุกสิ่งทุกอย่างจะพังครืน   และ...นั่นก็คือ...

                ...การ อาละวาด ของเซนท์...

                ต้นไม้ทั้งแปดต้นอันเป็นแหล่งพลังของป่าเหนือสั่นไหวราวกับต้องลมพายุแรง  มันค่อย ๆ เรืองประกายแสงสว่างราวกับมีหิ่งห้อยนับพัน ๆ บินกรูออกมาจากลำต้น  กิ่งก้าน...ใบทั้งมวลต่างเปล่งประกายแสงสีทองออกมาราวกับตอบรับเสียงเรียกของชายหนุ่มหน้าหวาน

                ...หากสยบต้นตอของมนตราได้...ก็ไม่แน่ว่าอาจจะมีทางใช้มันให้เป็นประโยชน์ได้เช่นกัน...

                ดวงตาสีนิลคล้ายสีของรัตติกาลไร้ที่สิ้นสุดนั้นกำลังจะปิดลง  ทว่า...มีบางอย่างที่ทำให้เขายันตัวออกจากลำต้นของต้นไม้ใหญ่ที่ยืนพิงอยู่ทันที  สัญชาตญาณระแวดระวังตื่นตัวเต็มที่

                การเคลื่อนไหวอันเล็กน้อยเหลือเกินจากด้านหลัง...

                ...แล้วคมดาบสีดำก็พุ่งออกไป...

     

                ทุกอย่างหยุดนิ่ง

                มิได้มีสิ่งใดเคลื่อนไหว  แม้เพียงเสียงเข็มตกลงบนพื้นก็อาจได้ยินในเวลาเช่นนี้

                คมดาบสีดำพุ่งตัดผ่านป่าอันมืดอับทึบนั้น  ตรงเข้าสู่ร่างร่างหนึ่ง

                นัยน์ตาสีฟ้าราวกับน้ำทะเลเบิกขึ้น   ร่างสูงข้างตัวหญิงสาวพุ่งออกหน้า

                คมดาบตรงเข้ามา...

                ตูม!!!

     

                ซาจิทาเรียสเบิกตาคว้าง  นาง...ผู้ซึ่งเคยผ่านสถานการณ์น่าหวาดหวั่นมามากต่อมาก  ผ่านความเป็นความตายนับร้อยนับพัน  ยืนนิ่ง...ไม่อาจเคลื่อนไหว  แม้ลมหายใจ...ยังขาดกระตุก...

                ดาบพุ่งมาตอนไหน  เมื่อไหร่...นางไม่อาจรับรู้ได้เลย

                รู้ตัวอีกที   รีเฟย์ก็ถลันมายืนตรงหน้า  กางมือกั้นนางออกจากคมดาบเสียแล้ว

                เปลวเพลิงสีแดงสดพุ่งวูบออกจากฝ่ามือขององครักษ์หนุ่ม 

                เจ้าของดาบสีดำชะงักถอยไปเล็กน้อย...ก่อนที่นางจะสังเกตว่าดวงตาสีนิลนั้นเบิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อมองมาทางนาง

                หญิงสาวจำเขาได้...

                ...ชายคนที่ช่วยนางในร้านเหล้านั่นเอง!!!


                ไนท์จำหญิงสาวผู้นี้ได้...ไม่สิ...ควรกล่าวว่าเขาไม่อาจลืมนางไปได้จะถูกต้องกว่า

                เป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนที่เขาเฝ้าใคร่ครวญถึงหญิงสาวแปลกประหลาดซึ่งเขาได้พบในร้านเหล้า  สตรีซึ่งไม่รู้จักแม้เพียงชื่อ  แต่กลับประทับลงในใจของเขาได้ราวกับเหล็กร้อนเผาไฟนาบลงในจิตวิญญาณเสียอีก

                เขาย่อมต้องตกใจ  เมื่อพบนางในสถานที่เช่นนี้...ไม่เพียงแค่นั้น  ผู้อยู่ข้างกายนาง...ยังมีฝีมือมากมายเพียงนี้

                นางเป็นใครกันแน่!?!

                หากแต่คำถามที่สำคัญเสียยิ่งกว่าเรื่องนั้น...คือนางมาทำอะไรในสถานที่เช่นนี้!!?

                ทว่า  ก่อนที่เขาจะทันได้ถามอะไรอื่น  ชายอีกคนที่มาด้วยกันกับนางก็สะบัดมือ  อากาศร้อนระอุพุ่งวูบวาบราวกับคมมีด

                ชายคนนั้นเป็นพ่อมด  นอกจากจะเป็นพ่อมดแล้ว...ยังเป็นพ่อมดซึ่งเก่งฉกาจชนิดหาตัวจับยากเสียด้วย  แม้เพิ่งจะได้พบกัน...แต่ไนท์ก็สามารถบอกได้เต็มปากว่า  คน ๆ นี้ฝีมือไม่ใช่คนธรรมดาทีเดียว

                “เดี๋ยวก่อน!! รีเฟย์!!!” หญิงสาวในชุดสีขาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจ  พ่อมดซึ่งบัดนี้เขาทราบแล้วว่ามีนามว่ารีเฟย์ชะงักเล็กน้อย   ก่อนจะยั้งมือ...แต่ด้วยท่าทางที่ดูคล้ายพร้อมจะลงมือทุกเวลา

                เจ้าชายแห่งเอเวียสเองก็ไม่ต่างกัน

                “ซาจิทาเรียส!! คน ๆ นี้ไม่ใช่คนธรรมดา!!!

                “ท่านเป็นใคร ?”

                เสียงใสที่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบทำให้ไนท์เบิกตาขึ้นเล็กน้อย

                “ท่านเป็นใครกัน ?” หญิงสาวถามย้ำ  ราวกับไม่มีความหวาดกลัวใด ๆ  ใช่...อารมณ์ซึ่งนางแสดงออกตั้งแต่พบหน้าเขาจนกระทั่งบัดนี้  นอกจากความตกใจแล้ว...กระทั่งรอยหวาดหวั่นก็ไม่มีให้เห็น

                “โปรดอย่าโกหกข้า...ท่านเป็นใคร ?”

                ดวงตาของนางสบประสานตรงมายังดวงตาของเขา  ไม่เอียงอาย  ไม่มีท่าทางหลบหลีกหรือเก้อเขิน  ดวงตาของนาง...มีเพียงรอยราบเรียบสงบ  เหมือนผิวน้ำทะเลยามไร้คลื่นลม

                ...ส่องลึกทะลุลงไปยังจิตใจของเขา  ทำให้หัวใจสั่นสะท้าน...

                กระแสถ้อยคำไม่มีวี่แววแห่งการคุกคามข่มขู่  ในดวงตาก็ไม่ได้คาดคั้น  ทว่า...คล้ายมีพลังอำนาจบางอย่างแผ่ออกมาจากน้ำเสียงนั้น  กดดันทำให้เจ้าชายแห่งเอเวียสต้องลอบสูดลมหายใจลึกเพียงเพื่อเรียกสติกลับมา

                หาไม่แล้ว...เขาเองคงจะต้องถูกพลังอำนาจที่มองไม่เห็นในตัวของนางสะกดเอาไว้เป็นแน่แท้

                ประหลาดนัก  เจ้าชายแห่งเอเวียสคิด...ก่อนนี้เขาไม่เคยรู้สึกว่าตนเองต้องรับมืออะไรอย่างนี้แม้สักครั้ง  ไม่เคยมีใครกดดันเขาได้  ไม่เคยแม้กระทั่งมีใครชักจูงเขาได้  ทว่านาง...นางผู้ซึ่งเขาไม่ทราบกระทั่งชื่อ  แต่กลับทำให้หัวใจสั่นไหว  เพียงแค่นางมองตา...เขาเองกลับเป็นฝ่ายใจเต้นกระตุกเสียเอง

                ไม่เคยเป็นแบบนี้...และไนท์ก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับตัวเองด้วย

                “ข้า...ชื่อไนท์...” เจ้าชายแห่งเอเวียสตอบ  เลี่ยงที่จะบอกทั้งสกุลและฐานะออกไปสิ้น  ทว่า...ดูเหมือนนางเองก็จะรู้เช่นกันว่าเขากำลังเลี่ยงอะไร

                “ข้าไม่ได้ถามว่าท่านมีนามว่าอะไร...ข้าอยากทราบว่า  ท่านเป็นใครกัน ?”

                “ตามธรรมเนียม  หากอีกฝ่ายบอกนามแล้ว...ผู้ฟังก็ควรจะบอกนามของตนให้อีกฝ่ายทราบเช่นกันมิใช่หรือ ?” เจ้าของดวงตาสีดำย้อนคำ  ทำให้คิ้วเรียวบางนั้นเลิกขึ้นเล็กน้อย

                “ข้าชื่อซาจิทาเรียส” หญิงสาวตอบสั้น  เบือนสายตาหลบเล็กน้อย “สกุล...ข้าคงไม่ต้องบอก  เพราะท่านเองยังไม่ได้บอกข้าเช่นกัน”

                นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนของเจ้าหญิงหันกลับมายังชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีนิลอีกครั้ง

                “ท่านมาทำอะไรที่นี่...ที่สำคัญ  เข้ามาที่นี่ได้อย่างไร ?”

                “เรื่องนั้น  ข้าบอกไม่ได้”

                “เช่นนั้น...ก็คงไม่มีอะไรต้องสนทนากันอีกแล้ว” ซาจิทาเรียสตอบกลับเย็นชายิ่ง “ขออภัย...ทว่าข้าคงไม่สามารถปล่อยให้ท่านออกไปจากที่นี่ได้  หากท่านไม่อาจตอบคำถามที่ข้าถามได้”

                “ข้าไม่อยากจะสู้กับเจ้า”

                “สายไปแล้ว...ท่านไนท์” เจ้าหญิงแห่งอีริออสหรี่ตาลง  เพียงวูบเดียว...

                ฟู่!!!

                เปลวไฟโหมลุกไหม้ขึ้นในพริบตา!!

                ร่างของพ่อมดแห่งตะวันออกพุ่งออกไป  พระเพลิงสีส้มสดดุจจะเผาผลาญสรรพสิ่งให้ราบพุ่งตามเขาไปราวกับมีชีวิตจิตใจ  เกาะเกี่ยวแขนขาเขา...ใบหน้าของรีเฟย์เรียบเฉย  ราวกับเพลิงไฟร้อนระอุนั้นเย็นเหมือนสายลม

                ดาบสีดำสนิทถูกยกขึ้นกางกั้น  ตวัดครั้งเดียวเปลวเพลิงก็แยกออก

                ซาจิทาเรียสยืนนิ่ง  ไม่ขยับแม้เพียงปลายนิ้ว  มีเพียงสายตาที่จับจ้องมองการต่อสู้เบื้องหน้า  สายลมพัดผ่านร่างของนางเบา ๆ ส่งให้ชายกระโปรงสีขาวสะอาดนั้นไหวน้อย ๆ

                ...ท่ามกลางการต่อสู้และเปลวไฟเช่นนี้...ความนิ่งสงบของนางยิ่งทำให้เจ้าหญิงดูราวกับลอยตัวอยู่เหนือเหตุการณ์ทั้งปวงในโลก

                ชายชื่อไนท์คนนี้...ไม่ใช่คนธรรมดาจริง ๆ

                หญิงสาวไม่รู้ฝีมือของชายหนุ่มนามว่าไนท์คนนี้หรอก  หากแต่ว่า...นางย่อมรู้ซึ้งถึงฝีมือของรีเฟย์  เดนาร์เป็นอย่างดี

                องครักษ์หนุ่มมิใช่คนใจอ่อน  ไม่ใช่คนที่จะยอมออมมือให้ใครอีกทั้งไม่ใช่คนที่สนุกกับการต่อสู้   ส่วนใหญ่แล้วจึงมักจะจัดการให้เด็ดขาดไปอย่างรวดเร็ว

                หากแต่ว่ากับคน ๆ นี้   พ่อมดแห่งทิศตะวันออกผู้นี้กลับดูคล้ายว่าจะตึงมือ

                ท่วงท่ารุกรับของอีกฝ่ายมิได้งดงามเลิศหรู  มิได้รุนแรงน่ากลัว...แต่กลับรัดกุมไร้ช่องโหว่  ทุก ๆ ครั้งที่ดาบดำนั้นตวัดออกหมายถึงหวังผลถึงชีวิตเสมอ

                ซาจิทาเรียสไม่ได้เก่งเชิงดาบ   นางผู้ซึ่งในวัยเด็กถูกโรคภัยรุมเร้านั้นถูกหมอหลวงห้ามอย่างเด็ดขาดมิให้ออกแรงมาก ๆ ไม่ว่ากรณีใด ๆ   แม้ว่าอาการจะมิได้แสดงขึ้นเหมือนกับว่าหายขาดแล้ว  แต่เพราะเกรงว่าอาการดังกล่าวอาจจะกลับกำเริบขึ้นอีกได้  คำสั่งห้ามนั้นจึงยังถูกปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

                อีกทั้ง...ทางมนตรานางเองก็เด่นในด้านรักษา  จึงเรียกว่า...ความสามารถในการต่อสู้ของนางนั้นน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย

                แต่ใช่ว่านางจะดูการต่อสู้ไม่เป็น!!

                นางมองนิ่ง  ทุกการเคลื่อนไหวไม่มีเลยที่จะเล็ดรอดสายตาของหญิงสาวไปได้

                รีเฟย์วาดมือ  เปลวเพลิงโหมระบำรุนแรง  ร่างสูงในชุดสีดำกระโดดหลบไปอีกทาง

                ดวงตาสีนิลคู่นั้นหรี่ลง...

                ...เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าบุรุษนามรีเฟย์นี้ไม่ใช่คนธรรมดา  ยิ่งได้สู้กัน...ยิ่งตระหนักความจริงข้อนี้หนักขึ้นเรื่อย ๆ...

                หากจะเปรียบคนตรงหน้านี้กับใครสักคนล่ะก็...เขาคงต้องคิดถึงเซนท์เป็นอันดับแรก...

                ...มนตราของคนตรงหน้าแกร่งนัก...

                ถึงแม้นิสัยใจคอจะดูไม่คล้ายเซนทาเรีย  เลวิสเลยแม้แต่น้อย  ทว่า...สิ่งที่เหมือนกันระหว่างสองคนนี้คือพลังมนตรามหาศาล  ความคมกริบของฝีมือที่แม้ได้เห็นเพียงครั้งเดียวคงจะไม่มีทางลืมลงเป็นแน่

                แต่เซนท์นั้นเป็นผู้ใช้มนตราขนาดแท้  เพราะชายหนุ่มหน้าหวานแทบไม่เป็นเชิงดาบ  ไม่มีความสามารถการต่อสู้แบบตัวต่อตัวเลยสักนิด...เพราะความมั่นใจในมนตราของตน  ทำให้หัวหน้ากองมนตราหนุ่มไม่เคยคิดว่าตนจำเป็นต้องใช้ดาบหรือฝึกฝนใด ๆ

                ผิดกับคนตรงหน้า...

                คน ๆ นี้มิใช่แกร่งขึ้นได้ด้วยมนตราเพียงอย่างเดียว  การเคลื่อนไหวที่คล้ายกับนักดาบเช่นนั้นก็เป็นหนึ่งในความแข็งแกร่งที่ยิ่งทำให้ความสามารถของเขาน่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีก

                มีคนน่ากลัวเช่นนี้อยู่ข้างกาย  แสดงว่าหญิงสาวนามซาจิทาเรียส...ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน!!

                เห็นที... ไนท์ขมวดคิ้ว ...กลับเอเวียสครานี้...ถึงเจ้าตัวจะโวยวายร้องโอดครวญยังไงก็คงต้องจับท่านหัวหน้ากองมนตราฝึกดาบบ้างเสียแล้ว

                รีเฟย์หรี่ตาลง...

                การโจมตีทุกครั้งของเขาล้วนไร้ผลอย่างน่าประหลาด  คนตรงหน้าหลบไปได้อย่างง่ายดาย  เขาย่อมรู้ตัวว่าตนมิได้ออมมือ  แต่คนตรงหน้านั้นเก่งจริง ๆ

                พ่อมดไม่เคยคิดว่าตนยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน  มิได้สำคัญตนว่าเก่งกาจที่สุดในโลก  เขารู้...ไม่มีอะไรเป็นที่สุดแห่งโลกได้หรอก  และเพราะรู้...จึงหมั่นพากเพียร...

                ...หากแต่คนตรงหน้านี้เก่งจริง ๆ...

                แม้มิได้ชำนาญทางมนตรานัก  ทว่าเชิงดาบของคนตรงหน้าไม่เป็นรองใคร  การเคลื่อนไหว  หลบหลีก...การหาจังหวะและการใช้มนตราเล็ก ๆ น้อย ๆ ทว่าเอื้อประโยชน์มหาศาลนั้นก็ทำได้อย่างไร้ที่ติ  นับว่า...ไม่ใช่ธรรมดาจริง ๆ

                นัยน์ตาสีเงินเหลือบมอง  ก่อนจะสังเกต...

                ...ห่างออกไป  มีร่างอีกร่างที่กำลังทอแสงสว่างเรืองรองจนแสบตา  อักขระบนพื้นและที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศย่อมบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขากำลังร่ายมนตราอยู่

                แสดงว่าคนตรงหน้าเขานี้เพียงแค่ถ่วงเวลาให้อีกคนร่ายมนตราเสร็จเท่านั้นหรือ ?

                องครักษ์หนุ่มนึกถึงคำพูดของเจ้าหญิงแห่งอีริออส...

                ...สิ่งใดหากจัดการได้ควรรีบจัดการก่อน...หากปล่อยให้ร่ายมนตราเสร็จเราไม่อาจรู้แน่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...

                เช่นนั้นเอง  ชายหนุ่มจึงตัดสินใจบางอย่างลงไป...

                ...บางอย่าง...ที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับขาวเป็นดำในบัดดล!!

                เขาเงื้อมือ...เปลวเพลิงลุกเริงอยู่กลางฝ่ามือ  ก่อนจะพุ่งออกไป...

                ...พุ่งหาร่างสว่างไสวอีกร่างทันที!!

               

                ดวงตาสีนิลเบิกกว้างขึ้น...

                ...เจ้าชายแห่งเอเวียสตะโกน “อย่า!!

                ทว่า...

                สายไปแล้ว!!!

     

                พริบตา...เวลาคล้ายหยุดนิ่ง  โลกเหมือนหยุดการเคลื่อนไหว

                สรรพสิ่งนิ่งงัน  ไม่อาจขยับเขยื้อนได้

                ดวงตาสีแดงฉานของเซนท์ตวัดฉับมายังเพลิงไฟอันพุ่งมาหาตน  ร่างทั้งร่างยังคงเรื่อเรืองด้วยแสงจากอักขระประหลาด  เขาเพียงขมวดคิ้วราวขัดใจ นิดเดียว...

                ...นิดเดียวจริง ๆ...

                ตูม!!!

               

                เสียงระเบิดกึกก้อง  พื้นดินสั่นไหว  ต้นไม้อันมีลำต้นสูงใหญ่สั่นกราว  แสงจ้านั้นระเบิดออก  ไร้เสียง...แต่กลับคล้ายกึกก้องในความรู้สึก

                พอแสงทั้งมวลดับวูบลง  อักขระบนร่างของเซนท์ก็มิได้ทอแสงอีกต่อไปแล้ว

                มันกลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม...สลักพันลายลงบนร่างนั้น  สีน้ำเงิน...เข้มแสนเข้ม...ลึกแสนลึกนั้นจารึกลงบนร่างของชายหนุ่ม  ตั้งแต่ศรีษะจนจรดปลายเท้า

                เขาไม่ได้ยืนอยู่บนพื้นอีกแล้ว  ร่างของชายหนุ่มลอยสูงขึ้น  ดวงตาเปล่งสีแดงเข้มดั่งโลหิตซึ่งหลั่งออกมาจากส่วนที่รวดร้าวที่สุดในจิตใจมองตรงไปข้างหน้า...ใบหน้านั้นไร้ซึ่งความรู้สึกอันใด  ลอยคว้างอยู่กลางอากาศราวกับภูตผีปีศาจ

                ครั้นแล้วนัยน์ตาก่ำเลือดคู่นั้นก็ตวัดมายังมนุษย์สามคนซึ่งอยู่ ณ ที่นั้น

                รอยยิ้มแสยะออก...

     

                ลมหายใจคล้ายว่าติดขัดอัดแน่นอยู่เพียงลำคอ

                ไนท์ย่อมได้สติและรู้ว่าควรทำอะไรก่อนคนอื่น   เขาละมือจากรีเฟย์และพุ่งเข้าใส่ร่างซึ่งลอยอยู่กลางอากาศ...

                ...เขารู้ว่าสิ่งซึ่งสถิตอยู่ในร่างของเซนท์นั้นร้ายนัก  น่ากลัวนัก...

                ดาบสีดำเงื้อเข้าใส่ร่างของหัวหน้าทัพมนตราหนุ่ม

                เซนท์ยกมือขึ้น  ท่าทางเหมือนโบกลม...เพียงแค่นั้น  ร่างสูงของเจ้าชายแห่งเอเวียสก็กระเด็นออกไปทันที!!

                ยังความตระหนกสู่อีกสองคนที่เหลือ

                เจ้าชายแห่งเอเวียสพยุงตนขึ้นยืน  ตะโกนออกไป

                “เซนท์!! หยุดนะ!!!

                แต่เหมือนเจ้าของนามจะไม่ได้ยิน 

                “เซนท์!! อย่า!!!

                สายลมพัดวูบไหว...

     

                สายลมวูบไหว  หอบเอาความหวาดกลัวและกลิ่นอายของความตายมายังผู้ที่ยืนอยู่ตรงนั้น

                หยาดโลหิตโปรยปรายดั่งสายฝนในฤดูร้อน

                เจ้าหญิงไม่รับรู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น...

                ...ทุกสิ่งวูบไหว  พริบตาเดียวเท่านั้นก่อนที่โลหิตจะโปรยปรายจากเบื้องหน้านาง...

                รีเฟย์  เดนาร์ล้มลง...

                ซาจิทาเรียสเอื้อมมือออกรับด้วยสัญชาตญาณ  ร่างของชายหนุ่มยังอุ่นระอุด้วยหยดเลือดที่ไหลออกจากปากแผลกว้าง  เลือดหยดลงบนใบหน้าของหญิงสาว...วาววามน่าสยดสยอง

                ไนท์พุ่งวูบมาจากด้านหลัง  ใช้สันดาบอัดเปรี้ยงเข้าที่ลำคอของเซนทาเรีย  เลวิส  ร่างของชายหนุ่มหน้าหวานกระเด็นออกไป  เจ้าชายแห่งเอเวียสพุ่งร่างตาม  ต่อยสุดแรงเข้าที่แก้มซ้าย...

                ร่างอันลอยคว้างกลางอากาศร่วงวูบลงสู่พื้น  สลบไปอย่างไม่ต้องสงสัย  รอยสักสีน้ำเงินหายไปแล้ว...พร้อม ๆ กับที่ภายในร่างนั้นจะกลับมาเป็นเซนทาเรีย  เลวิสที่เขารู้จักอีกครั้ง

                ดวงตาสีนิลหันกลับมายังหญิงสาวผู้ยืนนิ่งงันอยู่

                “ตกลง...”

                ดาบถูกกระชับเข้ามา  ชี้ตรงไปยังเจ้าหญิงแห่งอีริออส

                ...เขาไม่อาจใจอ่อนได้อีกต่อไป...

                “...บอกข้าได้หรือยังว่าท่านเป็นใครกันแน่ ?”

     

                ซาจิทาเรียสนิ่งงัน

                ความคิดที่เคยแล่นรวดเร็วยิ่งกว่าสายน้ำ  บัดนี้เหมือนจะตีบตัน  ปัญหาตรงหน้า...ไม่ว่าจะเค้นสมองคิดอย่างไรก็ไม่สามารถหาคำตอบได้

                นางจะทำอย่างไร ? นางควรทำอย่างไรจึงจะออกไปจากสถานการณ์เช่นนี้ได้ ?

                ไม่ใช่แค่นางคนเดียว...แต่ต้องพารีเฟย์ออกไปด้วย

                เขาบาดเจ็บเพื่อปกป้องนาง  เขามาที่นี่ก็เพราะนางรั้นจะมา...แล้วจะมาปล่อยให้เขาตายอยู่ที่นี่เพราะการตัดสินใจของนางได้อย่างไร ?

                ทว่า...ยิ่งคิดเท่าไหร่   กลับยิ่งนึกไม่ออก

                ทางดาบของนางนั้น...เทียบกับคนธรรมดาก็นับว่าสูงอยู่บ้าง  แต่เทียบกับคนตรงหน้าแล้ว...ต้องนับว่าต่ำยิ่งนัก  มนตราหรือนางก็ไม่ใคร่ถนัดใช้ในการต่อสู้

                เมื่อมาคิดดูเข้าจริง ๆ แล้ว...เจ้าหญิงก็รู้สึกเจ็บใจ

                หากไม่ใช่เพราะนางร่างกายอ่อนแอ...นางคงทำอะไรได้มากกว่านี้

                หากไม่ใช่เพราะนางอ่อนแอเพียงนี้...บางทีสิ่งที่นางทำได้อาจจะมีมากกว่าการนั่งวางแผนก็เป็นได้

                “หากเจ้าไม่ตอบ...ข้าก็เสียใจ” บุรุษตรงหน้ากล่าวต่อไป “ข้าอาจหาวิธีกักตัวเจ้าเอาไว้ได้  แต่ข้าคงไม่สามารถปล่อยให้ชายคนนี้รอดไปได้  เขาเป็นอันตรายมากเกินไป”

                “ท่านล่ะ...เป็นใครกันแน่ ?” ซาจิทาเรียสถามเสียงแผ่วเบา

                เมื่อไม่เห็นความจำเป็นใดที่จะต้องปกปิดอีกต่อไป  เจ้าชายจึงตอบตามตรง

                “ไนท์  เดเรเวส”

                ได้ฟังเพียงเท่านี้  เจ้าหญิงแห่งอีริออสก็เข้าใจทุกอย่างกระจ่างชัด

                นางย่อมเคยผ่านตากับราชวงศ์ของนครต่าง ๆ  ยิ่งเป็นนครสำคัญ...นางยิ่งท่องจำจนขึ้นใจ

                ไนท์  เดเรเวส...บุตรชายของคาซัส  เดเรเวส...ราชาแห่งเอเวียส!!

                ประหลาดนัก...หญิงสาวเคยคิดหลายต่อหลายครั้ง...ตามธรรมดา  แม้เป็นหญิงก็ต้องได้รับการขึ้นชื่ออยู่ในราชวงศ์  แต่น่าแปลก...ทำไมในแผนผังราชวงศ์นี้กลับไม่ชี้แจงว่าเจ้าชายไนท์นั้นเกิดแต่ราชินีนามว่าอะไร

                อันที่จริง...ซาจิทาเรียสไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ากษัตริย์คาซัสได้ทรงสถาปนาราชินีขึ้นหรือไม่  แต่ดูเหมือนว่า...เมื่อกาลก่อนประมาณยี่สิบปีมานี้ยังมีข่าวหนาหูว่ากษัตริย์แห่งเอเวียสทรงอภิเษก  ทว่าไม่ได้ระบุว่าทรงอภิเษกกับผู้ใด  อีกทั้งไม่ได้มีการสถาปนาราชินีอย่างเป็นทางการ  สตรีสูงศักดิ์ผู้นั้นจึงเป็นเหมือนเงาราง ๆ ที่มองไม่เห็นอยู่ในแผนผังแห่งราชวงศ์เดเรเวส

                แต่ครั้นจะมาถามเอาความกับเจ้าตัวตอนนี้คงไม่ใช่เวลาเป็นแน่!!

                สิ่งสำคัญยามนี้...คือทำอย่างไร  ทำอย่างไรให้นางและรีเฟย์ออกไปจากที่นี่ได้ต่างหาก!!!

                ตัวนางเองนั้นยังแข็งแรงไม่ได้บาดเจ็บ  ย่อมสามารถกระทำการใด ๆ ได้มากกว่า...อีกทั้งนางยังเป็นเจ้าหญิงแห่งอีริออส  หากแม้จวนตัวจริง ๆ นางอ้างศักดิ์ของตน  ไม่ว่าอย่างไร...คนตรงหน้าคงไม่เร่งฆ่านางแน่นอน  อย่างดีก็คงแค่กักตัวไว้เท่านั้น

                แต่สำหรับรีเฟย์...มันไม่ใช่อย่างนั้น  รีเฟย์เป็นคนเก่ง  เป็นพ่อมดอันดับหนึ่งของแผ่นดินแห่งแสงจริง   ทว่าเอาเข้าจริงแล้ว  ยศถาที่เขามีกลับเป็นเพียงแค่องครักษ์  ถึงจะเป็นคนเก่ง...เป็นคนสำคัญสำหรับการศึกนี้  แต่สำหรับคนตรงหน้าก็คงไม่ต่างอันใดกับศัตรูที่ต้องรีบกำจัดแต่เนิ่น ๆ  ไม่มีค่าควรแก่การปล่อยชีวิต  อีกทั้ง...สมมตินางทำให้ชายตรงหน้าเปลี่ยนใจไม่ฆ่า  แต่เปลี่ยนเป็นคุมตัวไปแทน  แต่จับไปแล้วจะเป็นอย่างไร ? คนของนครแห่งแสงย่อมไม่มีวันยอมเสียสละอะไรมากมายเพียงเพื่อรักษาชีวิตขององครักษ์เพียงคนเดียวหรอก

                แม้ว่าองครักษ์คนนั้นจะมีอดีตที่สูงศักดิ์อย่างไรก็ตาม

                ไม่มีทางอื่นใดอีกแล้ว

                เจ้าหญิงจึงตอบกลับไป  ดวงตาทอประกายเด็ดขาด

                “ข้าคือซาจิทาเรียส  ดอว์เรเน่...เจ้าหญิงแห่งอีริออส”

    มาแล้วจ้า!!~ หลังจากการปั่นอย่างเหนื่อยยาก >[]<

    แหะ ๆ ๆ...ยังโชคดีที่ช่วงนี้มีบทบูโผล่มาให้เขียนหน่อย ไม่งั้น ข้าน้อยต้องขาดใจตายด้วยความอัดอั้นแหง ๆ Y_Y (ฉากแบบนี้ล่ะเขียนคล่องนัก พอบทเข้าพระเข้านางล่ะไม่ได้เรื่อง -*-)

    แต่ยังไงข้าน้อยก็จะพยายามต่อไปเน้อ!!

    และก็ขอปฏิญาณ (แบบไม่ค่อยเต็มเสียง) ว่าต่อไปนี้จะลงนิยายอย่างมีวินัยมากขึ้น (ไม่ดองนั่นเอง พูดง่าย ๆ) จะพยายามนะเจ้าค้า!! O''o

    มิริน


    *T* Bear*M* bear

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×