คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ปฐมบท คำอธิษฐานที่ 3 : ว่าด้วยการศึกที่ดาเรน (100% แล้วจ้า!!!)
ห่างออกไปจากค่ายทหารของดาเรนราวสามสิบโยชน์นั้นเป็นที่ตั้งของค่ายทหารอีกแห่งซึ่งแตกต่างจากค่ายทหารของดาเรนราวหน้ามือกับหลังมือ
มิใช่เพราะการควบคุมของที่นี่ย่อหย่อน มิใช่เพราะที่นี่ดูเล็กหรือด้อยความสามารถกว่าแต่อย่างใด หากเพราะ...สีสัน...
...ค่ายทหารของดาเรนนั้นเป็นสีขาวสะอาด...
...ทว่า...ที่นี่กลับเต็มไปด้วยสีดำที่ทำให้บรรยากาศดูเคร่งขรึม มิใช่หม่นหมอง...ทว่าก็กดดันความรู้สึกของคนให้เครียดขึงขึ้นได้
ลึกเข้าไปภายใน ใจกลางของค่ายอันกว้างขวางกินอาณาเขตออกไปไกลจนเกือบจะติดกับป่าเหนือ
พรึ่บ!!~
ผ้าคลุมกระโจมขนาดใหญ่ถูกเลิกเปิดออก ภายในเป็นโต๊ะยาวทำจากไม้สีดำขัดมันตัวหนึ่ง เก้าอี้หลายตัวถูกจับจองโดยผู้คนในชุดสีดำสนิททะมัดทะแมงอย่างทหาร บนโต๊ะนั้น...แผนที่ซึ่งเขียนขึ้นบนหนังแผ่นใหญ่ถูกคลี่กางตรึงติดทั้งสี่มุม เก้าอี้ตัวใหญ่ที่สุดตรงหัวโต๊ะยังคงว่างอยู่
ทันทีที่กระโจมถูกเลิกผ้าขึ้น...สายตาทุกคู่ในกระโจมก็หันไปมองเป็นตำแหน่งเดียว ทุกคนลุกขึ้นยืนโดยพร้อมเพรียงกัน
บุรุษผู้เข้ามาใหม่มีสองคน...
คนแรกหน้าตาคมคาย หล่อเหลาเยือกเย็นราวรูปสลักหินอ่อนของช่างฝีมือ ใบหน้าขาวจัดนั้นนิ่งเรียบไร้อารมณ์ใด ๆ ปรากฏ ดวงตาสีดำเหมือนท้องฟ้าในรัตติกาลที่ไร้ดวงดาว มืดมน เหมือนไม่มีแสงสว่างใด ๆ ทอลอดเข้าไปได้...มีเพียงความเยือกเย็นและล้ำลึกที่ไม่อาจจะชี้วัดได้เท่านั้น ร่างสูงอยู่ในชุดสีดำเช่นเดียวกัน ผิดแต่ว่า...ที่ต้นแขนนั้นประดับตราทองคำอันเป็นสัญลักษณ์แห่งราชวงศ์เดเรเวส...ตระกูลสูงศักดิ์ผู้ปกครองนครหลวงแห่งความมืดเอเวียสมานานหลายยุคหลายสมัย
ส่วนอีกคนดูผิดกับคนแรกโดยสิ้นเชิง ใบหน้าอ่อนเยาว์ประดับยิ้มนั้นหากมองเพียงผิวเผินอาจดูคล้ายสตรี ดวงตาสีเงินพราวประกายระยับอย่างนึกสนุกอยู่เสมอ เส้นผมสีเดียวกับดวงตาทิ้งตัวพลิ้วลงบนแผ่นหลัง...ช่างเป็นบุคลิกที่ดูขัดกับบรรยากาศเคร่งขรึมของที่นี่เสียเหลือเกิน ร่างสูงไม่เกินคนตรงหน้านั้นอยู่ในชุดเสื้อคลุม...บ่งฐานะพ่อมดชัดเจน
ชายคนแรกที่เดินนำเข้ามาพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงให้ผู้ที่ยืนอยู่นั่งลง ซึ่งได้รับการปฏิบัติตามในทันที
“ท่านไนท์...ข้าได้ส่งทหารออกไปทางโน้นแล้ว การตั้งรับก็ทำเหมือนขอไปทีอย่างที่เคย ราวกับปิดบังจำนวนทหารอยู่” คำรายงานดังขึ้นแทบจะในทันทีที่ชายหนุ่มดวงตาสีนิลทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่หัวโต๊ะ
“กองเสบียงรายงานมาว่า...ตอนนี้เสบียงของเราร่อยหรอลงไปครึ่งหนึ่งแล้วนะขอรับ หากยังหยั่งเชิงกันอย่างนี้ต่อไป...ไม่แน่ว่าทางเราอาจต้องเป็นฝ่ายถอยให้เอง” คำรายงานจากด้านซ้าย
“อืม...” ถ้อยตอบราบเรียบจากผู้นั่งหัวโต๊ะ ส่วนชายหนุ่มอีกคนที่เข้ามาด้วยกันนั้นยืนนิ่งอยู่เบื้องหลังเก้าอี้หัวโต๊ะด้วยท่าทางสบายอารมณ์
“...ข้าจะวางแผนให้เข้าปะทะในเร็ววันนี้”
“ทหารกองเสริมกองสุดท้ายจากเอเวียสเดินทางมาถึงเมื่อครู่ ตอนนี้ตั้งค่ายอยู่รอบนอกแล้วขอรับเจ้าชาย”
‘เจ้าชาย’ พยักหน้ารับน้อย ๆ
เจ้าชาย...ทรงมีพระนามว่า ไนท์ เดเรเวส...
ตั้งแต่ครั้งพระชนม์เพียงแค่สิบห้าก็มีความสามารถถึงขนาดคุมกองทัพหลวงตีทะลวงเข้าสู่แผ่นดินแสงสว่างได้ ความสามารถ...ร้ายกาจจนเข้าขั้นน่ากลัว
ฉายา ‘อัจฉริยะปีศาจ’...เขาหาใช่ได้มาเพียงเพราะเป็นเจ้าชาย...
...ใช่แล้ว...คนผู้นี้แหละคือ ‘อัจฉริยะปีศาจ’ ที่กล่าวขวัญว่าไม่แน่บางที...อาจมีพรสวรรค์และความสามารถไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า ‘ปราชญ์แห่งแสง’ อันเป็นตำแหน่งที่กษัตริย์ชาออสแห่งซานเกเบียครองอยู่ในยามนี้เลยแม้สักนิด
ทว่า...เพราะเหตุใดไม่อาจรู้...
ราวสองปีก่อน เขาทูลขอพระบิดา...ราชาคาซัสแห่งเอเวียส ให้ปลดเขาออกจากตำแหน่งแม่ทัพเสีย
น่าประหลาดเช่นกัน...ที่องค์ราชาทรงอนุญาตให้คนเก่งเช่นเขาลาออกได้อย่างง่ายดาย
เรื่องนี้ยิ่งทำให้ข่าวลือที่ว่าเขาเป็น ‘ลูกชัง’ ของกษัตริย์แห่งเอเวียสแพร่สะพัดหนาหูขึ้นไปอีก
แต่ไม่ว่าจะเป็นลูกรักหรือลูกชังก็ตามแต่ สิ่งหนึ่งที่เป็นความจริงเสมอ...คือ...ความเก่งกาจ...
...เก่งกาจ สงบนิ่ง หนักแน่น เยือกเย็นราวกับภูเขาน้ำแข็งไม่โยกคลอนนี้เองที่ทำให้เขาปกครองกองทัพได้อย่างเคร่งครัด ฉลาดปราดเปรื่องเหมือนรอบรู้ฟ้าดิน พลิกสถานการณ์ให้กลับหัวเป็นหาง กลับขาวเป็นดำได้ง่าย ๆ เพียงแค่เขาออกคำสั่ง...
การที่เจ้าชายแห่งเอเวียสซึ่งถูกถอดถอนลงจากตำแหน่งแม่ทัพไปเมื่อสองปีที่แล้ว กลับต้องมารับศึกเช่นนี้นั้นมีเหตุผล เนื่องด้วยหลังจากที่เจ้าชายทรงถอนจากการเป็นแม่ทัพ ก็ไม่มีใครสามารถตีดินแดนแสงสว่างได้สำเร็จอีกเลยในระยะเวลาสองปีที่ล่วงมา กลับกัน...เอเวียสเสียอีกที่ถูกโจมตีจนเสียหายหนักอยู่บ่อย ๆ
มีคนกล่าวกันว่า ในดินแดนแห่งแสงมีปราชญ์ผู้หนึ่งปรากฏตัวให้คำแนะนำในการศึกต่าง ๆ ปราชญ์ในคำเล่าลือนี้...ว่ากันว่า เก่งฉกาจราวกับหยั่งรู้แผ่นดินแผ่นน้ำ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากษัตริย์ชาออสผู้ได้รับสมญาปราชญ์แห่งแสงเลยทีเดียว
เพราะเหตุนี้...อัจฉริยะปีศาจจึงถูกเรียกตัวกลับมา
สู่สงคราม...ที่เขาเกลียด
ท่านรองแม่ทัพเอ่ยขึ้นก่อน
“ที่จริง...ตั้งแต่พวกเรามาตั้งค่ายที่นี่จนรวบรวมกำลังคนและเสบียงเสร็จ ตอนนี้รวมแล้วก็เกือบ ๆ หนึ่งเดือนแล้วนะขอรับท่านไนท์”
“อืม” คำตอบสั้น ๆ จากลำคอไม่บ่งบอกอะไรเลยนอกจากการรับรู้ ดวงตาสีดำจัดนั้นหลับลงครู่หนึ่งเหมือนคิดไคร่ครวญ
“เซนท์...” คำเรียกที่ทำให้หัวหน้าทัพมนตราหนุ่มผู้ยืนอยู่เบื้องหลังขยับตัว ขานรับ
“หืม ? ว่าไง ?”
คำตอบนั้นเรียกให้สายตาทุกคู่หันไปมองคนตอบเป็นตาเดียว หลายร่างขยับคล้ายหงุดหงิด
มิใช่เพียงแค่ตัวเจ้าชายแห่งเอเวียสเท่านั้น...ความเก่งฉกาจยังหมายรวมไปถึงชายหนุ่มหน้าอ่อนเบื้องหลังเขาด้วย...
...เซนทาเรีย เลวิส...เสนาธิการแห่งแคว้น เป็นพ่อมด หัวหน้าทัพมนตรา อีกทั้งยังเป็นคนสนิทของเจ้าชายแห่งเอเวียส อย่าให้ใบหน้าอ่อนเยาว์และรูปร่างบอบบางเหมือนผู้หญิงนั้นหลอกเอาได้ล่ะ...
...เคยมีคำร่ำลือว่าคน ๆ นี้...สามารถต้านทัพมนตราที่ประกอบด้วยผู้ใช้มนตราห้าร้อยคนได้ด้วยตัวคนเดียวทีเดียว!!
อีกทั้ง...ความฉลาดแสนกลนั้น พูดได้ว่า...สมราคาที่เป็นเสนาธิการที่อายุน้อยที่สุดในเอเวียส
อันที่จริงแล้ว...ชายหนุ่มคนนี้ เป็นใคร มาจากไหนก็ไม่มีใครรู้...
อยู่ ๆ พอมาถึงก็ได้เป็นคนสนิทของเจ้าชาย ต่อมาไม่นานก็ได้รับตำแหน่งหัวหน้าทัพมนตรา ไต่เต้าจนได้ตำแหน่งเสนาธิการมาครองอีกหนึ่งตำแหน่งภายในชั่วเวลาสี่ปี...แล้วยังพูดกับเจ้าชายโดยไม่ใช้ราชาศัพท์แม้เพียงคำ
แน่นอน...หลาย ๆ คนที่อยู่ที่นี่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำนั้น บางคนอาจเข้าขั้นเกลียดขี้หน้าด้วยซ้ำไป...เกลียดใบหน้ายิ้มแย้มสดใสราวไม่อนาทรร้อนใจนั้นจนแทบอยากจะฆ่า
มิใช่ว่าไม่มีใครเคยลอง...
แต่ผู้ที่ลอง...ไม่เคยมีใครรอดกลับมา...
ในขณะที่เจ้าตัวยังคงยิ้มแย้มอยู่ได้ ความห่างชั้นกันของระดับฝีมือ...ไม่ต้องพูดถึงกันแล้ว
“มนตราทางป่าเหนือ...เจ้าคิดว่าจะต้านอยู่ไปได้นานเท่าไหร่ ?”
...หากแผ่นดินแห่งแสงมี ‘พ่อมดอันดับหนึ่ง’ คือรีเฟย์ เดนาร์...
แผ่นดินแห่งความมืดก็มีเซนทาเรีย เลวิสนี่แหละที่ฝีมือทัดเทียมกัน
“นานที่สุดเท่าที่จะยื้ออยู่ก็สองเดือน แต่ข้าว่ามันไม่คุ้มหรอก...ตอนนี้ข้าเสียพลังมนตราไปกว่าหนึ่งในสามแล้วกับป่าบ้า ๆ นั่น และหากไม่หมั่นร่ายมนตราซ้ำ ๆ ก็คงเอาไว้ไม่อยู่และถึงตอนนั้น ทัพเราลำบากแน่ และถ้าพลังมนตราของข้าหมดเกลี้ยงละก็...เราจะยิ่งลำบากกว่านั้นอีก”
คำตอบที่ทำให้ไนท์พยักหน้าน้อย ๆ
“ถ้าเจ้าถอนมนตรา...คิดว่าจะนานแค่ไหนกว่าที่พลังของป่าเหนือจะกลับมีอำนาจเต็มอีกครั้ง ?”
“สักห้าราตรี” เซนท์ตอบ
ดวงตาสีดำตวัดกลับมาทางโต๊ะตัวยาวอีกครั้ง
“ในห้าราตรีนี้...พวกท่านจงจัดเตรียมกำลังทหารกึ่งหนึ่ง เราจะเตรียมตัวบุกทันทีที่ข้าสั่ง เลิกประชุมได้...เซนท์ เจ้ามาคุยกับข้าที่กระโจม”
ร่างสูงในชุดสีดำสนิทเดินผ่านกระโจมใหญ่น้อยมากมายที่ตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ตรงไปยังกระโจมอีกหลังหนึ่ง
เจ้าชายแห่งเอเวียสเลิกผ้าคลุมกระโจมขึ้น ภายใน...นอกจากเตียงไม้ต่ออย่างหยาบ ๆ หลังหนึ่ง โต๊ะหนึ่งตัวที่ตอนนี้ถูกจับจองด้วยกระดานหมากรุกสีขาวสลับดำ เก้าอี้อีกสาม แผนที่ และตู้ไม้แล้วไม่มีเครื่องเรือนอื่นใด ไม่มีการตกแต่งอย่างหรูหราเพื่อให้สมฐานะความเป็นเจ้าชาย ไม่มีเครื่องเรือนที่มากเกินความจำเป็น
ภายในมีนายทหารองครักษ์ยืนประจำการอยู่สองนาย ชายหนุ่มเหลือบมองเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย
“ข้ามีราชการลับ พวกเจ้าออกไปก่อน”
คำสั่งที่ได้รับการตอบรับและปฏิบัติในทันทีทันใด ทันทีที่ในกระโจมร้างคนลง ไนท์ก็หันกลับมากล่าว
“เซนท์ เจ้าคิดว่าจะฟื้นพลังตัวเองอย่างเร็วที่สุดได้ในกี่วัน ?”
“ขอเวลาสองวัน อย่าให้ใครไปกวนข้าแล้วกัน” หัวหน้าทัพมนตราตอบอย่างมั่นใจ
“ได้...ข้าจะประกาศคำสั่งห้ามใครไปยุ่มย่ามที่กระโจมเจ้า”
ไนท์ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ สีหน้าครุ่นคิด
พวกเขามาตั้งค่ายอยู่ที่นี่เกือบหนึ่งเดือนจริงดังว่า ที่ผ่านมามีการเข้าปะทะเพื่อหยั่งเชิงจากทั้งสองฝ่าย น่าแปลก...เหมือนฝ่ายนั้นสงวนท่าที จะบุกก็ไม่บุก จะรับก็เอาแค่พอผ่าน ๆ ไป คล้ายเต่าหลบอยู่ในกระดอง...
...เต่าที่หลบอยู่ในกระดองนั้นไม่ใช่ว่ามันขี้ขลาด...
เขากลัวแต่ว่า...เขาเผลอเมื่อไหร่ มันจะโผล่หัวจากกระดองมากัดเขาเข้าให้เท่านั้น
ที่แย่...คืออาถรรพ์ของป่าเหนือ
ป่าเหนือ...ป่าซึ่งเป็นพรมแดนธรรมชาติของทางฝั่งแสงสว่าง อาณาเขตของมันลากยาวจากเทือกเขานอร์ธจนจรดนครซาจิเอนด์ทางใต้ ว่ากันว่าครั้งหนึ่งมันเคยเป็นป่าผืนเดียวกับป่าอิคาสในแผนดินความมืดทว่าด้วยเหตุที่แม่น้ำเลเธได้ตัดผ่านกลางของป่าตั้งสองทำให้มีอันต้องแยกจากกันไปในที่สุด
ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าป่าเหนือนั้นเป็นเหมือนพรมแดนธรรมชาติ อีกทั้งเส้นทางตัดผ่านป่ายังมุ่งตรงสู่นครหลวงแห่งแสงสว่างซานเกเบีย ทำให้มีเรื่องเล่าขานสืบต่อกันมาว่า...ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว พ่อมดแห่งแสงสว่างแปดคนได้ร่วมกันร่ายมนตราซ้ำ ๆ ลงบนผืนป่าแห่งนั้น นัยว่าเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้มีกองทัพฝ่ายความมืดเดินทัพผ่านป่านั้นไปสู่นครหลวงได้ ทว่าคงเกิดเหตุอันไม่คาดคิดบางอย่างทำให้มนตราที่ลงไปนั้นรุนแรงเสียจนทำให้แม้แต่ผู้คนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินแห่งแสงเองยังไม่สามารถเฉียดใกล้ได้ แถมยังยืนยงอยู่คงทนถาวรเสียด้วย
มนตราที่ว่ามาก็เป็นต้นว่า...มนตราร้ายกาจน่ากลัวหลากหลายประเภท มนตราดึกดำบรรพ์ที่เขาไม่รู้ว่ามันมาอยู่ที่นั่นได้อย่างไรหลายบทสถิตอยู่ในป่านั่น ป่าที่ดูภายนอกสงบร่มรื่น แต่...ใครจะรู้ ภายในอาจเต็มไปด้วยซากศพของคนที่เห็นมันเป็นเช่นนั้นก็เป็นได้
หากเขาไม่ได้เซนท์...อย่าว่าแต่ตั้งค่ายที่นี่ กระทั่งเฉียดผ่าน...ก็ไม่แน่ว่าจะรอดไปได้
แต่การจะกดมนต์อาถรรพ์ของป่านั้นก็มิใช่เรื่องง่ายดายแม้กระทั่งกับคนอย่างเซนท์ การต้องร่ายมนตราซ้ำ ๆ และเสียพลังไปเรื่อย ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย ไม่ว่าจะสำหรับผู้ใช้มนตราคนไหนก็ตาม
ทว่า...หากต้องการจะบุกเข้าสู่นครหลวงให้เร็วที่สุดและสูญเสียน้อยที่สุดก็คงมีแต่ทางนี้เท่านั้น
“เจ้ารู้สึกไหมว่ามันแปลกมาก ?”
คำเอ่ยเปรยขึ้นก่อนจากชายหนุ่มดวงตาสีเงินสว่างเรียกให้เจ้าชายแห่งเอเวียสเงยหน้าขึ้นจากกระดานหมาก เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“เจ้ารู้สึก ?”
“เจ้าก็รู้สึกไม่ใช่หรือ ?” เซนท์ย้อนถาม ริ้มฝีปากยังคงยิ้มเยื้อน “ศึกครั้งนี้...ดูคล้ายกับเมื่อสองปีก่อนนะ ?”
“อืม” คำตอบรับในลำคอ แผ่วเบา...จนแทบจะไม่ได้ยิน แต่ไม่มีทางรอดหูรอดตาของหัวหน้าทัพมนตราหนุ่มไปได้
“เจ้าคิดว่าอย่างไร ?...ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหรือเปล่า ?”
มุมปากของเจ้าชายแห่งเอเวียสยกขึ้น คล้ายยิ้ม...แต่ก็คล้ายหยันอยู่ในที
“ใครกันจะตอบได้...ข้ามิใช่เทพเจ้าแห่งสงคราม จะแพ้บ้างก็ไม่แปลกอะไร”
ถ้อยตอบที่ทำให้ใบหน้าประดับยิ้มอยู่เป็นนิจเคร่งขึ้นเล็กน้อย
...เพราะเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อน...
การบุกที่เลเธนส์...ครั้งนั้นพวกเขาสังหารแม่ทัพลงได้
แต่กลับทำได้แค่เสมอ...
...ไม่มีใครทราบว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร การที่กองทัพที่ขาดผู้นำจะลุกขึ้นมาตีโต้กลับได้อย่างชาญฉลาดนั้น...คงจะพูดได้แต่เพียงว่าเป็นปาฎิหาริย์
เพราะเหตุการณ์นั้น ทำให้ไนท์ใช้เป็นโอกาสในการขอถอนตัวจากการเป็นแม่ทัพ...และหลบหน้าหายไปจากแวดวงการศึกเป็นเวลาเกือบสองปี
แต่เวลานี้...เนื่องเพราะแผ่นดินแห่งความมืดกำลังมีปัญหา องค์ราชาคาซัสจึงจำต้องมีคำสั่งตามตัวพวกเขากลับมาเข้าสู่สนามรบอีกครั้ง
แต่การเสมอในครั้งนั้น...ยังคงเป็นที่โจษจันกันอยู่ แม้ในยามนี้
...ปริศนานั้นอยู่ที่ว่า...
ใครกัน ? ใครกันที่สามารถคิดวิธีการตอบโต้อัจฉริยะปีศาจได้อย่างฉลาดแยบยลปานนั้น ใครกัน...ที่ออกคำสั่งราวกับมองฟ้าดินออกแบบนั้นได้...
...คำตอบนั้น...ซ่อนงำอยู่กับคนเพียงคนเดียวที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร...
“เจ้าพูดราวกับหวังให้ตัวเองแพ้ ?”
เซนท์ว่ายั่วเย้า รอยยิ้มกลับมายึดครองที่เดิมของมันตรงมุมปากของเขาอีกครั้ง
ดวงตาสีนิลของเจ้าชายแห่งเอเวียสง้มหน้ากลับไปยังกระดานหมาก ยิ้มขำน้อย ๆ อย่างที่นานแสนนานจะได้เห็นสักที...และคงมีแต่ชายหนุ่มดวงตาสีเงินผู้นี้เท่านั้นที่ได้เห็น
“กล่าวหาข้ารึ ?”
“เปล่า...ข้าแค่พูดความจริง ก็สีหน้าเจ้ามันฟ้อง...คิดว่าข้ารู้จักเจ้าน้อยหรือ ? ไนท์ ?”
หัวหน้าทัพมนตราหนุ่มเอ่ยแกมขำ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกัน
แกร๊ก!!
เบี้ยหมากสีขาวตัวหนึ่งถูกเลื่อนออกไปโดยมือของเจ้าชายแห่งเอเวียส สีหน้าของเขาดูครุ่นคิดนิดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ
“เกี่ยวกับป่าเหนือ...เจ้าคิดว่า พอจะใช้สิ่งที่อยู่ในนั้นให้เป็นประโยชน์ได้รึเปล่า ?”
“หมายถึง...?”
“มนตราโบราณในป่านั่น” ไนท์ตอบราบเรียบ “เป็นมนตราที่ค่อนข้างรุนแรงมาก หากนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์กับฝ่ายเราได้คงจะทุ่นแรงเจ้าไปเยอะทีเดียว และฝ่ายนั้นก็คงคาดไม่ถึงด้วย”
“อ่าฮะ...งั้นเดี๋ยวข้าจะใช้เวลาสองวันระหว่างฟื้นพลังวิเคราะห์มนตรานั่นไปพลาง ๆ แล้วกัน” คำตอบรับราวกับรู้ว่าคนตรงหน้าหวังอะไรจากการเปรย ทำให้อัจฉริยะปีศาจยกรอยยิ้มบางบนมุมปาก...บาง ราวกับฝันไป
...เขายอมรับ...หากไม่ได้เซนท์ เขาคงทำทุกอย่างไม่ได้ง่ายดายเพียงนี้...
...บางครั้ง...ผู้นำที่ดีไม่จำเป็นต้องเก่งกาจไปเสียหมดทุกอย่าง...
หากแต่ผู้นำที่ดีนั้น...คือคนที่สามารทำให้คนที่เก่งในแขนงต่าง ๆ มารวมตัวกันรอบ ๆ กายและเลือกใช้คนเหล่านั้นได้ราวกับมือเท้าของตัวเอง!!
“ขอบใจมาก”
ไนท์ตอบเบา ๆ
“งั้นข้าขอตัว...อย่าลืมร่างคำสั่งล่ะ ข้าไม่อยากให้ใครไปกวน...เดี๋ยวจะอาละวาดขึ้นมาเสียเปล่า ๆ” หัวหน้าทัพมนตราหนุ่มยิ้มหวาน
เจ้าชายพยักหน้า รับรู้ดีว่าคนหน้าอ่อนที่ยิ้มแย้มอยู่เป็นนิจเบื้องหน้า...เวลา ‘อาละวาด’ ขึ้นมาแล้วจะเป็นอย่างไร
สายลมอันอบอุ่นพัดปะทะใบหน้าราวกับจะบ่งบอกการมาแห่งคิมหันตฤดูให้รับรู้ ใบไม้ทั้งหลายเปล่งสีเขียวเข้มราวกับจะโอ้อวด ดอกไม้สีสดใสมากมายเบ่งบานรับฤดูร้อนอันแสนสั้นที่กำลังจะมาเยือนดินแดนทางเหนือเช่นดาเรน
ร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งยืนอยู่บนเนินเขา ร่างในอาภรณ์สีขาวของนางคล้ายว่าจะเปล่งแสงเรือง ๆ ออกมา เรือนผมสีทองอร่ามพลิ้วสะบัดไปกับสายลม ใบหน้าขาวนวลใสนั้นให้ความรู้สึกราวกับมองน้ำค้างแข็งที่ปลายยอดหญ้า งดงาม...ส่องประกายแสงยวนใจ ทว่าเป็นเพียงมายาที่พร้อมจะสลายไปกับไอแดด
...ใบหน้าล้ำลึกของนางให้ความรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ...
...เป็นใบหน้าของหญิงสาวที่ไม่มีใครจับได้ไล่ทัน...
“ซาจิทาเรียส”
เสียงเรียกจากเบื้องหลังที่ทำให้เจ้าหญิงแห่งอีริออสหันกลับไปมอง
“เจ้าไม่ควรจะออกมาเดินนอกค่ายคนเดียวอย่างนี้...อันตรายมากนะรู้ไหม ?”
ถ้อยตักเตือนที่ทำให้ซาจิทาเรียสมุ่นหัวคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ใบหน้าขององครักษ์หนุ่มมีประกายเคร่งเครียด
“อืม” หญิงสาวพึมพำคำตอบ ผ่อนลมหายใจออกเบา ๆ “ข้ารู้...แต่ก็ยังนึกสงสัย”
“สงสัย ? เจ้าสงสัยอะไร ?”
“เจ้าไม่รู้สึกหรือว่ามันแปลก” คิ้วเรียวคู่นั้นมุ่นเข้าน้อย ๆ สีหน้าครุ่นคิด “ที่กองทัพสองกองทัพมาตั้งประจันหน้ากันแต่กลับไม่มีใครบุกใครอย่างจริงจัง เรามาอยู่ที่นี่ราว ๆ หนึ่งเดือนแล้ว แต่ที่ผ่าน ๆ มามีแค่การปะทะเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ข้าไม่บุกย่อมมีเหตุผลของข้า...แต่ฝ่ายนั้น ดูอย่างกับว่า...มีแผนการอะไรอยู่”
“เจ้าคิดว่าใช่ ?” ดวงตาสีอำพันของรีเฟย์หรี่ลง
“ข้าเพียงไม่แน่ใจ” หญิงสาวผ่อนลมหายใจออกช้า ๆ ในที่สุด “สองปีก่อน...ข้ามุ่งมั่นเพียงเอาชนะ มิได้ใส่ใจรูปแบบการศึกของทางนั้นเท่าที่ควร แต่กระนั้นก็ยังจำได้ราง ๆ ว่า...มันคล้ายอย่างที่เราเผชิญอยู่นี้”
“แสดงว่า...”
“ใช่แล้ว” ดวงตาสีน้ำทะเลของหญิงสาวโชนแสงกล้า “ไม่แน่คราวนี้...บางทีเราอาจจะตกได้ปลาตัวใหญ่ก็ได้”
“ท่านแม่ทัพ...ท่านหัวหน้ากองมนตราและเสนาธิการ เซนทาเรีย เลวิสขอเข้าพบขอรับ”
“ให้เข้ามา” เสียงตอบรับเยือกเย็นจากภายใน ดวงตาสีนิลหันไปมองทางปากกระโจมเล็กน้อย ชายหนุ่มในชุดคลุมตัวยาวก้าวเข้ามา สีหน้ายิ้มแย้มพร้อมกับเอกสารปึกหนา
“เอ้านี่!!” เซนทาเรียวางกองเอกสารดังกล่าวลงบนโต๊ะ “ข้านั่งวิเคราะห์มนตราจากป่าเหนือนั่นตั้งสองวันเต็ม ๆ อย่าให้เวลาที่ข้าใช้ไปเสียเปล่าล่ะ”
เจ้าชายแห่งเอเวียสพยักหน้าเล็กน้อย ละมือจากกระดานหมากรุก ก่อนจะลงมือตรวจตราเอกสารที่เพิ่งได้รับคร่าว ๆ
“แล้ว...พลังของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ?”
“หืม ?” หัวหน้ากองมนตราหนุ่มทรุดตัวลงนั่งอย่างง่าย ๆ “ฟื้นขึ้นมากว่าเก้าในสิบส่วนแล้วล่ะ สบายมาก...จะให้ไปป่าเหนือด้วยกันล่ะสิ ?”
มุมปากของผู้มากศักดิ์กว่าขยับขึ้นเป็นรอยยิ้มบางเฉียบ
ริมฝีปากของเซนท์คลี่รอยยิ้มสดใสราวกับดอกแอปเปิ้ล
ดวงตาสีดำสนิทเบือนออกไปอีกทาง...
...รู้ทันจนได้...
“รู้ก็ดีแล้ว...เท่าที่ดูคร่าว ๆ มนตราในป่านั้นอันที่จริงแล้วมีจุดอ่อนมากอยู่เหมือนกันนะ ?”
“อืม” เซนท์พยักหน้าเห็นด้วย “ถึงแม้มนตราบางบทจะอันตราย แต่เท่าที่ดู...ไม่มีบทไหนทำให้ถึงตายในคราวเดียว และถ้าหลบเลี่ยงมนตราพวกนี้ได้ก็คงสามารถเข้าออกป่าเหนือได้ตามใจชอบ”
“แล้ว...” เจ้าชายแห่งเอเวียสยกมือขึ้นประสานกัน “...เจ้าคิดว่าพอจะ ‘หลบเลี่ยง’ มนตราพวกนั้นได้ไหม ?”
ชายหนุ่มดวงตาสีเงินเอียงคอราวกับเด็กน้อยไร้เดียงสายามเอ่ย
“เจ้าคิดว่ากำลังพูดกับใครอยู่ ? หา ?”
ดวงตาสีน้ำเงินของเจ้าหญิงแห่งอีริออสยังคงจับนิ่งอยู่ ณ จุดอันไกลออกไป โดยมีรีเฟย์ยืนอยู่ข้าง ๆ ดวงตาสีอำพันมองตรงไปยังจุดเดียวกันกับซาจิทาเรียส ทว่าประสาทสัมผัสอื่น ๆ นั้นระวังระไว...แม้กระทั่งเสียงใบหญ้าเสียดสีกันเพียงเล็กน้อยก็ไม่อาจจะหลุดรอดไปได้
เบื้องล่างจากเนินตรงนั้น...ทัศนียภาพทุกอย่างเด่นชัด ทุ่งหญ้าสีเขียวสล้างไล่เรื่อยลงสู่ค่ายทหารสีดำอันตั้งอยู่ห่างไกลออกไปกว่าสิบโยชน์ ด้านขวาเป็นภูเขาสูงราวกับจะพุ่งยอดของมันขึ้นทิ่มแทงฟากฟ้า เทือกเขานี้มีนามว่าเทือกเขานอร์ธ ส่วนเบื้องซ้ายคือป่าสีเขียวจัดอันอุดมสมบูรณ์ ป่าโบราณดึกดำบรรพ์อันถูกเรียกว่าป่าเหนือ ด้านหลังของนางคือค่ายทหารดาเรนที่ตั้งอยู่ห่างออกไปราว ๆ สิบโยชน์...นางเดินออกมาไกลพอดูทีเดียว
“ซาจิทาเรียส...” องครักษ์หนุ่มเอ่ยเบา ๆ เรียบ ๆ “...กลับไปที่ค่ายเถอะ”
“ข้า...ขอเวลาอีกนิด” เจ้าหญิงแห่งอีริออสมุ่นคิ้วนิดก่อนจะผ่อนลง อากาศยามต้นฤดูร้อนพัดเส้นผมของนางพลิ้วสยาย กลิ่นหอมอ่อน ๆ คล้ายกลิ่นของสายลมแรกแห่งฤดูใบไม้ผลิโชยชายอ่อน ๆ จากร่างของนาง ราวกับเทพธิดาแห่งพงไพรก็ไม่ปาน
...การได้มายืนทอดสายตามองออกไปยังที่ไกล ๆ เช่นนี้ทำให้นางผ่อนคลาย ทำให้ลืมเลือนเรื่องราวที่อยากจะลืมเลือน และรำลึกถึงเหตุการณ์อันสมควรแก่การจดจำ...
รีเฟย์นิ่งเงียบงัน เขารู้...บางครั้งนางก็ต้องการพักผ่อนบ้างเหมือนกัน
“จะว่าไป...” ดวงเนตรสีน้ำทะเลหันไปทางเทือกเขาสูงที่แม้ยามนี้จะล่วงเลยเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว ทว่า...บนยอดเขากลับถูกหิมะปกคลุมราวกับเป็นกลางฤดูหนาว “...เลยจากเทือกเขานี่ไป ก็เป็น...”
เจ้าหญิงทิ้งหางเสียงเอาไว้ราวกับไม่อยากจะเอ่ยต่อ นัยน์ตาหันมองรีเฟย์ที่นิ่งอั้นไปชั่วครู่
ชั่วครู่ ก่อนที่ชื่อ ๆ หนึ่งจะถูกเอ่ยออกจากริมฝีปากขององครักษหนุ่ม
“นครนอร์เธน”
สายลมหนาวคล้ายจะพัดวูบวับลงมาจากทิศเหนือตามนามนั้น ลมหนาว...ต้นฤดูร้อน
เบื้องหลังเทือกเขานี้ ‘เคย’ เป็นที่ตั้งของนครที่กล่าวขานกันว่างดงามราวกับหิมะแรกแห่งเหมันต์ นครสีขาวสะอาดตั้งตระหง่านรายล้อมทะเลสาบกลางหุบเขาราวกับดินแดนแห่งทวยเทพที่หลบเร้นจากสายตาผู้คนภายนอก นครเก่าแก่อันเป็นสถานที่ซึ่งนักปราชญ์เมธีจากทั่วทุกสารทิศพากันกล่าวขานถึงด้วยความที่เป็นแหล่งเก็บบันทึกโบราณมากมาย ความงดงามแห่งนครนั้น...ถึงกับทำให้เหล่ากวีกล่าวขานถึง ผู้ที่เคยได้ไปที่นั่นจะไม่มีวันลืมนครแห่งนั้นเป็นอันขาด นามแห่งนครนั้นคือ... ‘นอร์เธน’
ทว่า...เมื่อสิบห้าปีก่อน เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้นครแห่งนั้นหายสาบสูญไปจากแผนที่โดยสิ้นเชิง
สงคราม!!!
แม้ว่านอร์เธนจะเต็มไปด้วยปราชญ์และเหล่าผู้ใช้มนตรา ทว่ากลับมีทหารน้อยยิ่งกว่าน้อย จึงไม่แปลกที่เมื่อกองทัพพันธมิตรจากเมืองรอบข้างมาถึง...นอร์เธนจะกลายเป็นทะเลเพลิงไปเสียแล้ว
ไม่อาจจะโทษใครได้...ด้วยว่าผู้ที่สมควรรับความผิดนั้นมีอยู่เพียงผู้เดียว
...ผู้ก่อสงครามนั่นแหละ!!
“รีเฟย์” น้ำเสียงของซาจิทาเรียสอ่อนลง ก่อนเจ้าตัวจะทอดถอนใจ เบือนสายตากลับไปทางทิศเดิม “หากไม่มีสงครามก็คงจะไม่มีโศกนาฏกรรม หากไม่มีสงคราม...คงจะไม่มีเรื่องที่ทำให้มนุษย์เราต้องโศกเศร้าเพียงนี้”
คนสองคน จมดิ่งสู่ความเงียบ
สู่อดีต...
“ยังจำตอนที่เราพบกันครั้งแรกได้ไหม ? ซาจิทาเรียส ?”
คำเอ่ยที่ทำให้รอยยิ้มน้อย ๆ ผุดพรายบนริมฝีปากของคนสองคน
“จำได้สิ...ใครจะไปลืมได้เล่า ?”
...สิบห้าปีก่อน...เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ในชุดกระโปรงบานสีขาววิ่งตรงจากบันไดปราสาทมาหาเขา...
ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จักกัน และทั้ง ๆ ที่เด็กหญิงคนนั้นร่างกายไม่แข็งแรงแท้ ๆ
...นางวิ่งลงมาอย่างร่าเริง...ราวกับลูกกวาง...
หอบดอกกุหลาบสีส้มสดใสสิบสองดอกมาให้เขา
สีส้มของมัน...สว่างสดใสในแสงแดดของฤดูร้อน สว่างจนทำให้รู้สึกแสบตา...สว่างจนเขาในยามนั้นต้องหรี่ตาลงยามมองพวกมัน
เด็กหญิงคนนั้นบอก...นางดีใจที่ได้เจอเขา...ยามที่เอ่ยคำดวงตาสีน้ำทะเลของนางเป็นประกายยิ่งกว่าอัญมณีเสียอีก
นางเป็นคนทำให้โลกที่พังพินาศจนย่อยยับของเขาค่อย ๆ กลับมาเป็นรูปเป็นร่างอีกครั้ง
นับแต่วันนั้น...เขาสาบานกับวิญญาณของตัวเอง...
...กับหัวใจของตัวเอง...
...ที่ของเขา...คือข้างกายเด็กหญิงคนนี้...
...ตลอดไป...
“เป็นฤดูร้อนเหมือนตอนนี้เลยนะ” ซาจิทาเรียสว่า
“นั่นสินะ” ดวงตาสีอำพันของชายหนุ่ม ทอดยาวออกไปไกลสุดสายตา
...จนถึงวันนี้...เขาก็ยังรักษาคำสัตย์...
“นี่...รีเฟย์”
“หืม ?”
“หากว่าไม่เกิดสงคราม...เรื่องก็คงไม่เป็นเช่นนี้ หากไม่เกิดสงคราม เราสองคนก็คงจะไม่ได้เจอกัน...ฉะนั้น หากเจ้าย้อนอดีตได้ เจ้าจะทำอย่างไร ?”
หญิงสาวหันกลับมา นัยน์ตาสีดุจน้ำทะเลของนางมองตรงมายังเขา ตรงเข้าไปในดวงตา...ดุจว่าจะมองทะลุลงถึงจิตใจ ไม่มีท่าทางเอียงอาย...ไม่มีการละสายตาแม้เพียงสักนิด ไม่เหมือนกับหญิงสาวคนอื่น ๆ
นางถามซ้ำ
“เจ้า...จะทำอย่างไร ? รีเฟย์ ?”
หัวใจขององครักษ์หนุ่มเต้นสะดุดห้วงเล็กน้อย
“ข้า...”
วูบ!!!
ทว่า...ยังไม่ทันได้ตอบคำ ดวงตาสีอำพันพลันเบิกกว้างขึ้น เขาหันควับไปทางทิศอันเป็นที่ตั้งของป่าเหนือทันที
“เกิดอะไรขึ้นหรือ ?” ดวงตาสีน้ำทะเลของซาจิทาเรียสหรี่ลง สัมผัสได้ถึงความไม่ปกติที่แสดงออกในสีหน้าขององครักษ์หนุ่ม
“มีคนกำลังเข้าไปในป่าเหนือ!?”
“หมายความว่ายังไง ?”
“ใครบางคน...กำลังใช้มนตราอะไรบางอย่างอยู่ในป่าเหนือ นี่มัน...บ้าชัด ๆ!!” รีเฟย์กัดริมฝีปาก
...นี่มันอะไรกัน ? ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกเลยจนกระทั่งเมื่อครู่ ?
หากมีสิ่งใดเคลื่อนไหวในรัศมีห้าโยชน์นับจากตรงนี้เขาควรจะรับรู้ได้ด้วยมนตราแท้ ๆ
...หมายความว่า...ใครคนนั้น...หรือคนกลุ่มนั้นจะต้องเป็นคนที่มีความสามารถทัดเทียมกับเขา
ไม่แน่...อาจจะสูงกว่าด้วยซ้ำไป!!
“พวกมันคิดจะทำอะไร ? เข้าไปในป่าเหนือโดยไม่โดนมนตราในนั้นเล่นงาน...แล้วยังใช้มนตรา...” ใบหน้านวลเผือดลงเล็กน้อย ก่อนจะตั้งสติได้
“ข้าจะไปดู!!”
“ซาจิทาเรียส!!!”
แต่ไม่ทันเสียแล้ว เพราะร่างบางในชุดสีขาวทิ้งตัวพุ่งลงจากเนินสูง ตรงไปยังป่าเหนืออันเขียวขจี...
เนตรสีฟ้าน้ำทะเลหรี่ลงอย่างใคร่ครวญ
“เดี๋ยวก่อน...ซาจิทาเรียส!! มันอันตรายนะ” ชายหนุ่มกล่าวขณะที่พุ่งตัวตามหญิงสาวมาติด ๆ ไม่ว่าอย่างไร...เขาจะทิ้งนางไปไม่ได้เด็ดขาด!!
“สิ่งใดหากจัดการได้ควรรีบจัดการก่อน...หากปล่อยให้ร่ายมนตราเสร็จเราไม่อาจรู้แน่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” เจ้าหญิงตอบเสียงเรียบ สายลมอบอุ่นพุ่งผ่านร่างไปทำให้สิ่งรอบข้างกลายเป็นเส้นสีพร่ามัว “มนตราในป่านั่น...อันตรายขนาดไหนเจ้าน่าจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุด ถ้าฝั่งนั้นเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้...”
หญิงสาวกัดริมฝีปากเบา ๆ...ทำไมนางไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน...
ดวงตาสีเหลืองดั่งอำพันของพ่อมดแห่งตะวันออกทอประกายตึงเครียด...เขาหรือจะไม่รู้ว่าอันตรายขนาดไหน...
...อันตรายทุกทาง...ไม่ว่าจะปล่อยผ่านไป...หรือเข้าไปหยุดยั้ง...
มุมปากของหญิงสาวบิดขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มบางแสนบางราวกับเท่าทันความคิดของเขาในยามนี้
“ข้าไม่กลัวหรอกนะ...รีเฟย์ ยามนี้ ข้าไม่กลัวหรอกนะ ไม่กลัวสิ่งใดทั้งนั้น...ทำไมน่ะหรือ ?”
น้ำเสียงนั้นโศกเศร้า หม่นหมอง...แต่ก็มั่นคงเหมือนคนที่ตัดสินใจได้แล้ว...
“เพราะว่า...ข้ามีพวกเจ้าอยู่เคียงข้างกระมัง ทั้งเจ้าและรามิเอล...แค่มีพวกเจ้าสองคน สิ่งใด ๆ ในโลกหล้านี้...”
ราวกับรอยยิ้มเศร้านั้นเปล่งประกายที่ทำให้หัวใจเขาพลันอ่อนยวบลง
“...ข้าก็ไม่กลัวทั้งนั้น”
“รู้สึกต้นตอพลังมนตราจะอยู่ที่ต้นไม้ตรงนี้...แล้วก็ตรงนั้น รวมเป็นแปดจุดรอบป่านี้พอดี...ตามตำนานนั่นเป๊ะ!!”
คำเอ่ยไปพลางสำรวจโน่นนี่ไปพลางจากหัวหน้าทัพมนตรา ใบหน้าอ่อนหวานดุจสตรีเงยขึ้นจากโคนต้นไม้สีน้ำตาลอมเทาที่มีลายอักขระสีแดงชาดถูกเขียนเอาไว้ที่โคนต้นแทบจะติดกับพื้นชนิดที่หากไม่ก้มลงสังเกตดี ๆ คงไม่มีทางมองเห็นเป็นแน่
“แล้วก็...ถ้าหากแก้มนตราจากตรงนี้ไปเรื่อย ๆ อาจจะคลายมนตราของป่านี้ลงได้ก็ได้นะ จะเอายังไงล่ะ ? ไนท์ ?”
ดวงตาสีเงินหันมามองร่างสูงในชุดสีดำที่ยืนพิงโคนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง กลิ่นอับชื้นของป่าลอยอวลในบรรยากาศอันมัวซัว ต้นไม้สูงที่ชิงกันพุ่งชะลูดขึ้นเพื่อรับแสงบดบังแสงอาทิตย์ที่ควรจะส่องลงมาสู่ผืนป่าไปจนหมด ทำให้สภาพในป่านี้คล้ายจะเป็นกลางคืนอยู่ตลอดเวลา
“คิดว่าจะทำได้ในเวลานานเท่าไหร่ ?” ชายหนุ่มผู้มากศักดิ์กว่าถามเรียบ
“อืม...” เซนท์กลอกตาขึ้นฟ้า “...ถ้าข้าคนเดียว ขอสักสองชั่วยาม แต่ถ้าเจ้าคิดจะมาช่วยกันด้วย...คงเหลือประมาณหนึ่งชั่วยามละมั้ง”
“งั้นเจ้าจัดการ”
“ไม่คิดจะช่วยเลยหรือ ?”
“เจ้าร่ายคนเดียวได้นี่” ไนท์ตอบคำ หลับตาลงกอดอกราวกับมีเรื่องต้องครุ่นคิดมากมาย ไม่ใส่ใจคำพึมพำเบา ๆ ที่เขาจับความอะไรคล้าย ๆ ‘ใจดำ’ และ ‘ข้าเหนื่อยแล้วนะ’ ของชายหนุ่มหน้าหวานเลยสักนิด
“เชอะ!!” สุดท้ายเมื่อทำอะไรไม่ได้ หัวหน้าทัพมนตราหนุ่มก็จำต้องยืนตรง ประสานมือเข้าด้วยกัน
“เซนท์...” เจ้าชายแห่งเอเวียสเหลือบตาขึ้นนิดหนึ่ง เขาวาดมือผ่านอากาศ ท่าทางสง่างามราวกับผู้เป็นใหญ่เหนือพื้นพิภพ ดาบเล่มใหญ่ในฝักดาบสีดำสนิทก็ปรากฏขึ้นที่กลางฝ่ามือ เพียงมองปราดเดียวก็รับรู้ได้ว่าเป็นดาบชั้นเลิศ...ด้ามดาบดุนลายนูนโปร่งอย่างดีให้มีน้ำหนักเบา ฝักดาบเดินด้วยเส้นเงินสวย นอกจากนี้...ที่ด้ามยังประดับอัญมณีซึ่งส่องแสงสีดำเยือกเย็นออกมา
“จำเอาไว้...ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น หากยังร่ายไม่เสร็จ...ห้ามหยุดเด็ดขาด”
“อืม” ชายหนุ่มหน้าหวานรับคำแผ่วเบา ก่อนดวงตาสีเงินคู่นั้นจะหรี่หลับลง
“ดวงอาทิตย์ทางตะวันออก จันทราแห่งตะวันตก จ้าวสมุทรแห่งโพ้นทะเล มหาราชาแห่งสรวงสวรรค์...”
คำบริกรรมแช่มช้า เนิบนาบคล้ายเสียงขับบทกวี แล้วอักขระบางแสนบาง...เล็กแสนเล็กค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนอากาศรอบตัวของเซนท์ มันรายล้อมเป็นวงกลมรอบร่างของเขา เมื่อแรกก็เริ่มจากเส้นหนึ่ง เชื่อมต่อไปยังอีกเส้นหนึ่ง ตัวอักษรที่ไม่อาจจะบ่งบอกความหมายได้ค่อย ๆ เปล่งแสงประกายสีเงินราวกับเส้นด้ายที่ฟั่นทอมาจากแสงสว่างของดวงจันทร์ สัญลักษณ์เหล่านั้นประหลาดนัก บางช่วงตอนก็ดูคล้ายลุกเริงดุจเปลวไฟ บางช่วงตอนลื่นไหลราวกับสายน้ำ ร้อยเรียงอย่างงดงามจนชวนตะลึง
วูบ!!
หัวหน้าทัพมนตราหนุ่มคลายมือออก รวดเร็ว...รุนแรงและบิดกระชาก ตัวอักขระสีเงินเหล่านั้นสั่นไหว ก่อนจะพุ่งวูบกระจัดกระจายตรงเข้าใส่ร่างของชายหนุ่มผู้ยืนอยู่ตรงกึ่งกลางแห่งตัวอักษรเหล่านั้น สลักจารึกลงบนร่างของเขา...เปล่งประกายออกจากเนื้อหนัง งดงาม...น่าสะพรึงกลัว
ดวงตาของเซนท์ลืมขึ้นเล็กน้อย...
...มันหาได้เป็นสีเงินไม่ บัดนี้...ดวงตาแฝงแววสนุกสนานสีเงินสว่างคู่นั้นกลับกลายเป็นสีแดงฉาน ม่านตาแคบเล็กดุจม่านตาของสัตว์เลื้อยคลาน
ทุกอย่างอยู่ในสายตาของเจ้าชายแห่งเอเวียส
มิใช่เพราะเขาไม่อยากจะช่วยคนตรงหน้า ทว่า...ในยามที่ดาบโลดแล่นฟาดฟันจนลืมตัวสิ้น...
...ก็ต้องมีฝักดาบเอาไว้คอยที่จะยับยั้งในยามที่ดาบบ้าคลั่งไปมิใช่หรือ ?
ไนท์มองร่างของชายหนุ่มหน้าหวานที่บัดนี้เต็มไปด้วยรอยสัญลักษณ์อันเรื่อเรือง และดวงตาที่กลายเป็นสีดุจโลหิตนั้นอย่างเยือกเย็น
เขารู้ว่า...บัดนี้ เซนทาเรีย เลวิส...ได้จากไปสู่สถานที่ไกลแสนไกล...
...ส่วนร่างที่อยู่ตรงหน้านี้...แม้จะเป็นร่างของเซนท์จริง แต่ก็เป็นเพียงแค่เปลือกกลวง ๆ
สิ่งที่อยู่ข้างในร่างนั้น...มิใช่หัวหน้าทัพมนตราหนุ่มอีกแล้ว ทว่า...เป็นดวงจิตอีกดวงหนึ่ง ซึ่งเปี่ยมพลังอำนาจกว่า น่ากลัวกว่า และไม่เสถียรเท่าใดนัก หากกระทบกระเทือนร่างนั้นเพียงเล็กน้อย...ทุกสิ่งทุกอย่างจะพังครืน และ...นั่นก็คือ...
...การ ‘อาละวาด’ ของเซนท์...
ต้นไม้ทั้งแปดต้นอันเป็นแหล่งพลังของป่าเหนือสั่นไหวราวกับต้องลมพายุแรง มันค่อย ๆ เรืองประกายแสงสว่างราวกับมีหิ่งห้อยนับพัน ๆ บินกรูออกมาจากลำต้น กิ่งก้าน...ใบทั้งมวลต่างเปล่งประกายแสงสีทองออกมาราวกับตอบรับเสียงเรียกของชายหนุ่มหน้าหวาน
...หากสยบต้นตอของมนตราได้...ก็ไม่แน่ว่าอาจจะมีทางใช้มันให้เป็นประโยชน์ได้เช่นกัน...
ดวงตาสีนิลคล้ายสีของรัตติกาลไร้ที่สิ้นสุดนั้นกำลังจะปิดลง ทว่า...มีบางอย่างที่ทำให้เขายันตัวออกจากลำต้นของต้นไม้ใหญ่ที่ยืนพิงอยู่ทันที สัญชาตญาณระแวดระวังตื่นตัวเต็มที่
การเคลื่อนไหวอันเล็กน้อยเหลือเกินจากด้านหลัง...
...แล้วคมดาบสีดำก็พุ่งออกไป...
ทุกอย่างหยุดนิ่ง
มิได้มีสิ่งใดเคลื่อนไหว แม้เพียงเสียงเข็มตกลงบนพื้นก็อาจได้ยินในเวลาเช่นนี้
คมดาบสีดำพุ่งตัดผ่านป่าอันมืดอับทึบนั้น ตรงเข้าสู่ร่างร่างหนึ่ง
นัยน์ตาสีฟ้าราวกับน้ำทะเลเบิกขึ้น ร่างสูงข้างตัวหญิงสาวพุ่งออกหน้า
คมดาบตรงเข้ามา...
ตูม!!!
ซาจิทาเรียสเบิกตาคว้าง นาง...ผู้ซึ่งเคยผ่านสถานการณ์น่าหวาดหวั่นมามากต่อมาก ผ่านความเป็นความตายนับร้อยนับพัน ยืนนิ่ง...ไม่อาจเคลื่อนไหว แม้ลมหายใจ...ยังขาดกระตุก...
ดาบพุ่งมาตอนไหน เมื่อไหร่...นางไม่อาจรับรู้ได้เลย
รู้ตัวอีกที รีเฟย์ก็ถลันมายืนตรงหน้า กางมือกั้นนางออกจากคมดาบเสียแล้ว
เปลวเพลิงสีแดงสดพุ่งวูบออกจากฝ่ามือขององครักษ์หนุ่ม
เจ้าของดาบสีดำชะงักถอยไปเล็กน้อย...ก่อนที่นางจะสังเกตว่าดวงตาสีนิลนั้นเบิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อมองมาทางนาง
หญิงสาวจำเขาได้...
ไนท์จำหญิงสาวผู้นี้ได้...ไม่สิ...ควรกล่าวว่าเขาไม่อาจลืมนางไปได้จะถูกต้องกว่า
เป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนที่เขาเฝ้าใคร่ครวญถึงหญิงสาวแปลกประหลาดซึ่งเขาได้พบในร้านเหล้า สตรีซึ่งไม่รู้จักแม้เพียงชื่อ แต่กลับประทับลงในใจของเขาได้ราวกับเหล็กร้อนเผาไฟนาบลงในจิตวิญญาณเสียอีก
เขาย่อมต้องตกใจ เมื่อพบนางในสถานที่เช่นนี้...ไม่เพียงแค่นั้น ผู้อยู่ข้างกายนาง...ยังมีฝีมือมากมายเพียงนี้
นางเป็นใครกันแน่!?!
หากแต่คำถามที่สำคัญเสียยิ่งกว่าเรื่องนั้น...คือนางมาทำอะไรในสถานที่เช่นนี้!!?
ทว่า ก่อนที่เขาจะทันได้ถามอะไรอื่น ชายอีกคนที่มาด้วยกันกับนางก็สะบัดมือ อากาศร้อนระอุพุ่งวูบวาบราวกับคมมีด
ชายคนนั้นเป็นพ่อมด นอกจากจะเป็นพ่อมดแล้ว...ยังเป็นพ่อมดซึ่งเก่งฉกาจชนิดหาตัวจับยากเสียด้วย แม้เพิ่งจะได้พบกัน...แต่ไนท์ก็สามารถบอกได้เต็มปากว่า คน ๆ นี้ฝีมือไม่ใช่คนธรรมดาทีเดียว
“เดี๋ยวก่อน!! รีเฟย์!!!” หญิงสาวในชุดสีขาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจ พ่อมดซึ่งบัดนี้เขาทราบแล้วว่ามีนามว่ารีเฟย์ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยั้งมือ...แต่ด้วยท่าทางที่ดูคล้ายพร้อมจะลงมือทุกเวลา
เจ้าชายแห่งเอเวียสเองก็ไม่ต่างกัน
“ซาจิทาเรียส!! คน ๆ นี้ไม่ใช่คนธรรมดา!!!”
“ท่านเป็นใคร ?”
เสียงใสที่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบทำให้ไนท์เบิกตาขึ้นเล็กน้อย
“ท่านเป็นใครกัน ?” หญิงสาวถามย้ำ ราวกับไม่มีความหวาดกลัวใด ๆ ใช่...อารมณ์ซึ่งนางแสดงออกตั้งแต่พบหน้าเขาจนกระทั่งบัดนี้ นอกจากความตกใจแล้ว...กระทั่งรอยหวาดหวั่นก็ไม่มีให้เห็น
“โปรดอย่าโกหกข้า...ท่านเป็นใคร ?”
ดวงตาของนางสบประสานตรงมายังดวงตาของเขา ไม่เอียงอาย ไม่มีท่าทางหลบหลีกหรือเก้อเขิน ดวงตาของนาง...มีเพียงรอยราบเรียบสงบ เหมือนผิวน้ำทะเลยามไร้คลื่นลม
...ส่องลึกทะลุลงไปยังจิตใจของเขา ทำให้หัวใจสั่นสะท้าน...
กระแสถ้อยคำไม่มีวี่แววแห่งการคุกคามข่มขู่ ในดวงตาก็ไม่ได้คาดคั้น ทว่า...คล้ายมีพลังอำนาจบางอย่างแผ่ออกมาจากน้ำเสียงนั้น กดดันทำให้เจ้าชายแห่งเอเวียสต้องลอบสูดลมหายใจลึกเพียงเพื่อเรียกสติกลับมา
หาไม่แล้ว...เขาเองคงจะต้องถูกพลังอำนาจที่มองไม่เห็นในตัวของนางสะกดเอาไว้เป็นแน่แท้
ประหลาดนัก เจ้าชายแห่งเอเวียสคิด...ก่อนนี้เขาไม่เคยรู้สึกว่าตนเองต้องรับมืออะไรอย่างนี้แม้สักครั้ง ไม่เคยมีใครกดดันเขาได้ ไม่เคยแม้กระทั่งมีใครชักจูงเขาได้ ทว่านาง...นางผู้ซึ่งเขาไม่ทราบกระทั่งชื่อ แต่กลับทำให้หัวใจสั่นไหว เพียงแค่นางมองตา...เขาเองกลับเป็นฝ่ายใจเต้นกระตุกเสียเอง
ไม่เคยเป็นแบบนี้...และไนท์ก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับตัวเองด้วย
“ข้า...ชื่อไนท์...” เจ้าชายแห่งเอเวียสตอบ เลี่ยงที่จะบอกทั้งสกุลและฐานะออกไปสิ้น ทว่า...ดูเหมือนนางเองก็จะรู้เช่นกันว่าเขากำลังเลี่ยงอะไร
“ข้าไม่ได้ถามว่าท่านมีนามว่าอะไร...ข้าอยากทราบว่า ท่านเป็นใครกัน ?”
“ตามธรรมเนียม หากอีกฝ่ายบอกนามแล้ว...ผู้ฟังก็ควรจะบอกนามของตนให้อีกฝ่ายทราบเช่นกันมิใช่หรือ ?” เจ้าของดวงตาสีดำย้อนคำ ทำให้คิ้วเรียวบางนั้นเลิกขึ้นเล็กน้อย
“ข้าชื่อซาจิทาเรียส” หญิงสาวตอบสั้น เบือนสายตาหลบเล็กน้อย “สกุล...ข้าคงไม่ต้องบอก เพราะท่านเองยังไม่ได้บอกข้าเช่นกัน”
นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนของเจ้าหญิงหันกลับมายังชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีนิลอีกครั้ง
“ท่านมาทำอะไรที่นี่...ที่สำคัญ เข้ามาที่นี่ได้อย่างไร ?”
“เรื่องนั้น ข้าบอกไม่ได้”
“เช่นนั้น...ก็คงไม่มีอะไรต้องสนทนากันอีกแล้ว” ซาจิทาเรียสตอบกลับเย็นชายิ่ง “ขออภัย...ทว่าข้าคงไม่สามารถปล่อยให้ท่านออกไปจากที่นี่ได้ หากท่านไม่อาจตอบคำถามที่ข้าถามได้”
“ข้าไม่อยากจะสู้กับเจ้า”
“สายไปแล้ว...ท่านไนท์” เจ้าหญิงแห่งอีริออสหรี่ตาลง เพียงวูบเดียว...
ฟู่!!!
เปลวไฟโหมลุกไหม้ขึ้นในพริบตา!!
ร่างของพ่อมดแห่งตะวันออกพุ่งออกไป พระเพลิงสีส้มสดดุจจะเผาผลาญสรรพสิ่งให้ราบพุ่งตามเขาไปราวกับมีชีวิตจิตใจ เกาะเกี่ยวแขนขาเขา...ใบหน้าของรีเฟย์เรียบเฉย ราวกับเพลิงไฟร้อนระอุนั้นเย็นเหมือนสายลม
ดาบสีดำสนิทถูกยกขึ้นกางกั้น ตวัดครั้งเดียวเปลวเพลิงก็แยกออก
ซาจิทาเรียสยืนนิ่ง ไม่ขยับแม้เพียงปลายนิ้ว มีเพียงสายตาที่จับจ้องมองการต่อสู้เบื้องหน้า สายลมพัดผ่านร่างของนางเบา ๆ ส่งให้ชายกระโปรงสีขาวสะอาดนั้นไหวน้อย ๆ
...ท่ามกลางการต่อสู้และเปลวไฟเช่นนี้...ความนิ่งสงบของนางยิ่งทำให้เจ้าหญิงดูราวกับลอยตัวอยู่เหนือเหตุการณ์ทั้งปวงในโลก
ชายชื่อไนท์คนนี้...ไม่ใช่คนธรรมดาจริง ๆ
หญิงสาวไม่รู้ฝีมือของชายหนุ่มนามว่าไนท์คนนี้หรอก หากแต่ว่า...นางย่อมรู้ซึ้งถึงฝีมือของรีเฟย์ เดนาร์เป็นอย่างดี
องครักษ์หนุ่มมิใช่คนใจอ่อน ไม่ใช่คนที่จะยอมออมมือให้ใครอีกทั้งไม่ใช่คนที่สนุกกับการต่อสู้ ส่วนใหญ่แล้วจึงมักจะจัดการให้เด็ดขาดไปอย่างรวดเร็ว
หากแต่ว่ากับคน ๆ นี้ พ่อมดแห่งทิศตะวันออกผู้นี้กลับดูคล้ายว่าจะตึงมือ
ท่วงท่ารุกรับของอีกฝ่ายมิได้งดงามเลิศหรู มิได้รุนแรงน่ากลัว...แต่กลับรัดกุมไร้ช่องโหว่ ทุก ๆ ครั้งที่ดาบดำนั้นตวัดออกหมายถึงหวังผลถึงชีวิตเสมอ
ซาจิทาเรียสไม่ได้เก่งเชิงดาบ นางผู้ซึ่งในวัยเด็กถูกโรคภัยรุมเร้านั้นถูกหมอหลวงห้ามอย่างเด็ดขาดมิให้ออกแรงมาก ๆ ไม่ว่ากรณีใด ๆ แม้ว่าอาการจะมิได้แสดงขึ้นเหมือนกับว่าหายขาดแล้ว แต่เพราะเกรงว่าอาการดังกล่าวอาจจะกลับกำเริบขึ้นอีกได้ คำสั่งห้ามนั้นจึงยังถูกปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
อีกทั้ง...ทางมนตรานางเองก็เด่นในด้านรักษา จึงเรียกว่า...ความสามารถในการต่อสู้ของนางนั้นน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
แต่ใช่ว่านางจะดูการต่อสู้ไม่เป็น!!
นางมองนิ่ง ทุกการเคลื่อนไหวไม่มีเลยที่จะเล็ดรอดสายตาของหญิงสาวไปได้
รีเฟย์วาดมือ เปลวเพลิงโหมระบำรุนแรง ร่างสูงในชุดสีดำกระโดดหลบไปอีกทาง
ดวงตาสีนิลคู่นั้นหรี่ลง...
...เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าบุรุษนามรีเฟย์นี้ไม่ใช่คนธรรมดา ยิ่งได้สู้กัน...ยิ่งตระหนักความจริงข้อนี้หนักขึ้นเรื่อย ๆ...
หากจะเปรียบคนตรงหน้านี้กับใครสักคนล่ะก็...เขาคงต้องคิดถึงเซนท์เป็นอันดับแรก...
...มนตราของคนตรงหน้าแกร่งนัก...
ถึงแม้นิสัยใจคอจะดูไม่คล้ายเซนทาเรีย เลวิสเลยแม้แต่น้อย ทว่า...สิ่งที่เหมือนกันระหว่างสองคนนี้คือพลังมนตรามหาศาล ความคมกริบของฝีมือที่แม้ได้เห็นเพียงครั้งเดียวคงจะไม่มีทางลืมลงเป็นแน่
แต่เซนท์นั้นเป็นผู้ใช้มนตราขนาดแท้ เพราะชายหนุ่มหน้าหวานแทบไม่เป็นเชิงดาบ ไม่มีความสามารถการต่อสู้แบบตัวต่อตัวเลยสักนิด...เพราะความมั่นใจในมนตราของตน ทำให้หัวหน้ากองมนตราหนุ่มไม่เคยคิดว่าตนจำเป็นต้องใช้ดาบหรือฝึกฝนใด ๆ
ผิดกับคนตรงหน้า...
คน ๆ นี้มิใช่แกร่งขึ้นได้ด้วยมนตราเพียงอย่างเดียว การเคลื่อนไหวที่คล้ายกับนักดาบเช่นนั้นก็เป็นหนึ่งในความแข็งแกร่งที่ยิ่งทำให้ความสามารถของเขาน่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีก
มีคนน่ากลัวเช่นนี้อยู่ข้างกาย แสดงว่าหญิงสาวนามซาจิทาเรียส...ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน!!
เห็นที... ไนท์ขมวดคิ้ว ...กลับเอเวียสครานี้...ถึงเจ้าตัวจะโวยวายร้องโอดครวญยังไงก็คงต้องจับท่านหัวหน้ากองมนตราฝึกดาบบ้างเสียแล้ว
รีเฟย์หรี่ตาลง...
การโจมตีทุกครั้งของเขาล้วนไร้ผลอย่างน่าประหลาด คนตรงหน้าหลบไปได้อย่างง่ายดาย เขาย่อมรู้ตัวว่าตนมิได้ออมมือ แต่คนตรงหน้านั้นเก่งจริง ๆ
พ่อมดไม่เคยคิดว่าตนยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน มิได้สำคัญตนว่าเก่งกาจที่สุดในโลก เขารู้...ไม่มีอะไรเป็นที่สุดแห่งโลกได้หรอก และเพราะรู้...จึงหมั่นพากเพียร...
...หากแต่คนตรงหน้านี้เก่งจริง ๆ...
แม้มิได้ชำนาญทางมนตรานัก ทว่าเชิงดาบของคนตรงหน้าไม่เป็นรองใคร การเคลื่อนไหว หลบหลีก...การหาจังหวะและการใช้มนตราเล็ก ๆ น้อย ๆ ทว่าเอื้อประโยชน์มหาศาลนั้นก็ทำได้อย่างไร้ที่ติ นับว่า...ไม่ใช่ธรรมดาจริง ๆ
นัยน์ตาสีเงินเหลือบมอง ก่อนจะสังเกต...
...ห่างออกไป มีร่างอีกร่างที่กำลังทอแสงสว่างเรืองรองจนแสบตา อักขระบนพื้นและที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศย่อมบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขากำลังร่ายมนตราอยู่
แสดงว่าคนตรงหน้าเขานี้เพียงแค่ถ่วงเวลาให้อีกคนร่ายมนตราเสร็จเท่านั้นหรือ ?
องครักษ์หนุ่มนึกถึงคำพูดของเจ้าหญิงแห่งอีริออส...
...สิ่งใดหากจัดการได้ควรรีบจัดการก่อน...หากปล่อยให้ร่ายมนตราเสร็จเราไม่อาจรู้แน่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...
เช่นนั้นเอง ชายหนุ่มจึงตัดสินใจบางอย่างลงไป...
...บางอย่าง...ที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับขาวเป็นดำในบัดดล!!
เขาเงื้อมือ...เปลวเพลิงลุกเริงอยู่กลางฝ่ามือ ก่อนจะพุ่งออกไป...
...พุ่งหาร่างสว่างไสวอีกร่างทันที!!
ดวงตาสีนิลเบิกกว้างขึ้น...
...เจ้าชายแห่งเอเวียสตะโกน “อย่า!!”
ทว่า...
สายไปแล้ว!!!
พริบตา...เวลาคล้ายหยุดนิ่ง โลกเหมือนหยุดการเคลื่อนไหว
สรรพสิ่งนิ่งงัน ไม่อาจขยับเขยื้อนได้
ดวงตาสีแดงฉานของเซนท์ตวัดฉับมายังเพลิงไฟอันพุ่งมาหาตน ร่างทั้งร่างยังคงเรื่อเรืองด้วยแสงจากอักขระประหลาด เขาเพียงขมวดคิ้วราวขัดใจ นิดเดียว...
...นิดเดียวจริง ๆ...
ตูม!!!
เสียงระเบิดกึกก้อง พื้นดินสั่นไหว ต้นไม้อันมีลำต้นสูงใหญ่สั่นกราว แสงจ้านั้นระเบิดออก ไร้เสียง...แต่กลับคล้ายกึกก้องในความรู้สึก
พอแสงทั้งมวลดับวูบลง อักขระบนร่างของเซนท์ก็มิได้ทอแสงอีกต่อไปแล้ว
มันกลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม...สลักพันลายลงบนร่างนั้น สีน้ำเงิน...เข้มแสนเข้ม...ลึกแสนลึกนั้นจารึกลงบนร่างของชายหนุ่ม ตั้งแต่ศรีษะจนจรดปลายเท้า
เขาไม่ได้ยืนอยู่บนพื้นอีกแล้ว ร่างของชายหนุ่มลอยสูงขึ้น ดวงตาเปล่งสีแดงเข้มดั่งโลหิตซึ่งหลั่งออกมาจากส่วนที่รวดร้าวที่สุดในจิตใจมองตรงไปข้างหน้า...ใบหน้านั้นไร้ซึ่งความรู้สึกอันใด ลอยคว้างอยู่กลางอากาศราวกับภูตผีปีศาจ
ครั้นแล้วนัยน์ตาก่ำเลือดคู่นั้นก็ตวัดมายังมนุษย์สามคนซึ่งอยู่ ณ ที่นั้น
รอยยิ้มแสยะออก...
ลมหายใจคล้ายว่าติดขัดอัดแน่นอยู่เพียงลำคอ
ไนท์ย่อมได้สติและรู้ว่าควรทำอะไรก่อนคนอื่น เขาละมือจากรีเฟย์และพุ่งเข้าใส่ร่างซึ่งลอยอยู่กลางอากาศ...
...เขารู้ว่าสิ่งซึ่งสถิตอยู่ในร่างของเซนท์นั้นร้ายนัก น่ากลัวนัก...
ดาบสีดำเงื้อเข้าใส่ร่างของหัวหน้าทัพมนตราหนุ่ม
เซนท์ยกมือขึ้น ท่าทางเหมือนโบกลม...เพียงแค่นั้น ร่างสูงของเจ้าชายแห่งเอเวียสก็กระเด็นออกไปทันที!!
ยังความตระหนกสู่อีกสองคนที่เหลือ
เจ้าชายแห่งเอเวียสพยุงตนขึ้นยืน ตะโกนออกไป
“เซนท์!! หยุดนะ!!!”
แต่เหมือนเจ้าของนามจะไม่ได้ยิน
“เซนท์!! อย่า!!!”
สายลมพัดวูบไหว...
สายลมวูบไหว หอบเอาความหวาดกลัวและกลิ่นอายของความตายมายังผู้ที่ยืนอยู่ตรงนั้น
หยาดโลหิตโปรยปรายดั่งสายฝนในฤดูร้อน
เจ้าหญิงไม่รับรู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น...
...ทุกสิ่งวูบไหว พริบตาเดียวเท่านั้นก่อนที่โลหิตจะโปรยปรายจากเบื้องหน้านาง...
รีเฟย์ เดนาร์ล้มลง...
ซาจิทาเรียสเอื้อมมือออกรับด้วยสัญชาตญาณ ร่างของชายหนุ่มยังอุ่นระอุด้วยหยดเลือดที่ไหลออกจากปากแผลกว้าง เลือดหยดลงบนใบหน้าของหญิงสาว...วาววามน่าสยดสยอง
ไนท์พุ่งวูบมาจากด้านหลัง ใช้สันดาบอัดเปรี้ยงเข้าที่ลำคอของเซนทาเรีย เลวิส ร่างของชายหนุ่มหน้าหวานกระเด็นออกไป เจ้าชายแห่งเอเวียสพุ่งร่างตาม ต่อยสุดแรงเข้าที่แก้มซ้าย...
ร่างอันลอยคว้างกลางอากาศร่วงวูบลงสู่พื้น สลบไปอย่างไม่ต้องสงสัย รอยสักสีน้ำเงินหายไปแล้ว...พร้อม ๆ กับที่ภายในร่างนั้นจะกลับมาเป็นเซนทาเรีย เลวิสที่เขารู้จักอีกครั้ง
ดวงตาสีนิลหันกลับมายังหญิงสาวผู้ยืนนิ่งงันอยู่
“ตกลง...”
ดาบถูกกระชับเข้ามา ชี้ตรงไปยังเจ้าหญิงแห่งอีริออส
...เขาไม่อาจใจอ่อนได้อีกต่อไป...
“...บอกข้าได้หรือยังว่าท่านเป็นใครกันแน่ ?”
ซาจิทาเรียสนิ่งงัน
ความคิดที่เคยแล่นรวดเร็วยิ่งกว่าสายน้ำ บัดนี้เหมือนจะตีบตัน ปัญหาตรงหน้า...ไม่ว่าจะเค้นสมองคิดอย่างไรก็ไม่สามารถหาคำตอบได้
นางจะทำอย่างไร ? นางควรทำอย่างไรจึงจะออกไปจากสถานการณ์เช่นนี้ได้ ?
ไม่ใช่แค่นางคนเดียว...แต่ต้องพารีเฟย์ออกไปด้วย
เขาบาดเจ็บเพื่อปกป้องนาง เขามาที่นี่ก็เพราะนางรั้นจะมา...แล้วจะมาปล่อยให้เขาตายอยู่ที่นี่เพราะการตัดสินใจของนางได้อย่างไร ?
ทว่า...ยิ่งคิดเท่าไหร่ กลับยิ่งนึกไม่ออก
ทางดาบของนางนั้น...เทียบกับคนธรรมดาก็นับว่าสูงอยู่บ้าง แต่เทียบกับคนตรงหน้าแล้ว...ต้องนับว่าต่ำยิ่งนัก มนตราหรือนางก็ไม่ใคร่ถนัดใช้ในการต่อสู้
เมื่อมาคิดดูเข้าจริง ๆ แล้ว...เจ้าหญิงก็รู้สึกเจ็บใจ
หากไม่ใช่เพราะนางร่างกายอ่อนแอ...นางคงทำอะไรได้มากกว่านี้
หากไม่ใช่เพราะนางอ่อนแอเพียงนี้...บางทีสิ่งที่นางทำได้อาจจะมีมากกว่าการนั่งวางแผนก็เป็นได้
“หากเจ้าไม่ตอบ...ข้าก็เสียใจ” บุรุษตรงหน้ากล่าวต่อไป “ข้าอาจหาวิธีกักตัวเจ้าเอาไว้ได้ แต่ข้าคงไม่สามารถปล่อยให้ชายคนนี้รอดไปได้ เขาเป็นอันตรายมากเกินไป”
“ท่านล่ะ...เป็นใครกันแน่ ?” ซาจิทาเรียสถามเสียงแผ่วเบา
เมื่อไม่เห็นความจำเป็นใดที่จะต้องปกปิดอีกต่อไป เจ้าชายจึงตอบตามตรง
“ไนท์ เดเรเวส”
ได้ฟังเพียงเท่านี้ เจ้าหญิงแห่งอีริออสก็เข้าใจทุกอย่างกระจ่างชัด
นางย่อมเคยผ่านตากับราชวงศ์ของนครต่าง ๆ ยิ่งเป็นนครสำคัญ...นางยิ่งท่องจำจนขึ้นใจ
ไนท์ เดเรเวส...บุตรชายของคาซัส เดเรเวส...ราชาแห่งเอเวียส!!
ประหลาดนัก...หญิงสาวเคยคิดหลายต่อหลายครั้ง...ตามธรรมดา แม้เป็นหญิงก็ต้องได้รับการขึ้นชื่ออยู่ในราชวงศ์ แต่น่าแปลก...ทำไมในแผนผังราชวงศ์นี้กลับไม่ชี้แจงว่าเจ้าชายไนท์นั้นเกิดแต่ราชินีนามว่าอะไร
อันที่จริง...ซาจิทาเรียสไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ากษัตริย์คาซัสได้ทรงสถาปนาราชินีขึ้นหรือไม่ แต่ดูเหมือนว่า...เมื่อกาลก่อนประมาณยี่สิบปีมานี้ยังมีข่าวหนาหูว่ากษัตริย์แห่งเอเวียสทรงอภิเษก ทว่าไม่ได้ระบุว่าทรงอภิเษกกับผู้ใด อีกทั้งไม่ได้มีการสถาปนาราชินีอย่างเป็นทางการ สตรีสูงศักดิ์ผู้นั้นจึงเป็นเหมือนเงาราง ๆ ที่มองไม่เห็นอยู่ในแผนผังแห่งราชวงศ์เดเรเวส
แต่ครั้นจะมาถามเอาความกับเจ้าตัวตอนนี้คงไม่ใช่เวลาเป็นแน่!!
สิ่งสำคัญยามนี้...คือทำอย่างไร ทำอย่างไรให้นางและรีเฟย์ออกไปจากที่นี่ได้ต่างหาก!!!
ตัวนางเองนั้นยังแข็งแรงไม่ได้บาดเจ็บ ย่อมสามารถกระทำการใด ๆ ได้มากกว่า...อีกทั้งนางยังเป็นเจ้าหญิงแห่งอีริออส หากแม้จวนตัวจริง ๆ นางอ้างศักดิ์ของตน ไม่ว่าอย่างไร...คนตรงหน้าคงไม่เร่งฆ่านางแน่นอน อย่างดีก็คงแค่กักตัวไว้เท่านั้น
แต่สำหรับรีเฟย์...มันไม่ใช่อย่างนั้น รีเฟย์เป็นคนเก่ง เป็นพ่อมดอันดับหนึ่งของแผ่นดินแห่งแสงจริง ทว่าเอาเข้าจริงแล้ว ยศถาที่เขามีกลับเป็นเพียงแค่องครักษ์ ถึงจะเป็นคนเก่ง...เป็นคนสำคัญสำหรับการศึกนี้ แต่สำหรับคนตรงหน้าก็คงไม่ต่างอันใดกับศัตรูที่ต้องรีบกำจัดแต่เนิ่น ๆ ไม่มีค่าควรแก่การปล่อยชีวิต อีกทั้ง...สมมตินางทำให้ชายตรงหน้าเปลี่ยนใจไม่ฆ่า แต่เปลี่ยนเป็นคุมตัวไปแทน แต่จับไปแล้วจะเป็นอย่างไร ? คนของนครแห่งแสงย่อมไม่มีวันยอมเสียสละอะไรมากมายเพียงเพื่อรักษาชีวิตขององครักษ์เพียงคนเดียวหรอก
แม้ว่าองครักษ์คนนั้นจะมีอดีตที่สูงศักดิ์อย่างไรก็ตาม
ไม่มีทางอื่นใดอีกแล้ว
เจ้าหญิงจึงตอบกลับไป ดวงตาทอประกายเด็ดขาด
มาแล้วจ้า!!~ หลังจากการปั่นอย่างเหนื่อยยาก >[]<
แหะ ๆ ๆ...ยังโชคดีที่ช่วงนี้มีบทบูโผล่มาให้เขียนหน่อย ไม่งั้น ข้าน้อยต้องขาดใจตายด้วยความอัดอั้นแหง ๆ Y_Y (ฉากแบบนี้ล่ะเขียนคล่องนัก พอบทเข้าพระเข้านางล่ะไม่ได้เรื่อง -*-)
แต่ยังไงข้าน้อยก็จะพยายามต่อไปเน้อ!!
และก็ขอปฏิญาณ (แบบไม่ค่อยเต็มเสียง) ว่าต่อไปนี้จะลงนิยายอย่างมีวินัยมากขึ้น (ไม่ดองนั่นเอง พูดง่าย ๆ) จะพยายามนะเจ้าค้า!! O''o
มิริน
*T* Bear*M* bear
ความคิดเห็น