ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Sagittarius : ดวงดาวอธิษฐาน

    ลำดับตอนที่ #3 : ปฐมบท คำอธิษฐานที่ 2 : สู่ดาเรน (100% O[]o)

    • อัปเดตล่าสุด 1 เม.ย. 52


                ทั้งฝุ่นควันและกลิ่นอายความตายลอยมาตามลมอย่างบางเบา  หมู่บ้านที่ควรจะเป็นหมู่บ้านชายแดนแสนสงบบัดนี้กลับดูตึงเครียดจนน่ากลัวยามที่ขบวนรถม้าประดับตราราชวงศ์ดาเรนเคลื่อนผ่าน  ชาวบ้านหน้าตาหวาดหวั่นหลายคนแอบมองลอดผ้าม่านหน้าต่างออกมายามที่รถม้าควบผ่านไป

                “ค่ายทหารดาเรนอยู่เลยออกไปอีกไม่มาก  เราพยายามบอกชาวบ้านแล้วว่าให้อพยพ...พวกที่เหลือนี่เป็นพวกตกสำรวจกับพวกหัวรั้นที่ไม่ยอมฟังประกาศทางการ” เจ้าชายเบลาสกล่าวเมื่อเห็นดวงตาสีน้ำทะเลของเจ้าหญิงเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง

                “ดูเครียดกันจังเลยนะเจ้าคะ” เจ้าหญิงแห่งอีริออสออกความเห็น

                “หึ ๆ...ในยามสงครามน่ะ  พวกที่ยังสบายอกสบายใจกันอยู่ได้ก็คงจะมีแต่คนสติไม่ดีน่ะแหละ  แถมหมู่บ้านแถบนี้น่ะไม่ได้รับการคุ้มครองจากดาเรนมากเท่าที่ควร  ก็เลยออกจะหัวกบฏกันอยู่หน่อย ๆ...ไม่ยอมเชื่อประกาศทางการกันง่าย ๆ หรอก”

                “อืม...” ซาจิทาเรียสจ้องมองไปนอกหน้าต่าง  รถม้าควบช้า ๆ ผ่านบ้านเรือนที่บางหลังใกล้จะทรุดพังเต็มที  ผ่านร้านเหล้าที่ดูคล้ายจะร้างไปแล้ว

                “ไม่เกินสามชั่วยามก็คงจะถึงแล้วล่ะ” เจ้าชายเบลาสกล่าว “ส่วนค่ายทหารของเอเวียสอยู่ห่างออกไปอีก  แทบจะติดกับแม่น้ำเลเธเลยล่ะ”

                “งั้น...ก็เท่ากับอยู่ใกล้ป่าเหนือมากเลยสิเจ้าคะ ?” ดวงตาสีฟ้าใสของเจ้าหญิงแห่งอีริออสเบิกขึ้นเล็กน้อยเหมือนไม่อยากจะเชื่อ

                “เป็นเรื่องที่ข้าเองยังสงสัย” เจ้าชายพยักหน้ารับ  บรรยากาศในรถม้าคันน้อยดูเครียดขึ้นอย่างน่าประหลาด “น่าแปลก...โดยปกติป่าเหนือจะมีพลังอำนาจแปลกประหลาดที่แม้แต่คนในแผ่นดินแสงสว่างเองก็ยังยากที่จะรอดออกมาถ้าเฉียดเข้าไปใกล้  แล้วนี่...ทำไมพวกมันถึงกล้าเสี่ยงกันขนาดนี้  ข้าเองคิดอยู่หลายรอบแล้วก็ยังไม่เข้าใจความคิดของฝั่งนั้นเลย”

                “อืม” เจ้าหญิงขมวดมุ่นคิ้วเข้าเล็กน้อย

                “ถ้าเป็นคนที่มีมนตราสูงก็ไม่น่าจะเป็นปัญหานี่นา ?”

                เสียงจากด้านหน้าของรถ  ใบหน้าของรีเฟย์หันมาทางช่องเล็ก ๆ ที่คั่นระหว่างผู้โดยสารด้านในและคนที่นั่งอยู่ข้างนอก

                “ขออภัยที่เสนอความคิดเห็นโดยไม่ขออนุญาต” องครักษ์หนุ่มค้อมศรีษะลงเล็กน้อย

                “อย่างที่รีเฟย์พูดมาก็มีเหตุผล...เจ้าว่ายังไง ? ซาจิทาเรียส”

                “ก็มีความเป็นไปได้  แต่ถึงขนาดที่สามารถแก้อาถรรพของป่าเหนือได้นี่...จะเป็นพ่อมดประเภทไหนกันนะ ?”

                “ประเภทข้าไง ?” คำตอบจากชายหนุ่ม  ดวงตาสีอำพันทอประกายเยือกขึ้น “หรือไม่ก็...ประเภทที่พวกเรากำลังตามหากันอยู่ ?”

                “ไม่ใช่พวกเรา” เจ้าหญิงแห่งอีริออสกล่าวเสียงเย็นขึ้นทันที  ดวงเนตรคมใสคู่นั้นบัดนี้ทอประกายคล้ายคุโชน “ข้าคนเดียวต่างหาก  ข้าคนเดียวเท่านั้น”

                บรรยากาศดูราวกับว่าจะปริแตก  หากไม่ใช่เพราะเสียงของสารถีที่ดังมาจากด้านหน้า

                “พ้นเขตหมู่บ้านแล้วพะย่ะค่ะ  เจ้าชายเบลาส”

                “อือ” เจ้าชายแห่งดาเรนพยักหน้าเล็กน้อย “เร่งความเร็วขึ้นอีก...เราต้องไปให้ถึงค่ายทหารก่อนที่จะมืดจนเกินไป”

                “พะย่ะค่ะ”

                เสียงขานรับจากด้านหน้า  เป็นอันว่า...บทสนทนาก่อนหน้านี้นั้นจบลงเป็นที่เรียบร้อย  รีเฟย์หันกลับไป  ส่วนซาจิทาเรียสเบือนหน้าออกไปนอกหน้าต่าง

                ที่ปลายฟ้านั้น  ดวงอาทิตย์กำลังทิ้งตัวลงสู่เส้นโค้งอันงดงามของผืนดิน  สาดไล้อย่างอ่อนโยน...ขับปลายฟ้าให้โดดเด่นขึ้นมาได้อย่างน่าชม

                ความรู้สึกต่าง ๆ ของเจ้าหญิง...ค่อย ๆ จมลงสู่ห้วงลึกมืดมิดในใจนางอีกครั้ง

                ...สถานที่ซึ่งมันควรจะอยู่ตรงนั้น...                                      

                ...ตลอดไป...

     

                นครดาเรนนั้นตั้งอยู่ทางตอนเหนือของนครหลวงแห่งแสงสว่างซานเกเบียครอบคลุมพื้นที่ลงมาถึงช่วงด้านตะวันตกซึ่งติดกับป่าเหนือ  แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ติดกับชายแดนโดยตรง...ทว่าด้วยความที่เป็นทางอันจะผ่านไปสู่ซานเกเบียได้จึงถูกฝ่ายความมืดโจมตีบ่อยครั้ง

                เส้นทางที่สามารถจะผ่านไปสู่ซานเกเบียนั้นมีอยู่ด้วยกันสามเส้นทาง  คือ...หนึ่ง  ซากปรักหักพังของนครนอร์เธนซึ่งอยู่เหนือสุด  ทว่าเส้นทางนั้นนอกจากจะทุรกันดานแล้วยังเหน็บหนาวตลอดปี  ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับการเคลื่อนทัพอย่างแน่นอน  สองก็คือเข้าทางนครซาจิเอนด์แล้วผ่านทางเลเธนส์เข้าสู่ซานเกเบีย

                ส่วนทางที่สามซึ่งซาจิทาเรียสไม่เคยคิดเลยว่าจะใช้ได้จริง...คือเส้นทางลัดตัดผ่านป่าเหนือแล้วผ่านดาเรนเข้าสู่ซานเกเบียซึ่งเป็นเส้นทางที่ลัดสั้นที่สุด...

                ...และอันตรายที่สุดเช่นกัน...

                ค่ายทหารของดาเรนนั้นกว้างกินเนื้อที่ไปไกลที่เดียว  กระโจมสีขาวตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ  กลิ่นควันไฟลอยอบอวลในบรรยากาศของยามค่ำคืนเช่นนี้  การวางเวรยามรักษาการณ์เข้มงวด  ธงสีเขียวปักตรามังกรสามหัวอันเป็นสัญลักษณ์ของนครดาเรนปักอยู่รอบ ๆ ค่าย

                สายลมหนาวของแดนเหนือพัดต้องร่างบางแผ่วเบา  ส่งเส้นผมและกระโปรงสีขาวให้พลิ้วไปกับสายลม  ดวงดาวนับพัน ๆ สะท้อนอยู่ในดวงตาสีฟ้าราวกับสีของน้ำทะเลคู่นั้น

                “ยืนทำอะไรอยู่น่ะ ?”

                เสียงจากด้านหลังที่ไม่ได้ทำให้คนถูกถามหันไปมอง

                “รีเฟย์หรือ ?”

                ชายหนุ่มก้าวมายืนข้าง ๆ ด้วยสีหน้าราบเรียบดุจเคย

                “อย่าลืมว่าคราวนี้เรามาที่นี่กันอย่างเป็นความลับ  ถ้ามีใครเห็นเจ้าตรงนี้คงลำบาก...แล้วอีกอย่าง  ที่นี่เป็นค่ายทหาร  ถึงจะเป็นเขตของแม่ทัพและเป็นเจ้า...แต่มันก็ไม่ปลอดภัย”

                “ข้ารู้แล้ว” คนถูกตักเตือนตอบ “ท่านอาล่ะ ?”

                “ดูแผนที่อยู่ในกระโจม” องครักษ์หนุ่มตอบ

                “รีเฟย์...” เจ้าหญิงเอ่ยเสียงแผ่วเบา “...เจ้า...เคยคิดบ้างไหมว่าถ้าหากไม่เกิดเรื่องพวกนี้ขึ้น  พวกเรา ตอนนี้จะเป็นยังไงกัน ?”

                “ซาจิทาเรียส...” ดวงตาสีอำพันของชายหนุ่มทอประกายอ่อนลง

                “ข้าน่ะ...มั่นใจอยู่เสมอนะ  ว่าสิ่งที่ข้าเลือกทำอยู่ในตอนนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว  แต่ว่านะ...”

                ใบหน้าของเจ้าหญิงแห่งอีริออสผินมาทางเขา

                ...เสี้ยวนาที...ที่องครักษ์หนุ่มอยากจะยืดมันให้ยาวตราบนานเท่านาน...

                เพียงแว่บเดียว...ราวกับเขาได้ย้อนวันคืนกลับสู่อดีตอีกครั้ง

                ...ในอดีตนั้น...เด็กหญิงคนหนึ่งกำลังส่งยิ้มเป็นประกายสดใสยิ่งกว่าอัญมณีใด ๆ มาให้เขา...

                เป็นพริบตาแห่งห้วงอดีตที่ยากจะย้อนคืน

                “...บางครั้ง  ข้ารู้สึกคิดถึงช่วงเวลาพวกนั้นเหลือเกิน”

                เพียงสิ้นคำพูด  ห้วงเวลาแห่งมนสะกดนั้นก็พังครืน

                เขากลับมายืนอยู่ที่ปัจจุบันอีกครั้ง...เบื้องหน้า  ใบหน้าที่เรียบเฉยและดวงตาสีน้ำทะเลล้ำลึกจ้องมองกลับมา

                ...เด็กหญิงคนนั้นหายไปแล้ว...

                “ข้าจะไปนอนแล้ว...ช่วยนำทางไปที่กระโจมที  รีเฟย์”



                มีตำนานเล่ากันว่า...ในสมัยซึ่งพระเจ้าสร้างโลกนั้น...

              โลกยังเป็นสิ่งไร้รูปร่างและปกคลุมด้วยความมืด    ทว่า...เมื่อพระเจ้าตรัสว่า จงสว่าง ความสว่างก็ถือกำเนิดขึ้น

              พระเจ้าทรงแยกแสงสว่างออกจากความมืด   ทรงเรียกแสงสว่างว่ากลางวัน    เรียกความมืดเรียกว่ากลางคืน   แล้วชี้นำกลางวันไปยังทิศตะวันออกและประทานตะวันตกให้แก่กลางคืน...

              ทว่า...แต่แรกเริ่มเดิมทีนั้น    แสงสว่างและความมืดก็เป็นผืนแผ่นเดียวกัน    ดังนั้นจึงยังคงมีบางอย่างที่เชื่อมโยงกลางวันและกลางคืนเข้าด้วยกัน

              ในตอนกลางวันยังคงมี เงา เป็นความมืดมิด    ส่วนในตอนกลางคืนก็ยังคงมี ดวงดาว เป็นแสงสว่าง...

              เวลาผ่านไป   ในแสงสว่างและความมืดก็ปรากฏสิ่งมีชีวิตขึ้นมา    พวกเขาก้าวออกจากสถานที่ซึ่งตนถือกำเนิดและเริ่มสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ    เพาะปลูก  เลี้ยงสัตว์และสร้างเมืองขึ้นมาจากซากปรักหักพัง  

              สุดท้าย...แสงสว่างและความมืดก็เริ่มทำสงครามกันเอง...

              นั่นสินะ...พวกเราจะทำสงครามกันทำไม    ในเมื่อ...เมื่อแรกที่พระเจ้าสร้างโลกนั้น   ทั้งแสงสว่างและความมืดก็เป็นผืนแผ่นเดียวกัน

                                                                                                            

                เสียงกริ๊กเบาแสนเบาดังตัดรัตติกาลที่มีเพียงเสียงปะทุของเปลวเพลิง

                ดึกดื่นป่านนี้...ทว่าภายในค่ายทหารของดาเรนยังคงมีผู้ที่ตื่นอยู่

                ดวงเนตรสีน้ำทะเลจับมองสิ่งที่เป็นต้นเหตุของเสียงกริ๊กดังกล่าวที่อยู่ในมือข้างซ้าย

                มันเป็นจี้รูปดวงดาวแปดแฉกแบน ๆ สีทองอร่าม   ตรงขอบนั้นมีกลไกเล็ก ๆ ที่ถ้าหากไม่สังเกตดูดี ๆ หรือรู้อยู่ก่อนแล้วก็จะไม่สามารถมองเห็นได้เลยซ่อนอยู่   และกลไกนี้เองที่เป็นต้นเหตุของเสียงกริ๊กดังกล่าว

                ในมือของเจ้าหญิงมีจี้เช่นนี้อยู่สองอัน    เป็นจี้ลักษณะเดียวกันไม่มีผิดเพี้ยน...

                ใบหน้าของเจ้าหญิงแห่งอีริออสยามนี้  นิ่งเฉยราวกับจิตใจของนางได้ล่องลอยไปสู่สถานที่ไกลแสนไกล...

                ...ไปยังอดีตที่ไม่มีวันหวนคืน...

                ซาจิทาเรียสเบือนสายตากลับมายังสิ่งของสีทองในมือ  มันทอประกายสดใสในยามค่ำคืนเช่นนี้  ทันทีที่นางกดปุ่มกลไกเล็ก ๆ นั้น   จี้ก็เปิดออก...

                แสงสีทองฉายขึ้นก่อนจะไล่ลากเป็นตัวอักษรบางอย่างท่ามกลางความมืดมิดของรัตติกาล

                เป็นตำนาน...อันเดิมที่เธออ่านมาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง...

                ตำนานเกี่ยวกับการสร้างโลก   แสงสว่างและความมืด...

                ...พวกเราทำสงครามกันทำไม...ในเมื่อ...เมื่อแรกที่พระเจ้าสร้างโลกนั้น   ทั้งแสงสว่างและความมืดก็เป็นผืนแผ่นเดียวกัน...

                ราวกับว่า...เสียงของคน ๆ นั้นยังคงกระซิบอยู่ข้างหู...

                ...ทุกคืน...ทุกวัน...

                มือขาวกำจี้แน่นเข้าโดยไม่รู้ตัว  จี้ทองปิดฉับ  ริมฝีปากบางเม้มแน่น  แนบหน้าผากลงบนจี้ทองเย็น ๆ นั้น  ร่างบางงอตัวลงคล้ายว่าจะเจ็บปวดทรมาณ

                ...เจ็บปวด...ในใจ...

                ทรมาน...ดุจว่าจะตายลงเสียเอง

                คนที่ตายไปน่ะ...ไม่รู้สึกอะไร  แต่คนที่ยังต้องใช้ชีวิตอยู่เบื้องหลัง...โศกเศร้า  เจ็บปวดกว่าเป็นพัน ๆ เท่า

                “รามิเอล...” เสียงใสสั่นเครือเบาหวิว  แรงกายใจทั้งหมดถูกใช้ไปกับการพยายามเก็บกลั้นหยาดน้ำตา  ปล่อยให้มันหยดลงในหัวใจอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ปล่อยให้มันไหลออกมาให้ผู้ใดเห็น...

                ...จะต้องไม่มีผู้ใดได้เห็น...ความอ่อนแอของนาง

                “ข้าคิด...ถึงท่าน”

               

                “เอาล่ะ...ต่อไปพวกท่านจงอ้อมไปทางด้านเหนือ  และตีโอบลงมา  ที่เหลือก็เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้”

                “พะย่ะค่ะ!!

                เสียงตอบรับแข็งขันก่อนที่เหล่านายทหารตำแหน่งสูงในชุดสีดำตามแบบฉบับของดาเรนจะทยอยกันแยกย้ายไปปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายอย่างพร้อมเพรียงกัน

                “อย่างนี้คงเป็นไปตามแผนที่เราคุยกันแล้วสินะ ? ซาจิทาเรียส”

                “เจ้าค่ะ” เสียงตอบจากด้านหลังฉากกั้นในกระโจมบัญชาการ  เจ้าหญิงแห่งอีริออสก้าวออกมาพร้อมด้วยรีเฟย์ซึ่งยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม

                “จากนี้ก็คงต้องรอดูว่าทางโน้นจะโต้ตอบกลับมาอย่างไร  ตอนนี้สิ่งที่เราจำเป็นต้องทำคือการเตรียมการให้พร้อมทั้งบุกและตั้งรับ  เพราะข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจความคิดของฝ่ายนั้นอยู่เหมือนกัน...ดูจากที่ตั้งค่ายอยู่ที่ชายป่าเหนือ  แต่กลับไม่บุกเข้ามาเสียที”

                “อืม...ก็ต้องรอดูกันต่อไป” เจ้าชายเบลาสถอนหายใจออกมาเบา ๆ ทีหนึ่ง  ก่อนดวงตาสีเขียวราวกับใบไม้คู่นั้นจะหันมาทางเจ้าหญิงแห่งอีริออส “แล้วเจ้า...มีแผนจะทำอะไรต่อจากนี้หรือเปล่า ?”

                “ข้าคิดว่าจะรอดูอยู่ที่นี่สักครู่ก่อน  บ่ายนี้ข้าอยากจะออกไปดูในหมู่บ้านเสียหน่อย” เนตรสีฟ้าน้ำทะเลของเจ้าหญิงทอประกายคมกริบยิ่งกว่าใบดาบ “อย่างไรข้าก็คิดว่าควรจะเกลี่ยกล่อมให้พวกชาวบ้านอพยพไปก่อน  อีกอย่างหนึ่ง...ช่วงสงครามมักจะมีพวกที่รอจะโกงราคาสินค้าให้สูงขึ้นเพื่อกอบโกยเข้าตัว  ข้าจะไปตรวจสอบเสียหน่อยแล้วจะมารายงานเจ้าค่ะ”

                “จะไปไกลมากไหม ? อย่างที่เจ้าเห็นมาว่าแถบนี้น่ะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมดสี่หมู่บ้าน...เจ้าจะไปตรวจดูทั้งหมดเลยหรือเปล่า ?”

                “อาจจะ” ซาจิทาเรียสตอบ “ถ้าหากไม่ค่ำเสียก่อนนะเจ้าคะ”

                “ข้าจะเป็นคนนำไปเอง”

                “ไม่ต้องหรอก” เจ้าหญิงแห่งอีริออสห้ามเจ้าของดวงตาสีทองอำพันเอาไว้อย่างรวดเร็ว “เจ้าอยู่ที่นี่...คอยจับดูความเคลื่อนไหวของทางทัพนั้นเอาไว้ให้ดี  พวกมันใช้มนตราอะไร  เคลื่อนไหวยังไง  เจ้าช่วยตรวจดูจากที่นี่ให้ข้าด้วยแล้วกัน”

                “แต่ว่า...”

                “การไปไหนกันสองคนเป็นที่สังเกตง่ายกว่าไปคนเดียวนะ”

                องครักษ์หนุ่มอ้าปาก  ทว่าไร้คำใดที่จะโต้ตอบ

                ...คนอย่างซาจิทาเรียส...หากนางตัดสินใจสิ่งใด...

                ไม่ว่าใครก็เปลี่ยนไม่ได้!!!

                “อย่างนั้น...ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ  ท่านอา”

                “ยังไงก็ระวังตัวล่ะ...ซาจิทาเรียส” เจ้าชายเบลาสยิ้มน้อย ๆ

                คำพูดที่จุดรอยยิ้มเบาบางขึ้นมีมุมปากขององค์หญิงแห่งอีริออส

                “ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ...ข้าไม่มีวัน  ยอมตายไปก่อนที่จะจัดการเรื่องที่ข้าตั้งใจสำเร็จแน่!!

     

                ห่างจากค่ายของกองทัพดาเรนไปราว ๆ ชั่วระยะที่คนปกติเดินก็คงจะใช้เวลาสองชั่วยาม

                หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านตามแนวชายแดนอีกแห่งหนึ่ง  แม้ว่าสภาพบ้านเรือนจะไม่ได้เก่าทรุดโทรมเหมือนที่เจ้าหญิงแห่งอีริออสนั่งรถม้าผ่าน  แต่ก็ยังสะท้อนสภาพของบ้านเมืองในยุคสงครามได้เป็นอย่างดี

                ร้านเหล้าเล็ก ๆ ฝุ่นจับ  ภายในก็มืดมิดทั้ง ๆ ที่เป็นเวลากลางวันแท้ ๆ  ในร้านมีคนอยู่แปดเก้าคน  กว่าครึ่งนั้นเป็นลูกค้าขาประจำที่มาเมาหัวราน้ำอยู่ที่นี่ทุกวัน  และวันนี้ก็เช่นเดียวกัน

                แต่ทว่า...บุรุษอีกคนหนึ่งนั้นเป็นลูกค้าขาจร  ดูจากผ้าคลุมสีดำมอ ๆ และย่ามสีซีดนั้นคงจะเป็นนักเดินทางไม่ผิดแน่  ทว่า...กลับไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้เพราะเงาจากผ้าคลุมที่บดบังมันจนมิด  เห็นเพียงแต่แสงสะท้อนวาว ๆ เรือง ๆ จากดวงตาคู่นั้น...ให้ความรู้สึกที่เย็นยะเยือกราวกับเงาของแสงสะท้อนบนพื้นหิมะ

                เขาไม่ดื่มหนัก  แต่ดื่มเรื่อย ๆ และไม่มีท่าทีว่าจะหยุดดื่มง่าย ๆ  ตั้งแต่เข้ามาในร้าน...ลูกค้าผู้นี้ไม่ได้ปริปากพูดอะไรนอกจากสั่งเหล้าที่แรงที่สุดในร้านมาหกขวด  ซึ่งตอนนี้กลายเป็นขวดเปล่าไปเสียสี่ขวดแล้ว

                “เอ่อ...ไม่ทราบว่าท่านจะรับอะไรอีกไหมครับ ?” เจ้าของร้านเดินมาถามอย่างสุภาพ  บุรุษในผ้าคลุมสีเข้มไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง

                “เอามาอีก...ขอที่แพงที่สุดในร้าน”

                “อ่า...” ชายวัยกลางคนหนวดเคราครึ้มผู้เป็นเจ้าของร้านเหล้าถูมือไปมา  นาน ๆ จะเจอลูกค้าที่ใจกล้าอย่างนี้สักที...แถมยังเป็นยามสงคราม  คงจะต้องเรียกราคาให้หนัก

                “...เหล้าที่แพงที่สุดในร้านราคายี่สิบห้าเหรียญทองนะครับ  จะรับไหมครับ ?”

                ราคา...สูงพอ ๆ กับเหล้าธรรมดาหนึ่งร้อยขวดรวมกัน

                เงาของดวงตาที่วูบวาบอยู่ใต้ผ้าคลุมนั้นเงยขึ้นเหลือบมองนิดหนึ่ง  นิดเดียวจริง ๆ

                กริ๊ง!!!

                เหรียญสีทองจำนวนมากถูกวางลงบนโต๊ะ

                “เอาอย่างที่ว่ามาให้สองขวด”

                รอยยิ้มคลี่ออกบนใบหน้าของชายเจ้าของร้านราวกับรอยยิ้มแสยะของสุนัขป่ายามได้กลิ่นเนื้อ

                “ครับ ๆ”

                เขารีบกวาดเหรียญสีทองทั้งหมดใส่กระเป๋า  กุลีกุจอไปนำเหล้าอย่างที่ว่ามาทันที

                ...บางครั้ง...ลูกค้าก็มองกันเพียงภายนอกไม่ได้...

                เงินจำนวนนี้...เกือบจะพอให้เขาเปิดร้านใหม่ได้อย่างสบาย

                เสียงกระดิ่งที่ประตูหน้าร้านดังใส  ผิดกับบรรยากาศในร้านโดยสิ้นเชิง

                ผู้ที่เข้ามาใหม่...ก็ผิดกับบรรยากาศในร้านโดยสิ้นเชิงเช่นเดียวกัน

                “ยินดีต้อนรับครับ...ยินดีต้อนรับ”

                ชายเจ้าของร้านตะโกนบอก  ผู้มาใหม่เพียงนิ่งเฉย

                นางเป็นหญิงสาว  ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลอย่างที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ชาวดาเรน  เส้นผมหยักเป็นลอนและเป็นสีทอง  ใบหน้าขาวนวลเหมือนรูปวาดนั้นไร้ร่องรอยอารมณ์ใด ๆ  นางอยู่ในชุดสีขาวสว่าง...สะอาดบริสุทธิ์ราวกับเทพธิดา  คลุมด้วยผ้าคลุมไหล่อีกชั้น...ดูคล้าย ๆ กับบุตรีในตระกูลขุนนาง

                นางเดินตรงไปยังโต๊ะที่ถัดจากบุรุษในผ้าคลุมสีดำสนิท...

                ...คนที่ดูขัดกับบรรยากาศในร้านเป็นที่สุดสองคนนั่งหันหลังชนกัน...

                “มาแล้วครับ...มาแล้ว”

                ชายเคราครึ้มถือขวดเหล้าเก่า ๆ ฝุ่นจับสองขวดเดินตรงมายังบุรุษในผ้าคลุมสีดำ  วางขวดลงบนโต๊ะอย่างนุ่มนวล

                ผู้อยู่ในผ้าคลุมสีดำไม่ว่าอะไรสักคำ  เขาหยิบขวดเหล้าที่เพิ่งได้รับมาใหม่นั้นมาเปิด

                กลิ่นฉุนจัดบ่งบอกให้รู้ว่า...มันเป็นเพียงแค่เหล้ารัมย์ธรรมดา ๆ ที่ไม่ได้วิเศษไปกว่าเหล้าราคาไม่กี่เหรียญเงินสักเท่าไหร่

                ของเพียงแค่นี้...เรียกราคาถึงยี่สิบห้าเหรียญทอง

                แต่เขาก็ไม่ได้โวยวายอะไรออกมา  เพียงแค่จิบมันอย่างเงียบเชียบ

                “ค...คุณหนู...” ชายเจ้าของร้านหันมาทางหญิงสาวในชุดสีขาว

                ใบหน้านั้น...ทำให้เขามือสั่นแทบจะควบคุมไม่ได้...

                “...เอ่อ...รับอะไรดีครับ ?”

                “เอาที่แพงที่สุดในร้าน”

                คำตอบดังลอดจากริมฝีปากบางชมพูระเรื่อนั้น

                “อา...”

                ...มาอีกแล้ว...พวกกระเป๋าหนักช่วงข้าวยากหมากแพง...

                “ฮ่ะ ๆ...คุณหนู  เหล้าที่แพงที่สุดในร้านราคาสามสิบเหรียญทองนะครับ”

                มือที่กำลังจะยกแก้วขึ้นของบุรุษในผ้าคลุมชะงักเล็กน้อยกับประโยคนั้น  แต่เขาก็จิบมันต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

                “เหล้าราคาสามสิบเหรียญทอง ?” หญิงสาวเจ้าของดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลเลิกคิ้วเรียวขึ้นเล็กน้อย

                “ครับ”

                “เอามาสักขวดแล้วกัน”

                “แต่ว่า...เอ่อ  ข้าจะขอเก็บเงินก่อนได้ไหมครับ ?”

                เนตรสีน้ำทะเลทอประกายเรียบเฉย

                ...คน ๆ นี้คงคิดว่านางไม่มีปัญญาจ่าย...

                “นี่...สามสิบเหรียญทอง” หญิงสาววางเหรียญสีทองลงบนโต๊ะ

                “อ่า...ครับ ๆ  ข้าจะไปเอามาเดี๋ยวนี้ล่ะครับ”

                “จำไว้...” เสียงใสเย็นยะเยือกเรียกชายเจ้าของร้านให้ชะงักได้เป็นอย่างดี “...ถ้าหากเหล้าราคาสามสิบเหรียญทองของเจ้าไม่สามารถทำให้ข้าเมาได้แม้สักนิดล่ะก็  ข้าจะฆ่าเจ้า”

                ไม่รู้เพราะอะไร...แต่ชายเจ้าของร้านกลับรู้สึกว่าหญิงสาวร่างแบบบางคนนี้ไม่ได้โกหก

                นางสามารถฆ่าเขาได้จริงดังว่า

                ...แม้กระทั่งร้านเหล้าเล็ก ๆ อย่างนี้ก็ยังมีการขูดรีด...

                หญิงสาวถอนหายใจเบาแสนเบา

                ใช่แล้ว...หญิงสาวผู้นี้ก็คือเจ้าหญิงแห่งอีริออสนั่นเอง

                เพียงไม่นาน  ขวดเหล้าลักษณะซ่อมซ่อฝุ่นจับขวดหนึ่งก็ถูกยกมาวางตรงหน้าพร้อมด้วยแก้วไม้ปอน ๆ อีกใบ  เจ้าหญิงยกขวดเหล้าขึ้นเทเล็กน้อย  กลิ่นเหล้าฉุนแตะจมูก

                เสียงฝีเท้าดังเข้ามา  แต่นางไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง  เพียงแค่ยกแก้วเหล้าขึ้นจิบช้า ๆ เท่านั้น

                “ไง!! น้องสาว...ดื่มด้วยกันสักแก้วสิ”

                ขวดเหล้าขนาดใหญ่ถูกวางโครมลงบนโต๊ะ   ชายร่างสูงใหญ่สองคนที่เมื่อครู่ยังนั่งดื่มอยู่ที่มุมอีกฟากยืนค้ำหัวนางอยู่

                ดวงเนตรสีฟ้าอ่อนเงยขึ้นมองด้วยสายตาว่างเปล่า

                “พวกเราเป็นทหารดาเรน...คอยต่อสู้เสี่ยงตายเพื่อให้พวกเจ้าได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญ!! ไม่คิดจะตอบแทนกันบ้างรึยังไง!?!

                เสียงตะโกนที่ดังกึกก้องไปทั่วร้านทำให้ทุกสายตาหันมามองเห็นจุดเดียว

                สิ่งที่โต้ตอบคำพูดนั้นมีเพียงสายตาว่างเปล่าไร้ซึ่งอารมณ์ 

                เจ้าหญิงแห่งอีริออสถอนหายใจแผ่วเบาอีกครั้ง  ก่อนจะก้มหน้าก้มตาดื่มต่อไปราวกับเสียงตะโกนนั้นไม่มีค่าแม้ให้นางต้องสดับรับฟัง

                “หนอย!! ทำเป็นเมินอย่างนั้นหรือ!!?

                มือหยาบข้างหนึ่งพุ่งเข้าคว้าข้อมือบาง ๆ ของหญิงสาวทันที  อีกมือเข้ารัดที่ลำคอ

                นิ้วเรียวเล็กเปราะบางของซาจิทาเรียสเกร็งเข้าหากัน

                “ปล่อย”

                นางกดเสียงต่ำ

                “หึ ๆ...ดู ๆ ไปเจ้าก็หน้าตาเหมือนพวกขุนนางที่ดีแต่เห่าหอนนะ”

                รอยยิ้มแสยะออกบนใบหน้าน่าเกลียดตรงหน้า

                “อยากจะรู้เหมือนกัน  เวลาที่หน้าสวย ๆ นี่บิดเบี้ยวด้วยความกลัวมันจะเป็นยัง...”

                “น่ารำคาญ”

                เสียงเรียบ ๆ อีกเสียงที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบลงในฉับพลันดังมาจากอีกด้านหนึ่ง

                “แก...” ดวงตาที่ฉ่ำเป็นสีแดงเพราะฤทธิ์สุราหันควับไปทางต้นเสียง

                บุรุษในเสื้อคลุมสีดำคนนั้นนั่นเอง

                “...ที่แส่นี่  อยากตายนักหรือยังไง!?!

                วูบ!!!

                เปรี๊ยะ!! เปรี๊ยะ!!

                ลมหนาวพัดกรูเกรียว...ลมหนาว  ในฤดูใบไม้ผลิ...

                “บอกแล้วใช่ไหม...ว่าข้ารำคาญ”

                ลมที่พัดสะบัดทำให้ผ้าคลุมนั้นหลุดออก  เผยให้เห็นใบหน้าที่อยู่ข้างใต้...ชายในชุดคลุมลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางเนิบเนือย  ผิดกับการกระทำลิบลับ

                ดวงเนตรสีน้ำทะเลของซาจิทาเรียสเบิกขึ้น

                ผู้ใช้มนตรารึนี่?!!

                ใบหน้าคมคายราวกับรูปสลักน้ำแข็ง  หล่อเหลา...เยือกเย็นเกินบรรยาย  เส้นผมสีดำสนิทเหมือนขนปีกของนกกาน้ำ  และดวงตาสีเดียวกันที่ล้ำลึกสุดจะหยั่ง...เหมือนกับมองลงไปในถ้ำน้ำแข็งที่มืดมิด  หนาวเย็นและไร้ทางออก

                “แก...อยากตายใช่มั้ย?!!

                ฉับ!!!

                เพียงหนึ่งพริบตา...กับหนึ่งดาบ...

                ...ไม่มีใครมองเห็นว่าเอาดาบมาจากไหน  ชักดาบตอนไหนและเก็บดาบเมื่อไหร่...

                แต่ฝนเลือดก็โปรยปรายลงมา

                พร้อม ๆ กับร่างสองร่างที่ล้มลงบนพื้น

                “ขอโทษที่ทำให้พื้นร้านเปื้อน” ชายหนุ่มกล่าว “นี่คือค่าเสียหาย...ขออภัยที่ทำให้ยุ่งยาก”

                ดวงตาสีดุจนิลดำสนิทหันมาทางหญิงสาว

                ชุดขาวมีรอยสีแดงคล้ำอย่างน่ากลัว  ใบหน้าขาว ๆ มีหยดเลือดอยู่เล็กน้อย...ทว่า...

                ...ทว่า...ทำให้ดวงตาของผู้หันมามองกระตุกเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย...

                หัวใจ...พลันเต้นรัวขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน...

                ...เขามั่นใจว่าตัวเองเห็นผู้หญิงมามาก...

                ทั้งที่หน้าตาสะสวยอย่างเด็กสาววัยแรกแย้ม  ทั้งที่สวยฉลาดเยือกเย็น  ทั้งที่งดงามจนดูอันตรายคล้ายกับดอกไม้ประดับหนาม...

                ...แต่เขาไม่เคยเจอ...ผู้หญิงที่ทำให้เขาต้องนิ่งอั้นไปเช่นนี้

                ท่ามกลางร้านเหล้าฝุ่นจับ นางยืนอยู่ตรงจุดที่แสงทอเข้ามาเป็นสีทองสาดส่องชุดขาวให้ดูละลานตา ดวงตาสีฟ้าอ่อนทอประกายใสเหมือนจะพาหัวใจให้หลุดไปสู่อีกโลกหนึ่ง สีดุจน้ำทะเลวันฟ้าเปิดนั้นมีประกายเฉลียวฉลาดเหนือชั้น แต่ก็สงบราบเรียบ ราวกับจะดูดผู้ถูกจ้องมองให้จมดิ่งลงสู่ห้วงฝันที่ไม่จริง

                ความงามอย่างร้ายกาจเช่นนี้บาดหัวใจจนเจ็บแปลบ

                เขาเคยคิดว่า...หากเขาปรารถนา  ไม่ว่าสิ่งใด ๆ ก็ต้องเป็นไปตามที่เขาหวังให้มันเป็น

                แต่ผู้หญิงคนนี้ทำให้เขารู้สึกว่า...สิ่งที่เขาคิดมาตลอดนั้นอาจผิด...

                ความงดงามลึกลับราวกับประกายแสงของดวงดาวที่มองเห็นว่าใกล้เพียงมือแต่กลับไขว่คว้าไม่ถึงนี้ทำให้เขารับมือไม่ถูก

                เสี้ยวพริบตาที่ความคิดของชายหนุ่มวูบไหว...เขารู้สึกราวกับเคยเห็นคนตรงหน้าที่ไหนมาก่อน แต่จะเป็นไปได้อย่างไร...หากเขาเคยเห็นนางมาก่อน มีหรือจะจำไม่ได้ ?

                ดวงเนตรสีน้ำทะเลของเจ้าหญิงแห่งอีริออสเบิกกว้างขึ้นเช่นกัน

                คน ๆ นี้...เป็นผู้ใช้มนตรา?!!

                ในดินแดนผืนนี้ประกอบด้วยชนสองกลุ่มคือผู้ใช้มนตราและคนธรรมดา   ถึงแม้ว่าตำนานดั้งเดิมจะกล่าวว่าในสมัยแรกเริ่มนั้น   ทุกคนมีมนตราสูงเท่าเทียมกันหมด   แต่เวลาผ่านไป...เพราะการทำสงครามกันระหว่างแสงสว่างและความมืด   ทำให้เกิดการปะทะกันของมนตราบ่อยครั้ง   ด้วยเหตุอะไรสักอย่าง   การปะทะกันของมนตรานี้บางครั้งก็ทำให้ผู้ใช้มนตราฝั่งที่พ่ายแพ้กลายเป็นคนธรรมดาไปได้

                ปัจจุบัน  ผู้ใช้มนตราที่เหลืออยู่มักจะดำรงอยู่ในฐานะราชาบ้าง  ขุนนางชั้นสูงบ้างหรือไม่ก็นักบวช   เรียกได้ว่าระบบชนชั้นของที่นี่จัดตามระดับของมนตราที่มีอยู่เลยทีเดียว

                เพราะฉะนั้น...คน ๆ นี้ก็ไม่น่าจะที่เป็นเพียงคนธรรมดาอย่างแน่นอน!!!

                แต่ดูท่าทาง...ชายหนุ่มจะเข้าใจอาการนิ่งงันของเจ้าหญิงผิดไป

                “ขออภัยที่ทำให้ตกใจ”

                “ข้า...ไม่เป็นไร” เจ้าหญิงตอบเสียงเบา  เค้นสมองคิดอย่างหนักว่าคน ๆ นี้จะมีฐานะเป็นอะไรได้บ้าง  จะรู้จักหน้านางไหมนะ ?

                “ขอบคุณท่านมากกว่า...ฝีมือดาบท่านเยี่ยมนัก  ไม่ทราบว่า...”

                “ข้าเป็นผู้ติดตามราชบัณทิตแห่งดาเรน  แต่ว่า...ระหว่างเดินทางเกิดพลัดหลงกันเสียก่อน” คำเฉลยที่ทำให้สบายใจไปเปลาะหนึ่ง

                ...อ้อ...อย่างนี้นี่เอง...

                “เอ่อ  ยังไงข้าก็ต้องขอบคุณท่านมาก” ซาจิทาเรียสค้อมหัวลงเล็กน้อย  อย่างไรเสีย...ก็ต้องนับว่าเขามีบุญคุณต่อนาง

                ถึงแม้ว่า...ถึงเขาจะไม่จัดการ  นางก็คงจะสามารถจัดการเองได้ก็ตามที

                “เจ้าเป็นหญิงสาวคนเดียว...ไม่ควรมาในที่แบบนี้”

                คำเอ่ยเตือนพร้อมกับผ้าเช็ดหน้าสีดำผืนหนึ่งถูกยื่นมาให้นางเช็ดรอยเลือดออกจากใบหน้า

                “ช่วงนี้อยู่ในภาวะสงคราม  ถ้ายังไง...ระวังตัวหน่อยแล้วกัน” ชายหนุ่มในเสื้อคลุมสีดำกล่าวต่อ  เดินไปหยิบย่ามสะพายและเหล้าราคายี่สิบห้าเหรียญทองอีกขวดที่ยังไม่ได้เปิด

                “ข้าขอตัว”

                “ยังไง...ข้าก็ขอบคุณท่านมาก” หญิงสาวกล่าวอีกครั้ง

                รอยยิ้มบางแสนบาง  เล็กน้อยจนดูคล้ายกับภาพลวงตาจุดขึ้นบนมุมปากของชายหนุ่มผู้เยือกเย็น

                “หากพบกันครั้งหน้าในสถานการณ์ที่ดีกว่านี้  เจ้าค่อยขอบคุณแล้วกัน...ขอตัว”

                กริ๊ง!!

                เสียงกระดิ่งหน้าร้านดังขึ้นอีกครั้ง  แต่ครั้งนี้...มันบอกการไปของคน  ไม่ใช่การมา

                เจ้าหญิงแห่งอีริออสยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง แล้วจึงนึกขึ้นได้

                ...น่าจะถามชื่อเสียหน่อย...ดูเสียมารยาทจริง ๆ...



                “เหล้าแกล้มเลือด...อร่อยไหม ?”

                เสียงที่ฟังดูร่าเริงบันเทิงใจเหลือเกินดังมาจากด้านหลัง  ทำให้ดวงตาสีนิลเย็นยะเยือกคู่นั้นหันกลับไปมองเล็กน้อย  ก่อนจะออกปากเบา ๆ

                “เซนท์...เจ้ามาที่นี่ทำไม ?”

                “เห็นเจ้าออกมาท่าทางเหมือนหงุดหงิด  ข้าก็เลยตามออกมาดูไม่ให้เจ้าไปฆ่าใครเข้า”

                เจ้าของเสียงร่าเริงผู้มีนามว่าเซนท์ยิ้มแย้มสดใส  ใบหน้าสะอาดสะอ้านอ่อนเยาว์  ดูเผิน ๆ...ให้ความรู้สึกราวกับมองหญิงสาว  เส้นผมสีเงินยวงส่องประกายสว่างไสว  ดวงตาสีเดียวกันก็ทอประกายระยับพราวด้วยความสนุก  เขาอยู่ในชุดลักษณะเดียวกันกับคนที่เดินอยู่ตรงหน้าไม่ผิดเพี้ยน

                “ไม่เห็นออกตัวมาห้ามจริง ๆ เลยนี่ ?” ชายหนุ่มผู้เดินนำหน้าอยู่กล่าวขณะที่ก้าวเอื่อยเฉื่อยผ่านบ้านเรือนที่ดูเหมือนจะร้างไปกว่าครึ่งแล้วอย่างไม่ใส่ใจคนที่เดินตามมาเลยสักนิด

                “ก็แหม...ท่าทางเจ้ากำลังสนุก  แล้วคนพวกนั้นก็ไม่มีค่าพอจะให้ข้าออกไปห้ามเสียด้วย”

                เสียงร่าเริงนั้นตอบกลับมา  ก่อนที่เจ้าของเสียงจะผิวปากหวือเบา ๆ

                “แต่ว่า  ท่าทางแย่เอาการเลยนะที่นี่น่ะ...ดูไม่น่าอยู่เอาเสียเลย”

                “เซนทาเรีย  เลวิส...ในขณะที่ข้าซึ่งเป็นแม่ทัพออกมาจากค่าย  เจ้าซึ่งขณะนี้ดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพก็ควรจะทำหน้าที่อยู่ที่ค่ายไม่ใช่หรือ ?”

                “อย่าเคร่งครัดนักเลยน่า...ไนท์  เจ้าก็น่าจะรู้ว่านาน ๆ ทีข้าถึงจะได้ออกมาจากเมือง  ใจคอจะไม่ให้คนที่ทำงานหนักตลอดปีอย่างข้าได้ออกมาพักผ่อนบ้างเลยหรือยังไงกัน ?”

                เสียงโอดครวญที่ทำให้เจ้าของนาม ไนท์ มุ่นคิ้วเข้าหากัน

                “นี่...”

                ควับ!!

                ของบางอย่างถูกโยนมาให้  ชายหนุ่มนามเซนท์รับมันเอาไว้ได้อย่างแม่นยำ

                “อะไรกันนี่ ?”

                ผู้รับพลิกของที่เพิ่งรับมามองอย่างฉงน  เป็นขวดบรรจุเหล้าสีน้ำตาลอมเหลือง  ท่าทางอายุไม่น่าจะต่ำกว่าห้าปีแถมสภาพก็พอจะรู้ว่าคงไม่ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดีด้วย

                “เหล้านั่น...ราคายี่สิบห้าเหรียญทองเชียวนะ”

                “หา!!

                ตกใจจนเกือบทำขวดเหล้าราคาสูงลิบหลุดมือ

                “จ...เจ้าเอาทองจากท้องพระคลังมาผลาญกับ...กับ...” อับจนด้วยคำพูด  ไม่รู้ว่าจะสรรหาคำอะไรมาบรรยายความไม่สมราคาของสุราในมือนี่ดี

                “เอาไปดื่มซะ...แล้วเราก็กลับไปที่ค่ายกันได้แล้ว”

                “เฮ้อ!!

                ...ก็ในเมื่อคนตรงหน้าพอใจจะจ่ายเงินให้กับของพรรค์นี้...เขาก็คงไม่มีปัญญาห้ามไหวหรอก...

                “ว่าแต่...เจ้าดูแปลก ๆ ตั้งแต่ออกมาจากร้านเหล้านั่นแล้วนี่ ? ท่าทางดูเหมือนพออกพอใจอะไรสักอย่างอยู่รึเปล่า ?”

                ดวงตาสีเหมือนรัตติกาลไร้ขอบเขตหันกลับมามองหน้าของผู้ชายหน้าตาสะสวยที่เดินตามมาเบื้องหลังอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย  แต่ดูเหมือนคนถูกจ้องจะไม่ได้รู้สึกถึงสายตาเย็นยะเยือกนั่นเลย...

                ...หรือไม่ก็รู้สึก...แต่เคยชินเสียแล้ว...

                “ไม่มีอะไรนี่”

                “หืม...หรือแค่คิดถึงบรรยากาศของสงครามก็เลยรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเท่านั้น ?” ชายหนุ่มผมเงินเดา

                “กลับค่ายเถอะ” คำย้ำราวไม่อยากตอบคำถามของคนตรงหน้าทำให้เซนท์รู้ตัวว่าควรจะเงียบได้แล้ว  หรือไม่อย่างนั้นอาจจะต้องเจออะไรที่เลวร้ายยิ่งกว่าเผชิญหน้ากับมังกรพ่นไฟหลายเท่าตัว

                กระนั้น...ปากมันก็ยังอดไม่ได้

                “ข้าก็แค่นึกว่าเจ้าจะคิดถึงบรรยากาศเก่า ๆ หลังจากที่ไม่ได้ออกมาจากเอเวียสตั้งเกือบสองปี”

                รอยยิ้มเย็น ๆ สะบัดบนริมฝีปากของไนท์

                “นั่นสินะ...เกือบสองปี...” ดวงตาสีดำสนิทเหมือนโพรงถ้ำมืดมิดเยือกเย็นนั้นทอประกายประหลาด “...นานใช่เล่นเลยนะ”

                “อื้อ” เซนทาเรียยิ้มหวาน “ต้องทำผลงานให้ดีล่ะ  อย่าให้ใครว่าเอาได้ว่า อัจฉริยะปีศาจมือตกลงจากเดิมนะ”

               

                “ท่านอา!! ข้าซาจิทาเรียสเจ้าค่ะ!!!

                “เข้ามาได้เลย!!

                เสียงเรียกที่ทำให้เจ้าชายเบลาสละสายตาจากเอกสารต่าง ๆ ตรงหน้าขึ้นมอง  ทางเข้ากระโจมถูกเลิกขึ้นเล็กน้อยและเจ้าหญิงแห่งอีริออสเดินเข้ามาด้วยท่าทางหนักใจ  ชุดสีขาวที่เปื้อนคราบเลือดถูกเปลี่ยนออกแล้ว...กลับมาเป็นสีขาวสะอาดบริสุทธิ์ดุจเดิม

                “เป็นยังไงบ้าง ? มีอะไรผิดปกติไหม ?”

                “ท่านอา...ราคาข้าวของสูงขึ้นหลายเท่าตัวทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เปิดสงครามจริง ๆ ด้วยซ้ำ  เรื่องนี้...คงต้องรายงานไปยังท่านเสนาฯ แล้วล่ะเจ้าค่ะ”

                “อืม” เจ้าชายแห่งดาเรนพยักหน้าเล็กน้อย “ข้าจะจัดการให้  นอกจากนี้แล้วยังมีอะไรแปลก ๆ ไปอีกไหม  ข้ากำลังสงสัยว่าอาจจะมีพวกสอดแหนมหลบอยู่ตามหมู่บ้านต่าง ๆ ปะปนกับชาวบ้านที่เหลือน่ะ”

                แว่บหนึ่ง  ความคิดของเจ้าหญิงไพล่ไปถึงชายหนุ่มที่ร้านเหล้าคนนั้น...

                ...นั่นจะนับว่าผิดปกติได้ไหมนะ ?

                สุดท้าย  นางก็ตอบไปอย่างง่าย ๆ

                “นอกจากพวกที่อ้างตัวว่าเป็นทหารดาเรนแล้ว  ก็ไม่มีเจ้าค่ะ  แล้วทางนี้ ?”

                “ข้าสั่งการไปหลายอย่าง  รายงานอยู่ที่รีเฟย์...ส่วนเรื่องหลังจากนี้คงจะต้องพึ่งพาเจ้าแล้วล่ะ”

                “อืม” หญิงสาวรับเบา ๆ “แล้วรีเฟย์ล่ะเจ้าคะ ?”

                คำถามที่ทำให้เจ้าชายแห่งดาเรนยิ้มน้อย ๆ

                “รอเจ้าอยู่ที่กระโจมแน่ะ...พอจัดการงานเสร็จก็รีบไปรอเจ้าทีเดียว  คงกลัวว่าจะคลาดกันกับเจ้าล่ะมั้ง”

               

                “ทำไมเจ้าไม่ไปทำงานอย่างอื่น ?”

                คำพูดแรกดังขึ้นทันทีที่กระโจมส่วนตัวของเจ้าหญิงแห่งอีริออสถูกเลิกขึ้นและพบว่ามีคนนั่งรออยู่ด้านในจริงอย่างที่เจ้าชายเบลาสว่า

                “ข้าจัดการเสร็จหมดแล้ว” คนถูกตำหนิตอบกลับด้วยท่าทางเรียบเฉย  เขาเพียงนั่งอยู่ข้างโต๊ะกลางกระโจม  จิบชาตามอารมณ์เท่านั้น...ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่ากำลังรอนางอยู่เลยแม้เพียงนิด

                “แล้วเรื่องเอกสารล่ะ ?” ดวงเนตรสีฟ้าอ่อนหรี่ลงราวกับหาเรื่องตำหนิต่อ

                “ข้าทำเสร็จแล้ว  รวมถึงเรื่องตรวจดูภาษีในแถบนี้และเรื่องตรวจจับมนตราในระยะห้าร้อยโยชน์ด้วย”

                คำตอบที่ทำให้ซาจิทาเรียสจำต้องเงียบด้วยไม่รู้ว่าจะหาเรื่องใดมากล่าวหาคนตรงหน้าต่อดี  เพราะดูราวกับคนตรงหน้าจะจัดการอะไร ๆ ไปมากกว่าที่นางสั่งเสียอีก

                “แล้วเป็นยังไงบ้าง ? ออกไปตรวจการณ์ในหมู่บ้าน...ได้อะไรรึเปล่า ?”

                “อืม”

                เจ้าหญิงส่งเสียงเบา ๆ ในลำคอ  ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกฟากหนึ่งของโต๊ะไม้ตัวกลม  องครักษ์หนุ่มวาดมือผ่านโต๊ะด้วยท่าทางงามสง่า  ชุดน้ำชาอีกชุดหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า  เพียงชายหนุ่มแตะมือลงบนกาสีขาวนวลนั้น...ควันหอมกรุ่นก็ลอยฟุ้งไปทั่วทั้งกระโจม

                “นี่...ข้าคิดว่าบางทีเจ้าอาจจะอยากเห็น” หญิงสาวดึงของบางอย่างออกมาวางลงบนโต๊ะ

                ...ขวดเหล้าเก่า ๆ ที่มีของเหลวสีเหลืองเหลืออยู่ครึ่งค่อนขวด  ดูจากสภาพฝุ่นจับแล้ว...บอกได้เลยว่าคงจะมีราคาไม่เกินหนึ่งเหรียญทองเป็นแน่

                “มันเป็นสุราราคาสามสิบเหรียญทอง...”

                รอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปากของซาจิทาเรียสเมื่อเห็นท่าทางชะงักเล็กน้อยขององครักษ์หนุ่มซึ่งไม่ได้หาดูได้ง่ายนักจากคนที่ปกติสวมหน้ากากเยือกเย็นอยู่เสมอเช่นนี้

                “...กระทั่งสุราเก่า ๆ แค่นี้ยังมีราคาสูงเพียงนี้  ไม่ต้องเดาเลยว่าข้าวของอื่น ๆ ราคาคงจะเพิ่มสูงไม่ต่ำกว่าห้าหรือหกเท่าแน่ ๆ”

                “บอกเจ้าชายเบลาสหรือยัง”

                “บอกไปแล้ว” หญิงสาวตอบ  ถอนหายใจเบาแสนเบา “แต่คงช่วยอะไรไม่ได้มากหรอก...เรื่องแบบนี้  ทางราชสำนักเองใช่ว่าก้าวก่ายได้มากมายเสียเมื่อไหร่”

                “ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย” รีเฟย์ตอบเรียบ ๆ  ขยับขวดเหล้าฝุ่นจับไปอีกทาง “แต่สีหน้าเจ้า...เหมือนไม่ได้มีเรื่องแค่นี้นี่นา ?”

                ดวงเนตรสีดุจผืนทะเลสาบยามต้องประกายแสงอาทิตย์นั้นเบือนขึ้นจากถ้วยชาหอม ๆ นั้นเล็กน้อย  คิ้วเรียวเลิกขึ้น

                “อะไรทำให้เจ้าคิดอย่างนั้น ?”

                “เจ้าคิดว่า...ข้ารู้จักเจ้ามากี่ปีกัน ?” ถ้อยย้อนถามเยือกเย็น  ทว่าในความหมายของมัน...กลับเจือความห่วงใยลึกซึ้ง

                ...ลึกซึ้งเสียจนทำให้เจ้าหญิงยิ้มน้อย ๆ ออกมา...

                “นั่นสินะ...ราว ๆ สิบ  ไม่สิ...สิบสามปีได้กระมัง”

                “สิบสามปีครึ่ง” ชายหนุ่มแก้แทน

                ...สิบสามปีครึ่ง...ที่เขาได้มาอยู่ข้างกายของหญิงสาวผู้นี้...

                ...อยู่เพียงข้างกาย...แต่ไม่เคยได้กร้ำกรายเข้าไปถึงในหัวใจนางแม้เพียงส่วนเสี้ยว...

                ...ทั้ง ๆ ที่...ในหัวใจเขา...มันไม่มีที่หลงเหลือให้สิ่งอื่นใดนอกเหนือจากนางเลยแท้ ๆ

                ซาจิทาเรียสระบายลมหายใจออกมาช้า ๆ

                “สิบสามปีเชียวหรือ...” คำกล่าวที่ไม่ดูคล้ายคำถาม  ชายหนุ่มจึงใช้ความเงียบงันเป็นคำตอบ

                “...นั่นสินะ  สิบสามปี  เปลี่ยนเจ้าจากเด็กบ้าหนังสือให้กลายเป็นพ่อมดอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน  เปลี่ยนข้าจากเด็กหญิงที่ดีแต่ชวนทะเลาะมาเป็นธิดาแห่งชัยชนะ...และเปลี่ยน...”

                สายตานางคล้ายว่าจมดิ่งลึก  มีเพียงรอยยิ้มประดับมุมปากน้อย ๆ เท่านั้นที่แต่งแต้มบนใบหน้า...บ่งบอกร่องรอยอารมณ์อันเดียวที่คงเหลือไว้

                รอยยิ้ม...หวานชื่น  ขมขื่น...รวดร้าว...

                ...อดีต...มิใช่สิ่งที่ควรนึกถึงด้วยความรู้สึกอยากให้หวนคืน...

                ...มันเป็นสิ่งที่ควรรำลึกด้วยความอาวรณ์เพียงแค่นั้น...

                นางรู้ดีแก่ใจ...เพราะไม่ว่าด้วยพลังอำนาจใด ๆ ทั้งที่มีอยู่ในตัวนางหรือในโลกหล้า...ก็ไม่มีทางหวนมันคืนกลับมาได้  แม้เพียงเศษเสี้ยวของพริบตา

                ...ทว่า...บางคราว...มันก็ชวนให้หัวใจหวั่นไหว...

                “...คนขี้แกล้งบางคน  ให้กลายเป็นพระราชา...”

                ทุกสิ่งทุกอย่าง...จมดิ่งลงสู่ความเงียบ

                อึดใจ  ก่อนที่เจ้าหญิงจะเงยหน้าขึ้นจากถ้วยชา

                “ขอบคุณสำหรับชา...เจ้าไปทำงานต่อเถอะ  ข้าอยากจะอยู่คนเดียวสักพัก”

                รีเฟย์เลิกคิ้ว  มองหญิงสาวอย่างเป็นห่วงเพียงชั่วครู่  ก่อนที่จะพยักหน้ารับแล้วถอยออกไปจากกระโจม

                แต่กลับถูกรั้งด้วยคำ ๆ หนึ่งเสียก่อน

                “รีเฟย์...คนแถบนี้น่ะ  มีพวกที่มีดวงตากับเส้นผมสีดำหรือเปล่า ?”

                คำถามที่ทำให้องครักษ์หนุ่มชะงักไปเล็กน้อย  เขาใช้เวลาครุ่นคิดเพียงแค่ชั่วนาที

                “ไม่นี่...คนทางเหนือจากที่นี่ขึ้นไปผมทองหรือไม่ก็ผมเงิน  ดวงตาก็เป็นสีเขียวหรือไม่ก็สีฟ้า  คนลักษณะอย่างเจ้าว่า...จะมีก็คงอยู่ในแถบเลเธนส์ลงไปจนถึงวิส” คิ้วเรียวของรีเฟย์เลิกขึ้นอีกหน่อย  ก่อนจะย้อนด้วยคำถาม

                “มีอะไรหรือ ?”

                “อืม...” หัวคิ้วของเจ้าหญิงแห่งอีริออสเริ่มเคลื่อนเข้าชนกันช้า ๆ “...ถ้าอย่างนั้น  แล้วราชบัณฑิตในดาเรนนี่ล่ะ ? เจ้าพอจะรู้เรื่องของพวกเขาบ้างไหม ?”

                “ดาเรนมีราชบัณฑิตทั้งหมดสี่สิบเจ็ดคน  ถ้าข้าจำไม่ผิดหรือไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นในช่วงห้าเดือนที่ผ่านมานี้”

                “ในจำนวนนั้น...มีใครที่มีผู้ติดตามจากทางใต้  หรือว่ากำลังเดินทางอยู่หรือเปล่า”

                คราวนี้  คิ้วเข้มของชายหนุ่มแทบจะกลืนหายไปกับไรผม

                “เท่าที่ข้าจำได้  ราชบัณฑิตอายุน้อยที่สุดอายุหกสิบสามแล้วนะ  เจ้าคิดว่าจะมีใครในนั้นออกเดินทางอีกไหมล่ะ ?”

                ถ้อยตอบที่ทำให้หญิงสาวกะพริบตาปริบสองสามทีขณะที่รีเฟย์เดินออกไปจากห้องด้วยสีหน้าที่ยังคงไม่เข้าใจอยู่เล็กน้อย

                ...หมายความว่ายังไง ?

                ชายคนนั้นโกหกนางหรือ ?

                ...เขาจะโกหกนางทำไม ? หรือไม่สามารถบอกฐานะจริง ๆ ให้ใครรับรู้ได้ ?

                ถ้าอย่างนั้น...เขามาอยู่ที่นี่ทำไม

                แล้วยิ่งกว่านั้น...ทางดาบแบบนั้น...

                ซาจิทาเรียสยกมือขึ้นคลึงหว่างคิ้วเบา ๆ อย่างใช้ความคิด

                ...เขาเป็นใครกันนะ ?


    100 จนได้นะเออ แหะ ๆ

    เมื่อวันก่อน วันก่อนและวันก่อน ๆ ข้าน้อยได้ไปงานหนังสือมา อิอิ...มีใครได้ไปเจอกันบ้างรึเปล่าเอ่ย ?
    (แต่มีเฉพาะวันที่ 29 เท่านั้นแหละที่เข้าไปที่บู้ธ PC แหะ ๆ)

    สำหรับเรื่องซาจิทาเรียสนี้คาดว่าจะออกในงานหนังสือคมนี้นะเจ้าคะ (เฉพาะเล่ม 1 น้า) ถ้ามีข่าวคราวยังไงเดี๋ยวจะมาคอนเฟิร์มอีกที (ถึงจะไม่ใช่หมอกฤษฎ์แต่ก็จะคอนเฟิร์ม 555+)



    *T* Bear*M* bear
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×