คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : ผู้ว่าจ้างลึกลับ (100% แล้วเน้อ)
14.
ผู้ว่าจ้างลึกลับ
ท่านผู้โดยสารที่จะเดินทางโดยเที่ยวบิน ปักกิ่ง โตเกียว...
เสียงประกาศที่ทำให้ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นกะพริบลืมขึ้นจากการหลับใหล
“เอ๋...?”
ดวงตาที่เพิ่งจะลืมขึ้นนั้นหันมามองนาฬิกาพกสีเงินที่ถูกสลักลวดลายสวยงามในมือของตัวเอง
“ได้เวลาซะที”
พึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปที่กระเป๋าเดินทางใบมหึมาที่วางอยู่ข้างกาย
เจ็ดปีแล้วสินะที่เราไม่ได้กลับญี่ปุ่นเลย
...เฮ้อ!!!
รอยยิ้มน้อย ๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า
คิดถึงซะจริง!!!
** ** ** ** ** ** ** ** ** ** **
“ฮ้าว!!”
“อ้าว!!!...ยูเอะ!! ตื่นแล้วหรอ ? วันนี้แม่ส่งจดหมายลาหยุดไปให้โรงเรียนแล้วนะ เพราะฉะนั้นนอนได้ตามสบายจ้ะ!!”
งืม ๆ =..= เกิดอะไรขึ้นหว่า
สมองที่ยังไม่ตื่นดีของฉันเริ่มลำดับเรื่องอย่างเชื่องช้าราวกับเต่าคลาน เอาน่ะ...คนเพิ่งตื่นได้แค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว!!
อืม ๆ เมื่อวานนี้ฉันไปทำงาน เสร็จแล้วก็ถูกจับ แล้วนายตัวกวนประสาทอันดับหนึ่งก็มาช่วย เสร็จแล้ว...พอตอนขาออกจากโรงแรม ฉันก็หลับไป...
เออ...ง่วงเป็นบ้า
ห๋า!!...หลับไปงั้นหรอ!?! นี่ฉันโดนหมอนั่นพาไปทำมิดีมิร้ายที่ไหนหรือเปล่าฟะเนี่ย!!?
รีบสำรวจสภาพของตัวเองอย่างรวดเร็ว ขณะที่ท่านแม่แสนดีของฉันเดินถืออ่างน้ำร้อนเซรามิคใบสวยตรงมาทางฉัน
“เอ้านี่!! รีบ ๆ ล้างหน้าล้างตาตรงนี้ซะ!!...ขี้เซาจริง ๆ เลยนะเราเนี่ย”
“ป้ายูเอะ!!...ตื่นแล้วหรอ!?!”
เสียงริวเซนี่นา แล้วทำไมวันนี้มันดันได้หยุดด้วยหว่า -*-
“วันนี้ชั้นเรียนของผมหยุดเพราะพวกป้า ๆ มีสอบ”
เออ...ดีเนอะ
อืม...แล้วโรงเรียนไอ้คุณริวเซนี่มันอยู่ที่ไหนหว่า
งืม ๆ
เวลาผ่านไป ติ๊กต๊อก ๆ... - -*
อ้ากกกก!!~ โรงเรียนฉันเองนี่หว่า!!! แล้วที่ว่าสอบ...ก็ชั้นของฉันเองนี่หว่า!!!
“แม่ค้า!! ฉันต้องไปแล้ว!!!...วันนี้มีสอบด้วยอ่ะ!!?”
“ไม่ต้องแล้วล่ะ เพราะเมื่อวานคิทสึเนะคุงอาสาจะไปบอกอาจารย์ให้แล้วว่ายูเอะไม่สบาย ให้สอบทีหลังได้เป็นกรณีพิเศษ”
หา!!?...ไอ้ตัวกวนประสาทนี่น่ะนะ!?!
มันจะมาไม้ไหนกันเนี่ย ?
“แม่ว่านะ...คิทสึเนะคุงเนี่ยเป็นคนดีจริง ๆ เลย!! แถมยังน่ารัก พูดครับ ๆ ๆ ทุกคำ”
ง่ะ - -“” แม่อย่าดูคนที่ภายนอกสิคะ หมอนั่นเป็นตัวอันตรายต่อระบบประสาทของแท้นะคะแม่ขา~
“ใช่ ๆ เป็นคนดีจริง ๆ ด้วยนะยูเอะ ป้าน่ะจะมารู้อาไร้ พี่คิทสึเนะน่ะเขาเห็นว่าป้าหลับอยู่ก็เลยไม่ปลุก แล้วก็อุ้มยัยหมูตอนอย่างป้าลงมาจากรถให้ด้วย โอ้ย!!...ถ้าเป็นฉัน ฉันจะกลิ้งป้าลงมาแล้ว!!”
หนอย...ไอ้นี่!! ป้า ๆ ๆ ๆ ทุกคำเลยนะยะ!!
เดี๋ยวก่อนนะ...
“หา!!? หมอนั่นอุ้มฉันลงมาเรอะ!? ได้ไง...แล้วทำไมไม่มีคนห้ามล่ะ!?! พี่ริวจินอะไรอย่างนี้น่ะ!!?”
อ้ากกกกก!!!~ นี่แม้แต่พี่ชายแสนดีของฉันก็ยังยอมให้หมอนั่นมันอุ้มฉันลงมาเลยเรอะ!?!
“โหย...ยูเอะ ป้าก็รู้ว่าพี่ริวจินน่ะเวลาหลับแล้วจะเป็นยังไง”
เออ...จริงสิ
คือพี่ชายของฉันคนนี้น่ะ ถ้าลองได้หลับแล้วจะหลับสนิท...ม้ากกก!! แล้วถ้าใครไปปลุกนะ...
หึหึหึ รับรองไม่ตายดี
“โอ้ย!! แม่ล่ะอยากได้เขยอย่างนี้มานานแล้วล่ะ!!!”
“ดีค่ะแม่...” ฉันพูดอย่างหมดอารมณ์ก่อนจะเหลือบมองไอ้คุณริวเซที่นั่งทำตาเป็นประกาย “ถ้างั้นให้ริวเซแต่งไปแม่ก็ได้เขยเหมือนกัน ดีไหมคะ ?”
“เฮ้ย!! อย่าโยนมาทางนี้ดิ!!! ฉันไม่ได้ลักเพศนะเฟ้ย!!”
เออ...แกน่ะไม่ใช่....
...แต่ไอ้คนที่แกชื่นชมนักหนาเนี่ย...ลักเพศชัด ๆ!! (ยังไม่เลิกเข้าใจผิด -*-)
** ** ** ** ** ** ** ** ** ** ** **
ฮ้าว!!!
“อ้าว...คิทสึเนะคุง เป็นอะไรไป ? หน้าตาเหมือนไม่ได้นอน ?”
เสียงของซายุดังเข้าหัวที่ปวดหนึบ ๆ ของผม
รู้อย่างนี้...ลาหยุดอีกคนด้วยก็ดีอยู่หรอก!!
“เปล่าหรอก” ผมตอบปัด ๆ ไป
สมองปวดตึ้บเหมือนโดนอะไรกระแทก แถมยังต้องมานั่งเค้นสมองคิดคำตอบวิชาคณิตศาสตร์อีก สภาพผมตอนนี้จึงไม่ต่างอะไรไปจากผีดิบนัก
สิ่งเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นบ้าง...คือวันนี้เรียนแค่ครึ่งวัน
“นี่...จริงสิ วันนี้ยูเอะหยุดนี่นา” ซายุว่าขึ้นลอย ๆ “คิทสึเนะคุงพอจะรู้บ้างรึเปล่าว่ายูเอะเค้าป่วยเป็นอะไรน่ะ ? ฉันไปเยี่ยมดีไหม ?”
“เออ...ผมว่าอย่าเลยดีกว่านะ” ผมรีบบอก “คนป่วยน่ะต้องพักมาก ๆ”
“จริงสินะ!!” ซายุแย้มรอยยิ้มกว้างขึ้น “แล้วเย็นนี้คิทสึเนะคุงว่างหรือเปล่า ? ไปที่มอลล์ด้วยกันไหม!?”
** ** ** ** ** ** ** ** ** ** **
ปี๊! ป่อ! ปี๊!...ตู้ด!!!
ฉันกดรับมือถือด้วยความเซ็งนิดหน่อย แหม...ไอ้การหยุดอยู่บ้านนี่มันก็ดีอยู่หรอก แต่พอมีตัวกวนประสาทมือวางอันดับสองของโลก (มือวางอันดับหนึ่งยกให้เจ้าคิทสึเนะไปแล้ว) มาคอยก่อกวนอยู่ใกล้ ๆ นี่...มันก็เบื่อได้เหมือนกันนะ
“สวัสดีค่ะ...คิลอินดีค่ะ”
ฉันพูดพลางหยิบข้าวเกรียบเข้าปากไป หวังว่าปลายสายคงจะไม่รู้หรอกนะว่าฉันทำอะไรอยู่
“สวัสดีครับ” เสียงทุ้มนุ่มชวนฟังดังมาจากปลายสาย
...ให้ตาย!! หมอนี่เป็นนักร้องหรือไงกัน ? เสียงดีเป็นบ้า!!!
“สวัสดีค่ะ มีอะไรให้รับใช้หรือคะ ?”
“เอ่อ...คุณคงจะเป็น...”
ปลายสายเงียบไปสักพักหนึ่ง
“โอเปอร์เรเตอร์สินะครับ!!”
ปึด!!! (เส้นเลือดที่หัวแตกไปแล้วหนึ่งเส้น)
หนอย!!...เสียงออกจะส่อรัศมีประธานชัดเจนอย่างนี้เอาหูที่ไหนมาฟังว่าฉันเป็นแค่โอเปอร์เรเตอร์กันยะ!?!
แต่เอาเถอะ ตามหลักคนทำมาค้าขาย มีกฎกล่าวไว้ว่า ‘ลูกค้าคือพระเจ้า’
ท่องไว้ ๆ ลูกค้าคือพระเจ้า ๆ
“เออ...ไม่ใช่ค่ะ”
“อ้าว...งั้นหรอครับ ?” เสียงปลายสายทุ้ม ๆ นุ่ม ๆ นั้นดูจะแปลกใจ
“งั้น...คุณเลขาฯ ช่วยเรียนท่านประธานบริษัทหน่อยครับว่าผมต้องการจะเรียนสาย”
ปึ้ด!!!
ถัดจากโอเปอร์เรเตอร์ก็เป็นเลขาฯ งั้นหรอ!?!
“ขอโทษนะคะ ประธานบริษัทคิลอินดีกำลังพูดอยู่ค่ะ”
ฉันกระแทกเสียงเล็กน้อย
ลูกค้าคือพระเจ้า ๆ ๆ ๆ!!!
“คือ...มีอะไรให้รับใช้คะ!?”
นี่ถ้าเสียงมันสามารถเปล่งแสงได้ เสียงเมื่อกี้ของฉันคงจะเปล่งแสงวิ้ง ๆ ไปแล้วล่ะ หึหึ...หวานซะขนาดนั้นน่ะนะ
“อ...เอ่อ ขอโทษครับ เสียมารยาทจัง”
รู้ตัวก็ดีแล้วล่ะย่ะ - -*
“ไม่เป็นไรค่ะ...ว่าแต่ มีอะไรให้รับใช้รึเปล่าคะ ?”
“ครับ...แต่ว่านี่เป็นงานใหญ่ ช่วยกรุณามาพบผมที่มอลล์กลางเมืองหน่อยได้ไหมครับ ?”
“คือ...” ฉันอึกอัก การจะไปพบกับลูกค้าโดยตรงไม่ใช่วิสัยของนักฆ่าเลยสักนิด มันค่อนข้างเสี่ยงสูงแล้วยังเป็นการเปิดเผยตัวเองโดยไม่จำเป็นอีกด้วย
“ผมจะจ่ายให้เป็นสองเท่าของที่คุณเรียก...เรายินดีจะจ่าย ไม่ว่าคุณจะเรียกเท่าไหร่”
คำพูดคำเดียวที่ทำให้ฉันตาลุกวาว
ไม่จำกัดงบอย่างนี้สิ!!!...แหม คุยกันง่ายหน่อย!!!
“แต่ว่า...”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมไม่คิดจะเล่นสกปรกกับตระกูลซานาดะอันเลื่องชื่อหรอก” เสียงนุ่ม ๆ กลั้วหัวเราะแต่กลับทำให้ฉันสะดุ้งเฮือก
...มันรู้...รู้อย่างนั้นหรือว่าคิลอินดีเป็นของซานาดะ!?
รู้ขนาดนี้ คงต้องเป็นคนที่อยู่ในวงการ...แถมยัง ไม่ใช่ระดับธรรมดา ๆ เสียด้วย
“อย่างนี้ก็พูดกันง่าย...” ฉันเปลี่ยนน้ำเสียงในทันที
อย่าคิดเชียวนะว่าไอ้การเก็กเสียงหวาน ๆ นี่จะมีไว้แค่เพื่อให้ดูโก้ ๆ เท่านั้น จริง ๆ มันยังเป็นการปลอมเสียงจริง ๆ ของฉันไม่ให้มีคนจับได้อีกด้วย
แต่ในเมื่อรู้อย่างนี้แล้ว หมอนี่ต้องเป็นคนของตระกูลใหญ่อะไรสักตระกูล ไม่อย่างนั้นก็คงต้องเป็นคนใหญ่คนโตในวงการใต้ดิน
“ฉันขอบอกก่อนนะคะ ว่าถึงเราจะเป็นบริษัทจริงแต่ก็ไม่ได้หวังเพียงแค่เงินเท่านั้น ความปลอดภัยของบริษัทก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็น”
เสียงปลายสายยังคงหัวเราะเบา ๆ
“ครับ...ครับ จะมาไหมครับ ? รับรองว่า...คุ้มค่ากับคุณแน่ และ...เชิญคุณเล่นลูกไม้ตามใจชอบได้เลย รับรองว่าไม่มีอะไรแน่ ๆ”
“หึ..” ฉันยิ้มบาง ๆ
คิดจะยั่วฉันคนนี้งั้นหรือ ?
“...ก็ได้” ฉันลากเสียง “...บอกสถานที่นัดหมายมา และ...คุณชื่ออะไร ?”
ปลายสายเงียบไปเล็กน้อย
“ร้าน...แกรนด์เซน โต๊ะมุมซ้ายสุด ผมชื่อ...”
เงียบไปอีกเล็กน้อย เหมือนกับคนพูดกำลังชั่งใจนิดหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา
“ชื่อจริงของผม เซตะ ฮาจิเมะ...พบกันตอนหกโมงนะครับ”
กริ๊ก!! ตู้ด ๆ ๆ!!!
ผู้ว่าจ้างลึกลับตัดสายไปแล้ว เหลือแต่ฉันที่นิ่งค้าง...
รอยยิ้มเหยียดออกบนริมฝีปาก
เอาแล้วไงล่ะ...
...หึหึ...ท่านประมุขแห่งองเมียวจิ...
จอมเวทย์อัจฉะริยะ...เซตะ ฮาจิเมะผู้ถูกกล่าวขานว่า เป็นผู้สามารถร่ายมนตราพันบทได้ในราตรีเดียว
คิลอินดี...ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับใช้!!!
** ** ** ** ** ** ** ** ** ** **
“อืม...ว่าแต่ คิทสึเนะคุงเนี่ย...เก่งจังนะ”
“หืม ?” ผมเหลือบมองซายุที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
ลานน้ำพุหน้ามอลล์ที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงาม ร้านค้าเล็ก ๆ ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เสียงน้ำพุที่ดังแว่วมาเป็นระยะ ๆ นั้นยิ่งทำให้บรรยากาศดูสงบมากขึ้น
“ก็คิดดูสิ...คิทสึเนะคุงเพิ่งย้ายเข้ามาที่นี่ใช่ไหมล่ะ ? แต่กลับทำคะแนนได้ดีอย่างนี้”
“ซายุเองก็ทำได้ดีเหมือนกันนี่”
“ไม่หรอก ๆ ก็แค่ระดับพื้น ๆ”
ก็คะแนนเต็มเหมือนกันไม่ใช่หรอ ? ผมแอบคิดในใจ พลางดันแว่นตาขึ้นกลับเข้าที่
“อืม แต่วันนี้คนเยอะจังเลยนะ” ซายุพูด
จริง ๆ เสียด้วย รู้สึกว่าวันนี้คนจะมาชุมนุมอยู่ที่นี่มากเป็นพิเศษ
“อ้อ รู้สึกว่าวันนี้จะมีการจุดพลุด้วยน่ะ ตามกำหนดการณ์ของมอลล์” ผมบอก รู้สึกว่าจะใช่อย่างนั้นนะ
“จริงหรอ!!? แหม...โชคดีจัง งั้นเราอยู่ดูด้วยกันนะ”
“อ...อืม!!”
ผมมองใบหน้ายิ้มแย้มของซายุแล้ว รู้สึกว่า...ตัวเองกำลังทำอะไรผิดอยู่อย่างไรไม่รู้
ซายุคงจะชอบผมเอาซะจริง ๆ แต่ผมสิกลับคบกับเธอเพราะเรื่องส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับความรักหรือความชอบใด ๆ ทำอย่างนี้...บาปไหมนะ ?
แต่เอาเถอะ!! เมื่อมันเดินหน้ามาถึงตรงนี้แล้วก็ต้องแล้วกันไป...
...แต่ยังไง...ผมก็ยังไม่ลืมหรอกนะว่าคนที่ผมอาจต้องแต่งงานด้วยจริง ๆ คือใคร...
** ** ** ** ** ** ** ** ** ** **
“อืม ๆ ร้านแกรนด์เซน โต๊ะมุมซ้ายสุด ?”
ฉันเดินเข้าไปในร้านอาหารสุดหรูพลางชะเง้อคอหาโต๊ะที่ว่า ในขณะที่คนอื่น ๆ ในร้านน่ะชะเง้อคอมองฉัน
เออสิ...ไม่ให้มองได้ไงล่ะ ? ก็แต่งตัวซะ...
ฉันอยู่ในชุดแซกสั้นสีแดงเข้ม ๆ ดู ๆ ไปแล้วก็เหมือนกับเลือดไม่มีผิด ผมก็ถูกปล่อยยาวแล้วประดับด้วยปิ่นไข่มุก (ที่ยืมแม่มา 55+...คนอย่างฉันมีของพรรค์นี้ที่ไหนล่ะ ?) แถมไอ้ชุดเนี่ย...มันเป็นแบบสายเดี่ยวเปิดไหล่ซะ โอ้ย!!...เลิกจ้องกันซะทีจะได้ไหม ? เดี๋ยวฉันละลายพอดี!!!
อ๊ะ!!
สายตาของฉันไปสะดุดที่โต๊ะมุมซ้าย ก่อนจะเดินเข้าไป
“สวัสดีค่ะ...” ฉันยิ้มทักให้กับเจ้าของโต๊ะ ก่อนจะยื่นนามบัตรที่เขียนว่า
Kill - in D
“เธอเองหรอ ?...แหม ไม่คิดเลยนะว่าจะเป็นคนที่สวยขนาดนี้!!” ดวงตาสีฟ้าอ่อนนั่นเงยขึ้นจ้องมองฉัน เวลาที่มันมองมาเนี่ย...สีของมันเหมือนกับว่าจะหายไปเลย เหมือนกับตรงส่วนที่เป็นตาดำนั้นกลายเป็นแก้วใส ๆ ที่ภายในว่างเปล่า ดูแล้วขนลุกยังไงไม่รู้
อ...เออ ฉันก็ไม่คิดเหมือนกันล่ะว่าผู้นำองเมียวจิจะรูปหล่อลากดินซะขนาดนี้
ชายหนุ่มในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มอย่างผู้ดี๊ผู้ดี ดีนะที่ฉันเลือกชุดที่ดูไฮโซหน่อยมา ไม่งั้นคงถูกมองว่าเป็นยาจกแหง ๆ ใบหน้าหล่อเหลาติดจะสวยเหมือนผู้หญิงนิด ๆ อย่างผู้ชายเจ้าสำอาง อายุคงสัก...สิบเก้า ประมาณพี่ริวจินล่ะมั้ง เส้นผมสีชาตัดประบ่าเหมือนอย่างที่ดาราวัยรุ่นสมัยนี้ชอบทำกัน ทุกอย่าง...ดูไม่ผิดจากดาราซุปเปอร์สตาร์ที่มีคนมารุมขอลายเซ็นสักนิด
“นั่งสิครับ...เอ่อ พอดีฉันมาก่อนนานเหมือนกันก็เลยสั่งอาหารมาก่อนน่ะ คงจะเย็นหมดแล้ว” คำพูดที่ดูเป็นกันเองและรอยยิ้มนั่น
อ้ากกก!! อย่า ๆ ๆ ๆ ๆ...อย่ามายั่วฉันนะ!!! เดี๋ยวจับท่านเจ้าแห่งองเมียวจิไปเคี้ยวเล่นจะทำยังไงล่ะเนี่ย!?!
“เธอชอบชาร้อนหรือชาเย็นล่ะ ?” ชายหนุ่มผู้ได้ชื่อว่าจอมเวทย์อัจฉริยะถามฉันในขณะที่ฉันนั่งลงที่นั่งตรงข้าม
“เอ่อ...ชาร้อนค่ะ”
“ฮ่ะ ๆ ไม่ต้องพูดค่ะอะไรก็ได้ ฉันไม่ถือธรรมเนียมอะไรมากหรอก ถือว่าเราเป็นเพื่อนกันก็ได้”
เอ่อ...-*- แต่ฉันยังเด็กอยู่นะเฟ้ย!! ต้องเป็นน้องสิน้องน่ะ!!! ไม่ใช่เพื่อน!!!
“อ...อืม” แต่เอาเถอะ...สำหรับคนหล่อ เป็นเพื่อนก็ได้ อิอิ ^[]^
“ชาร้อนนะ” ฮาจิเมะยิ้ม พลางเอื้อมมือมาที่ถ้วยชาของฉัน ก่อนจะแตะที่ปากถ้วยเบา ๆ
ฟู่!!!
ไอควันกรุ่นลอยละล่องขึ้นมาจากถ้วยทันที
“ขอบคุณมากนะ” ฉันว่า
“โห...ไม่ตกใจเอาซะเลย ว้า!!”
“เอ่อ เคยเห็นมาบ้าง...แล้วสำหรับจอมเวทย์อัจฉริยะ แค่นี้คงเป็นเรื่องธรรมดา ๆ ใช่ไหม ?”
“ไม่เอาน่า!!” คนถูกเรียกเป็นจอมเวทย์อัจฉริยะบุ้ยหน้าเหมือนกับเด็กขี้อ้อน “ฉันไม่ชอบชื่อจอมเวทย์อัจฉริยะอะไรนั่นเลย เรียกฮาจิเมะหรือฮาจิเมะคุงเถอะ ^ ^”
ฮาจิเมะพูด ในขณะที่ฉัน...
ฉ่า!! (ละลายครับละลาย >_< น่ารักอะไรอย่างนี้!!?)
“อ...อ่า ฮาจิเมะคุง”
“ฮิ ๆ ดีจัง” ประมุขแห่งองเมียวจิที่หล่อเป็นบ้ายิ้มแล้วก็หัวเราะเหมือนเด็ก ๆ ก่อนจะเอื้อมมือมาลูบหัวฉันอย่างเอ็นดู
ส่วนฉันก็...
ฉ่า!! (ละลายรอบสอง >////< โอ้ย!!~ น่ารักเกินบรรยาย)
“เอ่อ...อะแฮ่ม ๆ ว่าแต่เรื่องงาน ?”
“ง่ะ...เอาไว้คุยทีหลังเถอะ อุตส่าห์ได้เจอคนสวย ๆ อย่างเธอเนี่ย ขอแกล้งทำเป็นเดทสักครั้งเถอะน่า!!”
อ่านะ - -* นี่มันภาชนะหุงต้ม (หม้อ) แบบออกหน้าออกตาเลยนี่หว่า
“เอ่อ” ฉันขมวดคิ้ว
ถึงจะหล่อแค่ไหนแต่งานก็คืองานนะเฟ้ย!!!~
“จริงสิ!! ว่าแต่เธอชื่ออะไรล่ะ ?...จะได้เรียกกันถูก”
จริงดิ...ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเลยนี่นา
“อ่า ยูเอะ...ซานาดะ ยูเอะ”
“ยูเอะหรอ ?” ฮาจิเมะกลอกตาขึ้นก่อนจะยิ้มแย้ม “ชื่อดีนะ...ภาษาจีน ยูเอะแปลว่าพระจันทร์นะ เพราะดีจัง”
“คือว่า เข้าเรื่องงานเลยเถอะค่ะ”
ฉันพูดอย่างเกรงใจในขณะที่ท่านเจ้าแห่งองเมียวจินั้นเริ่มลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้า
“เอ้า!! ทานสิ...นี่อร่อยนะ”
เฮ้อ!!
เอาเถอะ...ไหน ๆ กินฟรีก็...
ฟาดให้เกลี้ยงไปเลย!!!
** ** ** ** ** ** ** ** ** ** **
“ฮ่ะ ๆ ยูเอะนี่กินเก่งเหมือนกันนะ”
“ก็...แหะ ๆ”
ฉันได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ ก็เล่นไปทำบ้าเลือดฟาดซะขนาดนั้น เฮ้อ!!...
แต่ว่านะ...ยังไงมื้อนี้ประมุขแห่งองเมียวจิก็จ่ายเต็ม ๆ อิอิ...อิ่มจังตังค์อยู่ครบ!! ^O^
“อ่า ถ้างั้นเข้าเรื่องดีกว่านะ” ฉันเริ่มจะชักใบเรือกลับเข้าที่ เมื่อเหลือบเห็นว่านี่ก็ใกล้จะทุ่มครึ่งเข้าไปทุกที ให้ตาย!!...นี่ฉันมัวแต่กินอยู่ได้ตั้งชั่วโมงกว่าหรือนี่ >,.< ไม่จริ๊ง!!
“อืม...” ฮาจิเมะเองก็ไม่ได้ขัดอะไรแล้ว แต่กลับหยิบของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าหนังแท้สีดำข้างกาย
“บอกไว้ก่อน...งานนี้ ฉันจ่ายให้ไม่อั้น ไม่มีกำหนดเวลาใด ๆ งานเสร็จเมื่อไหร่รับเงินเมื่อนั้น คงไม่ต้องการหลักประกันเพราะองเมียวจิไม่เคยผิดคำพูด”
จอมเวทย์อัจฉริยะพูดเรื่อย ๆ เหมือนไม่ได้ใสใจ ก่อนจะหยิบรูปใบหนึ่งขึ้นมา คว่ำไว้ตรงหน้าฉัน
“ฉันจะเปิดรูปเมื่อเธอตอบตกลง...ไม่อย่างนั้นทางเราจะทำงานลำบากมากขึ้น”
ฉันขมวดคิ้ว
ใครกันที่แม้แต่องเมียวจิยังไม่สามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง ใครกันที่มีค่าหัวขนาดที่สามารถเรียกได้ไม่อั้นจากองเมียวจิ ?
ยังมีใครหรือที่แม้แต่จอมเวทย์อัจฉริยะอย่างคนตรงหน้าฉันคนนี้จัดการด้วยตัวเองไม่ได้ ?
“ฉันขอถามอะไรสักอย่าง...”
“ว่าทำไมองเมียวจิไม่จัดการเรื่องนี้เองใช่ไหม ?” ฮาจิเมะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ใช่” ฉันกดน้ำเสียงหนักแน่น แสดงให้เห็นว่าไม่ได้พูดเล่น
“อย่าคิดว่าเราไม่อยากทำด้วยตัวเอง แต่ยิ่งได้พวกมาก็ยิ่งดีใช่ไหมล่ะ ?” ท่านเจ้าแห่งองเมียวจิเปิดยิ้มกว้างขึ้น
“ตอนนี้ สิ่งที่ฉันต้องการคือความแน่นอนว่าคน ๆ นี้ต้องหายไป...ไม่ว่าจะต้องพึ่งใครมากแค่ไหนก็ย่อมทำได้ แค่นั้นแหละ”
“สรุปว่า ฉันเป็นแค่หนึ่งในตัวเลือกมากมายของนายสินะ ?”
ฉันขมวดคิ้ว
ยอมรับก็ได้ว่าฉันไม่ชอบคำว่า ตัวเลือก เอาซะเลย ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา...ฉันเป็นที่หนึ่งมาตลอด (เออ ไม่รวมเรื่องการเรียน แหะ - -*)
“ถ้าเธอจะพูดอย่างนั้นก็ไม่ผิด แต่บางตัวเลือกมันก็มีคุณค่าที่จะเสี่ยงมากกว่าตัวเลือกอื่น ๆ นะ”
เออ...พูดได้ดี อย่างนี้ค่อยน่าทำ
“ไม่มีเงื่อนไขอะไรมากกว่านี้แล้วใช่ไหม ?” ฉันถาม
“อ้อ...อีกอย่าง” ฮาจิเมะเคาะนิ้วลงกับโต๊ะเป็นจังหวะเล่น ๆ
“ถ้าเธอรับงานนี้แล้ว ฉันขอไม่ให้รับงานอื่นซ้อน เพราะฉันต้องการให้เธอมุ่งมั่นกับงานนี้อย่างเต็มที่ ซึ่งแน่นอน...เราจะจ่ายทุกอย่างตามที่เธอเรียก”
“คิลอินดีไม่ใช่บริษัทที่ซื้อได้ด้วยเงิน”
ฉันตอบกลับเสียงเคร่ง
ท่านเจ้าแห่งองเมียวจิอึ้งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะยิ้มบาง ๆ อย่างมีเลศนัย แล้วยื่นหน้ามาหาฉัน
“งั้นขอซื้อด้วยหัวใจจะได้ไหม ?”
ชิ้ง!!!
นิ่งสนิท -_-“” นี่พี่แกรู้รึเปล่าว่าตัวเองพูดอะไรออกมา ?
ก็สงสัยอยู่...ว่าทำไมพี่แกรูปหล่อนัก
สงสัยหลุดมาจากโรงลิเก -*- พูดมาได้ไงฟระ...ซื้อด้วยหัวใจ
“จะขายหรือไม่คือสิทธิ์ของฉัน” ฉันยิ้มเจ้าเล่ห์พลางสู้สายตากลับ
“เฮ้อ!!...แล้วแต่เธอจะเคาะขายหรือไม่ขายแล้วกัน”
เซตะ ฮาจิเมะถอนหายใจเหมือนกับยอมแพ้ในที่สุด ฉันยิ้ม...
“ได้...ฉันขาย แค่สิทธิ์ที่จะฆ่ายังไงเมื่อไหร่เป็นของฉัน ฉันรับงานนี้!!”
“ดี!!”
ป้าบ!!
จอมเวทย์แห่งองเมียวจิยิ้มพลางตบมือเข้าหากัน บนกระดาษขาวที่ฉันเคยคิดว่าเป็นด้านหลังของรูปค่อย ๆ ปรากฏรูปของใครคนหนึ่งขึ้นมา
เอ...หน้าคุ้น ๆ นะ...
ฉันกวาดมองโครงหน้าเข้มนั้น เส้นผมสีดำสนิทเหมือนท้องฟ้ายามราตรี ร่างสูงที่ยืนนิ่งอยู่กลางภาพ...
ดวงตา...สีขี้เถ้า
“เป้าหมาย...คือมินาโมโตะ โนะ คิทสึเนะ ว่ายังไง ?...คิดว่าไหวไหม ? ยูเอะจัง ?”
คำพูดที่เปรียบเหมือนสายลมลอยผ่านหูไป ฉันนิ่งคว้างไปประมาณสองวินาทีได้ รอยยิ้มเหี้ยมอย่างที่ทุกคนที่รู้จักฉันดีรู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองว่าเป็นรอยยิ้มอำมหิต ใครที่เป็นเหยื่อควรจะถอยหนีออกจากรัศมีสามร้อยเมตรโดยไว
“คิลอินดี...รับประกันผลงานหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าเป้าหมายจะเป็นเทพหรือปีศาจ...”
รอยยิ้มน่ากลัวคลี่ออกกว้างขึ้นโดยไม่สนใจเลยว่าในสายตาคนมองมันจะเป็นอย่างไร
“...หากฉันบอกว่ารับงาน ฉันจะลากคอมันไปลงนรกให้ได้!!!”
** ** ** ** ** ** ** ** ** ** **
อีกห้านาทีถึงเวลาจุดพลุ ผู้คนเริ่มออกมาออกันเพื่อจะแย่งทำเลเหมาะ ๆ สำหรับดูพลุในคืนนี้
ท้องฟ้าช่างปลอดโปร่ง มีแต่สีหมึกกับดวงดาวนับล้าน ๆ ที่แข่งกันทอแสง เสียงน้ำพลุยังคงดังแผ่ว ๆ ผู้คนทั้งในและนอกอาคารซึ่งกำแพงเป็นกระจกใสต่างเงยหน้าขึ้นสู่ฟากฟ้า แทบจะกลั้นหายใจรอเสียงพลุที่จะดังขึ้น
ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ว่า...ดวงตาของผมไม่ได้กำลังจ้องมองไปยังท้องฟ้าหรอก แต่มันกำลังจับจ้องไปยังเด็กสาวข้าง ๆ ตัวนี่ต่างหาก
ซายุยิ้มเหมือนเด็ก ๆ มองขึ้นสู่ท้องฟ้าเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ
ผมคบกับเธอมาได้สามวัน สามวันเท่านั้นที่เราตกลงจะคบกันอย่างเป็นทางการ (ในความหมายของผม...คือคบเป็นเพื่อนอย่างเป็นทางการน่ะครับ ไม่ใช่อย่างที่คิด แต่ซายุนี่สิ...จะคิดเหมือนผมรึเปล่าก็ไม่รู้) แต่กลับให้ความรู้สึกผิดกับผมอย่างประหลาด ทั้ง ๆ ที่...ฆ่าคนน่าจะยากกว่านี้ตั้งมากมาย
ผมกำลังหลอกเธอ...
...ผมไม่ได้รักเธอเลย...แม้แต่ชอบแบบผู้ชายชอบผู้หญิงก็ไม่เคย...
...ผมเห็นเธอเป็นแค่เพื่อนเท่านั้น แต่ซายุนี่สิ...
...เธอคงจะ...ชอบผมมากจริง ๆ...
ยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่มากขึ้น
“คิทสึเนะคุง ? เป็นอะไรไป ? หนาวหรอ ?”
มือของซายุวาดผ่านหน้าผมไปเหมือนกำลังทดสอบว่าผมเหม่ออยู่รึเปล่า ผมกะพริบตา
“เปล่านี่...ไม่หนาว”
“งั้นหรอ!?! เดี๋ยวเขาจะจุดพลุแล้วนะ”
นาฬิกาเรือนยักษ์ที่ติดอยู่ตรงหน้าอาคารกำลังบอกเวลาหนึ่งทุ่มห้าสิบแปดนาที ตัวเลขฝั่งวินาทีเดินไปเรื่อย ๆ...
...หนึ่งทุ่มห้าสิบเก้านาที...
สายลมยามดึกพัดผ่าน ผู้คนเงียบ...และคอย...
...สี่สิบเก้า...ห้าสิบ...
ไม่รู้ทำไม ผมถึงได้รู้สึกอึดอัดราวกับนี่เป็นการนับถอยหลังเพื่อไปสู่อะไรบางอย่าง...อะไรบางอย่างที่ความรู้สึกของผมกำลังร้องบอกว่า ไม่ดีแน่ ๆ
...ห้าสิบเจ็ด...ห้าสิบแปด...ห้าสิบเก้า...
สองทุ่ม...
** ** ** ** ** ** ** ** ** ** **
อีกห้านาทีถึงเวลาจุดพลุ...ผู้คนเริ่มออกมาออกันเพื่อจะแย่งทำเลเหมาะ ๆ สำหรับดูพลุในคืนนี้
ท้องฟ้าช่างปลอดโปร่ง มีแต่สีหมึกกับดวงดาวนับล้าน ๆ ที่แข่งกันทอแสง เสียงน้ำพลุยังคงดังแผ่ว ๆ ผู้คนทั้งในและนอกอาคารซึ่งกำแพงเป็นกระจกใสต่างเงยหน้าขึ้นสู่ฟากฟ้า แทบจะกลั้นหายใจรอเสียงพลุที่จะดังขึ้น
เฮ้อ!! แต่ฉันไม่ได้อยากจะดูพลุอะไรนี่หรอกนะ...ก็แค่ สถานการณ์มันพาไปเท่านั้น
เท้าทั้งสองพาฉันเดินเบียดผู้คนออกมากลางลานน้ำพุกว้างอย่างไม่ได้ตั้งใจสักเท่าไหร่ แหม...พลุที่มอลล์นี่เขาจุดกันทุกปีแหละน่า ฉันน่ะตื่นเต้นมาตั้งแต่ห้าขวบ ถ้าตอนนี้สิบเจ็ดแล้วยังตื่นเต้นได้อยู่นี่ก็ถือว่าน่าอัศจรรย์สุด ๆ แล้วล่ะนะ -*-
เฮ้อ!!...โอย คนเยอะเป็นบ้า หายใจจะไม่ออกแล้วโว้ย!!! จะมามุงดูอะไรกันเยอะแยะเล่าเนี่ย!?
ฉันแอบตะโกนในใจ ก่อนสายตาจะสอดส่ายหาที่ ๆ ฉันจะยืนได้โดยไม่โดนเบียด
อะฮ้า!!!
ต้องขอบน้ำพุสินะ
ฉันคิดแล้วรีบปีนขึ้นไปยืนบนขอบน้ำพุ กอดอกเก็กท่าเหมือนซุปเปอร์ฮีโร่ที่เพิ่งกอบกู้โลกมาหมาด ๆ (ในขณะที่รอบข้างเริ่มมีคนชี้ไม้ชี้มือมาทางฉัน พวกพ่อแม่ก็กำลังบอกลูก ๆ ว่าอย่าหันมามอง - -*)
รอดซะที...ตรงนี้หายใจสะดวกกว่ายืนข้างล่างเยอะ แถมยังมองเห็นฟ้าได้ชัดเจนกว่า ฮ่ะ ๆ ๆ เรานี่ช่างฉลาดเสียจริง ๆ
คิดไปคิดมา...สมองก็พามาหยุดอยู่ที่เรื่องงานที่เพิ่งรับมาสด ๆ ร้อน ๆ
ให้ตาย!! อยู่ดี ๆ โยนงานอะไรมาให้ฉันเนี่ย
ที่วางท่าไปก็แค่รักษาชื่อเสียงสถาบันเท่านั้นแหละ ส่วนไอ้ที่ว่าจะทำได้จริงหรือเปล่าน่ะฉันเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน หมอนั่นไม่ใช่เคี้ยวง่าย ๆ เหมือนกับเหยื่ออื่น ๆ นะ
แล้วทำไมองเมียวจิต้องอยากกำจัดหมอนั่นด้วยล่ะ ?
อ้อ...เก็ทแล้ว ๆ สงสัยเพราะไปหาเรื่องกวนประสาทท่านเจ้าของท่านนั้นเขาไว้มั้ง เอิ้ก ๆ
อ่ะนะ คิดไปคิดมาก็น่าสงสัยอยู่ดี...
...แต่...จะให้ฉันเอาจริงน่ะหรอ ?
พูดก็พูด ตั้งแต่รับงานประธานบริษัทมานี่ ฉันยังไม่เคยสั่งฆ่าใครที่ตัวเองรู้จักสักคน ที่ฆ่า ๆ ไปส่วนใหญ่ก็มีแต่พวกไม่รู้จักหน้าค่าตา เห็นกันครั้งแรกก็หลังคมดาบไม่ก็ไกปืน ครั้งที่สองก็ลงไปนอนบ๊ายบายอยู่ในโลงแล้ว
การที่จะกำจัดคน ๆ หนึ่งที่ตัวเองเห็นหน้าอยู่ทุกวัน ๆ นี่...ไม่ใช่ง่าย ๆ เลยนะ...
ฉันถอนหายใจ เงยหน้าขึ้นจากภาวะก้มหน้าคิดอะไรที่ตัวเองกำลังทำอยู่ แล้ว...สายตามันช่างพาไปสะดุดเข้ากับ...
ไอ้ตัวกวนประสาท!!? ซายุก็มาด้วย!?!
โอ้ย!! มานั่งจู๋จี๋กันโดยไม่บอกฉันเชียวหรอเดี๋ยวนี้!?! หมั่นไส้จริง ๆ
ฉันคิด ก่อนจะเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นรอยยิ้มแบบเด็ก ๆ ของซายุ รอยยิ้มที่ปราบฉันหมอบราบคาบแก้วมานักต่อนักแล้ว
...ซายุ...นี่เธอ...
...คงจะชอบหมอนั่นจริง ๆ สินะ...
เฮ้อ!!
ถ้าคิดแบบนางเองล่ะก็นะ เห็นเธอมีความสุขก็คงจะพอแล้วละมั้ง
แต่ถ้าคิดแบบนางร้าย (ปล่อยจิตสังหาร - -+) ไอ้กวนประสาท!! แกตายยยยยย~!!
สายตาเหลือบมองไปยังนาฬิกาดิจิตอลที่กำลังเปล่งแสงเป็นตัวเลขสีแดง ๆ
หนึ่งทุ่มห้าสิบเก้า...
พลุจุดตอนสองทุ่มตรงสินะ
ฉันคิดในใจ เผลอนับถอยหลังตามไปโดยไม่รู้ตัว
...เก้า...แปด...เจ็ด...
ทุกอย่างเงียบเหมือนโลกใบนี้กำลังกลั้นใจรอดูพลุนี่อยู่ ความรู้สึก...น่าอึดอัดบอกไม่ถูก
นี่มันอะไรกันน่ะ ?
ความรู้สึก...ใจหายแว้บ ๆ นี่น่ะ ?
...สี่...สาม...
ความรู้สึกนั้นรุนแรงเหมือนกับจะฉีกปอดฉันออกเป็นชิ้น ๆ อยากขยับตัวแต่เหมือนถูกตรึงอยู่กับที่...
อะไรกันน่ะ!?!
...สอง...หนึ่ง...
ตัวเลขดิจิตอลเปลี่ยนเป็นสองทุ่มตรง
เฟี้ยว!!
ฉันสะดุ้งสุดตัว สายตาตวัดมองฟ้าในทันที...
ปุ!! ปุ!! ปุ!!
พลุแตกกระจายเป็นสามลูก สวยงามเกินบรรยาย เสียงคนรอบข้างฮือฮากัน ทำอย่างกับไม่เคยเห็นพลุแหละพวกนี้ เฮ้อ!! -*-
แต่ความรู้สึกโล่งใจพุ่งเข้าใส่ฉันอย่างมากมาย
เป็นครั้งแรกที่ฉันดีใจที่ลางสังหรณ์ตัวเองผิดพลาด
พลุชุดที่สองถูกจุดขึ้นฟ้า แสงสีต่าง ๆ สว่างวาบเข้าตาฉัน
เป็นเวลา...สองทุ่ม ห้าสิบเก้าวินาที...
ตัวเลขสีแดงสดค่อย ๆ เปลี่ยนไปอีกครั้ง บ่งบอกเวลา...
สองทุ่ม...หนึ่งนาที...
ความรู้สึกเหมือนกำลังจะบีบคอฉันพุ่งเข้ามาจากด้านหลัง และ...
ตูม!!! ตูม!!! ตูม!!!
ปัง!! ปัง!! ปัง!!
คำพูดของเซตะ ฮาจิเมะกลับเข้าไปในหัวของฉันอีกครั้ง
‘ยิ่งได้พวกมาก...ก็ยิ่งดี ? ใช่ไหมล่ะ ?’
กรามของฉันกัดแน่นเข้าหากันทันที
“ไอ้บ้าเอ้ย!!!”
_______________________________
หุหุหุ ^ ^ 100% เจ้าค่า
อิอิ...เริ่มรู้สึกว่าฮาจิเมะน่ารักขึ้นมาเล็กน้อย 555+ >///< ใครสนใจจะเชียร์ฮาจิคุงก็ตามสบายนะเออ
ว่าแต่...-*- ความรักลุ่ม ๆ ดอน ๆ ของพระนางคู่นี้มันจะไปต่อยังไงดีหว่า ชักเง็ง >[]<
อ้อ!! วันนี้เฉลยคำถามแฟนพันธุ์แท้จากเรื่องตำนานผู้พิทักษ์ดาบศักดิ์สิทธิ์ภาค 2 ด้วยนะเอ้อ ไปดูกันได้ที่บอร์ดเรื่องตำนาน ฯ เลยเจ้าค่า ^ ^
แล้วจะรีบเอามาลงต่อให้นะเจ้าค้า
มิริน
ความคิดเห็น