ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    << Kill - in - D >> บริษัทรับจ้างฆ่าไม่จำกัด (เพื่อมหาชน!!)

    ลำดับตอนที่ #11 : เจ้าหญิงในห้องหมายเลข 13 (เติมใจให้100% จนได้ ^ ^)

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.ย. 50


    10.

    เจ้าหญิงในห้องหมายเลข 13

               

                สวัสดีครับ...

                ผมคือซานาดะ   ริวจิน เป็นพี่ชายคนโตของตระกูลซานาดะฝั่งเซริวครับ   ส่วนตอนนี้ผมอยู่ที่ไหนน่ะเหรอ ? อ๋อ...ก็ในสวนญี่ปุ่นของภัตตาคารแห่งหนึ่งที่น้องสาวผมกำลังมาดูตัวอยู่ในตอนนี้ไง

                ดูจากผู้คนที่มาเดินในสวนแห่งนี้เป็นคู่ ๆ แล้ว   เดาได้ว่าที่นี่คงเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงในด้านการเป็นสถานที่ดูตัวพอสมควรเลยล่ะ

                แต่ก็ไม่แปลก   เพราะนอกจากที่นี่จะขึ้นชื่อในด้านอาหารแล้ว   ยังมีชื่อเสียงในด้านบรรยากาศอีกด้วย

                อืม...จะว่าไปก็จริงนะ

                ต้นไม้ขนาดใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาอยู่เหนือหัวผมคงมีอายุไม่ต่ำกว่าร้อยแน่ ๆ    และถึงกิ่งก้านของมันจะแผ่ให้ร่มเงาดีแต่ก็ได้รับการดูแลตัดแต่งไม่ได้ดูรกจนเกินไป   หินรูปร่างแปลกตาหลายก้อนถูกนำมาวางประดับเป็นระยะ ๆ อย่างลงตัว    ไม้ดอกมากมายแข่งกันออกดอกชู่ช่อรับแสงอาทิตย์ที่สาดลอดกิ่งก้านสาขาของไม้ใหญ่ลงมายังพื้นดิน

                ผมก้มลงมองนาฬิกา

                อ้าว...เวลาผ่านไปขนาดนี้แล้วหรอเนี่ย ?

                ผมรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้หินตัวเตี้ยที่นั่งอยู่    แล้วรีบเดินออกจากสวนหินนั่น

                เขาควรจะไปรอหน้าห้อง   อย่างน้อยก็ควรจะไปสนทนากับท่านผู้นำตระกูลมินาโมโตะและคุณนายเสียหน่อย   แต่นี่...เขาแอบหลบฉากมานั่งคนเดียวอย่างนี้ตั้งนานได้ยังไงกันเนี่ย

                จริง ๆ เขาแค่คิดว่าออกมาแปปเดียวเดี๋ยวจะกลับเข้าไป   ที่ไหนได้...กลายเป็นออกมานั่งตั้งเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว

                เป็นอย่างนี้ทุกที   ไม่ว่าเวลาที่เขาใช้คอมพิวเตอร์อยู่หรือเวลาที่เผลอใช้ความคิด    ยิ่งในสถานที่ที่เงียบสงบอย่างนี้ด้วยแล้ว   มันจะเพลินจนลืมเวลาไปเลยล่ะ

                อ้อ...ทุกคนคงจะรู้กันอยู่แล้วสินะครับว่าผมถนัดด้านคอมพิวเตอร์เป็นที่สุด

                ส่วนงานของผมในตอนนี้   อืม...งานหลักก็คือเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ปีสุดท้ายครับ   อาชีพเสริมก็คือ...รับหาข่าวทุกชนิดทุกประเภท    และตอนนี้ก็เป็นผู้จัดการด้านข่าวสารให้กับ Kill - in - D ครับ

                พูดตามตรง   ผมล่ะซูฮกกับความคิดเรื่องการตั้งบริษัทของยูเอะจริง ๆ

                เรื่องนี้มันเริ่มขึ้นเมื่อประมาณสามปีก่อน    ตอนนั้นยูเอะเพิ่งอยู่แค่ ม.สามเท่านั้นเอง   อยู่ ๆ วันนึงน้องของผมก็เดินมาหาผมแล้วขอให้ผมช่วยเปิดเว็บไซต์ให้เธอหน่อย   เธอจะทำบริษัทรับจ้างฆ่า

                พูดตรง ๆ ตอนแรกผมล่ะอึ้งไปเลย...ไม่คิดว่างานนักฆ่าจะสามารถทำอย่างนั้นได้เพราะมันค่อนข้างเสี่ยงมาก    แต่พอเจอความคิดของยูเอะเข้าไป    ผมยิ่งอึ้งกว่าเดิมอีกครับ

                ระบบความปลอดภัยที่เธอคิดขึ้นมาน่ะมันง่ายมากแต่ใช้ได้ดียิ่งกว่าอะไร   แถมยังทำให้กิจการนักฆ่าที่หลัง ๆ มานี่ไม่ค่อยจะบูมเท่าไหร่ถึงแม้จะมีเข้ามาเป็นระยะ ๆ ก็กลับมาดังอีกครั้ง

                ต้องยอมรับว่า...น้องผมหัวธุรกิจจริง ๆ ครับ ^ ^ (ควรดีใจหรือควรเสียใจก็ไม่รู้)

                เอาล่ะ   กลับมาที่สถานการณ์ในตอนนี้    เท้าผมพาผมเข้ามาในระเบียงทางเดินด้านในแล้ว   และ...

                แกรก!!

                มีเสียงประตูเลื่อนออกด้านหน้า   เด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากประตูนั้น

                อ้าว!! นั่น...คิทสึเนะคุงที่ต้องอยู่ดูตัวกับยูเอะไม่ใช่หรือ ?

                หน้าตาเคร่งเครียดเชียว   เขาเดินมาทางผม    โค้งให้นิดหนึ่งเมื่อเดินผ่านแล้วเดินออกไปเลย

                เกิดอะไรขึ้นในห้องดูตัวล่ะเนี่ย!!? หรือว่ายูเอะไปสร้างเรื่องอะไรไว้ ?

                ความร้อนรนยิ่งทำให้ผมก้าวเดินเร็วขึ้นกว่าเดิม   มือผมเอื้อมไปเปิดประตูที่ผมเห็นว่าคิทสึเนะออกมาทันที

                แกรก!!!

                "ยูเอะ!! เกิดอะไรขึ้นหรือ!!? ทำไมคิทสึเนะคุงเขาถึงได้..."

                แล้วคำพูดของผมทั้งหมดก็ถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอ

                ทำไมน่ะหรอ!? ก็เพราะว่า...คนที่นั่งอยู่ในห้องนั้นไม่ใช่น้องสาวของผมน่ะสิ!!

    ในห้องนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่คนเดียว   หญิงสาวคนนั้นหน้าตาดี...ไม่สิ   ต้องเรียกว่าสวยทีเดียว    ใบหน้าหวานมนรูปไข่ขาวสะอาดสะอ้าน    เส้นผมปล่อยยาวลงมาแทบจะถึงเอว    เธออยู่ในชุดกิโมโนสีขาวสะอาด...ขาวสะอาดจริง ๆ   ไม่มีแม้ลวดลายใด ๆ เลย   เหมือนกิโมโนของหญิงสาวที่กำลังจะเข้าพิธีแต่งงาน    ตรงหน้าของหญิงสาวคนนั้น (ตรงหน้าของผมด้วย) มีโคโตะ (เอ่อ...พิณญี่ปุ่นน่ะครับ ^ ^”) ตัวหนึ่งตั้งอยู่นิ้วเรียวของหญิงสาวคนนั้นไล่กรีดลงบนสายอย่างแผ่วเบา    เกิดเสียงติ๊ง ๆ เหมือนเสียงหยดน้ำยามที่เธอกรีดนิ้วผ่าน

                ดูเธอตกใจทีเดียว...

                อ...เอ่อ   ขอโทษครับ   ผมไม่ได้ตั้งใจ   สงสัยผมเข้าผิดห้อง ผมเหลือบมองป้ายหน้าประตูห้อง    จริง ๆ ด้วย...นี่มันห้องหมายเลขสิบสามนี่นา   โอย!!...สงสัยผมจะรีบเกินไปจนทำให้เข้าผิดห้องซะแล้ว

                คะ...ค่ะ    ไม่เป็นไรค่ะ หญิงสาวคนนั้นผินหน้ามาทางผมนิดหนึ่ง   แต่...แปลก   ดวงตาของเธอดูลอย ๆ เหมือนไม่ได้จับมองมาทางผม

                คุณคงจะเป็นคุณชายใหญ่แห่งซานาดะสินะคะ หญิงสาวคนนั้นพูดต่อ   ดวงตาของเธอก็ยังไม่ได้จับมายังผมเหมือนเดิม

                หรือว่า...ผู้หญิงคนนี้   ตาบอด ?

                ต้องลองพิสูจน์    ผมลองเดินเข้าไปใกล้ ๆ    โบกมือไปมาตรงหน้าของหญิงสาว   และ...

                หมับ!!

                ง่าส์...

                ฉันตาบอดค่ะ... หญิงสาวคนนั้นยิ้มตอบราวกับล่วงรู้ว่าผมสงสัยอะไร   มือบาง ๆ ขาว ๆ นั้นปล่อยมือผมออก

                คือ...เอ่อ   ขออภัยที่เสียมารยาทนะคะ หญิงสาวรีบโค้งต่ำ   เล่นเอาผมโค้งตามแทบไม่ทัน

                ไม่เป็นไรหรอกครับ   ว่าแต่...ทำไมถึงจับมือผมถูก ?

                เป็นหนึ่งในวิชาของมินาโมโตะน่ะค่ะ    ตาจิต หญิงสาวยิ้มน้อย ๆ แต่ถึงจะเป็นตาจิตก็ทำได้แค่รับรู้ว่ามีใครอยู่ตรงไหนกำลังทำอะไรอยู่บ้างเท่านั้น   ไม่สามารถบอกรูปร่างหน้าตาของคน ๆ นั้นได้หรอกค่ะ

                เออ...ครับ ผมพยักหน้า   ยอมรับว่าเคยได้ยินเรื่องตาจิตมาอยู่บ้าง

                แต่เดี๋ยว!!...ผู้หญิงคนนี้   เธอบอกว่าสามารถฝึกตาจิตได้อย่างนั้นหรือ!!?

                ตาจิตที่แม้แต่ซามูไรในหมู่ซามูไรยังไม่สามารถฝึกได้สำเร็จ...แต่ผู้หญิงคนนี้กลับฝึกได้ ?

                ถ้าได้...แค่จับมือของเขากลางอากาศได้ก็ไม่แปลกเลยสักนิด

                แล้ว   นี่เขามานั่งสงสัยอะไรอยู่เนี่ย!!?

                เขาควรจะไปหายูเอะถึงจะถูกไม่ใช่หรือไง!?!

                เอ่อ...งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ   น้องสาวผมไปก่อเรื่องอะไรก็ไม่รู้...ถ้าไม่รีบไปสงสัยจะมีเรื่องวุ่นวายแน่ ๆ

                รอยยิ้มคลี่ออกบนเรียวปากบางเฉียบสีชมพูเรื่อ ๆ นั้นฉายแววเข้าใจ

                ...เออ...ทำไมหัวใจผมถึงได้เต้นตึกตักอย่างกับกลองศึกอย่างนั้นล่ะ - -

                ค่ะ...ไปเถอะค่ะ   คุณหนูยูเอะแห่งซานาดะกับคุณชายน้อยคิทสึเนะอยู่อีกห้องข้าง ๆ นี่เอง

                ครับ ผมลุกขึ้นยืน   กำลังจะก้าวออกไปจากห้องพอดี   แต่เท้ากลับรั้งตัวเองกลับมา   นึกขึ้นได้

                เอาน่ะ!!   ถามไปสิ!!!~ แค่นี้จะกลัวอะไรนักหนา!? แค่ผู้หญิงคนนึงเนี่ยนะ ?   เคยเจอพวกที่น่ากลัวกว่านี้มาตั้งเยอะแยะแล้ว    แค่นี้จะกลัวอะไร

                เอ้า!!!

                เอ่อ...คือ   ผมยังไม่รู้คุณเลย

                ฮิเมะค่ะ...มินาโมโตะ   ฮิเมะ

                ผมค้างกับชื่อนั้นไปหลายวินาทีอยู่    ผู้หญิงคนนี้ก็เป็นคนของตระกุลมินาโมโตะหรือเนี่ย ? แล้วทำไมมานั่งอยู่คนเดียวในห้องอย่างนี้ ? มาดูตัวเหมือนกัน ?

                ฉันไม่ได้มาดูตัวค่ะ...ฉันแค่ชอบมาที่นี่เท่านั้น ฮิเมะตอบ

                อีกแล้ว...เธอตอบเหมือนรู้ทันความคิดอีกแล้ว

                ผมขมวดคิ้วนิด ๆ   ก่อนจะคลายออก

                ผมชื่อซานาดะ   ริวจินครับ...คือ   ถ้าไม่รังเกียจ...

                โอ้ย!! พูดไปสิพูดไป!!! แค่นี้ปอดหรือไงว่าที่ผู้นำซานาดะ!!?

                คือว่า... ผมยิ้มแหย ๆ ถึงจะแน่ใจว่าเธอไม่มีทางเห็นแต่ก็ยังอดขายหน้าตัวเองไม่ได้ที่ยิ้มพิลึก ๆ แบบนั้นออกไป  ...ขอเบอร์ได้ไหมครับ ?

     

    ** ** ** ** ** ** ** ** ** ** **

               

                พี่ริวจิน!!? ไปไหนมา ?

                ฉันตะโกนเมื่อเห็นพี่ชายแสนดี (ที่ไม่รู้หายหน้าไปอยู่ไหนมาเวลาที่ฉันต้องการที่สุด -*-) เดินออกมาจากห้องข้าง ๆ

                แหะ ๆ...ขอโทษทีนะยูเอะ   พี่เข้าผิดห้องน่ะ

                แหะ ๆ อะไรกันล่ะพี่!?!”

                ว่าแต่... พี่เปลี่ยนโหมดสู่โหมดดุนิด ๆ ...เราน่ะไปทำอะไร   คิทสึเนะคุงเขาถึงได้วิ่งออกไปอย่างนั้น

                ฉันไหวไหล่

                จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ?

                ก็ใครจะไปอ่านจิตอ่านใจมันได้ฟระ!?!

                หรือว่า...มันจะโกรธที่เรารู้ว่ามันเป็นเกย์ ? (ยังเข้าใจผิดไม่เลิกนะยัยยูเอะ - - )

                นี่...แน่ใจนะว่าไม่ได้ทำอะไรให้เขาโกรธ ? แน่ะ...นี่พี่ไม่ไว้ใจฉันหรอ!? แง้!! TT  TT

                แน่ใจจิ   ฉันไม่ได้ทำอะไรจริง ๆ นะ

                ถ้าไม่ได้ทำแล้วทำไมคิทสึเนะคังถึงได้ผลุนผลันออกไปอย่างนั้นล่ะ ? พี่หรี่ตาลงนิดหนึ่งเหมือนกับผู้พิพากษาที่กำลังสอบปากคำพยาน >,,<

                ไม่รู้จริง ๆ น้า!!...พี่ก็    ฉันจะไปรู้ได้ยังไงกันล่ะ ?

                เฮ้อ!!...เอาเถอะ ๆ    งั้นทำอะไรต่อดี ? กลับบ้าน ?

                ง่ะ...ไปห้าง   ช็อปปิ้ง

                ทั้งชุดนี้น่ะนะ ?

                ก็เดี๋ยวไปซื้อชุดใหม่มาเปลี่ยนไง ?

                เงินล่ะ ?

                พี่ริวจินออกไปก่อน...นะ  น้า!!”

               

    ** ** ** ** ** ** ** ** ** ** **

     

                ผมเหลือบมองน้องสาวที่กำลังยิ้มแป้นอ้อน (เพราะจะได้ไปช็อปปิ้ง...โดยใช้เงินผม   อีกแล้ว -*-) อยู่ข้าง ๆ    มวยผมที่เกล้าเอาไว้เรียบเริ่มจะหลุดลุ่ยออกมาอีกแล้ว   แต่รอยยิ้มนั้นก็ยังสว่างสดใสเหมือนกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่านหมู่เมฆลงมา  

                ผมยิ้มตามเธอไป   มือเอื้อมออกไปลูบเส้นผมหลุดลุยไม่เป็นทรงนั้นเบา ๆ 

                เฮ้อ!!...ก็ได้ ๆ   คราวนี้ถือว่าเลี้ยงขอบคุณเรื่องเปอร์เซ็นต์ของงานครั้งก่อนแล้วกัน

                ยูเอะในชุดกิโมโนสีแดงสดกระโดดตัวลอย    ผมเริ่มรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนยังไงไม่รู้สิ - -

                เย้!! พี่ริวจินน่าร้ากกกก...ใจดี๊ใจดีที่สุดในโลกเลย   อ้อ!! เมื่อกี้มีงานมาอีกงานนึงด้วยน้า...คราวนี้จะให้พี่ริว

    จินสามสิบเปอร์เซ็นต์เลย!!”

                ผมยิ้ม    ถึงจะรู้ว่านั่นเป็นแค่คำยอของน้องสาว (ที่กำลังจะได้ถลุงเงินผมเล่นอย่างสบายใจ TT  TT)    แต่ก็อดดีใจไม่ได้

                ไม่ใช่เพราะคำพูดนั้นหรอกที่ทำให้ผมดีใจ

                แต่เป็นรอยยิ้มนั้นต่างหาก...

                ช่วงก่อน...ตอนยูเอะอายุประมาณสิบสองนี่ล่ะ   ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น   แต่เหมือนกับมีคนขโมยเอารอยยิ้มนั้นของเธอไป    ตอนนั้น...ผมเป็นห่วงเธอมากจริง ๆ   เพราะถึงแม้กับคนในครอบครัวเธอจะไม่ได้ทำท่ามึนตึง   แต่หลาย ๆ ครั้งที่กลับจากโรงเรียน   ยูเอะจะกลับมานั่งเหม่ออยู่คนเดียวไม่พูดไม่จา    นั่งหน้าบึ้งแล้วก็มองทิวต้นซากุระนิ่งอยู่อย่างนั้น

                บางครั้งเสื้อผ้าของน้องสาวผมก็มีคราบดินเปื้อน ๆ ติด

                นั่นยังดีหน่อย...เพราะท่านแม่ของผมเคยร้องซะบ้านแทบแตก

                ยูเอะกลับมาบ้าน   เสื้อนักเรียนสีขาวเปื้อนเลือดเป็นแถบ!!

                ผมถอนหายใจ

                แต่นั่นก็นานมาแล้ว   ตอนนี้ยูเอะกลับมายิ้มแย้มแจ่มใสดีเหมือนกับเด็กทั่ว ๆ ไป

                เอ้า!! ท่านพี่...ไปเร็ว ๆ สิ!!! ฉันไม่อยากจะใส่กิโมโนนี่นาน ๆ หรอกนะ!!! วันนี้จะซื้อเสื้อผ้าให้สะใจไปเลย!!”

                ผมถอนหายใจอีกรอบ   หนักกว่าเดิม

                ...ใช่...ร่าเริงขึ้น...

                ...และใช้เงินเก่งขึ้นด้วย... >[]<

                เก่งอย่างไม่น่าเชื่อเชียวล่ะ!!

     

    ** ** ** ** ** ** ** ** ** ** **

               

                ท่านคิทสึเนะ...เอ่อ   ถึงจะรู้ว่าไม่ควรพูด   แต่ลุกออกมาซะเฉย ๆ อย่างนั้นไม่ดีเลยนะครับ

                เสียงสั่งสอนจากผู้เป็นทั้งองครักษ์และพี่ชาย (และดูเหมือนตอนนี้จะถูกยัดเยียดตำแหน่ง คู่รัก ของเขาให้ด้วยโดยที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องเลยสักนิด) ที่ทำให้ผมละดวงตาขึ้นจากหนังสือ    ซาโนะกำพวงมาลัยรถหลวม ๆ ขณะที่รถจอดนิ่งสนิทเพราะการจราจรที่เป็นอัมพาตของเมืองหลวง

                อืม... ผมตอบกลับไปเพียงแค่นั้น   ความโกรธกรุ่นยังคงจุกอยู่ที่คอแน่นราวกับเป็นพิษร้ายที่ชะล้างไม่หาย

                ผมเกลียดนักฆ่า!!

                เกลียดจริง ๆ...เกลียดอย่างเต็มหัวใจ!!!

                เกลียดอย่างที่ไม่เคยเกลียดอะไรมาก่อน!!

                และ...ใช่...

                ผมเกลียดตัวเอง!!

                เกลียดตัวเองที่เลือกที่จะเลิกเป็นนักฆ่าไม่ได้   เกลียดตัวเองที่ไม่มีความกล้าพอที่จะเลือกทางเดินของตัวเอง

                คิลอินดี...ชื่อนี้ไม่มีใครในวงการใต้ดินที่จะไม่รู้จัก

                ไม่น่าเชื่อ   ว่าตำแหน่งประธานที่เขาว่ากันว่าเป็นหนึ่งในชั้นหัวกะทิของซานาดะจะกลายเป็นยัยนั่น

                จะว่าซานาดะ   ยูเอะโกหกผมก็ว่าไม่น่าจะใช่    เพราะว่า...เพราะว่าอะไรผมก็ไม่รู้เหมือนกัน    แต่ผมรู้สึกว่ายัยนั่นมีความสามารถพอที่จะเป็นประธานได้จริง ๆ

                แต่ไม่ว่ายังไง    ผมก็เกลียดนักฆ่า!!!

                จะให้แต่งงานกับคนที่เป็นประธานบริษัทรับจ้างฆ่านี่...ทำใจไม่ได้จริง ๆ!!

                ท่านคิทสึเนะ...ยังไงท่านคิทสึเนะก็เป็นคนของมินาโมโตะนะครับ ซาโนะยังคงพูดเกลี่ยกล่อมด้วยรู้ว่านายน้อยกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่

                แล้วอีกอย่าง   เรื่องในสมัยก่อนเดี๋ยวนี้ก็มีการปรับปรุงในหลาย ๆ อย่าง... องครักษ์หนุ่มยังคงเกริ่นต่อไปโดยไม่ใส่ใจดวงตาสีขี้เถ้าคมกริบที่ผมส่งไปให้

                ...การกระทำอุกอาจแบบเมื่อก่อนนี้คงไม่มีแล้วล่ะครับ

                ซาโนะมองนายน้อยของตนผ่านกระจกมองหลัง   แทบจะร้องไห้เมื่อเห็นท่าว่าคำพูดของเขาดูจะไม่ทำให้ผมพูดอะไรได้  

                แล้ว...ถ้าไม่เป็นนักฆ่า   ท่านคิทสึเนะจะทำอะไรล่ะครับ ?

                ดูท่านี่จะเป็นไม้ตายสุดท้ายของซาโนะแล้ว

                แต่คำตอบของผมยิ่งทำให้องครักษ์หนุ่มแทบกระอักเลือด

                โกนหัวบวชพระไง

                ท่านคิทสึเนะ!! จะเอาจริงหรือครับ!!?” ชายหนุ่มถามหน้าตื่น    ไม่คิดไม่ฝันว่านายน้อยของตนจะวางแผนการชีวิตเอาไว้ได้เรียบง่ายถึงขนาดนี้

                โอ้ย!!

                ผมแทบจะได้ยินเสียงจิตใจของซาโนะร้องตะโกน

                ทำไมมันเรียบง่ายขนาดนี้!!!

                แล้วผมก็ไม่ได้โกหก...ถ้าไม่มีอะไรทำ   ผมอาจจะบวชพระจริง ๆ ก็ได้

                ผมปิดหนังสือ   ไม่มีอารมณ์จะอ่าน   จริง ๆ คือไม่มีอารมณ์จะอ่านตั้งแต่ออกมาจากร้านอาหารแล้ว   แต่ที่เอามาถือและเปิด ๆ ไว้เพราะขี้เกียจจะตอบคำถามมากมายมหาศาลราวกับจะไม่รู้จบที่ทุกคนระดมยิ่งใส่ผม

                ผมถอนหายใจ   เท้าแขนกับขอบหน้าต่างรถคันหรู   ทอดสายตามองออกไปด้านนอก   ผู้คนมากมายเดินขวั่กไขว่ไปมาตามประสาเมืองหลวงที่แสนจะคึกคัก    ถึงแม้แสงแดดจะแผดกล้ายังไงก็เหมือนกับจะไม่มีผลอะไรกับผู้คนที่เดินอยู่เลย

                บางครั้ง...ในตอนที่ผมยังเด็ก   ผมเคยถามตัวเองว่า   จะมีสักวันไหมที่ผมจะได้ออกไปเดินถนนอย่างคนธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่ไม่ต้องคิดอะไรมาก   ไม่ต้องแต่งตัวให้ดูเรียบร้อยตลอดเวลา   ไม่ต้องคิดถึงเรื่องของตระกูลหรือเรื่องอื่น ๆ   ไม่ใช่มินาโมโตะ...

                แค่...ออกไปเดินถนนอย่างคนธรรมดาคนหนึ่ง

                สำหรับบางคน   ชีวิตคนธรรมดา ๆ อาจจะดูน่าเบื่อ   แต่สำหรับผมที่ไม่เคยได้สัมผัสชีวิตแบบนั้น...นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ผมปรารถนาที่สุดในชีวิตตอนนี้แล้วก็เป็นได้

                ผมยังคงทอดสายตามองโลกภายนอกต่อไป    พลางคิดถึงคนอีกคน   คิดถึงเรื่องที่ได้ยินมา...

                ...ซานาดะ   ยูเอะ...

    ** ** ** ** ** ** ** ** ** ** **

               

                ว่าแต่    คิทสึเนะคุงเป็นเพื่อนกับยูเอะตั้งแต่เด็กเลยหรอ ?

                คารุซากิ   ซายุถามผมแบบนี้

                ผมนิ่งไปนิดหนึ่ง   จริง ๆ ไม่อยากจะโกหกเธอเลย...แต่มาถึงขนาดนี้แล้วก็คงต้องโกหกต่อไป

                ใช่

                งั้นหรอ ? ซายุนั่งเท้าแขนกับโต๊ะ   มองไปที่ต้นซากุระต้นหนึ่งที่ปลูกอยู่ข้างสนาม   ว่ากันว่าซากุระต้นนี้เป็นต้นไม้เก่าแก่ที่ขึ้นอยู่แล้วและโรงเรียนมาสร้างขึ้นในภายหลัง    แสดงว่าคงจะเก่าแก่มากจริง ๆ   เพราะโรงเรียนนี้ก็ตั้งมานานพอสมควรแล้ว

                เมื่อก่อนยูเอะชอบมายืนมองซากุระต้นนั้นแหละ เธอชี้ให้ผมดูซากุระต้นนั้น   สีหน้าครุ่นคิดเหมือนกำลังนึกถึงเรื่องในอดีต

                มายืนอยู่เฉย ๆ   ไม่ทำอะไรเลย   แค่ยืนแล้วก็มอง   ไม่คุยกับใคร   ไม่สนใจใคร...

                ซายุหันมาทางผม

                คิทสึเนะคุงไปคันไซตอนไหนหรือ ?

                ก็...ตั้งแต่เด็ก ๆ ผมตอบ   รู้สึกผิดนิดหน่อยที่ต้องโกหกคนที่ใสซื่ออย่างเด็กสาวตรงหน้า

                จริง ๆ ผมไม่เคยออกจากคันไซด้วยซ้ำ!!

                งั้นเธอก็คงไม่รู้ว่ายูเอะน่ะโดนไล่ออกจากโรงเรียนมาสินะ...

                ผมพยักหน้า   ยอมรับว่าไม่รู้   พลางแอบคิดอยู่ในใจ

                ถึงกับโดนไล่ออกเชียวหรือ ?

                ถึงยัยนั่นจะโหดก็โหดเป็นที่เป็นทางดีนี่นา   แล้วไปทำอะไรให้โดนไล่ออก

                ...ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งนะ   เห็นยูเอะเล่าให้ฟังว่าตั้งแต่ ป.6 ถึง ม.1 เธอก็ย้ายโรงเรียนมาแล้วเกือบสิบโรงเรียนเพราะโดนไล่ออกเหมือน ๆ กันหมด

                จะบ้าตาย...

                ผมนึกเอือมแทนพ่อแม่ของยัยนั่นจริง ๆ

                สองปีย้ายเกือบสิบโรงเรียน   นี่ถ้าตระกูลซานาดะไม่แน่จริง...ยัยนั่นคงเคว้งคว้างไม่ได้เรียนไปนานแล้ว

                แต่ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกันนะ   ยูเอะไม่เคยบอก   เอ้อ!!...อย่าบอกยูเอะนะว่าฉันเล่าให้คิทสึเนะคุงฟัง   เพราะถ้าทำอย่างนั้นเขาคงโกรธตายเลย

                ผมกลอกตา    ใครจะบอกกันล่ะ   แค่จะพูดด้วยผมยังไม่รู้จะไปพูดกับยัยโหดนั่นยังไงเลย

                ได้

                อืม...ก็นั่นแหละ ซายุพูดต่อ   มองไปทางต้นซากุระต้นนั้นอย่างเหม่อลอย ยูเอะน่ะย้ายเข้ามาที่โรงเรียนนี้ตอนม.2  ย้ายเข้ามากลางคันนี่ล่ะ   เหมือนกับคิทสึเนะคุง...อ๊ะ!!”

                เด็กสาวสะดุ้ง   รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเสียมารยาทละมั้งถึงได้หันมามองผมอย่างนั้น    แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร...ผมก็ย้ายมากลางคัน   ก็จริงนี่นา...ไม่เห็นจะเป็นเรื่องน่าอับอายตรงไหนเลย

                พอเห็นว่าผมไม่ได้ว่าอะไร   เธอจึงเล่าต่อ

                ตอนแรก ๆ ยูเอะน่ะไม่มีเพื่อนเลยสักคน    เธอเก็บตัวน่ะ...เก็บตัวเงียบ    ไม่พูดไม่จา   ตอนกลางวันบางวันก็ไม่ยอมกินข้าว   บางทีก็มายืนอยู่ใต้ต้นซากุระนั่นแหละ

                 ผมเลิกคิ้วขึ้น

                สรุป...นี่ผมรู้อะไรบ้างนอกจากยัยโหดนั่นเคยเป็นเด็กมีปัญหาที่โดนไล่ออกจากโรงเรียนมาเกือบสิบโรงเรียน ?

     

    ** ** ** ** ** ** ** ** ** ** **

               

                ผมถูกดึงกลับเข้าสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้งด้วยแรงเบรกรถ   ซาโนะหันมาทางเบาะหลังที่ผมนั่งอยู่

                ถึงแล้วครับ    ท่านคิทสึเนะครับ...แวะไปที่...

                ไม่ไป!!” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ    องครักษ์หนุ่มตีหน้าเซ็ง

                ...ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าซาโนะหมายถึงอะไร...

                สถานที่เดียวที่ชายหนุ่มตรงหน้านี่พยายามคะยั้นคะยอเขามาเป็นล้าน ๆ ครั้งเพื่อให้แวะไปสักแว่บหนึ่งก็ยังดี   คือโรงฝึกดาบของตระกูลมินาโมโตะ 

                ผมไม่ได้จับดาบมานานแล้ว   อันที่จริง...ตั้งแต่ เหตุการณ์ ครั้งนั้น    ผมก็กลายเป็นโรคจับอาวุธไม่ได้   แค่เห็นดาบไม้ไผ่  ผมก็แทบจะอาเจียนแล้ว...

                ส่วนดาบประจำตัวของผม   ตอนนี้...มันถูกเก็บเข้ากรุส่วนที่ลึกที่สุดไปแล้ว

                ถูกฝังลืมไป   พร้อม ๆ กับที่กาลเวลาค่อย ๆ ชะเหตุการณ์ครั้งนั้นหายไปจากหัวใจของผม

                แต่ไม่รู้ว่าทำไม   ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่มันก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ๆ...

                อาจจะดูเหมือนผมเว่อร์...แต่มันคือเรื่องจริง

                แล้วคนที่จับอาวุธไม่ได้อย่างผม   จะเป็นนักฆ่าได้ยังไง ?

                ผมก้าวลงจากรถ  

                ที่นี่คือคฤหาสน์อีกแห่งหนึ่งของตระกูลมินาโมโตะ    เป็นคฤหาสน์สำรองที่เพิ่งจะสร้างขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง   บ้านทรงยุโรปสองชั้นที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายทว่าเน้นถึงความหรูหราออกมาอย่างชัดเจนในเครื่องเรือนแต่ละชิ้น   สวนขนาดไม่ใหญ่ (คือ...ผมคิดว่ามันไม่ใหญถ้าหากว่าเทียบกับสวนของตระกูลมินาโมโตะที่เกียวโตน่ะครับ) ตกแต่งด้วยสนนานาชนิด   แม่ของผมชอบต้นสนครับ   ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่ไม่ว่าจะด้านนอกหรือด้านในบ้านของผมจะประดับด้วยต้นสนต้นเล็กต้นน้อย  

                บรรยากาศที่เรียบง่ายและเงียบสงบอย่างนี้แหละที่ผมรักนักหนา...

                ผมก้าวเดินไปได้ไม่กี่ก้าว   ก็ต้องหยุดชะงักเท้าเพราะใครบางคน...เอ่อ   ไม่สิครับ...ต้องเรียกว่าบางตัวมากว่าที่ออกมาต้อนรับผมถึงหน้าบ้าน

                ม้าว!!

                เสียงร้องประท้วงเบา ๆ เหมือนกับกำลังตัดพ้อผมที่หนีมันมาโตเกียวคนเดียว   แล้วปล่อยให้มันแง่กอยู่ที่เกียวโตซะหลายวัน

                ผมยิ้ม   ปกติ...ผมแทบจะไม่ยิ้มให้ใครเลย   แต่สำหรับเจ้านี่    ผมสามารถยิ้มได้อย่างสนิทใจจนบางครั้งซาโนะยังบ่นด้วยน้ำเสียงน้อยใจ

                ท่านคิทสึเนะยิ้มให้แมวมากกว่ายิ้มให้คนด้วยกันอีก!!’

                เบ็งเคย์...รอนานหรือ ? ผมยิ้ม   อุ้มเจ้าแมวสีขาวอ้วนปุ้กขึ้นมาจากพื้น   ผมว่า...ถ้ามองไกล ๆ   เจ้านี่คงดูเหมือนก้อนขนสีขาว ๆ กลม ๆ เลยล่ะ    ผมล้วงเข้าไปในกระเป๋า   หยิบหาของหวาน ๆ อย่างที่เจ้าแมวอ้วนนี่ชอบ

                ไม่ได้สังเกตสีหน้ากระอักกระอ่วนของซาโนะเลยสักนิด

                เจ้าเบ็งเคย์นี่อยู่กับผมมาจะสามปีแล้ว    ตอนแรกที่ผมได้มันมา...เป็นครั้งแรกที่ผมเถียงกับซาโนะจะเป็นจะตายทั้ง ๆ ที่มันเป็นเรื่องที่ไม่มีสาระสักนิด

                ตอนนั้น   ซาโนะค้านผมเรื่องชื่อของแมวเสียงแข็งแบบไม่ยอมผมเลยสักนิดเดียวว่าชื่อ เบ็งเคย์ วีรบุรุษผู้เป็นองครักษ์ของตระกูลมินาโมโนะในอดีตน่ะไม่เหมาะกับแมว (จริง ๆ ผมแอบคิดไม่ได้ว่าซาโนะอิจฉาแมวที่จะได้ชื่อเบ็งเคย์ซึ่งดูมีตำแหน่งสูงกว่าตนไป)

                แต่สุดท้าย...ผมก็ชนะจนได้

                แมวตัวนี้ก็เลยชื่อว่า เบ็งเคย์

                ตั้งแต่นั้นซาโนะก็ตั้งตัวเป็นอริกับเจ้าแมวนี่อย่างเป็นทางการ!!

                เบ็งเคย์เป็นแมวเปอร์เซียขนขาวปุกปุย (คือตอนนี้ผมคิดว่ามันเข้าใกล้ความเป็นก้อนขนสีขาวเดินได้เข้าไปทุกทีแล้ว) อ้วนกลมปุ้กน่ารักน่ากอดเป็นที่สุด    จริง ๆ...ตอนที่ผมได้มันมาใหม่ ๆ มันไม่ได้อ้วนกะปุ๊กลุกอย่างนี้หรอกนะ   แต่ไม่รู้นาน ๆ ไปทำไมแมวที่ผมเลี้ยงไว้มันถึงได้กลายสภาพเป็นลูกบอลกลม ๆ สีขาวไปได้ (ตอนนี้ซาโนะกำลังแอบเรียกมันว่าโดเรม่อนครับ  อันนี้ในกรณีที่อารมณ์ดีนะครับ...ถ้าอารมณ์ไม่ดีมันจะกลายเป็นไอ้อ้วนไปทันที)

                ข้อสันนิษฐานอย่างหนึ่งที่ค่อนข้างจะเชื่อถือได้คือ...มันเป็นโรคอ้วน =*= (ก็เห็นกันอยู่ชัด ๆ!!)

                คือ...ผมกำลังจะบอกว่า   มันเป็นแมวที่แปลก ๆ อ่ะครับ

                อาหารปกติที่แมวชอบกินควรจะเป็นปลา   แต่สำหรับเบ็งเคย์...มันชอบกินของหวาน ๆ รวมทั้งของที่ทำให้อ้วนได้ทุกชนิด!!

                ไม่ว่าจะเป็นลูกกวาด   เค้ก   หรือแม้กระทั่งโมจิหวานเจี๊ยบชนิดแสบไส้เจ้านี่กินทั้งนั้น   แถมยังไม่แยแสปลาที่แมวส่วนใหญ่เขาชอบกินกันเลยเสียด้วย

                โดยเฉพาะของโปรดที่สุดของเจ้านี่...วิปปิ้งครีมครับ -*-

                เวลาจะให้เจ้าเบ็งเคย์กินก็ต้องบีบใส่จาน    ย้ำว่าจานนะครับ!! เพราะเคยมีพ่อบ้านฝึกหัดที่บ้านผมคนนึงไม่ยอมเอาใส่จานแล้วใส่ชามข้าวสำหรับแมวแทน   ปรากฏว่าเจ้านี่...กดหัวให้ตายก็ไม่ยอมกินครับ (สงสัยมันจะลืมไปแล้วแหง ๆ ว่ามันเป็นแมว) เสร็จแล้วเจ้านี่ก็จะเขมือบแปบเดียวหมดอย่างเอร็ดอร่อยเสียเต็มประดา   ผมเคยลองชิมดูเหมือนกันว่าไอ้วิปปิ้งครีมนี่มันอร่อยตรงไหน   สุดท้าย...กินไม่ลงครับ  เลี่ยนจริง ๆ   ไม่รู้มันกินเข้าไปได้ยังไง = =

                ผมเองยังโดนซาโนะว่าบ่อย ๆ ว่าทำจนแมวไม่เป็นแมวแล้ว (จริง ๆ ผมก็คิดอยู่เหมือนกันว่ามันไม่ค่อยจะเป็นแมวเท่าไหร่แล้วในตอนนี้) แล้วยังกำชับผมว่าให้เลิกให้ของหวานทุกชนิดกับมัน

                แต่...พอผมเห็นแววตาอ้อนวอนของเจ้านี่ทีไรเป็นต้องใจอ่อน   แอบหาอะไรหวาน ๆ มาให้มันกินทุกทีสิน่า   ถึงเจ้าสิ่งนั้นจะเป็นแค่น้ำตาลก้อนก็เถอะ

                น่ะแหละ    เมื่อก่อนผมเคยอุ้มมันพาดบ่าได้สบาย ๆ   แต่ตอนนี้...เหอะ ๆ    ถึงผมจะไม่ได้คิดจะรบทัพจับศึกกับใครแต่ผมก็ยังห่วงสวัสดิภาพของไหล่ผมอยู่นะครับ (อ้อ!! ลืมบอกไป...ใครอยากได้เวจนุ่ม ๆ เอาไว้ยกให้กล้ามขึ้นบอกผมได้นะครับ   ผมให้เช่า ^ ^)

                เพราะฉะนั้น   ตอนนี้ผมเลยแค่ปล่อยให้มันเดินตามเข้าไปในบ้านต้อย ๆ

                บ้านเงียบสงบ   แน่นอนล่ะสิเพราะตอนนี้ทุกคนต้องไปทำงานกันหมด   เหลือแต่ผมที่ไม่มีที่ไป   พ่อกับแม่ของผมก็แยกกันคนละทางไปแล้ว   กว่าจะกลับจากทั้งงานที่บริษัท (ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าบริษัทไหน   เพราะมันเยอะเหลือเกินผมขี้เกียจจำ) และงานสังคมอื่น ๆ อีก (ถ้ามีน่ะนะ) ก็คงจะเหยียบ ๆ เที่ยงคืนล่ะครับ

                ผมเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง   ไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของบ้านซึ่งผมยึดครองอยู่คนเดียวโดยทุกคนต่างรู้ดีว่าไม่ควรจะมารบกวน

                ผมเปิดประตูเข้าไป

                ห้องทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นของไม้เก่าและกลิ่นหน้ากระดาษ   หนังสือเป็นร้อย ๆ เล่มตั้งอัด ๆ กันอยู่บนชั้นหนังสือไม้เรียบ ๆ   แสงสว่างส่องลอดจากหน้าต่าง   ห้องนี้แทบจะไม่มีที่นั่งเพราะมันอัดแน่นไปด้วยหนังสือ   ที่จะมีก็เห็นจะเป็นฟูกเอาไว้สำหรับนั่งอ่านหนังสือกับพื้น

                ผมชอบเข้ามาอยู่ในห้องนี้ครับ   มันเหมือนกับเป็นโลกส่วนตัวของผมที่ไม่มีใครสามารถจะทำอะไรผมได้   เป็นสถานที่เดียวที่ผมจะได้ลืมปัญหาและชีวิตจริงทั้งหมดไปและใช้เวลาอยู่กับปรัชญา   ประวัติศาสตร์และเทวตำนาน

                ส่วนเบ็งเคย์ก็จะชอบเข้ามานั่งคลอเคลียผมเวลาผมนั่งอ่านหนังสือ (ผมชอบนะ...ยิ่งเวลาอากาศหนาว ๆ ได้เจ้านี่แล้วอุ่นดีชะมัด) โดยมีสายตาจับผิดของซาโนะที่จับจ้องไปที่มันอยู่ตลอดเวลา

                ผมถอนหายใจ   หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้น   แล้วเริ่มอ่าน...

                เมื่อเบ็งเคย์กระโดด (จริง ๆ คือพยายามตะเกียกตะกายมากกว่า) ขึ้นมาอยู่บนตักผม   ผมก็เข้าสู่โหมดโลกส่วนตัวที่มีแต่ตัวหนังสือไปเรียบร้อย

    __________________________________________

    ลงจนจบจนได้ = =

    ต้องขอโทษด้วยนะเจ้าค้าที่สัปดาห์ที่แล้วแทบไม่ได้ลง   เพราะกำลังพยายามเอาชีวิตรอดจากการสอบมิดเทอมหฤโหดนะเอ้อ >.,< แล้วคอมพ์น้อย ๆ ที่น่ารัก (ตรงไหน -*-) ก็พลอยมาเจ๊งบ๊งไปอีก   เลยไม่ได้ต่อเน็ตเป็นอาทิตย์ TT  TT ลงเอามาลงนี่ก็ใช้โน้ตบุ๊คลงนะเอ้อ   เพิ่งไปขุดเอาขึ้นมาใช้นี่ล่ะ   เง้อ

    ฉลองสอบเสร็จ!! ขอแสดงความยินดีกับคนที่เพิ่งจะรอดตายจากสนามสอบมานั่งอ่านนิยายด้วยนะเอ้อ ^ ^ อิอิ...ส่วนคนที่กำลังสอบอยู่   ขอจงสู้ต่อไป...เกรดสี่จงสถิตแด่ท่าน   อาเมน -O-

    หุหุ...เจอกันใหม่ตอนหน้าเน้อ    ลงตามปติวันพุธเช่นเคย ^ ^ บายจ้า

    มิริน

    m.tokiya m.tokiya m.tokiya m.tokiya
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×