คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : เจ้าหญิงในห้องหมายเลข 13 (เติมใจให้100% จนได้ ^ ^)
10.
เจ้าหญิงในห้องหมายเลข 13
สวัสดีครับ...
ผมคือซานาดะ ริวจิน เป็นพี่ชายคนโตของตระกูลซานาดะฝั่งเซริวครับ ส่วนตอนนี้ผมอยู่ที่ไหนน่ะเหรอ ? อ๋อ...ก็ในสวนญี่ปุ่นของภัตตาคารแห่งหนึ่งที่น้องสาวผมกำลังมาดูตัวอยู่ในตอนนี้ไง
ดูจากผู้คนที่มาเดินในสวนแห่งนี้เป็นคู่ ๆ แล้ว เดาได้ว่าที่นี่คงเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงในด้านการเป็นสถานที่ดูตัวพอสมควรเลยล่ะ
แต่ก็ไม่แปลก เพราะนอกจากที่นี่จะขึ้นชื่อในด้านอาหารแล้ว ยังมีชื่อเสียงในด้านบรรยากาศอีกด้วย
อืม...จะว่าไปก็จริงนะ
ต้นไม้ขนาดใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาอยู่เหนือหัวผมคงมีอายุไม่ต่ำกว่าร้อยแน่ ๆ และถึงกิ่งก้านของมันจะแผ่ให้ร่มเงาดีแต่ก็ได้รับการดูแลตัดแต่งไม่ได้ดูรกจนเกินไป หินรูปร่างแปลกตาหลายก้อนถูกนำมาวางประดับเป็นระยะ ๆ อย่างลงตัว ไม้ดอกมากมายแข่งกันออกดอกชู่ช่อรับแสงอาทิตย์ที่สาดลอดกิ่งก้านสาขาของไม้ใหญ่ลงมายังพื้นดิน
ผมก้มลงมองนาฬิกา
อ้าว...เวลาผ่านไปขนาดนี้แล้วหรอเนี่ย ?
ผมรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้หินตัวเตี้ยที่นั่งอยู่ แล้วรีบเดินออกจากสวนหินนั่น
เขาควรจะไปรอหน้าห้อง อย่างน้อยก็ควรจะไปสนทนากับท่านผู้นำตระกูลมินาโมโตะและคุณนายเสียหน่อย แต่นี่...เขาแอบหลบฉากมานั่งคนเดียวอย่างนี้ตั้งนานได้ยังไงกันเนี่ย
จริง ๆ เขาแค่คิดว่าออกมาแปปเดียวเดี๋ยวจะกลับเข้าไป ที่ไหนได้...กลายเป็นออกมานั่งตั้งเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว
เป็นอย่างนี้ทุกที ไม่ว่าเวลาที่เขาใช้คอมพิวเตอร์อยู่หรือเวลาที่เผลอใช้ความคิด ยิ่งในสถานที่ที่เงียบสงบอย่างนี้ด้วยแล้ว มันจะเพลินจนลืมเวลาไปเลยล่ะ
อ้อ...ทุกคนคงจะรู้กันอยู่แล้วสินะครับว่าผมถนัดด้านคอมพิวเตอร์เป็นที่สุด
ส่วนงานของผมในตอนนี้ อืม...งานหลักก็คือเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ปีสุดท้ายครับ อาชีพเสริมก็คือ...รับหาข่าวทุกชนิดทุกประเภท และตอนนี้ก็เป็นผู้จัดการด้านข่าวสารให้กับ Kill - in - D ครับ
พูดตามตรง ผมล่ะซูฮกกับความคิดเรื่องการตั้งบริษัทของยูเอะจริง ๆ
เรื่องนี้มันเริ่มขึ้นเมื่อประมาณสามปีก่อน ตอนนั้นยูเอะเพิ่งอยู่แค่ ม.สามเท่านั้นเอง อยู่ ๆ วันนึงน้องของผมก็เดินมาหาผมแล้วขอให้ผมช่วยเปิดเว็บไซต์ให้เธอหน่อย เธอจะทำบริษัทรับจ้างฆ่า
พูดตรง ๆ ตอนแรกผมล่ะอึ้งไปเลย...ไม่คิดว่างานนักฆ่าจะสามารถทำอย่างนั้นได้เพราะมันค่อนข้างเสี่ยงมาก แต่พอเจอความคิดของยูเอะเข้าไป ผมยิ่งอึ้งกว่าเดิมอีกครับ
ระบบความปลอดภัยที่เธอคิดขึ้นมาน่ะมันง่ายมากแต่ใช้ได้ดียิ่งกว่าอะไร แถมยังทำให้กิจการนักฆ่าที่หลัง ๆ มานี่ไม่ค่อยจะบูมเท่าไหร่ถึงแม้จะมีเข้ามาเป็นระยะ ๆ ก็กลับมาดังอีกครั้ง
ต้องยอมรับว่า...น้องผมหัวธุรกิจจริง ๆ ครับ ^ ^ (ควรดีใจหรือควรเสียใจก็ไม่รู้)
เอาล่ะ กลับมาที่สถานการณ์ในตอนนี้ เท้าผมพาผมเข้ามาในระเบียงทางเดินด้านในแล้ว และ...
แกรก!!
มีเสียงประตูเลื่อนออกด้านหน้า เด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากประตูนั้น
อ้าว!! นั่น...คิทสึเนะคุงที่ต้องอยู่ดูตัวกับยูเอะไม่ใช่หรือ ?
หน้าตาเคร่งเครียดเชียว เขาเดินมาทางผม โค้งให้นิดหนึ่งเมื่อเดินผ่านแล้วเดินออกไปเลย
เกิดอะไรขึ้นในห้องดูตัวล่ะเนี่ย!!? หรือว่ายูเอะไปสร้างเรื่องอะไรไว้ ?
ความร้อนรนยิ่งทำให้ผมก้าวเดินเร็วขึ้นกว่าเดิม มือผมเอื้อมไปเปิดประตูที่ผมเห็นว่าคิทสึเนะออกมาทันที
แกรก!!!
"ยูเอะ!! เกิดอะไรขึ้นหรือ!!? ทำไมคิทสึเนะคุงเขาถึงได้..."
แล้วคำพูดของผมทั้งหมดก็ถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอ
ในห้องนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่คนเดียว หญิงสาวคนนั้นหน้าตาดี...ไม่สิ ต้องเรียกว่าสวยทีเดียว ใบหน้าหวานมนรูปไข่ขาวสะอาดสะอ้าน เส้นผมปล่อยยาวลงมาแทบจะถึงเอว เธออยู่ในชุดกิโมโนสีขาวสะอาด...ขาวสะอาดจริง ๆ ไม่มีแม้ลวดลายใด ๆ เลย เหมือนกิโมโนของหญิงสาวที่กำลังจะเข้าพิธีแต่งงาน ตรงหน้าของหญิงสาวคนนั้น (ตรงหน้าของผมด้วย) มีโคโตะ (เอ่อ...พิณญี่ปุ่นน่ะครับ ^ ^”) ตัวหนึ่งตั้งอยู่นิ้วเรียวของหญิงสาวคนนั้นไล่กรีดลงบนสายอย่างแผ่วเบา เกิดเสียงติ๊ง ๆ เหมือนเสียงหยดน้ำยามที่เธอกรีดนิ้วผ่าน
ดูเธอตกใจทีเดียว...
“อ...เอ่อ ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ สงสัยผมเข้าผิดห้อง” ผมเหลือบมองป้ายหน้าประตูห้อง จริง ๆ ด้วย...นี่มันห้องหมายเลขสิบสามนี่นา โอย!!...สงสัยผมจะรีบเกินไปจนทำให้เข้าผิดห้องซะแล้ว
“คะ...ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวคนนั้นผินหน้ามาทางผมนิดหนึ่ง แต่...แปลก ดวงตาของเธอดูลอย ๆ เหมือนไม่ได้จับมองมาทางผม
“คุณคงจะเป็นคุณชายใหญ่แห่งซานาดะสินะคะ” หญิงสาวคนนั้นพูดต่อ ดวงตาของเธอก็ยังไม่ได้จับมายังผมเหมือนเดิม
หรือว่า...ผู้หญิงคนนี้ ตาบอด ?
ต้องลองพิสูจน์ ผมลองเดินเข้าไปใกล้ ๆ โบกมือไปมาตรงหน้าของหญิงสาว และ...
หมับ!!
ง่าส์...
“ฉันตาบอดค่ะ...” หญิงสาวคนนั้นยิ้มตอบราวกับล่วงรู้ว่าผมสงสัยอะไร มือบาง ๆ ขาว ๆ นั้นปล่อยมือผมออก
“คือ...เอ่อ ขออภัยที่เสียมารยาทนะคะ” หญิงสาวรีบโค้งต่ำ เล่นเอาผมโค้งตามแทบไม่ทัน
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ว่าแต่...ทำไมถึงจับมือผมถูก ?”
“เป็นหนึ่งในวิชาของมินาโมโตะน่ะค่ะ ตาจิต” หญิงสาวยิ้มน้อย ๆ “แต่ถึงจะเป็นตาจิตก็ทำได้แค่รับรู้ว่ามีใครอยู่ตรงไหนกำลังทำอะไรอยู่บ้างเท่านั้น ไม่สามารถบอกรูปร่างหน้าตาของคน ๆ นั้นได้หรอกค่ะ”
“เออ...ครับ” ผมพยักหน้า ยอมรับว่าเคยได้ยินเรื่องตาจิตมาอยู่บ้าง
แต่เดี๋ยว!!...ผู้หญิงคนนี้ เธอบอกว่าสามารถฝึกตาจิตได้อย่างนั้นหรือ!!?
ตาจิตที่แม้แต่ซามูไรในหมู่ซามูไรยังไม่สามารถฝึกได้สำเร็จ...แต่ผู้หญิงคนนี้กลับฝึกได้ ?
ถ้าได้...แค่จับมือของเขากลางอากาศได้ก็ไม่แปลกเลยสักนิด
แล้ว นี่เขามานั่งสงสัยอะไรอยู่เนี่ย!!?
เขาควรจะไปหายูเอะถึงจะถูกไม่ใช่หรือไง!?!
“เอ่อ...งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ น้องสาวผมไปก่อเรื่องอะไรก็ไม่รู้...ถ้าไม่รีบไปสงสัยจะมีเรื่องวุ่นวายแน่ ๆ”
รอยยิ้มคลี่ออกบนเรียวปากบางเฉียบสีชมพูเรื่อ ๆ นั้นฉายแววเข้าใจ
...เออ...ทำไมหัวใจผมถึงได้เต้นตึกตักอย่างกับกลองศึกอย่างนั้นล่ะ - -“
“ค่ะ...ไปเถอะค่ะ คุณหนูยูเอะแห่งซานาดะกับคุณชายน้อยคิทสึเนะอยู่อีกห้องข้าง ๆ นี่เอง”
“ครับ” ผมลุกขึ้นยืน กำลังจะก้าวออกไปจากห้องพอดี แต่เท้ากลับรั้งตัวเองกลับมา นึกขึ้นได้
เอาน่ะ!! ถามไปสิ!!!~ แค่นี้จะกลัวอะไรนักหนา!? แค่ผู้หญิงคนนึงเนี่ยนะ ? เคยเจอพวกที่น่ากลัวกว่านี้มาตั้งเยอะแยะแล้ว แค่นี้จะกลัวอะไร
เอ้า!!!
“เอ่อ...คือ ผมยังไม่รู้คุณเลย”
“ฮิเมะค่ะ...มินาโมโตะ ฮิเมะ”
ผมค้างกับชื่อนั้นไปหลายวินาทีอยู่ ผู้หญิงคนนี้ก็เป็นคนของตระกุลมินาโมโตะหรือเนี่ย ? แล้วทำไมมานั่งอยู่คนเดียวในห้องอย่างนี้ ? มาดูตัวเหมือนกัน ?
“ฉันไม่ได้มาดูตัวค่ะ...ฉันแค่ชอบมาที่นี่เท่านั้น” ฮิเมะตอบ
อีกแล้ว...เธอตอบเหมือนรู้ทันความคิดอีกแล้ว
ผมขมวดคิ้วนิด ๆ ก่อนจะคลายออก
“ผมชื่อซานาดะ ริวจินครับ...คือ ถ้าไม่รังเกียจ...”
โอ้ย!! พูดไปสิพูดไป!!! แค่นี้ปอดหรือไงว่าที่ผู้นำซานาดะ!!?
“คือว่า...” ผมยิ้มแหย ๆ ถึงจะแน่ใจว่าเธอไม่มีทางเห็นแต่ก็ยังอดขายหน้าตัวเองไม่ได้ที่ยิ้มพิลึก ๆ แบบนั้นออกไป “...ขอเบอร์ได้ไหมครับ ?”
** ** ** ** ** ** ** ** ** ** **
“พี่ริวจิน!!? ไปไหนมา ?”
ฉันตะโกนเมื่อเห็นพี่ชายแสนดี (ที่ไม่รู้หายหน้าไปอยู่ไหนมาเวลาที่ฉันต้องการที่สุด -*-) เดินออกมาจากห้องข้าง ๆ
“แหะ ๆ...ขอโทษทีนะยูเอะ พี่เข้าผิดห้องน่ะ”
“แหะ ๆ อะไรกันล่ะพี่!?!”
“ว่าแต่...” พี่เปลี่ยนโหมดสู่โหมดดุนิด ๆ “...เราน่ะไปทำอะไร คิทสึเนะคุงเขาถึงได้วิ่งออกไปอย่างนั้น”
ฉันไหวไหล่
“จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ?”
ก็ใครจะไปอ่านจิตอ่านใจมันได้ฟระ!?!
หรือว่า...มันจะโกรธที่เรารู้ว่ามันเป็นเกย์ ? (ยังเข้าใจผิดไม่เลิกนะยัยยูเอะ - -“ )
“นี่...แน่ใจนะว่าไม่ได้ทำอะไรให้เขาโกรธ ?” แน่ะ...นี่พี่ไม่ไว้ใจฉันหรอ!? แง้!! TT TT
“แน่ใจจิ ฉันไม่ได้ทำอะไรจริง ๆ นะ”
“ถ้าไม่ได้ทำแล้วทำไมคิทสึเนะคังถึงได้ผลุนผลันออกไปอย่างนั้นล่ะ ?” พี่หรี่ตาลงนิดหนึ่งเหมือนกับผู้พิพากษาที่กำลังสอบปากคำพยาน >,,<
“ไม่รู้จริง ๆ น้า!!...พี่ก็ ฉันจะไปรู้ได้ยังไงกันล่ะ ?”
“เฮ้อ!!...เอาเถอะ ๆ งั้นทำอะไรต่อดี ? กลับบ้าน ?”
“ง่ะ...ไปห้าง ช็อปปิ้ง”
“ทั้งชุดนี้น่ะนะ ?”
“ก็เดี๋ยวไปซื้อชุดใหม่มาเปลี่ยนไง ?”
“เงินล่ะ ?”
“พี่ริวจินออกไปก่อน...นะ น้า!!”
** ** ** ** ** ** ** ** ** ** **
ผมเหลือบมองน้องสาวที่กำลังยิ้มแป้นอ้อน (เพราะจะได้ไปช็อปปิ้ง...โดยใช้เงินผม อีกแล้ว -*-) อยู่ข้าง ๆ มวยผมที่เกล้าเอาไว้เรียบเริ่มจะหลุดลุ่ยออกมาอีกแล้ว แต่รอยยิ้มนั้นก็ยังสว่างสดใสเหมือนกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่านหมู่เมฆลงมา
ผมยิ้มตามเธอไป มือเอื้อมออกไปลูบเส้นผมหลุดลุยไม่เป็นทรงนั้นเบา ๆ
“เฮ้อ!!...ก็ได้ ๆ คราวนี้ถือว่าเลี้ยงขอบคุณเรื่องเปอร์เซ็นต์ของงานครั้งก่อนแล้วกัน”
ยูเอะในชุดกิโมโนสีแดงสดกระโดดตัวลอย ผมเริ่มรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนยังไงไม่รู้สิ - -“
“เย้!! พี่ริวจินน่าร้ากกกก...ใจดี๊ใจดีที่สุดในโลกเลย อ้อ!! เมื่อกี้มีงานมาอีกงานนึงด้วยน้า...คราวนี้จะให้พี่ริว
จินสามสิบเปอร์เซ็นต์เลย!!”
ผมยิ้ม ถึงจะรู้ว่านั่นเป็นแค่คำยอของน้องสาว (ที่กำลังจะได้ถลุงเงินผมเล่นอย่างสบายใจ TT TT) แต่ก็อดดีใจไม่ได้
ไม่ใช่เพราะคำพูดนั้นหรอกที่ทำให้ผมดีใจ
แต่เป็นรอยยิ้มนั้นต่างหาก...
ช่วงก่อน...ตอนยูเอะอายุประมาณสิบสองนี่ล่ะ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เหมือนกับมีคนขโมยเอารอยยิ้มนั้นของเธอไป ตอนนั้น...ผมเป็นห่วงเธอมากจริง ๆ เพราะถึงแม้กับคนในครอบครัวเธอจะไม่ได้ทำท่ามึนตึง แต่หลาย ๆ ครั้งที่กลับจากโรงเรียน ยูเอะจะกลับมานั่งเหม่ออยู่คนเดียวไม่พูดไม่จา นั่งหน้าบึ้งแล้วก็มองทิวต้นซากุระนิ่งอยู่อย่างนั้น
บางครั้งเสื้อผ้าของน้องสาวผมก็มีคราบดินเปื้อน ๆ ติด
นั่นยังดีหน่อย...เพราะท่านแม่ของผมเคยร้องซะบ้านแทบแตก
ยูเอะกลับมาบ้าน เสื้อนักเรียนสีขาวเปื้อนเลือดเป็นแถบ!!
ผมถอนหายใจ
แต่นั่นก็นานมาแล้ว ตอนนี้ยูเอะกลับมายิ้มแย้มแจ่มใสดีเหมือนกับเด็กทั่ว ๆ ไป
“เอ้า!! ท่านพี่...ไปเร็ว ๆ สิ!!! ฉันไม่อยากจะใส่กิโมโนนี่นาน ๆ หรอกนะ!!! วันนี้จะซื้อเสื้อผ้าให้สะใจไปเลย!!”
ผมถอนหายใจอีกรอบ หนักกว่าเดิม
...ใช่...ร่าเริงขึ้น...
...และใช้เงินเก่งขึ้นด้วย... >[]<
เก่งอย่างไม่น่าเชื่อเชียวล่ะ!!
** ** ** ** ** ** ** ** ** ** **
“ท่านคิทสึเนะ...เอ่อ ถึงจะรู้ว่าไม่ควรพูด แต่ลุกออกมาซะเฉย ๆ อย่างนั้นไม่ดีเลยนะครับ”
เสียงสั่งสอนจากผู้เป็นทั้งองครักษ์และพี่ชาย (และดูเหมือนตอนนี้จะถูกยัดเยียดตำแหน่ง ‘คู่รัก’ ของเขาให้ด้วยโดยที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องเลยสักนิด) ที่ทำให้ผมละดวงตาขึ้นจากหนังสือ ซาโนะกำพวงมาลัยรถหลวม ๆ ขณะที่รถจอดนิ่งสนิทเพราะการจราจรที่เป็นอัมพาตของเมืองหลวง
“อืม...” ผมตอบกลับไปเพียงแค่นั้น ความโกรธกรุ่นยังคงจุกอยู่ที่คอแน่นราวกับเป็นพิษร้ายที่ชะล้างไม่หาย
ผมเกลียดนักฆ่า!!
เกลียดจริง ๆ...เกลียดอย่างเต็มหัวใจ!!!
เกลียดอย่างที่ไม่เคยเกลียดอะไรมาก่อน!!
และ...ใช่...
ผมเกลียดตัวเอง!!
เกลียดตัวเองที่เลือกที่จะเลิกเป็นนักฆ่าไม่ได้ เกลียดตัวเองที่ไม่มีความกล้าพอที่จะเลือกทางเดินของตัวเอง
คิลอินดี...ชื่อนี้ไม่มีใครในวงการใต้ดินที่จะไม่รู้จัก
ไม่น่าเชื่อ ว่าตำแหน่งประธานที่เขาว่ากันว่าเป็นหนึ่งในชั้นหัวกะทิของซานาดะจะกลายเป็นยัยนั่น
จะว่าซานาดะ ยูเอะโกหกผมก็ว่าไม่น่าจะใช่ เพราะว่า...เพราะว่าอะไรผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมรู้สึกว่ายัยนั่นมีความสามารถพอที่จะเป็นประธานได้จริง ๆ
แต่ไม่ว่ายังไง ผมก็เกลียดนักฆ่า!!!
จะให้แต่งงานกับคนที่เป็นประธานบริษัทรับจ้างฆ่านี่...ทำใจไม่ได้จริง ๆ!!
“ท่านคิทสึเนะ...ยังไงท่านคิทสึเนะก็เป็นคนของมินาโมโตะนะครับ” ซาโนะยังคงพูดเกลี่ยกล่อมด้วยรู้ว่านายน้อยกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่
“แล้วอีกอย่าง เรื่องในสมัยก่อนเดี๋ยวนี้ก็มีการปรับปรุงในหลาย ๆ อย่าง...” องครักษ์หนุ่มยังคงเกริ่นต่อไปโดยไม่ใส่ใจดวงตาสีขี้เถ้าคมกริบที่ผมส่งไปให้
“...การกระทำอุกอาจแบบเมื่อก่อนนี้คงไม่มีแล้วล่ะครับ”
ซาโนะมองนายน้อยของตนผ่านกระจกมองหลัง แทบจะร้องไห้เมื่อเห็นท่าว่าคำพูดของเขาดูจะไม่ทำให้ผมพูดอะไรได้
“แล้ว...ถ้าไม่เป็นนักฆ่า ท่านคิทสึเนะจะทำอะไรล่ะครับ ?”
ดูท่านี่จะเป็นไม้ตายสุดท้ายของซาโนะแล้ว
แต่คำตอบของผมยิ่งทำให้องครักษ์หนุ่มแทบกระอักเลือด
“โกนหัวบวชพระไง”
“ท่านคิทสึเนะ!! จะเอาจริงหรือครับ!!?” ชายหนุ่มถามหน้าตื่น ไม่คิดไม่ฝันว่านายน้อยของตนจะวางแผนการชีวิตเอาไว้ได้เรียบง่ายถึงขนาดนี้
โอ้ย!!
ผมแทบจะได้ยินเสียงจิตใจของซาโนะร้องตะโกน
ทำไมมันเรียบง่ายขนาดนี้!!!
แล้วผมก็ไม่ได้โกหก...ถ้าไม่มีอะไรทำ ผมอาจจะบวชพระจริง ๆ ก็ได้
ผมปิดหนังสือ ไม่มีอารมณ์จะอ่าน จริง ๆ คือไม่มีอารมณ์จะอ่านตั้งแต่ออกมาจากร้านอาหารแล้ว แต่ที่เอามาถือและเปิด ๆ ไว้เพราะขี้เกียจจะตอบคำถามมากมายมหาศาลราวกับจะไม่รู้จบที่ทุกคนระดมยิ่งใส่ผม
ผมถอนหายใจ เท้าแขนกับขอบหน้าต่างรถคันหรู ทอดสายตามองออกไปด้านนอก ผู้คนมากมายเดินขวั่กไขว่ไปมาตามประสาเมืองหลวงที่แสนจะคึกคัก ถึงแม้แสงแดดจะแผดกล้ายังไงก็เหมือนกับจะไม่มีผลอะไรกับผู้คนที่เดินอยู่เลย
บางครั้ง...ในตอนที่ผมยังเด็ก ผมเคยถามตัวเองว่า จะมีสักวันไหมที่ผมจะได้ออกไปเดินถนนอย่างคนธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่ต้องแต่งตัวให้ดูเรียบร้อยตลอดเวลา ไม่ต้องคิดถึงเรื่องของตระกูลหรือเรื่องอื่น ๆ ไม่ใช่มินาโมโตะ...
แค่...ออกไปเดินถนนอย่างคนธรรมดาคนหนึ่ง
สำหรับบางคน ชีวิตคนธรรมดา ๆ อาจจะดูน่าเบื่อ แต่สำหรับผมที่ไม่เคยได้สัมผัสชีวิตแบบนั้น...นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ผมปรารถนาที่สุดในชีวิตตอนนี้แล้วก็เป็นได้
ผมยังคงทอดสายตามองโลกภายนอกต่อไป พลางคิดถึงคนอีกคน คิดถึงเรื่องที่ได้ยินมา...
...ซานาดะ ยูเอะ...
** ** ** ** ** ** ** ** ** ** **
“ว่าแต่ คิทสึเนะคุงเป็นเพื่อนกับยูเอะตั้งแต่เด็กเลยหรอ ?”
คารุซากิ ซายุถามผมแบบนี้
ผมนิ่งไปนิดหนึ่ง จริง ๆ ไม่อยากจะโกหกเธอเลย...แต่มาถึงขนาดนี้แล้วก็คงต้องโกหกต่อไป
“ใช่”
“งั้นหรอ ?” ซายุนั่งเท้าแขนกับโต๊ะ มองไปที่ต้นซากุระต้นหนึ่งที่ปลูกอยู่ข้างสนาม ว่ากันว่าซากุระต้นนี้เป็นต้นไม้เก่าแก่ที่ขึ้นอยู่แล้วและโรงเรียนมาสร้างขึ้นในภายหลัง แสดงว่าคงจะเก่าแก่มากจริง ๆ เพราะโรงเรียนนี้ก็ตั้งมานานพอสมควรแล้ว
“เมื่อก่อนยูเอะชอบมายืนมองซากุระต้นนั้นแหละ” เธอชี้ให้ผมดูซากุระต้นนั้น สีหน้าครุ่นคิดเหมือนกำลังนึกถึงเรื่องในอดีต
“มายืนอยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไรเลย แค่ยืนแล้วก็มอง ไม่คุยกับใคร ไม่สนใจใคร...”
ซายุหันมาทางผม
“คิทสึเนะคุงไปคันไซตอนไหนหรือ ?”
“ก็...ตั้งแต่เด็ก ๆ” ผมตอบ รู้สึกผิดนิดหน่อยที่ต้องโกหกคนที่ใสซื่ออย่างเด็กสาวตรงหน้า
จริง ๆ ผมไม่เคยออกจากคันไซด้วยซ้ำ!!
“งั้นเธอก็คงไม่รู้ว่ายูเอะน่ะโดนไล่ออกจากโรงเรียนมาสินะ...”
ผมพยักหน้า ยอมรับว่าไม่รู้ พลางแอบคิดอยู่ในใจ
ถึงกับโดนไล่ออกเชียวหรือ ?
ถึงยัยนั่นจะโหดก็โหดเป็นที่เป็นทางดีนี่นา แล้วไปทำอะไรให้โดนไล่ออก
“...ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งนะ เห็นยูเอะเล่าให้ฟังว่าตั้งแต่ ป.6 ถึง ม.1 เธอก็ย้ายโรงเรียนมาแล้วเกือบสิบโรงเรียนเพราะโดนไล่ออกเหมือน ๆ กันหมด”
จะบ้าตาย...
ผมนึกเอือมแทนพ่อแม่ของยัยนั่นจริง ๆ
สองปีย้ายเกือบสิบโรงเรียน นี่ถ้าตระกูลซานาดะไม่แน่จริง...ยัยนั่นคงเคว้งคว้างไม่ได้เรียนไปนานแล้ว
“แต่ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกันนะ ยูเอะไม่เคยบอก เอ้อ!!...อย่าบอกยูเอะนะว่าฉันเล่าให้คิทสึเนะคุงฟัง เพราะถ้าทำอย่างนั้นเขาคงโกรธตายเลย”
ผมกลอกตา ใครจะบอกกันล่ะ แค่จะพูดด้วยผมยังไม่รู้จะไปพูดกับยัยโหดนั่นยังไงเลย
“ได้”
“อืม...ก็นั่นแหละ” ซายุพูดต่อ มองไปทางต้นซากุระต้นนั้นอย่างเหม่อลอย “ยูเอะน่ะย้ายเข้ามาที่โรงเรียนนี้ตอนม.2 ย้ายเข้ามากลางคันนี่ล่ะ เหมือนกับคิทสึเนะคุง...อ๊ะ!!”
เด็กสาวสะดุ้ง รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเสียมารยาทละมั้งถึงได้หันมามองผมอย่างนั้น แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร...ผมก็ย้ายมากลางคัน ก็จริงนี่นา...ไม่เห็นจะเป็นเรื่องน่าอับอายตรงไหนเลย
พอเห็นว่าผมไม่ได้ว่าอะไร เธอจึงเล่าต่อ
“ตอนแรก ๆ ยูเอะน่ะไม่มีเพื่อนเลยสักคน เธอเก็บตัวน่ะ...เก็บตัวเงียบ ไม่พูดไม่จา ตอนกลางวันบางวันก็ไม่ยอมกินข้าว บางทีก็มายืนอยู่ใต้ต้นซากุระนั่นแหละ”
ผมเลิกคิ้วขึ้น
สรุป...นี่ผมรู้อะไรบ้างนอกจากยัยโหดนั่นเคยเป็นเด็กมีปัญหาที่โดนไล่ออกจากโรงเรียนมาเกือบสิบโรงเรียน ?
** ** ** ** ** ** ** ** ** ** **
ผมถูกดึงกลับเข้าสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้งด้วยแรงเบรกรถ ซาโนะหันมาทางเบาะหลังที่ผมนั่งอยู่
“ถึงแล้วครับ ท่านคิทสึเนะครับ...แวะไปที่...”
“ไม่ไป!!” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ องครักษ์หนุ่มตีหน้าเซ็ง
...ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าซาโนะหมายถึงอะไร...
สถานที่เดียวที่ชายหนุ่มตรงหน้านี่พยายามคะยั้นคะยอเขามาเป็นล้าน ๆ ครั้งเพื่อให้แวะไปสักแว่บหนึ่งก็ยังดี คือโรงฝึกดาบของตระกูลมินาโมโตะ
ผมไม่ได้จับดาบมานานแล้ว อันที่จริง...ตั้งแต่ ‘เหตุการณ์’ ครั้งนั้น ผมก็กลายเป็นโรคจับอาวุธไม่ได้ แค่เห็นดาบไม้ไผ่ ผมก็แทบจะอาเจียนแล้ว...
ส่วนดาบประจำตัวของผม ตอนนี้...มันถูกเก็บเข้ากรุส่วนที่ลึกที่สุดไปแล้ว
ถูกฝังลืมไป พร้อม ๆ กับที่กาลเวลาค่อย ๆ ชะเหตุการณ์ครั้งนั้นหายไปจากหัวใจของผม
แต่ไม่รู้ว่าทำไม ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่มันก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ๆ...
อาจจะดูเหมือนผมเว่อร์...แต่มันคือเรื่องจริง
แล้วคนที่จับอาวุธไม่ได้อย่างผม จะเป็นนักฆ่าได้ยังไง ?
ผมก้าวลงจากรถ
ที่นี่คือคฤหาสน์อีกแห่งหนึ่งของตระกูลมินาโมโตะ เป็นคฤหาสน์สำรองที่เพิ่งจะสร้างขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง บ้านทรงยุโรปสองชั้นที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายทว่าเน้นถึงความหรูหราออกมาอย่างชัดเจนในเครื่องเรือนแต่ละชิ้น สวนขนาดไม่ใหญ่ (คือ...ผมคิดว่ามันไม่ใหญถ้าหากว่าเทียบกับสวนของตระกูลมินาโมโตะที่เกียวโตน่ะครับ) ตกแต่งด้วยสนนานาชนิด แม่ของผมชอบต้นสนครับ ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่ไม่ว่าจะด้านนอกหรือด้านในบ้านของผมจะประดับด้วยต้นสนต้นเล็กต้นน้อย
บรรยากาศที่เรียบง่ายและเงียบสงบอย่างนี้แหละที่ผมรักนักหนา...
ผมก้าวเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ต้องหยุดชะงักเท้าเพราะใครบางคน...เอ่อ ไม่สิครับ...ต้องเรียกว่าบางตัวมากว่าที่ออกมาต้อนรับผมถึงหน้าบ้าน
ม้าว!!
เสียงร้องประท้วงเบา ๆ เหมือนกับกำลังตัดพ้อผมที่หนีมันมาโตเกียวคนเดียว แล้วปล่อยให้มันแง่กอยู่ที่เกียวโตซะหลายวัน
ผมยิ้ม ปกติ...ผมแทบจะไม่ยิ้มให้ใครเลย แต่สำหรับเจ้านี่ ผมสามารถยิ้มได้อย่างสนิทใจจนบางครั้งซาโนะยังบ่นด้วยน้ำเสียงน้อยใจ
‘ท่านคิทสึเนะยิ้มให้แมวมากกว่ายิ้มให้คนด้วยกันอีก!!’
“เบ็งเคย์...รอนานหรือ ?” ผมยิ้ม อุ้มเจ้าแมวสีขาวอ้วนปุ้กขึ้นมาจากพื้น ผมว่า...ถ้ามองไกล ๆ เจ้านี่คงดูเหมือนก้อนขนสีขาว ๆ กลม ๆ เลยล่ะ ผมล้วงเข้าไปในกระเป๋า หยิบหาของหวาน ๆ อย่างที่เจ้าแมวอ้วนนี่ชอบ
ไม่ได้สังเกตสีหน้ากระอักกระอ่วนของซาโนะเลยสักนิด
เจ้าเบ็งเคย์นี่อยู่กับผมมาจะสามปีแล้ว ตอนแรกที่ผมได้มันมา...เป็นครั้งแรกที่ผมเถียงกับซาโนะจะเป็นจะตายทั้ง ๆ ที่มันเป็นเรื่องที่ไม่มีสาระสักนิด
ตอนนั้น ซาโนะค้านผมเรื่องชื่อของแมวเสียงแข็งแบบไม่ยอมผมเลยสักนิดเดียวว่าชื่อ ‘เบ็งเคย์’ วีรบุรุษผู้เป็นองครักษ์ของตระกูลมินาโมโนะในอดีตน่ะไม่เหมาะกับแมว (จริง ๆ ผมแอบคิดไม่ได้ว่าซาโนะอิจฉาแมวที่จะได้ชื่อเบ็งเคย์ซึ่งดูมีตำแหน่งสูงกว่าตนไป)
แต่สุดท้าย...ผมก็ชนะจนได้
แมวตัวนี้ก็เลยชื่อว่า ‘เบ็งเคย์’
ตั้งแต่นั้นซาโนะก็ตั้งตัวเป็นอริกับเจ้าแมวนี่อย่างเป็นทางการ!!
เบ็งเคย์เป็นแมวเปอร์เซียขนขาวปุกปุย (คือตอนนี้ผมคิดว่ามันเข้าใกล้ความเป็นก้อนขนสีขาวเดินได้เข้าไปทุกทีแล้ว) อ้วนกลมปุ้กน่ารักน่ากอดเป็นที่สุด จริง ๆ...ตอนที่ผมได้มันมาใหม่ ๆ มันไม่ได้อ้วนกะปุ๊กลุกอย่างนี้หรอกนะ แต่ไม่รู้นาน ๆ ไปทำไมแมวที่ผมเลี้ยงไว้มันถึงได้กลายสภาพเป็นลูกบอลกลม ๆ สีขาวไปได้ (ตอนนี้ซาโนะกำลังแอบเรียกมันว่าโดเรม่อนครับ อันนี้ในกรณีที่อารมณ์ดีนะครับ...ถ้าอารมณ์ไม่ดีมันจะกลายเป็นไอ้อ้วนไปทันที)
ข้อสันนิษฐานอย่างหนึ่งที่ค่อนข้างจะเชื่อถือได้คือ...มันเป็นโรคอ้วน =*= (ก็เห็นกันอยู่ชัด ๆ!!)
คือ...ผมกำลังจะบอกว่า มันเป็นแมวที่แปลก ๆ อ่ะครับ
อาหารปกติที่แมวชอบกินควรจะเป็นปลา แต่สำหรับเบ็งเคย์...มันชอบกินของหวาน ๆ รวมทั้งของที่ทำให้อ้วนได้ทุกชนิด!!
ไม่ว่าจะเป็นลูกกวาด เค้ก หรือแม้กระทั่งโมจิหวานเจี๊ยบชนิดแสบไส้เจ้านี่กินทั้งนั้น แถมยังไม่แยแสปลาที่แมวส่วนใหญ่เขาชอบกินกันเลยเสียด้วย
โดยเฉพาะของโปรดที่สุดของเจ้านี่...วิปปิ้งครีมครับ -*-
เวลาจะให้เจ้าเบ็งเคย์กินก็ต้องบีบใส่จาน ย้ำว่าจานนะครับ!! เพราะเคยมีพ่อบ้านฝึกหัดที่บ้านผมคนนึงไม่ยอมเอาใส่จานแล้วใส่ชามข้าวสำหรับแมวแทน ปรากฏว่าเจ้านี่...กดหัวให้ตายก็ไม่ยอมกินครับ (สงสัยมันจะลืมไปแล้วแหง ๆ ว่ามันเป็นแมว) เสร็จแล้วเจ้านี่ก็จะเขมือบแปบเดียวหมดอย่างเอร็ดอร่อยเสียเต็มประดา ผมเคยลองชิมดูเหมือนกันว่าไอ้วิปปิ้งครีมนี่มันอร่อยตรงไหน สุดท้าย...กินไม่ลงครับ เลี่ยนจริง ๆ ไม่รู้มันกินเข้าไปได้ยังไง = =
ผมเองยังโดนซาโนะว่าบ่อย ๆ ว่าทำจนแมวไม่เป็นแมวแล้ว (จริง ๆ ผมก็คิดอยู่เหมือนกันว่ามันไม่ค่อยจะเป็นแมวเท่าไหร่แล้วในตอนนี้) แล้วยังกำชับผมว่าให้เลิกให้ของหวานทุกชนิดกับมัน
แต่...พอผมเห็นแววตาอ้อนวอนของเจ้านี่ทีไรเป็นต้องใจอ่อน แอบหาอะไรหวาน ๆ มาให้มันกินทุกทีสิน่า ถึงเจ้าสิ่งนั้นจะเป็นแค่น้ำตาลก้อนก็เถอะ
น่ะแหละ เมื่อก่อนผมเคยอุ้มมันพาดบ่าได้สบาย ๆ แต่ตอนนี้...เหอะ ๆ ถึงผมจะไม่ได้คิดจะรบทัพจับศึกกับใครแต่ผมก็ยังห่วงสวัสดิภาพของไหล่ผมอยู่นะครับ (อ้อ!! ลืมบอกไป...ใครอยากได้เวจนุ่ม ๆ เอาไว้ยกให้กล้ามขึ้นบอกผมได้นะครับ ผมให้เช่า ^ ^)
เพราะฉะนั้น ตอนนี้ผมเลยแค่ปล่อยให้มันเดินตามเข้าไปในบ้านต้อย ๆ
บ้านเงียบสงบ แน่นอนล่ะสิเพราะตอนนี้ทุกคนต้องไปทำงานกันหมด เหลือแต่ผมที่ไม่มีที่ไป พ่อกับแม่ของผมก็แยกกันคนละทางไปแล้ว กว่าจะกลับจากทั้งงานที่บริษัท (ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าบริษัทไหน เพราะมันเยอะเหลือเกินผมขี้เกียจจำ) และงานสังคมอื่น ๆ อีก (ถ้ามีน่ะนะ) ก็คงจะเหยียบ ๆ เที่ยงคืนล่ะครับ
ผมเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง ไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของบ้านซึ่งผมยึดครองอยู่คนเดียวโดยทุกคนต่างรู้ดีว่าไม่ควรจะมารบกวน
ผมเปิดประตูเข้าไป
ห้องทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นของไม้เก่าและกลิ่นหน้ากระดาษ หนังสือเป็นร้อย ๆ เล่มตั้งอัด ๆ กันอยู่บนชั้นหนังสือไม้เรียบ ๆ แสงสว่างส่องลอดจากหน้าต่าง ห้องนี้แทบจะไม่มีที่นั่งเพราะมันอัดแน่นไปด้วยหนังสือ ที่จะมีก็เห็นจะเป็นฟูกเอาไว้สำหรับนั่งอ่านหนังสือกับพื้น
ผมชอบเข้ามาอยู่ในห้องนี้ครับ มันเหมือนกับเป็นโลกส่วนตัวของผมที่ไม่มีใครสามารถจะทำอะไรผมได้ เป็นสถานที่เดียวที่ผมจะได้ลืมปัญหาและชีวิตจริงทั้งหมดไปและใช้เวลาอยู่กับปรัชญา ประวัติศาสตร์และเทวตำนาน
ส่วนเบ็งเคย์ก็จะชอบเข้ามานั่งคลอเคลียผมเวลาผมนั่งอ่านหนังสือ (ผมชอบนะ...ยิ่งเวลาอากาศหนาว ๆ ได้เจ้านี่แล้วอุ่นดีชะมัด) โดยมีสายตาจับผิดของซาโนะที่จับจ้องไปที่มันอยู่ตลอดเวลา
ผมถอนหายใจ หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้น แล้วเริ่มอ่าน...
เมื่อเบ็งเคย์กระโดด (จริง ๆ คือพยายามตะเกียกตะกายมากกว่า) ขึ้นมาอยู่บนตักผม ผมก็เข้าสู่โหมดโลกส่วนตัวที่มีแต่ตัวหนังสือไปเรียบร้อย
__________________________________________
ลงจนจบจนได้ = =
ต้องขอโทษด้วยนะเจ้าค้าที่สัปดาห์ที่แล้วแทบไม่ได้ลง เพราะกำลังพยายามเอาชีวิตรอดจากการสอบมิดเทอมหฤโหดนะเอ้อ >.,< แล้วคอมพ์น้อย ๆ ที่น่ารัก (ตรงไหน -*-) ก็พลอยมาเจ๊งบ๊งไปอีก เลยไม่ได้ต่อเน็ตเป็นอาทิตย์ TT TT ลงเอามาลงนี่ก็ใช้โน้ตบุ๊คลงนะเอ้อ เพิ่งไปขุดเอาขึ้นมาใช้นี่ล่ะ เง้อ
ฉลองสอบเสร็จ!! ขอแสดงความยินดีกับคนที่เพิ่งจะรอดตายจากสนามสอบมานั่งอ่านนิยายด้วยนะเอ้อ ^ ^ อิอิ...ส่วนคนที่กำลังสอบอยู่ ขอจงสู้ต่อไป...เกรดสี่จงสถิตแด่ท่าน อาเมน -O-
หุหุ...เจอกันใหม่ตอนหน้าเน้อ ลงตามปติวันพุธเช่นเคย ^ ^ บายจ้า
มิริน
ความคิดเห็น