ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปีก...รัก yuri

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3

    • อัปเดตล่าสุด 31 ส.ค. 56


        เสียงวิ่งจากด้านบนทำให้ศศิวิมลต้องรีบเดินไปดักคนที่ทำรุนแรงจนบ้านแทบพัง
        “อุ๊ย!ตกใจหมดเลยค่ะแม่”
        รวิกานต์เบรกแทบไม่ทันก่อนจะโดนคนยืนรอเอื้อมมือมาตีแขน
        “เสียงดังหยั่งกะเด็กเรียบร้อยหน่อยก็ไม่ได้”
        “โธ่…แม่จ๋าก็กานต์ยังเด็กอยู่นี่คะ”
        “แล้วเด็กที่ไหนเค้าเที่ยวกลางคืนกัน”
        ศศิวิมลทำหน้าจริงจังก่อนจะเดินกลับเข้าไปในครัวเธอไม่ได้ว่าอะไรเพียงอยากให้ลูกรู้จักดูแลตัวเองบ้างแล้วไหนจะความไม่รอบคอบของเจ้าตัวอีกสักวันเธอห่วงว่าอาจเกิดเรื่องไม่ดีได้แต่ครั้นจะพูดห้ามก็คงจะทำได้ยากเพราะลูกสาวคนนี้ของเธอเคยเชื่อฟังซะที่ไหนบอกให้ไปซ้ายจะไปขวาให้เดินหน้าก็กลับหลังซะงั้น

        ที่ร้านอาหารกึ่งผับรวิกานต์กำลังสอดส่ายสายตามองหาคนที่เธอนัดไว้แต่หาจนทั่วร้านแล้วกลับไม่พบคนที่นัดหญิงสาวล้วงเอามือถือขึ้นมาตามตัวเพื่อนรักทันที
        “อยู่ไหนแล้วเนื๊ย”
        “กำลังจะถึงแล้ว”
        “สายตลอดเลยนะ”
        “บ่นเป็นยายแก่ไปได้เดี๋ยวเลี่ยงข้าวไถ่โทษ”
        “งั้นก็ได้…มาเร็วๆด้วย!หิวแล้ว”
        คนพูดกระแทกเสียงส่งท้ายพร้อมกับกดวางสายทันทีก่อนจะเดินไปหาที่นั่งทำเลดีๆ
        
        รวิกานต์นั่งฟังเพลงพร้อมกับจิบเบียร์เย็นๆอย่างอารมณ์ดีแต่มันจะดีมากกว่านี้ถ้าเพื่อนของเธอจะโผล่หัวมาซักทีนึกถึงเรื่องนี้แล้วก็อดโมโหคนมาสายไม่ได้หญิงสาวยกแก้วขึ้นดื่มแก้วแล้วแก้วเล่าแต่ก็ยังไร้เงาอรวรรณเพื่อนรัก
        “สวัสดีค่ะ”
        หญิงสาวสวยเซ็กซี่เดินเข้ามาทักทายคนที่นั่งดื่มหนักไม่แพ้ตัวเองส่วนคนถูกทักก็ถึงกับต้องหันไปมองด้านหลังเพื่อให้แน่ใจว่าสาวสวยตรงหน้าไม่ได้ทักคนที่นั่งเลยเธอไป
        “ฉันทักคุณนั่นแหละค่ะขอนั่งด้วยคนได้มั้ยคะ”
        “เอ่อ…”
        “ไม่ได้เหรอคะ”
        คนพูดส่งสายตาหวานมาให้จนรวิกานต์ต้องพยักหน้าอนุญาตในที่สุด
        รวิกานต์แอบสอดสายตาสำรวจหญิงสาวตรงหน้าท่าทางที่แสนมั่นใจของเจ้าหล่อนทำให้เกิดเสน่ห์ที่ดึงดูดได้อย่างไม่น่าเชื่อแล้วไหนจะชุดเปิดไหล่สีแดงเพลิงนั่นอีกไม่มีใครสะกิดบอกหล่อนเลยเหรอว่าอาจจะโดนฉุดได้เพราะมันเซ็กซี่เกินกว่าความจำเป็นไปแล้ว
        “ฉันนิศามณีเรียกนิสาก็ได้ค่ะ”
        คนพูดแนะนำตัวพร้อมกับยื่นมือออกมาเพื่อผูกสัมพันธ์อย่างสุภาพแต่กลับทำให้คนที่กำลังใช้ความคิดเพลินๆถึงกับสะดุ้งก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
        “รวิกานต์ค่ะเรียกกานต์ก็ได้”
        รวิกานต์เอ่ยตอบก่อนจะยื่นมือของตัวเองไปสัมผัสตามคำเชิญชวนของคนตรงหน้า
        “นิสามาที่นี่บ่อยแต่ไม่ยักกะเคยเห็นหน้าคุณมาก่อน”
        “ไม่แปลกหรอกค่ะเพราะกานต์เพิ่งมาเป็นครั้งแรก”
        “งั้นก็ยินดีต้อนรับนะคะ”
        นิศามณีไม่พูดเปล่าแต่กลับค่อยๆเอื้อมมือไปลูบไล้ที่มือของคนที่เธอคุยด้วยรวิกานต์ยิ้มออกมาน้อยๆท่าทีที่อีกฝ่ายแสดงออกมามันทำให้รู้ว่าสาวสวยตรงหน้าพึงพอใจเธอมากขนาดไหนแบบนี้สินะที่เขาเรียกว่าผีเห็นผี
        สองสาวพูดคุยกันอย่างถูกคออาจเพราะด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่เริ่มครอบครองสติให้เหลือน้อยลงทำให้บางอย่างที่ถูกเก็บซ่อนไว้ค่อยๆแสดงออกมา
        “ตากานต์สวยมากรู้ตัวมั้ยคะ”
        ประโยคที่เอ่ยออกมาไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยแม้แต่น้อยเมื่อสายตาของคนตรงหน้าเธอมันดูเปล่งประกายชวนให้หลงใหลเป็นที่สุด
        “ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะแต่ก็ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะ”
        รวิกานต์ยิ้มออกมาน้อยๆเธอเคยชินกับประโยคแบบนี้เพราะไม่ว่าใครก็ต่างพากันชื่นชอบดวงตาของเธอแต่สำหรับตัวเธอเองกลับรู้สึกเฉยๆสิ่งที่มีคุณค่าคือความหมายของมันต่างหาก
        “จริงๆนะคะ”
        นิศามณีเขยิบเก้าอี้มานั่งชิดคนที่คุยด้วยจนตอนนี้เธอและรวิกานต์ตัวติดกันยิ่งกว่าฝาแฝด
        “หนาวนะคะ”
        คนพูดทั้งนั่งเบียดและเอ่ยประโยคอันแผ่วเบาที่ข้างหู รวิกานต์จนเจ้าตัวขนลุกไปหมดผู้หญิงคนนี้ร้อนแรงจนตัวเธอแทบจะลุกเป็นไฟแล้วไหนจะท่าทีแสนยั่วยวนนั่นอีกเธอไม่ใช่เด็กที่จะดูไม่ออกว่าคนข้างๆต้องการอะไร
        “กานต์ว่าร้อนมากกว่าคะ”
        “นั่นสิคะเดี่ยวหนาวเดี่ยวร้อนแปลกจังนะคะ”
        “ค่ะ”
        “นิสาเสนอให้เราลองเปลี่ยนสถานที่ดูมั้ยคะเผื่ออะไรๆจะดีขึ้น”
        นิศามณีพูดพร้อมกับจ้องไปยังตาคู่สวยที่ตอนนี้มันดูเปล่งประกายมากกว่าเดิมหลายเท่า
        “ที่ไหนคะ”
        “ห้องนิสาไงคะรับรองกานต์จะต้องติดใจ”
        รวิกานต์ยิ้มออกมาอย่างพอใจเมื่อเดาความคิดของหญิงสาวสุดเอ๊กซ์ได้ถูกแต่ก่อนที่เธอจะลุกตามคนที่เชิญชวนก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์สามคนเดินมาขว้างทางเธอทั้งคู่ไว้
        “จะไปไหนกันมิทราบ”
        เสียงของบุคคลที่อยู่ด้านหลังของชายหนุ่มทั้งสามดังขึ้นก่อนที่คนพูดจะเดินแหวกกลางออกมา
        “ว่าไงครับจะไปไหนกัน”
        “พี่ธร”
        “แล้วคิดว่าใครล่ะ”
        ชายหนุ่มมาดมาเฟียเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสนเรียบหากแต่สายตาที่มองมายังคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่าง          รวิกานต์นี่สิมันช่างเย็นจับขั้วหัวใจ
        “เอ่อ…”
        นิศามณีรีบเดินไปเกาะที่แขนชายหนุ่มก่อนจะพยายามดึงแขนให้ไปที่อื่นแต่ก็ไร้ผลเมื่อตอนนี้ธรรมธรกำลังเดินตรงไปยังใครบางคนที่นั่งหน้าซีดอยู่ที่โต๊ะ
        “มีอะไรจะพูดมั้ย”
        ประโยคทักทายที่ฟังยังไงๆก็เหมือนคนพูดจงใจหาเรื่องชัดๆทำเอารวิกานต์เริ่มใจคอไม่ดีแต่เจ้าตัวก็พยายามทำใจดีสู้เสือ
        “เราไม่รู้จักกันฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคุณ”
        รวิกานต์พยายามควบคุมน้ำเสียงให้นิ่งที่สุดเพื่อไม่ให้คนตรงหน้าได้ล่วงรู้ความกลัวที่อยู่ภายในของเธอ
        “แล้วเธอมายุ่งกับ…”
        ชายหนุ่มเว้นวรรคก่อนจะหันไปยิ้มให้กับหญิงสาวที่ตอนนี้ถูกล็อคตัวโดยคนของเขาจากนั้นธรรมธรก็หันมาทำหน้าโหดใส่คนที่เขาจะหาเรื่องต่อ
        “กับผู้หญิงของฉันทำไม”
        “พี่ธร!”
        นิศามณีสะบัดตัวอย่างแรงเพื่อให้หลุดจากการควบคุมแต่ต่อให้เธอใช้แรงทั้งหมดก็คงไม่สามารถต้านแรงชายหนุ่มร่างบึกพวกนี้ได้
        “พาคุณนิสาไปพักผ่อนก่อน”
        เพียงเท่านี้นิศามณีก็ถูกลากตัวออกไปอย่างง่ายดาย  รวิกานต์กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นตอนนี้ตัวช่วยของเธอได้หมดลงแล้วเธอจะหันหน้าไปพึงใครได้นอกจาก…
        “ที่รักจ๋า…”
        นี่ล่ะตัวช่วยของเธอ”ละอองดาว”พี่สาวข้างบ้านที่ออกจะเอ็นดูและรักเธอมาก!!!...(ไม่มีทางเลือกแล้วนิรวิกานต์คิด)
        ละอองดาวหันไปตามเสียงหวยโหยของใครบางคนอันที่จริงก็ไม่รู้หรอกว่าคนที่ตะโกนนั้นเรียกใครแต่น้ำเสียงที่ฟังดูน่าสงสารทำให้เธออดไม่ได้ที่ต้องหันไปมองแต่ยังไม่ทันหันไปยังเป้าหมายก็มีใครบางคนวิ่งมากอดเธอแบบไม่ทันตั้งตัว
        “รอตั้งนานมาช้าจังเลย”
        คนถูกกอดพยายามดันตัวคนโรคจิตให้ออกไปให้พ้นตัวก่อนจะมองหน้าให้ชัดว่าคือใคร
        “จำกันไม่ได้เหรอจ่ะ”
        “นึกว่าใครที่แท้ก็…”
        พูดยังไม่ทันจบเมื่อรวิกานต์ทำท่าจุ๊ปากก่อนจะส่งสายตาของร้องอ้อนวอน
        “เป็นบ้าอะไรของเธอ”
        “ช่วยฉันหน่อย”
        เป็นประโยคที่ออกมาแค่ลมเมื่อเสียงได้ถูกเจ้าตัวกลืนเก็บไว้เพราะกลัวคนที่กำลังเดินตามมาจะได้ยิน
        “อะไรนะ”
        “ช่วยฉันหน่อย”
        “ถ้าพูดแบบนี้อีกคำเดียวฉันจะไม่สนใจเธอแล้วนะ”
        รวิกานต์ดึงคนที่กำลังจะเดินไปเข้ามากอดก่อนจะแอบกระซิบที่ข้างหูขอความช่วยเหลือ
        “จำเป็นมั้ยอะ”
        พูดจบละอองดาวก็ดันตัวออกอีกครั้งก่อนจะก้าวเท้าเดินไปทางอื่น
        “เดี๋ยวๆช่วยฉันหน่อยจะให้ฉันทำอะไรก็ได้”
        คนพูดส่งสายตาขอร้องอีกครั้งก่อนจะหันไปมองยังคนที่เดินใกล้เข้ามาทุกที
        “ก็ได้”
        “จริงนะ”
        “อืมแต่มีข้อแม้…”
        “อะไรอีกล่ะ”
        “ถ้าไม่ทำก็…”
        ละอองดาวลากเสียงยาวตอนท้ายทำเอาคนฟังที่เริ่มรนรานพยักหน้ารับคำอย่างแรงจนเธอต้องแอบยิ้มออกมา
        “เซ็นนี่”
        รวิกานต์หันไปมองหน้าคนพูดก่อนจะก้มลงมองกระดาษที่อยู่ในมือ
        “อะไร”
        “เซ็นๆเถอะน่ะชักช้าช่วยไม่ทันไม่รู้นะ”
        คนพูดชี้นิ้วไปยังชายหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามาก่อนจะดึงนิ้วกลับมาปาดที่คอตัวเองช่างเป็นการกระตุ้นต่อมความกลัวของคนตรงหน้าได้ดีมากซะจนรวิกานต์ต้องรีบดึงกระดาษนั้นมาเซ็นโดยไม่มองแม้แต่หัวข้อ
        “อะเสร็จแล้วเร็วเลย”
        ละอองดาวรับกระดาษกลับมาด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันไปมองหน้าชายหนุ่มที่ตอนนี้หยุดยืนอยู่ตรงหน้าเธอ
        “สวัสดีครับคุณดาว”
        “สวัสดีค่ะไม่ทราบว่ามีอะไรหรือเปล่าคะ”
        “อ้อ…ผมมีเรื่องบางอย่างต้องคุยกับคุณผู้หญิงที่หลบอยู่ข้างหลังคุณน่ะครับ”
        “มีอะไรบอกฉันก็ได้นะคะ”
        “ไม่ได้หรอกครับต้องขอคุยกับเจ้าตัวโดยตรง”
        “ถ้างั้นฉันก็คงให้ตามที่คุณขอไม่ได้”
        ธรรมธรชักสีหน้าใส่คนพูดทันทีแต่เพียงชั่วครู่ชายหนุ่มก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มดังเดิม
        “ทำไมล่ะครับ”
        ละอองดาวดึงคนตัวสูงที่หลบอยู่ด้านหลังออกมาก่อนจะค่อยๆสอดแขนของตัวเองเข้ากับแขนของอีกคน
        “เพราะฉันไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับคนของฉัน”
        น้ำเสียงเย็นๆบวกกับสายตาดุจนางพญาทำเอาธรรมธรถึงกับเดินถอยหลังอย่างไม่รู้ตัวใช่ว่าเขาจะไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้ถึงละอองดาวจะดูบอบบางตัวเล็กแต่กลับเป็นผู้มีอิทธิพลทางด้านธุรกิจโรงแรม…ร้านอาหารเป็นที่สุดหากว่าเขาจะดันทุรังมีเรื่องกับเจ้าหล่อนมันคงจะมีผลเสียกับธุรกิจครอบครัวของเขาไม่น้อย
        “เข้าใจใช่มั้ยคะ”
        “ครับ…ครับงั้นผมขอตัวก่อน”
        ชายหนุ่มก้าวออกจากร้านด้วยความรู้สึกเสียหน้าหากแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ในเมื่อวันนี้มันไม่ใช่วันของเขาแต่หากมีสักวันที่ผู้หญิงคนนี้ล้มเขาพร้อมเป็นคนแรกที่จะเหยียบย่ำให้จมดิน!
        รวิกานต์มองตามคนที่เดินโมโหออกไปจากร้านก่อนจะหันมามองผู้หญิงตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆ
        “เล็กพริกขี้หนูนะเราน่ะ”
        “เพื่อนเล่นหรือไง”
        ละอองดาวหันไปมองคนที่เธอช่วยตาขวางคนอะไรไม่มีจิตสำนึกไม่ขอบคุณยังจะมาปากดีใส่เธออีก
        “ตะกี้ฉันชมต่างหากใครจะไปคิดว่าคุณจะทำให้หมอนั่นหงอได้ขนาดนั้น”
        “ไปไกลๆป่ะเห็นหน้าแล้วกินข้าวไม่ลง”
        คนพูดโบกมือไล่ก่อนจะเดินไปอย่างเร็วจนรวิกานต์มองตามไม่ทัน
        “คนหรือผีนะผลุบๆโพล่ๆ”
        พูดจบเจ้าตัวก็ต้องสะบัดหัวไปมาตอนนี้เธอรู้สึกได้ถึงความไม่ปกติของตัวเองท่าทางเบียร์ที่ดื่มไปหลายขวดคงกำลังออกฤทธิ์แล้วเป็นแน่
        
        เช้าวันต่อมารวิกานต์เดินลงมาจากห้องด้วยอาการมึนๆงงๆก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองใครบางคนที่เธอว่าไม่ใช่คนในครอบครัวเธอแน่ๆ
        “ตื่นสายเชียวนะ”
        ละอองดาวยืนยิ้มอยู่ที่หน้าประตูก่อนจะเดินยกถ้วยข้าวต้มมาวางที่โต๊ะ
        “เธอมาทำไมเข้ามาได้ยังไงเนื๊ย!”
        “ฉันก็เดินมาสิยะจะให้ขับรถมาเหรอบ้านอยู่ใกล้กันแค่นี้”
        คนพูดลอยหน้าลอยตาพร้อมกับกวักมือเรียกคนที่ยืนทำหน้างงให้มานั่งที่โต๊ะกินข้าว
        “มีธุระอะไร”
        รวิกานต์เอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย
        “ฉันแค่เอาข้าวต้มมาให้เธอ”
        หญิงสาวตัวเล็กพูดพร้อมกับยิ้มออกมาแบบนางเอกสุดๆ
        “ไม่มีทางมีอะไรก็ว่ามา”
        น้ำเสียงและสายตาของคนพูดทำให้นางเอกอย่างละอองดาวค่อยๆก้มหน้าลงอย่างน่าสงสารจนรวิกานต์เริ่มรู้สึกว่าตัวเองพูดแรงไปเธอจึงค่อยๆเขยิบเข้าใกล้หมายจะปลอบ
        “เข้าเรื่องเลยก็ได้!”
        จู่ๆนางเอกที่เหมือนจะเล่นบทเศร้าก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับการแปลงร่างเป็นนางมารเต็มตัวทำเอาคนที่คิดจะปลอบตกใจถอยหลังจนเกือบตกเก้าอี้
        “ตกใจหมดเลยเป็นบ้าอะไรของเธอ”
        รวิกานต์ยกมือลูบที่อกตัวเองก่อนจะมองไปยังกระดาษที่คนน่ากลัวยื่นมาให้
        “อะไร”
        “สัญญาของเราไงจำไม่ได้เหรอ”
        “ฉันไปสัญญาอะไรกับเธอพูดบ้าๆ”
        “เมื่อคืนไง”
        น้ำเสียงออดอ้อนแต่ทำไมคนฟังรู้สึกได้ถึงความกวนประสาทของคนพูดมากมายขนาดนี้รวิกานต์กระชากกระดาษนั้นมาอ่านก่อนจะต้องอึ้งกับข้อความที่ได้เห็น
        “บ้าไปแล้ว”
        “ไม่บ้าหรอก”
        “เธอนี่มัน!”
        รวิกานต์ลุกขึ้นก่อนจะจัดการฉีกกระดาษในมือให้ขาดเป็นสองท่อน
        “เพราะฉันรู้ว่าปากเปล่าของเธอมันเชื่อไม่ได้”
        ละอองดาวกล่าวออกมาอย่างผู้ที่เหนือกว่าก่อนจะลุกขึ้นส่งยิ้มให้คนหน้าบึ้ง
        “มันเป็นสัญญาปลอมฉันไม่มีวันเชื่อเธอ”
        "เธอไม่ทำก็ได้แต่จ่ายมา10ล้านอีกอย่างที่ฉีกไปมันเป็นแค่สำเนาจะเอาอีกมั้ยล่ะฉันถ่ายไว้เต็มบ้านเลย"
        น้ำเสียงแสนหวานหากแต่ใบหน้าของคนพูดกลับเต็มไปด้วยความเจ้าเลห์...ก่อนจะเดินออกประตูไป
        รวิกานต์มองตามแผ่นหลังน้อยๆนั้นพร้อมกับถอนหายใจออกมาจากนั้นจึงค่อยๆล้มตัวนั่งอย่างหมดแรงงานนี้เธอพลาดแล้วจริงๆไม่น่าเลย…ให้ตายเหอะ!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×