ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ : จุดเริ่มต้นของการเดินทาง
บทนำ : จุดเริ่มต้นของการเดินทาง
... แสงจันทร์ยามราตรีส่องแสงนวลสบายตา สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดพาเอากลื่นหอมของมวลไม้และกลีบดอกให้ลอยขึ้นไปยังบานหน้าต่างที่เปิดค้างเอาไว้บนยอดปราสาท
[ แกร๊กๆๆๆ ]
เสียงปากกาขนนกขีดเขียนหยาดหมึกด้วยลายมืออันวิจิตรดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง สร้างบทความเกี่ยวกับการปลูกผักแบบหมุนเวียนที่จะช่วยให้หมู่บ้านทางใต้มีผลผลิตมากพอที่จะเลี้ยงตัวเองและยังส่งขายให้แก่ละแวกใกล้เคียงได้อีกด้วย
ใกล้ๆกันนั้นมีกองเอกสารที่ถูกม้วนเก็บเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ ซึ่งแต่ละม้วนจะมีตัวอักษรกำกับไว้ ไม่ว่าจะเป็น การฝึกหน่วยทหารราบในป่าทึบ วาทศิลป์ทางการพูด เชิงดาบของทวีปตะวันออกและตะวันตกฉบับร่ำเรียนเพื่อการป้องกันตัว การวางกับดักอย่างแนบเนียน รวมไปถึงเอกสารอื่นๆที่ต่างแขนงออกไป
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเอกสารต่างๆกลับเชื่อมโยงถึงการบริหารกองทัพ การดูแลปากท้องของประชาชน และการพัฒนาประเทศให้พัฒนาขึ้นในแขนงต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทันทีที่หน้ากระดาษแผ่นสุดท้ายถูกเขียนจนเสร็จ เจ้าของปากกาจึงจรดตัวปากกากลับลงไปในขวดหมึกและมัดม้วนกระดาษแผ่นสุดท้ายให้เรียบร้อยก่อนทอดถอนใจออกมาเบาๆ
"เอาละ ทีนี้ก็ไม่มีงานอะไรคั่งค้างแล้วสินะ"
น้ำเสียงนุ่มกล่าวเบาๆพลางเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้ายามราตรีซึ่งแสงจันทร์นวลกำลังเฉิดฉายท่ามกลางท้องฟ้าเพียงลำพัง เหมือนกับผู้ที่กำลังจ้องมองมันอยู่ ณ ตอนนี้
[ ฟิ้ววว... ]
[ หมับ ]
สายลมแผ่วพัดนำพากลิ่นหอมอ่อนๆของมวลไม้ขึ้นมาจนถึงบานหน้าต่าง ทำให้เจ้าของห้องรีบสูดกลิ่นหอมอ่อนๆนั้นและคว้าจับกลีดดอกไม้ที่ถูกพัดมาอย่างเบามือและลอบยิ้มออกมาเล้กน้อย
"ไหนๆงานก็เสร็จแล้ว ลงไปเดินเล่นสักหน่อยดีกว่า"
[ ตึกๆ... กึก!!! ]
ร่างสูงก้าวข้ามบานหน้าต่างออกไปและกระโดดลงไปจากยอดปราสาทฝั่งตะวันตกโดยไม่มีสิ่งใดรองรับ หากแต่สายลมที่ปะทะใบหน้ายามที่ร่างสูงร่วงลงไปนั้นกลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย และเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม ร่างสูงนั้นจึงโบกมือของตนไปรอบๆ สร้างกระแสลมโอบอุ้มร่างของเขาเอาไว้จนฝ่าเท้าของเขาแตะพื้นได้โดยไม่เกิดเสียงใดๆเลยแม้แต่น้อย
"ขอบใจมากนะทุกคน เอาละ... วันนี้จะไปเดินเล่นที่ไหนดีนะ"
ชายหนุ่มเอ่ยประโยคเหล่านั้นอยู่เพียงลำพัง ทว่าทันทีที่กล่าวประโยคเหล่านั้นจบสายลมโดยรอบก็พัดเข้าลูบไล้ใบหน้าองเขาอย่างอ่อนโยนแทนคำตอบและพัดลอยไปยังโซนด้านหลังปราสาทราวกับจะเชิญชวนชายหนุ่มให้ตามพวกตนไป
"อืม... ไปที่สวนดอกไม้หลังปราสาทเหรอ? ก็ไม่เลวนะ"
สามลมโดยรอบโบกพัดอีกครั้งราวกับดีใจที่ชายหนุ่มตอบรับคำเชิญชวน ขณะที่ร่างสูงค่อยๆก้าวไปยังบริเวณท้ายปราสาทอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งสายลมวูบหนึ่งพัดเข้าปะทะใบหน้าของเขา
".....?"
ใบหน้ามนเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ พร้อมสองท้าวที่เร่งเดินขึ้นจนมาหยุดอยู่ ณ พุ่มไม้จุดหนึ่งซึ่งท่อนขาของทหารยามโผล่พ้นพุ่มไม้ออกมาเล็กน้อย ซึ่งถ้าไม่เพ่งดีๆก็คงไม่มีใครเห็น ทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นด้วยความประหลาดใจหลังจากแหวกพุ่มไม้เข้าไปเจอร่างของทหารยามที่นอนสลบไม่ได้สติอยู่ในนั้น
'มีผู้บุกรุกเหรอ?' ชายหนุ่มจัดแจงยัดร่างของทหารยามนายนั้นกลับเข้าพุ่มไม้ไปจนมิดชิด ก่อนที่เขาจะวิ่งตามสายลมไปจนกระทั่งพบเงาดำเงาหนึ่งลอบเคลื่อนไหวอยู่ในเงามืด
[ กึกๆๆ / ..... ]
เสียงรองเท้ากระทบพื้นหินดังขึ้นอย่างเงียบงัน ทำให้ร่างสูงแอบเฝ้ามองการเคลื่อนไหวเหล่านั้นอย่างเงียบเชียบจนกระทั่งเงาร่างนั้นหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากถุงย่ามบนหลังของตนอย่างเริงร่า
"คิกๆ~♥ ในที่สุดสมบัติของตระกูลวิสเปอร์ 'สายลมเริงร่าย' ก็ตกเป็นของเราแล้ว... เอาล่ะต่อจากนี้ก็ต้องรีบ..."
"จะรีบไปไหนอย่างงั้นเหรอครับ?"
".....!!!"
ร่างเล็กในเงามืดสะดุ้งโหยงพลางยัดสมบัติที่ตนเพิ่งขโมยมาได้กลับลงถุงย่ามไปและกระโจนถอยหลังเพื่อเว้นระยะห่างกับชายหนุ่มในทันที
"นั่นใครน่ะ!?! ชั้นจัดการกับทหารยามหมดแล้วนี่นา ยังเหลืออรดมาได้อีกอย่างงั้นเหรอ?"
"อืม... ผมไม่ใช่ทหารยามหรอกครับ... มิน่าละผมถึงไม่เห็นยามเดินตรวจตราเลย คุณจัดการพวกเขาจนหมดแล้วสินะ?"
น้ำเสียงของชายหนุ่มไม่ได้ฉายแววหวาดวิตกออกมาแม้แต่น้อย เพราะตามปกติถ้าเขาโดดลงมาจากห้องของตนแบบนั้นมักจะมีเสียงโวยวายของทหารยามตามมาด้วยเสมอ แต่ในครั้งนี้เขากลับไม่เจอทหารยามเลยแม้จะเดินอ้อมปราสาทมาจนถึงจุดนี้แล้ว ดังนั้นสิ่งที่อีกฝ่ายพูดดูจะมีเค้าความจริงอยู่มาก
"นาย... เป็นใครกันแน่?"
"... ก็แค่เจ้าชายที่บงเอิญเดินเล่นผ่านมาเท่านั้นครับ"
"เจ้าชายเหรอ? งั้นนายก็คือ ฟาลโก้ วิสเปอร์ (Falco Whisper) รัชทายาทของปราสาทแห่งนี้สินะ"
"เรียกผมว่า ฟาวน์ ก็ได้ครับผมไม่ถือ"
น้ำเสียงนุ่มของฟาวน์เต็มไปด้วยความเป็นมิตร ทว่าน้ำเสียงแหลมเล็กจากเงาดำนั้นกลับเต็มไปด้วยความหวาดระแวงเมื่ออีกฝ่ายรับรู้ถึงการมาของตน แถมยังรุ้ด้วยว่าเธอขโมยสมบัติล้ำค่าของตระกูลออกมาเสียด้วย
"ถ้ายังไงคุณก็รุ้จักชื่อของผมแล้ว จะรังเกียจมั้ยถ้าผมจะถามชื่อของคุณกลับเป็นการแลกเปลี่ยน?"
"....."
ฟาวน์เอ่ยถามอีกฝ่ายกลับไปอย่างนอบน้อม ทว่าอีกฝ่ายกลับยังคงนิ่งเงียบต่อไปและไม่ได้เอ่ยตอบอะไรกลับมาเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งตอนที่ฟาวน์คิดจะตัดใจนั้นเองที่อีกฝ่ายเอ่ยตอบเขากลับมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
"ลูซ ฟอลมูน (Luce Fallmoon)... จำชื่อนี้เอาไว้ให้ดีก็แล้วกันเจ้าชายงี่เง่า!!!"
[ ตูมมม~!!! / อุ๊บ... ]
ระเบิดควันถูกปาลงพื้นทันทีที่อีกฝ่ายกล่าวแนะนำตัวเองเสร็จ ก่อนที่ร่างของอีกฝ่ายจะพุ่งหายเข้าไปในความมืด ขณะที่ร่างของฟาวน์ค่อยๆปรากฏขึ้นจากกลุ่มควันเมื่อสายลมพัดพาระเบิดควันออกไปเสียจนสิ้น
"ฟู่ว ควันแบบนี้ไม่ดีต่อปอดและระบบทางเดินหายใจนะครั... อ้าวไหนแล้วละ?"
ฟาวน์หันซ้ายขวาเพื่อมองหาร่างของลูซที่อาจจะยังวิ่งไปไม่ได้ไกล ทว่าสายลมที่พัดผ่านช่วยบอกกับเขาว่าอีกฝ่ายวิ่งหนีไปได้ไกลเกินกว่าที่เขาจะตามทันเสียแล้ว
ทว่าท่ามกลางเงามืดนั้นกลับมีวัตถุบางอย่างส่องประกายล้อแสงจันทร์ จนกระทั่งฟาวน์หยิบของสิ่งนั้นขึ้นมาดูจึงพบว่ามันคือปิ่นปักผมที่ปลายด้านหนึ่งถูกแกะสลักเป็นรูปจันทร์เสี้ยงที่แลดูงดงามเป็นอย่างยิ่ง
"ลูซ ฟอลมูน... 'แสงแห่งดวงจันทร์ที่ลาลับ' งั้นเหรอ? เป็นชื่อที่เพราะดีนะ..."
ฟาวน์เอ่ยกับสายลมรอบกายพลางเก็บของสิ่งนั้นลงไปในกระเป๋าเสื้อของตนอย่างแผ่วเบาพร้อมความคิดบางอย่างที่แล่นเข้ามาในหัวของเขา
[ จิ๊บๆๆๆ~* ]
[ ก๊อกๆๆ ]
เสียงขับขานของมวลวิหคดังขึ้นเมื่อแสงตะวันเริ่มจรดที่ขอบฟ้า พร้อมเสียงเคาะประตูของสหายคนสนิทที่ยกอาหารเช้ามาให้กับฟาวน์ที่เป็นทั้งเพื่อนและเจ้านายขององครักษ์ผู้ต่ำต้อยคนนี้
"เจ้าชาย ข้านำอาหารเช้ามาให้แล้วครับ"
[ ..... ]
ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาเฉกเช่นทุกวัน... 'หรือว่าเมื่อคืนเจ้าชายจะทรงงานดึกจนยังไม่ตื่นจากบรรทมหนอ?' องครักษ์คนสนิทคิดและถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปโดยไม่รอคำอนุญาตจากเจ้าของห้อง
"ขออนุญาตนะครับ"
[ แกร๊กๆ... ]
บานประตูถูกผลักเข้าไป พร้อมภาพของผ้าปูเตียงที่ยังคงเรียบสนิทราวกับเจ้าของห้องยังไม่ได้ล้มตัวลงนอน ทำให้องครักษ์คนสนิทมุ่งหน้าไปยังโต๊ะทรงงานแทน เพราะเจ้าชายอาจจะทรงงานตลอดทั้งคืนจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนอย่างที่เคยทำ
ทว่า... ที่โต๊ะทรงงานของเจ้าชายเองก็ปรากฏเพียงกองเอกสารที่ถูกจัดเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ และบานหน้าต่างที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้เท่านั้น
"... องค์ชาย?"
องครักษ์ร่างล่ำวางถาดอาหารลงบนโต๊ะทรงงานและเริ่มค้นหาตามจุดต่างๆที่เจ้าชายออาจจะวซ่นตัวอยู่ เพราะแม้กับคนอื่นเจ้าชายจะเป็นคนที่ดูเรียบร้อยและน่านับถือขนาดไหน แต่ในเวลาส่วนตัวแล้วเขามักจะเป็นคนขี้เล่นเสียจนน่าปวดหัว องครักษ์หนุ่มจึงคิดว่าเจ้าชายอาจจะซ่อนตัวเพื่อแกล้งเขาก็เป็นได้
แต่จนแล้วจนรอดองครักษ์คนสนิทก็ไม่อาจหาตัวฟาวน์พบ... จนกระทั่งสายลมวูบหนึ่งพัดพาบางสิ่งบางอย่างให้ลอยมาตกอยู่แทบเท้าของเขา
[ ฟิ้ว... ตุบ ]
[ .....? ]
ซองจดหมายสีขาวจ่าหน้าซองถึง บิล บิ๊กกาย (Bill Bigguy) หรือก็คือชื่อของเขาปรากฏชัดอยู่บนตัวพื้น ซึ่งลายมืออันคุ้นเคยนั้นทำให้องครักษ์คนสนิทไม่รอช้าที่จะหยิบซองจดหมายนั้นขึ้นมาเปิดอ่านโดยเร่งด่วน
[ ถึงบิลเพื่อนรัก
ชั้นคิดว่านายคงจะเป็นคนแรกที่เข้ามาแล้วพบว่าชั้นหายตัวไป ดังนั้นชั้นจึงจ่าหน้าซ้องจดหมายนี้ถึงนาย ขอให้นายตั้งใจอ่านจดหมายฉบับนี้ให้ดีๆ
ตั้งแต่เกิดมาในฐานะเจ้าชายชั้นก็ทำหน้าที่อย่างดีมาโดยตลอด ไม่เคยขัดคำสั่งของพระบิดาและมารดาเลยสักครั้ง แต่ชีวิตของชั้นนั้นช่างเต็มไปด้วยกฏเกณฑ์มากมายที่ผูกมัดชั้นเอาไว้ ซึ่งนายเองก็รู้ดีว่าตัวตนที่ชั้นแสดงออกต่อหน้าคนอื่นกับนายนั้นแตกต่างกันมากแค่ไหน
เกริ่นมาซะนานแล้วได้เวลาเข้าเรื่องซะที... เมื่อคืนนี้ชั้นพบว่ามีโจรแอบลอบเข้ามาในปราสาทและขโมย 'สายลมเริงร่าย' สมบัติประจำตระกูลของชั้นออกไป ดังนั้นในฐานะผู้เห็นเหตุการณ์ชั้นจึงอยากจะจับตัวหัวขโมยคนนั้นด้วยตนเอง เพราะชั้นได้พบกับขโมยคนนั้นมากับตัว ซึ่งตอนที่นายอ่านจดหมายฉบับนี้อยู่ชั้นก็คงออกเดินทางไปแล้ว
อ่านถึงตรงนี้นายคงพอจะเดาได้แล้วว่าชั้นตั้งใจจะทำอะไรใช่มั้ย? ชั้นตั้งใจจะออกตามล่าหัวขโมยนั้นและถือโอกาสท่องโลกไปในตัวด้วยกันเลย เพราะตลอด 19 ปีที่ผ่านมานี้ชั้นต้องใช้ชีวิตในฐานะ 'เจ้าชาย' มานานเกินพอแล้ว ดังนั้นในตอนนี้ชั้นอยากจะสัมผัสถึงความเป็น 'สามัญชน' ดูบ้าง ดังนั้นชั้นเลยอยากรบกวนให้นายช่วยแก้ต่างและอธิบายกับเสด็จพ่อเสด็จแม่ให้ด้วย และบอกพวกท่านด้วยว่าข้ารักพวกเขามาก
สุดท้ายนี้ ชั้นอยากขอโทษที่นำพาเรื่องเดือดร้อนแบบนี้มาให้นาย และขอให้นายโชคดี บิล เพื่อนรักของชั้น
ปล. ชั้นแอบนำเงินในท้องพระคลังติดตัวออกมาด้วยเล็กน้อย แล้วก็ปล้นม้าจากคอกทหารมาตัวหนึ่ง รบกวนฝากนายไปบอกกับพวกเขาด้วยว่าชั้นจะเอามันมาคืนให้ทีหลัง
... แสงจันทร์ยามราตรีส่องแสงนวลสบายตา สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดพาเอากลื่นหอมของมวลไม้และกลีบดอกให้ลอยขึ้นไปยังบานหน้าต่างที่เปิดค้างเอาไว้บนยอดปราสาท
[ แกร๊กๆๆๆ ]
เสียงปากกาขนนกขีดเขียนหยาดหมึกด้วยลายมืออันวิจิตรดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง สร้างบทความเกี่ยวกับการปลูกผักแบบหมุนเวียนที่จะช่วยให้หมู่บ้านทางใต้มีผลผลิตมากพอที่จะเลี้ยงตัวเองและยังส่งขายให้แก่ละแวกใกล้เคียงได้อีกด้วย
ใกล้ๆกันนั้นมีกองเอกสารที่ถูกม้วนเก็บเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ ซึ่งแต่ละม้วนจะมีตัวอักษรกำกับไว้ ไม่ว่าจะเป็น การฝึกหน่วยทหารราบในป่าทึบ วาทศิลป์ทางการพูด เชิงดาบของทวีปตะวันออกและตะวันตกฉบับร่ำเรียนเพื่อการป้องกันตัว การวางกับดักอย่างแนบเนียน รวมไปถึงเอกสารอื่นๆที่ต่างแขนงออกไป
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเอกสารต่างๆกลับเชื่อมโยงถึงการบริหารกองทัพ การดูแลปากท้องของประชาชน และการพัฒนาประเทศให้พัฒนาขึ้นในแขนงต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทันทีที่หน้ากระดาษแผ่นสุดท้ายถูกเขียนจนเสร็จ เจ้าของปากกาจึงจรดตัวปากกากลับลงไปในขวดหมึกและมัดม้วนกระดาษแผ่นสุดท้ายให้เรียบร้อยก่อนทอดถอนใจออกมาเบาๆ
"เอาละ ทีนี้ก็ไม่มีงานอะไรคั่งค้างแล้วสินะ"
น้ำเสียงนุ่มกล่าวเบาๆพลางเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้ายามราตรีซึ่งแสงจันทร์นวลกำลังเฉิดฉายท่ามกลางท้องฟ้าเพียงลำพัง เหมือนกับผู้ที่กำลังจ้องมองมันอยู่ ณ ตอนนี้
[ ฟิ้ววว... ]
[ หมับ ]
สายลมแผ่วพัดนำพากลิ่นหอมอ่อนๆของมวลไม้ขึ้นมาจนถึงบานหน้าต่าง ทำให้เจ้าของห้องรีบสูดกลิ่นหอมอ่อนๆนั้นและคว้าจับกลีดดอกไม้ที่ถูกพัดมาอย่างเบามือและลอบยิ้มออกมาเล้กน้อย
"ไหนๆงานก็เสร็จแล้ว ลงไปเดินเล่นสักหน่อยดีกว่า"
[ ตึกๆ... กึก!!! ]
ร่างสูงก้าวข้ามบานหน้าต่างออกไปและกระโดดลงไปจากยอดปราสาทฝั่งตะวันตกโดยไม่มีสิ่งใดรองรับ หากแต่สายลมที่ปะทะใบหน้ายามที่ร่างสูงร่วงลงไปนั้นกลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย และเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม ร่างสูงนั้นจึงโบกมือของตนไปรอบๆ สร้างกระแสลมโอบอุ้มร่างของเขาเอาไว้จนฝ่าเท้าของเขาแตะพื้นได้โดยไม่เกิดเสียงใดๆเลยแม้แต่น้อย
"ขอบใจมากนะทุกคน เอาละ... วันนี้จะไปเดินเล่นที่ไหนดีนะ"
ชายหนุ่มเอ่ยประโยคเหล่านั้นอยู่เพียงลำพัง ทว่าทันทีที่กล่าวประโยคเหล่านั้นจบสายลมโดยรอบก็พัดเข้าลูบไล้ใบหน้าองเขาอย่างอ่อนโยนแทนคำตอบและพัดลอยไปยังโซนด้านหลังปราสาทราวกับจะเชิญชวนชายหนุ่มให้ตามพวกตนไป
"อืม... ไปที่สวนดอกไม้หลังปราสาทเหรอ? ก็ไม่เลวนะ"
สามลมโดยรอบโบกพัดอีกครั้งราวกับดีใจที่ชายหนุ่มตอบรับคำเชิญชวน ขณะที่ร่างสูงค่อยๆก้าวไปยังบริเวณท้ายปราสาทอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งสายลมวูบหนึ่งพัดเข้าปะทะใบหน้าของเขา
".....?"
ใบหน้ามนเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ พร้อมสองท้าวที่เร่งเดินขึ้นจนมาหยุดอยู่ ณ พุ่มไม้จุดหนึ่งซึ่งท่อนขาของทหารยามโผล่พ้นพุ่มไม้ออกมาเล็กน้อย ซึ่งถ้าไม่เพ่งดีๆก็คงไม่มีใครเห็น ทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นด้วยความประหลาดใจหลังจากแหวกพุ่มไม้เข้าไปเจอร่างของทหารยามที่นอนสลบไม่ได้สติอยู่ในนั้น
'มีผู้บุกรุกเหรอ?' ชายหนุ่มจัดแจงยัดร่างของทหารยามนายนั้นกลับเข้าพุ่มไม้ไปจนมิดชิด ก่อนที่เขาจะวิ่งตามสายลมไปจนกระทั่งพบเงาดำเงาหนึ่งลอบเคลื่อนไหวอยู่ในเงามืด
[ กึกๆๆ / ..... ]
เสียงรองเท้ากระทบพื้นหินดังขึ้นอย่างเงียบงัน ทำให้ร่างสูงแอบเฝ้ามองการเคลื่อนไหวเหล่านั้นอย่างเงียบเชียบจนกระทั่งเงาร่างนั้นหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากถุงย่ามบนหลังของตนอย่างเริงร่า
"คิกๆ~♥ ในที่สุดสมบัติของตระกูลวิสเปอร์ 'สายลมเริงร่าย' ก็ตกเป็นของเราแล้ว... เอาล่ะต่อจากนี้ก็ต้องรีบ..."
"จะรีบไปไหนอย่างงั้นเหรอครับ?"
".....!!!"
ร่างเล็กในเงามืดสะดุ้งโหยงพลางยัดสมบัติที่ตนเพิ่งขโมยมาได้กลับลงถุงย่ามไปและกระโจนถอยหลังเพื่อเว้นระยะห่างกับชายหนุ่มในทันที
"นั่นใครน่ะ!?! ชั้นจัดการกับทหารยามหมดแล้วนี่นา ยังเหลืออรดมาได้อีกอย่างงั้นเหรอ?"
"อืม... ผมไม่ใช่ทหารยามหรอกครับ... มิน่าละผมถึงไม่เห็นยามเดินตรวจตราเลย คุณจัดการพวกเขาจนหมดแล้วสินะ?"
น้ำเสียงของชายหนุ่มไม่ได้ฉายแววหวาดวิตกออกมาแม้แต่น้อย เพราะตามปกติถ้าเขาโดดลงมาจากห้องของตนแบบนั้นมักจะมีเสียงโวยวายของทหารยามตามมาด้วยเสมอ แต่ในครั้งนี้เขากลับไม่เจอทหารยามเลยแม้จะเดินอ้อมปราสาทมาจนถึงจุดนี้แล้ว ดังนั้นสิ่งที่อีกฝ่ายพูดดูจะมีเค้าความจริงอยู่มาก
"นาย... เป็นใครกันแน่?"
"... ก็แค่เจ้าชายที่บงเอิญเดินเล่นผ่านมาเท่านั้นครับ"
"เจ้าชายเหรอ? งั้นนายก็คือ ฟาลโก้ วิสเปอร์ (Falco Whisper) รัชทายาทของปราสาทแห่งนี้สินะ"
"เรียกผมว่า ฟาวน์ ก็ได้ครับผมไม่ถือ"
น้ำเสียงนุ่มของฟาวน์เต็มไปด้วยความเป็นมิตร ทว่าน้ำเสียงแหลมเล็กจากเงาดำนั้นกลับเต็มไปด้วยความหวาดระแวงเมื่ออีกฝ่ายรับรู้ถึงการมาของตน แถมยังรุ้ด้วยว่าเธอขโมยสมบัติล้ำค่าของตระกูลออกมาเสียด้วย
"ถ้ายังไงคุณก็รุ้จักชื่อของผมแล้ว จะรังเกียจมั้ยถ้าผมจะถามชื่อของคุณกลับเป็นการแลกเปลี่ยน?"
"....."
ฟาวน์เอ่ยถามอีกฝ่ายกลับไปอย่างนอบน้อม ทว่าอีกฝ่ายกลับยังคงนิ่งเงียบต่อไปและไม่ได้เอ่ยตอบอะไรกลับมาเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งตอนที่ฟาวน์คิดจะตัดใจนั้นเองที่อีกฝ่ายเอ่ยตอบเขากลับมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
"ลูซ ฟอลมูน (Luce Fallmoon)... จำชื่อนี้เอาไว้ให้ดีก็แล้วกันเจ้าชายงี่เง่า!!!"
[ ตูมมม~!!! / อุ๊บ... ]
ระเบิดควันถูกปาลงพื้นทันทีที่อีกฝ่ายกล่าวแนะนำตัวเองเสร็จ ก่อนที่ร่างของอีกฝ่ายจะพุ่งหายเข้าไปในความมืด ขณะที่ร่างของฟาวน์ค่อยๆปรากฏขึ้นจากกลุ่มควันเมื่อสายลมพัดพาระเบิดควันออกไปเสียจนสิ้น
"ฟู่ว ควันแบบนี้ไม่ดีต่อปอดและระบบทางเดินหายใจนะครั... อ้าวไหนแล้วละ?"
ฟาวน์หันซ้ายขวาเพื่อมองหาร่างของลูซที่อาจจะยังวิ่งไปไม่ได้ไกล ทว่าสายลมที่พัดผ่านช่วยบอกกับเขาว่าอีกฝ่ายวิ่งหนีไปได้ไกลเกินกว่าที่เขาจะตามทันเสียแล้ว
ทว่าท่ามกลางเงามืดนั้นกลับมีวัตถุบางอย่างส่องประกายล้อแสงจันทร์ จนกระทั่งฟาวน์หยิบของสิ่งนั้นขึ้นมาดูจึงพบว่ามันคือปิ่นปักผมที่ปลายด้านหนึ่งถูกแกะสลักเป็นรูปจันทร์เสี้ยงที่แลดูงดงามเป็นอย่างยิ่ง
"ลูซ ฟอลมูน... 'แสงแห่งดวงจันทร์ที่ลาลับ' งั้นเหรอ? เป็นชื่อที่เพราะดีนะ..."
ฟาวน์เอ่ยกับสายลมรอบกายพลางเก็บของสิ่งนั้นลงไปในกระเป๋าเสื้อของตนอย่างแผ่วเบาพร้อมความคิดบางอย่างที่แล่นเข้ามาในหัวของเขา
.....
[ จิ๊บๆๆๆ~* ]
[ ก๊อกๆๆ ]
เสียงขับขานของมวลวิหคดังขึ้นเมื่อแสงตะวันเริ่มจรดที่ขอบฟ้า พร้อมเสียงเคาะประตูของสหายคนสนิทที่ยกอาหารเช้ามาให้กับฟาวน์ที่เป็นทั้งเพื่อนและเจ้านายขององครักษ์ผู้ต่ำต้อยคนนี้
"เจ้าชาย ข้านำอาหารเช้ามาให้แล้วครับ"
[ ..... ]
ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาเฉกเช่นทุกวัน... 'หรือว่าเมื่อคืนเจ้าชายจะทรงงานดึกจนยังไม่ตื่นจากบรรทมหนอ?' องครักษ์คนสนิทคิดและถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปโดยไม่รอคำอนุญาตจากเจ้าของห้อง
"ขออนุญาตนะครับ"
[ แกร๊กๆ... ]
บานประตูถูกผลักเข้าไป พร้อมภาพของผ้าปูเตียงที่ยังคงเรียบสนิทราวกับเจ้าของห้องยังไม่ได้ล้มตัวลงนอน ทำให้องครักษ์คนสนิทมุ่งหน้าไปยังโต๊ะทรงงานแทน เพราะเจ้าชายอาจจะทรงงานตลอดทั้งคืนจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนอย่างที่เคยทำ
ทว่า... ที่โต๊ะทรงงานของเจ้าชายเองก็ปรากฏเพียงกองเอกสารที่ถูกจัดเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ และบานหน้าต่างที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้เท่านั้น
"... องค์ชาย?"
องครักษ์ร่างล่ำวางถาดอาหารลงบนโต๊ะทรงงานและเริ่มค้นหาตามจุดต่างๆที่เจ้าชายออาจจะวซ่นตัวอยู่ เพราะแม้กับคนอื่นเจ้าชายจะเป็นคนที่ดูเรียบร้อยและน่านับถือขนาดไหน แต่ในเวลาส่วนตัวแล้วเขามักจะเป็นคนขี้เล่นเสียจนน่าปวดหัว องครักษ์หนุ่มจึงคิดว่าเจ้าชายอาจจะซ่อนตัวเพื่อแกล้งเขาก็เป็นได้
แต่จนแล้วจนรอดองครักษ์คนสนิทก็ไม่อาจหาตัวฟาวน์พบ... จนกระทั่งสายลมวูบหนึ่งพัดพาบางสิ่งบางอย่างให้ลอยมาตกอยู่แทบเท้าของเขา
[ ฟิ้ว... ตุบ ]
[ .....? ]
ซองจดหมายสีขาวจ่าหน้าซองถึง บิล บิ๊กกาย (Bill Bigguy) หรือก็คือชื่อของเขาปรากฏชัดอยู่บนตัวพื้น ซึ่งลายมืออันคุ้นเคยนั้นทำให้องครักษ์คนสนิทไม่รอช้าที่จะหยิบซองจดหมายนั้นขึ้นมาเปิดอ่านโดยเร่งด่วน
[ ถึงบิลเพื่อนรัก
ชั้นคิดว่านายคงจะเป็นคนแรกที่เข้ามาแล้วพบว่าชั้นหายตัวไป ดังนั้นชั้นจึงจ่าหน้าซ้องจดหมายนี้ถึงนาย ขอให้นายตั้งใจอ่านจดหมายฉบับนี้ให้ดีๆ
ตั้งแต่เกิดมาในฐานะเจ้าชายชั้นก็ทำหน้าที่อย่างดีมาโดยตลอด ไม่เคยขัดคำสั่งของพระบิดาและมารดาเลยสักครั้ง แต่ชีวิตของชั้นนั้นช่างเต็มไปด้วยกฏเกณฑ์มากมายที่ผูกมัดชั้นเอาไว้ ซึ่งนายเองก็รู้ดีว่าตัวตนที่ชั้นแสดงออกต่อหน้าคนอื่นกับนายนั้นแตกต่างกันมากแค่ไหน
เกริ่นมาซะนานแล้วได้เวลาเข้าเรื่องซะที... เมื่อคืนนี้ชั้นพบว่ามีโจรแอบลอบเข้ามาในปราสาทและขโมย 'สายลมเริงร่าย' สมบัติประจำตระกูลของชั้นออกไป ดังนั้นในฐานะผู้เห็นเหตุการณ์ชั้นจึงอยากจะจับตัวหัวขโมยคนนั้นด้วยตนเอง เพราะชั้นได้พบกับขโมยคนนั้นมากับตัว ซึ่งตอนที่นายอ่านจดหมายฉบับนี้อยู่ชั้นก็คงออกเดินทางไปแล้ว
อ่านถึงตรงนี้นายคงพอจะเดาได้แล้วว่าชั้นตั้งใจจะทำอะไรใช่มั้ย? ชั้นตั้งใจจะออกตามล่าหัวขโมยนั้นและถือโอกาสท่องโลกไปในตัวด้วยกันเลย เพราะตลอด 19 ปีที่ผ่านมานี้ชั้นต้องใช้ชีวิตในฐานะ 'เจ้าชาย' มานานเกินพอแล้ว ดังนั้นในตอนนี้ชั้นอยากจะสัมผัสถึงความเป็น 'สามัญชน' ดูบ้าง ดังนั้นชั้นเลยอยากรบกวนให้นายช่วยแก้ต่างและอธิบายกับเสด็จพ่อเสด็จแม่ให้ด้วย และบอกพวกท่านด้วยว่าข้ารักพวกเขามาก
สุดท้ายนี้ ชั้นอยากขอโทษที่นำพาเรื่องเดือดร้อนแบบนี้มาให้นาย และขอให้นายโชคดี บิล เพื่อนรักของชั้น
ปล. ชั้นแอบนำเงินในท้องพระคลังติดตัวออกมาด้วยเล็กน้อย แล้วก็ปล้นม้าจากคอกทหารมาตัวหนึ่ง รบกวนฝากนายไปบอกกับพวกเขาด้วยว่าชั้นจะเอามันมาคืนให้ทีหลัง
ลงนาม .
ฟาลโก้ วิสเปอร์ ] .
[ ..... ]
หลังจากอ่านจดหมายของเพื่อนสนิทจบ บิลที่อ่านทวนแล้วทวนอีกจนเข้าใจถึงเนื้อหาอย่างถ่องแท้จึงทราบแล้วว่าเจ้าเพื่อนตัวดีกำลังนำความฉิบหายครั้งใหญ่เข้ามาในชีวิตของเขาแล้ว...
หลังจากอ่านจดหมายของเพื่อนสนิทจบ บิลที่อ่านทวนแล้วทวนอีกจนเข้าใจถึงเนื้อหาอย่างถ่องแท้จึงทราบแล้วว่าเจ้าเพื่อนตัวดีกำลังนำความฉิบหายครั้งใหญ่เข้ามาในชีวิตของเขาแล้ว...
-----
[ โปรดติดตามตอนต่อไป ]
-----
[ โปรดติดตามตอนต่อไป ]
-----
จากใจนักเขียน
เวลาเขียนในตอนนี้ไม่ค่อยมีมาก แถมปัจจุบันเรื่อง BTO ก็ยังแต่งค้างเอาไว้อยุ่ แต่จู่ๆพลอตของเรื่องนี้มันก็แล่นเข้ามาในหัว ทำให้ Writer ตัดสินใจเขียนมีนขึ้นมา เผื่อเวลาที่เรื่อง BTO หัวตัน Writer จะได้สลับมาเขียนเรื่องนี้แทนเพื่อเรียกไอเดียให้กับตัวเอง
ซึ่งในช่วงนี้ Writer จะค่อยๆแก้คำผิดและปรับปรุง BTO ให้หลายเป็น V.2 และ V.3 ไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีเวลาว่างและอารมณืกลับไปเขียน BTO ต่อ ยังไงก็ขอฝากนิยายเรื่องนี้เอาไว้ในใจนักอ่านทุกๆท่านด้วยน้อ
เวลาเขียนในตอนนี้ไม่ค่อยมีมาก แถมปัจจุบันเรื่อง BTO ก็ยังแต่งค้างเอาไว้อยุ่ แต่จู่ๆพลอตของเรื่องนี้มันก็แล่นเข้ามาในหัว ทำให้ Writer ตัดสินใจเขียนมีนขึ้นมา เผื่อเวลาที่เรื่อง BTO หัวตัน Writer จะได้สลับมาเขียนเรื่องนี้แทนเพื่อเรียกไอเดียให้กับตัวเอง
ซึ่งในช่วงนี้ Writer จะค่อยๆแก้คำผิดและปรับปรุง BTO ให้หลายเป็น V.2 และ V.3 ไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีเวลาว่างและอารมณืกลับไปเขียน BTO ต่อ ยังไงก็ขอฝากนิยายเรื่องนี้เอาไว้ในใจนักอ่านทุกๆท่านด้วยน้อ
Lunaze S. Shine .
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น