ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dimension Fantasy : การเดินทางของเจ้าชายสุดแสบ

    ลำดับตอนที่ #4 : Ep.3 อ๊ะ... เจอตัวแล้ว!!! (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 23 มิ.ย. 56


         Ep.3 อ๊ะ... เจอตัวแล้ว!!!


         [ เฮ้อ~* ]


         เสียงทอดถอนใจของร่างบางดังขึ้นเมื่อคนที่เธอตามหาไม่อยู่ ณ ที่ประจำที่เธอเคยพบเมื่อครั้งก่อน ทำให้หญิงสาวตัวเล็กในชุดสีน้ำเงินต้องทอดถอนใจครั้งแล้วครั้งเล่าอยุ่เช่นนี้

         "หายไปไหนของเค้ากันนะ คุณนอยเนี่ย..."

         'ช่วงหัวเจ้าหมอนั่นเถอะน่าเนโร ยังไงเราก็แอบลอบเข้าไปในเส้นทางเดิมแล้วตามหาปิ่นปักผมของคุณแม่กันเองก็ได้'

         "ไม่ได้หรอกจ้ะลูซ... เธอคิดว่าเจ้าชายฟาวน์จะปล่อยให้เราบุกเข้าไปตามทางเดิมได้ง่ายๆเหรอ? ป่านนี้เขาคงส่งคนไปเฝ้าหรือปิดทางลับที่เราลอบเข้าไปแล้วกระมัง"

         'อึก... เรื่องแบบนี้ไม่ลองก็ไม่รู้หรอกน่า!!!'


         น้ำเสียงแหลมเล็กตวาดกลับออกมาจากบานกระจกโดยไม่มีผู้ใดได้ยิน นอกจากหญิงสาวที่มีใบหน้าเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยนแต่บรยากาศรอบกายเธอกลับดูนิ่งสงบต่างกับอีกฝ่ายที่แลดูร้อนแรงราวกับทั้งคู่เป็นคนละด้านของกันและกัน

         "ชั้นเองก็อยากได้ปิ่นปักผมของคุณแม่คืนนะ แต่ว่าถ้าเราถูกจับได้มันจะแย่กว่าเดิมนะ... อย่าลืมสิว่าเรายังต้องหาสมบัติในตำนานอีกตั้ง 6 ชิ้นนะ"

         "แล้วเธอจะปล่อยให้ปิ่นปักผมของคุณแม่ไปอยู่ในมือใครก็ไม่รู้งั้นเหรอ!?! ดีไม่ดีอาจจะมีทหารสักคนเก้บมันไปแล้วก็ส่งต่อให้ภรรยาของนายทหารคนนั้น หรือถูกเอาไปขายทอดตลาดแล้วก็ได้!!!"

         "อึก... ฮึก..."

         "ง่ะ... ร้องไห้เลยเหรอเนโร ตายแล้วชั้นขอโทษ~!!!"


         ฝาแฝดผู้อ่อนโยนเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นขณะที่แฝดอีกคนหนึ่งพยายามส่งเสียงปลอบจากในกระจก ทว่าไม่ว่าจะปลอบอย่างไรคนตัวเล็กก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดร้องเลยแม้แต่น้อย ทำให้คนในกระจกรู้สึกร้อนใจจนนั่งไม่ติด

         เธอรู้ดีว่าหากปล่อยให้เวลาผ่านเลยไปแล้วละก็ปื่นปักผมอันนั้นก็อาจจะสูญหายไปได้ แต่ความห่วงที่มีต่อลูซนั้นมีมากกว่า การที่เธอจะปล่อยให้อีกฝ่ายบุกกลับเข้าไปในปราสาทเพื่อตามหาปิ่นปักผมนั้นถือเป็นเรื่องที่อันตรายเกินไป แม้ว่าเธอจะอยากได้ปิ่นอันนั้นคืนมากก็ตาม

         "กระซิกๆ..."

         "พรืดดด~*"

         "... เอ๋?"


         เสียงหายใจหนักๆทำให้หญิงสาวค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา และถูกภาพของจมูกโตๆทำให้หน้าหวานชะงักค้างและลืมร้องไห้ไปเสียสนิท

         [ แผลบๆๆ / อ๊าย~!!! ]


         จู่ๆเจ้าของจมูกอันใหญ่โตนั้นก็เลียหน้าของเธอแถมยังจงใจเลียพวงแก้มที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาของเธอราวกับจะช่วยเช็ด ทำให้หญิงสาวลืมร้องไห้และหัวเราะไปกับความรู้สึกจั้กจี้นั้น

         "คิกๆๆ พอแล้วจ้ะพอแล้ว ชั้นหยุดร้องไห้แล้วละ"

         "ฮี้~*"


         ฟังจากเสียงร้องแล้วร่างดังกล่าวคงเป้นม้าที่เดินผ่านมา ซึ่งก็จริงดังว่าเมื่อม้าแสนงามตรงหน้าก้าวถอยหลังกลับไปหลังจากเลิกเลียหน้าของเธอ ทำให้เนโรได้มีโอกาสเห็นเจ้าม้าแสนงามอย่างถนัดตา

         'ม้าของใครเนี่ย?'

         "ไม่รู้สิจ้ะ แต่ดูจากลัหษณะท่าทางแล้วคงเป้นม้าพันธ์ดีขแงใครสักคนนะ ดูสิบนหลังมันมีอานด้วยละ"

         'แต่ชั้นว่าเจ้าของมันคงชีกอชอบกล... สอนม้ายังไงจู่ๆให้มาเลียหน้าผู้หญิงกันแบบนี้น่ะ'

         "คิกๆ ชั้นว่ามันตั้งใจจะเข้ามาปลอบชั้นมากกว่านะ ดูสิพอชั้นหยุดร้องปุ้มมันก็ยอมถอยออกไปดีๆนี่นา"

         'แต่ชั้นว่าเจ้าของมันต้องชีกอแน่ๆ...'


         ลูซยังคงดึงกันที่จะยัดเยียดความเป้นชีกอให้กับม้าแสนงามตรงหน้า โดยไม่รู้ตัวเลยว่าเจ้าของม้าตัวดังกล่ากำลังนั่งจามอย่างหนักหลังจากโดนนินทาใส่ ขณะที่เนโรหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาเจ้าของม้าตัวนี้ แต่ไม่ว่าจะมองสักเท่าไหร่ก็ไม่มีวี่แววของคนที่น่าจะเป้นเจ้าของมันได้ กลับมีสายตาของกุ๊ยข้างถนนที่เหล่เธอกลับมาอย่างคุกคาม และแววตาของพ่อค้าบางคนที่คิดจะเข้ามาจับเจ้าม้าตัวนี้ไปขายเท่านั้นเอง

         "ลูซจ้ะ ชั้นว่าชั้นน่าจะตามหาเจ้าของๆม้าตัวนี้ก่อนดีกว่า รู้สึกแถวนี้มีคนอยากจะจับมันไปขายยังไงชอบกล"

         'ห้ะ? แล้วเรื่องตามหานอยล่ะ ถ้าเราหาหมอนั่นไม่เจอเราก็กลับเข้าไปในปราสาทไม่ได้หรอกนะ'

         "ยังไงตอนนี้คุณนอยก็ไม่อยู่ที่ร้านนี่คะ งั้นเรามาเดินหาเจ้าของให้ม้าตัวนี้ก่อนเถอะนะ ถือเป้นการตอบแทนที่เขามาช่วยปลอบชั้นเมื่อตะกี้นี้"

         'ตามใจเธอละกัน แต่เกิดอะไรขึ้นชั้นไม่... อะ... ว้าย~!!!'

         [ แผล่บๆๆ... ]
         [ อุ๊... คิกๆๆ ]


         ลูซต้องหยุดคำพูดของเธอเอาไว้เพียงเท่านั้นเมื่อม้าตรงหน้าเริ่มเลียบานกระจกที่เธอใช้พูดคุยกับลูซ ทำให้บานกระจกเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำลายจนมองอะไรไม่เห็น ขณะที่เนโรลอบหัวเราะออกมาเบาๆ หลังจากได้เห็นฝาแฝดของตนหลุดเก๊ก ซึ่งนานๆครั้งจะมีให้เห็นสักทีหนึ่ง



    .....


         [ แซ่กๆๆๆ ]


         เสียงพุ่มไม้ถูกแหวกออกดังขึ้นเป้นระยะๆ เมื่อร่างสูงใหญ่ของบิลคอยเดินแหวกทางให้กับวิโอล่า สาวงามที่เขาบังเอญเจอกลางป่าให้อย่างแคล่วคล้องแม้กลางหลังของเขาจะแบกสัมภาระขนาดใหญ่เอาำไว้ก็ตามที

         "แหม~... บิลนี่เป็นที่พึ่งพาได้จริงๆเลยนะจ้ะ ทั้งๆที่เพิ่งจะเจอกันครั้งแรกก็ช่วยชั้นเอาไว้จากพวกโจร แล้วตอนนี้ยังจะช่วยพาชั้นที่หลงทางไปส่งที่เมืองอีก แบบนี้สาวๆคงติดเธอกันเยอะเลยใช่มั้ย?"

         "ฮะๆๆ ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอกครับ ด้วยงานที่ผมทำอยู่น่ะมันยากมากที่จะได้พบกับสาวๆ แถมต่อใหได้เจอกันจริงผมก็ไม่มีสิทธิไปทำความรู้จักกับพวกเธอหรอกครับ"

         "เห... งานองครักษ์เองก็ใช่ว่าดีนะเนี่ย"

         "แถมผมยังเป็นองครักษ์ที่ไม่ได้ความที่ปล่อยให้คนที่ตัวเองต้องดูแลหนีไปได้อีกต่างหาก... โอ๊ก~!!!"

         "เอ้า ลงไปทำอะไรบนพื้นนั่นละจ้ะบิล?"


         วิโอล่าเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงหลังจากได้เห็นบิลลงไปคุกเข่ากับพื้นพลางส่งเสียงกระซิกเบาๆอีกต่างหาก... ใครจะไปนึกละว่าผู้ชายตัวโตๆแบบิลเองก้ร้องไห้เป็น

         "เอาน่าๆ~... พี่เชื่อว่าเธอต้องได้พบคนที่เธอกำลังตามหาแน่ๆจ้ะบิล อยู่ยอมแพ้นะสู้ๆ"

         "ฮึก แง้~!!!"

         "ว้าย..."


         จู่ๆบิลก็โผเข้ากอดวิโอล่าเอาไว้แถมร้องไห้ฟูมฟายซบอกของเธออีกต่างหาก ซึ่งในตอนแรกเองหญิงสาวแสดงท่าทีตกอกตกใจออกมาบ้างเล้กน้อย ทว่าหลังจากตั้งสติได้แล้วเธอก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจอะไรแถมยังกอดบิลตอบพร้อมลูบหลังอีกฝ่ายเบาๆให้จนกระทั่งบิลหยุดร้องไห้อีกต่างหาก

         "แหม... โตๆกันขนาดนี้แล้วยังร้องไห้เป็นเด็กๆแบบนี้อีกเหรอจ้ะบิล?"

         "ฮึกๆ... โตอะไรกันครับผมยังเด็กอยู่เลย... ผมเพิ่งผ่านวันเกิดอายุ 13 ปีมาเมื่อเดือนที่แล้วเองนะ"

         "... หา?"


         คำตอบของบิลทำเอาวิโอล่าขมวดคิ้วเป็นปม เพราะคำตอบที่ได้รับนั้นเล่นเอาเธอชะงักค้างไปหลายวิเลยทีเดียว

         "ล้อพี่เล่นใช่มั้ยจ้ะบิล? เด็กอายุ 13 ตัวโตแบบเธอมีที่ไหนกัย"

         "อึก... แง้ๆๆๆ~!!!"

         "อ้าว ร้องไห้อีกแล้ว..."


         หลังจากเสียเวลาปลอบอีกครู่ใหญ่ บิลจึงอธิบายทั้งน้ำตาว่าเขานั้นเป็นลูกครึ่งยักษ์ที่เกิดจากพ่อที่เป้นยักษ์และแม่มนุษย์ ซึ่งหลังจากคลอดบิลได้ไม่นานแม่ของเขาก็เสียชีวิต ขณะที่พ่อของเขานั้นหายสาปสูญไปหลังจากถูกไล่ล่า ทำให้บิลมีชีวิตวัยเด็กที่ขมขื่นมาก เนื่องจากเด็กในวัยเดียวกันต่างก็หวาดกลัวเขา แถมบรรดาผู้ใหญ่เองก็พลอยขับไล่ไสส่ง ทำให้บิลต้องเข้าไปใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวภายในป่า

         จนกระทั่งฟาวน์ในสมัยเด็กที่หนีออกจากวังไปพบเขาเข้าและเอ่ยปากชวนเขาเป้นเพื่อน ทำให้เขารู้สึกดีใจมากและตามฟาวน์เข้ามาในวัง จนกระทั่งถูกแต่งตั้งให้เป็นองครักษ์คนสนิทด้วยความช่วยเหลือขององค์ราชินี ทำให้เขาเทิดทูนและบูชาฟาวน์กับองค์ราชินีมาก และเรื่องที่ฟาวน์หนีออกจากวังไปนั้นถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตที่เขาจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นเป็นอันขาด!!!

         "ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องพาฟาวน์กลับไปที่วังให้ได้... เพื่อไม่ให้ฟาวน์ทำตัวเหลวไหลไปมากกว่านี้ และเพื่อสนองความคาดหวังของนายหญิงด้วย!!!"

         "อืม~... มีความมุ่งมั่นแบบนั้นละดีแล้วจ้ะ"


         บิลเลือกที่จะปิดฐานะว่าเขาเป้นองครักษ์ขององค์ชายและปั้นเรื่องว่าหาวน์เป็นลูกของขุนนางตระกูลใหญ่แทน ซึ่งวิโอล่าเองก็ไม่ได้ตั้งแง่สงสัยอะแร่ กลับชื่นชมบิลที่ขยันขันแข็งเกินอายุอีกต่างหาก

         "... ขอบคุณมากครับพี่วิโอล่า ผมรู้สึกดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ"

         "จ้า~* เห็นเธอดีขึ้นพี่ก็ดีใจแล้วละ"


         บิลกล่าวขอบคุณหญิงสาวพลางหันไปเตรียมเดินทางต่อโดยมีวิโอล่าเดินตามหลังทางเดิม ซึ่งระหว่างทางเองบิลก็ชวนอีกฝ่ายคุยไปด้วยเพื่อไม่ให้หญิงสาวรู้สึกเบื่อ

         "ว่าแต่พี่วิโอล่าเป็นคนจากที่ไหนเหรอครับ? แล้วทำไมพี่ถึงออกเดินทางตามลำพังแบบนี้ด้วย ผมว่ามันอันตรายออกนะครั้บสำหรับผู้หญิงที่เดินทางคนเดียวเนี่ย"

         "อืม พี่มาจากทางตะวันตกจ้ะ... อิสเซลิท (Isceleet) อาณาจักรเหมันต์นิรันดร์ ส่วนสาเหตุที่ออกเดินทางก็คง อืม... บอกว่าออกตามหาหัวใจก็คงไม่ผิดนักนะจ้ะ เพราะพี่โดนหักอกมาน่ะ"

         "หักอก... เหรอครับ?"

         "จ้ะ พี่โดนผู้ชายหักอกมา"


         อาณาจักรอิสเซลีทเป้นอาณาจักรใหญ่ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกถัดจากอาณาจักรของพวกเขาไป ทั่วทั้งอาณาจักรถูกปกคลุมด้วยหิมะตลอดทั้งปีมันจึงถูกเรียกขานว่าอาณาจักรเหมันต์นิรันดร์ตรงตามตัวของมัน ทว่าบิลไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนั้น เนื่องจากความสนใจของเขามุ่งเป้าไปที่เหตุผลที่เธอออกเดินทางมากกว่า

         "ใครกันนะช่างกล้าหักอกสาวสวยๆแบบพี่วิโอล่าได้... ทั้งที่พี่ออแกจะยังสาว สวย แถมใจดีออกขนาดนี้"

         "เรื่องสวยแถมยังใจดีนี่พี่ไม่เถียงหรอกจ้ะ แต่จะเรียกว่าสาวก็คงไม่ได้เพราะปีนี่พี่อายุ 31 เข้าไปแล้วละจ้ะ..."

         [ พรืด... โครม!!! ]
         [ อ้าวๆ~? ]



         คำตอบของวิโอล่าทำเอาบิลที่กำลังแหวกทางลงเนินให้หญิงสาวถึงกับลื่นล้ม เพราะคาดคะแนจากสายตาแล้วอย่างมากวิโอล่าก็น่าจะมีอายะราวๆกลางเลข 2 (ราวๆ 23-27 ปี) ใครจะไปนึกละว่าอีกฝ่ายจะมีอายุเลยเลข 3 ไปแล้วแบบนี้น่ะ!!!

         "ล้อผมเล่นรึเปล่าครับพี่วิโอล่า?"

         "แหม~... เด็กอายุ 13 ตัวโตแบบเธอยังมี แล้วทำไมสาวอายุ 31 แต่ยังสวยแบบพี่จะมีไม่ได้ละจ้ะ?"

         "เอ่อ... นั่นสินะครับ"


         บิลไม่ได้เอ่ยถามอะไรมากไปกว่านั้นจนกระทั่งถนนที่เชื่อมกับเส้นทางหลักปรากฏสู่สายตาของคนทั้งคู่ พร้อมภาพของตัวเมืองที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลเท่าไรนัก

         'เฮ้อ... เพราะออกเดินทางตามหานายแท้ๆชั้นถึงได้พบกับพี่วิโอล่า... อยากอยู่กับพี่เขาให้นานกว่านี้จัง แต่ตามหานายก็เป้นเรื่องที่จำเป็น แล้วแบบนี้ชั้นควรจะทำยังไงดีล่ะฟาวน์?'


    .....


         [ ฮัดเช้ยๆๆ~!!! ]

         "ไหวมั้ยเนี่ยฟาวน์?"

         "ไม่เป็นไรครับ... สงสัยเมื่อคืนคงตากน้ำค้างมากไปหน่อย ผมไม่เคยนอนกลางป่าแบบนี้สงสัยร่างกายยังปรับตัวไม่ทันน่ะครับ"

         "อ่าฮะ ถ้าไม่ไหวก็บอกนะเดี๋ยวชั้นจะพาไปหาหมอ"

         "แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอกครับ... ว่าแต่ไหนล่ะร้านก๋วยเตี๋ยวที่คุณบอก ผมไม่เคยกินก๋วยเตี๋ยวมาก่อนเลย ชักอยากกินเร็วๆแล้วสิ"

         "ได้เลยๆ~!!! เดี๋ยวเลี้ยวแยกหน้าไปก็ถึงร้านแล้วละ"


         ฟาวน์ที่ามไม่หยุดมาพักใหญ่ๆเนื่องจากถูกนินทาจากลูซและบิลโดยไม่รู้ตัวอยุ่หลายชุด ทว่าเจ้าตัวแสบก็ไมไ่ด้ใส่ใจมากเนื่องจากสิ่งเดียวที่ทำให้เขาสนใจในตอนนี้ก็คืออาหารที่เนีกว่าบะหมี่ที่นอยเล่าให้เขาฟังเมื่อตะกี้นี้ ทำให้เขาอยากจะลองว่าไอ้อาหารเส้นในน้ำซุปที่อีกฝ่ายว่านั้นมีรสชาติเป็นยังไงกันแ่น?

         [ กึกๆๆ... โครม!!! ]
         [ อว๋า~? / ว้าย!!! ]



         ฟาวน์ที่รีบร้อนเดินชนเข้ากับร่างเล้กของใครบางคน ทำให้เจ้าของเสียงล้มลงไปกองอยู่บนตัวพื้นขณะที่ฟาวน์เซไปมาเล็กน้อยเท่านั้น

         "อูย... เจ็บจังเลย"

         "ขอโทษครับเป้นอะไรรึเปล่า? เอ๋... เนโร?"

         "เอ๊ะ?"


         ร่างบางที่ล้มลงไปบนตัวพื้นได้แต่ลูบก้นตัวเองป้อยๆพลางเงยหน้าขึ้นมองฟาวน์ซึ่งเรียกชื่อเธอออกมาทั้งๆที่ทั้งคู่ไม่เคยพบกันมาก่อน

         "เฮ้ฟาวน์ เป็นอะไรรึเปล่า?"

         "ฟาวน์เหรอ... หรือว่าคุณ!!!"


         เรโรเบิกตากว้างด้วยความตื่นตะลึงหลังจากได้ยินเสียกเรียกชื่ออีกฝ่าย เพราะคนตรงหน้านี้คือเจ้าชายที่ฝาแฝดของเธอพบในคืนก่อน... แถมคนที่เรีกชื่อของอีกฝ่ายกลับเป้นคนที่เธอตามหาอยู่เสียด้วย

         "อ้าว... เนโรเองหรอกเหรอ? ว่าแต่ทั้งคู่รู้จักกันมาก่อนเหรอเนี่ย?"

         "อ๋อเปล่าครับ... ผมไม่เคยพบกับเธอมาก่อนหรอก"

         "งั้นเหรอ"


         บัดนี้คิ้วบางของเนโรกำลังขมดมุ่น เนื่องจากชายที่ช่วยให้เธอลอบเ้าไปในปราสาทได้เมื่อครั้งก่อนกลับมาเดินอยู่กับชายที่เธออยากจะเจอน้อยที่สุด แถมสิ่งที่เธอไม่เข้าใจเลยก็คืออีกฝ่ายรู้ชื่อของเธอได้ยังไงกัน!?!

         ขณะที่นอยเองก็พลอยมีสีหน้าปั้นยากไปด้วย เนื่องจากตนเพิ่งจะแนะนำเส้นทางเข้าปราสาทให้กับลูซและเนโรไปเมื่อวันก่อน แล้วฟาวน์ก็ออกจากวังมาเพื่อตามหัวขโมยคนนั้น หากจะลองนึกตามดีๆแล้วละก็เพื่อนสาวตัวเล้กตรงหน้าเขาคงไม่แคล้วเป็นขโมยคนที่ว่าเป็นแน่ แต่ฟาวน์รู้ความลับของลูซและเนโรมาก่อนงั้นเหรอ?

         [ ฟรืดดด~!!! ]

         "อ๊ะ... ฟิลลิป!!!"


         เจ้ามาตัวโตส่งเสียงร้องเตือนฟาวน์ที่เมินตนเองและให้ความสนใจแต่กับหญิงสาวบนตัวพื้น... ไม่ใช่ว่าเจ้าชายตัวป่วนตรงหน้าลืมไปแล้วหรอกนะว่าตัวเองทิ้งตนไว้กลางตลาดน่ะ!!!

         "โอ๋ๆๆ~* ชั้นขอโทษที่ลืมนาบเอาไว้กลางตลาดก็แล้วกันนะ... อะไรนะ? ให้เลี้ยงแครอทเป็นการขอโทษเหรอ!!! เห็นแก่กินจริงเลยนะนายเนี่ย..."

         "...นี่คุณคุยกับม้ารู้เรื่องด้วยเหรอคะ?"

         "ฮะๆๆ ต้องบอกว่าผมเข้าใจความรู้สึกของเขามากกว่าคุยรู้เรื่องนะครับ... อ๊า อย่าเลียน่าฟิลลิป มันจั๊กจี้นะ"


         เนโรเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยท่าทีสนอกสนใจ เมื่อเห้นว่าเจ้าม้าแสนงามนี้เข้าไปคลอเคลียแถมโต้ตอบกับฟาวน์อย่างรู้ใจ ราวกับทั้งคู่สื่อสารกัยรู้เรื่อง ซึ่งฟาวน์เองก็ตอบรับหญิงสาวด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

         "อ๊ะ... เจอตัวแล้ว!!!"

         "เอ๋?"


         เสียงร้องตะโกนดังมาจากอีกฟากหนึ่งของถนน เมื่อร่างสูงใหญ่ของใครบางคนและน้ำเสียงที่คุ้นหูดีดึงดูดสายตาของฟาวน์ให้หันกลับไปมองได้อย่างชะงัดนัก

         "ฟาวน์~!!! ในที่สุดก็หาตัวนายเจอจนได้"


         "อ๊ะ แย่ละ..."


         ร่างของบิลปรากฏตัวขึ้นพร้อมกระเป่าสัมภาระที่ดึงดูดสายตาของผู้คน รวมไปถึงหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่กำลังกอดแขนบิลเอาไว้อย่างสนิทสนมอีกด้วย

         "ฟาวน์เอ้ย... ดูท่าการเดินทางของนายคงจบลงที่นี่ซะแล้วละ"

         "....."


         นอยส่งเสียงทักพลางสะกิดฟาวน์เบาๆเป็นการเรียกสติ หากแต่เจ้าชายตัวแสบกลับโบกไม้โบกมือให้กับบิลด้วยท่าทีดีใจแบบสุดๆพลางตะโกนตอบกลับไปว่า

         "มาพอดีเลยครับบิล ผมว่าจะแวะทานบะหมี่ข้างทางซะหน่อย จะมาทานด้วยกันมั้ยครับ?"

         "นี่นายยังมีหน้ามาชวนชั้นกินบะหมี่อีกเร้อ~!!!"

         "แต่แหม~... พี่เองก็ชักหิวนะจ้ะบิล แวะกินบะหมี่กันก่อนสักนิดก็ได้มั้ง"

         "... ปะฟาวน์ กินบะหมี่กัน"


         บิลที่ส่งเสียงตะโกนอย่างเหลืออดในตอนแรกเปลี่ยนท่าทีไปโดยสิ้นเชิงเมื่อหญิงสาวข้างกายเขาบ่นว่าหิว ทำให้ฟาวน์ บิล วิโอล่า นอย และเนโรเข้าไปนั่งในร่านบะหมี่ด้วยกัน เมื่อเจ้าตัวแสบออกแรงดันทุกคนเข้าไปในร้านโดยไม่ฟังเสียงทัดทานของเนโรที่อยากจะหนีไปจากตรงนี้เต็มแก่แล้ว


    -----

    [ โปรดติดตามตอนต่อไป ]

     
    -----

     
         ทำไมพลอตเรื่องมันมาออกแต่ของฝั่งนี้ แต่พลอตของ BTO มันเขียนไม่ออกว้า...
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×