ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Ep.2 ผมไม่ใช่เจ้าชายหรอกครับ (100%)
Ep.2 ผมไม่ใช่เจ้าชายหรอกครับ
[ แซ่ดๆๆๆ... ฮะๆๆๆ!!! ]
[ กุบกับๆ ]
ม้าหนุ่มรูปงามก้าวเดินไปตามท้องถนนซึ่งเป้นจุดสนใจของบรรดาพ่อค้าแม่ขายและผุ้คนตามท้องตลาดอย่างมาก เนื่องจากผุ้ที่กำลังขี่อาชาแสนงามตัวนี้คือบุรุษหน้าตาหมดจดที่ดึงดูดสายตาของผู้คนไม่แพ้กัน
ใบหน้าเนียนไร้ราคี นัยน์ตาสีน้ำตาลกลมโตฉายแววระริกราวกับไม่เคยเห็นตลาดมาก่อนในชีวิต ชุดคลุมสีน้ำตาลไม่อาจบดบังชุดผ้าฝ้ายที่ตัดเย็บอย่างดี ดาบเรเปีย (Rapier) เล่มงามซึ่งฝังเพชรตระการตาถูกห้อยเอาไว้ข้างเอว เมื่อรวมกับผิวพรรณที่หมดจดบนเรือนร่างงามนั้นแล้ว คงไม่มีใครคิดว่าบุรุษผู้นี้คือสามัญชนธรรมดาๆอย่างแน่นอน
เนื่องจากฟาวน์ไม่เคยเปิดเผยตัวต่อหน้าสาธารณะชนมาก่อน เนื่องจากผุ้เป็นบิดาค่อนข้างเข้มงวดกับการอบรมและจัดวิชาเรียนให้โดยมิขาด สหายที่คบหากันก็ต้องเป็นเหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ที่ตัดสรรมาอย่างดี ทำให้ฟาวน์ไม่เคยได้ออกไปจากปราสาทมาก่อน
ดังนั้นฟาวน์จึงไม่รู้ว่าชุดที่ตนใส่อยู่ในตอนนี้มันเด่นสะดุดตาผู้คนขนาดไหน ทว่าความตื่นเต้นที่ได้อยู่ท่ามกลางฝูงชนได้บดบังความจริงในข้อนี้ไปจากความคิดของเขาจนมิดเสียแล้ว
"ว้าว ผลไม้นี่น่าทานจังเลยท่านป้า มันเรียกว่าอะไรรึ?"
[ ฮึบ... / ตุบ!!! ]
[ พรืดด... ]
ร่างสูงกระโดดลงจากหลังอาชาคู่ใจ ที่ส่งเสียงครืดคราดเบาๆหลังจากได้เห็นผลไม้สีแดงสดที่ส่งกลิ่นหอมยั่วใจมันยิ่งนัก แม่ค้าร่างท้วมที่อยู่หลังแผลขายจึงรีบกุลีกุจอวิ่งออกมาหน้าร้านของตนและแนะนำสินค้าบนแผลในทันที
"โอ้ สิ่งนี้เรียกว่าแอปเปิ้ลเจ้าค่ะ เป็นผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวหาน บนแผงนี้เพิ่งเด็กมาจากสวนสดๆเมื่อเช้า กรอบ อร่อย แถมสดใหม่จากต้นแน่นอนจ้ะ"
"อ๋อ นี่คือแอปเปิ้ลนั่นเหรอ? ปกติมีแต่คนปอกใส่จานมาให้เรียบร้อยเลย สภาพก่อนปอกเป็นแบบนี้เองสินะ..."
"สนใจลองทานสักลูกมั้ยล่ะเจ้าคะ?"
"อื้ม!!! งั้นเราขอลูกนึง"
เมื่อได้รัยคำตอบ แม่ค้าร่างท้วมจึงไม่รอช้ารีบหยิบผลไม้สีสดยื่นให้กับชายหนุ่มซึ่งรับมันไปเพ่งพินิจอย่างสนอกสนใจอยู่ครู่ใหญ่ จนกระทั่งชายหนุ่มลองกัดผลไม้ลูกนั้นเข้าไป
[ กร้วม ]
"... อร่อยจัง!!! แบบไม่ปอกนี่ก็ปร่อยไปอีกแบบนะเนี่ย"
"โฮะๆๆๆ แน่นอนอยู่แล้วละจ้ะ ผลไม้ที่ผ่านการปอกหรือจะสุ้ผลไม้สดๆได้"
แม่ค้าวัยกลางคนหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจเมื่อชายหนุ่มรับประทานผลไม้ของตนอย่างเอร็ดอร่อย ขณะที่ผู้คนโดยรอบเริ่มหยุดเดินและหันมาจ้องมองภาพเหล่านั้นด้วยความสนอกสนใจ จนกระทั่งอาชาข้างกายของฟาวน์ส่งเสียงครืดคราดและเอาจมูกมาดุนแก้มของชายหนุ่มราวกับจะเรียกความสนใจจากอีกฝ่าย
[ พรืด พรืด~* ]
"หืม? นายอยากกินด้วยเหรอ"
"ฮี้~*"
เจ้าม้าส่งเสียงร้องรับอย่างรู้งาน ทำให้ฟาวน์หยิบแอปเผปิ้ลลูกใหม่ป้อนให้กับมันซึ่งอ้าปากกันผลแอปเปิ้ลอย่างเอร็ดอร่อย ขณะที่ชายหนุ่มเองก็กัดผลไม้ในมือตนเช้นกัน ซึ่งภาพที่ชายหนุ่มกับอาชาคู่ใจต่างทานผลไม้ด้วยกันนั้นทำให้ผู้คนตามท้องตลาดลอบยิ้มออกมากับภาพอันงดงามนั้นไม่ได้
"อา ผมว่าฟิลลิปน่าจะอิ่มแล้วล่ะ คิดราคาทั้งหมดเท่าไรห่ครับ?"
"เอ่อ... ขอคิดสักแปบนะจ้ะ"
ฟาวน์เอ่ยถามราคาเมื่อม้าคู่ใจของเขาเลิกเอาจมูกมาดุนเพื่อขอแอปเปิ้ลเพิ่ม ซึ่งแม่ค้าร่างท้วมใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่จนกระทั่งตกลงราคากันได้ในที่สุึด
"ราคาทั้งหมดคิดเป็น 300 บรีซ (Breeze) จ้ะพ่อหนุ่มน้อย"
".....!!!"
เหล่าแม่ค้าในแผงโดยรอบต่างเบิกตาด้วยความคื่นตะลึง เพราะราคาของแอป้ปิ้ลเหล่านั้นต่อให้กินจนหมดแผงก็ไม่น่าจะเกิน 200 บรีซ แต่ฟาวน์และม้าของเขากินไปไม่ถึง 1 ใน 4 ของแผงเสียด้วยซ้ำ แล้วราคาที่ว่ามานั่นมันอะไรกัน!?!
"อืม... รอเดี๋ยวก่อนนะครับ"
"จ้า~"
แม่ค้าหน้าเลือดเอ่ยรับอย่างเบิกบานที่เด็กหนุ่มตรงหน้าทำท่าจะตกหลุมพรางของเธอเข้าอย่างจัง และด้วยเส้นสายที่ค่อนข้างใหญ่ในแผงตลาดนี้ทำให้บรรดาพ่อค้าแม่ค้าตามแผงอื่นๆไม่กล้าสอดปากขึ้นมา... จนกระทั่งวินาทีที่ฟาวน์หยิบถุงเงินขึ้นมานั้นเองที่ร่างของใครบางคนเบียดเข้ามาหาร่าวของชายหนุ่มเสียก่อน
[ ปั่บ!!! ]
[ ... เอ๋? ]
ถุงผ้าสีหม่นที่ฟาวน์ใช้เก็บเงินถูกบุรุษแปลกหน้าฉกไปจากมือ ก่อนที่ร่างในชุดคลุมสีดำจะเดินแทรกฝูงชนออกไปท่ามกลางเสียงร้องโวยวายของแม่ค้าเจ้าของแผงแอปเปิ้ลนั้น
"ตายแล้ว ขโมยยย~!!! พ่อหนุ่มรีบตามไปเร็ว เจ้าหมอนั่นมันขโมยเงินของเธอไปแล้วนะ"
"อ๋อ... นี่สินะเรียกว่าการขโมย เจอกับตัวแล้วรุ้สึกแปลกๆแฮะ"
"เอ้า ยังจะยืนงงอีกเดี๋ยวก็ตามมันไม่ทันหรอก!!!"
"อ้อนั่นสินะครับ ไปกันเถอะฟิลลิป!!!"
[ ควับ... กึก!!!]
[ ย่าห์~!!! / ฮี้~!!! ]
ส่งเสียงร้องและกระตุกบังเหียนเพียงครั้งเดียว อาชาคู่ใจก็เริ่มห้อตะบึงฝ่าฝูงชนไปอย่างทุลักทุเล เพราะผู้คนต่างเบียดเสียดตามท้องถนนเต็มไปหมด จนฟาวน์ต้องดึงบังเหียนเพื่อหยุดม้าและตบคอของมันเบาๆเป้นเชิงให้สงบ
"รอชั้นอยู่นี่ก่อนนะฟิลลิป เดี๋ยวชั้นกลับมา... นายค่อยๆเดินตามชั้นมาก็แล้วกันนะ"
"พรืดดด..."
เจ้าม้าส่ายหัวไปมาอย่างขัดใจแต่ก็ยิมยืนนิ่งๆอย่างว่าง่าย ทำให้ฟาวน์สามารถกระโดดจากหลังของมันขึ้นไปบนแผงลอยในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งสะดวกแก่การมองหาอีกฝ่ายมากกว่าบนท้องถนน ขณะที่อาชาคู่ใจค่อยๆเดินแหวกฝูงชนตามเจ้านายของตนไปทีหลัง
"... อยู่นั่นสินะ"
เรือนผมสีเงินของคนที่แย่งถุงเงินไปจากฟาวน์เดินแหวกฝูงชนไปอย่างร้อนรนอยู่เบื้องหน้า ทำให้ชายหนุ่มรีบเรียกใช้สายลมให้มารวมตัวกันอยู่ที่เท้าและออกแรงกระโจนไปในทันที
[ ตึก ตึก ตึก!!! ]
[ เฮ้ย!?! / ว้าย? / กรี้ด~!!! ]
เสียงกรีดร้องดังขึ้นเมื่อเท้าของฟาวน์กระทบกับหลังคาของแผงต่างๆ สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้คนและพ่อค้าตามแผงต่างๆ ซึ่งเจ้าของชุดคลุมด้านหน้าเองก็ดูเหมือนจะรับรู้ถึงความผิดปกตินี้ รอยยิ้มบางจึงค่อยๆปรากฏขึ้นบนริมฝีปากนั้น พร้อมกับร่างในชุดคลุมที่เลี้ยวเข้าตรอกข้างทางไปอย่างร้อนรน
"อ้ะ อย่าหนีนะ!!!"
ฟาวน์ไม่รอช้าและรีบกระโดดตามอีกฝ่ายเข้าไปในตรอกในทันที ทว่าสองเท้าของชายหนุ่มกลับต้องหยุดชะงักเมื่อร่างในชุดคลุมสีดำยืนกอดอกพิงกำแพงอยุ่ในตรอกนั้น พลางควงถึงเงินของเขาเอาไว้ในมือด้วยท่าทีสบายๆเสียอย่างนั้น
"เอ้า นี่เงินนาย..."
[ ฟิ้ว... หมับ!!! ]
ตัวถุงถูกโยนกลับมาอย่างว่าง่าย ขณะที่ฟาวน์จ้องมองอีกฝ่ายด้วยท่าทีงุนงงว่าถ้าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาจะขโมย แล้วเขาจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร?
"เจ้าของแผงนั่นต้องการจะโกงเงินนาย... ชั้นเลยต้องทำแบบนี้เพื่อไม่ให้นายเสียเงินโดยใช่เหตุน่ะ"
"แต่ยังไงการทำแบบนี้ก็ไม่ถูกนะครับ เพราะมันจะทำให้พ่อค้าแม่ค้ารู้สึกเสียขวัญได้"
"... ดูท่านายไม่แปลกใจเลยนะที่ชั้นบอกว่าแม่ค้าคนนั้นตั้งใจจะโกงนายน่ะ?"
ร่างในชุดคลุมเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ เมื่อสีหน้าของฟาวน์ฉายชัดว่าเขารู้อยู่ก่อนแล้วว่าแม่ค้าคนนั้นคิดเงินเกินราคา แต่เขาก็ยังเต็มใจควักเงินจ่ายให้กับอีกฝ่ายโดยไม่ทักท้วงซะอย่างนั้น
"ยังไงซะนั่นก็เป็นอาหารมือแรกที่ผมได้ทานหลังจากออกเดินทาง ดังนั้นผมเลยยินดีที่จะจ่ายเงินให้ แม้จะรู้ว่ามูลค่าของผลไม้เหล่านั้นไม่ถึงที่เธอเสนอมาครับ"
"....."
ร่างในชุดคลุมเลิกคิ้มขึ้นด้วยความประหลาดใจ พร้อมรอยยิ้มบางที่ผุดพรายขึ้นบนใบหน้าอย่างขบขัน
"นายนี่น่าสนใจจริงๆ ทั้งที่รู้ว่าโดนหลอกแต่นายก็ยังเต็มใจจะให้เขาหลอกอย่างงั้นเหรอ?"
"ผมไม่คิดว่าตัวเองโดนหลอกครับ แต่ผมเต็มใจให้เขาด้วยตนเอง"
"ฮะๆๆ... ฮ่าๆๆๆ!!! นายนี่น่าสนใจจริงๆด้วย"
ร่างในชุดคลุมค่อยๆขยับผ้าคลุมหัวออก เผยให้เห็นเรือนผมสีเงินและนัยน์ตาสีม่วงอ่อนที่ฉายแววระริกราวกับพบเรื่องสนุกก็ไม่ปาน ก่อนที่คนเบื้องหน้าจะเอ่ยทักทายพร้อมยื่นนมือให้ฟับฟาวน์อย่างเป็นมิตร
"ชื่อของชั้นคือ มานูอิด นอยเออร์ (Manuid Neuer) จะเรียก นอย ก็ได้นะชั้นไม่ถือ"
"ฟาลโก้ วิสเปอร์ ครับ... เรียกผมว่า ฟาวน์ ก็ได้ถ้าไม่รังเกียจ"
"วิสเปอร์? อย่าบอกนะว่านาย..."
แววตาของนอยฉายแววระริกยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ทราบชื่อของอีกฝ่าย เพราะสุกลวิสเปอร์นั้นทั่วทั้งอาณาจักรนี้ก็คงมีเพียงเชื้อประวงศ์ของผู้ครองอาณาจักร และด้วยอายุอานามของคนตรงหน้านี้แล้ว คงเป้นอื่นไปไม่ได้นอกจากรัชทายาทเพียงคนเดียวของราชาองค์ปัจจุบัน
'หึๆๆ... เรื่องนี้ชักจะสนุกขึ้นมาแล้วสิ' นอยครุ่นคิดอยู่ภายในใจขณะที่คนทั้งคู่จับมือเพื่อทักทายกันหลังจากแนะนำตัวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว...
[ แซ่กๆๆ... ]
[ ตุบ!!! ]
หลังจากเดินเข้าป่ามาได้ระยะหนึ่ง ในที่สุดความเหนื่อยล้าก็มีชัยเหนือความถึก เมื่อร่างของบิลทรุดกายลงนั่งอย่างหมดแรงพลางปลดเป้สัมภาระของตนลงไว้ข้างกาย โดยขนาดของเป้นั้นเมื่อวางเทียบกับบิลแล้วร่างขององครักษ์หนุ่มจึงดูเล็กไปถนัดตาแม้ว่าร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของเขาจะสูงถึง 190 Cm. ซึ่งนับได้ว่าสูงมากแล้วก็ตาม
"แฮ่กๆๆ... พอมานั่งดูแบบนี้แล้วก็น่าสงสัยอยู่นะว่าเราแบกไอ้กระเป๋านี่วิ่งมาได้ไงทั้งคืนเนี่ย?"
บิลเอ่ยถามกับตัวเองขณะที่สองมือของเขาคว้าถุงบรรจุน้ำขึ้นมาดื่มพลางนั่งพักด้วยความเหนื่อย... กระเป๋าเป้นี่ไม่ใช่ของที่เขาจัดเตรียมขึ้นมา แต่เป็นของที่องค์ราชาและราชินีสั่งให้ทหารหามาให้เขาและบรรจงคัดสรรของที่เขาต้องพกมาด้วยตัวพระองค์เอง ไม่ว่าจะเป็นที่นอน หมอน มุ้ง เสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัวต่างๆของเจ้าชาย อาหารแห้่ง อุปกรณ์ทำครัว ฟืน อุปกรณ์จุดไฟ และสารพัดสิ่งของที่นักเดินทางควรจะมี
ทว่าคนที่ต้องรับหน้าที่ยกของเหล่านี้กลับกลายเป็นบิลซะอย่างนั้น!!! เนื่องจากข่าวการหายตัวไปขององค์ชายไม่อาจแพร่งพรายออกไปให้สาธารณะชนทราบได้ ดังนั้นบิลจึงต้องออกเดินทางเพียงลำพัง แถมด้วยสัมภาระที่ดูเหมือนกับจะยัดบ้านใส่มาในกระเป๋าได้นั้นทำให้ไม่มีม้าตัวไหนยอมให้บิลเข้าใกล้แม้แต่ตัวเดียว
(ลองให้บิลขึ้นไปนั่งเกรงว่าม้าตัวนั้นคงสติไม่ดีหรือวอยหาที่ตายเป็นแน่แท้...)
ด้วยสาเหตุที่กล่าวมาข้างต้นรวมกับคำขู่เบาๆที่ราชินีกระซิบข้างหูของเขาทำให้บิลต้องออกแรงวิ่งทั้งที่มีสัมภาระเต็มอัตรามาตลอดทั้งคืน เนื่องจากคำขู่ขององค์ราชินีนั้นน่ากลัวเกินกว่าที่บิลจะยอมให้เกิดขึ้นได้
ทว่าแม้จะออกแรงวิ่งมาตลอดทั้งคืนแล้วแต่องครักษ์หนุ่มก็ยังไม่เห้นวี่แววของฟาวน์ เจ้าชายตัวแสบที่เป้นต้นเหตุให้เขาต้องออกเดินทางเลยแม้แต่น้อย
"โอย... เห็นสัมภาระแบบนี้แล้วชักอยากตามตัวฟาวน์กลับไปเร็วๆซะแล้วสิ... ฟาวน์โว้ยนายอยู่หนาย!!!"
[ ซ่าๆๆ... ]
เสียงใบไม้พลิ้วไหวยามต้องลมดังขึ้นราวกับจะตอบคำถามของบิล ทว่าองครักษ์หนุ่มที่ไม่มีความสามารถเหมือนกับฟาวน์จึงทำได้เพียงทรุดกายนั่งนิ่งๆเพื่อพักให้หายเหนื่อยและดื่มด่ำกับธรรมชาติรอบกายไปพลางๆ
จนกระทั่งเสียงพูดคุยเบาๆที่แววมาตามสายลมดึงความสนใจของบิลให้เงี่ยหูฟังประโยคเหล่านั้น...
"ฮี่ๆๆ~* ตกลงจะยอมไปกับพวกเราดีๆมั้ยพี่สาว?"
"แหม~... โดนชายหนุ่มตั้ง 5 คนล้อมแบบนี้ชั้นคงไม่มีสิทธิปฎิเสธไม่ใช่เหรอคะ"
"ใช่แล้ว ดังนั้นพี่สาวว่าง่ายๆแล้วตามพวกเรามาซะจะดีกว่านะ"
"แหมๆ~... พี่สาวชักกลัวแล้วละสิ ก็พวกเธอมีกันตั้ง 5 คนนี่นา..."
"ไม่ต้องห่วง พวกเราจะนุ่มนวลกับพี่สาวนะ ถ้าพี่สาวไม่ขัดขืนพวกเรามากจนเกินพอดีน่ะ"
ประโยคดังกล่าวช่วยกระตุ้นแรงฮึดที่ดับวูบของบิลได้อย่างชะงัด เมื่อร่างสูงทำการคลานต่ำ (?) ตามเสียงเหล่านั้นไปและค่อยๆแหวกพุ่มไม้ออกเพื่อแอบดูสถานการณ์ตรงหน้า ซึ่งชายกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมกรอบหญิงสาวหน้าตาสะสวยที่แต่งกายด้วยชุดกิโมโนของทางตะวันออก... เกรงว่าเธอจะเป็นนักท่องเที่ยวที่ผ่านทางมาเท่านั้น
ทว่าการแต่งกายของกลุ่มชายเหล่านั้นกลับดูมอซอและเปรอะเปื้อนแถมยังมีอาวุธจำพวกขวาน ดาบ และธนูประดับอยู่บนร่างของพวกนั้นอีกต่างหาก เมื่อรวมกับภูมิทัศน์ที่เป็นป่าด้วยแล้วเกรงว่าชายหลุ่มนี้จะเป้นโจรป่าที่อาศัยอยู่ในละแวกนี้
"แหม~... แบบนี้พี่สาวก็คงไม่มีทางเลือกนอกจากตามพวกเธอไปดีๆสินะจ้ะ"
"โอ้ พี่สาวคนนี้เข้าใจอะไรง่ายดีนี่นา"
"เอ... แต่ถ้าพี่สาวชอบความรุนแรงล่ะ พวกเธอจะช่วยสนองให้พี่สาวได้มั้ยจ้ะ?"
"... โชคดีแล้วเว้ยพวกเรา!!! พี่สาวคนนี้ชอบความรุนแรงว่ะ"
"เดี๋ยวพวกเราจะจัดให้พี่แบบถึงใจอย่างแน่นอน!!!"
บรรดาชายหนุ่มเริ่มย่างสุขุมเข้ามาหาหญิงสาวซึ่งก้าวถอยหลังไปจนชิดตัวต้นไม้ ซึ่งหลังจากหมดทางหนีเป้นที่เรียบร้อยแล้วหญิงสาวจึงเผยสีหน้าเป็นกังวลออกมาเมื่อตนไม่สามารถถ่วงเวลาต่อไปได้อีก แถมทางหนีของเธอก็ถูกปิดตายด้วยชายฉกรรจ์ถึง 5 นาย... ท่าทางงานนี้เธอคงไม่วายต้องเปลืองตัวฟรีเสียแล้ว
[ เปรี้ยง!!! / โครม~!!! ]
[ หา? / เฮ้ย!?! / อะไรวะ!!! ]
ทว่าจู่ๆเงาร่างสุงใหญ่ก็พุงออกมาจากพุ่มไม้พร้อมซักร่างของชายคนหนึ่งจนปลิวไปกระแทกกับตัวต้นไม้ ทำให้กลุ่มโจรที่เหลือซึ่งเห็นเงาร่างตรงหน้าต่างส่งเสียงครางออกมาด้วยความตกใจ
"มะ... หมี~!!!"
"เสียใจด้วย แต่ชั้นเป็นคนโว้ย!!!"
[ ผัวะ!!! / โอ๊ก~!!! ]
ชายอีกคนหนึ่งตกเป็นเหยื่อของกำปั้นขนาดยักษ์เมื่อบิลฉุนขาดที่โดนเข้าใจผิดว่าตนเป็นหมี... ถึงตัวเขาจะสูงใหญ่แบบนี้ก็ใช่ว่าเขาจะชอบให้คนมาว่าหรอกนะ!!!
"ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยพี่สาว?"
"เอ่อ... จ้ะ"
บิลรีบใช้ร่างของตนเป้นโล่และขยับร่างให้หญิงสาวหลบอยู่ข้างหลังตนพลางแสดงท่าทีคุกคามออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ทำให้กลุ่มโจรโดนรอบต่างขวัญเสียและรีบร้อนชักอาวุธออกมาเตรียมพร้อมโจมตี
"อย่ามายุ่งดีกว่าน่า พี่สาวคนนั้นเขาตกลงไปกับพวกเราแล้วนะโว้ยไอ้หมียักษ์"
"ถ้าพวกนายไม่ใช้คนจำนวนมากมาขู่ชั้นว่าเธอคงไม่อยากไปกับพวกพี่ชายหรอกว่ะ... แล้วอีกอย่าง... ชั้นเป้นคนโว้ยไม่ใช่หมี!!!"
"อย่าอยู่เลยโว้ยไอ้หมีหน้าคน!!!"
"ก็บอกแล้วว่าตูเป็นคน~!!!"
บรรดาโจรป่าต่างกระโจนเข้าหาบิลพลางตวัดด้ามขวานและดาบเข้าใส่ ทว่าบิลกลับยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นและกางแขนของตนออกเล็กน้อย... จนกระทั่งใบดาบและคมขวานเข้าถึงระยะโจมตีนั้นแหละที่บิลตวัดแขนทั้งสองของตนด้วยความเร็วสูง!!!
[ เปรี้ยงๆ!!! / กร๊อบ... ]
[ ฮะ... เฮ้ย? ]
ทั้งใบดาบและคมขวานต่างหักสะบั้นเมื่อบิลตวัดมือเข้าใส่อาวุธทั้งสองในอาศาที่พอเหมาะด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล ส่งผลให้อาวุธทั้งสองถูกทำลายลงในชั่วพริบตา ทว่าชายอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้ร่วมโจมตีด้วยรีบฉวยโอกาสที่บิลเปิดช่องว่างพุ่งเข้าหาองครักษ์หนุ่มจากด้านข้างในทันที
"ตายซะเถอะ ไอ้มนุษย์หมี!!!"
"แย่แล้ว!!!"
คมดาบพุ่งเข้าหาสีข้างของบิล ขณะที่ชายหนุ่มพยายามบิดตัวกลับมาเพื่อรับการโจมตีนั้น ทว่าร่างในชุดขาวเคลื่อนกายเข้ามาขวางคมดาบเอาไว้ท่ามกลางสีหน้าตื่นตะลึงของทุกๆคนในบริเวณดังกล่าว
"เฮ้ย หลบไป!!! / พี่สาว!!!"
"....."
หญิงสาวขยับร่างเข้ามาขวางคมดาบและบิลเอาไว้ จนโจรป่าที่พุ่งเข้ามาเผลอชะงักเท้า ทำให้เธอเผยรอยยิ้มบางๆออกมาพลางก้าวเท้าเข้าหาอีกฝ่ายในจังหวะเดียวกัน
[ วูบ... กึก... โครม!!! ]
[ ...เอ๋? / หา? / เฮ้ย??? ]
ใบดาบเฉียดผ่านร่างของหญิงสาวไปเมื่อเธอบิดตัวผ่านคมดาบเข้าไป ขณะเดียวกันเท้าของเธอก็ก้าวเข้าไปขัดขาของอีกฝ่าย พร้อข้อมือที่ซัดตรงเข้าใส่ปลายคางอย่างแม่นยำ ส่งผลให้ร่างขอโจรป่ารายนั่นร่วงลงไปกองอยู่บนตัวพื้น ท่ามกลางอาการตื่นตะลึงของบิลที่เห็นเหตุการณ์เหล่านั้นทั้งหมด
การเคลื่อนไหวของเธอไม่อาจเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ แต่กลับแฝงเอาไวด้วยความอ่อนช้อยและหนักแน่นซึ่งคงความงดงามเอาไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์
"เห็นแก่พ่อหนุ่มน้อยคนนี้ที่เข้ามาช่วย พี่สาวจะยอมปล่อยพวกเธอไป... แต่ถ้าพวกเธอคิดจะลงมือต่อแล้วละก็"
"เพ้ออะไรของหล่อนวะ? พวกเราลุยโว้ย!!!"
"... ยังมีพวกเหลืออยู่อีกเหรอครับ?"
น้ำเสียงของบิลที่ซัดโจรป่าอีกคนหนึ่งจนหมอบคามือเอ่ยถามกับโจรคนสุดท้าย ที่เหลืออยู่เพียงลำพัง ทำให้ใบหน้านั้นแสดงความตื่นตระหนกออกมาพร้อมประโยคประจำของตัวร้ายที่ถูกใช้กันมาอย่างเนิ่นนาน...
"ฝะ... ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ!!!"
[ ฟ้าววว~!!! ]
[ ..... ]
ร่างสูงของบิลมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายไปจนลับสายตา ก่อนที่เขาจะหันกลับมาเพื่อเตรียมเก็บกวาดซากของกลุ่มโจรที่เหลือ ทว่าบนพื้นกลับปรากฏเพียงความว่างเปล่า เมื่อกลุ่มโจรบนตัวพื้นแอบคลานหนีไปเงียบๆโดยไม่มีใครรู้ตัวก่อนแล้ว
"บร้ะ... หนีไวดีแท้ไอ้พวกนี้"
"คิกๆๆ"
เสียงหัวเราะเบาๆของหญิงสาวทำให้ใบหน้าของบิลขึ้นสีจางๆ เมื่อคิดได้ว่าตนแสดงเรื่องที่ไม่สมควรให้อีกฝ่ายได้เห็น แต่เขากลับตกเป็นฝ่ายถูกช่วยเอาไว้เสียเอง ซึ่งนับเป็นเรื่องน่าอับอายในฐานะองครักษ์อย่างมาก
'เฮ้อ... ครั้งแรกก็ปล่อยให้ฟาวน์หนีไปได้ ครั้งนี้ก็ยังมาโดนพี่สาวคนนี้ช่วยเอาไว้อีก แบบนี้เราจะเป้นองครักษ์ที่ดีได้ยังไง?' บิลแอบครุ่นคิดอยู่ภายในใจพลางหันกลับมาพินิจหญิงสาวข้างกายที่กำลังยืนยิ้มให้กับเขาอย่างเป็นมิตรและจริงใจ
หญิงสาวมีส่วนสูงอยู่บริเวณระดับอกของเขาเท่านั้น น่าจะสูงไม่เกิน 165 Cm. ผิวขาวเนียนราวหิมะ สวมทับด้วยกิโมโนสีขาวซึ่งรับกับเรือนผมสีเดียวกันซึ่งซอยระลำคออย่างสวยงาม แววตาสีแดงทับทิมแลดูน่ากลัว ทว่าแววตาที่เธอเผยออกมานั้นช่างดูอ่อนโยนขัดกับสีที่เจิดจ้านั้นเสียจริง
ดูจากหน้าตาและท่าทางที่เธอแสดงออกแล้วช่างชวนให้ผู้คนโดยรอบเรียกเธอว่า 'พี่สาว' เสียจริง เพราะด้วยท่าทีและกริยาที่ดูอ่อนช้อยนั้นรวมกับใบหน้าที่ดูอ่อนโยนแล้วทำให้เธอดูเป็นสาวที่มีอายุแม้ว่าใบหน้าของเธอจะดูอ่อนเยาว์ก็ตามที
"ขอบใจเธอมากเลยนะที่เข้ามาช่วยเอาไว้ ไม่อย่างนั้นพวกนั้นคงลากพี่สาวไปทำมิดีมิร้ายเป็นแน่"
"ไม่เป็นไรครับ... ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณที่เข้ามาช่วยผมเอาไว้เมื่อครู่นี้"
"แหม~ นอกจากเป็นคนดีแล้วยังถ่อมตัวอีกด้วยนะเนี่ย"
"แหะๆๆ..."
คนตุวสูงลูบหัวตัวเองป้อยๆด้วยความเขิน เพราะน้อยครั้งนักที่เขาจะได้รับคำชมแบบนี้เนื่องจากปกติต้องคอยอยู่ข้างกายฟาวน์ตลอดเวลา ทำให้นี่เป้นคำชมแรกที่เขาได้รับในรอบหลายปีมานี้เลยทีเดียว
"เอ้อ เกือบลืมแนะนำตัวแน่ะ... ผมชื่อบิล บิ๊กกาย ครับ พี่สาวล่ะมีชื่อว่าอะไร?"
"หืม~? พี่สาวชื่อ วิโอล่า จ้ะ วิโอล่า ซิโฟร์ (Viola Scifo) ยินดีที่ได้รู้จักน้ะจ้ะบิล"
[ ง่ำ!!! กรุบๆๆๆ ]
"เห... งั้นนายก็คือเจ้าชายแห่งตระกูลวิสเปอร์ เจ้าผู้ครองประเทศนี้จริงๆสินะ?"
"ครับ แต่ผมเบื่อชีวิตในวังเลยอยากจะลองออกมาสัมผัสชีวิตในโลกภายนอกบ้างน่ะ ง่ำๆๆ ไอ้นี่อร่อยดีนะครับ"
หลังจากได้ทำความรู้จักกับนอยแล้วพูดคุยกัน อีกฝ่ายจึงยอมลอมเข้าไปจ่ายเงินค่าแอปเปิ้ลตามใจฟาวน์และกลับมาพาอีกฝ่ายเดินเที่ยวในตัวเมือง เนื่องจากเขาพักอาศัยอยู่ในเมืองนี้อยู่แล้วดังนั้นการพาเที่ยวในตัวเมืองจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรนัก จนกระทั่งเพื่อนใหม่ของเขารู้สึกเหนื่อย นอยจึงชวนอีกฝ่ายซื้ออะไรบางอย่างมานั่งกินกันข้างทางอย่างที่เห็นนี้
"ไอ่นี่เหรอ? เรียกว่าไก่ทอดไม่มีกระดูกไง... แจ้บๆๆ... ในวังไม่มีอะไรแบบนี้รึยังไง?์"
"ไม่หรอกครับ เพราะส่วนใหญ่อาหารในวังจะเป้นพวกอาหารที่ปรุงใส่จานมาแบบสวยงามซะมากกว่า ผมเพิ่งเคยจะได้กินอะไรแบบนี้เป้นครั้งแรกนี่ละ งั่มๆๆ... แถมในวังการพูดไปกินไปก็ทำไม่ได้ด้วยนะครับ มันเสียมารยาทน่ะ... ท่วาแม่ว่างั้น"
"... ในวังก็ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องดีสินะ? ฟังจากที่นายเล่ามาขืนให้ใช้ชีวิตแบบนายมีหวังชั้นได้เครียดตายกัยพอดี กรุบๆๆ..."
ฟาวน์เล่าถึงสาเหตุที่ตนหนีออกมาจากวังให้อีกฝ่ายฟังอย่างไม่ปิดบัง เพราะนอยนั้นแม้ภายนอกจะดูน่าสงสัย ทว่าสายลมที่พัดอยู่รอบๆร่างของเขานั้นดูซื่อตรงไม่เสแสร้ง ทำให้หาวน์กล้าเล่าเรื่องจริงให้อีกฝ่ายฟังโดยไม่มีการปิดบัง
ทางนอยเองก็แสดงจริงใจด้วยการพาฟาวน์เดินเที่ยวตามสถานที่ต่างๆในตัวเมืองและเล่าเรื่องราวเกียวกับโลกภายนอกให้อีกฝ่ายฟังอย่างไม่ปิดบังจนทั้งคู่สนิทกันอย่างรวดเร็ว
"หงุบๆๆ... เอื๊อก!!! เอาล่ะฟาวน์ จำเอาไว้อย่างนะว่านายไม่ควรเปิดเผยตนว่าเป็นเจ้าชาย"
"เอื๊อก!!! เอ๋ ทำไมละครับ?"
หลังจากกินชิ้นไก่กันจนหมดแล้วนอยจึงหันมาช่วยเตือนฟาวน์ให้ปิดบังสถานะของตนเอาไว้ ซึ่งพ่อตัวดีก็รีบกลืนไก่ในปากและหันไปถามอีกฝ่ายด้วนสีหน้าฉงนในทันที
"ก็นะ... ถ้านายเปิดเผยตัวว่าเป็นเจ้าชายละก็ประชาชนคงตามติดนายแจ... พ่อแม่นายก็คงตามตัวนายถูก และอีกไใ่นานนายก็คงโดนพากลับวังใช่มั้ยล่ะ? ถ้าปบบนั้นนายคงไม่ได้เดินทางตามที่นายต้องการแบ้วละ"
"อา... นั่นสินะครับ"
ประโยคของนอยทำให้ฟาวน์เข้าใจถึงเหตุผลของการปิดบังฐานะ ซึ่งในตอนนั้นเองที่เด็กสาวคนหนึ่งหันมาเห็นชุดและการแต่งกายของฟาวน์และฟรี่เข้ามาทักชายหนุ่มด้วยรอยยิ้ม
"นี่ๆ พี่ชายแต่งตัวแบบนี้พี่ชายเป้นเจ้าชายใช่รึเปล่าคะ?"
"....."
ประโยคของเธอทำให้ผู้คนโดยรอบรีบหันมามองฟาวน์ที่แต่งตัวเหมือนเจ้าชายด้วยความสงสัยแบบเดียวกัน จนนอยที่เห็นท่าทีตะลึงค้างของเพื่อนข้างกายต้องเอาข้อศอกกระทุ้งฟาวน์เพื่อเตือนสติ ทำให้ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มจริงใจตอบกลับไปพลางชูกล่องใส่ไก่ทอดในมือ
"ผมน่ะไม่ใช่เจ้าชายหรอกครับ เจ้าชายที่ไหนจะมานั่งกินไก่ทอดริมถนนแบบนี้ล่ะจริงมั้ย? ว่าแต่สนไก่ทอดสักชิ้นมั้ย?"
"เอาสิคะพี่ชายรูปหล่อ~♥"
แม้จะรู้สึกเสียดายที่ชายหนุ่มไม่ใช่เจ้าชาย แต่เด็กสาวก็เต็มใจรับชิ้นไก่จากมือของชายหนุ่ม ท่ามกลางรอยยิ้มของผู้คนโดยรอบที่กลับไปเดินซื้อของกันตามเดิม และรอยยิ้มของนอยที่พึงพอใจกับการแก้ตัวเฉพาะฟน้าของฟาวน์ ก่อนที่ตนจะหยิบชิ้นไก่ในมือขึ้นกินต่ออย่างสบายอารมณ์
[ โปรดติดตามตอนต่อไป ]
[ แซ่ดๆๆๆ... ฮะๆๆๆ!!! ]
[ กุบกับๆ ]
ม้าหนุ่มรูปงามก้าวเดินไปตามท้องถนนซึ่งเป้นจุดสนใจของบรรดาพ่อค้าแม่ขายและผุ้คนตามท้องตลาดอย่างมาก เนื่องจากผุ้ที่กำลังขี่อาชาแสนงามตัวนี้คือบุรุษหน้าตาหมดจดที่ดึงดูดสายตาของผู้คนไม่แพ้กัน
ใบหน้าเนียนไร้ราคี นัยน์ตาสีน้ำตาลกลมโตฉายแววระริกราวกับไม่เคยเห็นตลาดมาก่อนในชีวิต ชุดคลุมสีน้ำตาลไม่อาจบดบังชุดผ้าฝ้ายที่ตัดเย็บอย่างดี ดาบเรเปีย (Rapier) เล่มงามซึ่งฝังเพชรตระการตาถูกห้อยเอาไว้ข้างเอว เมื่อรวมกับผิวพรรณที่หมดจดบนเรือนร่างงามนั้นแล้ว คงไม่มีใครคิดว่าบุรุษผู้นี้คือสามัญชนธรรมดาๆอย่างแน่นอน
เนื่องจากฟาวน์ไม่เคยเปิดเผยตัวต่อหน้าสาธารณะชนมาก่อน เนื่องจากผุ้เป็นบิดาค่อนข้างเข้มงวดกับการอบรมและจัดวิชาเรียนให้โดยมิขาด สหายที่คบหากันก็ต้องเป็นเหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ที่ตัดสรรมาอย่างดี ทำให้ฟาวน์ไม่เคยได้ออกไปจากปราสาทมาก่อน
ดังนั้นฟาวน์จึงไม่รู้ว่าชุดที่ตนใส่อยู่ในตอนนี้มันเด่นสะดุดตาผู้คนขนาดไหน ทว่าความตื่นเต้นที่ได้อยู่ท่ามกลางฝูงชนได้บดบังความจริงในข้อนี้ไปจากความคิดของเขาจนมิดเสียแล้ว
"ว้าว ผลไม้นี่น่าทานจังเลยท่านป้า มันเรียกว่าอะไรรึ?"
[ ฮึบ... / ตุบ!!! ]
[ พรืดด... ]
ร่างสูงกระโดดลงจากหลังอาชาคู่ใจ ที่ส่งเสียงครืดคราดเบาๆหลังจากได้เห็นผลไม้สีแดงสดที่ส่งกลิ่นหอมยั่วใจมันยิ่งนัก แม่ค้าร่างท้วมที่อยู่หลังแผลขายจึงรีบกุลีกุจอวิ่งออกมาหน้าร้านของตนและแนะนำสินค้าบนแผลในทันที
"โอ้ สิ่งนี้เรียกว่าแอปเปิ้ลเจ้าค่ะ เป็นผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวหาน บนแผงนี้เพิ่งเด็กมาจากสวนสดๆเมื่อเช้า กรอบ อร่อย แถมสดใหม่จากต้นแน่นอนจ้ะ"
"อ๋อ นี่คือแอปเปิ้ลนั่นเหรอ? ปกติมีแต่คนปอกใส่จานมาให้เรียบร้อยเลย สภาพก่อนปอกเป็นแบบนี้เองสินะ..."
"สนใจลองทานสักลูกมั้ยล่ะเจ้าคะ?"
"อื้ม!!! งั้นเราขอลูกนึง"
เมื่อได้รัยคำตอบ แม่ค้าร่างท้วมจึงไม่รอช้ารีบหยิบผลไม้สีสดยื่นให้กับชายหนุ่มซึ่งรับมันไปเพ่งพินิจอย่างสนอกสนใจอยู่ครู่ใหญ่ จนกระทั่งชายหนุ่มลองกัดผลไม้ลูกนั้นเข้าไป
[ กร้วม ]
"... อร่อยจัง!!! แบบไม่ปอกนี่ก็ปร่อยไปอีกแบบนะเนี่ย"
"โฮะๆๆๆ แน่นอนอยู่แล้วละจ้ะ ผลไม้ที่ผ่านการปอกหรือจะสุ้ผลไม้สดๆได้"
แม่ค้าวัยกลางคนหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจเมื่อชายหนุ่มรับประทานผลไม้ของตนอย่างเอร็ดอร่อย ขณะที่ผู้คนโดยรอบเริ่มหยุดเดินและหันมาจ้องมองภาพเหล่านั้นด้วยความสนอกสนใจ จนกระทั่งอาชาข้างกายของฟาวน์ส่งเสียงครืดคราดและเอาจมูกมาดุนแก้มของชายหนุ่มราวกับจะเรียกความสนใจจากอีกฝ่าย
[ พรืด พรืด~* ]
"หืม? นายอยากกินด้วยเหรอ"
"ฮี้~*"
เจ้าม้าส่งเสียงร้องรับอย่างรู้งาน ทำให้ฟาวน์หยิบแอปเผปิ้ลลูกใหม่ป้อนให้กับมันซึ่งอ้าปากกันผลแอปเปิ้ลอย่างเอร็ดอร่อย ขณะที่ชายหนุ่มเองก็กัดผลไม้ในมือตนเช้นกัน ซึ่งภาพที่ชายหนุ่มกับอาชาคู่ใจต่างทานผลไม้ด้วยกันนั้นทำให้ผู้คนตามท้องตลาดลอบยิ้มออกมากับภาพอันงดงามนั้นไม่ได้
"อา ผมว่าฟิลลิปน่าจะอิ่มแล้วล่ะ คิดราคาทั้งหมดเท่าไรห่ครับ?"
"เอ่อ... ขอคิดสักแปบนะจ้ะ"
ฟาวน์เอ่ยถามราคาเมื่อม้าคู่ใจของเขาเลิกเอาจมูกมาดุนเพื่อขอแอปเปิ้ลเพิ่ม ซึ่งแม่ค้าร่างท้วมใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่จนกระทั่งตกลงราคากันได้ในที่สุึด
"ราคาทั้งหมดคิดเป็น 300 บรีซ (Breeze) จ้ะพ่อหนุ่มน้อย"
".....!!!"
เหล่าแม่ค้าในแผงโดยรอบต่างเบิกตาด้วยความคื่นตะลึง เพราะราคาของแอป้ปิ้ลเหล่านั้นต่อให้กินจนหมดแผงก็ไม่น่าจะเกิน 200 บรีซ แต่ฟาวน์และม้าของเขากินไปไม่ถึง 1 ใน 4 ของแผงเสียด้วยซ้ำ แล้วราคาที่ว่ามานั่นมันอะไรกัน!?!
"อืม... รอเดี๋ยวก่อนนะครับ"
"จ้า~"
แม่ค้าหน้าเลือดเอ่ยรับอย่างเบิกบานที่เด็กหนุ่มตรงหน้าทำท่าจะตกหลุมพรางของเธอเข้าอย่างจัง และด้วยเส้นสายที่ค่อนข้างใหญ่ในแผงตลาดนี้ทำให้บรรดาพ่อค้าแม่ค้าตามแผงอื่นๆไม่กล้าสอดปากขึ้นมา... จนกระทั่งวินาทีที่ฟาวน์หยิบถุงเงินขึ้นมานั้นเองที่ร่างของใครบางคนเบียดเข้ามาหาร่าวของชายหนุ่มเสียก่อน
[ ปั่บ!!! ]
[ ... เอ๋? ]
ถุงผ้าสีหม่นที่ฟาวน์ใช้เก็บเงินถูกบุรุษแปลกหน้าฉกไปจากมือ ก่อนที่ร่างในชุดคลุมสีดำจะเดินแทรกฝูงชนออกไปท่ามกลางเสียงร้องโวยวายของแม่ค้าเจ้าของแผงแอปเปิ้ลนั้น
"ตายแล้ว ขโมยยย~!!! พ่อหนุ่มรีบตามไปเร็ว เจ้าหมอนั่นมันขโมยเงินของเธอไปแล้วนะ"
"อ๋อ... นี่สินะเรียกว่าการขโมย เจอกับตัวแล้วรุ้สึกแปลกๆแฮะ"
"เอ้า ยังจะยืนงงอีกเดี๋ยวก็ตามมันไม่ทันหรอก!!!"
"อ้อนั่นสินะครับ ไปกันเถอะฟิลลิป!!!"
[ ควับ... กึก!!!]
[ ย่าห์~!!! / ฮี้~!!! ]
ส่งเสียงร้องและกระตุกบังเหียนเพียงครั้งเดียว อาชาคู่ใจก็เริ่มห้อตะบึงฝ่าฝูงชนไปอย่างทุลักทุเล เพราะผู้คนต่างเบียดเสียดตามท้องถนนเต็มไปหมด จนฟาวน์ต้องดึงบังเหียนเพื่อหยุดม้าและตบคอของมันเบาๆเป้นเชิงให้สงบ
"รอชั้นอยู่นี่ก่อนนะฟิลลิป เดี๋ยวชั้นกลับมา... นายค่อยๆเดินตามชั้นมาก็แล้วกันนะ"
"พรืดดด..."
เจ้าม้าส่ายหัวไปมาอย่างขัดใจแต่ก็ยิมยืนนิ่งๆอย่างว่าง่าย ทำให้ฟาวน์สามารถกระโดดจากหลังของมันขึ้นไปบนแผงลอยในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งสะดวกแก่การมองหาอีกฝ่ายมากกว่าบนท้องถนน ขณะที่อาชาคู่ใจค่อยๆเดินแหวกฝูงชนตามเจ้านายของตนไปทีหลัง
"... อยู่นั่นสินะ"
เรือนผมสีเงินของคนที่แย่งถุงเงินไปจากฟาวน์เดินแหวกฝูงชนไปอย่างร้อนรนอยู่เบื้องหน้า ทำให้ชายหนุ่มรีบเรียกใช้สายลมให้มารวมตัวกันอยู่ที่เท้าและออกแรงกระโจนไปในทันที
[ ตึก ตึก ตึก!!! ]
[ เฮ้ย!?! / ว้าย? / กรี้ด~!!! ]
เสียงกรีดร้องดังขึ้นเมื่อเท้าของฟาวน์กระทบกับหลังคาของแผงต่างๆ สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้คนและพ่อค้าตามแผงต่างๆ ซึ่งเจ้าของชุดคลุมด้านหน้าเองก็ดูเหมือนจะรับรู้ถึงความผิดปกตินี้ รอยยิ้มบางจึงค่อยๆปรากฏขึ้นบนริมฝีปากนั้น พร้อมกับร่างในชุดคลุมที่เลี้ยวเข้าตรอกข้างทางไปอย่างร้อนรน
"อ้ะ อย่าหนีนะ!!!"
ฟาวน์ไม่รอช้าและรีบกระโดดตามอีกฝ่ายเข้าไปในตรอกในทันที ทว่าสองเท้าของชายหนุ่มกลับต้องหยุดชะงักเมื่อร่างในชุดคลุมสีดำยืนกอดอกพิงกำแพงอยุ่ในตรอกนั้น พลางควงถึงเงินของเขาเอาไว้ในมือด้วยท่าทีสบายๆเสียอย่างนั้น
"เอ้า นี่เงินนาย..."
[ ฟิ้ว... หมับ!!! ]
ตัวถุงถูกโยนกลับมาอย่างว่าง่าย ขณะที่ฟาวน์จ้องมองอีกฝ่ายด้วยท่าทีงุนงงว่าถ้าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาจะขโมย แล้วเขาจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร?
"เจ้าของแผงนั่นต้องการจะโกงเงินนาย... ชั้นเลยต้องทำแบบนี้เพื่อไม่ให้นายเสียเงินโดยใช่เหตุน่ะ"
"แต่ยังไงการทำแบบนี้ก็ไม่ถูกนะครับ เพราะมันจะทำให้พ่อค้าแม่ค้ารู้สึกเสียขวัญได้"
"... ดูท่านายไม่แปลกใจเลยนะที่ชั้นบอกว่าแม่ค้าคนนั้นตั้งใจจะโกงนายน่ะ?"
ร่างในชุดคลุมเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ เมื่อสีหน้าของฟาวน์ฉายชัดว่าเขารู้อยู่ก่อนแล้วว่าแม่ค้าคนนั้นคิดเงินเกินราคา แต่เขาก็ยังเต็มใจควักเงินจ่ายให้กับอีกฝ่ายโดยไม่ทักท้วงซะอย่างนั้น
"ยังไงซะนั่นก็เป็นอาหารมือแรกที่ผมได้ทานหลังจากออกเดินทาง ดังนั้นผมเลยยินดีที่จะจ่ายเงินให้ แม้จะรู้ว่ามูลค่าของผลไม้เหล่านั้นไม่ถึงที่เธอเสนอมาครับ"
"....."
ร่างในชุดคลุมเลิกคิ้มขึ้นด้วยความประหลาดใจ พร้อมรอยยิ้มบางที่ผุดพรายขึ้นบนใบหน้าอย่างขบขัน
"นายนี่น่าสนใจจริงๆ ทั้งที่รู้ว่าโดนหลอกแต่นายก็ยังเต็มใจจะให้เขาหลอกอย่างงั้นเหรอ?"
"ผมไม่คิดว่าตัวเองโดนหลอกครับ แต่ผมเต็มใจให้เขาด้วยตนเอง"
"ฮะๆๆ... ฮ่าๆๆๆ!!! นายนี่น่าสนใจจริงๆด้วย"
ร่างในชุดคลุมค่อยๆขยับผ้าคลุมหัวออก เผยให้เห็นเรือนผมสีเงินและนัยน์ตาสีม่วงอ่อนที่ฉายแววระริกราวกับพบเรื่องสนุกก็ไม่ปาน ก่อนที่คนเบื้องหน้าจะเอ่ยทักทายพร้อมยื่นนมือให้ฟับฟาวน์อย่างเป็นมิตร
"ชื่อของชั้นคือ มานูอิด นอยเออร์ (Manuid Neuer) จะเรียก นอย ก็ได้นะชั้นไม่ถือ"
"ฟาลโก้ วิสเปอร์ ครับ... เรียกผมว่า ฟาวน์ ก็ได้ถ้าไม่รังเกียจ"
"วิสเปอร์? อย่าบอกนะว่านาย..."
แววตาของนอยฉายแววระริกยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ทราบชื่อของอีกฝ่าย เพราะสุกลวิสเปอร์นั้นทั่วทั้งอาณาจักรนี้ก็คงมีเพียงเชื้อประวงศ์ของผู้ครองอาณาจักร และด้วยอายุอานามของคนตรงหน้านี้แล้ว คงเป้นอื่นไปไม่ได้นอกจากรัชทายาทเพียงคนเดียวของราชาองค์ปัจจุบัน
'หึๆๆ... เรื่องนี้ชักจะสนุกขึ้นมาแล้วสิ' นอยครุ่นคิดอยู่ภายในใจขณะที่คนทั้งคู่จับมือเพื่อทักทายกันหลังจากแนะนำตัวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว...
.....
[ แซ่กๆๆ... ]
[ ตุบ!!! ]
หลังจากเดินเข้าป่ามาได้ระยะหนึ่ง ในที่สุดความเหนื่อยล้าก็มีชัยเหนือความถึก เมื่อร่างของบิลทรุดกายลงนั่งอย่างหมดแรงพลางปลดเป้สัมภาระของตนลงไว้ข้างกาย โดยขนาดของเป้นั้นเมื่อวางเทียบกับบิลแล้วร่างขององครักษ์หนุ่มจึงดูเล็กไปถนัดตาแม้ว่าร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของเขาจะสูงถึง 190 Cm. ซึ่งนับได้ว่าสูงมากแล้วก็ตาม
"แฮ่กๆๆ... พอมานั่งดูแบบนี้แล้วก็น่าสงสัยอยู่นะว่าเราแบกไอ้กระเป๋านี่วิ่งมาได้ไงทั้งคืนเนี่ย?"
บิลเอ่ยถามกับตัวเองขณะที่สองมือของเขาคว้าถุงบรรจุน้ำขึ้นมาดื่มพลางนั่งพักด้วยความเหนื่อย... กระเป๋าเป้นี่ไม่ใช่ของที่เขาจัดเตรียมขึ้นมา แต่เป็นของที่องค์ราชาและราชินีสั่งให้ทหารหามาให้เขาและบรรจงคัดสรรของที่เขาต้องพกมาด้วยตัวพระองค์เอง ไม่ว่าจะเป็นที่นอน หมอน มุ้ง เสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัวต่างๆของเจ้าชาย อาหารแห้่ง อุปกรณ์ทำครัว ฟืน อุปกรณ์จุดไฟ และสารพัดสิ่งของที่นักเดินทางควรจะมี
ทว่าคนที่ต้องรับหน้าที่ยกของเหล่านี้กลับกลายเป็นบิลซะอย่างนั้น!!! เนื่องจากข่าวการหายตัวไปขององค์ชายไม่อาจแพร่งพรายออกไปให้สาธารณะชนทราบได้ ดังนั้นบิลจึงต้องออกเดินทางเพียงลำพัง แถมด้วยสัมภาระที่ดูเหมือนกับจะยัดบ้านใส่มาในกระเป๋าได้นั้นทำให้ไม่มีม้าตัวไหนยอมให้บิลเข้าใกล้แม้แต่ตัวเดียว
(ลองให้บิลขึ้นไปนั่งเกรงว่าม้าตัวนั้นคงสติไม่ดีหรือวอยหาที่ตายเป็นแน่แท้...)
ด้วยสาเหตุที่กล่าวมาข้างต้นรวมกับคำขู่เบาๆที่ราชินีกระซิบข้างหูของเขาทำให้บิลต้องออกแรงวิ่งทั้งที่มีสัมภาระเต็มอัตรามาตลอดทั้งคืน เนื่องจากคำขู่ขององค์ราชินีนั้นน่ากลัวเกินกว่าที่บิลจะยอมให้เกิดขึ้นได้
ทว่าแม้จะออกแรงวิ่งมาตลอดทั้งคืนแล้วแต่องครักษ์หนุ่มก็ยังไม่เห้นวี่แววของฟาวน์ เจ้าชายตัวแสบที่เป้นต้นเหตุให้เขาต้องออกเดินทางเลยแม้แต่น้อย
"โอย... เห็นสัมภาระแบบนี้แล้วชักอยากตามตัวฟาวน์กลับไปเร็วๆซะแล้วสิ... ฟาวน์โว้ยนายอยู่หนาย!!!"
[ ซ่าๆๆ... ]
เสียงใบไม้พลิ้วไหวยามต้องลมดังขึ้นราวกับจะตอบคำถามของบิล ทว่าองครักษ์หนุ่มที่ไม่มีความสามารถเหมือนกับฟาวน์จึงทำได้เพียงทรุดกายนั่งนิ่งๆเพื่อพักให้หายเหนื่อยและดื่มด่ำกับธรรมชาติรอบกายไปพลางๆ
จนกระทั่งเสียงพูดคุยเบาๆที่แววมาตามสายลมดึงความสนใจของบิลให้เงี่ยหูฟังประโยคเหล่านั้น...
"ฮี่ๆๆ~* ตกลงจะยอมไปกับพวกเราดีๆมั้ยพี่สาว?"
"แหม~... โดนชายหนุ่มตั้ง 5 คนล้อมแบบนี้ชั้นคงไม่มีสิทธิปฎิเสธไม่ใช่เหรอคะ"
"ใช่แล้ว ดังนั้นพี่สาวว่าง่ายๆแล้วตามพวกเรามาซะจะดีกว่านะ"
"แหมๆ~... พี่สาวชักกลัวแล้วละสิ ก็พวกเธอมีกันตั้ง 5 คนนี่นา..."
"ไม่ต้องห่วง พวกเราจะนุ่มนวลกับพี่สาวนะ ถ้าพี่สาวไม่ขัดขืนพวกเรามากจนเกินพอดีน่ะ"
ประโยคดังกล่าวช่วยกระตุ้นแรงฮึดที่ดับวูบของบิลได้อย่างชะงัด เมื่อร่างสูงทำการคลานต่ำ (?) ตามเสียงเหล่านั้นไปและค่อยๆแหวกพุ่มไม้ออกเพื่อแอบดูสถานการณ์ตรงหน้า ซึ่งชายกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมกรอบหญิงสาวหน้าตาสะสวยที่แต่งกายด้วยชุดกิโมโนของทางตะวันออก... เกรงว่าเธอจะเป็นนักท่องเที่ยวที่ผ่านทางมาเท่านั้น
ทว่าการแต่งกายของกลุ่มชายเหล่านั้นกลับดูมอซอและเปรอะเปื้อนแถมยังมีอาวุธจำพวกขวาน ดาบ และธนูประดับอยู่บนร่างของพวกนั้นอีกต่างหาก เมื่อรวมกับภูมิทัศน์ที่เป็นป่าด้วยแล้วเกรงว่าชายหลุ่มนี้จะเป้นโจรป่าที่อาศัยอยู่ในละแวกนี้
"แหม~... แบบนี้พี่สาวก็คงไม่มีทางเลือกนอกจากตามพวกเธอไปดีๆสินะจ้ะ"
"โอ้ พี่สาวคนนี้เข้าใจอะไรง่ายดีนี่นา"
"เอ... แต่ถ้าพี่สาวชอบความรุนแรงล่ะ พวกเธอจะช่วยสนองให้พี่สาวได้มั้ยจ้ะ?"
"... โชคดีแล้วเว้ยพวกเรา!!! พี่สาวคนนี้ชอบความรุนแรงว่ะ"
"เดี๋ยวพวกเราจะจัดให้พี่แบบถึงใจอย่างแน่นอน!!!"
บรรดาชายหนุ่มเริ่มย่างสุขุมเข้ามาหาหญิงสาวซึ่งก้าวถอยหลังไปจนชิดตัวต้นไม้ ซึ่งหลังจากหมดทางหนีเป้นที่เรียบร้อยแล้วหญิงสาวจึงเผยสีหน้าเป็นกังวลออกมาเมื่อตนไม่สามารถถ่วงเวลาต่อไปได้อีก แถมทางหนีของเธอก็ถูกปิดตายด้วยชายฉกรรจ์ถึง 5 นาย... ท่าทางงานนี้เธอคงไม่วายต้องเปลืองตัวฟรีเสียแล้ว
[ เปรี้ยง!!! / โครม~!!! ]
[ หา? / เฮ้ย!?! / อะไรวะ!!! ]
ทว่าจู่ๆเงาร่างสุงใหญ่ก็พุงออกมาจากพุ่มไม้พร้อมซักร่างของชายคนหนึ่งจนปลิวไปกระแทกกับตัวต้นไม้ ทำให้กลุ่มโจรที่เหลือซึ่งเห็นเงาร่างตรงหน้าต่างส่งเสียงครางออกมาด้วยความตกใจ
"มะ... หมี~!!!"
"เสียใจด้วย แต่ชั้นเป็นคนโว้ย!!!"
[ ผัวะ!!! / โอ๊ก~!!! ]
ชายอีกคนหนึ่งตกเป็นเหยื่อของกำปั้นขนาดยักษ์เมื่อบิลฉุนขาดที่โดนเข้าใจผิดว่าตนเป็นหมี... ถึงตัวเขาจะสูงใหญ่แบบนี้ก็ใช่ว่าเขาจะชอบให้คนมาว่าหรอกนะ!!!
"ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยพี่สาว?"
"เอ่อ... จ้ะ"
บิลรีบใช้ร่างของตนเป้นโล่และขยับร่างให้หญิงสาวหลบอยู่ข้างหลังตนพลางแสดงท่าทีคุกคามออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ทำให้กลุ่มโจรโดนรอบต่างขวัญเสียและรีบร้อนชักอาวุธออกมาเตรียมพร้อมโจมตี
"อย่ามายุ่งดีกว่าน่า พี่สาวคนนั้นเขาตกลงไปกับพวกเราแล้วนะโว้ยไอ้หมียักษ์"
"ถ้าพวกนายไม่ใช้คนจำนวนมากมาขู่ชั้นว่าเธอคงไม่อยากไปกับพวกพี่ชายหรอกว่ะ... แล้วอีกอย่าง... ชั้นเป้นคนโว้ยไม่ใช่หมี!!!"
"อย่าอยู่เลยโว้ยไอ้หมีหน้าคน!!!"
"ก็บอกแล้วว่าตูเป็นคน~!!!"
บรรดาโจรป่าต่างกระโจนเข้าหาบิลพลางตวัดด้ามขวานและดาบเข้าใส่ ทว่าบิลกลับยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นและกางแขนของตนออกเล็กน้อย... จนกระทั่งใบดาบและคมขวานเข้าถึงระยะโจมตีนั้นแหละที่บิลตวัดแขนทั้งสองของตนด้วยความเร็วสูง!!!
[ เปรี้ยงๆ!!! / กร๊อบ... ]
[ ฮะ... เฮ้ย? ]
ทั้งใบดาบและคมขวานต่างหักสะบั้นเมื่อบิลตวัดมือเข้าใส่อาวุธทั้งสองในอาศาที่พอเหมาะด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล ส่งผลให้อาวุธทั้งสองถูกทำลายลงในชั่วพริบตา ทว่าชายอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้ร่วมโจมตีด้วยรีบฉวยโอกาสที่บิลเปิดช่องว่างพุ่งเข้าหาองครักษ์หนุ่มจากด้านข้างในทันที
"ตายซะเถอะ ไอ้มนุษย์หมี!!!"
"แย่แล้ว!!!"
คมดาบพุ่งเข้าหาสีข้างของบิล ขณะที่ชายหนุ่มพยายามบิดตัวกลับมาเพื่อรับการโจมตีนั้น ทว่าร่างในชุดขาวเคลื่อนกายเข้ามาขวางคมดาบเอาไว้ท่ามกลางสีหน้าตื่นตะลึงของทุกๆคนในบริเวณดังกล่าว
"เฮ้ย หลบไป!!! / พี่สาว!!!"
"....."
หญิงสาวขยับร่างเข้ามาขวางคมดาบและบิลเอาไว้ จนโจรป่าที่พุ่งเข้ามาเผลอชะงักเท้า ทำให้เธอเผยรอยยิ้มบางๆออกมาพลางก้าวเท้าเข้าหาอีกฝ่ายในจังหวะเดียวกัน
[ วูบ... กึก... โครม!!! ]
[ ...เอ๋? / หา? / เฮ้ย??? ]
ใบดาบเฉียดผ่านร่างของหญิงสาวไปเมื่อเธอบิดตัวผ่านคมดาบเข้าไป ขณะเดียวกันเท้าของเธอก็ก้าวเข้าไปขัดขาของอีกฝ่าย พร้อข้อมือที่ซัดตรงเข้าใส่ปลายคางอย่างแม่นยำ ส่งผลให้ร่างขอโจรป่ารายนั่นร่วงลงไปกองอยู่บนตัวพื้น ท่ามกลางอาการตื่นตะลึงของบิลที่เห็นเหตุการณ์เหล่านั้นทั้งหมด
การเคลื่อนไหวของเธอไม่อาจเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ แต่กลับแฝงเอาไวด้วยความอ่อนช้อยและหนักแน่นซึ่งคงความงดงามเอาไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์
"เห็นแก่พ่อหนุ่มน้อยคนนี้ที่เข้ามาช่วย พี่สาวจะยอมปล่อยพวกเธอไป... แต่ถ้าพวกเธอคิดจะลงมือต่อแล้วละก็"
"เพ้ออะไรของหล่อนวะ? พวกเราลุยโว้ย!!!"
"... ยังมีพวกเหลืออยู่อีกเหรอครับ?"
น้ำเสียงของบิลที่ซัดโจรป่าอีกคนหนึ่งจนหมอบคามือเอ่ยถามกับโจรคนสุดท้าย ที่เหลืออยู่เพียงลำพัง ทำให้ใบหน้านั้นแสดงความตื่นตระหนกออกมาพร้อมประโยคประจำของตัวร้ายที่ถูกใช้กันมาอย่างเนิ่นนาน...
"ฝะ... ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ!!!"
[ ฟ้าววว~!!! ]
[ ..... ]
ร่างสูงของบิลมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายไปจนลับสายตา ก่อนที่เขาจะหันกลับมาเพื่อเตรียมเก็บกวาดซากของกลุ่มโจรที่เหลือ ทว่าบนพื้นกลับปรากฏเพียงความว่างเปล่า เมื่อกลุ่มโจรบนตัวพื้นแอบคลานหนีไปเงียบๆโดยไม่มีใครรู้ตัวก่อนแล้ว
"บร้ะ... หนีไวดีแท้ไอ้พวกนี้"
"คิกๆๆ"
เสียงหัวเราะเบาๆของหญิงสาวทำให้ใบหน้าของบิลขึ้นสีจางๆ เมื่อคิดได้ว่าตนแสดงเรื่องที่ไม่สมควรให้อีกฝ่ายได้เห็น แต่เขากลับตกเป็นฝ่ายถูกช่วยเอาไว้เสียเอง ซึ่งนับเป็นเรื่องน่าอับอายในฐานะองครักษ์อย่างมาก
'เฮ้อ... ครั้งแรกก็ปล่อยให้ฟาวน์หนีไปได้ ครั้งนี้ก็ยังมาโดนพี่สาวคนนี้ช่วยเอาไว้อีก แบบนี้เราจะเป้นองครักษ์ที่ดีได้ยังไง?' บิลแอบครุ่นคิดอยู่ภายในใจพลางหันกลับมาพินิจหญิงสาวข้างกายที่กำลังยืนยิ้มให้กับเขาอย่างเป็นมิตรและจริงใจ
หญิงสาวมีส่วนสูงอยู่บริเวณระดับอกของเขาเท่านั้น น่าจะสูงไม่เกิน 165 Cm. ผิวขาวเนียนราวหิมะ สวมทับด้วยกิโมโนสีขาวซึ่งรับกับเรือนผมสีเดียวกันซึ่งซอยระลำคออย่างสวยงาม แววตาสีแดงทับทิมแลดูน่ากลัว ทว่าแววตาที่เธอเผยออกมานั้นช่างดูอ่อนโยนขัดกับสีที่เจิดจ้านั้นเสียจริง
ดูจากหน้าตาและท่าทางที่เธอแสดงออกแล้วช่างชวนให้ผู้คนโดยรอบเรียกเธอว่า 'พี่สาว' เสียจริง เพราะด้วยท่าทีและกริยาที่ดูอ่อนช้อยนั้นรวมกับใบหน้าที่ดูอ่อนโยนแล้วทำให้เธอดูเป็นสาวที่มีอายุแม้ว่าใบหน้าของเธอจะดูอ่อนเยาว์ก็ตามที
"ขอบใจเธอมากเลยนะที่เข้ามาช่วยเอาไว้ ไม่อย่างนั้นพวกนั้นคงลากพี่สาวไปทำมิดีมิร้ายเป็นแน่"
"ไม่เป็นไรครับ... ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณที่เข้ามาช่วยผมเอาไว้เมื่อครู่นี้"
"แหม~ นอกจากเป็นคนดีแล้วยังถ่อมตัวอีกด้วยนะเนี่ย"
"แหะๆๆ..."
คนตุวสูงลูบหัวตัวเองป้อยๆด้วยความเขิน เพราะน้อยครั้งนักที่เขาจะได้รับคำชมแบบนี้เนื่องจากปกติต้องคอยอยู่ข้างกายฟาวน์ตลอดเวลา ทำให้นี่เป้นคำชมแรกที่เขาได้รับในรอบหลายปีมานี้เลยทีเดียว
"เอ้อ เกือบลืมแนะนำตัวแน่ะ... ผมชื่อบิล บิ๊กกาย ครับ พี่สาวล่ะมีชื่อว่าอะไร?"
"หืม~? พี่สาวชื่อ วิโอล่า จ้ะ วิโอล่า ซิโฟร์ (Viola Scifo) ยินดีที่ได้รู้จักน้ะจ้ะบิล"
.....
[ ง่ำ!!! กรุบๆๆๆ ]
"เห... งั้นนายก็คือเจ้าชายแห่งตระกูลวิสเปอร์ เจ้าผู้ครองประเทศนี้จริงๆสินะ?"
"ครับ แต่ผมเบื่อชีวิตในวังเลยอยากจะลองออกมาสัมผัสชีวิตในโลกภายนอกบ้างน่ะ ง่ำๆๆ ไอ้นี่อร่อยดีนะครับ"
หลังจากได้ทำความรู้จักกับนอยแล้วพูดคุยกัน อีกฝ่ายจึงยอมลอมเข้าไปจ่ายเงินค่าแอปเปิ้ลตามใจฟาวน์และกลับมาพาอีกฝ่ายเดินเที่ยวในตัวเมือง เนื่องจากเขาพักอาศัยอยู่ในเมืองนี้อยู่แล้วดังนั้นการพาเที่ยวในตัวเมืองจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรนัก จนกระทั่งเพื่อนใหม่ของเขารู้สึกเหนื่อย นอยจึงชวนอีกฝ่ายซื้ออะไรบางอย่างมานั่งกินกันข้างทางอย่างที่เห็นนี้
"ไอ่นี่เหรอ? เรียกว่าไก่ทอดไม่มีกระดูกไง... แจ้บๆๆ... ในวังไม่มีอะไรแบบนี้รึยังไง?์"
"ไม่หรอกครับ เพราะส่วนใหญ่อาหารในวังจะเป้นพวกอาหารที่ปรุงใส่จานมาแบบสวยงามซะมากกว่า ผมเพิ่งเคยจะได้กินอะไรแบบนี้เป้นครั้งแรกนี่ละ งั่มๆๆ... แถมในวังการพูดไปกินไปก็ทำไม่ได้ด้วยนะครับ มันเสียมารยาทน่ะ... ท่วาแม่ว่างั้น"
"... ในวังก็ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องดีสินะ? ฟังจากที่นายเล่ามาขืนให้ใช้ชีวิตแบบนายมีหวังชั้นได้เครียดตายกัยพอดี กรุบๆๆ..."
ฟาวน์เล่าถึงสาเหตุที่ตนหนีออกมาจากวังให้อีกฝ่ายฟังอย่างไม่ปิดบัง เพราะนอยนั้นแม้ภายนอกจะดูน่าสงสัย ทว่าสายลมที่พัดอยู่รอบๆร่างของเขานั้นดูซื่อตรงไม่เสแสร้ง ทำให้หาวน์กล้าเล่าเรื่องจริงให้อีกฝ่ายฟังโดยไม่มีการปิดบัง
ทางนอยเองก็แสดงจริงใจด้วยการพาฟาวน์เดินเที่ยวตามสถานที่ต่างๆในตัวเมืองและเล่าเรื่องราวเกียวกับโลกภายนอกให้อีกฝ่ายฟังอย่างไม่ปิดบังจนทั้งคู่สนิทกันอย่างรวดเร็ว
"หงุบๆๆ... เอื๊อก!!! เอาล่ะฟาวน์ จำเอาไว้อย่างนะว่านายไม่ควรเปิดเผยตนว่าเป็นเจ้าชาย"
"เอื๊อก!!! เอ๋ ทำไมละครับ?"
หลังจากกินชิ้นไก่กันจนหมดแล้วนอยจึงหันมาช่วยเตือนฟาวน์ให้ปิดบังสถานะของตนเอาไว้ ซึ่งพ่อตัวดีก็รีบกลืนไก่ในปากและหันไปถามอีกฝ่ายด้วนสีหน้าฉงนในทันที
"ก็นะ... ถ้านายเปิดเผยตัวว่าเป็นเจ้าชายละก็ประชาชนคงตามติดนายแจ... พ่อแม่นายก็คงตามตัวนายถูก และอีกไใ่นานนายก็คงโดนพากลับวังใช่มั้ยล่ะ? ถ้าปบบนั้นนายคงไม่ได้เดินทางตามที่นายต้องการแบ้วละ"
"อา... นั่นสินะครับ"
ประโยคของนอยทำให้ฟาวน์เข้าใจถึงเหตุผลของการปิดบังฐานะ ซึ่งในตอนนั้นเองที่เด็กสาวคนหนึ่งหันมาเห็นชุดและการแต่งกายของฟาวน์และฟรี่เข้ามาทักชายหนุ่มด้วยรอยยิ้ม
"นี่ๆ พี่ชายแต่งตัวแบบนี้พี่ชายเป้นเจ้าชายใช่รึเปล่าคะ?"
"....."
ประโยคของเธอทำให้ผู้คนโดยรอบรีบหันมามองฟาวน์ที่แต่งตัวเหมือนเจ้าชายด้วยความสงสัยแบบเดียวกัน จนนอยที่เห็นท่าทีตะลึงค้างของเพื่อนข้างกายต้องเอาข้อศอกกระทุ้งฟาวน์เพื่อเตือนสติ ทำให้ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มจริงใจตอบกลับไปพลางชูกล่องใส่ไก่ทอดในมือ
"ผมน่ะไม่ใช่เจ้าชายหรอกครับ เจ้าชายที่ไหนจะมานั่งกินไก่ทอดริมถนนแบบนี้ล่ะจริงมั้ย? ว่าแต่สนไก่ทอดสักชิ้นมั้ย?"
"เอาสิคะพี่ชายรูปหล่อ~♥"
แม้จะรู้สึกเสียดายที่ชายหนุ่มไม่ใช่เจ้าชาย แต่เด็กสาวก็เต็มใจรับชิ้นไก่จากมือของชายหนุ่ม ท่ามกลางรอยยิ้มของผู้คนโดยรอบที่กลับไปเดินซื้อของกันตามเดิม และรอยยิ้มของนอยที่พึงพอใจกับการแก้ตัวเฉพาะฟน้าของฟาวน์ ก่อนที่ตนจะหยิบชิ้นไก่ในมือขึ้นกินต่ออย่างสบายอารมณ์
-----
[ โปรดติดตามตอนต่อไป ]
-----
พิเศษ ภาพประกอบของตัวละครใหม่
มานูอิด นอยเออร์ หรือ นอย
วิโอล่า สาวสวยที่บิลบังเอิญผ่านไปเจอกลางป่าวิสเพอเรีย
วิโอล่า สาวสวยที่บิลบังเอิญผ่านไปเจอกลางป่าวิสเพอเรีย
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น