ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Ep.1 เอาละ...ไปไหนดีหว่า? (100%)
Ep.1 เอาละ...ไปไหนดีหว่า?
[ ก๊า... ก๊า... ]
เสียงอีการ้องทักยามอัสดง ดังราวกับจะล้อเลียนหญิงสาวตัวเล็กผู้ซึ่งกำลังค้นหาของสำคัญภายในกระเป๋าเป้ของตนอย่างร้อนรน
"ไม่มี... ไม่มี..! ไม่มี!!! หาที่ไหนก็ไม่มีเลยอ้ะ!!!"
'ใจเย็นๆก่อนลูซ ค่อยๆคิดสิว่าทำมันหล่นหายที่ไหนรึเปล่า?'
"ไม่น่าจะเป็นไปได้นะ เนโร (Nero) ชั้นมั่นใจว่าของสำคัญแบบนั้นไม่น่าจะหายไปได้เว้นแต่มันจะเป็นช่วงชุลมุน... อ๊าาา!!!"
น้ำเสียงแหลมเล็กของลูซดังก้องขึ้นเมื่อนึกได้ว่าในระหว่างที่ตนกำลังหลบหนีออกจากปราสาทของตระกูลวิสเปอร์ เธอรีบร้อนคว้าระเบิดออกมาปาแบบส่งๆไปลูกหนึ่ง ซึ่งของสำคัญของเธอน่าจะหล่นหายไปในตอนนั้นน่ะเอง
"ต้องเป็นตอนนั้นแน่ๆเลย ตอนที่เจ้าชายบ้านั่นโผล่มาเจอพวกเราตอนกำลังหนีพอดี แล้วชั้นก็คว้าระเบิดปาแบบส่งๆไปน่ะ"
'เจ้าชายฟาลโก้น่ะเหรอ? แบบนี้เธอก็ต้องกลับเข้าไปในปราสาทเพื่อตามหา ปิ่นปักผมของคุณแม่ น่ะสิ... มันอันตรายนะลูซ ถ้าเธอโดนจับได้ละก็...'
"ชั้นไม่สน!!! ต่อให้ถูกจับชั้นก็ต้องได้ปิ่นปักผมอันนั้นกลับมา หรือเธอจะทิ้งปิ่นของคุณแม่ไปล่ะเนโร?"
'ไม่หรอก ชั้นก็อยากได้ปิ่นปักผมของคุณแม่กลับมาเหมือนกัน...'
...น่าแปลกที่บริเวณดังกล่าวปรากฏร่างของหญิงสาวตัวเล็กผู้มีผมสีน้ำตาลยาวอยู่เพียงผู้เดียว โดยมีกระจกบางอยู่ในมือขณะที่ตัวเธอกำลังพูดคุยกับตัวเองผ่านทางกระจกบานนั้น ทว่าภาพที่ปรากฏขึ้นมานั้นกลับเป็นใบหน้าที่แลดูอ่อนโยนขัดกับตัวลูซที่ดูร้อนรนอยู่ในตอนนี้โดยสิ้นเชิง
"เฮ้อ... ยังไงวันนี้เราก็คงเดินทางกลับปราสาทวิสเปอร์ไม่ทันแล้ว เดี๋ยวเข้าไปนอนพักในเมืองสักคืนค่อยคิดอีกทีละกันว่าเราจะเข้าไปหาปิ่นปักผมของคุณแม่ยังไงดี"
'อื้ม งั้นก็พักซะก่อนนะลูซ เดี๋ยวชั้นหาที่พักให้เอง'
"งืม งั้นชั้นขอพักเลยก็แล้วกันนะเนโร... ฮ้าว~*"
หญิงสาวส่งเสียงหาวออกมาเบาๆก่อนที่ลูซค่อยๆปิดตาสีทับทิมของเธอลงและยืนนิ่งๆไปครู่หนึ่ง จนกระทั่งเปลือตาบางนั้นเปิดขึ้นมาเป็นสีน้ำทะเลที่ดูนิ่งสงบ พร้อมบรรยากาศรอบตัวเธอที่แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนผิดกับเมื่อครู่นี้โดยสิ้นเชิง
"เอาล่ะ ป้ายนี้เขียนว่าอะไรนะ? ทางขวาไปยัง เมืองวินด์ฟอร์ด (windford City) ทางซ้ายเข้าสู่ ป่าวิสเพอเรีย (Whisperia Forest)... ถ้าจะหาที่พักก็ต้องไปทางขวาสินะคะ?"
น้ำเสียงแหลมเล็กที่เปล่งออกมาเป็นประจำก็พลอยฟังดูหวานเสนาะหู แถมบุคลิกที่ดูกระโดกกระเดกเองก็พลอยดูอ่อนนุ่มมีมารยาทขึ้นมาต่างกับก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง เมื่อร่างบางค่อยๆก้าวไปตามทางเดินที่ทอดยาวเข้าสู่ตัวเมืองพร้อมตะวันที่ใกล้จะลับขอบฟ้าเต็มทน
[ Bill Side... ]
ณ โต๊ะเสวยของเชื้อพระวงศ์ หลังจากพยายามรวบรวมความกล้ามาตลอดทั้งวัน ในที่สุดบิลก็นำกองงานของฟาวน์เข้าไปถวายองค์ราชาถึงโต๊ะเสวยตามที่เคยทำเป็นประจำและแจ้งข่าวการหายตัวไปขององค์ชาย พลางสะกดกลั้นความกลัวเอาไว้ภายใน
[ ตึง!!! / เฮือก... ]
เสียงสะดุ้งดังขึ้นเมื่อองค์ราชาทุบโต๊ะเสวยอย่างรุนแรงเมื่อบิลเข้ามาแจ้งข่าวว่าวันนี้เจ้าชายสุดรักสุดหวงไม่อาจลงมาร่วมโต๊ะเสวยได้ สร้างความขุ่นเคืองใจให้แก่ผู้เป็นพ่ออย่างยิ่งยวด
"ไหน!!! ลองบอกเหตุผลมาซิว่าทำไมองค์ชายจึงไม่อาจลงมาร่วมโต๊ะเสวยกับข้าได้ไนวันนี้ บอกมา!!!"
"เอ่อ..."
"ใจเย็นๆก่อนสิคะพระองค์... บิลเขากลัวจนตัวสั่นแล้วเห็นรึเปล่าเพคะ"
องค์ราชาในชุดทรงยศสีแดงเลือดหมูร่วมกับน้ำเสียงอันทรงอำนาจนั้นทำให้บิลผู้มีร่างกายสูงกว่า 190 Cm. ถึงกับผวา... เพราะเนื้อในขององครักษ์คนสนิทนี้ไม่ได้แข็งแกร่งดุดันเหมือนรูปลักษ์ แต่ออกจะติดไปทางขี้กลัวและขี้ตกใจซะมากกว่า ทำให้องค์ราชินีที่รู้จักกับบิลมาตั้งแต่เล็กรีบปรามสวามีของนางเพื่อไม่ให้องครักษ์หนุ่มต้องเครียดไปมากกว่านี้
"เอ่อ... วันนี้ตอนที่ข้ายกถาดอาหารเช้าเข้าไปให้องค์ชายข้าก็ไม่พบตัวองค์ชายแล้วขอรับพระองค์"
"อะไรนะ!?! แล้วเจ้าชายหายไปไหน!!!"
"ใจเย็นๆก่อนสิคะ ลูกชายเราเป็นคนมีความรับผิดชอบ เขาต้องมีเหตุผลที่หายตัวไปแล้วก็คงฝากข้อความหรือจดหมายเอาไว้ให้บิลด้วย... ถูกต้องมั้ยจ้ะบิล?"
"พะยะค่ะ... (เอื๊อก!!!)"
แม้ภายนอกจะดูสงบเรียบร้อย แต่องค์ราชินี้นั้นเป็นคนที่สามารถกุมหัวใจและคุมองค์ราชาผู้ได้ฉายา 'วายุโลหิต' เนื่องด้วยความโหดเหี้ยมและหระหายการทำสงครามให้กลายเป็นราชาที่ดีของประชาชนได้ แสดงให้เห้นถือความสามารถรวมไปถึงความคิดความอ่านที่เหนือคนทั่วไป ซึ่งทันทีที่ถูกแววตาสีน้ำตาลนั้นจดจ้อง บิลที่พยายามสะกดกลั้นความกลัวมาโดยตลอดก็พลันรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
"เอ้า!!! มีเหตุผลอะไรดีๆก็ว่ามา ไม่อย่างนั้นแล้วละก็..."
[ วิ้ง... / .....!!! ]
ดาบยาวข้างเอวของนายเหนือหัวถูกชักออกจากฝักเล็กน้อย ทว่านั้นก็สามารถทำให้บิลกลัวจนหน้าซีด พร้อมหยาดเหงื่อที่ผุดพรายออกมาเต็มใบหน้าได้ ทำให้คู่ชีวิตของพระองค์ต้องรีบปรามสวามีของตนอีกครั้งหนึ่ง
"คุณคะ ถ้ามัวแต่ขู่บิลอยู่แบบนี้ละก็เราคงไม่รู้เรื่องกันพอดีสิ"
"ก็ข้าเป็นห่วงลูกนี่นา เอ้าตอบมา!!! ถ้ายังไม่ตอบอีกละก็..."
"ถ้าคุณกล้าชักดาบออกมากกว่านั้นคืนนี้ชั้นจะไปนอนที่หอตะวันออก!!!"
[ แกร๊ก!!! แปะๆ... ]
[ ..... ]
ตัวดาบถูกเก็บเข้าฝักและนำไปวางเหนือเตาผิงในทันที พร้อมร่างขององค์ราชาที่กลับมานั่งสงบเสงี่ยมอยู่ที่โต๊ะกินข้าวราวลูกแมวเชื่องๆก็มิปาน ทำให้บิลที่ยืนมองอิริยาบถเหล่านั้นอยู่ถึงกับยืนอ้าปากค้างไปครู่ใหญ่กันเลยทีเดียว
"เอาล่ะบิลจ๊ะ ว่ามาเลยจ้ะว่าทำไมฟาวน์ถึงหายตัวไป เธอคงรู้เหตุผลสินะ?"
"พะ... พะยะค่ะ!!! (ชิบแล้วไง...)"
น้ำเสียงเข้มตอบรับฉะฉาน ทว่าใจของเขานั้นสั่นระรัวราวกับปลาที่ดิ้นเพื่อเอาชีวิตรอดอยู่บนเขียง... ถ้าเขาตอบตามความจริงไปมีหวังองค์ราชาสั่งกุดหัวเขาที่ไม่ยอมดูแลฟาวน์ให้ดีในฐานะองครักษ์ แต่ครั้นจะโกหกไปก็คงโดนองค์ราชินีจับได้ง่ายๆ แล้วแบบนี้เขาจะตอบยังไงดีละ (โว้ย!!!)
"เจ้าชายทรง... ไป..."
"ไป? / ไป!?!"
"ไป..."
"....."
หยาดเหงื่อเกาะพราวไปทั่วร่างสูงใหญ่ เมื่อแววตาคู่หนึ่งจ้องกลับมาด้วยความเอ็นดูแต่แฝงไว้ด้วยความเฉียบคมราวกับใบมีด ส่วนอีกฝั่งหนึ่งแสดงความดุดันออกมาอย่างชัดเจนราวกับเสือที่พร้อมตะครุบเหยื่อ จนกระทั่งบิลตัดสินใจตอบออกไปในที่สุดว่า
"องค์ชาย... บอกว่าจะเสด็จออกประพาสประชาชนตามสถานที่ต่างๆน่ะครับ!!!"
"เห~? / ประพาสประชาชน!!!"
"พะยะค่ะ!!!"
คำตอบของบิลทำให้ราชินีเลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจ ต่างกับราชาที่ลุกขึ้นยืนและส่งเสียงตะโกนด้วยความแปลกใจยิ่งกว่า ทำไมองค์ชายต้องทำอะไรแบบนั้นด้วย?
"องค์ชาย... ฟาวน์น่ะเขาบอกว่าการเขียนแต่รายงานอย่างเดียวโดยไม่ได้รับรุ้ความเป็นไปของประชาชนมันไม่เพียงพอต่อการบริหารย่ะครับ พระองงค์ก็เลยตัดสินใจออกเดินทางเพื่อเยี่ยมเยือนประชาชนแบบลับๆเพื่อเรียนรู้ความเป็นอยู่ของผู้คนและนำมันกลับมาพัฒนาอาณาจักรต่อไป"
"..... / ....."
เมือ่ได้ฟังคำตอบ องค์ราชาและราชินีจึงหันไปมองหน้ากันสักครู่ท่ามกลางอาการใจเต้นไม่เป็นส่ำของบิล... เขาคิดว่าตนน่าจะตอบคำถามได้อย่างแนบเนียนที่สุดแล้ว เนื่องจากระหว่างทำงานฟาวน์เคยเปรยๆเอาไว้ว่าตนน่าจะออกไปดูความเป็นอยู่ของประชาชนบ้าง แต่ไม่รู้ว่าที่มันหนีออกไปนี่จะได้ทำตามที่เขาช่วยแก้ต่างรึเปล่าเนี่ยสิ...
"โอเค!!! ข้าเข้าใจแล้ว ลูกชายข้านี่ช่างมีวิสัยทัศน์ก้าวไกลเสียจริง... ข้าไม่เคยนึกถึงเรื่องแบบนี้เลยนะเนี่ย!!!"
"แหม... ก็ในหัวของคุณมีแต่เรื่องสู้รบกับเรื่องบนเตียงนี่คะเลยไม่เคยนึกถึงน่ะ"
"แหม... พูดตรงนี้ได้ยังไงข้าอายนะรู้มั้ยเนี่ย!!!"
"งั้นคืนนี้ชั้นน่าจะไปนอนที่หอตะวันออกนะ"
"ชั้นคิดแต่เรื่องสู้รบกับเรื่องบนเตียงกับเธอจริงๆจ้ะที่รัก!!!"
"....."
ท่าทีที่เปลี่ยนไปมาขององค์ราชาทำให้บิลถึงกับลอบยิ้ม ทว่าแววตาที่ปราดมองเขาขององค์ราชินีนั้นทำให้รอยยิ้มของบิลถึงกับสลาย เพราะเบื้องหลังรอยยิ้มนั้นเขามองเห็นแววตาของเหยี่ยวที่มองทะลุหมู่เมฆเข้าไปจนถึงความจริงในใจเขา...
"ว่าแต่บิลจ้ะ... ในฐานะขององครักษ์แล้วเธอน่าจะตามไปดูแลฟาวน์ด้วยไม่ใช่เหรอ?"
"เออจริงด้วย รีบเก็บของแล้วตามไปอารักขาลูกข้าเดี๋ยวนี้เลยนะ!!!"
"อืม... ถ้าจะให้ดีก็ส่งจดหมายกลับมาบอกทางนี้บ้างก็ดีนะจ้ะ อย่างน้อยให้ฟาวน์เขียนตอบมาบ้างสักอาทิตย์-สองอาทิตย์ครั้งก็ยังดี ตกลงไหมจ้ะ?"
"พะยะค่ะ!!!"
ประโยคขององค์ราชินีนั้นเหมือนจะเป็นการขีดเส้นตายคร่าวๆให้กับเขาว่าถ้าเขาไม่อาจตามตัวฟาวน์จนเจอและส่งจดหมายกลับมาภายในสองอาทิตย์แล้วละก็เรื่องที่เขาโกหกก็คงปิดเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป... ดูเหมือนราชินีจะรู้ว่าเขาโกหกเพื่อกลบเกลื่อนจริงๆเสียแล้วสิ...
'หนอยแน่ะฟาวน์... เจอตัวเมื่อไหร่เรามีเรื่องต้องเคลียร์กัน... ยาว!!!'
[ Falco Side... ]
[ ฮัดชิ่ว!!! ]
เสียงจามดังขึ้นภายในตัวป่า ข้างๆกองไฟที่ให้ความอบอุ่นยามค่ำคืน โดยที่ใกล้ๆกันนั้นปรากฏร่างของม้าหนุ่มสีน้ำตาลที่มองปราดเดียวก็รู้ได้ว่าเป็นม้าพันธุ์ดีที่กำลังเล็มหญ้าอยู่เงียบๆ กับใครบางคนนั่งเช็ดจมูกของตนเบาๆหลังจากถูกเพื่อนตัวดีบ่นถึงโดยไม่รู้ตัว
"แหม อากาศตอนกลางคืนข้างนอกวังนี่ก็หนาวเหมือนกันนะ มิน่าล่ะคนถึงไม่ชอบนอนกลางป่ากันทั้งๆที่บรรยากาศมันก็เงียบสงบดีแท้ๆ"
[ บรู๊ววว~* ]
[ ..... ]
ฟาวน์ถึงกับนั่งนิ่งหลังจากได้ยินเสียงหอนยาวๆดังแว่วมาจากตัวป่าที่อยู่ลึกเข้าไป ทว่าแทนที่จะทำท่าทางหวาดกลัว เจ้าตัวดีกลับเผยรอยยิ้มบางๆออกมาแทนซะอย่างนั้น
"อืม... มีเสียงหมาป่าแบบนี้แปลว่าพื้นที่แถบนี้อุดมสมบูรณ์ดี ว่าแต่เรายังไม่เคยเห้นหมาป่ากับตาสักรอบ เข้าไปหาดูดีมั้ยหว่า?"
ไม่ว่าเปล่า เจ้าตัวดีค่อยๆผุดลุกขึ้นพลางกระชับผ้าคลุมลงบนร่าง ทว่าสายลมที่ไล้ผ่านใบหน้าของเขานั้นร้องเตือนว่าเขาไม่ควรไปไหนมาไหนตอนกลางคืนในป่า เพราะเขาอาจจะหลงทางได้หรืออาจพบกับอันตราย ดังนั้นฟาวน์จึงยอมนั่งกลับลงไปบนพื้นด้วยท่าทีขัดใจเล็กน้อย
"แหม... การที่ชั้นพูดคุยกับพวกเธอได้นี่มันก็ดีอยู่หรอก แต่ถ้าคนทั่วไปรู้ว่าชั้นเข้าใจและพูดคุยกับสายลมได้นี่คงพิลึกน่าดู"
สายลมโดยรอบโบพัดไปมาเบาๆราวกับจะต่อว่า ทว่าพ่อตัวดีของเรากลับหัวเราะชอบใจที่สายลมโดยรอบดูจะเป้นมิตรกับเขา แม้ว่าเขาเพิ่งจะออกเดินทางจากปราสาทมาเป้นครั้งแรกก็ตามที
เจ้าชายฟาลโก้นั้นเกิดมาพร้อมกับพลังพิเศษในการเข้าใจความรู้สึก ความนึกคิด และโต้ตอบกับสายลมได้เหมือนกับที่คนในตระกูลวิสเปอร์มี ทว่าพลังของแต่ละคนนั้นจะแตกต่างกันออกไป เช่นปู่ของเขาสามารถสร้างลมขึ้นมาเป็นอาวุธได้ หรือพ่อของเขาที่สามารถสร้างทหารวายุขึ้นมาได้ ดังนั้นถ้าจะให้เทียบแล้วการพูดคุยเพียงอย่างเดียวของเขาดูเป้นของที่ไร้ประโยชน์ไปเลยทีเดียว
"จริงสิ พวกเธอช่วยชั้นดูความทรงจำจากของสิ่งนี้ทีได้มั้ย?"
ฟาวน์หยิบวัตถุบางอย่างที่ทอประกายล้อแสงไฟขึ้นมา ของสิ่งนั้นก็คือปิ่นปักผมที่ลูซทำตกเอาไว้นั่นเอง
นอกจากพลังในการพูดคุยกับสายลมแลว ฟาวน์ยังมีความสามารถในการอ่านความคิด หรือความทรงงจำในสิ่งของโดยใช้สายลมเป็นสื่อกลางอีกด้วย ดังนั้นฟาวน์เลยอยากดูความทรงจำที่เก็บซ่อนอยู่ในของสิ่งนี้เผื่อว่าเขาจะรู้จักกับลูซมากยิ่งขึ้น
[ วิ้วๆ... ]
สายลมค่อยๆตรงเข้าโอบล้อมปิ่นปักผมนั้นเอาไว้ ก่อนที่ฟาวน์จะปล่อยให้สายลมโอบอุ้มของสิ่งนั้นเอาไว้ในอากาศ ขณะที่ตนค่อยๆหลับตาลงและเพ่งสมาธิเข้าไปในวัตถุตรงหน้า
"เอาล่ะ... โปรดแสดงความทรงจำของเธอให้ชั้นเห็นหน่อยเถอะ"
[ วู้ม... ฟู่ววว!!! ]
เกิดแสงสว่างจางๆขึ้นโดยรอบตัวปิ่น พร้อมสายลมที่หมุนวนรอบๆร่างของฟาวน์และตัวปิ่นเอาไว้ พร้อมภาพบรรยากาศโดยรอบที่เปลี่ยนแปลงไป
ที่นั่นเป็นบ้านกลางป่าขนาดเล็กที่มีผู้อยู่อาศัยจำนวน 3 คน... เจ้าของปิ่นปักผมอันนี้ซึ่งเป็นสาววัยกลางคนผู้เป้นมารดา และเด็กสาวสองคนซึ่งน่าจะเป็นฝาแฝดกัน ทั้งสามดูเป็นครอบครัวที่อบอุ่น ผู้เป็นแม่เข้าเมืองไปจ่ายตลาดในบางครั้งโดยมีลูกสาวทั้งสองคอยเฝ้าบ้าน
เสียงเรียกที่มารดาเรียกทั้งคู่นั้นคือ ลูซ และ เนโร ซึ่งหน้าตาเหมือนกันราวกับแกะแต่นิสัยนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คนนึ่งออกก๋ากั่นและขี้เล่น ขณะที่อีกคนนั้นดูออนหวานและเรียบร้อย
[ วู้ม... กริ๊งๆ~* ]
หลังจากมองภาพเหล่านั้นไปได้ครู่หนึ่งภาพทั้งหลายก็มลายหายไป หลังจากหมดระยะเวลาที่ฟาวน์สามารถมองย้อนไปในอดีตได้ พร้อมเสียงกรุ๊งกริ๊งยามปิ่นปักผมร่วงลงกระทบตัวพื้น
ฟาวน์ค่อยๆบรรจงเก็บปิ่นอันนั้นขึ้นมาอย่างเบามือและเก็บมันลงไปในกระเป๋าเสื้อของตน ก่อนที่เขาจะล้มตัวลงนอนพร้อมรอยยิ้มบางๆที่ประดับอยู่บนใบหน้า เพราะภาพที่ปรากฏขึ้นมานั้นทำให้เขารู้สึกอยากจะทำความรู้จักกับอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้นไปอีก
"ลูซ มูนฟอล... ชั้นชักอยากรู้จักเธอให้มากกว่านี้ซะแล้วสิ"
น้ำเสียงนุ่มเอ่ยได้เพียงเท่านั้น ร่างสูงก็พลันจมลงสู่ห้วงนิทราหลังจากการควบม้าติดต่อกันในป่าเป็นเวลานานเพื่อหลบเร้นจากสายตาของเหล่าทหารหรือประชาชนที่อาจจะจำเขาได้ ทำให้การเดินทางครั้งนี้กินแรงมากกว่าปกติอยู่หลายช่วงนัก
[ กุบกับๆ... ]
หลังจากตื่นนอนได้ไม่นาน ฟาวน์ก็รีบเก็บข้าวของและควบม้าออกมาจากป่าจนเจอเส้นทางสัญจรซึ่งมีป้ายกำดกับทางเอาไว้อย่างชัดเจน
"อืม... ทางขวาไปยังเมืองวินฟอร์ด ทางซ้ายเข้าสู่ป่าวิสเพอเรียเหรอ? ไปทางไหนดีหวา..."
ร่างสูงหยุดครุ่นคิดเพียงครู่ รอยยิ้มบางก็กลับมาปรากฏบนใบหน้าของเขาอีกครั้งหนึ่ง
"ไหนๆเมื่อคืนก็นอนในป่ามาแล้ว เข้าเมืองสักหน่อยก็ดีแฮะเรา"
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ร่างของเจ้าม้าหนุ่มจึงควบทะยานไปตามที่ผู้เป็นนายสั่งเพื่อมุ่งหน้าเข้าตัวเมือง ขณะที่ร่างของใครอีกคนหนึ่งค่อยๆคลานมาหยุดอยู่ตรงหน้าป้ายอย่างหมดสภาพ
"แฮ่กๆๆ... โอย... ถึงไหนแล้วเนี่ย? ทางแยกเหรอ..."
ร่างสูงใหญ่ที่แบกสัมภาระราวกับจะย้ายบ้านของบิลคลานออกมาจากพงหญ้าหลังจากการฝืยสังขารเพื่อเดินทางตลอดคืน เนื่องจากองค์ราชินีแอบมากระซิบข้างหูของเขาว่าถ้าหาตัวฟาวน์ไม่เจอเขาจะโดน... (เซ็นเซอร์... เซ็นเซอร์... และ เซ็นเซอร์...) ดังนั้นแม้ต้องเดินทางทั้งวันทั้งคืนเขาก็ต้องหาตัวเจ้าชายตัวแสบของเขาให้เจอให้จงได้!!!
นั่นคือสาเหตุที่บิลตามฟาวน์มาจนถึงจุดนี้ได้ในเวลาอันสั้น ทั้งๆที่ใช้สองขาเพื่อเดินทาง ต่างกับฟาวน์ที่ใช้ม้าซะด้วยซ้ำ!!!
"... ถ้าเข้าเมืองอาจมีคนจำได้ ดังนั้นฟาวน์คงเลือกเดินทางเข้าป่า... เอาล่ะรอก่อนนฟาวน์ ชั้นจะหายตัวนายให้เจอแล้วลากกลับวังเอง!!!"
อนิจจา... องครักษ์หนึ่มของเราซึ่งเกือบจะตามฟาวน์ทันกลับเลือกเลี้ยวผิดและมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าวิสเพอเรีย ต่างกับฟาวน์ที่มุ่งหน้าไปยังเมืองวินฟอร์ดซึ่งลูซได้เดินทางเข้าไปก่อนเขาแล้ว...
ทำไมหัวมันแล่นแต่การแต่งเรื่องนี้หว่า... เอาน่ะ แต่งเรื่องไหนได้ก็แต่งเนอะ ดีกว่าไม่เขียนอะไรเลย
[ Luce Side... ]
[ ก๊า... ก๊า... ]
เสียงอีการ้องทักยามอัสดง ดังราวกับจะล้อเลียนหญิงสาวตัวเล็กผู้ซึ่งกำลังค้นหาของสำคัญภายในกระเป๋าเป้ของตนอย่างร้อนรน
"ไม่มี... ไม่มี..! ไม่มี!!! หาที่ไหนก็ไม่มีเลยอ้ะ!!!"
'ใจเย็นๆก่อนลูซ ค่อยๆคิดสิว่าทำมันหล่นหายที่ไหนรึเปล่า?'
"ไม่น่าจะเป็นไปได้นะ เนโร (Nero) ชั้นมั่นใจว่าของสำคัญแบบนั้นไม่น่าจะหายไปได้เว้นแต่มันจะเป็นช่วงชุลมุน... อ๊าาา!!!"
น้ำเสียงแหลมเล็กของลูซดังก้องขึ้นเมื่อนึกได้ว่าในระหว่างที่ตนกำลังหลบหนีออกจากปราสาทของตระกูลวิสเปอร์ เธอรีบร้อนคว้าระเบิดออกมาปาแบบส่งๆไปลูกหนึ่ง ซึ่งของสำคัญของเธอน่าจะหล่นหายไปในตอนนั้นน่ะเอง
"ต้องเป็นตอนนั้นแน่ๆเลย ตอนที่เจ้าชายบ้านั่นโผล่มาเจอพวกเราตอนกำลังหนีพอดี แล้วชั้นก็คว้าระเบิดปาแบบส่งๆไปน่ะ"
'เจ้าชายฟาลโก้น่ะเหรอ? แบบนี้เธอก็ต้องกลับเข้าไปในปราสาทเพื่อตามหา ปิ่นปักผมของคุณแม่ น่ะสิ... มันอันตรายนะลูซ ถ้าเธอโดนจับได้ละก็...'
"ชั้นไม่สน!!! ต่อให้ถูกจับชั้นก็ต้องได้ปิ่นปักผมอันนั้นกลับมา หรือเธอจะทิ้งปิ่นของคุณแม่ไปล่ะเนโร?"
'ไม่หรอก ชั้นก็อยากได้ปิ่นปักผมของคุณแม่กลับมาเหมือนกัน...'
...น่าแปลกที่บริเวณดังกล่าวปรากฏร่างของหญิงสาวตัวเล็กผู้มีผมสีน้ำตาลยาวอยู่เพียงผู้เดียว โดยมีกระจกบางอยู่ในมือขณะที่ตัวเธอกำลังพูดคุยกับตัวเองผ่านทางกระจกบานนั้น ทว่าภาพที่ปรากฏขึ้นมานั้นกลับเป็นใบหน้าที่แลดูอ่อนโยนขัดกับตัวลูซที่ดูร้อนรนอยู่ในตอนนี้โดยสิ้นเชิง
"เฮ้อ... ยังไงวันนี้เราก็คงเดินทางกลับปราสาทวิสเปอร์ไม่ทันแล้ว เดี๋ยวเข้าไปนอนพักในเมืองสักคืนค่อยคิดอีกทีละกันว่าเราจะเข้าไปหาปิ่นปักผมของคุณแม่ยังไงดี"
'อื้ม งั้นก็พักซะก่อนนะลูซ เดี๋ยวชั้นหาที่พักให้เอง'
"งืม งั้นชั้นขอพักเลยก็แล้วกันนะเนโร... ฮ้าว~*"
หญิงสาวส่งเสียงหาวออกมาเบาๆก่อนที่ลูซค่อยๆปิดตาสีทับทิมของเธอลงและยืนนิ่งๆไปครู่หนึ่ง จนกระทั่งเปลือตาบางนั้นเปิดขึ้นมาเป็นสีน้ำทะเลที่ดูนิ่งสงบ พร้อมบรรยากาศรอบตัวเธอที่แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนผิดกับเมื่อครู่นี้โดยสิ้นเชิง
"เอาล่ะ ป้ายนี้เขียนว่าอะไรนะ? ทางขวาไปยัง เมืองวินด์ฟอร์ด (windford City) ทางซ้ายเข้าสู่ ป่าวิสเพอเรีย (Whisperia Forest)... ถ้าจะหาที่พักก็ต้องไปทางขวาสินะคะ?"
น้ำเสียงแหลมเล็กที่เปล่งออกมาเป็นประจำก็พลอยฟังดูหวานเสนาะหู แถมบุคลิกที่ดูกระโดกกระเดกเองก็พลอยดูอ่อนนุ่มมีมารยาทขึ้นมาต่างกับก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง เมื่อร่างบางค่อยๆก้าวไปตามทางเดินที่ทอดยาวเข้าสู่ตัวเมืองพร้อมตะวันที่ใกล้จะลับขอบฟ้าเต็มทน
.....
[ Bill Side... ]
ณ โต๊ะเสวยของเชื้อพระวงศ์ หลังจากพยายามรวบรวมความกล้ามาตลอดทั้งวัน ในที่สุดบิลก็นำกองงานของฟาวน์เข้าไปถวายองค์ราชาถึงโต๊ะเสวยตามที่เคยทำเป็นประจำและแจ้งข่าวการหายตัวไปขององค์ชาย พลางสะกดกลั้นความกลัวเอาไว้ภายใน
[ ตึง!!! / เฮือก... ]
เสียงสะดุ้งดังขึ้นเมื่อองค์ราชาทุบโต๊ะเสวยอย่างรุนแรงเมื่อบิลเข้ามาแจ้งข่าวว่าวันนี้เจ้าชายสุดรักสุดหวงไม่อาจลงมาร่วมโต๊ะเสวยได้ สร้างความขุ่นเคืองใจให้แก่ผู้เป็นพ่ออย่างยิ่งยวด
"ไหน!!! ลองบอกเหตุผลมาซิว่าทำไมองค์ชายจึงไม่อาจลงมาร่วมโต๊ะเสวยกับข้าได้ไนวันนี้ บอกมา!!!"
"เอ่อ..."
"ใจเย็นๆก่อนสิคะพระองค์... บิลเขากลัวจนตัวสั่นแล้วเห็นรึเปล่าเพคะ"
องค์ราชาในชุดทรงยศสีแดงเลือดหมูร่วมกับน้ำเสียงอันทรงอำนาจนั้นทำให้บิลผู้มีร่างกายสูงกว่า 190 Cm. ถึงกับผวา... เพราะเนื้อในขององครักษ์คนสนิทนี้ไม่ได้แข็งแกร่งดุดันเหมือนรูปลักษ์ แต่ออกจะติดไปทางขี้กลัวและขี้ตกใจซะมากกว่า ทำให้องค์ราชินีที่รู้จักกับบิลมาตั้งแต่เล็กรีบปรามสวามีของนางเพื่อไม่ให้องครักษ์หนุ่มต้องเครียดไปมากกว่านี้
"เอ่อ... วันนี้ตอนที่ข้ายกถาดอาหารเช้าเข้าไปให้องค์ชายข้าก็ไม่พบตัวองค์ชายแล้วขอรับพระองค์"
"อะไรนะ!?! แล้วเจ้าชายหายไปไหน!!!"
"ใจเย็นๆก่อนสิคะ ลูกชายเราเป็นคนมีความรับผิดชอบ เขาต้องมีเหตุผลที่หายตัวไปแล้วก็คงฝากข้อความหรือจดหมายเอาไว้ให้บิลด้วย... ถูกต้องมั้ยจ้ะบิล?"
"พะยะค่ะ... (เอื๊อก!!!)"
แม้ภายนอกจะดูสงบเรียบร้อย แต่องค์ราชินี้นั้นเป็นคนที่สามารถกุมหัวใจและคุมองค์ราชาผู้ได้ฉายา 'วายุโลหิต' เนื่องด้วยความโหดเหี้ยมและหระหายการทำสงครามให้กลายเป็นราชาที่ดีของประชาชนได้ แสดงให้เห้นถือความสามารถรวมไปถึงความคิดความอ่านที่เหนือคนทั่วไป ซึ่งทันทีที่ถูกแววตาสีน้ำตาลนั้นจดจ้อง บิลที่พยายามสะกดกลั้นความกลัวมาโดยตลอดก็พลันรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
"เอ้า!!! มีเหตุผลอะไรดีๆก็ว่ามา ไม่อย่างนั้นแล้วละก็..."
[ วิ้ง... / .....!!! ]
ดาบยาวข้างเอวของนายเหนือหัวถูกชักออกจากฝักเล็กน้อย ทว่านั้นก็สามารถทำให้บิลกลัวจนหน้าซีด พร้อมหยาดเหงื่อที่ผุดพรายออกมาเต็มใบหน้าได้ ทำให้คู่ชีวิตของพระองค์ต้องรีบปรามสวามีของตนอีกครั้งหนึ่ง
"คุณคะ ถ้ามัวแต่ขู่บิลอยู่แบบนี้ละก็เราคงไม่รู้เรื่องกันพอดีสิ"
"ก็ข้าเป็นห่วงลูกนี่นา เอ้าตอบมา!!! ถ้ายังไม่ตอบอีกละก็..."
"ถ้าคุณกล้าชักดาบออกมากกว่านั้นคืนนี้ชั้นจะไปนอนที่หอตะวันออก!!!"
[ แกร๊ก!!! แปะๆ... ]
[ ..... ]
ตัวดาบถูกเก็บเข้าฝักและนำไปวางเหนือเตาผิงในทันที พร้อมร่างขององค์ราชาที่กลับมานั่งสงบเสงี่ยมอยู่ที่โต๊ะกินข้าวราวลูกแมวเชื่องๆก็มิปาน ทำให้บิลที่ยืนมองอิริยาบถเหล่านั้นอยู่ถึงกับยืนอ้าปากค้างไปครู่ใหญ่กันเลยทีเดียว
"เอาล่ะบิลจ๊ะ ว่ามาเลยจ้ะว่าทำไมฟาวน์ถึงหายตัวไป เธอคงรู้เหตุผลสินะ?"
"พะ... พะยะค่ะ!!! (ชิบแล้วไง...)"
น้ำเสียงเข้มตอบรับฉะฉาน ทว่าใจของเขานั้นสั่นระรัวราวกับปลาที่ดิ้นเพื่อเอาชีวิตรอดอยู่บนเขียง... ถ้าเขาตอบตามความจริงไปมีหวังองค์ราชาสั่งกุดหัวเขาที่ไม่ยอมดูแลฟาวน์ให้ดีในฐานะองครักษ์ แต่ครั้นจะโกหกไปก็คงโดนองค์ราชินีจับได้ง่ายๆ แล้วแบบนี้เขาจะตอบยังไงดีละ (โว้ย!!!)
"เจ้าชายทรง... ไป..."
"ไป? / ไป!?!"
"ไป..."
"....."
หยาดเหงื่อเกาะพราวไปทั่วร่างสูงใหญ่ เมื่อแววตาคู่หนึ่งจ้องกลับมาด้วยความเอ็นดูแต่แฝงไว้ด้วยความเฉียบคมราวกับใบมีด ส่วนอีกฝั่งหนึ่งแสดงความดุดันออกมาอย่างชัดเจนราวกับเสือที่พร้อมตะครุบเหยื่อ จนกระทั่งบิลตัดสินใจตอบออกไปในที่สุดว่า
"องค์ชาย... บอกว่าจะเสด็จออกประพาสประชาชนตามสถานที่ต่างๆน่ะครับ!!!"
"เห~? / ประพาสประชาชน!!!"
"พะยะค่ะ!!!"
คำตอบของบิลทำให้ราชินีเลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจ ต่างกับราชาที่ลุกขึ้นยืนและส่งเสียงตะโกนด้วยความแปลกใจยิ่งกว่า ทำไมองค์ชายต้องทำอะไรแบบนั้นด้วย?
"องค์ชาย... ฟาวน์น่ะเขาบอกว่าการเขียนแต่รายงานอย่างเดียวโดยไม่ได้รับรุ้ความเป็นไปของประชาชนมันไม่เพียงพอต่อการบริหารย่ะครับ พระองงค์ก็เลยตัดสินใจออกเดินทางเพื่อเยี่ยมเยือนประชาชนแบบลับๆเพื่อเรียนรู้ความเป็นอยู่ของผู้คนและนำมันกลับมาพัฒนาอาณาจักรต่อไป"
"..... / ....."
เมือ่ได้ฟังคำตอบ องค์ราชาและราชินีจึงหันไปมองหน้ากันสักครู่ท่ามกลางอาการใจเต้นไม่เป็นส่ำของบิล... เขาคิดว่าตนน่าจะตอบคำถามได้อย่างแนบเนียนที่สุดแล้ว เนื่องจากระหว่างทำงานฟาวน์เคยเปรยๆเอาไว้ว่าตนน่าจะออกไปดูความเป็นอยู่ของประชาชนบ้าง แต่ไม่รู้ว่าที่มันหนีออกไปนี่จะได้ทำตามที่เขาช่วยแก้ต่างรึเปล่าเนี่ยสิ...
"โอเค!!! ข้าเข้าใจแล้ว ลูกชายข้านี่ช่างมีวิสัยทัศน์ก้าวไกลเสียจริง... ข้าไม่เคยนึกถึงเรื่องแบบนี้เลยนะเนี่ย!!!"
"แหม... ก็ในหัวของคุณมีแต่เรื่องสู้รบกับเรื่องบนเตียงนี่คะเลยไม่เคยนึกถึงน่ะ"
"แหม... พูดตรงนี้ได้ยังไงข้าอายนะรู้มั้ยเนี่ย!!!"
"งั้นคืนนี้ชั้นน่าจะไปนอนที่หอตะวันออกนะ"
"ชั้นคิดแต่เรื่องสู้รบกับเรื่องบนเตียงกับเธอจริงๆจ้ะที่รัก!!!"
"....."
ท่าทีที่เปลี่ยนไปมาขององค์ราชาทำให้บิลถึงกับลอบยิ้ม ทว่าแววตาที่ปราดมองเขาขององค์ราชินีนั้นทำให้รอยยิ้มของบิลถึงกับสลาย เพราะเบื้องหลังรอยยิ้มนั้นเขามองเห็นแววตาของเหยี่ยวที่มองทะลุหมู่เมฆเข้าไปจนถึงความจริงในใจเขา...
"ว่าแต่บิลจ้ะ... ในฐานะขององครักษ์แล้วเธอน่าจะตามไปดูแลฟาวน์ด้วยไม่ใช่เหรอ?"
"เออจริงด้วย รีบเก็บของแล้วตามไปอารักขาลูกข้าเดี๋ยวนี้เลยนะ!!!"
"อืม... ถ้าจะให้ดีก็ส่งจดหมายกลับมาบอกทางนี้บ้างก็ดีนะจ้ะ อย่างน้อยให้ฟาวน์เขียนตอบมาบ้างสักอาทิตย์-สองอาทิตย์ครั้งก็ยังดี ตกลงไหมจ้ะ?"
"พะยะค่ะ!!!"
ประโยคขององค์ราชินีนั้นเหมือนจะเป็นการขีดเส้นตายคร่าวๆให้กับเขาว่าถ้าเขาไม่อาจตามตัวฟาวน์จนเจอและส่งจดหมายกลับมาภายในสองอาทิตย์แล้วละก็เรื่องที่เขาโกหกก็คงปิดเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป... ดูเหมือนราชินีจะรู้ว่าเขาโกหกเพื่อกลบเกลื่อนจริงๆเสียแล้วสิ...
'หนอยแน่ะฟาวน์... เจอตัวเมื่อไหร่เรามีเรื่องต้องเคลียร์กัน... ยาว!!!'
.....
[ Falco Side... ]
[ ฮัดชิ่ว!!! ]
เสียงจามดังขึ้นภายในตัวป่า ข้างๆกองไฟที่ให้ความอบอุ่นยามค่ำคืน โดยที่ใกล้ๆกันนั้นปรากฏร่างของม้าหนุ่มสีน้ำตาลที่มองปราดเดียวก็รู้ได้ว่าเป็นม้าพันธุ์ดีที่กำลังเล็มหญ้าอยู่เงียบๆ กับใครบางคนนั่งเช็ดจมูกของตนเบาๆหลังจากถูกเพื่อนตัวดีบ่นถึงโดยไม่รู้ตัว
"แหม อากาศตอนกลางคืนข้างนอกวังนี่ก็หนาวเหมือนกันนะ มิน่าล่ะคนถึงไม่ชอบนอนกลางป่ากันทั้งๆที่บรรยากาศมันก็เงียบสงบดีแท้ๆ"
[ บรู๊ววว~* ]
[ ..... ]
ฟาวน์ถึงกับนั่งนิ่งหลังจากได้ยินเสียงหอนยาวๆดังแว่วมาจากตัวป่าที่อยู่ลึกเข้าไป ทว่าแทนที่จะทำท่าทางหวาดกลัว เจ้าตัวดีกลับเผยรอยยิ้มบางๆออกมาแทนซะอย่างนั้น
"อืม... มีเสียงหมาป่าแบบนี้แปลว่าพื้นที่แถบนี้อุดมสมบูรณ์ดี ว่าแต่เรายังไม่เคยเห้นหมาป่ากับตาสักรอบ เข้าไปหาดูดีมั้ยหว่า?"
ไม่ว่าเปล่า เจ้าตัวดีค่อยๆผุดลุกขึ้นพลางกระชับผ้าคลุมลงบนร่าง ทว่าสายลมที่ไล้ผ่านใบหน้าของเขานั้นร้องเตือนว่าเขาไม่ควรไปไหนมาไหนตอนกลางคืนในป่า เพราะเขาอาจจะหลงทางได้หรืออาจพบกับอันตราย ดังนั้นฟาวน์จึงยอมนั่งกลับลงไปบนพื้นด้วยท่าทีขัดใจเล็กน้อย
"แหม... การที่ชั้นพูดคุยกับพวกเธอได้นี่มันก็ดีอยู่หรอก แต่ถ้าคนทั่วไปรู้ว่าชั้นเข้าใจและพูดคุยกับสายลมได้นี่คงพิลึกน่าดู"
สายลมโดยรอบโบพัดไปมาเบาๆราวกับจะต่อว่า ทว่าพ่อตัวดีของเรากลับหัวเราะชอบใจที่สายลมโดยรอบดูจะเป้นมิตรกับเขา แม้ว่าเขาเพิ่งจะออกเดินทางจากปราสาทมาเป้นครั้งแรกก็ตามที
เจ้าชายฟาลโก้นั้นเกิดมาพร้อมกับพลังพิเศษในการเข้าใจความรู้สึก ความนึกคิด และโต้ตอบกับสายลมได้เหมือนกับที่คนในตระกูลวิสเปอร์มี ทว่าพลังของแต่ละคนนั้นจะแตกต่างกันออกไป เช่นปู่ของเขาสามารถสร้างลมขึ้นมาเป็นอาวุธได้ หรือพ่อของเขาที่สามารถสร้างทหารวายุขึ้นมาได้ ดังนั้นถ้าจะให้เทียบแล้วการพูดคุยเพียงอย่างเดียวของเขาดูเป้นของที่ไร้ประโยชน์ไปเลยทีเดียว
"จริงสิ พวกเธอช่วยชั้นดูความทรงจำจากของสิ่งนี้ทีได้มั้ย?"
ฟาวน์หยิบวัตถุบางอย่างที่ทอประกายล้อแสงไฟขึ้นมา ของสิ่งนั้นก็คือปิ่นปักผมที่ลูซทำตกเอาไว้นั่นเอง
นอกจากพลังในการพูดคุยกับสายลมแลว ฟาวน์ยังมีความสามารถในการอ่านความคิด หรือความทรงงจำในสิ่งของโดยใช้สายลมเป็นสื่อกลางอีกด้วย ดังนั้นฟาวน์เลยอยากดูความทรงจำที่เก็บซ่อนอยู่ในของสิ่งนี้เผื่อว่าเขาจะรู้จักกับลูซมากยิ่งขึ้น
[ วิ้วๆ... ]
สายลมค่อยๆตรงเข้าโอบล้อมปิ่นปักผมนั้นเอาไว้ ก่อนที่ฟาวน์จะปล่อยให้สายลมโอบอุ้มของสิ่งนั้นเอาไว้ในอากาศ ขณะที่ตนค่อยๆหลับตาลงและเพ่งสมาธิเข้าไปในวัตถุตรงหน้า
"เอาล่ะ... โปรดแสดงความทรงจำของเธอให้ชั้นเห็นหน่อยเถอะ"
[ วู้ม... ฟู่ววว!!! ]
เกิดแสงสว่างจางๆขึ้นโดยรอบตัวปิ่น พร้อมสายลมที่หมุนวนรอบๆร่างของฟาวน์และตัวปิ่นเอาไว้ พร้อมภาพบรรยากาศโดยรอบที่เปลี่ยนแปลงไป
ที่นั่นเป็นบ้านกลางป่าขนาดเล็กที่มีผู้อยู่อาศัยจำนวน 3 คน... เจ้าของปิ่นปักผมอันนี้ซึ่งเป็นสาววัยกลางคนผู้เป้นมารดา และเด็กสาวสองคนซึ่งน่าจะเป็นฝาแฝดกัน ทั้งสามดูเป็นครอบครัวที่อบอุ่น ผู้เป็นแม่เข้าเมืองไปจ่ายตลาดในบางครั้งโดยมีลูกสาวทั้งสองคอยเฝ้าบ้าน
เสียงเรียกที่มารดาเรียกทั้งคู่นั้นคือ ลูซ และ เนโร ซึ่งหน้าตาเหมือนกันราวกับแกะแต่นิสัยนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คนนึ่งออกก๋ากั่นและขี้เล่น ขณะที่อีกคนนั้นดูออนหวานและเรียบร้อย
[ วู้ม... กริ๊งๆ~* ]
หลังจากมองภาพเหล่านั้นไปได้ครู่หนึ่งภาพทั้งหลายก็มลายหายไป หลังจากหมดระยะเวลาที่ฟาวน์สามารถมองย้อนไปในอดีตได้ พร้อมเสียงกรุ๊งกริ๊งยามปิ่นปักผมร่วงลงกระทบตัวพื้น
ฟาวน์ค่อยๆบรรจงเก็บปิ่นอันนั้นขึ้นมาอย่างเบามือและเก็บมันลงไปในกระเป๋าเสื้อของตน ก่อนที่เขาจะล้มตัวลงนอนพร้อมรอยยิ้มบางๆที่ประดับอยู่บนใบหน้า เพราะภาพที่ปรากฏขึ้นมานั้นทำให้เขารู้สึกอยากจะทำความรู้จักกับอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้นไปอีก
"ลูซ มูนฟอล... ชั้นชักอยากรู้จักเธอให้มากกว่านี้ซะแล้วสิ"
น้ำเสียงนุ่มเอ่ยได้เพียงเท่านั้น ร่างสูงก็พลันจมลงสู่ห้วงนิทราหลังจากการควบม้าติดต่อกันในป่าเป็นเวลานานเพื่อหลบเร้นจากสายตาของเหล่าทหารหรือประชาชนที่อาจจะจำเขาได้ ทำให้การเดินทางครั้งนี้กินแรงมากกว่าปกติอยู่หลายช่วงนัก
.....
[ กุบกับๆ... ]
หลังจากตื่นนอนได้ไม่นาน ฟาวน์ก็รีบเก็บข้าวของและควบม้าออกมาจากป่าจนเจอเส้นทางสัญจรซึ่งมีป้ายกำดกับทางเอาไว้อย่างชัดเจน
"อืม... ทางขวาไปยังเมืองวินฟอร์ด ทางซ้ายเข้าสู่ป่าวิสเพอเรียเหรอ? ไปทางไหนดีหวา..."
ร่างสูงหยุดครุ่นคิดเพียงครู่ รอยยิ้มบางก็กลับมาปรากฏบนใบหน้าของเขาอีกครั้งหนึ่ง
"ไหนๆเมื่อคืนก็นอนในป่ามาแล้ว เข้าเมืองสักหน่อยก็ดีแฮะเรา"
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ร่างของเจ้าม้าหนุ่มจึงควบทะยานไปตามที่ผู้เป็นนายสั่งเพื่อมุ่งหน้าเข้าตัวเมือง ขณะที่ร่างของใครอีกคนหนึ่งค่อยๆคลานมาหยุดอยู่ตรงหน้าป้ายอย่างหมดสภาพ
"แฮ่กๆๆ... โอย... ถึงไหนแล้วเนี่ย? ทางแยกเหรอ..."
ร่างสูงใหญ่ที่แบกสัมภาระราวกับจะย้ายบ้านของบิลคลานออกมาจากพงหญ้าหลังจากการฝืยสังขารเพื่อเดินทางตลอดคืน เนื่องจากองค์ราชินีแอบมากระซิบข้างหูของเขาว่าถ้าหาตัวฟาวน์ไม่เจอเขาจะโดน... (เซ็นเซอร์... เซ็นเซอร์... และ เซ็นเซอร์...) ดังนั้นแม้ต้องเดินทางทั้งวันทั้งคืนเขาก็ต้องหาตัวเจ้าชายตัวแสบของเขาให้เจอให้จงได้!!!
นั่นคือสาเหตุที่บิลตามฟาวน์มาจนถึงจุดนี้ได้ในเวลาอันสั้น ทั้งๆที่ใช้สองขาเพื่อเดินทาง ต่างกับฟาวน์ที่ใช้ม้าซะด้วยซ้ำ!!!
"... ถ้าเข้าเมืองอาจมีคนจำได้ ดังนั้นฟาวน์คงเลือกเดินทางเข้าป่า... เอาล่ะรอก่อนนฟาวน์ ชั้นจะหายตัวนายให้เจอแล้วลากกลับวังเอง!!!"
อนิจจา... องครักษ์หนึ่มของเราซึ่งเกือบจะตามฟาวน์ทันกลับเลือกเลี้ยวผิดและมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าวิสเพอเรีย ต่างกับฟาวน์ที่มุ่งหน้าไปยังเมืองวินฟอร์ดซึ่งลูซได้เดินทางเข้าไปก่อนเขาแล้ว...
-----
[ โปรดติดตามตอนต่อไป ]
-----
[ โปรดติดตามตอนต่อไป ]
-----
ทำไมหัวมันแล่นแต่การแต่งเรื่องนี้หว่า... เอาน่ะ แต่งเรื่องไหนได้ก็แต่งเนอะ ดีกว่าไม่เขียนอะไรเลย
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น