รุ่งอรุณแห่งการรอคอย - รุ่งอรุณแห่งการรอคอย นิยาย รุ่งอรุณแห่งการรอคอย : Dek-D.com - Writer

    รุ่งอรุณแห่งการรอคอย

    "ความรักอาจไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต แต่ความรักทำให้เรามีชีวิต" การได้มาซึ่งความรักมิใช่เรื่องง่าย แต่การรักษารักนั้นไว้ต่างหากเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง และบางครั้งการรอคอยก็ทำให้ได้คำตอบบางอย่าง

    ผู้เข้าชมรวม

    298

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    298

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  3 พ.ค. 50 / 23:30 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      รุ่งอรุณแห่งการรอคอย

       

                ปลายเดือนมีนาคม อากาศร้อนอบอ้าว ท้องฟ้าและก้อนเมฆดูจะเป็นใจเบิกทางให้แก่แสงอาทิตย์ร้อนระอุสาดส่อง สายลมโบกพัดโชยเอากลิ่นแห่งฤดูร้อนลอยมา และด้วยอำนาจของแสงอาทิตย์ที่จัดจ้านนี้เองที่ทำให้ไอลมที่ควรจะให้ความเย็นสบาย กลับกลายเป็นอบอ้าวไป

       

                เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่ทราบที่มีนลอบถอนหายใจ เธอยกแก้วกาแฟที่เริ่มจะเย็นชืดขึ้นดื่ม และพบว่ามันพร่องไปเกือบก้นถ้วยแล้ว อุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศในร้าน ไม่อาจต้านทานอุณหภูมิที่ร้อนระอุจากภายนอกได้เลย มีนปาดเหงื่อจางๆที่ผุดพรายขึ้นบริเวณหน้าผาก น่าแปลกที่กายนั้นรู้สึกร้อน แต่ในใจกลับรู้สึกเหมือนมีเกล็ดน้ำแข็งมาเกาะกุม จากแค่เพียงรอยบาง เป็นหนาขึ้น และหนาขึ้นทุกที

       

                อีกครั้ง... ที่เขาผิดเวลานัดกับเธอ เวลาแห่งการรอคอยต้องถูกยืดออกไปอย่างไม่ต้องการ ความน้อยใจที่ปะปนอยู่ในห้วงดำมืดของความรู้สึกมีมากกว่าความโกรธเคือง และแทบจะนึกหวั่นใจทุกครั้งไปที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังก่อนเวลานัดของเราจะมาถึง

       

                มีน เดี๋ยวพี่ต้องเลิกงานช้าสักหน่อยนะ พอดีมีงานด่วนเข้ามา

       

                นานไหมคะ

       

                เธอกลั้นใจถาม ทั้งยังพยายามควบคุมน้ำเสียงที่สั่นพร่าให้เป็นปกติที่สุด

       

                สักชั่วโมงหนึ่ง

       

      ครู่หนึ่งกว่าเขาจะตอบ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เหมือนคอยลุ้นอยู่ทุกชั่วโมงยามที่เขาเงียบไปเพราะครุ่นคิด และใจก็หล่นวูบเมื่อได้ยินคำตอบ

       

      เสร็จแล้ว เดี๋ยวพี่โทรหา เขากล่าวต่อ

       

      โอเคค่ะ ไม่เป็นไร

       

      เป็นคำปด ผสมกับความรู้สึกหลอกลวงที่เธอกล่าวออกไป... ไม่เป็นไรอย่างนั้นหรือ? ไม่จริงเลยสักนิด ใครว่าเธอไม่เป็นไร อยากจะร้องไห้ อัดอั้นตันใจจะแย่แล้ว ทำไมเขาถึงชอบปล่อยให้เธอรออยู่เรื่อย เธอเกลียดการรอคอย เกลียดความรู้สึกของการรอคอย เขาไม่รู้เลยหรือไรว่า การรอคอยมันสร้างความทรมานแก่จิตใจเพียงใด

       

      ยิ่งคิด ก็ยิ่งน้อยใจ และเริ่มรู้สึกว่าตัวเองสำคัญน้อยลงไปทุกที วูบหนึ่งเธอรู้สึกว่า พอแล้ว ทำไมต้องทน ทำไมต้องรอ มีผู้ชายอีกมากมายที่เธอไม่จำเป็นต้องรอเขา และเขาเหล่านั้นคงมีเวลาให้เธอได้มากมายเท่าที่เธอต้องการ คอยเอาใจเธอได้มากพออย่างที่เธอสมควรจะได้รับเหมือนผู้หญิงทั่วๆไปเขาได้กัน

       

      มองออกไปนอกกระจกร้าน เห็นคู่รักเดินเกาะเกี่ยวกุมมือกันอย่างไม่ยอมให้มีสิ่งใดแยกจาก เธอเองก็มีช่วงเวลาแบบนั้น แต่ช่างน้อยนิดเหลือเกิน เพราะส่วนใหญ่แล้ว มือของเขาคงใช้จับปากกาทำงานเสียมากกว่า

       

      เห็นผู้คนสวมกอด โดยที่ไม่ใส่ใจต่อสายตาคนรอบข้าง บางทีพวกเขาคงร้างห่างกันไปนาน และเพิ่งมีโอกาสได้พบกัน เธอเอง ถึงแม้ไม่ได้อยู่ห่างไกลกันกับเขา แต่ก็อยากได้รับการสวมกอดอย่างที่เคยได้รับบ่อยๆเฉกเมื่อวันวาน หากทว่าตอนนี้ อ้อมกอดของเขาคงไม่ว่างพอจะโอบกอดเธอ ด้วยการงานมากมายที่เขามุ่งหวังกอบโกย

       

      นึกถึงรอยจุมพิตครั้งแรกที่จรดสัมผัสแผ่วเบาลงที่หน้าผากแล้ว เธอก็โหยหาอยากให้เขาจูบเธอเบาๆอย่างนั้นอีกสักครั้ง แต่จะเป็นไปได้อย่างไร เมื่อตอนนี้ริมฝีปากของเขาคงมัวแต่ขยับเจรจากับการงานไปเสียหมด

       

      ตั้งแต่เธอมีเขา เธอไม่เคยรู้สึกเหงาหรือโดดเดี่ยวอีกเลย แต่เวลานี้เธอเริ่มรู้สึกว้าเหว่ กับเวลาแห่งความว่างเปล่ามากมายที่รุมเร้าเกาะกินหัวใจและชีวิตเธอ ไม่มีเวลามากมายที่เธออยากครอบครองเท่าที่เธอต้องการอีกต่อไปแล้ว มีแต่เวลาอันน้อยนิดที่เธอเองก็เดาไม่ได้เลยว่า มันจะหมดไปเมื่อไหร่

       

      ขอโทษนะคะ ขอนั่งด้วยคนได้ไหม คือทุกที่เต็มหมดเลยน่ะค่ะ

       

      มีนสะดุ้งนิดๆ ก่อนพยักหน้าลง ขณะหันหน้ากลับมายังต้นเสียงที่เอ่ยทักที่กำลังทรุดกายนั่งลงยังฝั่งตรงกันข้าม

       

      ค่ะ เชิญค่ะ

       

      อ้าว...!!!”

       

      ต่างฝ่ายต่างอุทานพร้อมกัน ทันทีที่ได้สบหน้าคร่าตากันชัดเจน

       

      มีนใช่หรือเปล่า อีกฝ่ายออกปากทักก่อน ความไม่แน่ใจฉายบนดวงหน้า กระทั่งเจืออยู่ในน้ำเสียง แต่รอยมั่นใจลึกๆว่าคนตรงหน้าจะใช่คนที่หล่อนคิดก็มีมากกว่า

       

      ใช่ๆ มีนพยักหน้าลงรับคำเร็วรี่ นี่นาเดียใช่ไหม

       

      ดีใจจัง จำเราได้ด้วย รอยยิ้มของนาเดียฉายรอยดีใจชัดเจนที่รู้ว่าอีกฝ่ายจำตนได้เหมือนกัน

       

      ไม่ได้เจอกันนานเลยนะนี่

       

      ก็ตั้งแต่จบมอปลาย... นาเดียเสริมคำอย่างพยายามช่วยต่อเติมความทรงจำระหว่างเพื่อนร่วมโรงเรียนเก่าให้ติด

       

      ตอนเรียนมัธยม มีนไม่ได้สนิทกับนาเดียนักหรอก แค่อาศัยบังเอิญได้นั่งใกล้ๆกันเลยมีโอกาสได้คุยกันค่อนข้างบ่อย แต่บ่อยที่ว่านี่ก็แค่พักกลางวันสักครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างมากเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่แล้วนาเดียมักใช้เวลาคลุกอยู่กับหนังสือ ตำราเรียน ในขณะที่เธอก็คลุกอยู่กับหนังสือเหมือนกัน แต่เป็นหนังสือนิยาย

       

      แล้วมีนเป็นยังไงบ้าง สบายดีหรอ

       

      นาเดียเป็นฝ่ายเริ่มตั้งคำถามก่อน สีหน้ายังคงเปื้อนรอยยิ้มจริงใจเสมอต้นเสมอปลาย

       

      สบายดี ทีท่าที่ตอบค่อนข้างจะกระฉับกระเฉง บางทีภายใต้ความเหงา การที่ได้เจอเพื่อนเก่าที่คุ้นเคย ก็ทำให้ภาวะที่กำลังโดดเดี่ยวดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง เดียล่ะ ไม่เจอกันนานเลย สวยขึ้นนะนี่ เราเกือบจำไม่ได้

       

      มีนก็พูดเกินไปนะ คำตอบติดจะขัดเขิน ถ่อมตนอยู่ในที ตั้งแต่เรียนจบก็ไม่ได้ติดต่อกันเลยเนอะ แล้วนี่เรียนคณะอะไรอยู่ ใกล้จบรึยัง

       

      เรียนอักษรฯแล้วมีนก็บอกชื่อมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง ก็จะจบแล้วล่ะ เหลืออีกเทอมเดียว แล้วเดียล่ะ ติดหมอได้อย่างที่ตั้งใจไว้รึเปล่า

       

                จำได้ด้วยว่าเดียอยากเรียนหมอ น้ำเสียงบ่งบอกถึงความประหลาดใจอยู่ไม่น้อย

       

                มีนพยักหน้าเป็นคำตอบให้อย่างมั่นอกมั่นใจในที นาเดียยิ้มด้วยนึกเต็มตื้นในอกเล็กน้อย

       

                ก็ได้เรียนอย่างที่ตั้งใจไว้น่ะล่ะ

       

                นั่นไงล่ะ ว่าแล้วเชียว ระดับเดียสะอย่าง ไม่ติดได้ไง

       

                นาเดียนึกหัวเราะเล็กๆให้กับความร่าเริงของมีนที่ดูเหมือนจะไม่ลดลงไปเลยตั้งแต่เรียนมัธยม ก่อนพูดต่อ

       

                แต่ก็เหนื่อยนะ ไม่ค่อยมีเวลาพักกับเขาสักเท่าไหร่หรอก นี่ก็เรียนตั้งหกปี เหลืออีกตั้งสองปีกว่าจะจบ บางทีก็แอบอิจฉาพวกเพื่อนๆคณะอื่นเหมือนกัน ปีนี้ก็จบกันหมดแล้ว

       

                อีกแค่สองปีเอง อย่าพูดว่า ตั้ง สิ ฟังแล้วมันดูหนักหนาสาหัสนะ ลองเปลี่ยนจาก ตั้ง เป็น แค่ดู ฟังดูดีกว่ากันเยอะเลย

       

                นาเดียยิ้ม มีนนี่ ยังมองโลกในแง่ดีไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ

       

                ถ้อยคำของอีกฝ่าย ทำดวงตาอีกฝ่ายผลุบลงต่ำเล็กน้อย หากไม่ทันได้สังเกตก็คงไม่เห็น และนาเดียก็ไม่ได้สังเกต แต่ถึงแม้ว่าใครอื่นจะไม่รู้ แต่ในใจของตัวเองนั้นย่อมรู้ดีว่า มีความนัยอันใดซ่อนเร้นไว้อยู่

       

                ก็มองโลกในแง่ดีไว้ดีกว่า เวลาเจอความทุกข์จะได้ไม่ทุกข์มาก แม้บางทีจะเป็นการหลอกตัวเองก็ตาม นาเดียขมวดคิ้วกับน้ำเสียงอีกฝ่ายที่ผิดแผกไปเล็กน้อย เหมือนเจือรอยสั่นไหวบางอย่าง หากแต่มีนก็กลบเกลื่อนความผิดปกตินั่นเสีย ด้วยการพูดโยงไปเรื่องอื่นแทน เอาเถอะน่า ถึงจบช้าหน่อย แต่งานดี งานมั่นคง เงินเดือนเยอะ คุ้มนะเราว่า

       

                รอยยิ้มที่คลี่ฉายต่อมาของมีน แปรอารมณ์วูบไหวเมื่อครู่นี้อย่างสิ้นเชิง กำลังใจและความเอื้ออาทรเล็กน้อยของเธอนั้นราวกับปลอบประโลม และนั่นก็ทำให้นาเดียรู้สึกใจชื้นขึ้นมานิดหน่อยจากความเหนื่อยล้า และความท้อแท้ในบางคราวกับหน้าที่ทางการศึกษา

       

                แล้วนี่เดียมาทำอะไรแถวนี้

       

                เดียมารอคนสำคัญของเดียน่ะจ๊ะ

       

                อ๋อ คนสำคัญ

       

                มีนจงใจเน้นย้ำคำดังกล่าวอย่างจะล้อเลียน เพราะรู้ดีถึงความหมายของคำว่า คนสำคัญที่นาเดียพูดว่า อยู่ในฐานะตำแหน่งใด

       

                นาเดียอมยิ้ม รู้สึกขัดเขินเล็กน้อย และยิ่งเมื่อเผลอนึกถึงเขา... คนสำคัญของหล่อน ก็ยิ่งส่งผลให้แก้มทั้งสองข้างเจือสีระเรื่อ

       

                เอ้า หน้าแดงใหญ่แล้วเดีย

       

                เลิกแซวได้แล้วมีน นาเดียโบกมือจ้าละหวั่น ทั้งกลบทั้งไล่อาการเก้อเขินที่ค่อยๆเพิ่มพูนขึ้นทุกที

       

                ทำงานแล้วหรอ คนสำคัญของเดียน่ะ

       

                มีนออกปากถาม อยากรู้อยากเห็นอยู่ในที

               

                เปล่าๆ นาเดียส่ายหน้า เรียนอยู่ปีเดียวกันนี่ล่ะ แต่คนละคณะกัน คือเขาเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วยน่ะ แต่ว่างานนี่เป็นพาร์ทไทม์นะ

       

                มีนทำตาโตกับคำบอกเล่าของเพื่อน ฮ้า เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย แล้วอย่างนี้มีเวลาเจอกันหรอนั่น ไหนจะเวลาเรียนของเดียอีก

       

                อีกฝ่ายพยักหน้าลงรับ ขณะถอนหายใจเบาๆติดจะปลงนิดๆ ก็ไม่ค่อยมีเวลาหรอก เวลาพักบางทีก็ไม่ตรงกัน แล้วส่วนใหญ่คณะเดียจะติดทำรายงาน ติดทำโปรเจ็คเยอะมาก อย่างมากก็ทำได้แค่โทรศัพท์หากันทุกคืน กับกินข้าวเย็นด้วยกันบ้างบางวัน นี่จริงๆวันนี้จะเรียกว่าวันมหัศจรรย์เลยก็ว่าได้นะ เพราะได้มีเวลาว่างตรงกันทั้งคู่

       

                ท้ายประโยค มีนสังเกตเห็นว่า เพื่อนของเธอปรากฏรอยยิ้มสดใสขึ้นบนใบหน้า ทั้งที่ตอนเริ่มพูดยังทำหน้าเศร้าอยู่เลย

       

                ความรักช่างมีอิทธิพลต่ออารมณ์และความรู้สึกของคน... ทำให้เข้มแข็ง และอ่อนแอได้ในเวลาเดียวกัน และยิ่งมหัศจรรย์ เมื่อเปลี่ยนแปลงความทุกข์ให้เป็นความสุข และความสุขให้เป็นความทุกข์ได้ราวกับเวทมนตร์ในชั่วพริบตา

       

                แล้วไม่ค่อยได้เจอกันอย่างนี้ ไม่เหงาบ้างหรอ เวลาที่เค้าไม่ว่างน่ะ

       

                คำถามราวกับจะตอกย้ำรอยความเหงาร้าวรานที่บาดเฉือนอยู่ในใจตนเอง

       

                มันก็มีเวลาที่เขาว่าง แล้วเดียไม่ว่างเหมือนกัน แต่ถ้าเทียบกันจริงๆแล้ว เดียก็ยังมีเวลาว่างมากกว่าเขาน่ะล่ะ อืม ไม่เหงาหรอก เพราะเดียก็ยังมีเพื่อนอยู่ด้วย

       

                แต่เราว่า มันไม่เหมือนกัน

       

                ถ้อยคำของมีน ทำให้รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของนาเดียค่อยๆหุบลงทีละนิด จนเหลือเพียงแค่รอยยิ้มเล็กๆจางๆที่มุมปากเท่านั้น หล่อนไม่ปฏิเสธหรอกว่า ถ้อยคำของเพื่อนแทงใจหล่อน

       

                ครู่หนึ่งก็จำต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ

       

                ใช่ มีนพูดถูก มัน... ไม่เหมือนกัน... ไม่เหมือนกันเลย

       

                มีนจับจ้องมองไปยังอีกฝ่ายราวกับจะจับสังเกตถึงอะไรบางอย่าง สิ่งที่เธอเห็นคือสายตาที่เจือรอยเศร้านิดๆของเพื่อน หากแต่ยังคงเป็นประกายอยู่ ทำให้อดนึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่า ทำไมท่ามกลางความเหงา ความโดดเดี่ยวจึงเหมือนมีพลังบางอย่างที่ทำให้นาเดียยังยืนหยัดอยู่ที่เดิมได้อย่างมั่นคง

       

                ถึงรอบตัวเราจะมีผู้คนรายล้อมอยู่มากมาย แต่เมื่อไม่มีเขา แค่ขาดเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นเอง ความเหงามากมายจากไหนไม่รู้ก็เข้ามารุมล้อมเรา ทั้งที่มีคนอยู่เยอะแยะแท้ๆ ก็ยังเหงาอยู่ดี เฮ้อ เดียรู้อยู่แล้วล่ะมีนว่า ชีวิตเดียต้องเจอกับความรู้สึกแบบนี้ ตั้งแต่ตัดสินใจคบกับเขาแล้ว

       

                มีนยังไม่ได้ปริปากพูดอะไร ราวกับอยากตั้งใจฟังความรู้สึกของอีกฝ่ายที่ค่อยๆพรั่งพรูออกมาให้หมดเสียก่อน

       

                ติณณ์เขาทำความเข้าใจกับเดียตั้งแต่เขาขอคบกับเดียแล้วว่า เขาอาจไม่ค่อยมีเวลาให้เหมือนผู้ชายทั่วๆไปที่มักมีให้กับคนรักของพวกเขา ติณณ์อยู่กับเดียไม่ได้ทุกครั้งที่เดียต้องการ เพราะนอกจากเรียนแล้ว เขาต้องทำงานไปด้วย ฐานะทางบ้านติณณ์เขาไม่ค่อยดี ถ้าเขาไม่ทำงาน ก็ไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าเทอม แล้วไหนยังต้องแบ่งอีกส่วนเอาไว้ส่งให้ทางบ้านด้วย

       

                ลำบากน่าดูเลยนะ

       

                นาเดียพยักหน้าลงรับเป็นคำตอบทันที ใช่ ลำบาก

       

                แล้วถ้าอย่างนั้น ทั้งที่เขาก็รู้ว่าตัวเองมีภาระมากมายจนไม่มีเวลาขนาดนั้น แล้วทำไมเขาถึงยัง...

       

                ...ทำไมเขาถึงยังมาขอคบเดียใช่ไหม

       

                นาเดียต่อคำถามนั้นเองทันทีอย่างมั่นใจว่าตนต้องโดนถามเช่นนี้แน่นอน มีนนิ่งไปนิดหนึ่ง ไม่ตอบรับแต่รอฟังคำตอบ

       

                ในชั่วอึดใจ ปรากฏรอยยิ้มแต้มฉายบนใบหน้าของนาเดีย ขณะขยับปากบอก...

       

                เพราะเขาบอก เดียคือกำลังใจ คือที่พักใจของเขา

       

                ร่างกายมีนกระตุกชาวาบไปเล็กน้อย หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำดังเป็นจังหวะชัดเจนดังก้องอยู่ในอก ราวกับคำพูดนั้นได้ย้อนรอยรำลึกของความทรงจำบางอย่าง

       

       

                ...คุณรักฉันเพราะอะไร คุณรู้บ้างไหม

                ฉันรักคุณเพราะอะไรฉันเองก็ไม่รู้

                รู้แต่ว่า...

                         อยากอยู่ใกล้ตลอดเวลา

                         อยากได้ยินเสียงเสมอ

                         และทุกครั้งที่นึกถึง... กำลังใจจะตามมา...

       

       

                เพราะความรักเป็นเรื่องของหัวใจ ไม่ใช่สมอง

       

                คำพูดนั้นเหมือนละเมอ และน้ำเสียงที่เอ่ยก็ราวกับจะสั่นพร่า นาเดียพยักหน้าลงรับ

       

                ใช่ เป็นอย่างที่มีนพูดน่ะล่ะ เพราะความรักเป็นเรื่องของหัวใจ ไม่ใช่สมองน่าแปลกที่เราควบคุมและสั่งการสมองได้ แต่กับหัวใจ... เรากลับควบคุมมันไม่ได้ หัวใจต่างหากที่ควบคุมเรา

       

                มีนรู้สึกเหมือนหายใจติดขัด อึดอัดแน่นในอก กระทั่งแค่จะกลืนน้ำลายลงคอยังรู้สึกว่าช่างยากเย็น

       

       

       

       

       

                ทำไมพี่ธันถึงรักมีนคะ

       

                ความเคลือบแคลงสงสัยถูกถ่ายทอดออกมาทันทีอย่างไม่ยอมปล่อยทิ้งไว้ให้ค้างคาเรื้อรัง ใบหน้าเบือนหนีไปอีกทางกลบเกลื่อนสีหน้าที่เกิดขึ้นในขณะนั้น สายตาทอดมองออกไปนอกกระจกรถที่ท้องฟ้า และสิ่งรอบกายถูกปกคลุมด้วยสีดำสนิท วูบหนึ่งภาพหญิงสาวที่สะท้อนกลับมา ทำให้ต้องอดนึกสมเพชตัวเองไม่ได้ ภาพตรงหน้าที่มองเห็นทุกอย่างกำลังพร่ามัวด้วยม่านน้ำตาที่เอ่อล้นจนเปียกชื้นลามไปถึงขนตาเป็นแพหนา แม้กระทั่งเสี้ยวใบหน้าด้านข้างของธันที่สะท้อนในกระจกก็ดูจะเลือนรางไปนิด จนน่ากลัวว่าภาพเขาที่เธอรักกับรอยยิ้มอ่อนโยนที่เธอหวงแหนที่สลักอยู่ในใจจะเลือนรางตามไปด้วย

       

                กระนั้นเธอก็ยังเห็นว่า สายตาของเขายังมุ่งมั่น และเอาแต่จะมองตรงไปข้างหน้าอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีทีท่าแม้แต่จะปลายตามองมาที่เธอเลยสักนิดจนใจหาย

       

                ไม่มีเหตุผล...เขาตอบทันทีราวกับไม่จำเป็นต้องใช้ความคิดแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว ที่รักก็เพราะรัก เพราะพี่รู้สึกว่ารัก เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ เราสามารถหาคำจำกัดความของคำว่ารักได้ด้วยหรอ

       

                มีนนิ่ง ไม่ได้ให้คำตอบทั้งด้วยคำพูดและการกระทำ จนอีกฝ่ายต้องปริปากถามกลับ

       

                แล้วทำไมเราถึงรักพี่ล่ะ

       

                ก็เหมือนพี่...ถ้อยคำถูกตอบออกมาทันทีราวกับไม่จำเป็นต้องใช้ความคิดแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว ไม่มีเหตุผล ที่รักก็เพราะรู้สึกว่ารัก

       

      หางเสียงนั้นสั่นพร่า มีนรวบมือกอดขาทั้งสองข้างที่ยกขึ้นบนเบาะเข่าชิดแนบกับอกราวกับต้องการกกกอดตัวเอง ไล่อาการหนาวสั่นที่มีอยู่ข้างใน

       

      แน่ะ เลียนแบบคำพูดพี่อีก

       

      ถ้อยคำเขาติดจะกลั้วหัวเราะ เหมือนพยายามทำให้สถานการณ์อึมครึมที่ปกคลุมระหว่างเขาและเธอผ่อนคลายลง แต่ดูเหมือนว่าคนที่ยังจมอยู่ในห้วงอารมณ์ของความไม่มั่นใจ ก็ยังคงไร้ซึ่งอารมณ์ขัน ทั้งที่ข้อสงสัยในใจก็คลายไปแล้วครึ่งหนึ่ง

       

      ธันระบายลมหายใจออกน้อยๆก่อนพูดขึ้น อยู่ดีๆทำไมถึงถามพี่แบบนี้ เราคิดว่าพี่เสแสร้งรักเราอย่างนั้นหรอ

       

      น้ำเสียงที่ถามออกดุปนน้อยใจในที บางครั้งเขาก็ไม่ค่อยเข้าใจอารมณ์ขึ้นๆลงๆของเธอเท่าไหร่นัก และยิ่งภาวะที่ดูเหมือนเธอจะไม่หลงเหลือความมั่นใจในตัวเองเช่นนี้ ยิ่งทำให้เขานึกเหนื่อยใจว่า เหตุใดเธอถึงชอบคิดตัดพ้อตัวเองบ่อยนัก ทั้งๆที่เขาไม่เคยคิดมากถึงเพียงนั้น ที่น่าหงุดหงิดมากไปกว่านั้นคือ ทำไมถึงไม่เชื่อใจ...

       

      ไม่เชื่อความรู้สึกของเขา

       

      ไม่ใช่อย่างนั้นเธอส่ายศีรษะจนผมกระจาย มีนก็แค่อยากรู้ คนอย่างมีนมีอะไรดี พี่ถึงรัก...

       

      ทุกอย่างที่เป็นมีนที่ทำให้พี่รัก

       

      คำตอบถูกตอบในทันทีทั้งที่น้ำเสียงเธอยังไม่ขาดสิ้นที และเป็นอีกครั้งที่มีนรู้สึกว่า เขาตอบโดยที่ไม่ได้ใช้ความคิดในการตอบเลยแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว

       

      มีนนิ่งไปนิด ก่อนกลั้นใจพูดต่อ... พูดในสิ่งที่เธอกำลังรู้สึก และรู้สึกเสมอมา

       

      มีผู้หญิงที่เขาดีกว่ามีนอีกตั้งเยอะ

       

      ก็ใช่ แล้วยังไงธันสะบัดเสียงเหมือนไม่ใส่ใจ มีผู้ชายที่ดีกว่าพี่อีกมากมายเหมือนกัน

       

      เขาย้อนเช่นนั้น และเธอก็ไม่นึกอยากเถียงในสิ่งที่เขาพูด แค่อยากบอกว่า เธอไม่คิดจะใส่ใจ เธอไม่สนใจแม้ใครจะดีกว่าอย่างไร เธอก็พอใจแค่นี้ แต่ดูเหมือนเธอจะได้แต่กลืนประโยคพวกนั้นลงคอไป เพราะคิดขึ้นมาได้ว่า จะมีประโยชน์อะไรที่จะเอาแต่เถียงอะไรข้างๆคูๆแบบนั้น

       

      มีนก็แค่ไม่มั่นใจเธอพูดต่อทั้งที่น้ำเสียงสั่นระริก และน้ำตาก็เริ่มหลั่งไหลพรั่งพรู รอบตัวพี่มีแต่คนที่ดีกว่ามีนทั้งนั้น วัตถุ... มีนก็ไม่มีมากมาย แล้วไหนจะอีกหลายๆอย่างที่พี่เรียกร้องจากมีน ทั้งที่มีนน่าจะทำได้ แต่มีนก็ทำให้พี่ไม่ได้

       

      โธ่ มีน...เขาทอดเสียงติดจะเหนื่อยหน่ายใจ ทำไมเธอถึงช่างคิดฟุ้งซ่านไปได้ขนาดนั้น ทั้งที่เขาไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลยสักนิด มันเป็นเรื่องที่เราตัดสินใจเองคนเดียวไม่ได้ แล้วพี่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรด้วย แค่พี่รู้ว่า ใจเราคิดยังไง พี่ก็พอใจแล้ว

       

      ก็มีนรู้สึกว่า มีนทำอะไรได้ไม่ดีพอนี่

       

      ระดับน้ำเสียงดังขึ้น และถูกสะบัดอย่างเด็กเอาแต่ใจ และอยากจะเอาชนะ ทั้งที่มีรอยอู้อี้และสะอื้นปะปนกัน รู้สึกโมโหตัวเองที่อะไรๆก็ไม่เป็นดั่งใจต้องการสักอย่าง

       

      ทำไมเราคิดอย่างนี้ธันกดเสียงดุชัดเจนจนมีนต้องสะดุ้งด้วยนึกหวั่นเกรงขึ้นมาโดยพลัน พอแล้วนะ เลิกคิดอย่างนี้ได้แล้ว ที่เราเป็นอยู่แค่นี้ก็ดีเกินพอแล้ว พี่ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีก

       

      ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาดุ หรือเพราะคำพูดของเขาที่ย้ำชัดให้เธอรู้ซึ้งกันแน่ จึงทำให้น้ำข้างในตายิ่งไหลพราก และยิ่งพยายามปาดเช็ดน้ำตา ก็ยิ่งดูเหมือนจะทำให้ไหลมากยิ่งขึ้นราวกับไม่มีวันหมด ไม่มีวันหยุด

       

      ร้องไห้ทำไม ร้องไห้อีกแล้ว ไม่เอาๆไม่ร้องแล้ว

       

      เขาทอดเสียงอ่อนโยนลง ยิ่งสัมผัสมือที่ค่อยๆลูบศีรษะเธอแผ่วเบาอย่างทะนุถนอมนั้น ทำให้ข้างในรู้สึกอบอุ่น และผ่อนคลาย มีนพร่ำบอกตัวเองว่า นี่คือสิ่งที่เธออยากได้มาตลอด แต่ไม่มีผู้ใดเคยเมตตาหยิบยื่นมอบให้ ทั้งที่มันไม่ใช่สิ่งของมากมูลค่าราคาแพง ไม่ใช่สิ่งยิ่งใหญ่ที่ต้องใช้เวลาหลายล้านปีก่อสร้าง และไม่ใช่สิ่งที่ต้องลำบากตรากตรำที่จะทำเลยสักนิด

       

      ในอดีตเธอมีปมเจ็บช้ำในใจมากมาย แต่วินาทีที่เขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต มอบในสิ่งที่เธออยากได้ สิ่งเล็กน้อยแต่ยิ่งใหญ่ในความรู้สึก ทำให้ลมหายใจที่เข้าออกมีความหมาย ทำให้ชีวิตเป็นชีวิตที่แต่ละย่างก้าวมีคุณค่า เธอก็ไม่ต้องการอะไรอีกเลย

       

      มีนฟังพี่ให้ดีนะ ถึงจะมีใครให้อะไรพี่มากมาย หรือทำอะไรให้พี่เยอะแยะ พี่ก็ไม่รู้สึกอะไรมากไปกว่าความรู้สึกขอบคุณ และความรู้สึกที่เขาคงอยากตอบแทนสิ่งดีๆที่พี่ทำให้เขา และถ้าพี่ไม่รับไว้ ก็เท่ากับเป็นการหักหาญน้ำใจเขา พี่อยากให้เราดีใจไปกับพี่นะที่มีคนหวังดีกับพี่มากมายขนาดนี้ แต่ถ้าถามพี่จริงๆแล้ว พี่ไม่เคยสนใจ ไม่เคยอยากได้อะไรจากเขาเลย ไม่เหมือนเรา... ต่อให้เราไม่ทำอะไรเลย แค่อยู่ใกล้ๆ พี่ก็รู้สึกดีแล้ว ถึงเราไม่ได้ซื้อของอะไรให้พี่เยอะแยะ แต่แค่เราได้คุยกัน ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน พี่ก็มีความสุขแล้ว

       

       

       

       

      วูบหนึ่งในขณะที่ย้อนรำลึกถึงความหลังที่กลายเป็นวันวาน กลายเป็นความทรงจำ เหตุการณ์ในวันนี้อาจเปลี่ยนแปลงไปบ้าง และอนาคตก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีกมากมาย แต่หากความรู้สึกเมื่อวันวานในความทรงจำที่แสนวิเศษนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จะยังมั่นคงอยู่อย่างนั้น

       

      ...ทุกครั้งที่นึกถึง กำลังใจจะตามมา...

       

      ท่ามกลางความน้อยอกน้อยใจ ความไม่พอใจ ความเบื่อหน่ายทั้งหมด มีนเพิ่งระลึกขึ้นได้ว่า เธอเองก็เป็นกำลังใจ เป็นที่พักใจให้ใครคนหนึ่งเช่นกัน

       

      หลายครั้งนะมีนที่เดียรอเขา บางครั้งเสียเที่ยวยังมีเลย

       

      พูดถึงตรงนี้ นาเดียก็แสร้งหัวเราะออกมานิดหนึ่ง มีนนึกสงสัยอยู่ลึกๆว่า นั่นเป็นเสียหัวเราะของความข่มขื่นที่ใช้เย้ยตัวเอง หรือเสียงหัวเราะของความชินชาที่เห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติไปแล้ว

       

      แล้วไม่เหนื่อย ไม่เบื่อกับการรอบ้างหรอเดีย มีนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เจือรอยปลอบประโลมราวกับจะเข้าใจความรู้สึกของการรอคอยเป็นอย่างดี

       

       แน่นอน... นาเดียฉีกยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจขณะตอบ ทั้งเหนื่อยทั้งเบื่อสุดๆไปเลยล่ะ

       

      มีนขมวดคิ้ว ไม่ใช่เพราะคำตอบ แต่เป็นที่รอยยิ้มนั้นของเพื่อนที่เธอรู้สึกว่า มันช่างตรงกันข้ามกับสิ่งที่พูดเสียเหลือเกิน ที่สำคัญ เธอรู้สึกว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้นของเธอกับนาเดียนั้นไม่ได้ผิดแผกแตกต่างกันไปเลย แต่บางทีอาจเป็นที่ความเข้าใจกระมังที่แตกต่าง

       

      นาเดียเข้าใจอะไร

       

      ทุกครั้งที่เรานัดกันหลังเขาเลิกงาน เดียมานั่งรอเขา ตอนแรกก็รอด้วยความตื่นเต้น รอด้วยความสุข พอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เดียยิ่งต้องรอ จากที่คิดว่าคงรอแค่แป๊บเดียว กลับกลายเป็นต้องรอนาน เดียทั้งเบื่อ ทั้งน้อยใจ ทั้งไม่พอใจสารพัด ทำไมเขาไม่นึกถึงจิตใจเดียบ้าง เขาปล่อยให้เดียรอได้ยังไง เห็นงานสำคัญกว่าเดีย ทั้งที่ผ่านมาคอยพร่ำบอกเดียอยู่เสมอว่า เดียสำคัญสำหรับเขาที่สุด

       

      ความรู้สึกของนาเดียที่ถูกถ่ายทอดกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูดดูจะตรงกับความรู้สึกของเธอทุกประการ แต่ถึงกระนั้นรอยยิ้มของเพื่อนก็ยังไม่จางไปเลย

       

      รอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ทั้งที่ควรจะต้องหงุดหงิดแท้ๆ

       

      แต่พอเดียเห็นเขาเดินมาหาเดีย ใบหน้าอิดโรย ท่าทางเหนื่อยล้า แต่รอยยิ้มที่เขามักมอบให้เดียเสมอเวลาเราเจอหน้ากันก็ไม่เคยจืดจางลงไปเลย แล้วคำแรกที่เขาพูดกับเดียตอนเราเจอกันคือ คำขอโทษ... ขอโทษที่ทำให้เดียต้องรอนานอีกแล้ว นึกแล้วเดียก็ขำตัวเองนะที่ตอบคำว่า ไม่เป็นไร ออกไปทันที ไม่รู้เหมือนกันว่าทิฐิที่เคยมีก่อนหน้านี้ มันหายไปไหนหมด

       

      หากในใจคนยังมีรัก เขาผู้นั้นจะรู้จักการให้อภัยเสมอ... เพราะในใจเดียมีความรักให้เขาไงล่ะ เดียถึงไม่ถือโทษโกรธ มีหรือที่เราจะไม่ให้อภัยคนที่เรารัก

       

      ....แล้วฉันไม่รักเขาแล้วกระนั้นหรือ ฉันจึงได้ถือโทษโกรธ...

       

      เป็นคำถามที่ผุดขึ้นในใจของมีน และเป็นคำถามที่มีนใช้ถามตัวเอง ณ วินาทีนั้น

       

      ...ไม่! ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยสักนิด... เธอตอบตัวเองทันทีโดยไม่ต้องใช้ความคิดเลยแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว

       

      นาเดียยิ้มกริ่ม ใช่ เราจะโกรธคนที่เรารักจนถึงกับขนาดไม่ให้อภัยเชียวหรือ ทำอย่างนั้นได้จริงๆหรือ คำตอบของสิ่งที่เดียคิดได้ในตอนนั้นก็คงจะเป็นอย่างนั้นล่ะ ทำไมเดียต้องเรียกร้องเอาอะไรจากเขามากมาย ในเมื่อเวลาที่เหลือจากการเรียน จาการทำงานทั้งหมด เขาก็ยกให้เดีย อย่างวันนี้เขาได้ทำงานแค่ครึ่งวัน มีโอกาสได้กลับไปพักผ่อนอยู่กับบ้านสบายๆอีกตั้งครึ่งค่อนวันแท้ๆ แต่เขาก็เลือกที่จะมาหาเดีย

       

      เพราะที่ที่มีเดีย คือที่ที่เขาสบายใจ ที่ที่เขาได้ผ่อนคลายที่สุดไงล่ะ เราว่าเขาคงรู้สึกล่ะว่า การที่ได้อยู่กับเดียคือ การพักผ่อนที่ดีที่สุดของเขา ก็เดียเป็นกำลังใจ เป็นที่พักใจของเขาไม่ใช่หรอกหรอ

       

      มาถึงตอนนี้ มีนก็เริ่มจะยิ้มออกมาได้นิดหน่อย แม้จะเป็นรอยยิ้มที่จางเหลือเกินก็ตาม

       

      นาเดียเสหัวเราะออกมานิดหนึ่ง ก็คงจะอย่างนั้นล่ะมั้ง ไม่รู้สิ เดียก็รู้สึกนะว่า ในเมื่อเดียอยู่ในฐานะที่เป็นกำลังใจ เป็นที่พักใจของเขา เดียก็ควรที่จะเป็นอย่างนั้นให้ได้จริงๆ เดียควรจะเข้าใจเขามากกว่าหาเรื่องให้เขามาคอยเอาใจ เวลาที่ได้อยู่ด้วยกันก็น้อยอยู่แล้ว ยังต้องมาทะเลาะกันอีก จากที่เหนื่อยแค่กาย ก็จะกลายเป็นเหนื่อยทั้งใจไปด้วย ไม่ดีหรอกเดียว่า

       

      นั่นสินะ ถ้อยคำเอ่ยขึ้นเหมือนละเมอ ดวงตาของมีนฉายรอยหม่นเศร้ากับทุกถ้อยคำที่เอ่ยกล่าว ทำไมแทนที่เราควรจะเข้าใจเขา กลับเอาแต่ให้เขามาคอยเอาใจ เวลาที่ได้อยู่ด้วยกันก็น้อยนิด ทำไมยังต้องมาหาเรื่องให้ทะเลาะกันอีก

       

      เธอทวนคำทั้งหมดที่นาเดียพูดราวกับกำลังย้ำเตือนสติตัวเธอเอง

       

      ความรักเรียกร้องอะไรจากเรา และเราเรียกร้องอะไรจากความรัก

       

      เราย่อมอยากเก็บเกี่ยวเวลาทั้งหมดของความรัก อยากเติมเต็มความคิดถึงด้วยการสวมกอด อยากอุ่นใจเมื่อมีคนที่รักอยู่ใกล้ๆเพียงแค่ปรายตาก็มองเห็น แต่คำถามคือ เราทำเช่นนั้นได้ทั้งหมดจริงๆหรือ ในเมื่อพื้นที่ทั้งหมดของชีวิตไม่ได้มีไว้เพื่อความรักเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

       

      ความรักอาจไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต แต่ความรักทำให้เรามีชีวิต

       

      บางทีสิ่งที่เราเรียกร้องจากความรัก ก็เป็นสิ่งที่ความรักเรียกร้องจากเราเช่นกัน... ในเมื่อเรารู้จักที่จะให้และรับ มันก็สมควรที่จะเป็นเช่นนั้นให้ได้จริงๆ เขาให้ในสิ่งที่เราสมควรที่จะได้ เราเองก็ควรจะให้ในสิ่งที่เขาสมควรที่จะได้เช่นกัน

       

      และสิ่งที่เขาสมควรที่จะได้นอกเหนือจากความรักคือ ความเข้าใจ และความเชื่อใจ

       

      มีนปาดน้ำตาที่รื้นขึ้นมาคลอเบ้า ท่ามกลางความสงสัยของนาเดียที่เห็นปฏิกิริยาของเพื่อนแปลกไป มีนเบือนหน้าออกไปยังฝั่งกระจก และไม่พูดอะไรออกมาอีก

       

      นาเดียเองไม่อยากเอ่ยปากถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนของหล่อนในยามนี้ หล่อนเพียงแค่คิดว่า เดี๋ยวมีนคงจะพูดเอง ถ้าเธออยากจะพูด ดังนั้นจึงได้แต่นิ่งเงียบตามไปด้วย หล่อนเอื้อมมือไปหยิบแก้วชามะนาวมาดื่ม และพบว่ารสชาติมันออกจะจืดเกินกว่าที่ควรจะเป็น เพราะน้ำแข็งได้ละลายไปเกือบครึ่งแก้วแล้ว

       

       

      ...เธอถามว่า ฉันรักเธอมากไหม... ไม่รู้สินะ

      ฉันรักเธอมาก... แต่ไม่มากพอจะเข้าไปเปลี่ยนแปลงเธอ

      ฉันรักเธอมาก... แต่ไม่มากพอจะเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัวของเธอ

      ฉันรักเธอมาก... แต่ไม่มากพอจะแยกเธอจากสังคม

      ฉันรักเธอมาก... แต่ไม่มากพอจะอยู่ไม่ได้ถ้าขาดเธอ

       

      เธอถามฉันต่อว่า ฉันรักเธอน้อยอย่างนั้นหรือ... ไม่รู้สินะ

      ฉันรักเธอน้อย... แต่ไม่น้อยพอจะทิ้งให้เธอหนาวเหน็บเดียวดาย

      ฉันรักเธอน้อย... แต่ไม่น้อยพอจะปล่อยมือเธอให้เดินเพียงลำพัง

      ฉันรักเธอน้อย... แต่ไม่น้อยพอที่จะแบ่งปันหัวใจของเธอกับใคร

       

      สรุปก็คือ ฉันรักเธอน้อย... แต่ไม่น้อยพอที่จะไม่รักเธอ...

       

       

      มันสำคัญด้วยหรือว่า รักมากหรือน้อย เราสามารถวัดหาปริมาณค่าของความรักได้ด้วยอย่างนั้นหรือ เพราะแท้จริงแล้ว ไม่ว่าจะรักมากหรือรักน้อยแค่ไหน มันก็คือ ฉันรักเธอ’ ‘เธอรักฉันและ เรารักกัน

      แล้วอย่างไหนที่เรียกว่า รักกัน

       

      ห่วงใยกัน คือ รักกัน

      คิดถึงกัน คือ รักกัน

      ยอมรับกัน คือ รักกัน

      ให้อภัยกัน คือ รักกัน

      เข้าใจกัน คือ รักกัน

      เชื่อใจกัน คือ รักกัน

       

      เคยไหม ที่จะห่วงใย

      เคยไหม ที่จะคิดถึง

      เคยไหม ที่จะยอมรับ

      เคยไหม ที่จะให้อภัย

      เคยไหม ที่จะเข้าใจ

      เคยไหม ที่จะเชื่อใจ

       

       

      มีนสะอื้นทั้งที่ปราศจากน้ำตา เธอกระพริบตาถี่ไล่น้ำที่ขังอยู่ข้างในตาให้เหือดแห้งไป ก่อนหันกลับมายิ้มให้กับนาเดีย

       

      คราวนี้ เธอยิ้มด้วยความรู้สึก และความเข้าใจที่เหมือนกันกับนาเดียแล้ว

       

      ขอบใจมากนะเดีย เราดีใจมากเลยที่ได้เจอเดียวันนี้

       

      นาเดียยิ้มตอบ แม้จะไม่เข้าใจสักนิดว่า มีนขอบใจหล่อนทำไม แต่เอาเถอะ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่ถ้าหากได้ทำให้ใครสักคนรู้สึกดี ย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดีกว่า

       

      เออ คุยกันมาตั้งนานนะ เดียยังไม่ได้ถามมีนเลยว่า แล้วมีนล่ะ มาทำอะไรแถวนี้

       

      มีนยิ้มปนหัวเราะนิดๆ ก่อนเฉลย ก็... เหมือนเดียล่ะมั้ง คำตอบติดจะทีเล่นทีจริง

       

      นาเดียขมวดคิ้วนิดหนึ่ง แต่ยังไม่ทันที่จะได้ถามอะไรต่อ เสียงโทรศัพท์มือถือของหล่อนก็ดังขึ้นละความสนใจของหล่อนไปเสียก่อน

       

      มีนเห็นเพื่อนฉีกยิ้มกว้าง เมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู และดวงตาก็ยิ่งเป็นประกายขึ้นทุกคราที่ขยับปากเจรจา ไม่ต้องถาม เธอก็รู้ได้ทันทีว่า บุคคลที่ปลายสายของนาเดียเป็นใคร

       

      เธอไม่ใคร่จะสนใจฟังคำสนทนาส่วนตัวของเพื่อนกับคนรักนัก เรื่องส่วนตัวของคนสองคนนี่นะ... มีนเท้าคาง เบือนหน้าออกไปนอกกระจก และยิ้มกริ่ม... ภาพสิ่งรอบข้างที่เห็นไม่มีอะไรผิดแผกไปจากเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา แต่ความรู้สึกของเธอนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว

       

      ไออุ่นในกายเขาที่ราวกับจะฝังรากลึกอยู่ในกายเธอ วินาทีที่เกาะเกี่ยวกุมมือ หรือสวมกอดยังคงรู้สึกได้อยู่ข้างใน และยังวนเวียนอบอวลอยู่ในมวลอากาศรอบกาย ในหัวใจเธอเห็นภาพเขาชัดเจน ระลึกและสัมผัสได้ถึงความรักที่โหยหามานาน และปรารถนาจะเก็บเกี่ยวรักษาเอาไว้ไม่ให้เลือนหาย ดังนั้นเธอจึงไม่รู้สึกอ้างว้างอีกแล้ว ยามเมื่อเห็นใครๆเกาะเกี่ยวกุมมือกัน ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไปยามเมื่อเห็นใครๆต่างสวมกอดกัน

       

      เดี๋ยวเขาก็มา ไม่นานหรอก เธอรู้ เขาจะรีบมาหาเธอ ไม่ปล่อยให้เธอต้องรอนาน ก็เธอเป็นคนเดียวที่เขาจะคิดถึงอยู่ตลอดเวลานี่น่า

       

      ใช่ ความคิดถึง... อาจพูดไม่ได้ทุกวัน แต่รู้สึกได้ตลอดเวลา

       

      มีน เสียงเรียกของนาเดีย ทำให้คนถูกเรียกหลุดจากภวังค์ และหันหน้ากลับมาเลิกคิ้วเป็นคำถาม เดี๋ยวเดียต้องไปแล้วล่ะ ติณณ์เขามาถึงแล้ว บ่นใหญ่เลยว่ารถติด

       

      อ๋อ อืม มีนพยักหน้าลงรับรู้

       

      นาเดียสะพายกระเป๋าใบย่อมสีครีมที่ตัดกับเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลเข้มที่หล่อนใส่เข้ากับบ่า แต่ก่อนที่จะลุกขึ้นก็ราวกับจะนึกอะไรขึ้นมาได้

       

      เออ มีน เมื่อกี้มีนบอกเดียว่า เหมือนกับเดีย หมายถึงมีนเองก็มารอคนสำคัญเหมือนกัน ท้ายหางเสียงนั้นเลิกสูงขึ้นแสดงถึงคำถาม

       

      มีนหลุดหัวเราะกับท่าทางของเพื่อนออกมานิดหนึ่ง... ยังอุตส่าห์นึกขึ้นมาได้ นาเดียนี่ความจำดีจริงๆ... ก่อนจะพยักหน้าลงเป็นคำตอบ

       

      นาเดียหรี่ตาเล็กลง เดียหวังว่า คงจะไม่ใช่คนนั้นที่คบกันตอนมอปลายหรอกนะ หล่อนหมายถึงคนรักคนแรกของเธอ

       

      ไม่ใช่ๆ มีนรีบปฏิเสธพัลวัน น้ำเสียงของนาเดียที่ถามดูจะมีรอยดุหน่อยๆ เธอพอจะรู้ดีว่า เพื่อนของเธอไม่ค่อยจะพึงพอใจคนรักคนแรกของเธอนัก มันก็สมควรอยู่ เพราะตอนที่เธอร้องไห้ เสียใจเพราะคนคนนั้น นาเดียก็เป็นคนหนึ่งที่รู้เรื่อง และคอยปลอบใจเธอ

       

      เราคงไม่กลับไปคืนดีกับเขาอีกแล้วล่ะ อย่างมากก็เป็นได้แค่เพื่อนที่ดีต่อกันแค่นั้น

       

      นาเดียผงกศีรษะรับรู้ และสีหน้าก็แสดงอาการเหมือนจะยินดีกับคำบอกกล่าวนั้น

       

      ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วล่ะ แล้วเดียก็หวังว่า คนนี้จะดีกับมีนจริงๆ

       

      ก็เท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะพึงมี และพึงเป็น กับผู้หญิงที่เขารักน่ะล่ะ

       

      มีนตอบพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน... รอยยิ้มที่ทำให้อีกฝ่ายต้องนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งด้วยความมั่นใจในอะไรบางอย่างที่แฝงอยู่ในรอยยิ้มนั้น และถ้อยคำนั้น

       

      แล้วนาเดียต่อมา นาเดียก็ยิ้ม ถ้าเป็นอย่างนั้น เดียก็หายห่วง เดียไปล่ะนะ ขอให้มีนโชคดี

       

      อืม เดียก็เหมือนกัน

       

      แล้วทั้งคู่ก็โบกมือลา พร้อมกับที่นาเดียเดินแยกจากไป มีนยิ้มกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก็ราวกับจะนึกขึ้นได้ว่า ยังไม่ได้ถามเบอร์โทรศัพท์ติดต่อนาเดียวไว้เลย ครั้นพอหันไปที่ประตูทางออกร้าน และทางเดินนอกกระจกก็ไม่พบเพื่อนอยู่ในสายตาแล้ว

       

                มีนถอนใจแรงๆ นึกอยากด่าทอตัวเองที่นั่งคุยกับเพื่อนเสียตั้งนาน แต่กลับลืมนึกถึงเรื่องขอเบอร์โทรศัพท์ติดต่อไว้เสียสนิท นี่ไม่รู้ว่าเบอร์เก่าของนาเดียที่เธอเคยมีสมัยเรียนมัธยม นาเดียจะยังใช้อยู่ไหม

       

                ไว้ต้องลองโทรดู... เธอนึก และถ้าหากเพื่อนไม่ได้ใช้แล้วก็ถือเสียว่า เธอโชคร้ายไปละกัน คงต้องรอวันชะตาฟ้าลิขิตเหมือนวันนี้อีก

       

                เอาเถอะ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ ก็คงได้เจอกันสักวัน

       

                คนบางคน เพียงแค่เดินผ่านมา เพื่อสอนอะไรบางอย่างแก่เรา แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันเรื่อยไปถาวร แต่สิ่งที่มีค่า และมีความหมายที่เขาได้ทิ้งไว้ ก็ทำให้เราได้ระลึกถึง และจดจำไว้ตลอดไป

       

                มีนย้อนกลับมานั่งยิ้มกับตัวเองอีกครั้ง ก่อนเสียงโทรศัพท์มือถือจะดังขึ้นเป็นจังหวะเพลงคุ้นเคย

       

                มือรีบควานหยิบหาสิ่งที่กำลังสั่นสะเทือนในกระเป๋าเสียก่อนที่มันจะหยุดนิ่งไป และรอยยิ้มกว้างก็ฉายชัดบนใบหน้าทันที่ที่กรอกเสียงใส

       

                ฮัลโหล ค่ะ

       

                อยู่ไหน น้ำเสียงติดเหมือนจะดุนิดๆเจือปนรอยเหนื่อยล้า ถามมาเป็นคำแรก

       

                ก็อยู่ร้านเดิมนั่นล่ะค่ะ คำตอบติดจะกลั้วหัวเราะนิดๆ

       

                แล้วทำอะไรอยู่ล่ะ

       

                ก็นั่งกินกาแฟ มองวิวไปเรื่อยล่ะค่ะ

       

                อืม นี่พี่รออยู่หน้าที่ทำงานแล้ว เราออกมาหาพี่เลยนะ

       

                จ๊ะๆ โอเคจ๊ะ

       

                เธอตอบรับ และไม่รอช้าหลังจากวางสาย มีนรีบกุลีกุจอลุกจากที่นั่ง และเดินฉับไวออกจากร้านทันที โชคดีที่ร้านนี้เป็นลักษณะแบบบริการตนเอง ชำระเงินตั้งแต่สั่งอาหารและเครื่องดื่มแล้ว จึงไม่ต้องเสียเวลาเรื่องรอชำระเงิน

       

                มีนก้าวเท้าไวจากร้านกาแฟไปยังที่หมายที่เขารออยู่ ไม่ยอมปล่อยให้เขาต้องรอนาน และเธอก็ไม่อยากให้หัวใจตัวเองต้องร่ำร้องรอนานเช่นกัน

       

                ร่างสูงของธันยืนเด่นอยู่ในสายตาของมีนท่ามกลางผู้คนมากมายที่เดินขวักไขว่ผ่านไปมา เธอฉีกยิ้มกว้างนำ ขณะเดินเข้าไปหา ธันส่งยิ้มจางๆกลับมาให้

       

                วินาทีนั้น เธอนึกถึงคำบอกเล่าของนาเดีย... ใบหน้าที่ดูอิดโรย ท่าทางที่ดูอ่อนล้า เหนื่อยกายจากการทำงานหนัก และการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ แต่ไม่มีวันที่เขาจะไม่ส่งรอยยิ้มมอบมาให้

       

                มีเหตุผลมากมายที่ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องอยู่ตรงนี้ แต่มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นที่ทำให้เขายืนอยู่ตรงนี้

       

                เหตุผลเดียวที่ทำให้เหตุผล และข้ออ้างที่เหลือทั้งหมด กลายเป็นไม่มีความหมาย และไม่มีความคิดจะถูกหยิบยกมาใช้

       

                หิวไหม กินอะไรดี

       

                เขาหันมาถามด้วยน้ำเสียง และสายตาที่อ่อนโยน ทีท่าเหนื่อยล้าดูจะดีขึ้นละมานิดหน่อย ขณะเขาเกี่ยวก้อยเดินเคียงข้างเธอไปข้างหน้า

       

                อืม... มีนทำหน้าครุ่นคิด ไม่รู้สิ นึกไม่ออก เดี๋ยวลองเดินๆดูแล้วกัน

       

                ธันพยักหน้าลงรับราวกับตามใจ

       

       

       

       

                พี่ว่า พี่อยากได้กางเกง

       

                ธันเอ่ยขึ้น หลังจากเดินออกมาจากร้านอาหาร

       

                ก็เอาสิ ไปเดินดูไหมล่ะ มีนกล่าวสนับสนุนด้วยทีท่าเต็มใจ

       

                เขาพยักหน้าลงรับ ก่อนจะเอ่ยถาม แล้วเราล่ะ อยากได้อะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า

       

                มีนผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะผลุบตาลงต่ำ ไม่ได้มีทีท่าครุ่นคิด แต่ไหนแต่ไรมา เขามักจะถามคำถามนี้กับเธอเสมอ เวลาที่ได้ไปเดินเที่ยวซื้อของด้วยกัน และคำตอบของเธอก็เหมือนเดิมทุกครั้ง เธอมั่นใจว่า เขารู้ว่า เธอไม่อยากได้อะไรมากไปกว่าช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกัน แต่เขาก็ยังเลือกที่จะถาม เผื่อว่าจะมีสักครั้งที่เธอจะอยากได้สิ่งของอะไรบ้าง

       

                และคำตอบในครั้งนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมา มีนยังคงส่ายศีรษะหนักแน่นจนผมกระจาย หากครู่หนึ่ง ก็พลันเอื้อมมือสอดเข้าไปเกาะเกี่ยวกุมมือเขา แล้วบีบเบาๆ

       

                ขอแค่นี้ก็พอแล้วค่ะ

       

                เธอบอก ขณะถ่ายทอดความรู้สึกและไออุ่นจากกายสู่กาย สายตาที่ทอดมองเขานั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความรักและความห่วงหาอาทร รอยยิ้มฉีกกว้างสดใส และอ่อนหวาน... ธันได้แต่นิ่งไปนิดหนึ่ง กับท่าทีของอีกฝ่ายที่ดูจะผิดแผกไปสักหน่อย ครั้นต่อมา เขาก็ยิ้มให้... ยิ้มที่มาจากทั้งปากและดวงตา มีนไม่ต้องเสียเวลาถามเลยสักนิดว่าเขายังรักเธออยู่ไหม เพราะทุกครั้งที่ได้มองสบนัยน์ตาของเขาที่ทอดมองมา เธอก็ได้คำตอบ

       

                ธันเอื้อมมืออีกข้างที่ว่างยีผมเธอเบาๆติดจะเอ็นดู ขณะมือข้างที่จับเธอก็ออกแรงบีบเบาๆ ถ่ายทอดความรู้สึก และไออุ่นให้แก่กันและกัน

       

                ...พี่ธันรู้จักเธอดีกว่าใครๆ เขาเข้าใจในความเป็นเธอ เข้าใจในความคิด และความรู้สึกที่เกิดขึ้นแม้ไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำ เธออยู่ในสายตา อยู่ในใจเขาเสมอ มีอะไรที่พี่ธันไม่รู้เกี่ยวกับตัวเธอบ้าง อ้อ อาจมีอยู่เรื่องหนึ่งที่เธอกำลังจะบอกเขาต่อไปนี้...

       

                ต้องการแค่นี้เองหรอ เขาหยอกถาม ติดจะทีเล่นทีจริง

       

                สิ่งของที่มีนได้จากพี่ธัน แม้จะเป็นสิ่งเล็กน้อยก็ดีอยู่ เธอเริ่มเอื้อมเอ่ยความในใจ แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับความใส่ใจของพี่ที่อยู่ในสิ่งของเหล่านั้น เพราะมันทำให้มีนรู้ว่า พี่ธันใส่ใจในตัวมีนมากแค่ไหน และยิ่งเวลาที่พี่ธันจับมือ หรือกอดมีน ยิ่งทำให้มีนรู้สึกว่า นี่เองที่มีค่าและมีความหมายกับมีนมากกว่าอะไรทั้งหมด แค่พี่ธันรักมีนอย่างเช่นที่เคยรัก และยังคงรักอย่างนี้เรื่อยไป แค่นั้นก็พอแล้ว

       

                ธันไม่ได้พูดอะไรตอบ เขาแค่ยิ้ม และกระชับมือที่กุมมือเธอแน่นขึ้น สัมผัสนั้นราวกับจะแทนถ้อยคำ และความรู้สึกทั้งหมด...

       

                มือนี้ เมื่อจับแล้ว ก็ยากยิ่งที่จะปล่อยให้เดินเพียงลำพังเช่นกัน

       

                จริงๆแล้ว มีนยังไม่เคยได้บอกพี่ธันเลยสินะ รอยยิ้มที่ฉายบนใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข ขณะขยับปากเจรจาต่อ ตั้งแต่มีนเจอพี่ธัน ได้มีพี่ธันอยู่กับมีน มีนก็ไม่เคยอยากได้อะไรอีกเลย โลกของมีนถูกเติมเต็มด้วยความรักของพี่ธัน มีนรู้นะคะว่า ตอนนี้พี่กำลังทำงานหนัก โอกาสดีๆกำลังเข้ามา เราอาจมีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยลง มีนอาจจะต้องเหงาไปบ้าง แต่ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มีนเข้าใจ และจะอยู่ข้างพี่ธันเสมอ บางทีมีนอาจมีงี่เง่าไปบ้าง แต่มีนก็จะพยายาม...

       

                ท้ายประโยคนั้น น้ำเสียงสั่นคลอนเล็กน้อย มีนกลั้นใจไม่ให้น้ำตาไหลออกมาโดยการกระพริบตาถี่

       

                ธันลูบไล้ไปตามเส้นผมเธอแผ่วเบา ไม่ต้องคิดมาก พี่เข้าใจมีนนะ และไม่ใช่เข้าใจเพราะหน้าที่ด้วย เธอพยักหน้าลงรับเบาๆ พี่เองก็รักมีนมาก ขอบคุณที่เข้าใจพี่ รู้ว่าพี่เหนื่อย พี่อยากพักผ่อน ขอบคุณมากๆ

       

                มีนยิ้ม ก่อนหัวเราะออกมานิดๆ ว้า แต่มีนทำให้พี่ธันไม่ได้พักผ่อนน่ะสิ เหนื่อยจากการทำงาน แล้วยังต้องมาเหนื่อยดูแลมีนอีก

       

                แต่พี่ยอมเหนื่อยนะ จริงๆจะให้พี่กลับบ้านก็ไม่มีอะไรทำอยู่ดี เขาเปรย

       

                อยู่กับมีน ก็ไม่มีอะไรทำเท่าไหร่หรอก

       

                แต่อย่างน้อย ก็ยังมีคนอยู่ข้างๆ...

       

                เขาสบตาเธอ และดูเหมือนสายตาของเขาจะแทนถ้อยคำบางคำที่ไม่ได้เอื้อนเอ่ย

       

                ได้กลับบ้านไป แต่ต้องอยู่คนเดียว กับการที่ได้รู้ว่ามีใครคนหนึ่งอยู่ข้างๆ แม้จะไม่มีอะไรทำ แต่อย่างน้อยแค่ได้รับรู้ว่าอยู่ด้วยกัน ก็ดีแล้ว

       

       

       

       

                เราไม่อาจรู้ได้เลยว่า ระหว่างคนสองคนจะมีเวลาอยู่ร่วมกันได้อีกนานเท่าไหร่ การได้ใช้ช่วงเวลาที่ดีด้วยกันบางทีอาจมีแค่เพียงน้อยนิดให้เก็บเกี่ยว รอยยิ้มและความรักเอื้ออาทรที่ต่างฝ่ายควรจะถ่ายทอดให้แก่กันจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ และมีค่ามากในช่วงเวลาเหล่านั้น เพื่อในวันหนึ่งข้างหน้าที่ใครคนใดคนหนึ่งต้องเกิดความรู้สึกว้าเหว่ และอ้างว้าง จะได้ฉกฉวย หยิบเอาความรู้สึกที่เก็บเกี่ยวเหล่านั้นมาหล่อเลี้ยงใจให้ระลึกไว้ว่า ความรักที่อีกฝ่ายมีให้ยังคงอยู่ และอบอวลอยู่โดยรอบกาย เป็นมวลอากาศที่คอยโอบกอดเราไว้อย่างอบอุ่น

       

                ยามที่ได้สบนัยน์ตา ยามที่อยู่ในอ้อมแขน หลายครั้งที่มีนนึกอยากเพ้อรำพันกับเขาเหลือเกินว่า ที่ผ่านมา เขาไปอยู่ที่ไหนมา ทำไมเราถึงเพิ่งมาเจอกัน แต่ก็ปล่อยให้มันค้างอยู่ในใจอย่างนั้น บางทีเหตุผลของการที่ได้พบกัน อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเร็วหรือช้า แต่อยู่ที่มันทำให้เราได้รักกันต่างหาก

       

                รักกัน... ห่วงใยกัน... เอื้ออาทรต่อกัน... ความไม่เข้าใจ ความน้อยอกน้อยใจ อาจรุมเร้าเข้ามาบ้างในบางคราว แต่ความรักที่คนสองคนมีให้แก่กันก็ช่างมีพลังยิ่งนัก ที่สามารถทำให้ทิฐิอันแข็งกระด้างของคนสองคนอ่อนนุ่มลงได้อย่างนิ่มนวล

       

                และความสุข มันก็อยู่แค่เอื้อม เพราะเพียงฉันเห็นคุณยิ้ม ฉันก็จะยิ้มตาม และเพราะให้คุณได้รักฉันได้อย่างผ่อนคลาย

       

                ฉันก็สบายใจ...

       

      The End

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×