ลำดับตอนที่ #19
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : เรื่องเล่าของผืนดินและท้องฟ้าที่ไม่มีวันจบ
มาอัพให้จบแล้วค่า
Phase 19 เรื่องเล่าของผืนดินและท้องฟ้าที่ไม่มีวันจบ
นับแต่วันแรกที่ข้าได้พบเจ้าไม่ว่าเมื่อใดข้าก็จะมองตามเจ้าตลอด...
คราใดที่หลับตาลงใบหน้าอันงดงามของเจ้าก็จะเด่นชัดขึ้นมาเรื่อยไป....
เคยได้ยินคำถามหนึ่งจากใครสักคนเมื่อนานมาแล้ว...ความรักนั้นถูกกำหนดขึ้นด้วยสิ่งใด...
สำหรับข้ารักนั้นไม่ได้กำหนดด้วยเวลาหากแต่กำหนดด้วยจิตใจของคนสองคนที่ผูกพันกัน...
ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ข้าหลงรักในรอยยิ้มของเจ้าจนไม่อาจห้ามใจได้ เจ้าจะรู้ไหมว่ารอยยิ้มของเจ้าคือทุกสิ่งสำหรับข้า...
แต่แล้ว...ณ ตอนนี้ไม่เพียงแค่รอยยิ้มของเจ้าเท่านั้น แม้แต่นามของข้าก็คงไม่อาจได้ยินจากเจ้าอีกแล้ว...
เพราะว่าตัวเจ้านั้นได้ลืมสิ้นทุกสิ่งไปจนหมดแล้ว...
...............................
ยามเมื่อคำพูดของบุรุษนามสติงจบลงนัยน์ตาของผู้พูดทอแสงด้วยความเจ็บปวดเช่นเดียวกับบุรุษผู้หนึ่งที่หวนนึกอดีตภายในความทรงจำ ความสงสัยที่มีในใจมาถึงตอนนี้เมื่อได้รู้ก็ไม่อาจทำใจยอมรับได้ แม้เธออยู่ที่นี่แต่ก็ไม่ใช่เธอคนนั้น ความจริงที่ยากจะยอมรับ....
"แล้วมีทางที่สเตลล่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมไหม"เขาถามออกไปแม้รู้ดีว่ามันคงแทบไม่มีทาง
"ข้าเองก็ไม่รู้ ถ้าข้ารู้ข้าก็คงไม่ต้องรู้สึกเช่นนี้หรอก"หากรู้ว่ามีเขาก็ยินดีทำไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใด เพราะการถูกลืมนั้นช่างเจ็บปวดยิ่งนัก ไม่รู้เหมือนกันว่าครั้งสุดท้ายที่ถูกลืมเป็นครั้งที่เท่าไหร่กัน
เทพแห่งท้องฟ้าก้มหน้านิ่งมือกำสร้อยคอที่สวมอยู่ไว้แน่นก่อนจะตัดสินใจเดินออกไปเรียกความสนใจของอาวล์และสติงที่ยืนอยู่ในทันที
"นายจะไปไหนน่ะ..."
"ข้าจะไปหาสเตลล่า...."เขาตอบเสียงแผ่วเบา
"ไม่มีประโยชน์หรอกไม่ว่าจะทำอย่างไรสเตลล่าก็ไม่อาจจำนายได้หรอก"ใช่แล้ว...ไม่อาจจดจำใครได้แม้แต่เขาที่ไม่นานคงต้องหายไปจากใจเธออีกคน
"ข้ารู้ แต่ว่าข้าน่ะมันคนดื้อรั้นนะแล้วมีเหรอที่ข้าจะยอมให้จบลงเช่นนี้โดยที่ข้ายังไม่อาจได้ทำอะไร"เขาหยุดเดินและหันมามองทั้งคู่ บนใบหน้ามีรอยยิ้มที่เหมือนฝืนยิ้มออกมา
"ทั้งที่สเตลล่าลืมนายไปแล้ว"
"ใช่.."แม้นางจะลืมข้าแต่ข้าก็ยังไม่ลืม...
"ทั้งที่แม้ว่าจะพูดคุยกับเธอแต่สเตลล่าก็จะลืมนายไปอีก"
"ใช่.."นางอาจลืมข้าแต่ข้าจะไม่มีวันลืม...
"ทั้งที่รู้ว่าจะต้องเจ็บปวดแต่นายก็ยังพยายามจะเดินเคียงข้างเธองั้นเหรอ"
"ใช่.."ความเจ็บปวดที่ถูกลืมข้ายอมทนรับมันได้แต่ข้าคงทนไม่ได้ที่จะไม่เห็นรอยยิ้มของนาง...
"ข้ารู้ดีว่าไม่มีวันที่จะเรียกอดีตให้กลับมาได้ แต่มีบางอย่างที่ข้าต้องทำอาจฟังดูเห็นแก่ตัวแต่ข้าก็ทำเพื่อตนเองเช่นกัน"คำพูดที่แฝงไปด้วยความาดมั่นที่ทำให้อาวล์กับสติงต้องยิ้มและหัวเราะเบาๆ
"นายนี่มันคนหัวดื้อจริงๆนะ แต่เอาเถอะโลกนี้ไม่มีใครไม่เห็นแก่ตัวหรอกน่า"สติงพูดแหย่กึ่งปลอบเล็กน้อย ชินรับคำพูดนั้นมาและก้าวเดินออกไปหาเธอคนนั้น เพื่อทำในสิ่งที่เขาจะไม่มีวันเปลี่ยนใจ
..........................
kanashimi wo oshiete......
ความเศร้านั้นเป็นเช่นไร บอกฉันที
ร่างบอบบางในชุดสีขาวเดินย่ำลงบนพื้นหญ้าพลางจ้องมองทุกสิ่งรอบกายด้วยความเศร้า แม้ว่าอยากจะจดจำไว้สักเพียงใดก็ไร้ค่า แม้ไม่อยากลืมเลือนแต่ก็ไม่อาจขัดขืนในชะตากรรมของตนเองได้ ซักวันหนึ่งทุกสิ่งที่เคยทำมาก้จะกลายเป็นเพียงความว่างเปล่า
"นี่สเตลล่าพวกเราจะมีวันที่ได้สมหวังในสิ่งที่ปรารถนาบ้างไหม...."เธอพูดกับตนเองแต่เหมือนพยายามจะสื่อสารกับสเตลล่าผู้ที่เธอบอกว่าเลือนหายไปแล้ว
hitomi wo tojite itara kanashimi mo mienai to
ถ้าหากเธอนั้นปิดตาลงก็คงไม่ต้องพบกับความเศร้าหมอง
nukumori shirazu ni ireba kizutsuku koto mo nai to
ถ้าหากเธอนั้นลืมความอบอุ่นได้ก็คงไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวด
"ความทรงจำนั้นเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งนัก...ความทรงจำเปรียบดังสิ่งที่ยืนยันความมีตัวตนของพวกเราทุกคน แต่พวกเราที่ต้องลบเลือนสิ่งเหล่านี้เรื่อยไปจะเรียกว่ามีตัวตนได้ไหมนะ....เจ้าเจ็บเยี่ยงใดข้านั้นรู้ดีที่สุดเพราะข้าคือผู้ที่เฝ้ามองเจ้าเสมอมา การลบเลือนนั้นอาจทำให้ลืมความเจ็บปวดได้แต่กระนั้นเจ้าก็จะไม่รู้จักตนเองอีกต่อไป...."รู้สึกเจ็บในหัวใจเหลือเกินที่เวลาของเธอเหลือน้อยลงไปทุกที ยิ่งครั้งใดการลบเลือนใกล้เข้ามาพวกเธอก็จะรับรู้ได้ในชั่วแว่บที่จะหายไป
"และยามใดเมื่อเวลานั้นมาถึงตัวตนของเจ้าก็จักเลือนหายไปอย่างแท้จริง...."นัยน์ตาคู่สวยหรี่ลงปล่อยให้หยาดน้ำใสๆที่ใกล้จะเอ่อล้นไหลรินออกมา
"แต่ว่าผู้อื่นก็ไม่ได้ลืมเลือนเจ้ามิใช่หรือ..."เสียงหนึ่งที่เธอรู้จักดีดังขึ้นจากข้างหลัง เธอรีบปัดน้ำตาทิ้งและหันกลับไปมองร่างของใครบางคนที่เดินเข้ามาใกล้
"เจ้าเองหรือ เทพแห่งท้องฟ้าชิน อาสึกะ"
"ดูท่าเจ้าจะจำข้าได้นะแต่ข้ายังไม่รู้จักเจ้าเลย เจ้าคือใครงั้นหรือ"เขาว่าพลางยิ้มนิดๆ
"ข้าคืออนาคตของเทพีแห่งผืนดินสเตลล่า ลูซเซอร์"เมื่อได้ฟังเขาก็เลิกคิ้วสูงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้เธอต้องรู้สึกไม่พอใจ
"แสดงว่าคราวต่อไปเจ้าก็จะกลายเป็นสเตลล่าแห่งปัจจุบันสินะ"
"ใช่แต่คงยังไม่ใช่ ณ ตอนนี้ถ้ายังไม่มีสิ่งใดไปกระตุ้น"เธอพูดเน้นคำสุดท้ายคล้ายคำเตือนก่อนส่งสายตาที่ดูก็รู้ว่าไม่พอใจมาให้เขา
รู้สึกเหมือนเขากำลังมองข้ามสเตลล่าคนนั้น....
"ถ้าเช่นนั้นก็คงจะมีสเตลล่าแห่งอนาคตคนใหม่กำเนิดขึ้นมาสินะแล้วสเตลล่าคนนั้นจะจำเรื่องราวก่อนสเตลล่าคนก่อนหน้าเจ้าได้ไหม"
"ไม่นางไม่อาจจำเรื่องของสเตลล่าแห่งปัจจุบันคนนี้ได้หรอก..."เธอแทบจะหยุดพูดไม่ทันเมื่อได้รู้ว่าตนเผลอพูดอะไรออกไปและคำถามก็ถูกส่งมาอีก
"แล้วเหตุใดเจ้าที่เป็นอนาคตถึงได้จดจำสเตลล่าคนที่ข้าพบคนแรกได้ล่ะ"ใบหน้าเรียบเฉยชะงักไปชั่วขณะกับคำถาม เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของเขาที่บัดนี้ลุกไหม้ราวกับจะกลายเป็นเปลวเพลิงที่แผดเผาเธอให้มอดไหม้ก็ไม่ปาน
"คือข้า..."แววตาตื่นตระหนกเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกโดยไม่อาจจะซุกซ่อนเอาไว้ได้เมื่อสบมองกับดวงตาสีเพลิงที่กำลังมองหาความจริงจากเธอ
"ข้าจะถามอีกครั้ง เจ้าคือใคร..."แม้ตอนแรกเขาจะรู้สึกตกใจกับคำพูดของสติงและสเตลล่ามากแค่ไหนแต่เขาก็รู้สึกสงสัยในบางอย่างด้วย รู้สึกเหมือนเธอกำลังปิดบังอะไรบางอย่างที่ไม่อาจบอกได้ไม่ว่าคนผู้นั้นจะใกล้ชิดกับเธอมากเพียงใดก็ตาม
"........คิก"เสียงเงียบหายไปก่อนตามด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ ร่างบอบบางเบื้องหน้าแย้มยิ้มเหมือนขบขันทั้งที่เมื่อครู่ยังมีแววตื่นตระหนกให้เห็นเธอยกมือขึ้นกอดอกแล้วพูดออกมา
"นับว่าเจ้าเองก็ไม่ได้โง่เขลามากนักแต่เรื่องของข้าน่ะไว้หลังจากที่เจ้าสามารถเรียกสเตลล่าผู้อยู่ในอดีตคนนั้นกลับมาได้ก่อนแล้วข้าจะเล่าให้ฟัง"เธอเดินออกห่างจากเขาเปลี่ยนมือมากุมเอาไว้กลางหน้าอก
"เอาล่ะข้าจะให้เจ้าพบกับสเตลล่าแห่งปัจจุบันอีกครั้ง..."นัยน์ตาคู่สวยปิดสนิทและนิ่งเงียบคริสตัลรูปกลมบนเสื้อส่องประกายออกมาเล็กน้อยและยามเมื่อนัยน์ตาคู่นั้นเปิดออกภายใต้ดวงตาก็กลับมาดูไร้เดียงสาผิดกับตอนแรก
"กลับไปอยู่ที่แห่งนั้นอีกแล้วหรือ สเตลล่า..."เธอพูดกับตัวตนที่ได้กลับไปภายในเสียงเบาๆเหมือนมีแววสงสาร สเตลล่าคนใหม่เงยหน้าขึ้นมองชินโดยไร้รอยยิ้มหรือความรู้สึกใดๆ
"สวัสดีค่ะข้าเทพีแห่งผืนดินมีนามว่าสเตลล่า ลูซเซอร์ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ"ถ้อยคำแนะนำตัวที่แสนธรรมดาเสียดแทงและบาดลึกลงไปในใจของชายหนุ่ม เจ็บยิ่งกว่าถูกเกลียดแต่ก็กลับฝืนยิ้มออกมาเหมือนไม่รู้สึกอะไร
"ข้าเทพแห่งท้องฟ้านามชิน อาสึกะ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน"น้ำเสียงที่เหมือนสั่นไหวถูกพยายามปรับให้ปรกติอย่างยากลำบากทั้งที่พยามยามบอกตนเองว่าตอนนี้เธอคือสเตลล่าคนละคนกัน
"แล้วก็..ข้าขอเรียกเจ้าว่าสเตลล่าได้ไหม"เขาลองเชิงถามออกไปดูแต่เธอกลับตอบมาด้วยท่าทางสบายๆราวกับไม่รู้สึกอะไร
"ได้ค่ะ ท่านชิน.."
ท่านชิน...สรรพนามที่เปลี่ยนไปจากเดิมสร้างช่องว่างระหว่างเราสองคนให้กว้างมากกว่าเดิม
แม้ข้ารู้ดีว่าเจ้าคือสเตลล่าอีกคนหนึ่ง แต่มันก็แค่คำปลอบใจตนเองเท่านั้น
"นี่สเตลล่าเจ้าพอจะมีเวลาบ้างไหม"
จะมีทางไหมนะที่จะเรียกเจ้ากลับคืนมา....
สเตลล่ามองผู้เป็นฝ่ายถามแล้วพยักหน้าตอบรับไป ชินจึงได้ยื่นมือออกไปหาเธอแต่ว่ามือที่เรียวบางนั้นกลับไม่ได้ยื่นออกมาจับตอบซ้ำใบหน้ายังมีความลังเลฉายอยู่ชัดเจนยิ่งนัก
หากเป็นเมื่อก่อนเจ้าคงตอบรับมือข้างนี้ของข้าโดยไม่ลังเล หากแต่คราวนี้ทุกสิ่งมันได้เปลี่ยนไปแล้ว
มีเพียงข้าที่ยังอยู่ที่เดิมเสมอ....
"งั้นไปกันเถอะนะ"ชินดึงมือกลับก่อนเดินนำออกไปซึ่งสติงและอาวล์ก็แค่มองตามเขาและเธอออกไปจนในที่สุดร่างของทั้งสองก็หายไปจากสายตา
..............
.........
ร่างของชายหญิงคู่หนึ่งก้าวเดินลงบนพื้นสีขาวอมเทาไปเรื่อยๆโดยมีร่างของชายหนุ่มเดินนำอยู่เล็กน้อยส่วนหญิงสาวก็ตามอยู่ไม่ห่างนัก เขาไม่คิดพูดอะไรส่วนเธอก็ไม่รู้จะพูดอะไรดีเพราะสำหรับเธอแล้วเขาเป็นแค่คนที่เพิ่งจะรู้จักเท่านั้น
แต่ก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ว่าเหตุใดจึงได้ตามเขาออกมาทั้งที่เสียงหนึ่งในใจก็เอ่ยค้าน แต่เบื้องลึกในใจกลับบอกให้เธอตามเขาไป หลายครั้งที่พยามยามจะเรียกชื่อเขาก็พูดออกไปไม่ได้ จนในที่สุดเธอก็ทำแค่เดินตามเขาไปเงียบๆ
อีกเรื่องที่เธอยังไม่เข้าใจก็คือทำไมเธอถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับเส้นทางนี้กันนัก ทั้งที่เธอเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก...
จริงหรือ....
เหมือนได้ยินเสียงในใจเอ่ยถามแต่ก็เพียงแค่คิดว่ารู้สึกไปเองและความรู้สึกนั้นก็เหมือนไปกระตุ้นอะไรบางอย่างในร่างกาย ความเจ็บปวดที่เธอต้องรู้สึกเจ็บทุกครั้งที่ได้ยินชื่อของเขา ชิน อาสึกะ....แม้อดกลั้นเอาไว้แต่ก็รู้ว่าเหมือนกับน้ำตาจะไหลออกมา ยิ่งอยากจะพยายามนึกให้ออกมากเท่าไรความเจ็บปวดก็ยิ่งมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
"เกือบถึงแล้วล่ะ สเตลล่า"เสียงของเขาเอ่ยขึ้นเมื่อยืนอยู่ข้างหน้าสถานที่ซึ่งไม่รู้ว่ามาถึงตั้งแต่เมื่อไรกันแน่ ยิ่งแปลกใจมากขึ้นเมื่อเธอมองลวดเหล็กเส้นหน้าสีเขียวแก่ที่ถูกดัดงอจนเป็นตัวอักษรประดับเอาไว้เป็นภาษาโบราณว่า อุทยานบุปผา...
อุทยานบุปผา...ชื่อสถานที่อันคุ้นเคยแต่เธอกลับไม่รู้จักแม้แต่นิดเดียวซ้ำเมื่อได้ก้าวเข้ามาความเจ็บปวดก็มากขึ้นจนบางครั้งก็เกือบจะเดินไม่ไหว แต่เหตุใดไม่รู้ว่าใจเธอนั้นถึงได้รั้นจะตามเขาที่ไม่ได้หันกลับมามองเธอเหลือเกิน
"สเตลล่าเจ้ารู้สึกอย่างไรกับที่แห่งนี้หรือ"เขาเอ่ยถามขณะที่จับไปบนลำต้นไม้ใหญ่ข้างทางพลางลูบไล้รอยสลักบางๆที่จางลงเพราะกาลเวลา รอยสลักที่มีนามของเขากับเธออยู่คู่กัน
"ข้า...ไม่รู้เหมือนกันเพราะที่แห่งนี้ข้าเพิ่งจะเคยมาเป็นครั้งแรก ท่านชิน"
"...งั้นเหรอ"เขาละมือออกจากรอยสลักนั้นโดยที่ยังคงไม่หันกลับไปมองเธอเหมือนเดิม เขากลัวว่าหากหันกลับไปมองเธอน้ำตาที่กลั้นเอาไว้คงต้องรินไหลออกมาเป็นแน่ รู้ตัวดีว่าตนเองนั้นกำลังหนีแต่ก็ยังยืนกรานที่จะไม่หันกลับไปมอง เขาก้าวเดินออกไปอีกและทิ้งระยะห่างเล็กน้อยในการเดินเพื่อให้เธอเดินตามให้ทัน
สเตลล่ามองรอบๆที่ท้องฟ้ากำลังแปรเปลี่ยนไปแม้เหล่าเมฆนั้นกำลังกลืนกินท้องฟ้าอยู่แต่ก็ไม่อาจจะกั้นแสงอาทิตย์ไม่ให้สาดส่องลงมาได้ แล้วนัยน์ตาคู่สวยก็ต้องเบิกกว้างเมื่อเห็นสถานที่ตรงหน้าพร้อมทั้งคำพูดของเขา
"ถึงแล้วล่ะสเตลล่า สวนกุหลาบแห่งความทรงจำ..."กุหลาบขาวแสนสวยที่แม้เลยช่วงเช้าไปมากก็ยังคงผลิบานงดงามกำลังถูกย้อมด้วยแสงอาทิตย์จนกลายเป็นดอกพรีมโรสที่แสนงามดั่งเส้นผมสีทองของเธอในตอนนี้เธอเห็นเขายิ้มออกมานิดๆก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะหายไปในสีหน้าอมทุกข์ของเขา
ชายหนุ่มก้มลงลูบไล้หยดน้ำค้างบนดอกกุหลาบแผ่วเบา นัยน์ตาสีเพลิงสดสวยมองทอดไปไกลในสถานที่แห่งนี้ก่อนปิดลงในขณะที่ริมฝีปากของเขาได้เอ่ยออกมา
"สเตลล่าเจ้ารู้จักนิทานเรื่องเล่าของผืนดินและท้องฟ้าไหม"เธอส่ายหน้าและนิ่งเงียบซึ่งแม้เขาไม่ต้องหันมามองก็รู้ว่าเธอตอบปฏิเสธเขาจึงเริ่มต้นพูดออกมา
"ณ ช่วงเวลาที่โลกนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นมา ทุกสิ่งในโลกก็จะเกิดมาอยู่คู่กัน...ผืนดินและท้องฟ้าก็เป็นเฉกเช่นนั้น...ผืนแผ่นดินที่ทอดยาวไปไกลเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่อยู่เบื้องบนเสมอมา ในขณะเดียวกันท้องฝ้าที่ทอดยาวคู่ไปด้วยกันก็ก้มลงมองผืนดินอยู่ตลอดเวลา แต่ทว่าแม้จะมองเห็นกันมานานแค่ไหนสายสัมพันธ์ก็ไม่อาจรังสรรค์ขึ้นมาได้ เพราะว่าทั้งคู่นั้นอยู่ไกลห่างกันเกินกว่าจะเอื้อมถึง..."คำบอกเล่าที่เพียงแค่เริ่มต้นก็ทำให้เธอเจ็บปวด
เจ็บปวดแต่กลับไม่อาจหยุดที่จะมองเขาได้....
ทรมาณแต่ก็ไม่อาจขยับไปจากตรงนี้ได้....
"แล้วรู้ไหมว่าเรื่องราวมันเป็นเช่นไร สเตลล่า.."เขาถามเธอแต่ราวกับถามใครคนหนึ่งที่อยู่ตรงนี้แต่ก็ไม่ได้ยืนอยู่ที่นี่ น้ำเสียงเขานั้นอ่อนโยนแกมด้วยความอาดูรที่ไม่มากก็น้อย
omoidasenai, yasashii koe wo
ไม่อาจระลึกถึงเสียงที่แสนอ่อนโยนนั้น
tomurau mune no unabara
ที่อยู่ลึกลงไปภายใต้หัวใจของฉันที่แสนระทม
พลันนั้นหัวใจก็เต้นแรงจนเกือบแสดงออกทางสีหน้าที่ยืนเสียงใครสักคนดังอยู่ในส่วนหนึ่งที่ลึกลงไปของหัวใจ เสียงของเขาที่อ่อนโยนเหมือนจะเคยได้ยินแต่ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน
"จนกระทั่งวันหนึ่งท้องฟ้าได้กระทำความผิดที่ไม่อาจจะอภัยได้ มีครั้งหนึ่งที่ท้องฟ้าและผืนดินได้มาพบกันแต่แล้วท้องฟ้ากลับจมดิ่งลงไปในความมืดที่เรียกว่านิทราอันยาวนานและในตอนนั้นเองผืนดินก็ได้จำแลงกายเป็นวิหคโผบินออกไปไกลแสนไกล...ไกลขนาดที่แม้แต่ท้องฟ้าก็ยังมิอาจไล่ตามวิหคตัวน้อยนั้นได้ทัน..."นัยน์ตาสีเพลิงเหม่อมองฟ้าสีเดียวกับนัยน์ตาก่อนปิดลงรับสายลมเบาๆที่พัดมา
ไม่อาจจะไล่ตามเจ้าไปได้...เพราะข้านั้นมิใช่วิหค....มิใช่สายลมที่พัดผ่าน
ตัวตนของข้านั้นเป็นได้แค่เพียงสถานที่หนึ่งซึ่งเจ้านั้นได้บินผ่านไปอย่างไม่หวนกลับมา
แม้นร้องเรียกเพียงใดก็รู้ดีว่าเจ้าคงมิอาจหวนกลับ...แต่ข้าก็กลับยังร้องเรียกหาเจ้าอยู่เสมอ
kieuseta kako kara, dareka ga yondeiru no
รู้สึกได้ถึงเสียงของใครบางคนที่เรียกหาฉันจากอดีตที่ถูกลืมเลือน
kanashimi wo kono te ni torimodosu toki wa itsu to
เฝ้าแต่ถามตนเองว่าเมื่อไรกันที่ความเศร้าเช่นนั้นจะกลับมาอีกครา
"ท้องฟ้าก็เป็นได้เพียงแค่คนโง่เขลาที่รู้ดีว่าหัวใจของผืนดินที่ตนเฝ้าร้องหานั้นได้จากไปไกลโดยมิอาจหวนคืน..."
ข้านั้นคือตัวตนผู้โง่เขลา...เป็นเพียงคนหนึ่งที่มิอาจยอมรับความจริงได้
ข้าคือผู้ที่ปฏิเสธความจริงเรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้ข้าก็ยังคงเรียกร้องหาเพียงแต่ อดีตกาลที่เลือนหาย
"ในตอนนั้นผืนดินที่จำแลงกายเป็นวิหคน้อยก็เศร้าใจที่ต้องจากไปหยดน้ำตาที่รินไหลจึงได้แปรเปลี่ยนเป็นบางสิ่งบางอย่างเพื่อมอบให้กับท้องฟ้าดั่งของดูต่างหน้า..."สายสร้อยสีเงินที่ถูกสวมซ่อนไว้ใต้อาภรณ์สีแดงถูกปลดออกมาอยู่ในมือคู่นั้น สายสร้อยหรือสายสัมพันธ์เพียงสิ่งเดียวที่ยังคงหลงเหลือจากอดีตกาล
เรื่องเล่าที่ควรเป็นแค่เรื่องเล่าแต่เธอกลับรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้นมากนัก
หัวใจรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างที่ตนเองก็ไม่เข้าใจ...มันทั้งอบอุ่นระคนเย็นเยียบจนอยากจะหนีไปให้ห่างแต่ก็อยากอยู่ที่นี่
มันเพราะอะไร เธอเองก็ไม่รู้....ทั้งที่ต้องเจ็บปวดแต่ก็ยังดื้อดึงที่จะฟังเรื่องราวนี้ต่อไปให้จบ
"...."ริมฝีปากเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่น้ำเสียงกลับไม่ได้เปล่งออกมา ใบหน้าที่น่ารักจ้องมองเขาเหมือนไม่อยากละสายตาเพราะเธอนั้นรู้สึกว่าหากเธอละสายตาจากเขาจะมีอะไรบางสิ่งบางอย่างที่จบลง...
เขายังคงกำสร้อยในมือแน่นเหมือนรู้ดีว่าหากยื่นมืออกไปข้างหน้าแล้วทุกสิ่งที่เคยมีมาตลอดทั้งความหวัง ความทรงจำและสุดท้ายความรัก... ชินรีบสะบัดความรู้สึกแบบนั้นทิ้ง ริมฝีปากของเขาจึงได้เอ่ยออกมาถึงบทสุดท้ายของเรื่องเล่านี้
"ท้องฟ้านั้นได้แต่โทษว่าเป็นความผิดของตนเอง ในวันนั้นท้องฟ้าได้ร้องไห้ออกมาเป็นสายฝนที่โหมกระหน่ำ แต่ก็ไม่อาจเรียกสิ่งที่จากไปกลับคืนมาได้ มีเพียงสิ่งเดียวที่ท้องฟ้านั้นจะทำได้ก็คือ การเฝ้ารอให้วิหคน้อยตัวนั้นได้กลับมาหาอีกครั้งแม้รู้ดีว่าทั้งท้องฟ้าและผืนดินนั้นก็เปรียบดังเส้นขนาน..."ท้องฟ้าและผืนดินเส้นขนานที่แสนเศร้า...ในขณะที่ใครบางคนยืนรออยู่ที่เดิมมาตลอดแต่ใครคนนั้นที่จากไปกลับยิ่งเดินหายไปไกลมากกว่าเดิม
มากเกินกว่าจะตามไป...มากเกินกว่าจะเฝ้ารอให้หวนกลับมา.....
แต่ก็อยากจะบอกออกไปถึงความในใจที่มีให้....
"...และ ณ บัดนี้ท้องฟ้าก็ได้พบกับวิหคน้อยตัวนั้นอีกครั้งแม้ว่าวิหคน้อยตัวนั้นจะได้ลืมเลือนท้องฟ้าไปแล้วก็ตามแต่ว่าความปรารถนานั้นก็ยังมิแปรเปลี่ยน.."สร้อยคอในมือถูกยื่นออกไปข้างหน้าอย่างมาดมั่นไร้ความลังเลอีกต่อไปแล้วเมื่อเขาเป็นคนเริ่มต้นมันขึ้นมาเขาก็จะขอจบด้วยมือของตนเอง
"สเตลล่า ข้าขอคืนสิ่งนี้ให้แก่เจ้า"เธอยื่นมือออกมารับโดยที่ยังไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งนั้น แต่ว่าน้ำตานั้นกลับคลอหน่วงอยู่ในเนตรสีชมพูแสนงามของเธอ
"ข้ารู้ดีว่าข้านั้นเป็นคนที่เห็นแก่ตัวเพียงไร แต่ว่าในวันนี้ก็ขอให้ข้าได้พูดเถอะ เพราะว่าข้านั้นไม่อยากจะเสียใจภายหลังอีกแล้ว..."นัยน์ตาสีเพลิงหรี่ลงต่ำเมือนเปลวเพลิงที่กำลังจะดับลงก่อนจะเปิดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจะไม่มีวันหันหน้าหนีไม่ว่าคำตอบนั้นจะเป็นเช่นไร... หยดน้ำตาของท้องฟ้าได้หลั่งไหลออกมาอีกคราโดยที่ใบหน้านั้นเจือรอยยิ้มเศร้าเอาไว้
nido towa konai ima
ณ ตอนนี้ก็ไม่อาจเรียกอดีตให้หวนกลับมาได้อีกแล้ว
"ไม่ว่าเจ้าจะจดจำข้าได้หรือไม่แต่ข้าก็จะรักเจ้าเสมอและจะรักตลอดไป....สเตลล่าสตรีผู้เป็นที่รักของท้องฟ้า..."ในที่สุดก็ได้พูดออกไปถึงความในใจ หากเธอตอบรับเขาก็พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างเธอแต่หากเงียบหายเพราะมิอาจตอบได้เขาก็จะเป็นฝ่ายจากไปเองเพื่อไม่ให้เหตุการณ์นั้นซ้ำรอยเดิมและกลับมาทำร้ายเธออีกครั้ง
ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะเป็นการสานต่อความสัมพันธ์หรือการบอกลา...
อาจเจ็บปวดถ้าหากคำตอบไม่ได้เป็นดังที่หวังแต่เขาจะไม่เสียใจเด็ดขาด
เสียงสายลมพัดผ่านไร้ซึ่งคำตอบจากเธอคนนั้น เนตรสีหวานมองเขานิ่งสนิทและภายใต้ความเงียบงันนั้นเองเขาก็รู้แล้วว่าคำตอบที่ว่านั้นคืออะไร...
สุดท้ายเขาก็ไม่อาจสมหวังในสิ่งที่หวังได้...บาปก็ยังคงเป็นบาปที่ต้องชดใช้กันต่อไป การลงทัณฑ์ที่ทำให้เธอต้องร้องไห้นั้นช่างเจ็บปวดนักแต่เขาก็ยินดีที่จะแบกรับมันไว้และเป็นผู้ที่เดินจากมาเอง
แม้ว่านับแต่นี้ไปข้าจะมิอาจได้อยู่เคียงข้างเจ้า แต่อย่างน้อยเพียงแค่มองเจ้าจากที่ใดที่หนึ่งบนท้องฟ้าคงได้ใช่ไหม....
แม้ว่าข้าจะมิอาจได้พูดคุยกับเจ้าอีกแต่ข้าก็ขอภาวนาในเจ้ามีความสุข...
ลาก่อน..สเตลล่า...
"อย่าลืมนะสเตลล่าไม่ว่าเจ้าจะเป็นสเตลล่าคนใดแต่ข้าก็จะรักเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง...ลา.."ถ้อยคำอำลาเงียบหายไปเสียดื้อๆเมื่อได้สบพบหยดน้ำตาที่เคยคลอหน่วงอยู่ไหลรินออกมา เธอคนนั้นกำลังหวั่นไหวกับคำพูดที่ซึมซับลงสู่หัวใจดั่งหยาดน้ำตาของท้องฟ้าที่ไหลซึมสู่ผืนดินเรียกให้อะไรบางอย่างหวนคืนมา
เสียงของเขาที่เอ่ยขึ้นดังข้างหู.....มือกร้านที่อบอุ่นซึ่งจับมือของเธอเอาไว้....ใบหน้าของเขาที่ส่งยิ้มมาให้เสมอ..และสุดท้ายความรู้สึกทั้งหมดของเธอในอดีตที่มีให้เขาซึ่งตอนนี้กำลังถูกผลักดันมาจากก้นบึ้งของหัวใจที่ไม่ควรมีอยู่ ตัวตนของเขาที่อยู่ภายใต้ทุกสิ่งที่ทุกอย่าง เขาเพียงคนเดียวที่เธอสามารถบอกได้ว่า รัก
anata no koto shika mienai
ภายใต้ดวงตาของฉันนั้นมีแต่เพียงเธอผู้เดียว
".....ชิน"ร่างเล็กโผเข้าหาคนตัวสูงกว่าเต็มแรงก่อนกอดแน่น หยดน้ำใสไหลกระทบกับบ่าของเขาจนเป็นรอยชื้นบ่งบอกถึงความรู้สึกที่มีอยู่ คำขอโทษเองก็ยังคงมีอยู่ไม่ขาด
"ชินข้าขอโทษ..ข้าขอโทษ..."ชายหนุ่มกระชับเธอไว้อย่างนุ่มนวล เขากำลังยิ้มทั้งที่ร้องไห้ เอ่ยปลอบทั้งที่ตนเองก็ยังเศร้าใจ
"เจ้าจะขอโทษทำไมกัน..คนที่ควรจะขอโทษคือข้าต่างหาก เพราะข้ารู้แล้วว่าคนที่ทำให้เจ้าเลือนหายไปนั้นก็คือข้าเอง..."
ในที่สุดก็เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าถึงได้ลืมข้า นั่นเพราะว่าจิตใจนั้นเป็นสิ่งที่เข้มแข็งแต่ก็เปราะบางยิ่งนักโดยเฉพาะหัวใจของเจ้าที่เปรียบดังแก้วใสนั้นยิ่งเปราะบางกว่าใครๆ หากได้รับความเจ็บปวดหนทางเดียวที่จะไม่เจ็บปวดก็คือ การลืมทุกสิ่งทุกอย่างและเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
สร้างจุดจบขึ้นมาและย้อนกลับไปเริ่มต้นใหม่ทิ้งทุกสิ่งที่เคยมีไว้เบื้องหลังโดยไม่หันกลับไปมอง
ปล่อยให้ใครบางคนยืนรอเจ้าอยู่ที่เดิม....
"ในวันนั้นเพราะคำพูดของข้าใช่ไหมเจ้าถึงได้เลือนหายไปก่อนจะถึงเวลาอันควร...ฉะนั้นการที่ข้าต้องเจ็บปวดมันก็สมควรแล้ว..."คำพูดทั้งหลายพรั่งพรูออกมาพร้อมน้ำตามากมาย เคยคิดว่าเข้าข้างตนเองว่าจะต้องทำให้เธอมีความสุขซึ่งแท้จริงแล้วเขากลับที่เป็นคนทำลายความสุขนั้นไป
เรื่องเป็นเช่นนั้นจริงหรือ..ชิน อาสึกะ....
เสียงของใครบางคนดังก้องอยู่ในหัวเรียกสติให้กลับมาหยุดยั้งอารมณ์ทั้งหมดเขาและเธอเงยหน้าขึ้นมามองเบื้องหน้าซึ่งบัดนี้มีใครคนหนึ่งยืนอยู่ ร่างบอบบางโปร่งใสในชุดสีขาวทับซ้อนดั่งบุปผา เส้นผมสีทองยาวสลวยคลอเคลียใบหน้าที่เจนตา เนตรสีชมพูสวยมองพวกเขาอย่างอ่อนโยนเฉกเช่นรอยยิ้มบนใบหน้าแล้วริมฝีปากกลีบบางนั้นก็เริ่มเอ่ยออกมา
"คงถึงเวลาแล้วที่ข้าจะต้องบอกความจริงทั้งหมดให้พวกเจ้าได้รับรู้ มิเช่นนั้นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้จะสูญเปล่าและสเตลล่าก็คงจะต้องเลือนหายไปจริงๆ"เธอเงียบเสียงไปก่อนจะกล่าวต่อไป
"ชิน อาสึกะเจ้าเคยถามสินะว่าข้าคือใคร ข้าก็คือสเตลล่าแห่งอดีตอันเลือนรางยังไงล่ะเป็นอดีตที่ยามนานมากจนพวกเจ้าไม่อาจคาดคิดได้และสเตลล่าในวันนี้และตลอดเวลาที่อยู่กับพวกสติงนั้นก็คือสเตลล่าแห่งอนาคตที่แท้จริง ข้าคงต้องกล่าวขอโทษพวกเจ้าสินะ"
ข้าหลอกพวกเจ้าและทุกคนหรือแม้แต่ตนเองด้วย แต่นั่นก็เพื่ออนาคตที่ข้าไม่อาจจะได้สัมผัสและก็เพื่อใครบางคนที่ข้ายังคงเฝ้ารออยู่อย่างไร้ค่า...ข้าจำต้องหลอกว่าตนเองคืออนาคตผู้ที่จะต้องคอยบอกเล่าเรื่องราวทั้งหลาย ทั้งๆที่ผู้ที่จะเลือนหายไปนั้นมิใช่สเตลล่าคนนั้นหากแต่เป็นตัวตนของข้าเองต่างหากที่กำลังจะเลือนหาย
"ในความเป็นจริงแล้วสเตลล่านั้นยังมิถึงเวลาที่ต้องเลือนหายแต่ถ้าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปยามที่เส้นทางทั้งหลายกลายเป็นทางแยกที่พวกเจ้าจะต้องเดินไปในเส้นทางที่ต่างกัน ครานั้นสเตลล่าก็จะหายไป ข้าจึงจำต้องลบเลือนตัวตนของนางออกไปและขังไว้ในกรงทองเพื่อรอวันที่จะปลดปล่อยออกไปสู่ท้องฟ้าที่นางควรอยู่ แต่ท้องฟ้านั้นจะยินยอมหรือไม่ในครานั้นก็ไม่อาจรู้ได้เพราะมันก็คือ อนาคต"
นางเม้มริมฝีปากแน่นเหมือนพยายามสะกดความกลัวต่ออนาคตเบื้องหน้าที่เธอคงมิอาจจะยื่นมืออกไปช่วยเหลือใครได้อีกแล้วและไม่นานริมฝีปากที่ปิดแน่นนั้นก็เปิดออก
"ข้าเฝ้ารอให้ถึงคราวที่เจ้าและสเตลล่าจะได้กลับมาพานพบกันอีกครั้งเพราะยามเมื่อพวกเจ้าได้พบกันอีกครั้งแล้วมันก็คือเดิมพันสุดท้ายว่า พวกเราสเตลล่าจะมีวันที่สมหวังในความรักสักครั้งหรือไม่"
ยอมที่จะอยู่ต่อไปในที่ที่ซึ่งไม่ใช่ที่ของเธออีกแล้ว ยอมรับความเจ็บปวดทั้งหมดไว้แต่เพียงผู้เดียว ยอมเป็นผู้เสียสละทุกสิ่งทั้งหมดนั้นก็เพื่อ สเตลล่า
"และเจ้าก็เป็นฝ่ายชนะเดิมพันชิน อาสึกะเจ้าไม่ได้พยายามเรียกอดีตให้หวนคืนมาแต่เจ้าทำเพื่อสเตลล่า เจ้ายอมที่จะเป็นฝ่ายเจ็บปวดเสียเองและเจ้าเองก็รักสเตลล่าจากเนื้อแท้ของจิตใจจนกระทั่งในที่สุดเจ้าก็สามารถพานางกลับมาจากกรงทองที่ขังนางเอาไว้ได้ เจ้าได้พิสูจน์แล้วว่าเจ้าคือผู้ที่เหมาะสมจะเคียงข้างนาง ท้องฟ้าและผืนดินนั้นอาจเป็นดั่งเส้นขนานตามที่เจ้าได้ว่าเอาไว้แต้ถ้าหากเพียงแค่เปลี่ยนมุมมองพวกเจ้าก็คงมองเห็น ณ จุดจบของเส้นขนานที่พวกเจ้านั้นขนานนามว่า เส้นขอบฟ้า..."สเตลล่าคนนั้นส่งรอยยิ้มมาให้ทั้งสองในขณะที่ร่างกายโปร่งใสนั้นกำลังเลือนหายไปทีละนิด เกิดแสงสว่างระยิบระยับบนร่างกาย ชายกระโปรงเริ่มกลายเป็นเศษเสี้ยวเล็กๆของแสงสว่าง
"ข้าคงจะไปได้อย่างหมดห่วงเสียที...สเตลล่าทั้งพลังของข้าและความทรงจำทั้งหมดข้าขอมอบให้แก่เจ้าและจงใช้ชีวิตอยู่เคียงข้างเขาจนกว่าจะถึงเวลาที่เจ้าจะเลือนหายเถอะนะและเจ้าจงจำคำพูดของข้าเอาไว้แม้ว่าในตอนนี้เจ้าจะไม่เข้าใจก็ตาม..."เธอเดินเข้ามากระซิบข้างใบหูเสียงเบา
"การลบเลือนนั้นก็เป็นการปกป้องอย่างหนึ่งเช่นกัน.."ใบหน้าสวยๆเงยมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ดวงอาทิตย์กำลังฉายแสง แสงสว่างสีส้มที่เธอรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกทั้งที่ไม่มีร่างกายเหลืออยู่อีกแล้วแต่เธอก็รับรู้ว่าเสงสว่างนั้นกำลังเรียกเธออยู่
"ทำไมท่านถึงช่วยพวกเราเอาไว้..."คำถามของชินทำให้เธอยิ้มขบขันแกมเอ็นดูเหมือนพี่สาวที่คอยปกป้อง
"นั่นก็เพราะว่า...เรื่องราวของพวกเจ้าช่างคล้ายคลึงกับเรื่องราวของข้าและเทพแห่งท้องฟ้าในอดีตนัก"ภาพความทรงจำของเธอได้ถูกฉายเข้าไปในหัวใจของทั้งสองคน ในวันนั้นที่เทพแห่งท้องฟ้าคนนั้นกำลังจะดับสลายเธอก็มิอาจทนอยู่ได้ พลังที่มีได้ถูกรวบรวมไว้เพื่อแปรเปลี่ยนตนเองให้จมดิ่งสู่ความมืดมิดเพื่อรอวันที่จะได้สานต่อรักที่ไม่มีวันสมหวังแต่อย่างน้อยก็อยากจะบอกเล่าเรื่องราวนี้ให้ใครสักคนได้รู้
ชะตากรรมที่แสนเจ็บปวดเธอขอเป็นผู้แบกรับเพียงคนเดียวก็พอเพราะงั้นจึงได้ช่วยชินและสเตลล่าเอาไว้...
"ข้าขอภาวนาให้พวกเจ้าพบแต่ความสุขนะ...ลาก่อน"ร่างนั้นกลายเป็นเศษเสี้ยวที่ทอประกายและลอยขึ้นสู่ผืนฟ้าราวกับว่าเธอนั้นได้กลับไปสู่อ้อมกอดของผู้เป็นที่รักอีกครั้ง
"ขอบคุณมาก.."ไม่อาจอดกลั้นความรู้สึกต่างๆไว้ได้ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรไปได้มากกว่าคำว่าขอบคุณและคำตอบรับนั้นก็ได้ดังขึ้นอย่างแผ่วเบาในหัวใจของเธอ คำพูดที่เธอจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาดไม่ว่าจะต้องเลือนหายสักกี่ครั้งก็ตาม
"ได้โปรดถ่ายทอดเรื่องราวนี้ต่อไป..เรื่องเล่าของผืนดินและท้องฟ้าที่ไม่มีวันจบ..."
#####################################
แถมๆรูปของสเตลล่าแห่งอดีตค่ะ
Phase 19 เรื่องเล่าของผืนดินและท้องฟ้าที่ไม่มีวันจบ
นับแต่วันแรกที่ข้าได้พบเจ้าไม่ว่าเมื่อใดข้าก็จะมองตามเจ้าตลอด...
คราใดที่หลับตาลงใบหน้าอันงดงามของเจ้าก็จะเด่นชัดขึ้นมาเรื่อยไป....
เคยได้ยินคำถามหนึ่งจากใครสักคนเมื่อนานมาแล้ว...ความรักนั้นถูกกำหนดขึ้นด้วยสิ่งใด...
สำหรับข้ารักนั้นไม่ได้กำหนดด้วยเวลาหากแต่กำหนดด้วยจิตใจของคนสองคนที่ผูกพันกัน...
ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ข้าหลงรักในรอยยิ้มของเจ้าจนไม่อาจห้ามใจได้ เจ้าจะรู้ไหมว่ารอยยิ้มของเจ้าคือทุกสิ่งสำหรับข้า...
แต่แล้ว...ณ ตอนนี้ไม่เพียงแค่รอยยิ้มของเจ้าเท่านั้น แม้แต่นามของข้าก็คงไม่อาจได้ยินจากเจ้าอีกแล้ว...
เพราะว่าตัวเจ้านั้นได้ลืมสิ้นทุกสิ่งไปจนหมดแล้ว...
...............................
ยามเมื่อคำพูดของบุรุษนามสติงจบลงนัยน์ตาของผู้พูดทอแสงด้วยความเจ็บปวดเช่นเดียวกับบุรุษผู้หนึ่งที่หวนนึกอดีตภายในความทรงจำ ความสงสัยที่มีในใจมาถึงตอนนี้เมื่อได้รู้ก็ไม่อาจทำใจยอมรับได้ แม้เธออยู่ที่นี่แต่ก็ไม่ใช่เธอคนนั้น ความจริงที่ยากจะยอมรับ....
"แล้วมีทางที่สเตลล่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมไหม"เขาถามออกไปแม้รู้ดีว่ามันคงแทบไม่มีทาง
"ข้าเองก็ไม่รู้ ถ้าข้ารู้ข้าก็คงไม่ต้องรู้สึกเช่นนี้หรอก"หากรู้ว่ามีเขาก็ยินดีทำไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใด เพราะการถูกลืมนั้นช่างเจ็บปวดยิ่งนัก ไม่รู้เหมือนกันว่าครั้งสุดท้ายที่ถูกลืมเป็นครั้งที่เท่าไหร่กัน
เทพแห่งท้องฟ้าก้มหน้านิ่งมือกำสร้อยคอที่สวมอยู่ไว้แน่นก่อนจะตัดสินใจเดินออกไปเรียกความสนใจของอาวล์และสติงที่ยืนอยู่ในทันที
"นายจะไปไหนน่ะ..."
"ข้าจะไปหาสเตลล่า...."เขาตอบเสียงแผ่วเบา
"ไม่มีประโยชน์หรอกไม่ว่าจะทำอย่างไรสเตลล่าก็ไม่อาจจำนายได้หรอก"ใช่แล้ว...ไม่อาจจดจำใครได้แม้แต่เขาที่ไม่นานคงต้องหายไปจากใจเธออีกคน
"ข้ารู้ แต่ว่าข้าน่ะมันคนดื้อรั้นนะแล้วมีเหรอที่ข้าจะยอมให้จบลงเช่นนี้โดยที่ข้ายังไม่อาจได้ทำอะไร"เขาหยุดเดินและหันมามองทั้งคู่ บนใบหน้ามีรอยยิ้มที่เหมือนฝืนยิ้มออกมา
"ทั้งที่สเตลล่าลืมนายไปแล้ว"
"ใช่.."แม้นางจะลืมข้าแต่ข้าก็ยังไม่ลืม...
"ทั้งที่แม้ว่าจะพูดคุยกับเธอแต่สเตลล่าก็จะลืมนายไปอีก"
"ใช่.."นางอาจลืมข้าแต่ข้าจะไม่มีวันลืม...
"ทั้งที่รู้ว่าจะต้องเจ็บปวดแต่นายก็ยังพยายามจะเดินเคียงข้างเธองั้นเหรอ"
"ใช่.."ความเจ็บปวดที่ถูกลืมข้ายอมทนรับมันได้แต่ข้าคงทนไม่ได้ที่จะไม่เห็นรอยยิ้มของนาง...
"ข้ารู้ดีว่าไม่มีวันที่จะเรียกอดีตให้กลับมาได้ แต่มีบางอย่างที่ข้าต้องทำอาจฟังดูเห็นแก่ตัวแต่ข้าก็ทำเพื่อตนเองเช่นกัน"คำพูดที่แฝงไปด้วยความาดมั่นที่ทำให้อาวล์กับสติงต้องยิ้มและหัวเราะเบาๆ
"นายนี่มันคนหัวดื้อจริงๆนะ แต่เอาเถอะโลกนี้ไม่มีใครไม่เห็นแก่ตัวหรอกน่า"สติงพูดแหย่กึ่งปลอบเล็กน้อย ชินรับคำพูดนั้นมาและก้าวเดินออกไปหาเธอคนนั้น เพื่อทำในสิ่งที่เขาจะไม่มีวันเปลี่ยนใจ
..........................
kanashimi wo oshiete......
ความเศร้านั้นเป็นเช่นไร บอกฉันที
ร่างบอบบางในชุดสีขาวเดินย่ำลงบนพื้นหญ้าพลางจ้องมองทุกสิ่งรอบกายด้วยความเศร้า แม้ว่าอยากจะจดจำไว้สักเพียงใดก็ไร้ค่า แม้ไม่อยากลืมเลือนแต่ก็ไม่อาจขัดขืนในชะตากรรมของตนเองได้ ซักวันหนึ่งทุกสิ่งที่เคยทำมาก้จะกลายเป็นเพียงความว่างเปล่า
"นี่สเตลล่าพวกเราจะมีวันที่ได้สมหวังในสิ่งที่ปรารถนาบ้างไหม...."เธอพูดกับตนเองแต่เหมือนพยายามจะสื่อสารกับสเตลล่าผู้ที่เธอบอกว่าเลือนหายไปแล้ว
hitomi wo tojite itara kanashimi mo mienai to
ถ้าหากเธอนั้นปิดตาลงก็คงไม่ต้องพบกับความเศร้าหมอง
nukumori shirazu ni ireba kizutsuku koto mo nai to
ถ้าหากเธอนั้นลืมความอบอุ่นได้ก็คงไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวด
"ความทรงจำนั้นเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งนัก...ความทรงจำเปรียบดังสิ่งที่ยืนยันความมีตัวตนของพวกเราทุกคน แต่พวกเราที่ต้องลบเลือนสิ่งเหล่านี้เรื่อยไปจะเรียกว่ามีตัวตนได้ไหมนะ....เจ้าเจ็บเยี่ยงใดข้านั้นรู้ดีที่สุดเพราะข้าคือผู้ที่เฝ้ามองเจ้าเสมอมา การลบเลือนนั้นอาจทำให้ลืมความเจ็บปวดได้แต่กระนั้นเจ้าก็จะไม่รู้จักตนเองอีกต่อไป...."รู้สึกเจ็บในหัวใจเหลือเกินที่เวลาของเธอเหลือน้อยลงไปทุกที ยิ่งครั้งใดการลบเลือนใกล้เข้ามาพวกเธอก็จะรับรู้ได้ในชั่วแว่บที่จะหายไป
"และยามใดเมื่อเวลานั้นมาถึงตัวตนของเจ้าก็จักเลือนหายไปอย่างแท้จริง...."นัยน์ตาคู่สวยหรี่ลงปล่อยให้หยาดน้ำใสๆที่ใกล้จะเอ่อล้นไหลรินออกมา
"แต่ว่าผู้อื่นก็ไม่ได้ลืมเลือนเจ้ามิใช่หรือ..."เสียงหนึ่งที่เธอรู้จักดีดังขึ้นจากข้างหลัง เธอรีบปัดน้ำตาทิ้งและหันกลับไปมองร่างของใครบางคนที่เดินเข้ามาใกล้
"เจ้าเองหรือ เทพแห่งท้องฟ้าชิน อาสึกะ"
"ดูท่าเจ้าจะจำข้าได้นะแต่ข้ายังไม่รู้จักเจ้าเลย เจ้าคือใครงั้นหรือ"เขาว่าพลางยิ้มนิดๆ
"ข้าคืออนาคตของเทพีแห่งผืนดินสเตลล่า ลูซเซอร์"เมื่อได้ฟังเขาก็เลิกคิ้วสูงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้เธอต้องรู้สึกไม่พอใจ
"แสดงว่าคราวต่อไปเจ้าก็จะกลายเป็นสเตลล่าแห่งปัจจุบันสินะ"
"ใช่แต่คงยังไม่ใช่ ณ ตอนนี้ถ้ายังไม่มีสิ่งใดไปกระตุ้น"เธอพูดเน้นคำสุดท้ายคล้ายคำเตือนก่อนส่งสายตาที่ดูก็รู้ว่าไม่พอใจมาให้เขา
รู้สึกเหมือนเขากำลังมองข้ามสเตลล่าคนนั้น....
"ถ้าเช่นนั้นก็คงจะมีสเตลล่าแห่งอนาคตคนใหม่กำเนิดขึ้นมาสินะแล้วสเตลล่าคนนั้นจะจำเรื่องราวก่อนสเตลล่าคนก่อนหน้าเจ้าได้ไหม"
"ไม่นางไม่อาจจำเรื่องของสเตลล่าแห่งปัจจุบันคนนี้ได้หรอก..."เธอแทบจะหยุดพูดไม่ทันเมื่อได้รู้ว่าตนเผลอพูดอะไรออกไปและคำถามก็ถูกส่งมาอีก
"แล้วเหตุใดเจ้าที่เป็นอนาคตถึงได้จดจำสเตลล่าคนที่ข้าพบคนแรกได้ล่ะ"ใบหน้าเรียบเฉยชะงักไปชั่วขณะกับคำถาม เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของเขาที่บัดนี้ลุกไหม้ราวกับจะกลายเป็นเปลวเพลิงที่แผดเผาเธอให้มอดไหม้ก็ไม่ปาน
"คือข้า..."แววตาตื่นตระหนกเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกโดยไม่อาจจะซุกซ่อนเอาไว้ได้เมื่อสบมองกับดวงตาสีเพลิงที่กำลังมองหาความจริงจากเธอ
"ข้าจะถามอีกครั้ง เจ้าคือใคร..."แม้ตอนแรกเขาจะรู้สึกตกใจกับคำพูดของสติงและสเตลล่ามากแค่ไหนแต่เขาก็รู้สึกสงสัยในบางอย่างด้วย รู้สึกเหมือนเธอกำลังปิดบังอะไรบางอย่างที่ไม่อาจบอกได้ไม่ว่าคนผู้นั้นจะใกล้ชิดกับเธอมากเพียงใดก็ตาม
"........คิก"เสียงเงียบหายไปก่อนตามด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ ร่างบอบบางเบื้องหน้าแย้มยิ้มเหมือนขบขันทั้งที่เมื่อครู่ยังมีแววตื่นตระหนกให้เห็นเธอยกมือขึ้นกอดอกแล้วพูดออกมา
"นับว่าเจ้าเองก็ไม่ได้โง่เขลามากนักแต่เรื่องของข้าน่ะไว้หลังจากที่เจ้าสามารถเรียกสเตลล่าผู้อยู่ในอดีตคนนั้นกลับมาได้ก่อนแล้วข้าจะเล่าให้ฟัง"เธอเดินออกห่างจากเขาเปลี่ยนมือมากุมเอาไว้กลางหน้าอก
"เอาล่ะข้าจะให้เจ้าพบกับสเตลล่าแห่งปัจจุบันอีกครั้ง..."นัยน์ตาคู่สวยปิดสนิทและนิ่งเงียบคริสตัลรูปกลมบนเสื้อส่องประกายออกมาเล็กน้อยและยามเมื่อนัยน์ตาคู่นั้นเปิดออกภายใต้ดวงตาก็กลับมาดูไร้เดียงสาผิดกับตอนแรก
"กลับไปอยู่ที่แห่งนั้นอีกแล้วหรือ สเตลล่า..."เธอพูดกับตัวตนที่ได้กลับไปภายในเสียงเบาๆเหมือนมีแววสงสาร สเตลล่าคนใหม่เงยหน้าขึ้นมองชินโดยไร้รอยยิ้มหรือความรู้สึกใดๆ
"สวัสดีค่ะข้าเทพีแห่งผืนดินมีนามว่าสเตลล่า ลูซเซอร์ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ"ถ้อยคำแนะนำตัวที่แสนธรรมดาเสียดแทงและบาดลึกลงไปในใจของชายหนุ่ม เจ็บยิ่งกว่าถูกเกลียดแต่ก็กลับฝืนยิ้มออกมาเหมือนไม่รู้สึกอะไร
"ข้าเทพแห่งท้องฟ้านามชิน อาสึกะ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน"น้ำเสียงที่เหมือนสั่นไหวถูกพยายามปรับให้ปรกติอย่างยากลำบากทั้งที่พยามยามบอกตนเองว่าตอนนี้เธอคือสเตลล่าคนละคนกัน
"แล้วก็..ข้าขอเรียกเจ้าว่าสเตลล่าได้ไหม"เขาลองเชิงถามออกไปดูแต่เธอกลับตอบมาด้วยท่าทางสบายๆราวกับไม่รู้สึกอะไร
"ได้ค่ะ ท่านชิน.."
ท่านชิน...สรรพนามที่เปลี่ยนไปจากเดิมสร้างช่องว่างระหว่างเราสองคนให้กว้างมากกว่าเดิม
แม้ข้ารู้ดีว่าเจ้าคือสเตลล่าอีกคนหนึ่ง แต่มันก็แค่คำปลอบใจตนเองเท่านั้น
"นี่สเตลล่าเจ้าพอจะมีเวลาบ้างไหม"
จะมีทางไหมนะที่จะเรียกเจ้ากลับคืนมา....
สเตลล่ามองผู้เป็นฝ่ายถามแล้วพยักหน้าตอบรับไป ชินจึงได้ยื่นมือออกไปหาเธอแต่ว่ามือที่เรียวบางนั้นกลับไม่ได้ยื่นออกมาจับตอบซ้ำใบหน้ายังมีความลังเลฉายอยู่ชัดเจนยิ่งนัก
หากเป็นเมื่อก่อนเจ้าคงตอบรับมือข้างนี้ของข้าโดยไม่ลังเล หากแต่คราวนี้ทุกสิ่งมันได้เปลี่ยนไปแล้ว
มีเพียงข้าที่ยังอยู่ที่เดิมเสมอ....
"งั้นไปกันเถอะนะ"ชินดึงมือกลับก่อนเดินนำออกไปซึ่งสติงและอาวล์ก็แค่มองตามเขาและเธอออกไปจนในที่สุดร่างของทั้งสองก็หายไปจากสายตา
..............
.........
ร่างของชายหญิงคู่หนึ่งก้าวเดินลงบนพื้นสีขาวอมเทาไปเรื่อยๆโดยมีร่างของชายหนุ่มเดินนำอยู่เล็กน้อยส่วนหญิงสาวก็ตามอยู่ไม่ห่างนัก เขาไม่คิดพูดอะไรส่วนเธอก็ไม่รู้จะพูดอะไรดีเพราะสำหรับเธอแล้วเขาเป็นแค่คนที่เพิ่งจะรู้จักเท่านั้น
แต่ก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ว่าเหตุใดจึงได้ตามเขาออกมาทั้งที่เสียงหนึ่งในใจก็เอ่ยค้าน แต่เบื้องลึกในใจกลับบอกให้เธอตามเขาไป หลายครั้งที่พยามยามจะเรียกชื่อเขาก็พูดออกไปไม่ได้ จนในที่สุดเธอก็ทำแค่เดินตามเขาไปเงียบๆ
อีกเรื่องที่เธอยังไม่เข้าใจก็คือทำไมเธอถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับเส้นทางนี้กันนัก ทั้งที่เธอเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก...
จริงหรือ....
เหมือนได้ยินเสียงในใจเอ่ยถามแต่ก็เพียงแค่คิดว่ารู้สึกไปเองและความรู้สึกนั้นก็เหมือนไปกระตุ้นอะไรบางอย่างในร่างกาย ความเจ็บปวดที่เธอต้องรู้สึกเจ็บทุกครั้งที่ได้ยินชื่อของเขา ชิน อาสึกะ....แม้อดกลั้นเอาไว้แต่ก็รู้ว่าเหมือนกับน้ำตาจะไหลออกมา ยิ่งอยากจะพยายามนึกให้ออกมากเท่าไรความเจ็บปวดก็ยิ่งมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
"เกือบถึงแล้วล่ะ สเตลล่า"เสียงของเขาเอ่ยขึ้นเมื่อยืนอยู่ข้างหน้าสถานที่ซึ่งไม่รู้ว่ามาถึงตั้งแต่เมื่อไรกันแน่ ยิ่งแปลกใจมากขึ้นเมื่อเธอมองลวดเหล็กเส้นหน้าสีเขียวแก่ที่ถูกดัดงอจนเป็นตัวอักษรประดับเอาไว้เป็นภาษาโบราณว่า อุทยานบุปผา...
อุทยานบุปผา...ชื่อสถานที่อันคุ้นเคยแต่เธอกลับไม่รู้จักแม้แต่นิดเดียวซ้ำเมื่อได้ก้าวเข้ามาความเจ็บปวดก็มากขึ้นจนบางครั้งก็เกือบจะเดินไม่ไหว แต่เหตุใดไม่รู้ว่าใจเธอนั้นถึงได้รั้นจะตามเขาที่ไม่ได้หันกลับมามองเธอเหลือเกิน
"สเตลล่าเจ้ารู้สึกอย่างไรกับที่แห่งนี้หรือ"เขาเอ่ยถามขณะที่จับไปบนลำต้นไม้ใหญ่ข้างทางพลางลูบไล้รอยสลักบางๆที่จางลงเพราะกาลเวลา รอยสลักที่มีนามของเขากับเธออยู่คู่กัน
"ข้า...ไม่รู้เหมือนกันเพราะที่แห่งนี้ข้าเพิ่งจะเคยมาเป็นครั้งแรก ท่านชิน"
"...งั้นเหรอ"เขาละมือออกจากรอยสลักนั้นโดยที่ยังคงไม่หันกลับไปมองเธอเหมือนเดิม เขากลัวว่าหากหันกลับไปมองเธอน้ำตาที่กลั้นเอาไว้คงต้องรินไหลออกมาเป็นแน่ รู้ตัวดีว่าตนเองนั้นกำลังหนีแต่ก็ยังยืนกรานที่จะไม่หันกลับไปมอง เขาก้าวเดินออกไปอีกและทิ้งระยะห่างเล็กน้อยในการเดินเพื่อให้เธอเดินตามให้ทัน
สเตลล่ามองรอบๆที่ท้องฟ้ากำลังแปรเปลี่ยนไปแม้เหล่าเมฆนั้นกำลังกลืนกินท้องฟ้าอยู่แต่ก็ไม่อาจจะกั้นแสงอาทิตย์ไม่ให้สาดส่องลงมาได้ แล้วนัยน์ตาคู่สวยก็ต้องเบิกกว้างเมื่อเห็นสถานที่ตรงหน้าพร้อมทั้งคำพูดของเขา
"ถึงแล้วล่ะสเตลล่า สวนกุหลาบแห่งความทรงจำ..."กุหลาบขาวแสนสวยที่แม้เลยช่วงเช้าไปมากก็ยังคงผลิบานงดงามกำลังถูกย้อมด้วยแสงอาทิตย์จนกลายเป็นดอกพรีมโรสที่แสนงามดั่งเส้นผมสีทองของเธอในตอนนี้เธอเห็นเขายิ้มออกมานิดๆก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะหายไปในสีหน้าอมทุกข์ของเขา
ชายหนุ่มก้มลงลูบไล้หยดน้ำค้างบนดอกกุหลาบแผ่วเบา นัยน์ตาสีเพลิงสดสวยมองทอดไปไกลในสถานที่แห่งนี้ก่อนปิดลงในขณะที่ริมฝีปากของเขาได้เอ่ยออกมา
"สเตลล่าเจ้ารู้จักนิทานเรื่องเล่าของผืนดินและท้องฟ้าไหม"เธอส่ายหน้าและนิ่งเงียบซึ่งแม้เขาไม่ต้องหันมามองก็รู้ว่าเธอตอบปฏิเสธเขาจึงเริ่มต้นพูดออกมา
"ณ ช่วงเวลาที่โลกนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นมา ทุกสิ่งในโลกก็จะเกิดมาอยู่คู่กัน...ผืนดินและท้องฟ้าก็เป็นเฉกเช่นนั้น...ผืนแผ่นดินที่ทอดยาวไปไกลเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่อยู่เบื้องบนเสมอมา ในขณะเดียวกันท้องฝ้าที่ทอดยาวคู่ไปด้วยกันก็ก้มลงมองผืนดินอยู่ตลอดเวลา แต่ทว่าแม้จะมองเห็นกันมานานแค่ไหนสายสัมพันธ์ก็ไม่อาจรังสรรค์ขึ้นมาได้ เพราะว่าทั้งคู่นั้นอยู่ไกลห่างกันเกินกว่าจะเอื้อมถึง..."คำบอกเล่าที่เพียงแค่เริ่มต้นก็ทำให้เธอเจ็บปวด
เจ็บปวดแต่กลับไม่อาจหยุดที่จะมองเขาได้....
ทรมาณแต่ก็ไม่อาจขยับไปจากตรงนี้ได้....
"แล้วรู้ไหมว่าเรื่องราวมันเป็นเช่นไร สเตลล่า.."เขาถามเธอแต่ราวกับถามใครคนหนึ่งที่อยู่ตรงนี้แต่ก็ไม่ได้ยืนอยู่ที่นี่ น้ำเสียงเขานั้นอ่อนโยนแกมด้วยความอาดูรที่ไม่มากก็น้อย
omoidasenai, yasashii koe wo
ไม่อาจระลึกถึงเสียงที่แสนอ่อนโยนนั้น
tomurau mune no unabara
ที่อยู่ลึกลงไปภายใต้หัวใจของฉันที่แสนระทม
พลันนั้นหัวใจก็เต้นแรงจนเกือบแสดงออกทางสีหน้าที่ยืนเสียงใครสักคนดังอยู่ในส่วนหนึ่งที่ลึกลงไปของหัวใจ เสียงของเขาที่อ่อนโยนเหมือนจะเคยได้ยินแต่ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน
"จนกระทั่งวันหนึ่งท้องฟ้าได้กระทำความผิดที่ไม่อาจจะอภัยได้ มีครั้งหนึ่งที่ท้องฟ้าและผืนดินได้มาพบกันแต่แล้วท้องฟ้ากลับจมดิ่งลงไปในความมืดที่เรียกว่านิทราอันยาวนานและในตอนนั้นเองผืนดินก็ได้จำแลงกายเป็นวิหคโผบินออกไปไกลแสนไกล...ไกลขนาดที่แม้แต่ท้องฟ้าก็ยังมิอาจไล่ตามวิหคตัวน้อยนั้นได้ทัน..."นัยน์ตาสีเพลิงเหม่อมองฟ้าสีเดียวกับนัยน์ตาก่อนปิดลงรับสายลมเบาๆที่พัดมา
ไม่อาจจะไล่ตามเจ้าไปได้...เพราะข้านั้นมิใช่วิหค....มิใช่สายลมที่พัดผ่าน
ตัวตนของข้านั้นเป็นได้แค่เพียงสถานที่หนึ่งซึ่งเจ้านั้นได้บินผ่านไปอย่างไม่หวนกลับมา
แม้นร้องเรียกเพียงใดก็รู้ดีว่าเจ้าคงมิอาจหวนกลับ...แต่ข้าก็กลับยังร้องเรียกหาเจ้าอยู่เสมอ
kieuseta kako kara, dareka ga yondeiru no
รู้สึกได้ถึงเสียงของใครบางคนที่เรียกหาฉันจากอดีตที่ถูกลืมเลือน
kanashimi wo kono te ni torimodosu toki wa itsu to
เฝ้าแต่ถามตนเองว่าเมื่อไรกันที่ความเศร้าเช่นนั้นจะกลับมาอีกครา
"ท้องฟ้าก็เป็นได้เพียงแค่คนโง่เขลาที่รู้ดีว่าหัวใจของผืนดินที่ตนเฝ้าร้องหานั้นได้จากไปไกลโดยมิอาจหวนคืน..."
ข้านั้นคือตัวตนผู้โง่เขลา...เป็นเพียงคนหนึ่งที่มิอาจยอมรับความจริงได้
ข้าคือผู้ที่ปฏิเสธความจริงเรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้ข้าก็ยังคงเรียกร้องหาเพียงแต่ อดีตกาลที่เลือนหาย
"ในตอนนั้นผืนดินที่จำแลงกายเป็นวิหคน้อยก็เศร้าใจที่ต้องจากไปหยดน้ำตาที่รินไหลจึงได้แปรเปลี่ยนเป็นบางสิ่งบางอย่างเพื่อมอบให้กับท้องฟ้าดั่งของดูต่างหน้า..."สายสร้อยสีเงินที่ถูกสวมซ่อนไว้ใต้อาภรณ์สีแดงถูกปลดออกมาอยู่ในมือคู่นั้น สายสร้อยหรือสายสัมพันธ์เพียงสิ่งเดียวที่ยังคงหลงเหลือจากอดีตกาล
เรื่องเล่าที่ควรเป็นแค่เรื่องเล่าแต่เธอกลับรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้นมากนัก
หัวใจรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างที่ตนเองก็ไม่เข้าใจ...มันทั้งอบอุ่นระคนเย็นเยียบจนอยากจะหนีไปให้ห่างแต่ก็อยากอยู่ที่นี่
มันเพราะอะไร เธอเองก็ไม่รู้....ทั้งที่ต้องเจ็บปวดแต่ก็ยังดื้อดึงที่จะฟังเรื่องราวนี้ต่อไปให้จบ
"...."ริมฝีปากเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่น้ำเสียงกลับไม่ได้เปล่งออกมา ใบหน้าที่น่ารักจ้องมองเขาเหมือนไม่อยากละสายตาเพราะเธอนั้นรู้สึกว่าหากเธอละสายตาจากเขาจะมีอะไรบางสิ่งบางอย่างที่จบลง...
เขายังคงกำสร้อยในมือแน่นเหมือนรู้ดีว่าหากยื่นมืออกไปข้างหน้าแล้วทุกสิ่งที่เคยมีมาตลอดทั้งความหวัง ความทรงจำและสุดท้ายความรัก... ชินรีบสะบัดความรู้สึกแบบนั้นทิ้ง ริมฝีปากของเขาจึงได้เอ่ยออกมาถึงบทสุดท้ายของเรื่องเล่านี้
"ท้องฟ้านั้นได้แต่โทษว่าเป็นความผิดของตนเอง ในวันนั้นท้องฟ้าได้ร้องไห้ออกมาเป็นสายฝนที่โหมกระหน่ำ แต่ก็ไม่อาจเรียกสิ่งที่จากไปกลับคืนมาได้ มีเพียงสิ่งเดียวที่ท้องฟ้านั้นจะทำได้ก็คือ การเฝ้ารอให้วิหคน้อยตัวนั้นได้กลับมาหาอีกครั้งแม้รู้ดีว่าทั้งท้องฟ้าและผืนดินนั้นก็เปรียบดังเส้นขนาน..."ท้องฟ้าและผืนดินเส้นขนานที่แสนเศร้า...ในขณะที่ใครบางคนยืนรออยู่ที่เดิมมาตลอดแต่ใครคนนั้นที่จากไปกลับยิ่งเดินหายไปไกลมากกว่าเดิม
มากเกินกว่าจะตามไป...มากเกินกว่าจะเฝ้ารอให้หวนกลับมา.....
แต่ก็อยากจะบอกออกไปถึงความในใจที่มีให้....
"...และ ณ บัดนี้ท้องฟ้าก็ได้พบกับวิหคน้อยตัวนั้นอีกครั้งแม้ว่าวิหคน้อยตัวนั้นจะได้ลืมเลือนท้องฟ้าไปแล้วก็ตามแต่ว่าความปรารถนานั้นก็ยังมิแปรเปลี่ยน.."สร้อยคอในมือถูกยื่นออกไปข้างหน้าอย่างมาดมั่นไร้ความลังเลอีกต่อไปแล้วเมื่อเขาเป็นคนเริ่มต้นมันขึ้นมาเขาก็จะขอจบด้วยมือของตนเอง
"สเตลล่า ข้าขอคืนสิ่งนี้ให้แก่เจ้า"เธอยื่นมือออกมารับโดยที่ยังไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งนั้น แต่ว่าน้ำตานั้นกลับคลอหน่วงอยู่ในเนตรสีชมพูแสนงามของเธอ
"ข้ารู้ดีว่าข้านั้นเป็นคนที่เห็นแก่ตัวเพียงไร แต่ว่าในวันนี้ก็ขอให้ข้าได้พูดเถอะ เพราะว่าข้านั้นไม่อยากจะเสียใจภายหลังอีกแล้ว..."นัยน์ตาสีเพลิงหรี่ลงต่ำเมือนเปลวเพลิงที่กำลังจะดับลงก่อนจะเปิดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจะไม่มีวันหันหน้าหนีไม่ว่าคำตอบนั้นจะเป็นเช่นไร... หยดน้ำตาของท้องฟ้าได้หลั่งไหลออกมาอีกคราโดยที่ใบหน้านั้นเจือรอยยิ้มเศร้าเอาไว้
nido towa konai ima
ณ ตอนนี้ก็ไม่อาจเรียกอดีตให้หวนกลับมาได้อีกแล้ว
"ไม่ว่าเจ้าจะจดจำข้าได้หรือไม่แต่ข้าก็จะรักเจ้าเสมอและจะรักตลอดไป....สเตลล่าสตรีผู้เป็นที่รักของท้องฟ้า..."ในที่สุดก็ได้พูดออกไปถึงความในใจ หากเธอตอบรับเขาก็พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างเธอแต่หากเงียบหายเพราะมิอาจตอบได้เขาก็จะเป็นฝ่ายจากไปเองเพื่อไม่ให้เหตุการณ์นั้นซ้ำรอยเดิมและกลับมาทำร้ายเธออีกครั้ง
ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะเป็นการสานต่อความสัมพันธ์หรือการบอกลา...
อาจเจ็บปวดถ้าหากคำตอบไม่ได้เป็นดังที่หวังแต่เขาจะไม่เสียใจเด็ดขาด
เสียงสายลมพัดผ่านไร้ซึ่งคำตอบจากเธอคนนั้น เนตรสีหวานมองเขานิ่งสนิทและภายใต้ความเงียบงันนั้นเองเขาก็รู้แล้วว่าคำตอบที่ว่านั้นคืออะไร...
สุดท้ายเขาก็ไม่อาจสมหวังในสิ่งที่หวังได้...บาปก็ยังคงเป็นบาปที่ต้องชดใช้กันต่อไป การลงทัณฑ์ที่ทำให้เธอต้องร้องไห้นั้นช่างเจ็บปวดนักแต่เขาก็ยินดีที่จะแบกรับมันไว้และเป็นผู้ที่เดินจากมาเอง
แม้ว่านับแต่นี้ไปข้าจะมิอาจได้อยู่เคียงข้างเจ้า แต่อย่างน้อยเพียงแค่มองเจ้าจากที่ใดที่หนึ่งบนท้องฟ้าคงได้ใช่ไหม....
แม้ว่าข้าจะมิอาจได้พูดคุยกับเจ้าอีกแต่ข้าก็ขอภาวนาในเจ้ามีความสุข...
ลาก่อน..สเตลล่า...
"อย่าลืมนะสเตลล่าไม่ว่าเจ้าจะเป็นสเตลล่าคนใดแต่ข้าก็จะรักเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง...ลา.."ถ้อยคำอำลาเงียบหายไปเสียดื้อๆเมื่อได้สบพบหยดน้ำตาที่เคยคลอหน่วงอยู่ไหลรินออกมา เธอคนนั้นกำลังหวั่นไหวกับคำพูดที่ซึมซับลงสู่หัวใจดั่งหยาดน้ำตาของท้องฟ้าที่ไหลซึมสู่ผืนดินเรียกให้อะไรบางอย่างหวนคืนมา
เสียงของเขาที่เอ่ยขึ้นดังข้างหู.....มือกร้านที่อบอุ่นซึ่งจับมือของเธอเอาไว้....ใบหน้าของเขาที่ส่งยิ้มมาให้เสมอ..และสุดท้ายความรู้สึกทั้งหมดของเธอในอดีตที่มีให้เขาซึ่งตอนนี้กำลังถูกผลักดันมาจากก้นบึ้งของหัวใจที่ไม่ควรมีอยู่ ตัวตนของเขาที่อยู่ภายใต้ทุกสิ่งที่ทุกอย่าง เขาเพียงคนเดียวที่เธอสามารถบอกได้ว่า รัก
anata no koto shika mienai
ภายใต้ดวงตาของฉันนั้นมีแต่เพียงเธอผู้เดียว
".....ชิน"ร่างเล็กโผเข้าหาคนตัวสูงกว่าเต็มแรงก่อนกอดแน่น หยดน้ำใสไหลกระทบกับบ่าของเขาจนเป็นรอยชื้นบ่งบอกถึงความรู้สึกที่มีอยู่ คำขอโทษเองก็ยังคงมีอยู่ไม่ขาด
"ชินข้าขอโทษ..ข้าขอโทษ..."ชายหนุ่มกระชับเธอไว้อย่างนุ่มนวล เขากำลังยิ้มทั้งที่ร้องไห้ เอ่ยปลอบทั้งที่ตนเองก็ยังเศร้าใจ
"เจ้าจะขอโทษทำไมกัน..คนที่ควรจะขอโทษคือข้าต่างหาก เพราะข้ารู้แล้วว่าคนที่ทำให้เจ้าเลือนหายไปนั้นก็คือข้าเอง..."
ในที่สุดก็เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าถึงได้ลืมข้า นั่นเพราะว่าจิตใจนั้นเป็นสิ่งที่เข้มแข็งแต่ก็เปราะบางยิ่งนักโดยเฉพาะหัวใจของเจ้าที่เปรียบดังแก้วใสนั้นยิ่งเปราะบางกว่าใครๆ หากได้รับความเจ็บปวดหนทางเดียวที่จะไม่เจ็บปวดก็คือ การลืมทุกสิ่งทุกอย่างและเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
สร้างจุดจบขึ้นมาและย้อนกลับไปเริ่มต้นใหม่ทิ้งทุกสิ่งที่เคยมีไว้เบื้องหลังโดยไม่หันกลับไปมอง
ปล่อยให้ใครบางคนยืนรอเจ้าอยู่ที่เดิม....
"ในวันนั้นเพราะคำพูดของข้าใช่ไหมเจ้าถึงได้เลือนหายไปก่อนจะถึงเวลาอันควร...ฉะนั้นการที่ข้าต้องเจ็บปวดมันก็สมควรแล้ว..."คำพูดทั้งหลายพรั่งพรูออกมาพร้อมน้ำตามากมาย เคยคิดว่าเข้าข้างตนเองว่าจะต้องทำให้เธอมีความสุขซึ่งแท้จริงแล้วเขากลับที่เป็นคนทำลายความสุขนั้นไป
เรื่องเป็นเช่นนั้นจริงหรือ..ชิน อาสึกะ....
เสียงของใครบางคนดังก้องอยู่ในหัวเรียกสติให้กลับมาหยุดยั้งอารมณ์ทั้งหมดเขาและเธอเงยหน้าขึ้นมามองเบื้องหน้าซึ่งบัดนี้มีใครคนหนึ่งยืนอยู่ ร่างบอบบางโปร่งใสในชุดสีขาวทับซ้อนดั่งบุปผา เส้นผมสีทองยาวสลวยคลอเคลียใบหน้าที่เจนตา เนตรสีชมพูสวยมองพวกเขาอย่างอ่อนโยนเฉกเช่นรอยยิ้มบนใบหน้าแล้วริมฝีปากกลีบบางนั้นก็เริ่มเอ่ยออกมา
"คงถึงเวลาแล้วที่ข้าจะต้องบอกความจริงทั้งหมดให้พวกเจ้าได้รับรู้ มิเช่นนั้นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้จะสูญเปล่าและสเตลล่าก็คงจะต้องเลือนหายไปจริงๆ"เธอเงียบเสียงไปก่อนจะกล่าวต่อไป
"ชิน อาสึกะเจ้าเคยถามสินะว่าข้าคือใคร ข้าก็คือสเตลล่าแห่งอดีตอันเลือนรางยังไงล่ะเป็นอดีตที่ยามนานมากจนพวกเจ้าไม่อาจคาดคิดได้และสเตลล่าในวันนี้และตลอดเวลาที่อยู่กับพวกสติงนั้นก็คือสเตลล่าแห่งอนาคตที่แท้จริง ข้าคงต้องกล่าวขอโทษพวกเจ้าสินะ"
ข้าหลอกพวกเจ้าและทุกคนหรือแม้แต่ตนเองด้วย แต่นั่นก็เพื่ออนาคตที่ข้าไม่อาจจะได้สัมผัสและก็เพื่อใครบางคนที่ข้ายังคงเฝ้ารออยู่อย่างไร้ค่า...ข้าจำต้องหลอกว่าตนเองคืออนาคตผู้ที่จะต้องคอยบอกเล่าเรื่องราวทั้งหลาย ทั้งๆที่ผู้ที่จะเลือนหายไปนั้นมิใช่สเตลล่าคนนั้นหากแต่เป็นตัวตนของข้าเองต่างหากที่กำลังจะเลือนหาย
"ในความเป็นจริงแล้วสเตลล่านั้นยังมิถึงเวลาที่ต้องเลือนหายแต่ถ้าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปยามที่เส้นทางทั้งหลายกลายเป็นทางแยกที่พวกเจ้าจะต้องเดินไปในเส้นทางที่ต่างกัน ครานั้นสเตลล่าก็จะหายไป ข้าจึงจำต้องลบเลือนตัวตนของนางออกไปและขังไว้ในกรงทองเพื่อรอวันที่จะปลดปล่อยออกไปสู่ท้องฟ้าที่นางควรอยู่ แต่ท้องฟ้านั้นจะยินยอมหรือไม่ในครานั้นก็ไม่อาจรู้ได้เพราะมันก็คือ อนาคต"
นางเม้มริมฝีปากแน่นเหมือนพยายามสะกดความกลัวต่ออนาคตเบื้องหน้าที่เธอคงมิอาจจะยื่นมืออกไปช่วยเหลือใครได้อีกแล้วและไม่นานริมฝีปากที่ปิดแน่นนั้นก็เปิดออก
"ข้าเฝ้ารอให้ถึงคราวที่เจ้าและสเตลล่าจะได้กลับมาพานพบกันอีกครั้งเพราะยามเมื่อพวกเจ้าได้พบกันอีกครั้งแล้วมันก็คือเดิมพันสุดท้ายว่า พวกเราสเตลล่าจะมีวันที่สมหวังในความรักสักครั้งหรือไม่"
ยอมที่จะอยู่ต่อไปในที่ที่ซึ่งไม่ใช่ที่ของเธออีกแล้ว ยอมรับความเจ็บปวดทั้งหมดไว้แต่เพียงผู้เดียว ยอมเป็นผู้เสียสละทุกสิ่งทั้งหมดนั้นก็เพื่อ สเตลล่า
"และเจ้าก็เป็นฝ่ายชนะเดิมพันชิน อาสึกะเจ้าไม่ได้พยายามเรียกอดีตให้หวนคืนมาแต่เจ้าทำเพื่อสเตลล่า เจ้ายอมที่จะเป็นฝ่ายเจ็บปวดเสียเองและเจ้าเองก็รักสเตลล่าจากเนื้อแท้ของจิตใจจนกระทั่งในที่สุดเจ้าก็สามารถพานางกลับมาจากกรงทองที่ขังนางเอาไว้ได้ เจ้าได้พิสูจน์แล้วว่าเจ้าคือผู้ที่เหมาะสมจะเคียงข้างนาง ท้องฟ้าและผืนดินนั้นอาจเป็นดั่งเส้นขนานตามที่เจ้าได้ว่าเอาไว้แต้ถ้าหากเพียงแค่เปลี่ยนมุมมองพวกเจ้าก็คงมองเห็น ณ จุดจบของเส้นขนานที่พวกเจ้านั้นขนานนามว่า เส้นขอบฟ้า..."สเตลล่าคนนั้นส่งรอยยิ้มมาให้ทั้งสองในขณะที่ร่างกายโปร่งใสนั้นกำลังเลือนหายไปทีละนิด เกิดแสงสว่างระยิบระยับบนร่างกาย ชายกระโปรงเริ่มกลายเป็นเศษเสี้ยวเล็กๆของแสงสว่าง
"ข้าคงจะไปได้อย่างหมดห่วงเสียที...สเตลล่าทั้งพลังของข้าและความทรงจำทั้งหมดข้าขอมอบให้แก่เจ้าและจงใช้ชีวิตอยู่เคียงข้างเขาจนกว่าจะถึงเวลาที่เจ้าจะเลือนหายเถอะนะและเจ้าจงจำคำพูดของข้าเอาไว้แม้ว่าในตอนนี้เจ้าจะไม่เข้าใจก็ตาม..."เธอเดินเข้ามากระซิบข้างใบหูเสียงเบา
"การลบเลือนนั้นก็เป็นการปกป้องอย่างหนึ่งเช่นกัน.."ใบหน้าสวยๆเงยมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ดวงอาทิตย์กำลังฉายแสง แสงสว่างสีส้มที่เธอรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกทั้งที่ไม่มีร่างกายเหลืออยู่อีกแล้วแต่เธอก็รับรู้ว่าเสงสว่างนั้นกำลังเรียกเธออยู่
"ทำไมท่านถึงช่วยพวกเราเอาไว้..."คำถามของชินทำให้เธอยิ้มขบขันแกมเอ็นดูเหมือนพี่สาวที่คอยปกป้อง
"นั่นก็เพราะว่า...เรื่องราวของพวกเจ้าช่างคล้ายคลึงกับเรื่องราวของข้าและเทพแห่งท้องฟ้าในอดีตนัก"ภาพความทรงจำของเธอได้ถูกฉายเข้าไปในหัวใจของทั้งสองคน ในวันนั้นที่เทพแห่งท้องฟ้าคนนั้นกำลังจะดับสลายเธอก็มิอาจทนอยู่ได้ พลังที่มีได้ถูกรวบรวมไว้เพื่อแปรเปลี่ยนตนเองให้จมดิ่งสู่ความมืดมิดเพื่อรอวันที่จะได้สานต่อรักที่ไม่มีวันสมหวังแต่อย่างน้อยก็อยากจะบอกเล่าเรื่องราวนี้ให้ใครสักคนได้รู้
ชะตากรรมที่แสนเจ็บปวดเธอขอเป็นผู้แบกรับเพียงคนเดียวก็พอเพราะงั้นจึงได้ช่วยชินและสเตลล่าเอาไว้...
"ข้าขอภาวนาให้พวกเจ้าพบแต่ความสุขนะ...ลาก่อน"ร่างนั้นกลายเป็นเศษเสี้ยวที่ทอประกายและลอยขึ้นสู่ผืนฟ้าราวกับว่าเธอนั้นได้กลับไปสู่อ้อมกอดของผู้เป็นที่รักอีกครั้ง
"ขอบคุณมาก.."ไม่อาจอดกลั้นความรู้สึกต่างๆไว้ได้ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรไปได้มากกว่าคำว่าขอบคุณและคำตอบรับนั้นก็ได้ดังขึ้นอย่างแผ่วเบาในหัวใจของเธอ คำพูดที่เธอจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาดไม่ว่าจะต้องเลือนหายสักกี่ครั้งก็ตาม
"ได้โปรดถ่ายทอดเรื่องราวนี้ต่อไป..เรื่องเล่าของผืนดินและท้องฟ้าที่ไม่มีวันจบ..."
#####################################
แถมๆรูปของสเตลล่าแห่งอดีตค่ะ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น