คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : คำที่ลวงหลอกของคนที่หลอกลวง
Phase 17 คำที่ลวงหลอกของคนที่หลอกลวง
"เฟรย์แม้ผมจะช่วยอะไรคุณไม่ได้แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็ขอให้ผมได้อยู่เป็นเพื่อนคุณ คุณไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกแล้ว"
"เฟรย์ผมอยากให้คุณเล่าเรื่องของคุณให้ฟังแต่ไม่ต้องตอนนี้ก็ได้ ผมจะรอจนกว่าจะถึงวันที่คุณพร้อมจะเล่าให้ฟัง"
"คือ...ผมคิดว่า...ดอกกุหลาบมันเหมาะกับคุณน่ะครับ"
"ไม่ใช่นะเฟรย์ อย่าโทษตัวเองแบบนั้น จริงอยู่ที่คุณอาจจะผิดที่ลืมเขา แต่ว่านะ...ไม่มีใครหรอกที่ไม่สมควรจะมีตัวตนอยู่ พวกเราทุกคนมีคุณค่าในตัวเองเสมอ เพราะงั้นอย่าพูดแบบนั้นอีกเลย"
"เฟรย์คุณมีค่าเสมอ อย่างน้อยก็ในสายตาของผม"
.......คำพูดเช่นนี้หากแค่พูดใครๆก็พูดได้ เคยคิดว่านั่นคือความจริงใจที่เขามอบให้แต่สุดท้ายมันกลับเป็นเพียงความว่างเปล่า.....
ครั้งแรกที่ได้พบคิดแค่ว่าเขาเป็นคนแปลกๆที่ชอบยุ่งเรื่องของข้าจนบางครั้งข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงได้ชอบมายุ่งเกี่ยวกับข้านัก
คำถามที่ข้าเฝ้าวนถามเรื่อยมาแต่มิเคยรู้คำตอบนั้นแม้แต่ครั้งเดียว....
ในคืนนั้นที่สายฝนเทกระหน่ำลงมาข้ายังคงอยู่ที่แห่งนั้นมิแปรเปลี่ยน หยาดน้ำฝนเย็นๆที่ซัดซาดเข้าใส่มาบนผิวกายชวนให้รู้สึกหนาวและเปล่าเปลี่ยว ทั้งที่รู้ดีว่าร่างกายนี้มิอาจเจ็บป่วยได้แต่ความรู้สึกที่ควรลืมเลือนกลับยังคงอยู่ ความหนาวทำให้ร่างกายและเรียวนิ้วของข้าสั่นระริก ความมืดทำให้ข้านึกกลัว
ข้ากลัวอะไรกันนะ...
นี่มิใช่ครั้งแรกเสียหน่อยที่ข้าต้องพบกับบรรยากาศเช่นนี้ หลายคืนราตรีกาลแล้วที่ข้าต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในที่ซึ่งมีแต่ความมืดมิดไร้ผู้คน ถ้าเช่นนี้แล้วข้ายังมีสิ่งใดที่ต้องกลัวอีกหรือ...
ทว่าท่ามกลางความมืดนั้น"เขา"กลับมาปรากฏอยู่ต่อหน้าข้า ไม่เข้าใจสักนิดว่าเขายอมวิ่งฝ่าสายฝนราวกับพายุนี้มาพบข้าเพื่ออะไร ไม่เข้าใจสักนิดว่าเขากอดข้าไว้เพื่ออะไร
ท่านคิระบอกว่า "ข้ามิได้อยู่ตัวคนเดียว" แต่ท่านจะรู้ไหมนะว่าคนเยี่ยงข้าไม่สมควรที่จะมีผู้ใดมาอยู่เคียงข้าง...ทั้งที่คิดเช่นนั้นแท้ๆ
จากนั้นอีกหลายวันต่อมาพวกท่านมีอาก็ได้หวนกลับมายังที่แห่งนี้ จริงๆแล้วเรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับข้าแม้แต่น้อยหากมิใช่เพราะท่านลักซ์ขอให้ข้ามาคอยต้อนรับมีหรือที่ข้าจะยอมละออกมาจากที่แห่งนั้น อาจเห็นว่าข้าหยาบกระด้างนั่นก็ใช่ แต่ข้าก็เป็นเช่นนี้ของข้าแล้วผิดหรือไร
ข้าจำเป็นต้องทำตัวว่าง่ายเพื่อเป็นที่ถูกใจซึ่งข้ามิเคยต้องการหรือไร...หากข้าทำเช่นนั้นตัวข้าก็คงมิใช่ตัวข้าอีกแล้ว....
ฝ่ามือของท่านมีอากระทบลงมาบนใบหน้าของข้าเต็มแรงทำให้รู้สึกเจ็บไม่น้อยแต่ก็ได้แค่ข่มใจตนเองไว้และจำใจทำตามที่ถูกสั่งเพื่อมิให้เกิดปัญหา แล้วข้าก็ได้พบท่านคิระโดยบังเอิญ ท่านคิระบอกว่านอนไม่หลับครั้นจะเรียกคนอื่นก็คงไม่ได้ข้าจึงเป็นฝ่ายชงน้ำชาสมุนไพรให้ท่านคิระ
ขณะที่ยื่นถ้วยชาให้ดวงตาของท่านคิระคงสบเข้ากับดวงหน้าของข้าที่ยังเหลือรอยแดงอยู่เล็กน้อย เขาถามถึงสาเหตุครานั้นข้ามิรู้ว่าเพราะเหตุใดข้าจึงตอบโกหกออกไปทั้งที่ไม่จำเป็น
เพราะไม่อยากให้เป็นห่วง....
ความคิดชั่ววูบที่ข้าสลัดมันทิ้งไปแทบจะในทันที ทันใดนั้นข้าก็รู้สึกได้ถึงมือที่หยาบกร้านของท่านคิระมาสัมผัสบนใบหน้าส่วนที่เป็นรอยแดง ข้ารู้สึกตกใจแต่กลับไม่ถอยห่างออกมาอย่างที่ควรทำ คงเพราะนัยน์ตาสีไวโอเล็ตนั้นแฝงไปด้วยความห่วงใย มือที่หยาบกร้านแต่กลับอบอุ่นลูบไล้เบาอย่างหวังบรรเทาความเจ็บปวด
ยามเมื่อมือที่แสนอบอุ่นนั้นละออกไปข้ากลับยังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ติดค้างอยู่บนดวงหน้า หัวใจไหววูบด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก คำกล่าวราตรีสัวสดิ์ทั้งที่เป็นคำง่ายๆแต่กลับรู้สึกเหมือนเติมเต็มในหัวใจ
นานแค่ไหนแล้วนะที่ได้ยินคำนี้เป็นครั้งสุดท้าย...
นับจากวันนั้นผ่านมาอีกหลายราตรีกว่าข้าจะได้พบเขาอีกครั้งที่หน้าคฤหาสน์ในขณะที่ข้ากำลังจะออกไป เขาได้ตามข้าไปยังที่แห่งนั้น เขาขอนั่งอยู่เป็นเพื่อนข้า น่าแปลกที่ข้าจะบอกให้เขากลับไปก็ได้ข้าก็ไม่ทำ ข้าจะไม่สนใจเขาก็ได้แต่ข้าก็ไม่อาจละสายตาจากเขาได้เลยแต่ข้าก็ขับร้องบทเพลงโดยไม่มองใบหน้าของเขาเพื่อปิดบังดวงตาที่ยังพินิจมองเขาอยู่
ย่างเข้าเมื่อบ่ายมิลิอาเลียได้นำอาหารมาให้ข้าตามปรกติ เธอดูแปลกใจไม่น้อยเมื่อเห็นท่านคิระอยู่กับข้าแต่เธอก็ไม่พูดอะไรนอกจากอมยิ้มน้อยๆแล้ววางตะกร้าเอาไว้และกลับไป ข้าวางฮาร์ฟในมือลงก่อนจะก้มลงไปเปิดตะกร้าและหยิบชิฟฟ่อนเค้กกับขนมปังอีกสองสามอย่างขึ้นมาทานโดยแบ่งให้ท่านคิระครึ่งหนึ่ง
หลังจากทานของพวกนี้เสร็จข้าก็เริ่มเล่นบทเพลงต่ออีกครั้งหนึ่ง เวลาคงผ่านไปอีกพักใหญ่ข้าถึงได้วางฮาร์ฟลงอีกครั้งและหยิบชุดนำชาออกมาจากตะกร้าซึ่งข้าอดแปลกใจไม่ได้ที่มีแก้วนำชาอยู่สองใบในนั้นแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะคาดว่ามิลิอาเลียคงเตรียมมาเผื่อไว้เท่านั้น ข้าจึงรินน้ำชาให้กับท่านคิระและตัวข้าเอง
การดื่มน้ำชานั้นเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ข้าไม่ได้เกลียด กลิ่นหอมละมุนของใบชา ไออุ่นของน้ำร้อนที่กำลังดี รสขมอ่อนๆแต่แฝงไว้ด้วยความหวานของน้ำผึ้งที่เสริมเข้ามาทำให้จิตใจรู้สึกผ่อนคลาย พักหนึ่งท่านคิระเป็นคนเอ่ยออกมาว่าชอบน้ำชาที่ข้าเคยชงให้พร้อมกับรอยยิ้มที่ส่งมามันทำให้ใจของข้าเต้นระรัวใบหน้าก็ร้อนผะผ่าวอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวข้าจึงแสร้งมองไปทางอื่น
ในหัวใจกำลังดีใจรึเปล่านะที่เขาบอกเช่นนั้น ทั้งที่เขาไม่น่าจะจำได้แท้ๆเพราะมันเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่เขาได้ลิ้มรสและยังเป็นเพียงชาธรรมดาๆเท่านั้น แล้วเขาก็ถามขึ้นเมื่อเห็นข้าเงียบไป
"ว่าแต่คุณชอบดอกไม้อะไรเหรอ"
ชอบหรือ....ข้าไม่เข้าใจหรอก
ความชอบนั้นเป็นเช่นไรกันนะ.....ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ
เคยคิดทบทวนอยู่หลายครั้งแต่กลับไม่เคยเข้าใจมันซักครั้ง....
แต่ว่า...หากเป็นดอกไม้ที่เหมาะกับข้าคงจะเป็นกุหลาบแดงเพราะท่านคิระและท่านไซเคยบอกไว้เช่นนั้น...
ท่านไซ...ในตอนนั้นข้าผู้ที่ไม่อาจนึกถึงใบหน้าของท่านได้เลย ไม่สิก่อนหน้านี้แม้แต่นามของท่านข้าก็กลับนึกไม่ออก ข้านี่ช่างน่ารังเกียจจริงๆ นับตั้งแต่วันที่ข้าลืมเลือนท่านไปข้าก็รู้สึกเจ็บปวดมาตลอด หัวใจของข้าเหมือนอยู่ในความมืดมิด
ข้าแสนเกลียดความตายที่มาพรากท่านไปจากข้าและเกลียดตนเองที่ไม่อาจตายได้ แต่ที่ข้าเกลียดที่สุดก็คือตัวข้าที่ลืมเลือนท่านไป เพราะงั้นการที่ข้าต้องเฝ้ารอคอยท่านอย่างโดดเดี่ยวในความมืดมิดมันก็เป็นการลงทัณฑ์ที่สาสมแล้วกับบาปของข้า...
ตลอดมาใจข้าไม่เคยเพรียกหาแสงสว่างเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ใจนั้นกลับใฝ่หาอยากจะสัมผัสแสงสว่าง ช่างน่าขำยิ่งนัก...คนอย่างข้ามีหรือที่แสงสว่างจะสาดส่องมาหา จะมีหรือที่ซักวันจะมีใครยื่นมือมาฉุดข้าออกจากความมืดนี้...
"เฟรย์..."เสียงเรียกของใครบางคนที่แสนอบอุ่น มือที่โอบกอดข้านั้น..ช่างอบอุ่นเหลือเกิน....
"เฟรย์คุณมีค่าเสมอ อย่างน้อยก็ในสายตาของผม"มีค่า...คนเยี่ยงข้างั้นหรือ....
ณ ช่วงเวลานั้นข้ารู้สึกถึงแสงสว่างที่สาดส่องมา ท่านคิระกำลังมอบแสงสว่างให้ข้า แสงที่ข้าโหยหามาตลอดโดยไม่รู้ตัว...ความอบอุ่นที่ท่านมอบให้คนเยี่ยงข้า ท่านคิระ...ตั้งแต่ครั้งเมื่อข้าได้พบกับท่านไม่ว่ากาลใดที่ข้าเศร้าสร้อยท่านก็จะเป็นผู้ที่คอยปลอบประโลมและอยู่เคียงข้างเสมอ นัยน์ตาของท่านที่จ้องมองมายังข้ามันทำให้หัวใจรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
หากเป็นท่านละก็....หากเป็นท่านละก็คงช่วยเติมเต็มให้กับหัวใจที่ว่างเปล่าและมืดมิดของข้าได้ เพราะอย่างงั้น..นี่จะเป็นครั้งสุดท้าย...
ใบหน้าของข้าเคลื่อนเข้าหาเขาช้าๆ นัยน์ตาหลุบปิดลงก่อนที่ริมฝีปากจะประกบทับไปบนริมฝีปากของท่านคิระไปอย่างไม่รู้ตัว เมื่อรู้สึกตัวอีกทีข้าก็อยู่ในอ้อมกอดของท่าน ศีรษะของข้าหนุนอยู่บนแผ่นอกของท่านที่กว้างใหญ่พอจะรองรับน้ำตาของข้าเอาไว้ได้ หัวใจของข้ารับรู้ได้ถึงความรู้สึกหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเมื่อไร...
ข้าอยากจะเป็นของเขาและอยากจะให้เขาเป็นของข้า ข้าหวังอยากจะให้เขาและข้าเป็นของซึ่งกันและกัน ข้าหวังอยากให้เขาคิดเช่นนั้น
ทว่าข้าคงคิดไปเองฝ่ายเดียว...
ตกดึกคืนนั้นข้าไปหาท่านคิระเพื่อจะคืนเสื้อที่เขาให้ยืมมาแต่สิ่งที่ประจักษ์แก่สายตาข้ากลับทำร้ายทำลายทุกสิ่งของข้า ท่านคิระกำลังโอบกอดท่านลักซ์เอาไว้ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ใกล้ชิดจนน่าจะรับรู้ถึงลมหายใจของอีกฝ่ายได้ เพียงแค่นั้นข้าก็ไม่อาจจะทนดูอยู่ได้อีกต่อไปแล้ว
ข้าวิ่งหนีออกมาหวังอยากจะหนีภาพนั้นแต่ทว่ามันกลับติดตาไม่ยอมเลือนหาย หัวใจของข้าเจ็บปวดยิ่งนัก...เคยคิดว่าเขาก็รู้สึกเช่นเดียวกับข้า..เคยเชื่อว่าเขาไม่มีวันจะทำร้ายข้า แต่ว่าทุกอย่างกลับไม่ใช่อย่างที่ข้าหวัง ข้าไม่อาจจะทำอะไรได้อีกแล้วเพราะว่าเขาคนนั้นมิใช่ของข้า เขาเป็นของคนอื่น...คนอื่นที่ข้าไม่เคยคิดว่าจะทรยศข้า....
ท่านลักซ์...ท่านจะรู้ไหมว่าข้าชิงชังและริษยาท่านมากเพียงไร ท่านแย่งเขาไปจากข้า ท่านแย่งความสุขของข้าไป ข้าจะไม่มีวันอภัยให้ท่านอย่างเด็ดขาด....
หึ..ท่านคงไม่รู้สินะท่านลักซ์ว่าในคืนนั้นข้าไม่อาจข่มตาหลับได้แม้สักวินาทีเดียว คืนนั้นน้ำตามันรินไหลออกมามากมายจนไม่เหลือที่จะให้ไหลออกมาอีกแล้ว... ข้าสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างภายในชั่วข้ามคืน....ข้าไม่มีสิ่งใดเหลืออีกแล้วนอกจากพันธสัญญาของเขาผู้ไม่มีวันกลับมา
ยามเช้าที่ข้าไม่อยากให้มาถึงปรากฏอยู่ตรงหน้า ข้าที่เหลือเพียงสัญญานั้นได้พาร่างของตนเองออกไปจากคฤหสน์เยี่ยงคนไร้วิญญาณ ใจคิดแต่เพียงไม่อยากจะพบเขา....แต่ว่าพระเจ้าก็ไม่เคยยอมให้ข้าสมหวังแม้สักครั้งเดียว ณ ที่นั่นท่านคิระได้มาหาข้าอีกครั้ง
แม้ไม่ต้องดูหน้าข้าก็รู้ว่าเขาต้องการจะพูดอะไร เขาคงรู้สินะว่าเมื่อคืนข้าอยู่ที่นั่น....แล้วจะสนใจอะไรอีกล่ะ เสียงในใจข้ากล่าวอย่างมีโทสะ เขาถามข้าว่าขาเห็นอะไรไหม...เห็นสิแต่ข้าก็โกหกออกไปว่ามิได้เห็น ข้าโกหกทั้งเขาและตนเอง หวังอยากให้เขากลับไปเสีย แต่เขากลับทักท้วงข้าถึงหลายครั้งหลายครา
ท่านจะตอกย้ำข้าหรือไร...
"ข้าบอกแล้วไงคะว่ามิได้เห็น!"ข้าตะโกนกลับไปสุดเสียงที่มีน้ำตาที่เคยเหือดหายกำลังรินไหลออกมาอีกครั้ง
พอกันที! หากมือที่ยื่นมานั้นมาจากคำว่าเห็นใจ หากโอบกอดไว้เพียงเพราะสงสาร หากจุมพิตข้าทั้งที่ไม่รู้สึกอะไร ก็อย่าได้มายุ่งเกี่ยวกับข้าอีกเลย ข้าไม่เคยต้องการไม่ว่าจะความสงสารหรือเห็นใจ ไม่ได้อยากได้อ้อมกอดที่ไร้ความรู้สึกสักนิด!
สิ่งที่ตัวข้าปรารถนามาตลอดมิใช่ความสงสาร..เคยคิดว่าท่านจะเข้าใจข้าถึงได้เชื่อใจท่านทั้งที่แท้จริงแล้วท่านไม่เคยเข้าใจข้าแม้แต่ครั้งเดียว
ข้าไม่อยากจะพบท่านอีกแล้ว...
ทั้งที่คิดเช่นนั้นแต่ว่า....ในตอนนั้นยามที่ร่างกายข้าหลับไหลคงไม่มีใครรู้สินะว่าหัวใจของข้ายังคงรับรู้ได้ถึงถ้อยคำของท่าน
"ลาก่อนนะ...เฟรย์"
ลาก่อน...คำๆนี้ที่ไม่คิดว่าจะได้ฟังมันอีกครั้ง หัวใจที่บอกว่าไม่อยากพบแต่เมื่อได้รับฟังคำว่า ลาก่อน ข้ากลับร่ำไห้ออกมา...ท่านเคยบอกว่าข้าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว....แต่แล้วท่านกลับเป็นฝ่ายทิ้งข้าไป
ท่านคิระ...คนโกหก...
เมื่อข้านั้นไร้คนสำคัญแล้วตัวข้านั้นจะลืมตาตื่นเพื่อสิ่งใด...
ข้าคงไม่หวังที่จะลืมตาตื่นขึ้นมาอีกแล้ว.....
พระเจ้าได้โปรดเถอะ...นี่คือคำขอร้องของข้า...
ได้โปรดปล่อยให้ข้าได้อยู่เพียงคนเดียวด้วยเถอะ...
นี่คือคำขอร้องครั้งสุดท้ายของข้า....
----------------------------
ฝนตก...
ทั้งที่เป็นแค่เรื่องธรรมดาแต่ ณ ตอนนี้มันกลับทำให้จิตใจรู้สึกหดหู่ยามเมื่ออยู่เพียงคนเดียว เฟรย์เองก็คงรู้สึกแบบนี้สินะ ทั้งเหงาและโดดเดี่ยวแต่นี่จะใช่ความรู้สึกของเธอรึเปล่านะ...เพราะผมไม่เคยเข้าใจอะไรเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เมื่อเข้ามาภายในห้องนอนผมทิ้งร่างของตนเองลงบนที่นอนอย่างสิ้นแรงก่อนจะปิดตาลง ในหัวไร้ซึ่งความคิดที่จะทำสิ่งใดต่อไปอีกแล้ว
อยากจะ...หลับไปแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย
แต่ว่าพระเจ้าคงไม่ยอมสินะ เพราะหากผมได้หลับไปโดยไม่ตื่นขึ้นมาอีกก็เท่ากับว่าผมได้หนีความผิดที่ผมเป็นผู้ก่อขึ้นมา ความผิดที่ไม่มีวันได้รับการอภัย คิดได้เพียงอย่างเดียวว่า ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้สึกผิดมากขนาดนี้มาก่อน
หึ....ผมยิ้มเย้ยหยันความน่าสมเพชของตนเองก็เพราะว่าผมนี่ช่างโง่เขลาจริงๆ สมควรแล้วที่เธอจะโกรธเกลียดผม คนเขลาแบบผมคงไม่มีวันเข้าใจจิตใจของใครได้แน่เพราะขนาดแค่ความรู้สึกของตนเองก็ยังสับสนและลังเลแล้วแบบนี้ผมจะไปเข้าใจจิตใจของเธอได้อย่างไรกัน
ริมฝีปากนี้ที่เคยพูดวาจาปลอบโยนเธอผมทำไปเพื่ออะไร มือนี้ที่โอบกอดเธอผมทำไปด้วยความรู้สึกแบบใดกันนะ แต่มันก็คงไม่พ้นความเห็นใจหรือสงสารอย่างที่ถูกประณามเอาไว้เป็นแน่
ความทรงจำที่แสนสวยงามถูกแทนที่ด้วยความผิดที่มากยิ่งกว่า หากบอกว่าขอโทษแล้วก็จบกันไปโลกนี้ก็คงไร้ซึ่งคนผิด สำหรับผมแล้วไม่ว่าผมจะกล่าวขอโทษซักกี่ครั้งความผิดก็ไม่มีวันเลือนหาย คนอื่นบอกว่าผมไม่ผิดแต่สำหรับผมแล้วนั่นคือความผิดที่ผมจะไม่มีวันให้อภัยตนเองเด็ดขาด
จากนี้ไปคงไม่อาจจะพบกับเธอได้อีกแล้ว..ไม่ใช่ว่าไม่อยากมีความผิดเพิ่มขึ้น..แต่ผมไม่อยากจะ...ทำร้ายเธอมากไปกว่านี้อีกแล้ว...
"เฟรย์..ผมขอโทษ"ปากพร่ำแต่คำขอโทษอยู่คนเดียว แขนข้างหนึ่งถูกยกขึ้นมาปกปิดดวงตาที่มีน้ำใสๆไหลคลออยู่ คิดถามตนเองหลายครั้ง
ดีแล้วหรือที่ทำแบบนี้....ถูกแล้วหรือที่ทำแบบนี้....
คำถามที่ผุดพรายขึ้นมาหลายครั้งหลังกจากเอ่ยคำนั้นออกไป แต่ไม่ว่าผมจะคิดทบทวนซักกี่ครั้งคำตอบก็ยังเหมือนเดิม
ดีแล้วล่ะ..ให้เป็นแบบนี้น่ะ..ดีแล้ว เพราะผมพูดแต่สิ่งที่ตนเองไม่เคยทำได้ซักครั้งเดียว กระทำอะไรแค่ครึ่งๆกลางๆ คิดอะไรไปเองฝ่ายเดียว ท้ายที่สุดผมก็ทำร้ายเธอ มันคง..ไม่มีวันกลับมาเหมือนดังเดิมได้อีกแล้ว
สิ่งเดียวที่ผมทำเพื่อเธอได้ในตอนนี้ก็คือ การจากไปเช่นเดียวกับไซ แต่ผมก็ไม่โง่และกล้าพอที่จะตายเพราะหากผมตายไปคนอื่นที่เป็นห่วงผมก็คงต้องร้องไห้ แต่นั่นจะเป็นการคิดเข้าข้างตนเองรึเปล่านะ
ผมเลือกที่จะไม่พบกับเธออีก.....นั่นคือสิ่งเดียวที่คนแบบผมจะทำได้
"ลาก่อนนะ...เฟรย์"ปากบอกว่าลาก่อนแต่หัวใจกลับไม่อยากลา หัวใจของผมรู้สึกเจ็บปวด เพราะอะไรกัน....
ความคิดกับหัวใจไม่ใช่สิ่งเดียวกันหรือไง ความคิดบอกว่าดีแล้วแต่หัวใจกลับรู้สึกเจ็บ นี่สิที่เรีกว่า ความโลเล..... ผมนี่มันช่างน่าสมเพชจริงๆหรือว่าจะน่ารังเกียจกันแน่...
สุดท้ายแล้วสิ่งที่ผมพูดก็มีแต่คำลวงหลอก แต่ก็สมกับผมแล้วล่ะ เพราะว่าผมมันก็แค่คนหลอกลวง....
...............
...........
.......
ก๊อก...ก๊อก....
เสียงเคาะประตูไม้ดังเป็นจังหวะเรียกสติที่ใกล้จะหลุดลอยไปให้หวนกลับคืนมา ร่างสูงลุกขึ้นจากเตียงนุ่มๆพลางปาดน้ำตาทิ้งก่อนจะกล่าวออกไป
"เชิญครับ"สิ้นเสียงประตูไม้สลักก็เปิดออกแขกในยามนี้คือหญิงสาวร่างบางที่เยื้องกายเข้ามาในห้องอย่างช้าๆ เส้นผมสีซากุระที่เคยรวบไว้ถูกปล่อยยาวสยายขนานไปกับเรือนร่างอันแสนบอบบาง ท่านหญิงยังคงอยู่ในชุดเดิมเหมือนดังเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ไม่รู้ที่เขาคิดไปเองไหมว่านัยน์ตาสีครามนั้นช่างดูเศร้าสร้อยแต่กลับงดงามจับใจ
"ท่านคิระ..."ท่านหญิงเอ่ยเสียงหวานเมื่อได้สบเข้ากับใบหน้าของเขา มันช่างดูเศร้าสร้อยแม้จะถูกปกปิดไว้ด้วยรอยยิ้มก็ตาม
"มีอะไรหรือครับท่านลักซ์"ความรู้สึกเจ็บปวดแฝงอยู่ในคำพูดอย่างเด่นชัดโดยไม่ต้องเดาให้ยาก ใบหน้างามของท่านหญิงยิ่งเศร้าหมองมากกว่าเดิมในขณะที่ชายหนุ่มยังปั้นหน้ายิ้มราวกับไม่เห็น
"คือ...ถ้าไม่มีอะไรผมอยากจะพักผ่อนน่ะครับ"เขาเริ่มต้นพูดโดยพยายามไม่สบสายตาท่านหญิงไคลน์แม้แต่น้อย
"...เจ็บปวดมากไหมคะ"คำถามนี้ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าแทบจะเลือนหายไปในทันทีแต่เขากลับกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มเดิมอีกครั้ง
"เรื่องอะไรเหรอครับ"เขาเสแสร้ง....
"ก็เรื่องของ...เฟรย์ไงคะ"เธอบอกเขาแต่เขายังทำเป็นเฉย
"ถ้าอย่างงั้นคนที่เจ็บปวดก็ไม่ใช่ผมหรอกครับ ท่านไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง"เสแสร้งอีกแล้ว...
"แต่ว่าท่านร้องไห้นี่คะ"ชายหนุ่มเมื่อได้ยินดังนั้นก็หัวเราะในลำคอเบาๆก่อนจะตอบ
"คนอย่างผมน่ะเหรอครับ ท่านคงคิดไปเอ.."ยังไม่ทันที่คิระจะได้พูดจนจบประโยคเสียงของท่านหญิงก็กล่าวแทรกเข้ามา
"เลิกเสแสร้งเสียทีเถอะค่ะ!"ท่านหญิงกล่าวออกมาด้วยเสียงอันดังอย่างเหลืออดจนเกือบเอามือปิดปากของตนเองไม่ทันเพราะว่าเธอพูดแรงเกินไป รอยยิ้มจอมปลอมบนใบหน้าของเขาหายไปในทันที
"..ขออภัยด้วยค่ะ"คิระส่ายหน้าเบาๆก่อนพูด
"ไม่เป็นไรครับ.."แล้วทั้งคู่ก็เงียบไป ท่านหญิงจึงได้เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน
"ท่านคิระคะ ได้โปรดอย่าโทษตนเองเลยค่ะ"เขาก้มหน้านิ่งหลบนัยน์ตาสีครามคู่นั้นมองลงไปที่พื้นราวกับกลัวที่จะสบมองนัยน์ตาของเธอ
"ข้ารู้ดีว่าท่านคิดว่าตนเองผิดแม้ว่าข้าจะพูดเช่นไรท่านก็คงไม่สามารถอภัยให้ตนเองได้ แต่ว่าได้โปรดอย่าแบกรับความเจ็บปวดนั้นไว้เพียงผู้เดียวเลยนะคะ"ท่านหญิงหลุบนัยน์ตามองมาที่มือของเขา มือนั้นสั่นเทาบ่งบอกถึงความขมขื่นที่อยู่ภายใน แล้วมือที่เรียวบางของท่านหญิงก็ยื่นเข้าไปจับแล้วยกขึ้นมากุมเอาไว้อย่างหวังปลอบโยนเขา การกระทำนี้ทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นมามองเธอที่ตอนนี้ก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเช่นเดียวกัน
"ข้าจะมิขอให้ท่านอภัยให้ตนเอง แต่ข้าไม่อยากจะให้ท่านต้องเจ็บปวดอยู่เพียงผู้เดียวข้านั้นอยากจะให้ท่านได้มีรอยยิ้มที่อบอุ่นดังเช่นกาลที่ผ่านมามิใช่รอยยิ้มเช่นนี้...เพราะงั้นได้โปรด..."น้ำเสียงของท่านหญิงขาดห้วงเธอปิดตาลงคิดทบทวนในจิตใจของตนเองก่อนจะลืมตาขึ้นมา ริมฝีปากสีชมพูนั้นเอ่ยออกมาช้าๆแต่ชัดเจน
"ได้โปรดให้ข้าได้เป็นผู้แบกรับความเจ็บปวดร่วมไปกับท่านได้ไหม....ขอให้ข้าได้เป็นผู้ที่อยู่เคียงข้างท่านได้ไหมคะ ท่านคิระ"ถ้อยคำที่ถูกเอ่ยออกมาและดวงเนตรที่แสนงดงามแฝงไปด้วยความอ่อนโยน สั่นคลอนจิตใจของชายหนุ่มยิ่งนัก น้ำตาที่พยายามอดกลั้นเอาไว้เอ่อล้นอยู่ภายในหัวใจและนัยน์ตาที่หม่นหมอง ทุ้มเสียงที่แผ่วเบาเหมือนอยากจะเอ่ยคำพูดอะไรออกมากลายเป็นเพียงเสียงสะอื้นที่แผ่วเบายิ่งกว่า
ท่านหญิงยังคงจ้องมองสบในตาเขาอยู่เช่นเดิม หวังอยากจะให้เขารับรู้ถึงความห่วงใยที่เธอมีให้ อาจโกหกที่บอกว่าไม่ได้หวังสิ่งใดจากเขาเพราะใช่ว่าเธอจะไม่รับรู้ถึงความจริงภายในใจของตนเอง เพียงแต่ว่าตอนนี้เธอไม่ขออะไรอื่นอีกนอกจากจะเป็นผู้ร่วมแบกรับความเจ็บปวดไปพร้อมกับเขา
ร่างที่สูงกว่าเข้าโอบกอดร่างบางตรงหน้าก่อนจะกระชับแน่นราวกับเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจอันแสนทุกข์ระทม ปล่อยเสียงร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาจจะหยุดมันเอาไว้ได้อีกแล้วสิ่งที่หลงเหลืออยู่ภายในห้วงคิดมีเพียงแค่ความรู้สึกอันอบอุ่นของร่างบางตรงหน้า มือที่แสนบอบบางของท่านหญิงโอบกอดเขาเอาไว้ราวกับจะปกป้องเขาจากความเศร้าทั้งปวง ริมฝีปากของเธอได้เอ่ยออกมาเบาๆ
"ท่านคิระคะ ข้าจะอยู่เคียงข้างท่านเสมอ..."
#####################################
ขออภัยที่ตอนนี้มันดูเหมือนคนเขียนอู้งานแต่เราอยากเขียนตอนนี้มากๆเลยอ่ะแบบว่าอยากจะบรรยายความรู้สึกของตัวละครให้ลึกซึ้งอ่ะ
วันนี้เรามีภาพลักซ์ของตอนนี้ที่เราวาดมาให้พวกท่านดูกันด้วยแต่ตอนนั้นมันไม่ค่อยว่าง งานเลยอาจจะดูเผาๆไปบ้างต้องขออภัยด้วย
ความคิดเห็น