คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : ความจริงที่แสนโหดร้ายกับความไม่รู้ที่แสนอ่อนโยน
Phase 15 ความจริงที่แสนโหดร้ายกับความไม่รู้ที่แสนอ่อนโยน
ภายใต้อากาศที่แสนหนาวเย็นจิตใจของใครบางคนกลับร้อนรน บนเส้นทางอันว่างเปล่าที่มีเพียงเสียงย่ำเท้าอย่างรวดเร็วในมือของเขาโอบอุ้มร่างบางที่สิ้นสติอยู่ ดวงตาคู่งามที่ปิดสนิทและน้ำตาที่ยังคงไหลรินสร้างความเจ็บปวดให้เขาไม่น้อย เขาไม่สนใจความเหน็ดเหนื่อยที่เริ่มเกิดขึ้นบนร่างกายเขา สายตาที่มองมีแต่เพียงเธอเท่านั้น เมื่อก้มมองร่างบางในมือก็ยิ่งเศร้าใจมากขึ้น
ไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งที่เขาทำมาทั้งหมดคือการทำร้ายเธอ....ไม่เคยรู้ว่าเธอไม่ต้องการ...ความสงสาร...ความเห็นใจที่เขาสแดงออกมาไม่คิดเลยมามันจะไร้ค่า พูดไม่ออกปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกสิ่งที่เธอพูดทั้งหมดล้วนถูกต้อง ทุกครั้งที่เข้ามาใกล้เธอก็เพราะสงสารเธอ....เพราะงั้นทุกอย่างจึงเป็นความผิดของเขา...
ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นทั้งที่เหนื่อยอ่อน อยากจะรีบกลับไปที่คฤหาสน์และหวังอยากให้ใครซักคนช่วยเธอ...ใครซักคนที่ไม่ใช่เขาที่ทำร้ายเธอ....
-----------------
"สเตลล่า"เนตรสีเพลิงมองร่างบางตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาตนเองเพราะร่างบางที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคือคนที่ไม่ได้พบกันนานแล้วจึงได้เผลอลืมตัวเรียกชื่อออกไป ร่างบางในชุดสีขาวยาวเข้ากับเส้นผมสีทองสั้นและดวงเนตรสีชมพูเข้มหวานยืนอยู่ระหว่างชายสองคนที่มาพร้อมกับเธอ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองไหมที่ดวงตาคู่นั้นของเธอดูเหม่อลอยขนาดที่แม้จะถูกเรียกชื่อก็ยังไร้วี่แววความสนใจขณะที่ชายสองคนข้างกายมีท่าทางแปลกไป
"ยินดีต้อนรับค่ะท่านสติง ท่านอาล์วและท่านสเตลล่า"ท่านหญิงกล่าวต้อนรับอย่างสุภาพและยิ้มอ่อนโยนให้เช่นเคยทั้งสามคนพยักหน้าน้อยๆแล้วชายผมเขียวนามสติงก็เอ่ยทักตอบเป็นคนแรก
"ครับท่านลักซ์ ขอบคุณที่ให้การต้อนรับ"เขากล่าวเสียงสุภาพส่วนอาล์วเมื่อเห็นเพื่อนพูดแล้วจึงพูดบ้าง
"เช่นกันครับท่านลักซ์"ว่าแล้วก็โค้งให้ท่านหญิงครั้งหนึ่งอย่างมีมารยาท แต่สเตลล่ากลับไม่ได้พูดอะไรนอกจากย่อตัวทักทายเล็กน้อยเท่านั้นซึ่งท่านหญิงก็ไม่ได้ติดใจอะไร ชายหนุ่มนามชินรอจนกระทั่งการทักทายจบลงจึงได้เดินเข้าไปหาหญิงสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มแล้วยิ้มให้พร้อมทักทายเธอ
"สวัสดีสเตลล่า ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ"เขาทักทายอย่างสนิทสนมแต่น่าแปลกที่คนถูกทักทายกลับมีสีหน้างุนงงและสับสนจนสังเกตเห็นได้ชัด
"สเตลล่า..."เขาเรียกชื่อเธออีกครั้ง เจ้าของนามนั้นมองหน้าเขาก่อนจะเอ่ยออกมา
"ท่าน..คือใครหรือคะ"เขาทั้งอึ้งและตกใจกับคำถามที่เขาได้รับมาจนคำพูดเกือบจะหยุดชะงัก
"สเตลล่าชั้นเองชินไง ชิน อาสึกะจำไม่ได้เหรอ"แววตาที่เหม่อลอยมองใบหน้าของเขาแล้วก็โค้งให้ครั้งหนึ่งก่อนตอบ
"ขอโทษค่ะ ข้าไม่รู้จักท่าน"ไม่รู้จัก...คำที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินจากปากของเธอเขาจึงได้พูดต่อ
"ชั้นชิน อาสึกะไงสเตลล่าทำไมเธอ..."
"ชิน...."เมื่อเธอทวนชื่อของเขาความรู้สึกบางอย่างก็แล่นเข้ามาภายในหัวจนถึงกับยกมือขึ้นมากุม
"ปวด..สเตลล่าปวดหัว เจ็บด้วย..."เมื่อได้ยินที่เธอบอกทั้งสติงและอาว์ลต่างก็เข้ามาประคองเธอเอาไว้ สติงลูบเส้นผมเธอเบาๆเหมือนปลอบก่อนสั่งชายอีกคนหนึ่ง
"อาล์วนายประคองสเตลล่าไว้นะ ท่านลักซ์ครับสเตลล่าไม่ค่อยสบายพวกผมขอตัวก่อนนะครับ"ท่านหญิงพยักหน้าแล้วหันไปเรียกให้มิลิอาเลียนำทางทั้งสามคนไปยังห้องพักที่จัดเตรียมเอาไว้แล้ว ขณะที่สติงเดินผ่านชินไปเขาก็ได้ทิ้งท้ายด้วยถ้อยคำที่ชินก็ไม่รู้ว่ามันหมายความว่ายังไง
"ขอโทษนะ ตอนนี้ขอให้นายอย่ามายุ่งกับสเตลล่าเลย อย่าน้อยก็เพื่อสเตลล่าและรวมถึงนายด้วย"เขาไม่เข้าใจว่าที่สติงพูดนั้นคืออะไร ทำไมถึงห้ามเขามิให้มายุ่งเกี่ยวกับสเตลล่ากันล่ะ.. แต่เขาก็ไม่ได้ถามกลับจนแม้กระทั่งร่างสามร่างได้เดินหายไปในคฤหาสน์แล้ว
"ชินนายรู้จักเธอด้วยเหรอ"เพื่อนผมทองที่ยืนนิ่งเงียบอยู่นานเอ่ยถาม เพราะดูจากท่าทางการพูดของชินที่พูดกับสเตลล่าแล้วแสดงให้เห็นว่าเขาต้องรู้จักเธอพอสมควร
"ใช่ รู้จักดีด้วย เพียงแต่..ตอนนี้ชั้นชักจะไม่แน่ใจแล้ว"เขาพูดแล้วนิ่งไปในห้วงความคิดนั้นสับสน คิดฉงนสงสัยในท่าทีที่เปลี่ยนไปของเธอ
ทำไมกัน...ทำไมเธอถึงจำชั้นไม่ได้ก็เราน่ะ...
เขารีบสลัดความคิดทิ้งเมื่อเห็นสายตาของท่านหญิงที่ทอดมองมา ดวงตานั้นดูมีแววเห็นใจนิดๆเจืออยู่ทำให้เขาก้มหน้าหลบสายตานั้นก่อนจะเอ่ยขอตัวไปพักบ้าง
"ผมกับเรย์ขอตัวก่อนนะครับท่านลักซ์"ท่านหญิงถอนสายตากลับแล้วหันไปเรียกเจสสิก้าที่ยืนอยู่ให้พาผู้มาใหม่สองคนไปยังห้องพักที่เตรียมไว้เช่นกัน
ขณะที่เดินอยู่ตลอดทางไปห้องพักเขาก็ยังคงคิดแต่เรื่องของสเตลล่าไม่หยุด เขาไม่รู้ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้...และเขาต้องรู้ให้ได้แต่จะทำอย่างไรกันล่ะ เมื่อเดินเข้าไปห้องเขาก็เดินลิ่วไปที่เตียงแล้วทิ้งตัวลงบนนั้นแทบจะทันที ผ่อนลมหายใจช้าๆแล้วก็หลับไปด้วยความเพลียจากการเดินทางอันยาวนาน....
-----------------------
"สเตลล่าเป็นไงบ้าง"สติงถามในขณะที่เพื่อนอีกคนของเขา อาล์วกำลังค่อยๆปล่อยมือที่ประคองหญิงสาวไว้ออกซึ่งตอนนี้นั่งอยู่บนเตียงเรียบร้อยแล้ว คนป่วยพยักหน้าแล้วส่งยิ้มน่ารักมาให้ทำให้เขาถึงกับโล่งใจ
"สเตลล่าไม่เป็นอะไรแล้ว ขอบคุณนะสติง"คนรับคำขอบคุณยิ้มแล้วลูบหัวสเตลล่าเบาๆราวกับเธอเป็นเด็กซึ่งเธอก็มีท่าทีพอใจนิดๆ
"ไม่เป็นไรก็ดีแล้วล่ะสเตลล่า"ชายผมฟ้าพูดขึ้นบ้างแล้วหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ไม้เงางามที่อยู่ข้างเตียง
"ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะอาล์ว"ใบหน้าน่ารักมีแววสำนึกผิดปรากกออกมาแต่มันกลับยิ่งส่งเสริมความน่ารักมากขึ้นจนคนฟังหน้าขึ้นสีอ่อนแกล้งหันไปทางอื่นซ่อนความเขินไว้
"ไม่เห็นเป็นไรนี่เรื่องแค่นี้เอง"สติงถึงกับยิ้มเมื่อมองท่าทางของอาล์วและสเตลล่าที่เปรียบเหมือนน้องชายน้องสาวของเขา แล้วจังหวะการสนทนาก็ถูกขัดด้วยเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นอย่างเป็นจังหวะและเสียงที่ดังแทรกผ่านประตูเข้ามา
"ข้ามิลิอาเลียนำน้ำชามาให้ค่ะ"
"เข้ามาได้"สิ้นเสียงอนุญาตจากเจ้าของห้องประตูก็ถูกเปิดออก มิลิอาเลียก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมด้วยถาดสีเงินที่มีชุดน้ำชากระเบื้องสีเหลืองอ่อนและคุ๊กกี้สีน้ำตาลสวยบนจานลายลูกไม้ เธอค่อยๆบรรจงจัดแจงสิ่งที่อยู่บนถาดลงบนโต๊ะกลมแล้วรินน้ำชาใส่ถ้วยทีละใบก่อนยกให้สเตลล่า อาล์วและตามด้วยสติง
"ขอบคุณ"สเตลล่าพูดพร้อมยื่นมือไปรับถ้วยชามาจิบไปหนึ่งครั้ง
"อุ่นจังเลย~"เธอบอกด้วยท่าทางดีใจแบบเด็กๆเรียกรอยยิ้มให้คนฟังทุกคนทั้งห้อง รอยยิ้มที่น่ารักและบริสุทธิ์สดใสจนมิลี่ยังเทียบไม่ติด
"ข้าดีใจนะคะที่ท่านชอบ ท่านสเตลล่า"มิลี่ว่าพร้อมกับหัวเราะเบาๆอย่างพึงใจ ขณะนั้นเองรอบๆที่เงียบสงบกลับมีเสียงดังคล้ายคนวิ่งและคำตอบก็กระจ่างเมื่อประตูห้องได้เปิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ร่างบางของเจสสิก้ายืนหอบอยู่ที่ประตู
"มีอะไรเหรอเจสสิก้า"เธอถาม เมื่อเจสสิก้าเห็นว่าใครเป็นคนถามก็รีบพูดออกมา
"คือว่าตอนที่ข้ากำลังเดินไปที่ครัวอยู่ข้าพบกับท่านคิระซึ่งกำลังอุ้มเฟรย์อยู่ ท่าทางของเฟรย์ดูแย่มากเลยข้าจึงรีบบอกทางไปห้องของเฟรย์ให้ท่านคิระทราบแล้วรีบมาหาเจ้านี่แหละ"สิ้นเสียงคำตอบนัยน์ตาสีฟ้าใสก็เบิกกว้างกับคำที่ได้ยิน
"เฟรย์น่ะเหรอ!"เธอพูดเสียงดังอย่างเผลอตัวก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากห้องโดยลืมมารยาททุกอย่างเสียหมด ทั้งสามคนในห้องเมื่อเห็นท่าทางของสองสาวก็รีบวิ่งตามออกมาด้วยเผื่อว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง
ขณะที่วิ่งอยู่ใจก็พะว้าพะวงถึงอาการของเพื่อนสาว นั่นก็เพราะเมื่อวานนี้เธอกับเฟรย์ยังคุยกันอยู่เลยแล้วท่าทางของเฟรย์ก็ไม่ได้มีอะไรแปลกไป ทำไมกันหรือว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับท่านคิระกัน...ว่าแล้วก็นึกถึงใบหน้าของเฟรย์ที่เธอได้สบโดยบังเอิญเมื่อตอนเช้านั่นไม่ใช่ว่าเธอดูผิดไปจริงๆเหรอ
คิดแล้วก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นด้วยความเป็นห่วงผู้ที่นึกถึงอยู่ ทันทีที่ได้ยืนอยู่หน้าห้องของเธอไม่รอช้ารีบผลักประตูเปิดออกแล้วเข้าไปในห้อง
"เฟรย์!"เธอเอ่ยเรียกชื่อเจ้าของห้องอย่างใจหวังว่าจะได้ยินเสียงเธอตอบกลับมา หากแต่เบื้องหน้าเธอนั้นผู้ที่เธอหวังจะได้ยินเสียงกลับนอนอยู่บนเตียงโดยมีคิระนั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างเตียง
"ท่านคิระเฟรย์เป็นอะไรไปหรือคะ"เธอรีบถามถึงอาการของคนที่นอนอยู่บนเตียงแต่คำตอบที่ได้รับคือการมิได้พูดอะไรนอกจากส่ายหน้าช้าๆ
"แล้วทำไม..."
"เป็นเพราะผม"เธอพูดยังไม่ทันจบดีเขาก็ได้ตอบกลับมา ชายหนุ่มไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเธอเลยนัยน์ตาสีไวโอเล็ตทั้งคู่สบมองแต่เพียงดวงหน้าที่ติดจะขาวซีด ลมหายใจไม่ค่อยเป็นจังหวะ เหงื่อผุดพรายอยู่ตามหน้าผากและลำตัว
"ท่านว่าเช่นไรนะคะ"เธอถามอย่างไม่เชื่อหูตนเอง หากเป็นคนอื่นเธอคงไม่ถามแบบนี้แต่นี่เป็นเขาคนที่ห่วงเธอมากยิ่งกว่าใคร
"เป็นเพราะผม...ทำร้ายเธอ..แม้ผมจะไม่ได้ตั้งใจและไม่รู้มาก่อนแต่สิ่งที่ผมทำนั้นผิดกับเธอ เพราะงั้นผมจะไม่ขอแก้ตัวใดๆทั้งนั้น"น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความเจ็บปวดจนไม่มีใครไม่อาจรู้ เสียงของเขาทั้งแผ่วเบาและแหบพร่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกในตอนนี้ แม้มิได้สบมองใบหน้าของเขาแต่เธอก็ย่อมรู้ว่าใบหน้าของเขานั้นเศร้าหมองเพียงใดเพราะทุกสิ่งได้แฝงไว้ในน้ำเสียงหมดแล้ว
"เรื่องมันเป็นมาเช่นไร ท่านจะเล่าให้ข้าฟังได้ไหมคะ ท่านคิระ"ไม่ได้คิดจะตอกย้ำความรู้สึกเขาและไม่เคยคิดจะละลาบละล้วงเพียงแต่เธอแค่อยากรู้ว่าทำไมเฟรย์ถึงเป็นแบบนี้
คิระพยักหน้าเบาๆแล้วเริ่มต้นเล่าเรื่องทั้งหมด ตั้งแต่เมื่อครั้งแรกที่เขาได้พบกับเธอจนกระทั่งถึงเรื่องของวันนี้ ความรู้สึกของเธอที่ตะโกนก้องออกมา ไม่เคยต้องการความสงสารที่เขามอบให้ ไม่ได้อยากให้ใครเห็นใจ ทำไมเขาถึงได้โง่เช่นนี้กัน เพียงแต่เรื่องบางเรื่องนั้นเขาก็ไม่ได้เล่าออกไปเช่นเรื่องของเขาและเฟรย์เมื่อวานนี้กับเรื่องของท่านหญิงเมื่อคืนซึ่งหากพูดออกไปคงไม่ดีจึงจำต้องข้ามเรื่องนี้ไป
เมื่อได้สดับฟังเธอก็รู้สึกเศร้ามากยิ่งขึ้นไปอีก มันไม่ใช่ความผิดของเขาหรือเฟรย์ เรื่องนี้มันไม่มีใครผิดเพราะมันเป็นเรื่องของความรู้สึกที่ไม่อาจเทียบว่าผิดหรือถูกได้
"ท..ท่านคิระอย่าได้โทษตนเองเลยนะคะ..เรื่องนี้มันมิใช่ความผิดของท่าน"คำปลอบใจของมิลิอาเลียดูเหมือนจะเปล่าประโยชน์ แม้เธอจะบอกเช่นนั้นแต่มันก็ไม่อาจที่จะลบล้างความรู้สึกผิดในใจของเขาออกไปได้ เขาส่ายหน้าช้าๆเมื่อคิดจะยื่นเข้าไปกุมมือของเธอก็ต้องชักมือกลับเพราะคำพูดของเธอที่ยังคงวนเวียนอยู่ในห้วงคิด
'ท่านยังคิดจะสงสารข้าอีกหรือ พอได้แล้ว...พอที...ข้าไม่ต้องการ'
ไม่เคยรู้ว่าเธอไม่ต้องการ คิดว่าตนเองเข้าใจเธอและคิดว่าตนเองสามารถช่วยเธอให้หลุดพ้นจากความเศร้าและความเจ็บปวดได้ สมเพชตนเองเหลือเกินที่ดีแต่พูดทั้งที่ความจริงแล้วเขาไม่เคยเข้าใจอะไรเธอเลยและซ้ำร้ายยังทำร้ายเธอ นั่นแหละคือความผิดของเขา...
"ไม่ว่าพวกคุณจะพูดยังไงแต่ผมก็ทำร้ายเธอไปเสียแล้ว"ความจริงที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้ทิ่มแทงลึกเข้าไปในใจของทุกคน จึงได้แต่นิ่งเงียบพูดอะไรไม่ออก จนกระทั่งคิระได้พูดขึ้นอีกครั้ง
"เฟรย์บอกผมสิว่าคุณต้องการอะไรและคุณคือใครกันแน่...คุณคือเทพีแห่งแสงสว่างใช่ไหม"เขาถามโดยหวังว่าจะได้ยินเสียงของเธอตอบกลับมาจะเป็นน้ำเสียงที่เย็นชาหรือโกรธเกรี้ยวก็ได้แต่ขอเพียงให้เธอได้ตอบกลับมาก็พอ
"เธอมิได้เป็นเทพีแห่งแสงสว่างหรอกค่ะ"ทว่าเสียงที่ตอบกลับมานั้นมิใช่เสียงของผู้ที่ถูกถามหากแต่เป็นอีกคนผู้เป็นเจ้าของเสียงที่หวานใสของท่านหญิงที่ไม่รู้ว่าเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไรพร้อมด้วยเหล่าผู้มาเยือนในตอนที่เขาเพิ่งมาที่นี่ได้ไม่นานคือพวกอิซ้าคและลูน่าจะเว้นก็เพียงบุคคลเดียวที่คิระได้พบเพียงครั้งเดียวคือมีอา แคมป์เบลล์
"แล้วเรื่องของเทพีแห่งแสงสว่างล่ะครับ"เขาถามกลับอย่างสงสัย เพราะตั้งแต่เมื่อได้ฟังเรื่องของเทพีแห่งแสงสว่างและเทพแห่งตะวันเขาก็คิดมาตลอดว่าเฟรย์คือเทพีแห่งแสงสว่างและผู้ที่เธอเฝ้ารอคอยก็คือเทพแห่งตะวัน แต่ถ้าหากไม่ใช่ตามที่เขาคิดแล้วเทพีแห่งแสงสว่างคือใครกัน
ดวงหน้างามของท่านหญิงฉายแววเศร้าหมอง นัยน์ตาสีนภาหลุบต่ำลงก่อนจะขยับริมฝีปากสีชมพูหวานตอบเขาโดยมิเงยหน้าขึ้นมองเขาแม้แต่น้อย
"เรื่องของเทพแห่งตะวันและเทพีแห่งแสงสว่างนั้นเป็นเพียงแค่ตำนานที่เล่าขานเมื่อนานมาแล้วค่ะ จนข้ายังมิอาจจะรู้ว่ามันผ่านมานานเท่าใดแล้ว..."คำตอบจากท่านหญิงนั้นชัดเจนและเจือความเศร้าอยู่ไม่น้อย อัญมณีคู่งามหันไปมองบุคคลที่ถูกซ้อนทับกับตำนานนั้นด้วยความบังเอิญ ประกายในดวงเนตรก็ยิ่งหม่นหมองเปรียบเหมือนท้องฟ้าที่มืดมัวก่อนที่สายฝนจะโปรยปราย สายฝนที่เรียกว่าน้ำตา
"แล้วผู้ที่เฟรย์รอคือใครเหรอครับ"เขาถามอย่างมีหวังมากขึ้นเพราะหากผู้ที่เธอรอคอยนั้นมิใช่เทพแห่งตะวันที่ดับสลายไปแล้วแต่หากเป็นผู้อื่นที่ยังมีชีวิตอยู่ละก็จะต้องมีสักวันที่เขาจะกลับมาหาเธอแน่นอน แต่ว่าทำไมกันนะ..พอคิดได้เช่นนั้นก็รู้สึกเจ็บในหัวใจขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้
ท่านหญิงเงยหน้าขึ้นมองเขาสูดลมหายใจลึก เริ่มนึกย้อนความแล้วเอื้อนเอ่ยถ้อยคำออกมา
"ชายหนุ่มคนนั้นเป็นนักเดินทางเช่นพวกท่านคิระค่ะ เขาบอกว่าวันหนึ่งในขณะที่เดินทางอยู่ก็ได้พบกับแผนที่ซึ่งนำทางมายังนครแห่งนี้และได้พบกับเฟรย์.."ขณะที่ฟังก็รู้สึกได้ถึงความบังเอิญที่เกิดขึ้น พวกเขาเองก็มาถึงที่นี่ได้เพราะคางาริกับอัสรันไปเจอแผนที่ในระหว่างเดินทางเข้า นี่มันเป็นความบังเอิญรึโชคชะตากันแน่
"เขาคนนั้นมักจะอยู่เคียงข้างกับเฟรย์เสมอและในตอนนั้นเองที่พวกเราได้เห็นรอยยิ้มของเฟรย์ มันเป็นรอยยิ้มที่งดงามมากจนข้าในตอนนี้ก็ยังเทียบไม่ได้ รอยยิ้มที่มีความสุขยิ่งกว่าใครแบบนั้น...แต่ว่าความสุขนั้นกลับไม่ยืนนานเมื่อวันหนึ่งเขาคนนั้นได้ตัดสินใจกลับไปยังบ้านเกิดที่จากมานานแสนนาน เขาจึงได้ให้คำสัญญากับเฟรย์ว่าเขาจะกลับมาหาเธออีกครั้งและเฟรย์ก็สัญญาว่าจะรอคอยเขาตลอดไป แต่ว่า..สุดท้ายแล้วเขาก็มิได้หวนกลับมาจนถึงเวลานี้"
"เขาคนนั้นชื่ออะไรเหรอครับ"คิระถามเสียงเบาหลังจากฟังเรื่องที่ท่านหญิงเล่า ในใจยังคงสงสัยเพราะเฟรย์เคยเล่าว่าเขาคนนั้นเป็นผู้ที่ใจดีและอ่อนโยนมากและเขาเชื่อว่าคนแบบนั้นไม่มีทางผิดสัญญาแน่นอน แล้วมันเพราะอะไร...
นัยน์ตาของท่านหญิงเลื่อนต่ำลงอีกครั้งแล้วค่อยๆเอ่ยนามของชายคนนั้นออกมา
"ชายคนนั้นมีนามว่าไซ อาร์ไกล์"ชั่ววินาทีที่ได้ยินชื่อนี้ดวงเนตรสีไวโอเล็ตก็เบิกกว้างด้วยความตกใจก็ชื่อนี้น่ะ...
"ไซ อาร์ไกล์..."คิระทวนชื่อนั้นอย่างไม่เชื่อหูของตนเอง
"ท่านคิระรู้จักด้วยหรือคะ"มิลิอาเลียถามเมื่อได้เห็นท่าทีของเขาและน้ำเสียงแบบนั้น เขาพยักหน้ารับคำถามของเธอก่อนตอบ
"ครับ ไซ อาร์ไกล์เขาเป็นเพื่อนของผมเอง เขาเป็นชาวเฮลิโอโปลิสและยังอาศัยอยู่ใกล้ๆกับบ้านของผมด้วย"ชายหนุ่มอธิบายเรื่องพร้อมกับนึกเค้าหน้าของผู้ที่พูดถึงซึ่งเขายังคงจำได้ดี
"ถ้าเช่นนั้น ขอร้องล่ะค่ะรีบพาเขามายังที่แห่งนี้เถอะค่ะ เฟรย์น่ะรอคอยเขามานานมากแล้วอย่าให้เธอต้องรอไปมากกว่านี้เลยค่ะ"เสียงใสของมิลิอาเลียขุ่นมัว รีบร้อนขอร้องเขาอย่างลืมตัวเพราะเป็นห่วงเพื่อนสาวที่นอนมิได้สติอยู่ แต่ถ้าเฟรย์ได้พบเขาคนนั้นเธอจะต้องยิ้มได้อีกครั้งแน่ๆ ทว่าผู้ที่เธอขอร้องกลับส่ายหน้า
"ไม่ได้หรอกครับ"เขากล้ำกลืนเสียงตอบเธอ
"ทำไมล่ะคะ!"เธอถามกลับไป คิระกำมือตนเองแน่นสูดลมหายใจลึกเหมือนจะกดทับความรู้สึกบางอย่างเอาไว้แล้วค่อยๆพูดออกมา
"ก็ไซน่ะ...ตายไปแล้ว...."แม้น้ำเสียงจะแผ่วเบาเช่นไรแต่คำตอบที่ได้นั้นชัดเจนและเหมือนดังกึกก้องในใจของเธอและทุกคนในห้องที่มีอาการตกใจ เว้นก็แต่ท่านหญิงที่ยังมีท่าทีสงบเหมือนกับรู้อยู่แล้ว
"ไม่จริง..."เธอถึงกับทรุดลงไปกับพื้นพรมสีแดงเข้มอย่างไร้เรี่ยวแรงเมื่อได้ฟังความจริงนั้นจากปากของคิระ
"ไม่จริง...ท่านคิระบอกสิคะว่ามันไม่จริง..."อยากจะเชื่อว่ามันเป็นเพียงเรื่องโกหก อยากให้มิใช่ความจริงแต่ทว่าคำพูดของคิระที่พูดต่อยิ่งตอกย้ำว่ามันคือเรื่องจริง
"..จริงครับ เมื่อ2ปีก่อนไซเขาป่วยแล้วก็ตายจากไป เพราะงั้น....เขาไม่มีวันที่จะกลับมายังที่แห่งนี้ได้อีกแล้ว"พูดแล้วก็นึกถึงวันนั้น วันที่ไซจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ เค้าร่างของเพื่อนที่นอนบนเตียง ร่างกายที่เคยแข็งแรงกลับซูบผอมไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจนไม่อาจลุกจากเตียงได้ เขายังคงจำได้ดีและรวมถึงคำพูดสุดท้ายของไซ
'ข...ขอโทษนะ..ฟ..เฟ...'ชื่อของใครบางคนที่เขาอยากจะพูดขอโทษยังไม่อาจพูดได้จนจบแล้วเขาก็จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับด้วยอายุเพียงแค่17ปี...
"อะไรกัน...ถ้างั้นเฟรย์ก็รอมาตลอดโดยที่ไม่รู้เลยว่าเขาคนนั้นไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว..."หยดน้ำตาไหลรื้นออกมา เนื้อตั่วสั่นเทาเพราะการร้องไห้ ดิอัคก้าจึงเข้าไปประคองเธอและกอดเป็นเชิงปลอบในขณะที่ทั้งห้องได้เข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง
ความจริงที่แสนโหดร้ายกับความไม่รู้ที่แสนอ่อนโยน สิ่งใดจะดีกว่ากัน...ความจริงที่ทำร้ายจิตใจอันบอบบางและทำให้ไม่อาจจะมีจุดมุ่งหมายในชีวิตต่อไปได้อีกกับอีกทางหนึ่งที่หากไม่รู้อะไรก็ยังคงเฝ้ารอคอยด้วยความเหงาและหวังกับจุดมุ่งหมายที่ไม่มีวันมาถึง แล้วสิ่งไหนจะโหดร้ายกว่ากัน...
#####################################
เม้นต์กันหน่อยเถอะค่าคนเขียนหิวคอมเม้นต์แล้ว
ความคิดเห็น