ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fanfic G Seed&Destiny]เทพีแห่งความรักผู้โดดเดี่ยว

    ลำดับตอนที่ #13 : ความรู้สึกและความเศร้าที่ถูกเปิดเผย

    • อัปเดตล่าสุด 3 พ.ค. 49


    Phase 13 ความรู้สึกและความเศร้าที่ถูกเปิดเผย

    ท่ามกลางแสงแดดที่เริ่มคล้อยต่ำลงทีละนิดตามเวลาที่ผ่านไปทำให้ทั่วบริเวณที่ปกคลุมด้วยหญ้าสีเขียวชอุ่มกลับกลายเป็นสีส้มสวย เหล่าสัตว์ตัวน้อยเริ่มกลับเข้ารังของตัวเองจนหมด ในช่วงเวลานี้แสงของดวงตะวันได้ทำให้ใบหน้านวลดูงดงามขึ้นถนัดตาจนเจ้าของเนตรสีไวโอเล็ตถึงกับเผลอมองจนกระทั่งเมื่อมือเรียวบางได้หยุดลง ระบายลมหายใจออกมานิดๆ

    "จะพักเหรอครับ"เขาถามโดยที่ยังไม่ละสายตาจากใบหน้างามๆของเธอแม้แต่น้อย คนถูกถามไม่ตอบแค่พยักหน้าน้อยๆก่อนจะก้มลงไปหยิบถ้วยกระเบื้องเนื้อดีสีขาวและกาน้ำชาสีเดียวกันขึ้นมาจากตะกร้าสานที่เคยมีอาหารและของว่างจำพวกมัฟฟินอยู่ซึ่งมิลิอาเลียนำมาให้เมื่อตอนเที่ยงวันทำให้เขาถึงกับโล่งใจเพราะอย่างน้อยเธอก็ไม่ได้อดอาหารเสียทีเดียวแต่นึกแล้วก็ขำใบหน้าของมิลี่ตอนที่เห็นเขาอยู่ตรงนี้ไม่น้อย เธอดูท่าทางจะตกใจมากทีเดียวเชียวแต่ว่ากลับแฝงไปด้วยความดีใจเช่นกัน

    หญิงสาวผมสีกุหลาบนำกาน้ำชาขึ้นมาค่อยๆรินน้ำชาสีส้ำตาลใสลงในถ้วยกระเบื้องก่อนจะหยิบยื่นมาให้เขาอย่างมีน้ำใจชายหนุ่มรับถ้วยน้ำชามาแล้วเอ่ยขอบคุณเธอ

    "เชิญค่ะท่านคิระ"

    "ขอบคุณครับ"เมื่อรับถ้วยชามา ของเหลวสีน้ำตาลใสในถ้วยก็ส่งกลิ่นหอมชวนดื่มออกมา ชายหนุ่มสูดกลิ่นชาหอมๆก่อนจะยกขึ้นจิบรับรสที่แสนละมุนของชา แต่ว่าบรรยากาศมันดูเงียบเกินไปเขาจึงพยายามจะชวนเธอคุยซึ่งตอนนี้กำลังรินน้ำชาใส่ถ้วยของตนเองบ้าง

    "ชานี่หอมดีนะครับ"

    "ค่ะ น้ำชามิลิอาเลียนั้นจะเป็นเช่นนี้เสมอ มีกลิ่นหอมละมุนและอบอุ่น"เธอเอ่ยตอบพลางนึกถึงหน้าคนชงซึ่งตอนนี้เองก็กำลังชงชาให้คนที่ตัวเองรักอยู่เหมือนกัน จากนั้นเธอก็ยกชาขึ้นจิบบ้าง

    "แต่คุณเองก็ชงชาได้อร่อยไม่แพ้มิลี่เลยนะ"พูดแล้วก็นึกถึงชาสมุนไพรเมื่อตอนนั้น แม้จะเป็นแค่ชาธรรมดาแต่มันกลับแฝงไปด้วยรสชาติที่อบอุ่นและนุ่มนวลอย่างไม่น่าเชื่อ ชายหนุ่มยังจำกลิ่นกุหลาบอ่อนของชาในตอนนั้นได้ไม่ลืม

    "ข้าแค่ชงธรรมดาเท่านั้นมิได้มีอะไรเป็นพิเศษ"เธอตอบเสียงเรียบก่อนจะแกล้งมองไปทางอื่นเพื่อซ่อนใบหน้าที่ตอนนี้ดูจะติดสีแดงอยู่เล็กน้อยทำให้เขาอมยิ้มกับท่าทีเช่นนี้แล้วพูดต่อ

    "แต่ผมว่ามันอร่อยกว่าชาของมิลี่อีกนะ"คราวนี้ใบหน้าก็รู้สึกร้อนผ่าวกับคำชมของเขาทำให้ยิ่งหันกลับมาไม่ได้ใหญ่ ในใจก็แอบนึกดีใจในคำของเขาแต่กลับไม่กล้าหันกลับไปสบตาเขา เมื่อคู่สนทนาหันหน้าหนีไปแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีจึงพยายามคิดหาเรื่องอื่นมาคุยแทนซึ่งพอได้เห็นดอกไม้บนเส้นผมของเธอความคิดก็เกิดขึ้น

    "ว่าแต่คุณชอบดอกไม้อะไรเหรอ"ได้ผลทันตาเธอค่อยๆหันกลับมาด้วยใบหน้าที่ตอนนี้กลับมานิ่งเฉย หญิงสาวนึกทบทวนกับคำถามของเขา ชอบ...งั้นหรือ

    "..ไม่ทราบค่ะ สำหรับข้าน่ะคำว่าชอบเป็นเช่นไรจนแม้แต่บัดนี้ข้าก็ยังไม่รู้เลยหรืออาจจะเพราะเรื่องนั้น..ทำให้ข้าไม่อาจคิดว่าชอบอะไรได้อีก"เธอเว้นช่วงไปนิดหนึ่งพลางนึกถึงเหตุการ์ณบางอย่างที่แสนเลือนลางซึ่งยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเรื่องเมื่อตอนนั้นเธอถึงได้นึกเศร้าเช่นนี้ น้ำเสียงที่เรียบเฉยนั้นแฝงไปด้วยความหงอยเหงาจนชายหนุ่มสัมผัสได้

    คำตอบที่แสนเหงาแบบนั้นทำให้เขาถึงกับมีสีหน้าหม่นหมองไปทันตาหรืออาจเพราะกำลังคิดถึงเรื่องนั้น...ตำนานของนครมายาแห่งนี้

    ครั้นเมื่อเห็นว่าคนชวนคุยมีสีหน้าหม่นริมฝีปากก็เอ่ยออกมาเบาๆเพื่อปัดเป่าคววามรู้สึกที่อึมครึมนี้

    "กุหลาบแดง..."เนตรไวโอเล็ตสวยเงยขึ้นมองผู้พูดทันทีรู้สึกสงสัยในคำของเธอไม่น้อยแต่ก็มิได้ไต่ถาม ในเวลาที่เนตรสีเงินของเธอมองออกไปไกล

    "แต่ถ้าดอกไม้ที่เหมาะกับข้าคงจะเป็นกุหลาบแดง เพราะว่าท่านเองก็บอกไว้ไม่ใช่รึ นอกจากนั้น..."เมื่อถึงตรงนี้น้ำเสียงหวานๆก็หยุดชะงัก ชายหนุ่มจึงทวนคำของเธอ

    "นอกจากนั้น..."นัยน์ตาสีเงินคู่งามหลุบต่ำมงลงไปในถ้วยน้ำชาในมือมองภาพสะท้อนใบหน้าของตนเองในแก้วนั้นที่มีน้ำชาอยู่เกือบเต็มแล้วตอบเขา

    "นอกจากนั้น...ท่านยังบอกว่าข้าเหมาะกับดอกกุหลาบเป็นคนที่สอง"ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็แล่นขึ้นมาภายในหัว นี่อาจจะเป็นการบอกว่าเธอคือคนๆนั้น

    "เค้าเป็นใครเหรอครับ"ชายหนุ่มเลือกใช้คำว่า'เค้า'ทั้งที่ในใจนึกอยากจะใช้คำว่า'เขา'แท้ๆเพราะชายหนุ่มคาดเดาไว้ว่าคนที่เธอพูดถึงอาจจะเป็นคนๆเดียวกับคนที่เขาคิดก็ได้ หญิงสาวเงยหน้าจากถ้วยชาแล้วมองออกไปไกลอีกครั้งหนึ่ง เรียวปากสีแดงค่อยๆเอ่ยออกมาช้าๆ

    "เขาเป็นคนที่ค่อนข้างสุภาพ อ่อนโยน ใจดีและเข้มแข็งยิ่งกว่าใครๆเขาคนนั้นมักจะบอกว่าข้าเหมาะกับดอกกุหลาบเสมอ"น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความคิดถึงอย่างมากจนไม่มีใครที่ไม่สังเกตเห็นแน่นอน แต่ว่าทำไมกันนะ....ภาพของชายคนนั้นถึงได้เลือนลางถึงเพียงนี้

    "เขาคือใครและอยู่ที่ไหนเหรอครับ"เขาเผลอหลุดปากถามออกไปเพราะอยากจะย้ำความคิดของตนให้แน่ใจแต่ว่า...บางทีเขาคงคิดผิดซะแล้วที่ถามแบบนั้น

    "เขามิได้อยู่ที่นี่อีกแล้ว เขาคนนั้นจากไปในที่ไกลแสนไกลจนข้าไม่อาจจะเอื้อมถึง...นานแล้วที่เขาจากไป...จนกระทั่งตอนนี้ข้าน่ะ..."เธอกัดริมฝีปากอย่างเจ็บช้ำ น้ำเสียงทั้งหมดเริ่มสั่นและแหบพร่า คำพูดขาดหาย น้ำตาเริ่มรินไหลออกมา

    "ตอนนี้..ข้าไม่อาจจะนึกถึงใบหน้าของเขาได้อีกแล้ว ทั้งใบหน้าที่ใจดี..น้ำเสียงที่อ่อนโยน.ม..แม้แต่ชื่อของเขาข้า..ข้าก็ไม่อาจนึกออกได้อีกแล้ว..."น้ำเสียงแผ่วเบาลงยิ่งกว่าเดิม ร่างสั่นเทิ้มและมือก็เริ่มไร้เรี่ยวแรงจนแม้แต่ถ้วยชาในมือยังตกลงแตกกระจายบนพื้นหญ้าราวกับหัวใจของเธอที่แตกสลาย

    "เฟรย์ พอเถอะ พอได้แล้ว!"มือที่แข็งแกร่งรีบเข้าประคองร่างที่แสนอ่อนแอเหมือนกลัวว่าเธอจะแตกสลายไปแบบแก้วใบนั้น แต่ว่าแม้ไร้เรี่ยวแรงก็ยังพยายามลุกขึ้นยืนแล้วผลักเขาออกไป ราวกับว่าไม่ต้องการ

    "ข้าเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ คนอย่างข้าไม่สมควรจะได้รับความรักจากใครทั้งนั้น แม้แต่คนที่สำคัญข้าก็ยังลืมเขา คนอย่างข้าน่ะ...คนอย่างข้าน่ะ..ไม่สมควรจะมีซะดีกว่า!"ถ้อยคำปวดร้าวตะโกนดังก้อง ระบายความรู้สึกทุกอย่างออกมาโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แม้แต่คนตรงหน้าแต่คนตรงหน้าไม่อาจอยู่เฉยได้อีกแล้ว...

    "ไม่ใช่นะ"ชายที่หนุ่มที่ถูกผลักออกไปเข้าไปกอดเธอเอาไว้ ดวงตาเบิกกว้างอย่างตกใจในการกระทำของเขาแต่ว่ากลับไร้การขัดขืน

    "ไม่ใช่นะเฟรย์ อย่าโทษตัวเองแบบนั้น จริงอยู่ที่คุณอาจจะผิดที่ลืมเขา แต่ว่านะ...ไม่มีใครหรอกที่ไม่สมควรจะมีตัวตนอยู่ พวกเราทุกคนมีคุณค่าในตัวเองเสมอ เพราะงั้นอย่าพูดแบบนั้นอีกเลย"คำปลอบที่อ่อนโยนของเขาทำให้เธอซุกใบหน้าลงบนอกของเขา ปล่อยเสียงร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้นหรือบางทีเธอคงห้ามมันไม่ได้อีกแล้ว มือที่โอบกอดข้างหนึ่งเปลี่ยนมาลูบไล้เส้นผมสีกุหลาบเบาๆ ก่อนจะเอ่ยคำๆหนึ่ง

    "เฟรย์คุณมีค่าเสมอ อย่างน้อยก็ในสายตาของผม"ถ้อยคำใจดีที่มอบให้เธอพร้อมรอยยิ้มนั้น ยามเมื่อได้เงยใบหน้าเปื้อนน้ำตาขึ้นสบมองและเมื่อมองลึกเข้าไปในดวงตาสีไวโอเล็ตของเขาซึ่งได้พบกับความอบอุ่นที่อยู่ภายใต้ดวงตานั้น เธอกอดเขาตอบก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้งและเคลื่อนใบหน้าเข้าไปหาเขาเรื่อยๆ ดวงตาของทั้งคู่หรี่ลงเรื่อยๆและรับสัมผัสเนียนนุ่มที่ริมฝีปาก จุมพิตอันแสนหวานที่ถูกปล่อยไปตามอารมณ์นั้นนานแสนนานดุจชั่วนิรันดร์ หัวใจที่เคยหม่นหมองกำลังร่ำร้องอย่างเปี่ยมสุข....บางทีเธออาจจจะกำลังรอให้ใครพูดแบบนี้กับเธอก็ได้....

    'ท่านคิระ ขอบคุณ...'

    ----------------------------------------

    อัญมณีคู่งามมองออกไปบนท้องนภากว้างไกลภายนอกหน้าต่าง ลอบถอนหายใจเบาๆกับตนเองริมฝีปากสีชมพูหวานเอื้อนเอ่ยนามของใครบางคนอย่างเศร้าๆ

    "ท่านคิระ..."

    "แหมๆ น่าสงสารท่านหญิงจริงๆเลยนะ"เสียงหนึ่งดังขึ้นมาในห้องทำให้เจ้าของห้องหันกลับไปที่ต้นเสียงพบกับหญิงสาวคนที่มีเส้นผมและใบหน้าเฉกเช่นเดียวกับเธอเพียงแต่ว่า นัยน์ตาสีเดียวกันนั้นดูเหมือนกำลังยิ้มเยาะเสียมากกว่าคำพูดที่บอกว่า สงสาร

    "ท่านมีอา"ริมฝีปากเอ่ยนามของคนที่ถือวิสาสะเข้ามาในห้องของเธออย่างไม่พอใจก่อนส่งสายตาเย็นเยียบไปให้ แต่ดูเหมือนคนที่ได้รับจะไม่สนใจเลย

    "หึๆ ข้าบอกแล้วไงว่าถ้าปล่อยเอาไว้แบบนี้คนที่จะเสียใจก็คือเจ้าเอง ถ้าฟังที่ข้าบอกก็คงจะดี"คนพูดหัวเราะในลำคอกับคำพูดนั้นทำให้ท่านหญิงนึกฉุนไม่น้อยแต่ก็พยายามข่มอารมณ์ไว้เพราะรู้ว่าคนตรงหน้าต้องการยั่วเธอ

    "ข้าฟังทุกสิ่งที่ท่านบอกท่านมีอา ขอบพระคุณมากที่กรุณาบอกข้าแต่ว่าข้าจะกระทำตามใจที่ข้าปราถนา"เธอเอ่ยวาจาเชือดเฉียนแต่ดูเหมือนว่าคนฟังจะไม่ยี่หระแม้แต่น้อย

    "ปราถนาที่จะปิดหูปิดตาไม่รับรู้อะไรงั้นหรือ"คราวนี้มันได้ผลท่านหญิงมีอาการชะงัก หัวใจเริ่มมีอาการลังเล

    "ท่านต้องการสิ่งใดกันแน่ท่านมีอา"อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรนอกจากเดินไปหยิบกระจกถือบนโต๊ะเครื่องแป้งขึ้นมา ลูบไล้ไปบนกระจกนั้น

    "กระจกผู้สะท้อนทุกสิ่งเอ๋ย ครานี้จงได้สะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่ผู้เป็นนายของเจ้าต้องการ"สิ้นเสียงคำกล่าวสั้นๆ กระจกในมือก็สว่างวาบขึ้นมา แต่ดูท่าทางท่านหญิงไม่ได้มีความรู้สึกตกใจกับภาพเบื้องหน้าเลยแม้แต่นิดนอกจากมีสีหน้าขุ่นมัวแล้วตอบ

    "พฤติกรรมแอบดูเยี่ยงนี้ข้าไม่ประสงค์"ท่านหญิงเอ่ยเสียงเฉียบในขณะที่อีกฝ่ายยิ้มกริ่มก่อนพูดต่อ

    "ข้าจะวางมันไว้ตรงนี้ เจ้าจะทำอย่างไรกับมันก็ตามแต่ใจของเจ้าปราถนาเถอะนะ"เจ้าของร่างอวบอิ่มทำอย่างที่พูดแล้วเดินไปเปิดประตูออก นางทิ้งท้ายคำพูดไว้ก่อนจะหายลับไป

    "อย่าลืมนะว่า ข้าน่ะรู้ในทุกสิ่งที่เจ้าคิดหรือแม้แต่สิ่งที่เจ้าปราถนา"สิ้นเสียงคำของมีอาทำให้ความรู้สึกเริ่มไขว้เขว เหลือบมองกระจกบนโต๊ะอยู่หลายคราอย่างลืมตัวจนบางทีก็เกือบจะหยิบมันขึ้นมา

    "ไม่.ไม่ข้าน่ะ.."

    'หากยังปล่อยให้ทุกอย่างเป็นเช่นนี้คนที่เสียใจก็คือเจ้าเอง'คำเตือนที่แฝงไปด้วยคำยั่วยุนั้นย้อนกลับมาอีกครั้งจนทำให้ไม่อาจหักห้ามจิตใจของตนเองได้ เพราะความรู้สึกของเธอที่มีต่อเขานั้นมีมากกว่าความรู้สึกผิดหรือถูก มือเรียวบางนั้นได้หยิบกระจกขึ้นมา

    "...กระจกเอ๋ย จงสะท้อนภาพของชายผู้นั้นให้ข้าผู้เป็นนายได้ประจักษ์ ณ บัดนี้"สิ้นเสียงหวานๆที่สั่งภาพภายในกระจกก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นใบหน้าคมคายของใครบางคนแทนที่ซึ่งยังคงไว้ด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นแม้ยิ้มนั้นจะไม่ได้มอบให้เธอ

    "ท่านคิระ..."เธอถึงกับยิ้มออกเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเขา ทว่ารอยยิ้มนั้นก็ต้องหายไปเมื่อได้เห็นว่ามีใครอีกคนอยู่ข้างกายเขา เธอคนนั้น เฟรย์ อัลสเตอร์... สักครู่หนึ่งภาพในกระจกก็กลับกลายเป็นว่าเจ้าของผมสีกุหลาบกำลังร้องไห้ซบลงบนอกของเขา น้ำตาที่ตอนนี้ใครบางคนเองก็เหมือนกับจะไหลรินออกมา ชายหนุ่มในกระจกเข้าไปโอบกอดเธอคนนั้นไว้ลูบเส้นผมเบาๆและแล้วภาพนั้นก็มาถึง

    เนตรฟ้าครามเบิกโพลงเมื่อได้เห็นภาพในนั้น ภาพของชายหนุ่มที่โอบกอดเธอคนนั้นไว้ริมฝีปากของทั้งคู่ที่ประกบกันเนิ่นนานซ้ำยังร่างกายที่แนบชิดกันเมื่อมือที่แข็งแกร่งของชายหนุ่มกอดเธอคนนั้นแน่นขึ้น

    "ไม่จริง...ท่านคิระ..."อยากจะเบือนสายตาหนีจาภภาพที่บาดตาเช่นนี้ก็ไม่อาจทำได้ มือที่ถือกระจกอยู่เริ่มสั่นน้ำตาใสๆไหลรื้นอัญมณีคู่งามอย่างห้ามไม่ได้ และเมื่อกระจกได้ทำหน้าที่ของมันเสร็จเรียบร้อยภาพที่สะท้อนอยู่บนกระจกคือใบหน้างามของท่านหญิงที่เศร้าสร้อย รอยยิ้มละมุนที่เคยมีมลายหายสิ้นเหลือแต่เพียงหยดน้ำใสไหลอาบแก้ม พร้อมกับสติที่เริ่มจางหาย.....

    ----------------------------------------

    ใบหน้าสวยๆของเธอแดงระเรื่อจนห้ามไม่อยู่ นึกอายตนเองที่ทำอะไรแบบนั้นไป เรียวปากสีเดียวกับเส้นผมเอ่ยขอโทษอย่างรวดเร็ว

    "ขออภัยค่ะ ข้าคงจะ..."คำขอโทษหยุดอยู่แค่นั้นเพราคิดเหตุผลอื่นขึ้นมาอ้างไม่ได้จึงจบลงด้วยการก้มหน้าหลบตาเขาทำให้ไม่อาจได้เห็นใบหน้าของเขาที่แดงไม่แพ้เธอได้

    "เอ่อ..ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็..."เสียงทุ้มฟังดูตะกุกตะกักไปหมด พยายามปรับจังหวะการเต้นของหัวใจให้เป็นปรกติก่อนพูดต่อแม้จะไม่มองตากัน

    "กลับกันเถอะครับ"เขาเอ่ยชวน คนถูกชวนไม่ตอบแค่พยักหน้าที่ก้มอยู่แล้วเดินไปพร้อมเขา แต่ว่ายังไม่ทันที่จะได้เดินต่อไปเท่าไรลมหนาวก็พัดเข้ามาทำให้เธอถึงกับเอามือสองข้างกุมไหล่ที่เปลือยเปล่า ชายหนุ่มจึงถอดเสื้อแจ๊กเก็ตสีดำของเขาออกและนำมาห่มให้เธอ

    "...ขอบคุณค่ะ"เธอเอ่ยเสียงเบาแต่ก็ดังพอที่เขาจะได้ยินชายหนุ่มยิ้มบางแล้วก็เริ่มเดินต่อเพราะอากาสในฤดูนี้ก็ค่อนข้างจะหนาวพอควรแม้จะเพิ่งเริ้มต้นฤดูใหม่ก็ตาม

    เมื่อร่างของทั้งสองได้เข้าสู้คฤหาสน์White Symphonyเธอก็ขอแยกกับเขาไปยังอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นห้องของเธอ เท้าเล็กๆก้าวไปได้ไม่นานเท่าไรก็มีเสียงใสคุ้นหูเอ่ยเรียก

    "เฟรย์.."ยามเมื่อหันไปก็ได้พบกับหญิงสาวผมสั้นสีน้ำตาลอ่อน นัยน์ตาสีฟ้าใสที่จับจ้องเธออยู่นั้นฉายแววประหลาดใจอยู่ไม่น้อยเลย

    "มีอะไรหรือ มิลิอาเลีย"เธอแสร้งถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าคนตรงหน้าต้องการจะพูดอะไร คำถามนั้นทำเอาคนที่ได้ฟังมีอารามสะดุ้งนิดๆ

    "เอ่อเปล่า ชั้นก็แค่แปลกใจที่เห็นเธอในเวลานี้น่ะ"

    "ข้าก็แค่รู้สึกไม่สบายเลยกลับมาก่อนมันแปลกงั้นหรือ"เธอตอบแบบไร้เยื่อใย โดยที่คำตอบนั้นยิ่งสร้างความประหลาดใจให้กับผู้ที่ได้ฟังไม่น้อยก็ปรกติแม้แต่ฝนตกหรืออากาศจะเหน็บหนาวยิ่งกว่านี้เธอก็ยังมิเคยจะกลับมาในเวลาเช่นนี้เลยแต่แล้วเมื่อมองดูเสื้อสีดำที่คลุมไหล่กลมมนอยู่ก็ทำให้ถึงกับคลี่ยิ้มออกมา คนถูกมองเมื่อเห็นสายตานั้นมาหยุดอยู่ที่เสื้อสีดำตัดกับชุดของเธอก็พูดขึ้น

    "เสื้อตัวนี้ท่านคิระให้ข้ายืมมา เดี๋ยวข้าจะนำมันไปคืนให้ท่านคิระเอง"ท่านคิระจริงๆด้วย...ถึงได้ว่าเสื้อตัวนี้มันดูคุ้นตาชอบกล เธอคิดแล้วก็เปลี่ยนประเด็นอื่นมาพูดแทน

    "งั้นเหรอ นี่เฟรย์ไปทานอาหารกันเถอะนะ เธอไม่ได้ไปร่วมโต๊ะอาหารกับพวกเรานานแล้วนะ"ถ้อยคำที่เอ่ยชวนทำให้เธอรู้สึกดีใจอยู่เล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบรับ

    "นั่นสินะ ถ้าเช่นนั้นไปกันเถอะมิลิอาเลีย"คนถามยิ้มอย่างดีใจ เธอเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว..ไปในทางที่ดีขึ้นและหวังเหลือเกินว่าเพื่อนคนนี้ของเธอจะกลับมายิ้มได้อีกครั้ง...

    ทันทีที่เฟรย์ได้ไปนั่งร่วมโต๊ะอาหารของพวกมิลิอาเลียและเจสสิก้าก็ดูจะสร้างความประหลาดใจให้ทุกคนไม่น้อยและก็สร้างความดีใจด้วย มื้อค่ำในคืนนั้นสำหรับเธอแล้วดูจะเป็นมื้อค่ำที่แสนจะอบอุ่นและสนุกสนานทำให้รู้สึกคิดถึงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้หลังจากที่เธอต้องทานอาหารเพียงคนเดียวมานานแสนนาน...

    มื้อค่ำนั้นจบลงด้วยน้ำชาอุ่นๆที่มิลิอาเลียเป็นคนชง เธอยกมันขึ้นจิบรับรสขมอ่อนๆของชาและกลิ่นหอมละมุนก่อนจะวางลงและขอตัวกลับไปที่ห้อง

    "ข้าขอตัวก่อน"เธอว่าพลางลุกขึ้นแล้วเก็บแก้วไปวางที่ถาดสีเงินกลม

    "นี่เฟรย์แล้วมาทานอาหารด้วยกันอีกนะ"เจสสิก้าเอ่ยชวนทำให้เธอรู้สึกดีใจไม่น้อยแม้ใบหน้าจะนิ่งเฉยก็ตาม เธอพยักหน้ารับและเดินกลับไปที่ห้องของตนเอง

    ขณะที่มือเรียวบางกำลังจะบิดลูกบิดประตูก็พลันนึกได้ว่าต้องนำเสื้อสีดำตัวนี้ไปคืนให้แก่เจ้าของมันเสียก่อนจึงได้เปลี่ยนมาเป็นเดินไปอีกทางหนึ่ง บนเส้นทางที่ได้เหยียบย่างอยู่นี้แทบจะนับครั้งได้เลยว่าเธอเคยผ่านมากี่ครั้ง อันที่จริงแล้วเธอแทบจะไม่เคยไปที่ใดเลยมากกว่า ไม่รู้ว่าเพราะหน้าที่หรือยึดติดกับอะไรบางอย่างกันแน่

    ทางเดินที่ผ่านไปนั้นดูเงียบเหงาไร้ผู้คนแต่เธอก็ไม่สนใจยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆเพื่อไปห้องของเขาและเมื่อถึงจุดหมายเนตรสีเงินก็มีแววแปลกใจเมื่อพบว่าประตูห้องนั้นได้ถูกแง้มเอาไว้เล็กน้อย เสียงการพูดคุยดังผ่านออกมาทำให้ดวงตานั้นต้องมองเข้าไปและได้พบกับภาพที่ไม่คาดฝันจนถึงกับหลุดปากออกมา

    "ท่านคิระ!"

    #####################################

    ขอร้องล่ะเม้นต์กันซักนิดทีเต้อะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×