ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fanfic G Seed&Destiny]เทพีแห่งความรักผู้โดดเดี่ยว

    ลำดับตอนที่ #12 : ฤดูกาลใหม่มาเยือนและความรู้สึกที่ยากจะหยั่งถึง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 121
      0
      1 พ.ค. 49

    Phase 12 ฤดูกาลใหม่มาเยือนและความรู้สึกที่ยากจะหยั่งถึง

    วิ้ว~

    เสียงสายลมหนาวพัดผ่านต้นไม้ใหญ่ที่ใบไม้สีเขียวสดแปรสภาพกลายเป็นสีน้ำตาลและแดง ยามเมื่อสายลมพัดผ่านได้ทำให้ใบไม้เหล่านั้นร่วงหล่นสู่ผืนดินอย่างง่ายดาย สิ่งเหล่านี้บ่งบอกถึงฤดูกาลที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลาที่หมุนเวียน ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องในเวลาที่อากาศเป็นเช่นนี้แทบจะไม่มีใครอยากลุกจากเตียงขึ้นมารับกับฤดูใหม่เท่าไรนัก

    เว้นก็แต่..ร่างบางที่ลืมตาขึ้นรับแสงอ่อนๆที่ส่องผ่านผ้าม่านสีสบายตาก่อนจะยันตัวลุกขึ้นอย่างแช่มช้าราวกับเทพธิดาหากแต่ใบหน้ากลับเฉยชาแม้จะเปิดผ้าม่านออกมองไปยังทิวทัศน์ที่งดงามเบื้องหน้าก็ตาม นัยน์ตาสีเงินมองออกไปภายนอกอย่างเหม่อลอยและไร้จุดหมายราวกับไม่สนใจสิ่งใด ไม่นานเธอก็ผละจากภาพเบื้องหน้าเดินเข้าห้องน้ำไปและเดินออกมาตกแต่งเรือนร่างนั้นด้วยชุดสีเหลืองนวลเฉกเช่นทุกครา นำดอกพรีเชียสสีเดียวกับเสื้อผ้าประดับบนเส้นผมสีแดง ริมฝีปากบางแต่งแต้มด้วยสีกุหลาบ เจ้าของร่างงามมองดูตนเองในกระจกเล็กน้อยก่อนจะหยิบฉวยฮาร์พตัวเดิมขึ้นมาแล้วออกจากห้องไป

    -----------------

    ในเวลาใกล้เคียงกันนั้นยังมีอีกคนหนึ่งที่ลืมตาตื่นและลุกขึ้นรับอากาศอันแสนสบายนี้แม้ดวงตาจะยังดูไม่ตื่นดีก็ตาม เส้นผมสีกาแฟดูยุ่งกว่าที่เคยเป็น เขาบิดตัวสองสามทีก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงแล้วไปอาบน้ำ เมื่ออาบเสร็จจากหน้าที่เคยขี้เซากลายเป็นสดชื่นแม้เส้นผมจะยังดูยุ่งๆไม่ต่างจากทีแรกเท่าไรก็ตามแล้วดูท่าทางเจ้าของมันจะไม่สนใจด้วย

    "อัสรันกับคางาริยังไม่ตื่นอีกเหรอเนี่ย"เขาเอ่ยอย่างแปลกใจเมื่อไม่เห็นทั้งคู่อยู่ในห้องทานอาหาร ยัยน้องสาวตัวยุ่งไม่อยู่ยังไม่แปลกเท่าไหร่แต่เจ้าเพื่อนซี้นี่สิเห็นปรกติออกจะตื่นเช้าพอๆกับเขาแต่วันนี้กลับยังไม่เห็นแม้แต่เงาหัวเลย

    "จะไปปลุกดีมั้ยน้า......ไม่ดีกว่าอากาศดีๆแบบนี้ปล่อยให้นอนไปก่อนก็แล้วกัน"ตอนแรกก็คิดจะไปปลุกแต่คิดไปคิดมาก็ปล่อยให้นอนไปก่อนดีกว่าเพราะนี่ก็ยังเช้าอยู่เลย มองไปมองมาซักพักก็พูดกับตนเองว่า

    "เราเองก็ออกไปเดินเล่นดีกว่าอากาศดีแบบนี้จะปล่อยไปก็น่าเสียดาย"ว่าแล้วก็หยิบเสื้อแจ๊กเก็ตสีดำตัวเก่งขึ้นมาสวมแล้วเดินก้าวออกจากห้องไป

    รองเท้าหนังของเขากระทบกับพื้นไปได้ไม่เท่าไรก็ได้พบกับสตรีผู้หนึ่งซึ่งได้เดินสวนมาพอดีเข้าให้ นางยังทรงความงามที่เงียบเหงาเช่นเดิมเหมือนทุกครั้งที่พบกัน ชายหนุ่มเองก็ยังคงสายตาที่อ่อนโยนและรอยยิ้มใจดีไว้บนใบหน้าที่หล่อติดจะสวยนั้น

    "ท่านคิระ..."เธอเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนเมื่อเห็นเขา

    "อรุณสวัสดิ์ เฟรย์"

    "..อรุณสวัสดิ์ค่ะท่านคิระ"เธอตอบรับคำทักทายยามเช้าด้วยความแปลกใจเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าจะได้พบกับเขา

    "คุณ...กำลังจะไป...ทำหน้าที่ของคุณงั้นหรือ"ชายหนุ่มสรรหาคำพูดที่พยายามปิดกั้นความรู้สึกอยากถามออกไปเมื่อนึกไปถึงตำนานที่ท่านหญิงไคลน์ได้เล่าให้ฟัง เธอพยักหน้าน้อยๆแล้วถามกลับ

    "แล้วท่านคิระล่ะคะ"

    "คือผมอยากจะไปเดินดูในเมืองน่ะครับ ถ้าไม่รังเกียจไปด้วยกันมั้ยครับ"ชั่วแว่บหนึ่งเหมือนกับว่าเขาเห็นปฏิกิริยาบางอย่างที่ต่างออกไปดูเหมือนเธอกำลังยิ้มแต่ว่าเมื่อกระพริบตาไปครั้งหนึ่งใบหน้านั้นยังคงความนิ่งเฉยเช่นเดิม ทำให้คิดว่าเขาคงตาฝาดไป

    "ได้ค่ะ ท่านคิระ"จากนั้นเธอและเขาก็เดินออกจากคฤหาสน์หลังงามออกไปโดยที่มีดวงตาคู่หนึ่งมองทั้งคู่อยู่ ในแววตานั้นมีความเศร้าสร้อยแฝงอยู่ไม่น้อย

    "ท่านคิระ...."สุรเสียงเศร้าๆเอ่ยนามของชายหนุ่มออกมาก่อนจะละสายตาไปจากภาพที่มองผ่านหน้าต่างบานนั้น

    ...........
    .............

    สภาพในเมืองนั้นผิดแผกไปจากทุกวันต้นไม้ใหญ่ทั้งหลายพร้อมใจกันผลัดใบสีน้ำตาลที่เคยเป็นสีเขียวชอุ่มเต็มต้นร่วงสู่ผืนดิน ใบไม้สีน้ำตาลที่มากมายเมื่อตกลงสู่ผืนดินก็เป็นเหมือนกับพรมผืนใหญ่ราคาแพงท่าทางอ่อนนุ่มไปตลอดเส้นทางที่เดินไปและใบไม้ทั้งหลายก็ยังคงร่วงลงมาอย่างไม่หยุด

    เมื่อสายลมได้พัดผ่านมาทางเขาและเธอเส้นผมสีกุหลาบก็ปลิวไสวรับสายลมมือบางลูบมันลงมาเบาๆโดยไม่รู้ว่าใบไม้สีน้ำตาลได้ติดอยู่บนเส้นผมของเธอ ชายหนุ่มส่งเสียงหัวเราะเบาๆอย่างนึกขบขันเล็กน้อยทำให้หญิงสาวตรงหน้าสงสัย

    "มีอะไรหรือคะ ท่านคิระ"เขาไม่ตอบแล้วเอื้อมมือไปดึงใบไม้นั้นออกมาจากเส้นผมสวยๆของเธอ

    "นี่ไงครับ"ใบหน้าสวยมีสีแดงระเรื่อเล็กน้อยที่คาดว่าคงมาจากความเขิน

    "..ขอบคุณค่ะ"ถ้อยคำขอบคุณนั้นแสนแผ่วเบาแต่เขาก็ได้ยิน รอยยิ้มอ่อนโยนของเขาจึงปรากฏขึ้นที่มุมปากก่อนจะพูดต่อ

    "ไม่เป็นไรครับ ไปกันต่อเถอะครับ"แล้วทั้งคู่ก็เดินไปที่เนินพร้อมกัน ครั้นเมื่อถึงที่แห่งนั้นร่างบางในชุดสีเหลืองนวลก็เดินไปที่ก้อนหินใหญ่และนั่งลงแต่ก่อนที่จะได้บรรเลงเพลงของเธอก็ต้องพบกับความแปลกใจเมื่อชายหนุ่มได้นั่งลงบนผืนหญ้าใกล้กับเธอ

    "ท่านคิระ ทำไมถึง..."ยังไม่ทันได้กล่าวจนจบชายหนุ่มก็ตอบขึ้นมาก่อน

    "ไม่มีอะไรหรอกครับผมก็แค่...อยากมาอยู่เป็นเพื่อนกับคุณ"พลันนั้นใบหน้าที่เคยนิ่งเฉยฉายแววดีใจเล็กน้อยเพียงแต่ว่าเขากลับไม่ทันได้สังเกตเห็น

    "ถ้าเช่นนั้นก็ตามแต่ประสงค์ของท่านค่ะ ท่านคิระ"เมื่อกล่าวจบมือบอบบางก็ตั้งฮาร์พสีทองประดับอัญมณีขึ้นมา แล้วริมฝีปากนั้นก็เริ่มส่งเสียงร้องอันไพเราะออกมาพร้อมกับเรียวนิ้วที่ขยับไปตามเส้นสายของมัน

    "ท้องฟ้าสีครามที่เฝ้ามองนี้
    เธอได้มองมันอยู่ที่ใดกัน
    ณ ห้วงเวลานี้เธออยู่ที่ใดกัน
    ยังคงรู้สึกถึงชั้นหรือเปล่า

    ภายใต้ผืนฟ้าอันกว้างไกล
    ชั้นยังคงรอเธออยู่เรื่อยมา
    นับจากวันที่เราพรากจากกัน
    ชั้นยังคงคิดถึงเธออยู่เสมอ
    แม้เวลานี้รอยยิ้มของเธอจะเลือนหายไปแสนไกล

    แต่ภายใต้ห้วงเวลานี้ชั้นยังคงรอเธออยู่
    In the promise land.
    In the promise land.

    I wait you when you come in the promise land...."

    ในครานี้บทเพลงของเธอนั้นเขาได้ยินมันอย่างชัดเจน ความหมายที่แฝงนั้นยิ่งย้ำใจให้เขาเริ่มแน่ใจว่าเธอคือคนๆนั้นเพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกว่ามันยังไม่ใช่ แต่ก็ได้แค่เก็บความรู้สึกนั้นไว้แล้วยิ้มให้กับเธอที่ในวันนี้ไม่ได้อยู่เพียงคนเดียว อย่างน้อยก็ ณ เวลานี้และที่แห่งนี้ ดินแดนแห่งคำสัญญา...

    --------------

    ในเวลาเดียวกันที่ห้องหนึ่งในคฤหาสน์หลังงามร่างเพรียวบางบนเตียงที่นิทราเนิ่นนานเริ่มขยับตัวมากขึ้นแต่กลับไม่คิดอยากจะลืมตาขึ้นเลย ร่างเพรียวยังคงอยากซุกตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนาที่ถูกเปลี่ยนไว้เมื่อไม่นานเพื่อรับกับฤดูกาลใหม่ แต่สงสัยจะไม่ได้ตามหวังซะแล้วเมื่อร่างนั้นรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาดซึ่งอาจจะเพราะเริ่มรู้สึกตัวแล้วทำให้ดวงตาคู่นั้นเริ่มเปิดอ้าขึ้น

    ทันใดนั้นเนตรสีอำพันก็ลุกโพลงทันทีด้วยความตกใจก็จะไม่ให้ตกใจได้ยังไงเมื่อลืมตาขึ้นแล้วพบว่ามีคนกำลังโอบกอดเธออยู่ เส้นผมสีน้ำเงินดูยุ่งเล็กน้อย ใบหน้าคมคายหลับตาพริ้มแต่ยังคงความหล่อเหลาเอาไว้ทำให้ต้องเลื่อนมองไปข้างล่างแต่ก็ยิ่งไปกันใหญ่เมื่อกระดุมเสื้อนั้นหลุดไป2-3เม็ดเผยให้เห็นแผงอกกว้างดูแข็งแกร่งที่อาจทำให้สาวๆกรี๊ดกันเป็นแถวรวมทั้งเธอด้วย แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้!

    ใบหน้าน่ารักสูบฉีดโลหิตสีแดงจนเหมือนมะเขือเทศสีสด พูดอะไรไม่ออกกับภาพเบื้องหน้า สมองเริ่มคิดทบทวนเรื่องทั้งหลายแต่กลับนึกอะไรไม่ออก เพราะสภาพของตนเองก็คือ สายเสื้อชุดกระโปรงสีขาวหลุดลงมาข้างหนึ่ง แล้วยังรอยแดงๆที่คออีกทำให้เธอคิดมากทั้งที่ไม่รู้เลยว่านั่นน่ะแค่มาจากการนอนดิ้นของเธอกับรอยที่โดนยุงกัดเท่านั้น แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรเนตรสีมรกตของชายหนุ่มตรงหน้าก็ค่อยๆลืมขึ้นมามองสบกับเนตรสีอำพันสวยและใบหน้าที่ขึ้นสีน่ารักจับใจจนเขาขยับรอยยิ้มส่งให้

    "อรุณสวัสดิ์ คางาริ"

    "...อ...อรุณสวัสดิ์...นี่นาย..มา..."ยังไม่ทันที่คำถามตะกุกตะกักจะได้เอ่ยจนจบริมฝีปากของชายหนุ่มก็เข้ามาประกบโดยไม่ได้ตั้งตัว แน่นอนว่าร่างเล็กส่งเสียงประท้วงแล้วผลักออกทันทีจนเขาเกือบตกเตียง

    "ท.ท..ทำอะไรของนายน่ะ!"และเมื่อริมฝีปากเล็กๆนั้นว่างเธอก็ส่งเสียงร้องโวยวายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

    "อะไรกันก็แค่จูบอรุณสวัสดิ์เอง..อุ๊บ"ชายหนุ่มพูดตัดพ้อแต่ก็ได้แค่นั้นเมื่อเจอพลังหมอนกายสิทธ์ที่เข้าปะทะหน้ามาเต็มๆโดยฝีมือของคางาริ

    "เงียบไปเลยเจ้าคนฉวยโอกาส นี่นายมาอยู่ห้องของชั้นได้ยังไง!"

    "ห้องของเธอ...ฮะๆๆ"เมื่อทวนคำเขาก็ต้องหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้ทำให้ใบหน้าที่แดงแล้วยิ่งแดงขึ้นไปอีก

    "ขำอะไรของนายน่ะ!"เธอโวยอีกรอบทำให้เขาต้องพยายามหยุดหัวเราะแล้วตอบ

    "ฮะ..ฮะ...คางารินี่ห้องของฉันต่างหาก"เมื่อได้ยินดังนั้นเธอก็สวนขึ้นทันควัน

    "หา!!!!!!ห้องของนายแล้วชั้นมานอนอยู่ที่ห้องของนายได้ยังไงหรือว่านายไปอุ้มชั้นมา"แค่นั้นคู่หมั้นหนุ่มก็ขำมากขึ้นก่อนตอบ

    "นี่เธอจำไม่ได้เลยเหรอ เธอน่ะเดินเข้ามาเองเลยนะตอนแรกชั้นก็ตกใจแทบตายที่ไหนได้คงละเมอสิท่า"ละเมอ!...ตายแล้วรู้ถึงไหนอายถึงนั่นแถมละเมอไปที่ไหนไม่ไปดันละเมอมาเข้าห้องเจ้าคู่หมั้นจอมเจ้าเล่ห์นี่ซะได้

    "แล้วนาย..."ว่าแล้วก็รีบดึงแขนเสื้อขึ้นแล้วเขยิบหนีกันไว้เผื่อเจ้าคนเจ้าเล่ห์ตรงหน้าจะคิดทำอะไร แต่ชายหนุ่มตรงหน้าก็ยังไม่ทำอะไรนอกจากหัวเราะอยู่เหมือนเดิม

    "ชั้นไม่ทำอะไรเธอหรอกน่าขืนคิระรู้ละก็มีหวังชั้นโดนฆ่าแน่ๆ แต่ถ้าคิระไม่อยู่ก็เป็นอีกเรื่องนึงนะ"เท่านั้นใบหน้าที่เริ่มหายแดงกลับขึ้นสีอีกครั้งที่เจ้าคนตรงหน้าดันรู้ทันแถมไอ้ที่แถมท้ายมาเนี่ยมันอะไรกันแสดงว่าถ้าคิระไม่อยู่เขาจะ.... แล้วชายหนุ่มก็ต้องหยุดขำเปลี่ยนมาเป็นอมยิ้มเล็กๆเมื่อเห็นว่าหญิงสาวตรงหน้าสะบัดหัวสีทองไปมาเพื่อไล่ความคิดนั้นออกไป

    "ว่าแต่อากาศดีแบบนี้นอนต่อกันเถอะนะ"ชายหนุ่มไม่พูดเปล่าดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอดแล้วล้มตัวลงนอน

    "นี่ปล่อยเลยนะ!"เธอโวยเป็นรอบที่สามในเช้านี้แต่ก็เปล่าประโยชน์เพราะมีหรือแรงหญิงจะสู้แรงชายได้แถมเจ้าคนเจ้าเล่ห์ดันกอดซะแน่นอีกพร้อมแกล้งหลับอย่างน่าโมโหจนเธอต้องยอมปล่อยให้ชายหนุ่มกอดไว้แบบนั้นด้วยอารมณ์หงุดหงิด ทั้งที่ตัวเองก็ชอบแบบนี้แท้ๆ

    ----------------

    หลังจากที่ใครบางคนออกไปจากคฤหาสน์ไม่นานใครอีกคนก็เริ่มแต่งตัว ผมสีซากุระยาวสลวยถูกหวีจนเรียบเข้าทรงแล้วติดมงกุฏสีเงินลงไป ริมฝีปากเล็กๆแต่งแต้มสวยสีชมพูอ่อนพองาม แม้เธอจะมีคนรับใช้มากมายหรือคนสนิทท่านหญิงก็ไม่เคยที่จะยินยอมให้ใครมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวหรือการแต่งกายเด็ดขาดด้วยเหตุผลบางประการ เมื่อริบบิ้นสีขาวครีมถูกนำมาผูกกับปอยผมสีสวยทั้งสองข้างพร้อมกับจับกระโปรงที่ยาวเลียบพื้นห้องให้เรียบร้อยเธอก็เยื้องก้าวออกจากห้องไป

    "อรุณสวัสดิ์ค่ะ ท่านลักซ์"นั่นคือเสียงแรกที่กล่าวทักทายเธอในตอนเช้าเหมือนทุกวัน เส้นผมสีน้ำตาลสั้นๆและเนตรสีฟ้าใสยังคงทำให้เจ้าของมันดูน่ารักและสดใสเหมือนเดิม

    "อรุณสวัสดิ์จ้ะ มิลิอาเลีย"ท่านหญิงกล่าวเมื่อพบข้ารับใช้คนสนิทที่เปรียบเสมือนเพื่อนรู้ใจคนนี้

    "วันนี้อากาศดีมากท่านจะรับอาหารเช้าที่สวนใช่ไหมคะ"แล้วเธอก็รู้ใจท่านหญิงจริงๆ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ท่านหญิงกำลังต้องการพอดิบพอดี

    "ใช่แล้วมิลิอาเลีย งั้นเจ้าก็ไปเรียนท่านอื่นด้วยนะ"

    "รวมถึงพวกท่านคิระด้วยใช่ไหมคะ"น้ำคำนั้นทำให้ดวงหน้างามของท่านหญิงหม่นลงไปทำให้คนถามถึงกับสะดุ้ง

    "ท่านคิระน่ะไม่อยู่หรอก"แม้คิดอยากจะถามว่าท่านหญิงรู้ได้อย่างไรก็มิกล้าเพราะนี่เป็นอีกครั้งที่เธอไม่อาจเข้าใจคนตรงหน้าได้จึงจำต้องตอบรับอย่างว่าง่าย

    "งั้นหรือคะ"และเมื่อทั้งคู่เดินไปเรื่อยๆก็มีเสียงหนึ่งกล่าวขึ้นมา

    "ท่าทางไม่สดชื่นเลยนะลักซ์ ไคลน์"เมื่อเนตรคู่งามหันกลับไปก็ประสบกับสตรีผู้มีผมสีชมพูเข้มและใบหน้าเหมือนตนอยู่ในชุดสีดำสนิท

    "รู้สึกว่าจะมีเรื่องให้ท่านหญิงไม่สบายใจสินะ"คำกล่าวพร้อมรอยยิ้มที่ไม่เป็นมิตรถูกส่งออกมาทำลายบรรยากาศดีๆยามเช้าเสียสิ้นจากหญิงสาวนาม มีอา แคมป์เบลล์

    "ท่านมีอาได้โปรดอย่าได้ทำกิริยาที่ไม่สุภาพเช่นนี้ต่อท่านหญิงเลยค่ะ"มิลิอาเลียกล่าวด้วยความไม่พอใจแต่ก็ต้องทรงความนอบน้อมเอาไว้ทำให้คนตรงหน้ากล่าวอย่างมีน้ำโห

    "เงียบนะ! เจ้าเป็นแค่เทพรับใช้ไม่มีสิทธิ์มากล่าวเยี่ยงนี้กับข้า"เสียงนั้นดังไปทั่วบริเวณแต่ก็เหมือนเป็นโชคดีที่ตอนนี้ไม่มีใครอยุ่นอกจากพวกเธอสามคน

    "พอเถอะทั้งสองคนได้โปรดอย่าโกรธเคืองกันด้วยเรื่องเช่นนี้เลย...มิลิอาเลียไปเตรียมอาหารสิ"คำสั่งที่ทุกทีเธอเต็มใจทำคราวนี้กลับทำให้เธอไม่พอใจแม้จะรู้ถึงความหวังดีของท่านหญิงก็ตาม อย่างน้อยเธอก็อยากจะสอนมารยาทให้กับสตรีตรงหน้าบ้าง

    "แต่ว่าท่านลักซ์คะ.."เธอจะค้านแต่แล้วเมื่อสบเข้ากับเนตรฟ้าครามเข้าเธอก็ไม่อาจขัดได้

    "ทราบแล้วค่ะท่านลักซ์ ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัว"เมื่อคนหนึ่งเดินไปท่านหญิงก็หันมากล่าวกับอีกฝ่ายบ้าง

    "ท่านมีอาท่านเองก็ไม่ควรกล่าววาจาดูถูกหรือทำกิริยาเช่นนั้นนะคะ เพราะมันจะทำให้ความงามในตัวตนของท่านลดลงซ้ำยังทำให้เกิดความขุ่นเคืองอีก"คำกล่าวที่เหมือนสั่งสอนสร้างความไม่พอใจอย่างยิ่งให้กับผู้ฟังแต่ก็ต้องเก็บงำความรู้สึกนั้นไว้เพราะเธอก็ไม่โง่พอที่จะทำตัวเป็นศัตรูกับคนตรงหน้าอย่างเปิดเผยแน่ๆ

    "ข้าจะกระทำสิ่งใดมันก็เรื่องของข้าแต่เรื่องของเจ้านี่สิจะทำเช่นไร"เธอบอกปัดๆแล้วเปลี่ยนเรื่องทันที

    "เรื่องอะไรงั้นหรือท่านมีอา"แม้ปากจะบอกเช่นนั้น แม้ดวงตาจะใสซื่อเพียงไรแต่ความคิดในใจนั้นก็รู้อยู่เต็มอกว่าคนตรงหน้าคิดจะพูดเรื่องอะไร การกระทำนี้ทำให้ผู้ที่มีดวงหน้าเหมือนท่านหญิงยิ้มแบบเจ้าเล่ห์

    "หึๆอย่ากลบเกลื่อนเลย ข้าจะบอกอะไรให้นะว่าทุกสิ่งที่เจ้าคิดน่ะข้ารู้ทั้งหมดนั่นแหละ เพราะข้าน่ะรู้ถึงความคิดของเจ้าดีที่สุด"คำกล่าวนั้นดูจะไร้ประโยชน์เพราะคำเหล่านั้นไม่ได้ทำให้ท่านหญิงรู้สึกอะไรแม้แต่น้อยแล้วยังตอบกลับไปอีกด้วย

    "อาจจะจริงอย่างท่านว่าท่านมีอา จริงอยู่ที่ข้าไม่อาจปกปิดท่านได้แต่มันก็ไม่ถูกทั้งหมดหรอกนะข้าก็อยากจะบอกท่านว่า ไม่มีใครหรอกที่จะหยั่งรู้ถึงความในใจของข้าได้ดีที่สุดเพราะว่าแม้แต่ตัวของข้าเองข้าก็ยังไม่อาจรับรู้หรือเข้าใจได้เลย"ใบหน้าหวานยิ้มละไมแต่ว่าความรู้สึกที่ส่งออกมากลับตรงกันข้ามทำให้คนที่เห็นถึงกับชะงัก เม็ดเหงื่อไหลซึมอยู่ข้างใบหู

    "อาจจะจริงก็ได้นะรู้ไหมว่าเพราะอะไร เพราะว่าเจ้าน่ะมีความลับมากเกินไปน่ะสิแล้วยังเรื่องภายในใจของเจ้าอีกคงยากที่จะมีใครหยั่งถึงเป็นแน่"เธอยังคงไม่เลิกที่จะปะทะคารมกับท่านหญิงแม้แต่น้อยจนท่านหญิงต้องเอ่ยออกมา

    "ท่านมีเรื่องใดอยากจะกล่าวก็โปรดกล่าวออกมาเสียอย่าได้อ้อมค้อมเลย"สิ้นเสียงนั้นใบหน้าที่อ่อนหวานกับดวงตาที่อ่อนโยนก็แข็งกร้าวขึ้นมาจนอีกฝ่ายถึงกับขยาดแล้วคิดว่า ดีที่ไม่ได้แสดงตนว่าเป็นศัตรูกับท่านหญิง

    "ก็แค่อยากจะบอกเจ้าว่าหากปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นเช่นนี้ต่อไปโดยที่เจ้าไม่กระทำการใดสุดท้ายเจ้านั่นแหละที่จะต้องเสียใจ"สิ้นเสียงร่างอวบอิ่มก็เดินลับไปอย่างเร่งรีบราวกับกลัวคนตรงหน้า ท่านหญิงผ่อนลมหายใจอย่างแผ่วเบาดวงหน้าแข็งกร้าวกลับมาเศร้าสร้อยแล้วเอ่ยออกมา

    "เรื่องแค่นั้นน่ะข้ารู้ดีอยู่แล้ว แต่จะให้ข้าทำเช่นไรเมื่อข้ามิใช่คนๆนั้น"

    #####################################
    เม้นต์กันซักนิดเถอะนะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×