ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fanfic G Seed Destiny]Confuse Christmas

    ลำดับตอนที่ #1 : Call me Santa.

    • อัปเดตล่าสุด 29 ธ.ค. 49


    Confuse Christmas

    Present 1 : Call me Santa.

    Jingle Bell...Jingle Bell....

    เสียงบทเพลงประจำเทศกาลอันแสนไพเราะดังมาจากวิทยุสื่อสารที่เพิ่งถูกจัดมาวางไว้บนเสาไฟเพื่อกระจายเสียง เมื่อเข้าสู่เทศกาลคริสต์มาสร้านค้าทุกแห่งต่างพร้อมใจกันเสาะแสวงหาต้นสนนับสิบขนาดมาตกแต่งแล้ววางเรียงประชันความสวยงามจนแทบกลายเป็นป่าสน สีของเครื่องตกแต่งสารพัดรูปแบบส่องประกายสวยงามแกมน่ารำคาญในสายตาเขาพอดู

    ร่างสูงเดินแบกป้ายผ่านไปมาหน้าร้านที่ทำงานพิเศษด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ซึ่งก็คงสืบเนื่องมาจากเจ้าชุดสีแดงทั้งตัวที่ต้องสวม รองเท้าบู๊ทหนังสีน้ำตาลแสนหนักที่ทำเอาแทบจะต้องเดินลากขา เจ้าสิ่งที่นุ่มๆขาวๆบนใบหน้าที่มาแทนหนวดปลอมก็น่ารำคาญพอกันและเมื่อมองไปทางไหนก็มีคนที่แต่งแบบเขามากมายจนเหมือนซานต้าก่อม็อบอยู่กลายๆ

    แต่ความคิดในแง่ลบแบบนี้เหตุผลจริงๆคงเป็นเพราะว่าเขาต้องเดินแบกป้ายมาร่วม5ชั่วโมงแล้วมากกว่าอารมณ์ถึงได้หงุดหงิดมองอะไรแย่ไปหมด เด็กพาร์ทไทม์มองป้ายใหญ่ในมือที่เขียนว่า "เค้กลดราคาพิเศษ"แล้วก็ถอนหายใจทีหนึ่งก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไปเรื่อยๆหน้าร้าน เดินไปได้ซักพักเขาก็เห็นชายหญิงคู่หนึ่งมองป้ายด้วยท่าทางสนอกสนใจเขาจึงได้ตะโกนออกไป

    "เค้กลดราคาพิเศษ50%ครับ!"ซึ่งได้ผลทันตาคู่รักคู่นั้นรีบเดินตรงเข้าไปในร้านอย่างรวดเร็วทำให้เขายิ้มร่าเพราะถ้าเรียกลูกค้าได้เขาก็จะได้เงินเพิ่มขึ้น แต่มันก็อิจฉานิดๆเหมือนกันเพราะเขาเองก็อยากจะเดินกระหนุงกระหนิงเที่ยวเล่นในวันคริสต์มาสกับคนรักบ้าง

    แต่มันก็คงเป็นได้แค่ฝัน....

    และความคิดเพ้อฝันก็เป็นอันถูกพับเก็บไป ชายหนุ่มสะบัดผมสีน้ำเงินที่เริ่มยาวไปข้างหลังและมองนาฬิกาที่บ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลา18.30น.ที่เป็นเวลาพักของเขาพอดิบพอดี

    "ได้เวลาพักแล้วเหรอเนี่ย"เสียงเปรยเบาๆลอดมาจากเคราปลอมสีขาว ร่างสูงเดินตรงไปยังลังไม้กองใหญ่ในตรอกและนั่งพักบนลังใบใหญ่เอาแรง โยนป้ายอันแสนหนักไปข้างหน้าและกระชากเคราสีขาวรกใบหน้าหล่อเหลาออก ดวงหน้านั้นทั้งหล่อเข้มและหนุ่มแน่นสมกับวัย20ปีหมาดๆ นัยน์ตาสีมรกตยังคงน่าหลงใหลอยู่เช่นเดิม

    "เฮ้อ..เหนื่อย"เขาบ่นอุบพลางล้วงลงไปในกระเป๋าเสื้อหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดและสูดสารนิโคตินเข้าไปเต็มปอดก่อนจะพ่นมันออกมาเป็นควันสีเทาจางๆ ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยคิดจะยุ่งเกี่ยวกับมันแต่มาตอนนี้เขากลับอยู่คู่มันมาได้เกือบปีแล้ว ใบหน้าคมเงยขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดเร็วในหน้าหนาวเหมือนไม่ชอบใจ

    "อเล็กซ์!มานี่หน่อย"เสียงเรียกของเจ้านายทำให้เขาตัดสินใจโยนบุหรี่มวนนั้นทิ้งบนพื้นและบดขยี้ด้วยเท้าเพื่อดับไฟและเดินเข้าร้านไปพร้อมเคราปลอมสีขาวในมือ

    "มีอะไรเหรอครับคุณคริส"เขาถามเสียงอ่อนด้วยความเหนื่อย เจ้าของร้านที่อายุอานามไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่ยื่นซองสีน้ำตาลอ่อนให้โดยที่มือข้างหนึ่งยังสาละวนอยู่กับเค้กวนิลาแต่งด้วยครีมสีขาวสวย

    "วันนี้พอแค่นี้แหละเธอกลับได้เลยนะ"

    "ครับ"เขารับซองใส่เงินมาทั้งที่คนส่งให้ยังคงไม่เงยหน้ามามองเขาและก้มหน้าก้มตาทำเค้กอย่างสุดฝีมือ

    "นี่เค้กใครสั่งไว้เหรอครับ"ร่างสูงโปร่งถามด้วยความแปลกใจที่เห็นเจ้าของร้านแสนใจดีตั้งใจทำเค้กนั้นสุดฝีมือและวันนี้ก็25ธันวาแถมเป็นเวลาเย็นซึ่งไม่ค่อยมีคนมาสั่งเค้กจะมีก็แต่มาซื้อเค้กที่เหลืออยู่เท่านั้น

    "ฟังแล้วอย่าตกใจล่ะ นี่น่ะทำส่งให้คนใหญ่คนโตในสภาเชียวนะเห็นร้านของชั้นเล็กอย่างงี้ก็เถอะเคยลงนิตยสารมาหลายเล่มแล้วนะ"คนอายุเยอะกว่ากล่าวอย่างภูมิใจและอวดร้านนิดๆ

    "เหรอครับ ถ้างั้นผมไปเปลี่ยนเสื้อก่อนนะครับ"แล้วเขาก็หายไปในห้องข้างๆและเดินออกมาในเวลาไม่นานด้วยชุดเสื้อโค้ทสีดำยาวเกือบถึงข้อเท้าคู่กับกางเกงขายยาวสีขาวและเสื้อยืดคอสูงสีเขียวเข้ม

    "ลาล่ะครับคุณคริส"พูดจบร่างของอเล็กซ์ ดีโน่หรืออัสรันซาล่าก็หายไปจากร้านนั้นอย่างรวดเร็ว เขารีบวิ่งตรงไปยังร้านเครื่องประดับร้านหนึ่งซึ่งพอไปถึงร้านนั้นก็ใกล้จะปิดแล้ว

    "รอก่อนครับ!"เขาตะโกนเสียงดังเรียกพนักงานหนุ่มที่กำลังจะปิดร้านเอาไว้และเดินเข้าไปซื้อของข้างใน

    ตู้โชว์นับสิบตู้วางไว้อย่างเป็นระเบียบเครื่องประดับจำพวกเพชร พลอยต่างถูกวางเรียงรายไว้อย่างลงตัวเขาเดินไปแถวๆที่ขายมรกต ที่ตรงนั้นมีเครื่องประดับมากมายทั้งสร้อย ต่างหู กำไล แหวนและอีกมากมายที่ประดับด้วยมรกตที่สำคัญคือทุกชิ้นนั้นราคาแพงจับใจเหลือเกินและชายหนุ่มก็ต้องสะดุดตาเข้ากับจี้ห้อบคอรูปจันทร์เสี้ยวสีทองอ่อนรายล้อมด้วยมรกตสีเขียวเม็ดเล็กราวกับดวงดาราที่ส่องประกาย

    ตอนแรกเขาก็คิดจะซื้อไปแต่เมื่อก้มมองราคาที่แพงจนน่าใจหายก็เป็นอันต้องมองผ่านมันไปด้วยความเสียดายและเลือกซื้อต่างหูมรกตคู่เล็กไปแทน พอออกจากร้านเขาก็ถอนหายใจหนักๆครั้งหนึ่งกับการซื้อของขวัญคริสต์มาสรอบนี้

    "ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงซื้อได้สบายแล้วแท้ๆ"เขาบ่นกับตนเองขณะมองเศษเงินทอนในมือที่เหลือเพียงไม่เท่าไหร่ก่อนจะรีบตรงดิ่งกลับบ้านในทันทีและไม่นานเขาก็มานอนอยู่บนโซฟาเก่าปุปะในบ้านที่คนเค้าเรียกว่า"ซอมซ่อ"

    "1ปีแล้วสินะที่ลาออกจากการเป็นทหาร"อัสรันพูดกับตนเองขณะนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟา สายตาเหลือบมองออกไปข้างนอกหน้าต่างซึ่งท้องฟ้ามืดสนิทและหิมะสีขาวก็โปรยปรายลงมาอย่างช้าๆแล้วยิ้มเยาะกับตนเอง

    "ต้องมานั่งดูหิมะแรกคนเดียวแบบนี้มันรู้สึกแปลกๆยังไงไม่รู้แฮะ"

    ทั้งที่เมื่อครั้งอดีตไม่เคยสนใจด้วยซ้ำ หรือเพราะตอนนั้นเป็นได้แค่ทหารไร้ใจถึงได้ไม่รู้สึกว่าหิมะนั้นช่างเย็นเหลือเกิน หลังจากที่เสียแม่ไปพ่อก็เอาแต่ทำงานทิ้งให้เขาอยู่บ้านคนเดียวเสมอและเมื่อพ่อจากไปเขาก็เหลืออยู่คนเดียวจริงๆ คงเพราะรู้จักความโดดเดี่ยวกระมังถึงได้รู้สึกว่าหิมะนั้นช่างเย็นนัก

    เสียงนาฬิกาที่เดินไปอย่างเชื่องช้าทำให้เขานึกหงุดหงิดอยากให้ถึงเวลาเที่ยงคืนเร็วๆเพราะมีนัดสำคัญที่ต้องไป แต่ว่าคนที่เขานัดไว้จะมาหรือไม่เขาเองก็ไม่รู้

    อาจเพราะห่างกันไปนานจึงไม่อาจรู้ได้ว่าใจนั้นยังสื่อถึงกันอยู่หรือเปล่า บางทีมันอาจจะเหลือเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของความทรงจำที่ผ่านเลยไปก็ได้ รักที่เคยมีให้ในตอนนี้มันยังเป็นรักอยู่รึเปล่าเขาก็ไม่รู้

    เขาลุกพรวดจากโซฟาหยิบกล่องของขวัญสีเขียวคาดเหลืองตรงไปที่ห้องนอนเล็กๆ ชายหนุ่มวางมันลงไปบนหัวเตียงอย่างนุ่มนวลราวกับเป็นของสำคัญที่สุดในชีวิตก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงสีทึม เขามองเพดานที่มีหลอดไฟเคลือบฝุ่นแขวนอยู่อย่างเศร้าๆระคนเหงา

    "ถ้าหากซานตาคลอสมีจริงจะสายไปรึเปล่านะที่ชั้นจะขอของขวัญ"พูดจบรอยยิ้มเย้ยหยันก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าที่เหมือนจะยิ้มเยาะตนเองที่เมื่อครู่ดันหวังในสิ่งที่มันไม่เป็นจริง

    "คิดเป็นเด็กๆไปได้นะเราอายุก็20แล้วแท้ๆ"เขาว่าแล้วก็พลิกตัวนอนตะแคงหลับไปอย่างรวดเร็ว

    ติ๊กต่อก...ติ๊กต่อก....

    นาฬิกาพลาสติกราคาถูกยังคงทำหน้าที่ของมันต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งเวลาได้มาหยุดลงตรงที่22.00น.ทันใดนั้นเองเสียงหนึ่งก็ปลุกให้เขาตื่นขึ้นจากนิทราอันแสนสุข

    ก๊อกๆ แกร๊ก...

    หน้าต่างที่ถูกลงกลอนปิดสนิทกลับเปิดออกเร่งให้เขาใช้สัญชาตญาณในการป้องกันตัวเองหาอาวุธมาติดมือ เขาล้วงไปใต้หมอนและหยิบมีดพกคู่ใจออกมาติดมือไว้อย่างใจเย็นขณะที่ใครคนหนึ่งบุกรุกเข้ามาในบ้านและเดินเข้ามาใกล้กับเตียงที่เขานอนอยู่ ร่างนั้นยื่นมามาหาแต่ทันใดนั้นร่างของเขาก็หายไปจากเตียงเสียแล้ว

    ด้วยความที่เขาเป็นโคออดิเนเตอร์แน่นอนว่าสมรรถภาพทางร่างกายต้องสูงเป็นธรรมดาและเขาก็ยังเคยเป็นทหารด้วยทำให้ร่างนั้นถูกล็อกคอจากด้านหลังอย่างง่ายดายใบมีดคมจ่ออยู่ที่คอห่างออกไปแค่ไม่กี่เซน

    "นับว่านายโชคร้ายมากนะที่มาขโมยของในบ้านของอดีตทหารอย่างชั้น"เขาพูดพลางยิ้มเย็นน่ากลัวอย่างที่ใครเห็นก็คงต้องตัวสั่น คนถูกจับนิ่งเงียบไม่ตอบโต้ทำให้คนได้เปรียบเริ่มรู้สึกเอะใจว่าร่างที่เขาจับอยู่ช่างบอบบางเหลือเกินและยังมีเส้นผมสีทองที่แสนคุ้นตา

    "..."ร่างนั้นพูดเสียงเบาจนเขาไม่ได้ยิน

    "ว่าไงนะจะต่อรองรึไง"เขาถาม

    "ปล่อย..."คนถูกจับก็เริ่มพูดเสียงดังขึ้นเล็กน้อยแต่เขาก็ยังไม่ได้ยินอยู่ดี

    "หาว่าไงนะ"

    "ก็...บอกให้ปล่อยไงยะอีตาบ้า!"เสียงหวานดังขึ้นอย่างชัดเจนและตามขึ้นด้วยเสียงดังพลั่กอันเนื่องมาจากข้อศอกที่กระทุ้งลงไปกลางลำตัวของเขาที่ประมาทและตกใจอยู่ตามด้วยสันมือที่ฟาดลงมาทำให้มีดในมือหล่นพื้น

    "เสียมารยาทจริงๆมาว่าซานต้าอย่างชั้นเป็นขโมยได้ยังไงกัน"เขาฟังอย่างไม่เชื่อหูตัวเองจึงต้องเดินไปเปิดไฟเป็นการพิสูจน์ เมื่อไฟในห้องสว่างก็คือร่างบอบบางในชุดสีแดงทั้งตัวแถมยังใส่กระโปรงสั้นแบบไม่กลัวหนาวในมือข้างหนึ่งมีถุงเก่าๆเต็มไปด้วยรอยปะของผ้าหลากสีสัน เธอมีผิวขาวสวยรับกับเส้นผมสีทองสั้น บนหัวมีหมวดซานต้าที่เขาเพิ่งใส่มาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนแล้วนัยน์ตาสีทรายที่งดงามนั่นก็ทำให้เขาต้องอ้าปากค้าง

    "คางาริ!"

    "หืม? คางารินี่ใครน่ะ"เธอถามหน้าซื่อทั้งที่ตัวเองก็มีใบหน้าและน้ำเสียงเหมือนเจ้าของชื่อที่ถูกกล่าวถึงราวกับคนเดียวกัน เรียกได้ว่าเหมือนกันยิ่งกว่าฝาแฝดแบบคิระซะอีก

    "ก็เธอไงล่ะ!"

    "นายนี่นอกจากจะว่าชั้นเป็นขโมยแล้วยังจะจำคนผิดอีกรึไง"เธอว่าเข้าให้และนั่งลงบนเตียงเขาอย่างถือวิสาสะ เมื่อว่าเสร็จเธอก็มองสำรวจไปรอบห้องเล็กโกโรโกโส

    "ห้องนายนี่แคบชะมัดเลยแถมยังมีแต่ของเก่าๆเสียๆอีก"

    "ห้องชั้นจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะน่า"เขาตอบอย่างอารมณ์ไม่ค่อยดีที่ถูกวิจารณ์ห้อง ก็คนมันไม่มีเงินนี่หว่า

    "ว่าแต่เธอเถอะมาเล่นอะไรอยู่แล้วนี่เธอมาได้ยังไง งานในสภาล่ะไหนบอกว่ามีเยอะแล้วนี่เธอใช่คางาริจริงๆเหรอ"เขาถามยาวยืดลำบากเธอต้องมานั่งตอบ

    "เอาเป็นว่าชั้นจะตอบทีละข้อนะ หนึ่งชั้นก็เดินเข้ามาทางหน้าต่างน่ะสิ สองงานในสภาจะเยอะจะน้อยก็ไม่เกี่ยวกับชั้นและสุดท้ายชั้นไม่ใช่คางาริ"

    "แล้วเธอคือใคร"

    "เรียกชั้นว่า ซานต้าละกัน ชั้นคือSanta Girlผู้ที่จะมองของขวัญให้แด่เหล่าผู้ที่ปรารถนายังไงล่ะและชั้นก็มาที่นี่เพื่อมอบของขวัญให้แก่นายด้วย"ซานต้าสาวเองก็ตอบยาวยืดแล้วหยิบถุงของขวัญแฟ่บๆมาโชว์เป็นหลักฐานเหมือนไขข้อข้องใจของใครบางคนด้วย

    "แต่ชั้นไม่ให้นายฟรีๆหรอกนะอย่างแรกคือนายอายุเกินจะเรียกว่าเด็กแล้วและนายบังอาจมาเรียกชั้นว่าขโมยแถมยังเอามีดมาจ่อคอชั้นอีก"ถึงตรงนี้เขาเห็นแววตาที่วาวโรจน์ราวกับเตรียมขย้ำเขาเต็มที่

    เหมือนใครบางคนเวลาโกรธไม่มีผิด...

    "แล้วนายก็คงไม่อยากได้ของขวัญมาโดยที่ไม่ได้พยายามสินะ"คนเหมือนคางาริโยนถุงไว้บนเตียงอย่างไม่ใส่ใจแต่คนฟังสิโดนจี้ใจดำเข้าให้เป็นอันว่าเธอรู้ว่าเขาต้องการของขวัญไปมอบให้ใครและเพื่ออะไร

    "บอกไว้ก่อนนะว่าชั้นไม่รู้อะไรลึกซึ้งหรอกเพราะชั้นรู้สึกได้ถึงความปรารถนาอันแรงกล้าจากนายชั้นถึงได้มาที่นี่ยังไงล่ะ"เธอหันมาโปรยยิ้มหวานน่ารักให้เขาและลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างโดยไม่ลืมหยิบถุงของขวัญไปด้วย

    "ไปกันเถอะภารกิจของนายก็คือแจกของขวัญให้แก่ทุกคนที่ปรารถนาในค่ำคืนนี้ก่อนเวลาเที่ยงคืน"เธอหยิบกระดิ่งสีทองบนโชคเกอร์ที่คอออกมาและโยนไปนอกหน้าต่าง ชั่วพริบตานั้นแสงสว่างก็บังเกิดขึ้นจากกระดิ่งอันเล็กๆกลับกลายเป็นรถลากที่ส่องแสงสีทองอร่ามพร้อมด้วยกวางเรนเดียร์สี่ตัวที่เป็นทองเช่นกัน

    "นี่คือรถลากเลื่อนของชั้นชื่อAkatsuki พูดถึงชื่อชั้นยังไม่รู้ชื่อของนายเลย"

    "ชั้นอัสรัน ซาล่า"เขาตอบเสียงเบาเพราะกำลังตื่นตะลึงกับภาพน่าเหลือเชื่อเบื้องหน้า

    "เอาล่ะมาสิอัสรัน ซาล่าเรามาเริ่มต้นภารกิจของนายเถอะนะ"หญิงสาวที่ใบหน้าเหมือนใครบางคนที่เขาคิดถึงยื่นมือมาให้ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มภายใต้อาภรณ์สีแดงกับรถลากเลื่อนสีทองงดงามและเมื่อเขาได้ยื่นมือออกไปนั้นก็ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของคืนวันคริสต์มาสที่แปลกประหลาดที่สุดของเขา

    ##################################
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×