คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ตำนานและบทเพลงที่เล่าขาน
Phase 9 ตำนานและบทเพลงที่เล่าขาน
ตึก..ตึก...
เสียงรองเท้าหนังกระทบกับพื้นดังไปทั่วคฤหาสน์White Symphonyในยามบ่าย เจ้าของเสียงฝีเท้านั้นไม่ใช่ใครอื่นคือ ชายหนุ่มผมสีกาแฟ เจ้าของดวงตาสีไวโอเล็ตผู้มาจากเมืองเฮลิโอโปลิสนาม คิระ เขาเดินไปอย่างเรื่อยเปื่อยเพราะไม่มีอะไรทำ ความจริงตัวเขาก็ไม่ได้เกลียดความสงบแบบนี้หรอกนะแล้วก็ไม่ได้เป็นคนชอบเรื่องวุ่นวายเหมือนน้องสาว แต่ว่าจะให้อยู่เฉยๆตลอดไปคงไม่ไหว เขาเดินไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย ทว่าพอเขารู้สึกตัวอีกทีชายหนุ่มก็พบว่าตนเองกำลังยืนอยู่กลางห้องโถงใหญ่สีส้มซะแล้ว
"ทำไมเราถึงได้เดินมาที่นี่นะ..."เขานึกสงสัยตนเอง เพียงแค่เดินเล่นเฉยๆแต่พอรู้สึกตัวก็กลับมาอยู่ที่นี่ซะแล้ว ขณะที่ยืนคิดอยู่ลูกแก้วสีไวโอเล็ตก็เหลือบไปเห็นเจ้าหญิงผมสีซากุระนามลักซ์ ไคลน์มายืนอยู่ที่กลางห้องโถงเสียแล้ว
"ท่านลักซ์"เขาเรียกชื่อเธอพลางคิดว่าเธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรโดยที่เขาไม่เห็นแม้แต่น้อย
"ท่านคิระ!"ท่าทีตกใจที่เขาไม่เคยได้สัมผัสจากเธอคนนี้ถูกเผยออกมา ดูจากท่าทางแล้วเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาก็อยู่ที่นี่
"ท่านคิระ ท่านมากระทำอันใดในที่เช่นนี้หรือคะ"
"คือ...ผม..ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมกำลังเดินเล่นอยู่แล้วอยู่ๆพอรู้สึกตัวผมก็เดินมาที่นี่แล้ว"เขาพยายามอธิบายซึ่งคำตอบนั้นสร้างความตกใจให้เธออีกครั้งแต่หญิงสาวก็ไม่ได้แสดงอากัปกิริยาอันใดออกมา นอกจากยิ้มออกมาเล็กน้อย
"งั้นหรือคะ...แล้วท่านพอจจะมีเวลาไหมคะ"แก้มขาวเนียนนั้นแดงระเรื่ออย่างน่ารักพร้อมถามเขา
"ก็พอมีน่ะครับ"ความจริงมันไม่ใช่แค่พอมีหรอกแต่เขามีมากเลยต่างหากเพราะอยู่ที่นี่ก็แทบจะไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว แต่เขาก็มีมารยาทพอที่จะไม่ตอบตรงๆ
"ถ้าเช่นนั้นรังเกียจไหมคะถ้าข้าจะชวนท่านไปอุทยานบุปผาน่ะค่ะ"
"ยินดีครับ ท่านลักซ์"เขาตอบรับง่ายๆพร้อมรอยยิ้มซึ่งทำให้เธอดีใจมาก
"ถ้าเช่นนั้นก็ไปกันเถอะค่ะ"แล้วหญิงสาวก็เดินออกจากคฤหาสน์ไปกับชายหนุ่มเพียงสองคน
------------------------
ณ อุทยานบุปผา
สถานที่ที่ชายหนุ่มและหญิงสาวนั้นรายร้อมไปด้วยดอกไม้หลากสีสัน บนพื้นถูกปูด้วยอิฐบล็อกสีน้ำตาลแดงเรียงเป็นทางยาวรั้วทำด้วยเงินสีวาววับมีเถาเบอร์รี่พันรอบข้างๆและยังมีพุ่มดอกพรีมโรสสีเหลืองสดอยู่ ผีเสื้อตัวเล็กตัวใหญ่ต่างบินโฉบไปมาที่ดอกโน้นดอกนี้ ปักษาตัวเล็กก็บินไปมาหยอกล้อกับสายลมที่กึ่งกลางสวนนี้ยังมีน้ำพุสีครีมนวลตั้งตระหง่านอยู่กลางพุ่มดอกกุหลาบขาวและมีม้านั่งยาวมีพนักพิงสีขาวสะอาดตาวางไว้เป็นระยะๆ
"ท่านคิระเคยมาเยือนที่แห่งนี้ไหมคะ"เสียงหวานปานน้ำผึ้งถามชายหนุ่มที่เดินอยู่เคียงข้าง
"ไม่ครับ"ใบหน้าคมหันมาตอบอย่างเรียบง่าย หญิงสาวยิ้มบางก่อนถามต่อ
"แล้วท่านคิดว่าที่แห่งนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ"
"ที่แห่งนี้งดงามมากเลยครับ ราวกับสรวงสวรรค์เลยทีเดียว แต่ว่า.."เสียงนั้นเบาลงเล็กน้อย
"แต่ว่าอะไรหรือคะ ท่านคิระ"
"ทั้งที่มาเป็นครั้งแรกแต่ว่าทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนกับว่ารู้จักที่นี่ ในขณะที่ผมกลับไม่รู้สึกอะไรแบบนี้ในช่วงแรกที่มาเลยแม้แต่น้อย"สิ่งที่ชายหนุ่มเอ่ยออกมานั้นทำให้หญิงสาวแทบจะระบายยิ้มออกมาเพียงแต่ว่าเธอกลับปกปิดมันไว้เท่านั้น
"ไปเดินดูรอบๆกันเถอะค่ะ"ร่างบางในชุดสีชมพูอ่อนเอ่ยชวนชายหนุ่มอย่างร่าเริง
"ครับ"เขาเองก็ตอบรับง่ายก่อนที่จะเดินไปพร้อมกับเธอผู้งดงาม
ขณะที่เดินอยู่ร่างบางเดินนำเขาไปเล็กน้อยพร้อมกันกลับมายิ้มให้เสมอสีหน้าและท่าทางของเธอดูราวกับมีชีวิตชีวามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รอยยิ้มแต่ละครั้งที่เธอส่งมาให้ทำให้หัวใจของชายหนุ่มรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกและยิ่งไปกว่านั้นรอยยิ้มที่อบอุ่นของเธอกลับทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยดดยที่ไม่รู้ว่าทำไม เพียงแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากยิ้มรับอย่างอ่อนโยน เดินไปได้ซักพักหญิงสาวก็ก้าวไปที่น้ำพุกลางอุทยานที่ตั้งอยู่เนตรฟ้าครามมองดูสิ่งนั้นแล้วหันกลับมาบอกเขาว่า
"ท่านคิระคงจะไม่รู้สินะคะว่าที่แห่งนี้มีตำนานอยู่เรื่องหนึ่ง"
"ตำนานงั้นหรือครับ"เรื่องที่เจ้าหญิงหยิบยกขึ้นมาพูดนั้นสร้างความฉงนให้เขาไม่น้อยเลยทีเดียว
"ใช่แล้วค่ะ ณ ที่แห่งนี้ได้มีเรื่องราวถูกเล่าขานจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่ง"
"งั้นเหรอครับ"เธอพยักหน้าน้อยๆแทนคำตอบก่อนเอ่ยอาสาว่า
"ขอให้ข้าเล่าให้ฟังได้ไหมคะ"
"ได้สิครับ ถ้าท่านยินดี"หญิงสาวพยักหน้าอีกครั้งแล้วเริ่มเล่าเรื่อง
"เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของเทพ 2 องค์ค่ะ คือเทพแห่งตะวันและเทพีแห่งแสงสว่าง เรื่องนั้นมีอยู่ว่า...."
-------------------------------------------------------------
นานมาแล้ว ณ ดินแดนแห่งนี้จะมีเหล่าเทพมากมายสถิตย์อยู่แต่เหล่าเทพนั้นมักจะเดินทางกันเรื่อยๆและจะกลับมาที่นี่เพียงไม่กี่ครั้ง ยกเว้นแต่เทพผู้ค้ำจุนนครมายาแห่งนี้คือ เทพแห่งตะวันและเทพีแห่งแสงสว่าง เทพแห่งตะวันนั้นว่ากันว่าเป็นชายหนุ่มรูปงามผู้เปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนและใจดี ส่วนเทพีแห่งแสงสว่างนั้นก็เป็นหญิงงามเฉกเช่นเดียวกับเทพแห่งตะวันเธอมีความเมตตายิ่งกว่าใครๆ อ่อนโยนและใจดียิ่งกว่าผู้ใด รอยยิ้มของเธอที่ส่งผ่านออกมาราวกับมอบแสงสว่างให้กับผู้คนมากมายเปรียบดั่งตัวเธอเอง ในคราวแรกๆนั้นเทพทั้งสองไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่าการเป็นผู้ที่มีหน้าที่อย่างเดียวกันและเพื่อนที่ดีต่อกันหากแต่วันเวลานั้นย่อมเปลี่ยนผู้คนได้เสมอ
.................
........................
.............................
"ท่านเทพแห่งตะวันคะ ในเมืองเป็นเช่นไรบ้าง"เสียงใสถาม ชายหนุ่มที่ถูกเรียกหันกลับมาพร้อมตอบด้วยรอยยิ้ม
"ทุกอย่างยังคงเรียบร้อยดีครับ ท่านเทพีแห่งแสงสว่าง"
"ดีจังนะคะที่ทุกสิ่งยังคงเป็นเฉกเช่นทุกวัน"หญิงสาวยิ้มอย่างไร้เดียงสา ทำให้ชายหนุ่มคลี่ยิ้มบางๆแล้วเอ่ยชวนเธอ
"เราไปเดินเล่นกันไหมครับ"
"ค่ะ ไปสิคะ"หญิงสาวตอบตกลงพร้อมกับรอยยิ้มงามที่ระบายออกมา
ชายหนุ่มและหญิงสาวผู้มีนามที่คล้ายคลึงกันเดินออกจากคฤหาสน์หลังใหญ่มายังบนถนนหินอ่อนสีออกเทา เท้าทั้งสองคู่ก้าวไปได้ไม่นานก็มีเด็กๆทั้งชายและหญิงวิ่งกรูเข้ามาหาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มไร้เดียงสา
"ท่านเทพแห่งตะวันกับท่านเทพีแห่งแสงสว่างมาทำอะไรกันที่นี่เหรอฮะ"เด็กชายผมดำถามขึ้นเป็นคนแรกพร้อมใช้ดวงตาสีน้ำเงินกลมโตมองมายังทั้งสอง
"ข้ามาเดินเล่นน่ะ"เทพหนุ่มเป็นฝ่ายตอบในขณะที่เทพฝ่ายหญิงกำลังก้มลงลูบหัวเด็กๆ
"งั้นก็แสดงว่าพวกท่านก็มีเวลาเล่นกับพวกหนูสิคะ"คราวนี้เด็กหญิงผมสีน้ำตาลที่เธอกำลังลูบหัวอยูก็ถามพร้อมด้วยดวงตาสีดำขลับวาววับ
"ได้แน่นอนจ้ะ"หญิงงามยิ้มรับและตอบตกลง พวกเด็กๆจึงไม่รอช้ารีบจูงมือทั้งสองคนไปยังอุทยานบุปผา
ที่แห่งนั้นเด็กๆก็แยกย้ายกันไปเล่น เด็กผู้ชายก็ปีนป่ายต้นไม้วิ่งกระโดดโลดเต้นไปมาตามประสาเด็กชายโดยมีชายหนุ่มนามเทพแห่งตะวันยืนมองเด็กๆที่ปีนป่ายต้นไม้เผื่อว่าจะเกิดอันตราย แต่บางทีเขาก็หันไปอุ้มเด็กๆขึ้นไปบนต้นไม้บ้างส่วนเด็กผู้หญิงก็มานั่งร้อยมงกุฏดอกไม้หลากสีสันกับเทพีแห่งแสงสว่าง
"ไม่ใช่อย่างนั้นนะจ้ะ ต้องอย่างนี้จ้ะ ใช่แล้วเก่งมากจ้ะ"
"ตรงนั้นน่ะระวังนะเดี๋ยวจะบาดเจ็บ"
ชายหนุ่มและหญิงสาวมองเด็กๆที่เล่นกันอย่างสนุกสนานด้วยรอยยิ้มน้อยๆที่เปี่ยมสุข ขณะชายหนุ่มที่หันหลังอยู่ก็รู้สึกว่ามีอะไรมาวางคล้องไว้บนศีรษะมือนั้นเอื้อมขึ้นไปจับพร้อมหันกลับไปพบกับเธอที่วางสิ่งนั้นบนศีรษะของเขา
"ท่านเทพีแห่งแสงสว่าง!"น้ำเสียงแฝงไปด้วยความตกใจระคนเขินนิดๆเมื่อเธอเองก็สวมมงกุฏดอกไม้เหมือนเขา
"เหมาะดีนะคะ"คำชมของเธอทำให้เขาหน้าขึ้นสีเล็กน้อย เธอคนนั้นหัวเราะเบาๆอย่างนึกขบขันพอหญิงสาวหัวเราะเขาก็รู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา
"ว้าว! เหมือนกับพิธีแต่งงานเลย"คำพูดอันไร้เดียงสาของเด็กหญิงตัวน้อยๆที่เอ่ยออกมาทำให้คราวนี้หญิงงามถึงกับหน้าแดงบ้าง
"แหม..."เสียงอุทานเบาๆถูกเปรยออกมาด้วยท่าทีเขินๆซึ่งตอนนี้ใบหหน้าของเธอดูน่ารักเป็นที่สุด
ทว่าพอยืนได้ไม่นานก็มีเด็กชายตัวเล็กๆวิ่งมาหาทั้งสอง เด็กสามคนมีหน้าตาที่ตกใจไม่น้อยเลยทีเดียวทำให้เธอและเขานึกสงสัย
"ท่านเทพแห่งตะวันฮะ!"ร่างสูงหันไปตามเสียงเรียกและเอ่ยถาม
"มีอะไรเหรอ"เมื่อเขาไล่เลียงสายตามองดูที่มือเล็กๆนั้นก็พบกับนกตัวเล็กๆสีฟ้าเข้มนอนแน่นิ่งอยู่ นิ้วใหญ่ลองเขี่ยร่างนั้นดูแต่มันก็ไม่ขยับแม้แต่น้อยซึ่งบ่งบอกได้ว่ามันมิได้มีชีวิตอีกแล้ว
"ท่านเทพแห่งตะวันช่วยทำให้มันฟื้นขึ้นมาได้ไหมครับ"เด็กน้อยถามใขณะที่ในมือยังโอบอุ้มนกน้อยไว้ เขาทำหน้าเศร้าๆก่อนบอกว่า
"ขอโทษด้วยนะ แม้ว่าข้าจะเป็นเทพแห่งตะวันแต่ข้าก็ไม่อาจทำให้นกตัวนี้กลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง"
"ทำไมล่ะฮะ"เขาหรี่ดวงตาลงเล็กน้อยแล้วตอบว่า
"ฟังนะทุกสิ่งทุกอย่างมีเกิดก็ย่อมมีการดับสลายไม่มีใครหนีโชคชะตาอันนี้พ้นไม่ว่าจะเป็นนกตัวนี้ พวกเจ้าหรือแม้แต่...ตัวข้าเอง"ท้ายประโยคที่เขาเอ่ยออกมาหญิงสาวรู้สึกได้ว่าเสียงนั้นแผ่วเบาลงแต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
"แต่พวกผมไม่อยากตายนี่ฮะ"เด็กน้อยพูดด้วยท่าทีหวาดกลัว เวลานั้นมือที่เรียวบางและอ่อนโยนก็เข้าสวมกวดเด็กคนนั้นเอาไว้
"ไม่ได้หรอกจ้ะ พวกเราทุกคนเกิดมาก็ต้องตาย แต่ว่าก่อนจะตายนั้นก็ขอให้จงใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าและมีความสุขเพื่อไม่ให้ต้องเสียใจภายหลังนะจ้ะ"
"แล้วท่านเทพีแห่งแสงสว่างก็ต้องตายด้วยเหรอคะ"เด็กผู้หญิงถามบ้าง
"จ้ะ แม้ข้าจะมีชีวิตที่ยืนยาวกว่าพวกเจ้าเพียงใดแต่ตัวข้าเองก็ย่อมต้องมีวันที่ดับสลายเช่นเดียวกัน"
"แล้วท่านไม่กลัวเหรอคะ"เธอยิ้มอ่อนโยนแล้วตอบว่า
"ข้าไม่กลัวความตาย เพราะว่าความตายนั้นไม่ใช่จุดจบแต่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของบางสิ่งบางอย่างก็ได้"
"แล้วถ้าพวกหนูตายล่ะคะ"
"เมื่อวั้นนั้นมาถึงข้าจะร้องไห้ให้กับพวกเจ้าและจะเก็บความทรงจำของข้าและพวกเจ้าไว้ในใจตลอดไปจนกว่าจะถึงวันที่ข้าดับสลาย"สิ้นเสียงเธอก็ทำหน้าเศร้าๆก่อนจะร้องเพลงด้วยเสียงหวานอันไพเราะ
" เฝ้ามองเหล่าเด็กน้อยเรื่อยไป
หัวใจของชั้นส่งยิ้มให้
หากมีวันที่ลาจาก
น้ำตาก็รินไหลดั่งสายธาร
เนตรนี้สะท้อนถึงความเศร้า
แม้นรู้ถึงความหมายของมัน
แต่แม้รู้ดีเพียงใด
ใจดวงนี้ขอร่ำไห้เพื่อเธอ
รอยยิ้มที่เธอมอบให้
ขอจดจำมันเข้าสู่ห้วงความฝัน
เวลานี้ไม่ว่าจะเศ้ราเพียงใด
จะขอมองมันในฝันนั้นต่อไป
เนตรนี้สะท้อนถึงความเศร้า
แม้นรู้ถึงความหมายของมัน
แต่แม้รู้ดีเพียงใด
ใจดวงนี้ขอร่ำไห้เพื่อเธอ
ขอจดจำช่วงเวลานั้นดุจนิรันดร์..."
บทเพลงที่ร้อยเรียงออกมาจากใจจริงนั้นดังกึกก้องในใจของเด็กน้อยรวมทั้งชายหนุ่มด้วย เพลงที่แสนเศร้าหากแต่เข้มแข็งนี้ทำให้น้ำตาของเขารินไหลออกมาอย่าไม่รู้ตัว เมื่อบทเพลงนั้นจบลงเขาใช้มือปาดน้ำตาทิ้งและมองเธอด้วยความรู้สึกที่ต่างออกไปจากแรกเริ่มเดิมที
"พวกเจ้าเมื่อมีใครที่จากไปก็จงอย่าได้ลืมคนๆนั้นนะจ้ะ"เสียงที่อ่อนโยนและใบหน้าที่ยิ้มละมุนทำให้พวกเด็กๆรู้สึกได้ถึงความอ่อนโยน
"ครับ/ค่ะ"เด็กๆตอบรับสั้นๆแล้วเท้าเล็กๆก็วิ่งไปที่ต้นแอปเปิ้ลต้นใหญ่ เด็กชายหากิ่งไม้ขุดดินขึ้นและหย่อนร่างเล็กๆนั้นลงไปจากนั้นก็เอาดินกลบ เด็กหญิงหาเอามงกุฏดอกไม้ที่ตั้งใจทำมาประดับหลุมศพนั้น
"พวกเราจะไม่ลืมเจ้าเลยนะ"ทุกๆคนกล่าวพร้อมกันอย่างจริงจัง
"นี่ก็ใกล้จะค่ำแล้วพวกเจ้ารีบกลับกันดีกว่านะ"เทพแห่งตะวันมองเมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ดวงอาทิตย์ลาลับไปแล้วพอควร
"ครับ/ค่ะ"อีกครั้งที่เด็กๆตอบพร้อมกันและพร้อมใจกันวิ่งออกไปก่อน จนในที่สุดอุทยานแห่งนี้ก็เหลือเพียงเขาและเธอยืนอยู่
"พวกเราเองก็กลับกันบ้างดีกว่านะคะ"เธอพูดและเริ่มก้าวขาไปข้างหน้าหากแต่ชายหนุ่มยังคงยืนนิ่งอยู่แล้วเริ่มต้นคำถามที่ทำให้เธอต้องรู้สึกประหลาดใจ
"ท่านเทพีแห่งแสงสว่างถ้าหากว่า...เมื่อข้าดับสลายไปแล้วท่านจะร้องไห้เพื่อข้ารึเปล่า"
"...แน่นอนค่ะ"เธอยิ้มตอบแม้จะนึกสงสัยที่เขาถามเช่นนี้ก็ตาม ชายหนุ่มเมื่อได้ยินดังนี้ก็ยิ้มออกมา
"ขอบคุณ..."
"ไปกันเถอะค่ะ"แล้วร่างเล็กก็เดินนำไปก่อน โดยไม่ได้หันกลับมามองชายหนุ่มซึ่งกำลังก้มลงมองมือของตนเอง ชั่ววินาทีหนึ่งมือของเขาก็ราวกับจะเลือนหายไป
"...ข้าเองก็ได้เวลาแล้วสินะ"คำรำพึงนั้นเอ่ยออกมาเบาๆโดยที่หญิงสาวไม่ทันได้ยินแล้วเขาก็เดินตามเธอไป
-------------------------
หลังจากวันนั้นชายหนุ่มและหญิงสาวก็เริ่มมองกันและกันมากกว่าความเป็นเพื่อน ยิ่งได้พบได้พูดคุยความรักก็ก่อตัวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติโดยที่เธอไม่ได้รู้เลยว่าความรู้สึกนี้จะกลับมาทำร้ายเธอเอง ในวั้นนั้นเธอกำลังเดินอยู่ในคฤหาสน์เฉกเช่นทุกวันเพียงแต่ว่าไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็ไม่ได้พบกับเข่คนนั้นที่เธอกำลังต้องการจะพบ
"ท่านเทพแห่งตะวัน ท่านอยู่ที่ใดกันนะ"เสียงหวานเปรยออกมาเมื่อไม่พบเขา แต่แล้วเธอก็ได้พบกับใครคนหนึ่ง
"ท่านเทพีแห่งแสงสว่าง!"ร่างบางหันกลับไปตามเสียงเรียกก็พบกับคนผู้หนึ่งที่เธอรู้จัก
"ท่านเองหรือ มีเรื่องอันใดหรือคะ"
"คือว่า....ข้ามีเรื่องจะบอกท่าน"
"เรื่องอันใดหรือคะ"หญิงสาวถามด้วยใจคอที่ไม่ค่อยดีเมื่อเห็นท่าทางของคนที่กำลังจะบอกเธอ
"ความจริงแล้ว..ท่านเทพแห่งตะวันห้ามมิให้ข้าบอกท่าน แต่ว่า..ข้าต้องพูด คือว่า..."ยิ่งคำพูดนั้นกระอักกระอ่วนยิ่งทำให้เธอรู้สึกหวั่นและเมื่อสิ่งนั้นได้ถูกกกล่าวออกมาก็ราวกับตอกย้ำความรู้สึกนั้น
"คือว่า..วันนี้คือวันที่ท่านเทพแห่งตะวันต้องดับสลาย"เมื่อได้สดับคำๆนั้นเธอแทบจะไม่เชื่อหูตนเอง ทว่าเหตุการณ์ในวันนั้นวันที่เธอและเขาพูดคุยกันที่อุทยาน
'ท่านเทพีแห่งแสงสว่างถ้าหากว่า...เมื่อข้าดับสลายไปแล้วท่านจะร้องไห้เพื่อข้ารึเปล่า'คำพูดนี้ย้อนกลับมาอีกคราทำให้เธอรีบวิ่งออกไปจากคฤหสน์นี้อย่างรวดเร็ว เธอรู้ดีว่าเขาจะไปที่ใดเพราะว่ามันมีอยู่เพียงที่เดียวเท่านั้น
ณ อุทยานบุปผา
แสงอาทิตย์ยามเย็นฉาบฉายบนพื้นอิฐบล็อกสีน้ำตาลแดง รั้วสีเงินส่องประกายแวววาวสายลมอ่อนๆพัดไปมาที่ทุ่งดอกกุหลาบสีขาวซึ่งตอนนี้ดูราวกับดอกพรีมโรสเพราะสีของแสงอาทิตย์ ที่ทุ่งกุหลาบนั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ดวงตานั้นดูเลื่อนลอยราวกับไร้ชีวิตชีวาแต่แล้วเสียงหนึ่งก็ได้เรียกเขา
"ท่านเทพแห่งตะวัน!"ชายหนุ่มได้ประจักษ์ว่าหญิงสาวได้มาอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางที่หอบรวยริน เหงื่อเม็ดเล็กๆติดอยู่บนใบหน้างามยิ่งไปกว่านั้นดวงตาของเธอเหมือนกับจะร้องไห้
"ท่านเทพีแห่งแสงสว่าง..."เสียงของเขาฟังดูอ่อนแรงและขาดหาย
"เรื่องที่ว่าท่านจะดับสลาย...เป็นเรื่องจริงงั้นหรือคะ"เขาพยักหน้าแทนคำตอบซึ่งสิ่งนั้นได้เรียกน้ำตาที่เขาไม่เคยเห็นจากเธอมาก่อน
"ไม่นะ!"และเธอก็ต้องทำให้เขาตกใจเมื่อมืออันบอบบางนั้นได้เข้าสวมกอดเขาอย่างแนบแน่น มือใหญ่ยกขึ้นมากอดเธอตอบราวกับปลอบใจ
"ไม่นะ..ขอร้องได้โปรดอย่าหายไป"เขาระบายยิ้มเศร้าและพูดเรื่องที่เธอเคยกล่าวไว้ขึ้นมา
"ท่านเทพีแห่งแสงสว่างท่านเคยพูดไม่ใช่หรือว่ามีเกิดก็ย่อมมีดับสลายไม่มีใครหนีชะตานี้พ้นและบัดนี้ก็ถึงเวลาของข้าแล้ว"
"แต่ว่าข้าไม่อยากจากกับท่าน..ข้า..ข้า..."เธอไม่สามารถพูดออกไปได้ความเสียใจนั้นถาโถมเข้าหาจิตใจของเธอ นึกสมเพชตัวเองที่ตอนนั้นสามารถพูดได้หากแต่เวลานี้กลับยอมรับมันไม่ได้ ชายหนุ่มมองใบหน้าที่เปื้อนน้ำตามือที่เคยสวมกอดกลับมาเชยคางเธอขึ้นให้ดวงตาของเธอกับเขาประสานกัน ไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไรต่อหญิงสาวก็ได้รับรสสัมผัสอันอ่อนนุ่มและอ่อนโยนที่ริมฝีปาก จุมพิตที่เขามอบให้นั้นทำให้เธอต้องหลับตาลงด้วยเนตรที่รื้นน้ำใสยามเมื่อริมฝีปากนั้นได้ละออกไปร่างของเขาที่เธอโอบกอดอยู่ก็ค่อยๆเลือนหายไปทีละนิด
"ลาก่อนนะ แล้วซักวันข้าจะต้องกลับมาจนกว่าจะถึงวันนั้นได้โปรดรอข้าได้ไหม"เธอเงยหน้ามองใบหน้าที่มีรอยยิ้มเศร้าด้วยดวงตาที่สะท้อนความรู้สึกเดียวกัน
"..ค่ะ ข้าจะรอท่านจะรอตลอดไป"
"ขอบคุณ..."คำขอบคุณเบาๆถูกเอ่ยออกมาก่อนที่ร่างนั้นจะค่อยๆสลายหายไปจากอ้อมกอดอันอบอุ่น เศษเสี้ยวที่ส่องประกายลอยล่องสู่เวิ้งฟ้าที่ทอดยาวดุจนิรันดร์
----------------------------
"นับจากวันนั้นเป็นต้นมานครแห่งนี้ก็ไม่มีเทพแห่งตะวันอีกต่อไป"เมื่อสิ้นเสียงที่หญิงสาวผมสีซากุระเล่า เจ้าของเนตรสีไวโอเล็ตที่จับจ้องเธออยู่ก็ถามขึ้น
"แล้วเทพีแห่งแสงสว่างล่ะครับ"เขาสังเกตว่าเธอหลบนัยน์ตาเขา
"ว่ากันว่าเธอยังคงรอคอยคนรักอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งของนครแห่งนี้รอมาตลอดไปไม่ว่าจะนานเพียงใดและไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นก็ตาม"ในชั่ววินาทีที่เธอกล่าวออกมาเขาก็หวนนึกถึงหญิงสาวผมสีกุหลาบผู้มีดวงตาที่เศร้าหมองเสมอ
'หรือว่าจะเป็นเธอ...เฟรย์'เขาคิดอยู่ในใจแต่ไม่ได้พูดออกไป
"และยังมีบทเพลงหนึ่งที่เล่าขานกันต่อมา"สิ่งนี้เรียกความสนใจให้เขาไม่น้อยเลยทีเดียว
"บทเพลง..งั้นหรือครับ"ชายหนุ่มทวนถึงสิ่งที่ได้ยินจากเธอ
"ค่ะ บทเพลงของท่านเทพีแห่งแสงสว่าง"และเมื่อกล่าวถึงบทเพลงเขาก็คิดถึงเจ้าของผมสีกุหลาบอีกครั้ง เธอมักจะร้องเพลงที่ไพเราะและเศร้าสร้อยเสมอทำให้เขาเริ่มคิดแล้วว่าเธอคนนั้นคือใครที่เขาคิดรึเปล่า
"แล้วท่านรู้จักบทเพลงนั้นหรือเปล่าครับ"
"ค่ะ...จะให้ข้าร้องให้ฟังไหม"เขาพยักหน้าแทนคำตอบทำให้เธอเริ่มร้องเพลงด้วยเสียงหวานใส
" ยามราตรีกาลมืดมิดโดดเดี่ยว
สายลมอ่อนๆที่พัดมา
ได้ยินเสียงกระซิบของเธอดังแว่วมา
น้ำตาเอ่อล้นออกมาเมื่อคนึงถึงเธอ
ยิ่งคิดเพียงใดยิ่งเศร้าเพียงนั้น
เมื่อนึกถึงคราที่เราจากกัน
รอยยิ้มของเธอไม่เคยเลือนหายไปจากใจ
แม้กาลเวลาแปรเปลี่ยนสักเพียงใด
เอื้อนเอ่ยถ้อยคำรักออกมาเบาๆ
โอบกอดเธอในความทรงจำ
แม้อ้อมกอดนี้จะมีแต่ความว่างเปล่า
รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวในใจ
เมื่อข้างกายนี้ไร้เธอคู่เคียง
ดวงดาวพราวพรายแสงจันทร์ส่องสว่าง
ราวปลอบโยนฉันผู้ไม่มีเธอ
ท่ามกลางราตรีที่มีเพียงความเดียวดาย
รอยยิ้มของเธอไม่เคยเลือนหายไปจากใจ
แม้กาลเวลาแปรเปลี่ยนสักเพียงใด
เอื้อนเอ่ยถ้อยคำรักออกมาเบาๆ
เอนกายลงบนผืนฟ้าที่มืดมิด
ฝากใจไว้กับห้วงเวลานี้
แย้มรอยยิ้มออกมาแม้จะเดียวดายก็ตาม
ยังคงรอวันที่เธอหวนกลับคืนมา..."
เมื่อบทเพลงนั้นร้อยเรียงเป็นถ้อยคำออกมาหยดน้ำใสกลับไหลรินอกมาจากเนตรสีไวโอเล็ตอันสุกสว่างยิ่งฟังความรู้สึกเศร้ายิ่งโถมกระหน่ำเข้ามาบทเพลงนี้เทพีแห่งแสงสว่างร้องเพื่อคนที่เธอรักทว่าทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเพลงนี้ร้องเพื่อเขาเท่านั้นทั้งที่เขาเพิ่งเคยมาที่นี่และแล้วก่อนที่เขาจะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ก็มีความรู้สึกบางอย่างแทรกเข้ามา ทันที่บทเพลงนั้นจบลงเนตรฟ้าครามก็หันมาหาเขาทำให้รู้ว่าเขาร้องไห้อยู่ ดวงตาของเขาทอประกายที่ต่างไปจากเดิม
"ท่านคิระ!ท่านเป็นอะไรไป"ชายหนุ่มไม่ตอบแต่โผเข้าสวมกอดเธอเอาไว้
"ท่านคิระ"
"ผมขอโทษ...."คำกล่าวนั้นทำให้อัญมณีสีครามเบิกกว้าง
"ท่านคิระ...นี่ท่าน"ยังไม่ทันที่เธอจะกล่าวจบชายหนุ่มดวงตาของชายหนุ่มก็กลับมาเหมือนเดิม
"นี่ผม..เป็นอะไรไป อ้ะ!ขอโทษครับ"เมื่อเขารู้ตัวว่ากำลังกอดเธออยู่ทำให้ใบหน้านั้นขึ้นสีและรีบผละออกจากเธอด้วยความรวดเร็ว
"ไม่เป็นไรค่ะ เรากลับกันเถอะนะคะ"หญิงสาวบอกพลางหลบตาเขา
"อะ..ครับ"แล้วเขาก็หันหลังให้เธอพร้อมทำท่าจะเดิน ทว่าก่อนที่เธอจะไปจิตใจของหญิงสาวก็หวนนึกถึงตอนที่เขาสวมกอดเธออย่างไม่รู้ตัว
"ท่านคือคนๆนั้นงั้นหรือ ท่านคิระ"แล้วสายลมก็พัดโถมเข้ามาทำให้ผมสีซากุระยาวสยายนั้นไปปลิวไสวเนตรสีครามเงยขึ้นมองท้องนภาสีเดียวกับนัยน์ตาก่อนที่จะสาวเท้าออกจากที่แห่งนี้...
#############################
ฮือๆยังมีคนอ่านมั้ยเนี่ยเม้นต์กันทีเถอะขอร้อง
ความคิดเห็น