ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fanfic G Seed&Destiny]เทพีแห่งความรักผู้โดดเดี่ยว

    ลำดับตอนที่ #8 : หยดน้ำที่เป็นดั่งสายฝน

    • อัปเดตล่าสุด 5 มี.ค. 49


    Phase 8 หยดน้ำที่เป็นดั่งสายฝน

    ความหลังอันแสนหวานที่ทำให้เธอที่ควรจะเศร้าใจยิ้มได้อย่างมีความสุขเพียงเพราะเชื่อเขาคนนั้น หากแต่ยามนี้สิ่งที่เคยทำให้เธอยิ้มได้กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เธอต้องร่ำไห้ ยามนี้เมื่อเจ้าของความทรงจำนั้นได้รำลึกถึงมันด้วยความรู้สึกที่ต่างไปจากเดิม ริมฝีปากบางรำพันชื่อชายคนรักอย่างเศร้าๆ

    "ท่านดิอัคก้า...ข้าคงไม่มีความสำคัญจริงๆสินะ เพราะท่านเองก็ลืมสิ่งนั้นไปแล้วสร้อยที่ท่านมอบให้ข้าด้วยมือท่านเอง แต่ท่านกลับบอกว่ามันเป็นสร้อยห่วยๆ ข้าน่าจะรู้ตัวมาตั้งนานแล้วว่าคนที่เป็นเพียงหยาดน้ำค้างของสายฝนไม่มีค่าพอที่จะมีใครมารัก ไม่มีความสำคัญสำหรับใครๆทั้งสิ้น ข้านี่..ช่างโง่จริงๆ..."คำพูดที่ยิ่งพูดก็ยิ่งทำร้ายตนเองนั้นถูกระบายออกมาเรื่อยๆหากแต่ไม่มีใครรับฟังมัน ริมฝีปากสั่นระริกเล็กน้อยราวกับอยากจะตะโกนมันออกมา เพียงแต่ด้วยความอ่อนเพลียทำให้เธอนั้นถึงกับหลับไป

    มิลิอาเลียหญิงสาวที่มีรอยยิ้มอยู่เสมอโดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าเธอแบกรับความรู้สึกที่บอกใครไม่ได้ไว้ แม้เธอจะเป็นเทพแต่ก็เป็นเพียงแค่เทพรับใช้ไม่เหมือนกับดิอัคก้า ลักซ์หรือคนอื่นๆที่เป็นเทพชั้นสูง เพราะงั้นจึงมีน้อยคนนักที่จะมาคอยเอาใจใส่ผู้ที่มารับใช้ตนเอง เธอเองก็รู้ตัวดีว่าไม่คู่ควรกับเขาหากแต่ความรู้สึกรักนั้นมันห้ามกันไม่ได้ แม้เขาจะเป็นเทพสายฟ้าก็ตาม...

    เวลาผ่านเรื่อยๆจนกระทั่งดวงตะวันได้คล้อยต่ำลงจนหายลับไปจากฟ้าเนตรฟ้าใสของหญิงสาวร่างเล็กบนเตียงสีขาวก็ปรือขึ้นมา เจ้าของดวงเนตรนั้นรู้สึกเจ็บช้ำที่แถวรอบดวงตาที่มีรอยบวมแดงเล็กน้อยร่างบางลุกขึ้นมองออกไปข้างนอกอย่างเหม่อลอย หยดน้ำสีฟ้าที่เคยสดใสกลับหม่นหมองลงจนดูราวกับเป็นคนละคนกับมิลิอาเลียผู้ร่างเริงคนนั้นเสียเหลือเกิน มือเรียวบางถูกยกขึ้นมาเช็ดคราบน้ำตาอย่างแผ่วเบาก่อนที่เธอจะลุกจากเตียงไปที่อ่างล้างหน้าซึ่งวางอยู่ข้างเตียง เมื่อใบหน้าของเธอถูกสะท้อนขึ้นมาก็ทำให้เธอถึงกับเอ่ยออกมาเบาๆ

    "หน้าของเรานี่ดูไม่ได้เลยนะ..."

    ------------------------------

    ชายหนุ่มผิวเข้มที่อยู่หน้าห้องของเธอได้ยินเสียงร้องไห้แผ่วเบาไปก็พอจะรู้ว่าเธอคงหลับไปแล้วแต่เขาก็ยังไม่อาจไปจากตรงนี้ได้ ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาในจิตใจ ทำไมเขาถึงไม่เชื่อใจเธอ...ทำไมเขาถึงไม่หัดใจเย็นกว่านี้...แล้วทำไมถึงได้ลืมสิ่งสำคัญที่ตนเองมอบให้เธอไป

    "มิลี่นี่เจ้ายังเก็บมันไว้อยู่อีกเหรอ ทั้งที่ข้ากลับลืมมันไปแล้วแท้ๆ ข้านี่มันแย่จริงๆแล้วอย่างนี้ข้าจะยังมีคุณสมบัติที่จะรักเจ้าต่อไปอีกหรือ หรือว่ามันจะจบลงแค่นี้...ไม่สิข้ายังไม่เคยเริ่มมันขึ้นมาด้วยซ้ำไป ข้ายังไม่เคย...บอกรักเจ้าแม้แต่ครั้งเดียว"ขณะที่ชายหนุ่มรำพึงรำพันกลับตนเองเสียงอันหวานใสและคุ้นหูก็ดังขึ้นมา

    "ท่านดิอัคก้ามาทำอะไรที่ตรงนี้หรือคะ"เมื่อดวงตาสีองุ่นหันกลับไปก็พบกับหญิงสาวร่างบางที่ปล่อยสยายผมสีซากุระไว้ซึ่งไม่น่าแปลกในเวลานี้เท่าไหร่

    "คือว่าข้า..."และแล้วเรื่องราวทั้งหมดก็ถูกเล่าผ่านเสียงห้าวซึ่งตอนนี้แหบพร่าของเขา หญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าเองก็รับฟังอย่างตั้งใจ

    "นี่ข้าควรจะทำอย่างไรดี นางคงจะต้องไม่รักข้าแล้วแน่ๆเพราะคนที่หักหลังความเชื่อมั่นของนางก็คือข้าเองแล้วข้ายังทำให้นางต้องร้องไห้อีก"ปัญหาทั้งหลายพรั่งพรูออกมาอย่างไม่รู้ตัว เจ้าของเนตรสีครามนิ่งฟังก่อนจะกล่าวออกมา

    "ท่านดิอัคก้าท่านคิดว่าความรักเป็นอย่างไร...."

    "ความรัก....."ชายหนุ่มทวนคำอย่างแผ่วเบาด้วยความสงสัยเล็กน้อย

    "สำหรับข้าความรักคือการที่เราได้อยู่กับคนที่เห็นว่าเราสำคัญและเราก็เห็นว่าคนๆนั้นสำคัญ มิลิอาเลียก็คงคิดเช่นนี้ สำหรับมิลิอาเลียแล้วท่านคือคนสำคัญที่พรากจากไป หากแต่เธอยังคงเชื่อมั่นว่าต้องได้พบกับท่านอีกครั้ง เธอถึงได้รอคอยมาตลอดรอคอยท่านพร้อมกับคำตอบของท่าน..."

    "คำตอบงั้นหรือ..แต่ข้ายังมีคุณสมบัติที่จะรักนางอีกหรือ"คำถามนี้ถูกยกขึ้นมา เจ้าของเสียงหวานยิ้มบางๆก่อนตอบออกมา

    "ความรักนั้นไม่จำเป็นต้องมีคุณสมบัติหรือสิ่งใดๆทั้งสิ้น ขอเพียงเชื่อมั่นในตัวของกันและกันแค่นั้นก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ"เวลานั้นราวกับมีแสงสว่างผุดขึ้นมาภายในใจ แต่ความมืดนั้นก็ยังคงไม่หมดลง

    "...แต่นางจะยอมฟังข้าหรือ"หญิงสาวนามลักซ์ ไคลน์ยิ้มอ่อนโยนอีกครั้งราวกับปลอบเขา

    "ขอโทษนางสิแค่คำๆเดียวเท่านั้น แล้วจากนั้นก็จงบอกความรู้สึกที่มีต่อนางแค่นั้นก็พอเพียงแล้ว"ยิ่งได้ฟังเขาก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นเธอเบื้องหน้าเขาช่างราวกับแสงสว่างก็ไม่ปาน

    "ขอบคุณมาก ท่านลักซ์"เธอส่ายหน้าช้าๆก่อนเอ่ยออกมา

    "ไม่เป็นไรข้าก็แค่อยากให้ทุกคนมีความสุข..."และแล้วภาพบางอย่างก็ผุดขึ้นมา ภาพนั้นคือหญิงสาวผมสีซากุระกำลังกอดเสื้อผ้าของใครบางคนอยู่พร้อมกับน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาจากเนตรฟ้าคราม

    'ใช่แล้ว ข้าอยากจะให้ทุกคนมีความสุขอย่าได้เป็นอย่างข้าเลย'ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นชายหนุ่มก็พูดขัดขึ้นมา

    "ท่านลักซ์ ท่านเป็นอะไรไป"เขาถามด้วยความเป็นห่วงปนสงสัยเพราะในประโยคสุดท้ายนั้นไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองรึไม่ว่าเสียงของหญิงสาวนั้นแผ่วเบาไปเล็กน้อย

    "เปล่า ไม่มีอะไร ข้าขอตัวก่อนนะ"เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มแบบเดิมก่อนที่จะหันหลังเดินจากไป"

    "คำตอบงั้นเหรอ...."เขาทวนคำนั้นอย่างเบาก่อนจะยิ้มเศร้าๆให้ตัวเองแล้วค่อยผ่อนคลายแรงที่ขาจนกระทั่งนั่งลงไปที่ข้างประตู

    "จริงสิเรายังไม่เคยบอกเธอซักครั้งเลยนี่นา เราปล่อยให้เธอรอมามากแล้วคราวนี้แหละที่เราจะเป็นฝ่ายรอเธอบ้าง"เขาเอ่ยออกมาด้วยใจที่มีความหวัง หวังว่าเธอจะยกโทษให้กับเขาและตอนนี้เขาก็พร้อมแล้วที่จะบอกความในใจกับเธอเพื่อที่จะเริ่มต้นมันขึ้น เริ่มต้นความสัมพันธ์ของเขาและเธอ

    ------------------------------

    ภายในห้องสาวร่างบางเช็ดใบหน้าที่หมองมัวและเปื้อนน้ำด้วยผ้าสีสะอาดตาพร้อมเยื้องกายไปที่โต๊ะเครื่องแป้งสีน้ำตาลเงา พร้อมหย่อนตัวลงบนเก้าอี้สีเดียวกับโต๊ะที่ไร้พนักพิง มือบางหยิบหวีขึ้นมาสางผมสั้นสีน้ำตาลอ่อนเบาๆเพื่อให้มันเข้าทรง ขณะที่ดูภาพใบหน้าของตนเองในกระจกแก้วเธอห็หวนคิดถึงเขาอีกครั้ง

    'นี่เวลาผ่านไปเท่าไรแล้วนะ ป่านนี้ท่านดิอัคก้าคงจะ...'โอปอลฟ้าใสรู้สึกเหมือนจะมีน้ำตาอุ่นไหลออกมาอีกครา เจ้าของอัญมณีคู่งามนั้นรีบหยุดความคิดของตนโดยพลัน

    "อยู่แต่ในห้องก็รังแต่จะรู้สึกเศร้ามากขึ้นลองไปเดินเล่นคงจะดีขึ้นบ้าง"ว่าแล้วหญิงสาวก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้สาวเท้าไปที่ประตู แต่ขณะนั้นเธอก็นึกถึงอะไรบางอย่างได้เธอเดินกลับไปที่เตียงและหยิบสิ่งนั้นขึ้นมา สร้อยอันแสนสำคัญที่เธอแสนรักและหวงแหนยิ่งกว่าสิ่งใดๆ แม้กระนั้นเธอกลับไม่สามารถนำมันมาสวมไว้เหมือนดังเดิมได้จึงได้แต่กุมมันไว้และเดินออกจากห้องไป

     แกร็ก...

    เสียงประตูไม้แง้มเบาๆแต่มันก็ดังพอที่จะทำให้ชายหนุ่มข้างประตูแหงนหน้าขึ้นจากพื้น เมื่อพบว่าหญิงสาวได้ออกมาจากห้องแล้วเขาก็เรียกเธออย่างลืมตัว

    "มิลี่.."

    "!"เธอรู้สึกตกใจที่ยังพบว่าชายหนุ่มยังคงรออยู่ที่หน้าห้องของเธอ ขณะที่เธอกำลังจะวิ่งหนีอีกครั้งมืออันแข็งแกร่งก็ได้ฉุดรั้งเธอไว้

    "อย่าหนีอีกเลยนะ..."เสียงที่เอ่ยออกมานั้นทั้งเบาและแหบพร่าอย่างเห็นได้ชัด

    "ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย..."เธอไม่ตอบได้แต่พยักหน้ารับแล้วทั้งคู่ก็เดินผ่านห้องโถงใหญ่ไปที่ข้างนอกซึ่งก็คือสวนเล็กๆ เมื่อมาถึงทั้งคู่ก็ยืนมองหน้ากันเล็กน้อยแล้วชายหนุ่มจึงเริ่มพูดขึ้น

    "มิลี่..คือข้า..."แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะได้กล่าวจนจบ เสียงเล็กๆก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน

    "ท่านดิอัคก้าข้าเองก็มีเรื่องจะบอกท่าน..."เธอสูดลมหายใจลึกก่อนที่จะเริ่มเอ่ยออกมา

    "พอเถอะค่ะ ท่านเลิกเห็นใจข้าเสียทีคนที่เป็นเพียงหยาดน้ำค้างของสายฝนทั้งปวงไม่มีค่าพอที่จะให้ท่านมาสนใจหรอกค่ะ ข้าไม่เคยคิดที่จะผูกมัดท่านไว้อยู่แล้ว เพราะงั้น..เพราะงั้น..."ชายหนุ่มยืนนิ่งฟังคำพูดของเธอด้วยใจที่เจ็บปวดไม่แพ้กัน คำแต่ละคำที่เอื้อนเอ่ยออกมานั้นได้ออกมาจากใจจริงแน่หรือ คำพูดแต่ละคำนั้นใช่สิ่งที่เธอต้องการจริงหรือ

    "มิลี่..."เสียงเขาเรียกหยิงสาวหากแต่เธอกลับกล่าวต่อไปว่า

    "พอเถอะค่ะ..พอเถอะได้โปรดหากไม่ได้รักก็อย่าได้ทำดีกับข้าอีกเลย"เธอตอบด้วยเสียงอันสั่นไหวคำๆนี้ที่ไม่ได้พูดออกไปกำลังทำให้ใจของเธอบอบช้ำ

    'ได้โปรดอย่าทำให้ข้ารักท่านไปมากกว่านี้อีกเลย'ประโยคนี้ที่สะท้อนอยู่ภายในใจทำให้เธอไม่สามารถที่จะกล่าวคำพูดใดๆออกมาได้อีกแล้ว เธอยืนร้องไห้อยู่เบื้องหน้าชายคนที่เธอรักโดยที่ไม่อาจจะห้ามน้ำตาไว้ได้อีกแล้ว ชายหนุ่มมองใบหน้าของเธอด้วยสายตาที่เศร้าหมองและแล้วมือของเขาก็ได้โอบกอดเธอไว้

    "ข้าขอโทษมิลี่..."คำๆนี้เพียงคำเดียวทำให้น้ำตาที่ไหลรินถึงกับหยุดชะงัก

    "..ท่านดิอัคก้า"เธอเรียกชื่อเขาด้วยความรู้สึกที่ต่างไปจากเดิม

    "ข้าขอโทษสำหรับทุกๆอย่าง..ขอโทษที่ปล่อยให้เจ้าต้องรอนาน..ขอโทษที่ข้าไม่เชื่อใจเจ้า..ขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องร้องไห้..ขอโทษสำหรับทุกๆอย่าง...แล้วตอนนี้ขอให้ข้าได้พูดได้ไหมความในใจของข้า"ไม่มีคำตอบจากร่างบางในอ้อมกอดชายหนุ่มจึงเอ่ยออกมาเอง

    "มิลี่ข้าไม่เคยทำดีกับเจ้าเพียงเพราะเห็นใจหรือสงสาร ข้าทำตามที่ใจของข้าปราถนา ตั้งแต่ครั้งแรกที่ข้าเห็นเจ้าข้าก็รู้สึกสนใจในตัวเจ้า หยดน้ำเล็กๆกลับดูบริสุทธิ์และสดใสอย่างไม่น่าเชื่อ รู้มั้ยว่าเจ้าไม่ได้เป็นเพียงหยดน้ำค้างหรอกนะแต่ถึงเจ้าจะคิดอย่างนั้นแต่รู้มั้ยว่าหยดน้ำค้างหยดเดียวอย่างเจ้ากลับมอบความมีชีวิตชีวาให้กับข้า ยิ่งเห็นเจ้ายิ้มข้าก็ยิ่งรู้สึกว่าอยากให้เจ้ามาอยู่เคียงข้าง แม้ว่าเจ้าจะไม่มีความสำคัญสำหรับใครแต่เจ้าก็มีความสำคัญสำหรับข้า"

    "ท่านดิอัคก้า.."เขาคลี่ยิ้มบางและเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจออกมา ตอนนี้เขาพร้อมแล้วที่จะบอกเธอ...

    "ข้ารักเจ้า"

    "!..."คำพูดที่เอ่ยออกมาจากใจจริงของชายผู้นี้ทำให้เธอพูดไม่ออกไม่สิไม่รู้ว่าจะพูดอะไรมากกว่าความรู้สึกดีใจนั้นเปี่ยมล้นอยู่ภายในใจของเธอ มือบอบางค่อยๆเคลื่อนขึ้นไปโอบเขาไว้

    "ขอบคุณค่ะ...ขอบคุณที่รักข้า"สายตาของชายหนุ่มมองลึกเข้าไปในแก้วสีฟ้าใสของหญิงสาว ใบหน้านั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ๆเจ้าของเนตรสีฟ้าหลับตาลงพร้อมซึมซับความรู้สึกนุ่มนวลและอ่อนโยนที่ประทับอยู่บนริมฝีปาก จูบนั้นประทับอยู่เนิ่นนานจนกระทั่งชายหนุ่มได้เคลื่อนริมฝีปากออก ทั้งสองยิ้มให้กันและกันก่อนที่หญิงสาวจะหยิบสิ่งหนึ่งที่เธอกำไว้ขึ้นมา

    "ท่านดิอัคก้า ท่านช่วยนำมันมาสวมไว้ให้ข้าอีกครั้งได้ไหม"

    "ได้สิ"มือใหญ่รับมันมาแล้วก็ค่อยๆบรรจงคล้องมันลงไปที่คอสีขาวนวลของเธออีกครั้ง เมื่อมันได้กลับไปอยู่ในที่เดิมแล้วชายหนุ่มก็ใช้นิ้วไล่เลียงไปบนใบหน้าที่ยังมีคราบน้ำตาเล็กน้อยอยู่

    "ข้าสัญญาว่าข้าจะไม่ทำให้เจ้าต้องเสียน้ำตาอีกครั้งแน่นอน"เธอพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ขณะที่ชายหนุ่มกำลังมองใบหน้าของหญิงสาวอยู่ก็มีเสยงดังขึ้นมาจากที่ใกล้ๆกัน ทำให้ทั้งคู่รีบรุดไปที่ห้องโถงทันทีซึ่งก็พบกับท่านหญิงลักซ์ ไคลน์และเกือบทุกคนในคฤหาสน์ยกเว้นพวกคิระและเฟรย์

    "ท่านลักซ์คะ!"มิลิอาเลียเรียกเจ้าหญิงผมสีซากุระด้วยเสียงที่ตื่นตกใจ โดยที่เจ้าของนามนั้นมีสีหน้าที่นิ่งเฉยริมฝีปากบางเอ่ยออกมาเรียบๆ

    "มาแล้วล่ะ"ไม่นานก็ปรากฏคู่หญิงชายคู่หนึ่ง ฝ่ายชายมีใบหน้าดูอ่อนเยาว์ท่าทางอายุน้อยกว่าหญิงคนแรก เขามีดวงตาสีคาเมลเส้นผมสีใบไม้ใส่เสื้อชุดกางเกงสีน้ำตาลแซมสีครีม ฝ่ายหญิงมีหน้าตาท่าทางเหมือนสาวสูงศักดิ์เส้นผมสีช็อกโกแล็ตถูกรวบสูง เธอมีดวงตาสีองุ่นเฉิดฉายราวกับอัณมณีน้ำงามเข้ากับเสื้อสีแดงเข้มสีเผยเนินไหล่ขาวกับกระโปรงยาวสีเขียวเข้ม

    "สวัสดีครับทุกคนไม่ได้พบกันซะนานนะครับ"เด็กหนุ่มผมสีใบไม้กล่าวทักทายอย่างสุภาพ

    "ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะ"คราวนี้หญิงสาวก็พูดขึ้นบ้างและหันไปหาชายผมเงินที่ยืนอยู่คนเดียว ชายหนุ่มผมสีเงินที่อยู่ตรงนั้นแอบยิ้มอยู่ในใจก่อนตอบกลับว่า

    "นั่นสินะ นิโคล ชิโฮะ"

    "ว่าแต่มีใครมาบ้างแล้วล่ะครับ"ดวงตาสีคาราเมลกวาดตาไปรอบๆพร้อมถามหาผู้ที่มาก่อน

    "มีท่านมีอา ท่านลูน่ามาเรีย ท่านเมย์ริน ท่านอิซ้าคและท่านดิอัคก้าค่ะ"หญิงสาวนามเจสสิก้ารายงาน

    "งั้นหรือครับ"

    "แสดงว่ายังเหลืออีก 5 คนสินะ"หญิงสาวในชุดแดงกล่าวขึ้น

    "ใช่แล้วค่ะ และเมื่อพวกเรามาครบทุกคนพวกเราก็จะได้ท่านเทพแห่งตะวันคืนกลับคืนมา"ท่านหญิงกล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่จริงจัง

    "แล้วระหว่างนี้พวกเราต้องทำอะไรบ้างหรือครับ"นิโคลถามเธอ

    "ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น เพียงแค่รออย่างเดียวเท่านั้นค่ะ"เธอกล่าวหลังจากนั้นเธอก็หันไปบอกให้เจสสิก้าพาผู้มาใหม่ทั้งสองไปยังห้องรับรองและบอกให้ทุกคนแยกย้ายกันไปได้แล้วแต่ว่าก่อนที่เธอจะไปหญิงสาวก็เดินไปหามิลิอาเลียพร้อมกระซิบว่า

    "ดีใจด้วยนะ มิลิอาเลีย"เสียงกระซิบของท่านหญิงคนงามทำให้เธอถึงกับหน้าแดงและพูดไม่ออกได้แต่พยักหน้าแล้วรีบเดินกลับไปที่ห้องของตนเอง

    ------------------------------

    เมื่อรุ่งเช้ามาเยือนทุกอย่างก็เป็นเหมือนปรกติราวกับว่าเรื่องเมื่อคืนนี้ไม่ได้เกิดขึ้น สาวน้อยนามมิลิอาเลียก็ยังคงคอยรับใช้พวกคิระเหมือนเดิม

    "น้ำชายามบ่ายมาแล้วค่ะ"เสียงน่ารักกล่าวพร้อมกับถาดเงินที่มีถ้วยน้ำชาสีครีมนวลและมีไอน้ำลอยฉุย

    "อืมขอบใจนะมิลี่"สาวน้อยจอมแก่นกล่าวพลางยื่นมือไปรับถ้วยชา ขณะนั้นมิลิอาเลียก็สังเกตว่าคิระมองเธออยู่

    "มีอะไรเหรอคะ ท่านคิระ"

    "คือ...เรื่องเมื่อวานนี้...แบบว่า.."เขามีท่าทีอึกอักเพราะไม่รู้จะถามยังไงแถมยังเรียบเรียงเรื่องไม่ถูกอีกต่างหาก ผู้ถูกถามก็หน้าแดงนิดๆก่อนตอบว่า

    "ไม่เป็นไรค่ะ แค่เรื่องเข้าใจผิดกันเล็กน้อย"ทว่ารอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้าของคางาริซึ่งแฟนหนุ่มของเธอเริ่มหวั่นใจแล้วเพราะคางาริจะเผยรอยยิ้มนี้ก็ต่อเมื่อมีเรื่องที่จะทำให้เธอได้แกล้งคนอื่น!

    "แต่เอ้.....มิลี่ทำไมเธอหน้าแดงจังล่ะ"แค่คำพูดคำเดียวก็ทำให้ใบหน้าของมิลี่ขึ้นสีจนเห็นได้ชัดเจน

    "ท..ท่านคางาริอ.อย่าล้อเล้น..บ.แบบนี้สิคะ"ยิ่งตอบก็ยิ่งตะกุกตะกักทำให้คราวนี้ดวงตาสีอำพันฉายแววชั่วร้ายขึ้นมา

    "แบบนี้ต้องมีอะไรแน่ๆเลย"

    "ไม่มีอะไรจริงๆค่ะ ไม่มี!"มิลี่เริ่มแก้ตัวแต่พอนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานใบหน้ากลับยิ่งฉายความแดงจนถึงใบหูทำให้สาวน้อยผมสีทานตะวันยิ้มอย่างมีชัย

    "ไม่มีอะไรแล้วหน้าแดงทำไมล่ะ"คราวนี้เธอเขยิบเข้าไปใกล้สาวน้อยที่หน้าแดงอยู่เรื่อยๆ

    "ท่านคางาริ!"ร่างบางที่ถูกซักถามเริ่มถอยห่างออกไป

    "เล่ามาเดี่ยวนี้นะมิลี่"คางาริไม่รอช้าเข้าประชิดตัวมิลี่อย่างรวดเร็วและพยายามบังคับให้เธอเล่าเหมือนจะเอาคืนเรื่องเมื่อหลายวันก่อนที่เธอโดนบังคับให้เล่าเรื่องของเธอและอัสรัน

    ตอนนี้สองหนุ่มที่นั่งอยู่รู้สึกเหมือนเห็นปีกปีศาจสีดำกระพืออยู่ที่กลางหลังของคางาริซะแล้ว

    "นี่อัสรันนายไม่ไปห้ามคางาริหน่อยเหรอคู่หมั้นนายนี่"ฝ่ายพี่ชายเห็นท่าไม่ดีจึงโบ้ยไปให้เพื่อนสุดรักทันที

    "โห คิระทีงี้ล่ะให้ทำแต่พอฉันสวีทกับคางาริทีไรเป็นขัดทุกทีสิน่านายเป็นคนเริ่มก็ไปห้ามเองสิ"ฝ่ายเพื่อนรักไม่ยอมแพ้ใช้วิธีโยนกลับทันที

    "เรื่องสิ!นายไม่เห็นเหรอว่าตอนนี้คางาริน่ากลัวจะตาย"ไม่พูดปล่าวคิระชี้มือไปที่น้องสาวฝาแฝดซึ่งตอนนี้จับมิลี่ไว้สำเร็จแล้ว

    "เล่ามาเลยนะ"สาวน้อยจอมแก่นยังคาดคั้นเธอไม่หยุด

    "ไม่มีอะไรจริงๆค่ะ ท่านคางาริ!"เธอพยายามดิ้นให้หลุดจากมือเพื่อนสาวที่ตอนนี้กำลังจะกลายเป็นมือมารแล้วและมันก็สำเร็จ

    "ข้าขอตัวก่อนนะคะ"เธอไม่รอช้าฉวยโอกาสนี้รีบหนีออกจากห้องทันที

    "อย่าหนีนะ!"คางาริยังไม่ยอมแพ้รีบตามออกไป ตอนนี้สาวน้อยผมสีน้ำตาลยังคงวิ่งหนีไปเรื่อยด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มที่สดใสราวกับจะมอบความมีชีวิตชีวาให้กับทุกคนดั่งสายฝนที่โปรยปราย

    #############################
    ขออภัยที่มาอัพช้าค่ะพอดีติดสอบยุ่งมากๆเลย ยังไงก็ขอให้อ่านให้สนุกนะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×