ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FanFic G Seed]Athrun&Kira : Lost Memery

    ลำดับตอนที่ #4 : Kira Yamato Part End

    • อัปเดตล่าสุด 30 พ.ค. 50


    Kira Yamato Part End : Dream

    แสงสว่างในมือที่ไขว่คว้ามาได้หล่อหลอมรวมเข้าไปในใจ ดวงตาค่อยๆลืมขึ้นทีละนิด สัมผัสอบอุ่นที่มือยังคงไม่จางหาย เส้นผมไหวไปตามการขยับมือของคนที่กุมมือผมเอาไว้ ถ้าหากว่าผมไม่ได้มองผิดไปคนๆนั้นคือนายใช่ไหม..อัสรัน...

    แม้พยายามเปิดปากพูดแต่กลับไร้เสียงที่เล็ดลอดออกไป อีกทั้งอัสรันก็ไม่ได้มองมาที่ผมถ้าพูดให้ถูกคือเค้ากำลังหลับตาอยู่โดยมีน้ำใสๆเปล่งประกายอยู่ตรงหางตา

    อัสรันกำลังร้องไห้...คนที่เข้มแข็งคนนั้น

    เจ็บปวดใช่มั้ย เศร้าใจใช่มั้ย หรือจะเป็นเพราะ..ผม

    คิดได้ดังนั้นผมก็พยายามที่จะเปล่งเสียงเรียกออกไปแต่ก็ไร้ค่า ไม่มีเสียงใดๆหลุดออกจากปากผมไปเลย หนังตารับรู้ถึงความหนักและความอ่อนเพลีย ใบหน้าของอัสรันกำลังถูกแทนที่ดวยความมืด

    ไม่นะ..ขอให้ผมได้พูดเถอะ...ได้โปรด...

    เพียงแค่คำเดียว...เท่านั้น คำว่า ขอโทษ...

    ได้โปรดเถอะ....

    กริ๊งๆ

    "อืม.."เสียงดังหนวกหูข้างหูเรียกให้สติกลับคืนมาแต่กลับลืมตาไม่ขึ้นเลยได้แต่ปล่อยให้เสียงนั้นดังอยู่อย่างนั้น ผ่านไปได้ครู่หนึ่งเสียงหนวกหูก็ดับลงและเกิดเสียงใหม่ขึ้น

    "คิระ..คิระ...ตื่นสิ"เสียงนั้นคุ้นหูแต่ประสาทสัมผัสทั้งหมดกลับไม่สั่งให้ลืมตาตื่นจนกระทั่ง...

    โป๊ก!

    "โอ้ย!"ผมลุกขึ้นทันทีพลางกุมกลางกระหม่อมที่ถูกอะไรสักอย่างกระแทกแล้วหันไปมองตัวต้นเหตุที่ยืนอยู่ทันใดนั้นผมก็ต้องตาค้าง

    "อัส..รัน..."เจ้าของใบหน้าคมที่ดูอ่อนเยาว์กว่าปกติกับเรือนผมสีน้ำเงินเข้มทรงคุ้นตากำลังยืนมองผมด้วยดวงตาสีมรกตที่เจือไปด้วยความระอา

    "ก็ชั้นน่ะสิยังมัวละเมออีกตื่นได้แล้วเดี๋ยวไปเรียนสายพอดี"

    "เรียน..."ผมฟังอย่างไม่เข้าใจแล้วมองคนที่อยู่ตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า ชุดนักเรียนสีดำเข้มกับกระเป๋า ชุดนักเรียนสมัยที่ผมอายุ12....นี่หมายความว่า...เรื่องทุกอย่างผมฝันไปงั้นเหรอ

    "ดูท่าจะยังไม่ตื่นดีสงสัยชั้นต้องเคาะอีกซักทีละมั้ง"

    "ชั้นตื่นแล้วน่า"ผมค้านแต่ผ้าขนหนูสีขาวก็ถูกเควี้ยงใส่หน้าด้วยฝีมือคนมาปลุกผม

    "ไปอาบน้ำได้แล้วชั้นจะรอข้างล่าง"แล้วอัสรันก็เดินลงออกจากห้องผมไปทันทีปล่อยให้ผมคิดทบทวนไปมาอยู่คนเดียว

    นี่เราฝันไปจริงๆเหรอแต่มันก็เหมือนจริงเหลือเกิน ขนาดความรู้สึกเจ็บปวดก็ยังคงอยู่

    แต่อัสรันคนเมื่อกี้นี้......

    สงสัยเราจะฝันไปจริงๆ เพราะงั้น...

    ช่างเถอะ..ฝันก็คือฝัน

    เมื่อคิดตกผมก็คว้าผ้าขนหนูผืนนั้นเดินเข้าไปอาบน้ำก่อนที่ใครบางคนจะย้อนกลับมาแว้ดใส่ผมอีกรอบ 10 นาทีต่อมาตัวผมในชุดนักเรียนก็เดินลงไปข้างล่างแน่นอนว่าอัสรันนั่งดูทีวีรอผมดังคาด คุณแม่ก็ทำอาหารอยู่ที่ห้องครัวตามปกติส่วนคุณพ่อป่านนี้คงออกไปทำงานเรียบร้อยแล้ว

    "อรุณสวัสดิ์ฮะแม่"ผมทักก่อนจะมานั่งที่โต๊ะ

    "ขอบใจที่ช่วยปลุกแต่วันหลังช่วยนุ่มนวลกว่านี้หน่อยได้มั้ย"อัสรันไม่ตอบแต่กลับหัวเราะในคำพูดของผม

    "หัวเราะอะไรของนาย"

    "ก็นายพูดอย่างกับว่าปลุกธรรมดาๆแล้วนายจะตื่นงั้นแหละ ชั้นก็กลัวนายจะไปเรียนสายเลยต้องปลุกด้วยวิธีรุนแรงไปหน่อยเอาเป็นว่าคราวหน้าชั้นจะหาเล่มบางๆกว่านี้ละกัน"อัสรันว่าพลางหยิบพจนานุกรมหนา500หน้ามาโชว์ให้ผมดู

    "อย่าบอกนะว่าเมื่อกี้นายเอาไอ้นี่ทุบหัวชั้น"ผมถามหน้าซีดแต่อัสรันกลับตอบหน้าตาย

    "ใช่"แล้วสงครามย่อยๆระหว่างผมกับอัสรันก็เกือบจะปะทุขึ้นถ้าหากคุณแม่ไม่ได้ยกข้าวเช้ามาให้ผมและอัสรันพร้อมกับเร่งให้ไปโรงเรียน ผมกับอัสรันจึงรีบกินหมดอย่างรวดเร็วและรีบออกจากบ้านไปในทันที ระหว่างทางไปโรงเรียนผมก็พูดคุยสัพเพเหระไปเรื่อยจนกระทั่งอัสรันได้พูดถึงวิทยานิพนธ์เรื่องที่เขาได้รับรางวัล

    "แล้ววิทยานิพนธ์ที่นายได้รับรางวัลนี่เรื่องอะไรเหรอ"ผมถามแต่เขากลับทำหน้าเซ็งๆก่อนตอบยาวเหยียดคล้ายบ่น

    "ชั้นว่าชั้นบอกไปหลายรอบแล้วนะ เอาเป็นว่าชั้นจะบอกเป็นครั้งสุดท้ายฟังให้ดีๆล่ะ มันคือวิทยานิพนธ์เรื่องวิธีการควบคุมยูนิตที่ประกอบด้วยไมโครแมชชีนถ้าลืมอีกชั้นไม่บอกแล้วนะ"

    "คร้าบๆ"ผมรับเสียงยานคางกับท่าทางของอัสรันแล้วก็เอ่ยชมต่อ

    "แต่นายนี่ก็ยอดไปเลยนะ ชั้นน่ะไม่ว่าจะเรื่องพวกนี้หรือเรื่องอื่นๆก็ไม่ได้เรื่องเอาซะเลย"

    ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน กีฬา ความคิดหรืออะไรต่างๆคนที่จะยืนอยู่ข้างหน้าของผมก็คืออัสรันเสมอ ผมทั้งชื่นชมและแอบอิจฉานิดๆ ในบางครั้งผมก็คิดนะว่า คนที่ทำอะไรไม่ได้เรื่องแบบผมน่ะเป็นโคออดิเนเตอร์จริงๆน่ะเหรอ

    โป๊ก!

    "โอ้ยเจ็บนะทำอะไรของนายน่ะ"ผมหันไปมองคนประทุษร้ายที่หัวผมรอบสองด้วยความเคืองกึ่งไม่เข้าใจ ก็อยู่ดีๆไหงมาทุบหัวผมเฉยเลยล่ะเดี๋ยวก็ได้โง่ลงไปกว่าตอนนี้พอดี

    "คิระถ้านายพูดแบบนั้นอีกชั้นจะโมโหแล้วนะ"เสียงของอัสรันดูเหมือนไม่พอใจในคำพูดของผม เขารีบเดินลิ่วไปข้างหน้าก่อนจะหยุดอยู่ตรงนั้นและพูดโดยให้ผมมองเพียงแผ่นหลังของเขา

    "นายน่ะไม่ใช่ว่าไม่ได้เรื่องแต่เพียงแค่ขาดความพยายามเท่านั้นแหละ ชั้นเชื่อนะว่าสักวันนายจะต้องก้าวข้ามชั้นไปได้อย่างแน่นอน"ใบหูของอัสรันดูจะติดสีแดงเล็กน้อย ผมก้มหน้าลงแล้วยิ้มให้กับตนเอง รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกในคำพูดนั้น ไม่ว่าเมื่อไหร่อัสรันก็มักจะพูดในสิ่งที่ผมต้องการจะได้ยินอยู่เสมอที่ดุหรือบ่นก็คงเพราะเป็นห่วงอย่างแน่นอน

    "ขอบใจนะ..."คำขอบใจที่แผ่วเบาลอยไปกับสายผม คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าผมหันมายิ้มให้และเรียกให้ผมตามไป

    "ไปกันเถอะ คิระ..."

    "ได้เลย อัสรัน"

    ..............
    ....................

    "อรุณสวัสดิ์"ผมกับอัสรันประสานเสียงพูดขณะเปิดประตูห้องเรียนเดินเข้าไป เพื่อนๆในห้องเองก็หันมาทักทายแล้วก็หันไปคุยกันเหมือนเดิม เราสองคนไปนั่งประจำที่ตรงมุมหน้าต่างกันสองคน ไม่นานอาจารย์ก็เดินเข้าห้อง

    "อรุณสวัสดิ์ทุกคน วันนี้เราจะมาเรียนเรื่อง..."เสียงอาจารย์แทบไม่เข้าหูผมเพราะวิชานี้เป็นวิชาที่ผมไม่ชำนาญที่สุด เพื่อนในชั้นทุกคนรวมถึงอัสรันก็นั่งตั้งใจเรียนกันดีแต่ผมสินั่งฟังเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจเสียทีทำให้ผมเริ่มให้ความสนใจกับเครื่องคอมตรงหน้ามากกว่า โปรแกรมที่ผมใช้ประจำถูกเปิดขึ้นมา ปลายนิ้วรัวแป้นไปอย่างแผ่วเบาไม่ให้ผิดสังเกตและเมื่อมันเสร็จสมบูรณ์ผมก็เริ่มหาผู้ร่วมอุดมการณ์ทันที

    "อัสรัน..อัสรัน..."

    "อะไรของนาย..อุ้บ"ใบหน้าตึงเครียดของอัสรันแปรเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเห็นสิ่งที่ผมเอาให้ดู ตุ๊กตาหัวโตตัวเตี้ยหรือที่เรียกว่าแนวSDกำลังขยับปากขมุบขมิบค้ลายบ่นมือข้างนึงจับแว่นส่วนอีกข้างมีออฟชั่นพิเศษเป็นหนังสือเล่มโตเท่าหัวแน่นอนว่าต้นแบบเจ้าตัวบนคอมผมก็ไม่ได้อยู่ไหนไกลไปกว่าหน้ากระดาน ผมมองเห็นเหมือนอัสรันจะพูดแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะกำลังกลั้นหัวเราะ

    "เดี๋ยวยังมีเด็ดกว่านี้อีก"ผมเคาะแป้นพิมพ์สองสามSDมาดคุณครูก็กลายเป็นกุ๊กใหญ่ในทันที หนังสือก็กลายเป็นกะทะผัดข้าวใบโตกว่าตัวคนผัดแล้วพอโขยกกะทะผัดไปได้ไม่กี่ที กะทะในมือก็กลับคว่ำทับตัวคนผัดโดยมีเอฟเฟคต์คำว่า"โครม"ลอยขึ้นมาประกอบ

    "นายนี่มัน..."อัสรันเหมือนจะว่าผมแต่ก็พูดไม่ออกผมจึงยิ่งได้ใจเพราะมีผู้ร่วมอุดมการณ์แล้ว

    "ยังมีอีกเยอะเลยนะ นายจะลองมั่งมั้ย"แล้วผมกับอัสรันก็ไม่เป็นอันเรียนกันเลยเพราะมัวแต่เมามันกับการแปลงร่างเจ้าตัวในคอมไปเรื่อยจนไม่รู้เลยว่าภัยนั้นมาใกล้ตัวแล้วอย่างมากๆ

    "คอยดูนะเดี๋ยวคราวนี้อาจารย์จะกลายเป็น...เอ่อ...เป็น..."ที่เคยพูดคล่องก็เป็นอันติดอ่างในบัดดลเนื่องด้วยต้นแบบตัวในคอมซึ่งก็คืออาจารย์ของพวกผมกำลังยืนยิ้มอยู่ข้างหลัง

    "เป็นอะไรหรือยามาโตะคุง"เสียงของอาจารย์ฟังดูอ่อนโยนแต่ตาของอาจารย์มันไม่ได้ยิ้มไปด้วยเลย

    "อันที่จริงครูชอบแบบที่เป็นซานต้าตกหลังคานะก็ไม่ได้อยากจะขัดจังหวะหรอกแต่เห็นพวกเธอกำลังสนุกกันก็เลยอยากจะร่วมวงด้วย"

    "เอ่อ..คือพวกผมกำลังคิดจะเลิกอยู่พอดีน่ะครับ"ผมพยายามปั้นยิ้มทำหน้าตาให้ดูใสซื่อที่สุด เหงื่อกาฬแตกพลั่กทั้งที่ห้องก็เปิดแอร์เย็นเฉียบ

    "เหรองั้นดีเลย พวกเธอสองคนก็ช่วยไปยืนหน้าห้องหน่อยก็แล้วกันนะ"แล้วผมกับอัสรันก็ต้องไปยืนหน้าห้องเป็นการลงโทษ ก่อนเดินไปหน้าห้องผมแอบเห็นพวกเพื่อนๆหัวเราะกันยิ่งทำให้เราสองคนรู้สึกขายหน้ายิ่งกว่าเดิมเสียอีกไม่แค่นั้นยังคนเดินไปเดินมาแล้วก็ยิ้มหรือหัวเราะกับวิธีการลงโทษโบราณที่ใช้ได้ผลเสมอ นี่นับว่าอาจารย์ยังใจดีนะที่ไม่ให้พวกผมสองคนคาบไม้บรรทัดยกขาข้างนึงขึ้นไม่งั้นพรุ่งนี้ผมกับอัสรันคงไม่กล้ามาโรงเรียนแน่ๆ

    ------------------------

    "นายนี่ชอบหาเรื่องให้ชั้นจริงๆเลย"อัสรันบ่นผมยาวเหยียดตั้งแต่เริ่มพักกลางวันแถมยังไม่ยอมสบตาผมอีก ผมรู้ว่าผมผิดแต่อัสรันเองก็เล่นกับผมด้วยไม่ใช่เหรอ แต่ขืนพูดออกไปมีหวังโดนสวดยาวกว่าเดิมเพราะงั้นเงียบๆเอาไว้ดีกว่า

    หลังจากนั้นอัสรันก็ยังบ่นผมไม่จบยังกับว่าผมไปฆ่าใครมางั้นแหละ จนกระทั่งถึงเวลาเลิกเรียนเราสองคนก็กลับบ้านด้วยกันตามปกติมีที่ผิดไปจากเดิมก็คือเราสองคนกำลังพูดคุยกันเรื่องการบ้านซึ่งก็ไม่พ้นวิชาของอาจารย์ที่ให้ผมไปยืนหน้าห้องเมื่อเช้า อัสรันฟังหัวข้อแล้วก็ยังไม่รู้จะทำอะไรแต่พอผมบอกสิ่งที่ผมจะทำนี่สิผลก็คือ...

    "นายจะบ้าเหรอ!"เสียงดังเกือบทะลุ80เดซิเบลของอัสรันทำให้ผมหูอื้อทันที

    "หัวข้อในห้องเรียนน่ะให้มันง่ายๆกว่านี้หน่อยสิ"เสียงของอัสรันเบาลงมากคงพราะรู้ตัวแล้วว่าตะโกนเสียงดังไป

    "ชั้นว่าน่ารักดีออก"ผมเถียง สิ่งที่ผมบอกอัสรันไปเมื่อกี้ก็คือการสร้างไมโครยูนิตเป็นหุ่นยนต์รูปนก หันคอได้ บินได้ ร้องได้ น่ารักจะตาย

    "มันก็น่ารักอยู่หรอก แต่คนที่ไม่ถนัดไมโครยูนิตอย่างคิระจะทำเสร็จในสองอาทิตย์เหรอหรือว่าคิดจะให้ชั้นช่วยอีก"คำของอัสรันแทงใจผมดังฉึกเลย ก็แหมเก่งไมโครยูนิตจนได้รับรางวัลช่วยผมหน่อยจะเป็นอะไรไป

    "คราวนี้แหละชั้นจะไม่ช่วยนายเด็ดขาดเลย"อัสรันยื่นคำขาด ผมก็ได้แต่ผงกหัวเหมือนยอมรับชะตากรรม แต่พอผ่านไปสามวันคนใจแข็งไม่จริงก็มาช่วยผมสร้างไมโครยูนิตรูปนกจนได้ อัสรันทั้งช่วยทั้งบ่นไปในคราวเดียวกันจนผมอดเบื่อไม่ได้แต่มันก็สนุกมากจริงๆ เพียงแต่ความสนุกนั้นกลับดำเนินไปได้ไม่นานผมก็ได้รู้อะไรบางอย่างหลังจากที่ผ่านไปอีกหลายวัน

    คุณแม่ได้บอกกับผมว่าบ้านของอัสรันจะย้ายไปที่แพลนท์ในอีก1อาทิตย์ แต่ว่าอัสรันกลับไม่ได้บอกอะไรผมเลย

    ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้เพื่อรอให้อัสรันบอกด้วยตัวเองเพราะคิดว่าบางทีอัสรันอาจจะอยากได้เวลาก็ได้ แต่แล้วก็ไม่..จนกระทั่งในเย็นวันนี้ที่เราสองกลับบ้านด้วยกันอัสรันก็ยังไม่บอกอะไรกับผม

    เค้าคงเกลียดและรำคาญผมสินะเพราะผมน่ะมันไม่ได้เรื่องต้องคอยให้อัสรันมาช่วยทุกที

    อัสรันนายเกลียดชั้นงั้นเหรอ มันกำลังจะเหมือนในผันที่ชั้นเคยฝันเห็นใช่มั้ย ฝันว่าเราสองคนต้องแยกจากกันไปและกลายเป็นศัตรูกัน

    จนกระทั่ง......ฆ่าเพื่อนของแต่ละฝ่าย

    พลั่ก!

    ทุกความคิดเป็นอันหยุดเสียดื้อๆเพราะขาเจ้ากรรมที่เดินๆอยู่ก็อยากจะพลิกขึ้นมาซะงั้น ผมนั่งกับพื้นพลางจับขาตัวเองด้วยความเจ็บอัสรันที่เดินอยู่ข้างๆก็รีบก้มลงมาดู

    "เป็นอะไรมั้ย"เขาถาม

    "ไม่เป็นไร โอ้ย!"ผมเผลอร้องเสียงดังเพราะฝืนยืนแล้วล้มลง ท่าทางขาจะแพลงซะแล้ว

    "นายนี่ซุ่มซ่ามจริงๆ"อัสรันว่าแล้วส่ายหน้าอย่างเบื่อๆทำให้ผมยิ่งคิดมากแต่แล้วมันก็ไม่ใช่เมื่อเขาได้พูดต่อ

    "ขึ้นมาสิ"เขาย่อตัวลงให้ผมขึ้นขี่หลัง แม้จะมีความงงอยู่แต่ผมก็ยอมขึ้นหลังอัสรันไปแต่โดยดี ระหว่างนั้นผมได้แต่เงียบไม่พูดอะไรกระทั่งอัสรันก็เป็นคนพูดขึ้นมาก่อน

    "นี่คิระนายยังจำได้มั้ยว่าสมัยเด็กๆน่ะชั้นต้องแบกนายขึ้นหลังกลับบ้านแบบนี้บ่อยๆ"ผมพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยก่อนตอบ

    "อืมจำได้สิ"

    "นายน่ะไม่ว่าจะตอนเป็นเด็กหรือว่าตอนนี้ก็ไม่เปลี่ยนไปเลยนะทั้งซื่อบื้อ ซุ่มซ่าม ชอบทำอะไรเกินตัวจนทำใฟ้ชั้นอดเป็นห่วงไม่ได้ทุกที"เขาพูดพลางหัวเราะเบาๆแต่ผมกลับรู้สึกว่ามันดูเศร้าๆ

    "....ถึงตอนนี้ชั้นก็ยังเป็นห่วงนาย นายน่ะต้องให้ชั้นคอยดูแลอยู่เรื่อยแล้วต่อไปถ้าชั้นไม่อยู่ด้วยนายจะทำยังไง"ผมแอบก้มหน้าลงบนไหล่ของอัสรันเพราะไม่อยากให้เขาเห็นใบหน้าของผมตอนนี้เลย

    "นายคงรู้แล้วสินะว่าอาทิตย์หน้าชั้นจะต้องไปอยู่ที่แพลนท์แล้ว"ผมพยักหน้าแทนคำตอบซึ่งอัสรันก็รับรู้

    "คงจะโกรธชั้นสินะที่ไม่บอกนายแล้วยังทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรแบบนี้ แต่ว่าชั้นก็เพียงแค่อยากจะเก็บมันไว้เป็นความทรงจำที่มีความสุข ถ้าชั้นบอกไปนายก็ต้องเศร้าและไม่ยิ้มเหมือนทุกที ทั้งการที่ต้องดุนาย ช่วยเหลือนาย การคุยเล่นไร้สาระต่างๆทุกอย่างชั้นอยากจะให้มันเหมือนเดิมอย่างน้อยก็จนกว่าจะถึงวันสุดท้าย"อัสรันยิ้ม...ผมไม่เห็นหน้าของเขาหรอกแต่ผมก็รู้ว่าเขาคงกำลังยิ้มอยู่แน่นอน

    "ทำไมล่ะ....ทำไมนายต้องไปด้วยล่ะ"ผมถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้วมันไม่ใช่การตัดสินใจของอัสรัน จากคำพูดของอัสรันมันได้สื่อความรู้สึกต่างๆออกมาหมดแล้ว

    ใช่ว่าไม่เสียใจ คนที่เหงาไม่ใช่เพียงแค่ผมคนเดียวแต่อัสรันเองก็เหงาเช่นกัน รู้สึกได้ว่าขอบตานั้นร้อนผ่าว...นำตากำลังเอ่อล้นออกมาและซึมซับไปบนไหล่ของอัสรันคนที่เป็นยิ่งกว่าเพื่อนของผม สำหรับผมเค้าก็เป็นเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง

    "อัสรัน..ชั้นจะ..พยายามทำตัวให้เข้มแข็งไม่ให้นายต้อง...เป็น..ห่วงแน่นอน แต่ว่าจนกว่าจะถึงวันนั้นชั้นขออ่อนแอต่อไปได้มั้ย....พี่ชาย"การพูดติดขัด น้ำเสียงแหบพร่า คำพูดก็แสนเอาแต่ใจแต่แม้กระนั้นอัสรันก็ยังคงยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน

    "ได้สิ เจ้าน้องชายขี้แย"

    จากนั้นผมก็เอาแต่ร้องไห้ อัสรันเองก็ไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากยิ้มน้อยๆทำให้ผมคิดว่า อัสรันนั้นช่างเข้มแข็งเหลือเกิน แผ่นหลังของคนที่อายุเท่ากันกลับดูกว้างใหญ่และแข็งแกร่งนักทั้งที่เขาเองก็แบกรับความเสียใจในการลาจากเช่นเดียวกับผม

    "คิระ..นายจะสัญญากับชั้นสักข้อได้มั้ย"ผมพยักหน้ารับอีกครั้งแล้วพยายามปาดน้ำตาทิ้งให้หมด

    "สัญญานะว่าเมื่อคราวต่อไปที่เราได้พบกันนายจะต้องเป็นคนที่เข้มแข็งกว่าชั้น"แม้จะฟังดูธรรมดาแต่ก็แฝงไว้ด้วยความห่วงใยและอ่อนโยน ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไรอัสรันก็มักจะห่วงใยผมอยู่เสมอ

    "ได้สิอัสรัน ชั้นสัญญา"มือกระชับแน่นลงไปบนไหล่ของอัสรัน รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของผมเพื่อปิดซ่อนรอยน้ำตาของความอ่อนแอ

    "สัญญาแล้วนะคิระ"พูดจบอัสรันก็ค่อยๆวางผมลงที่พื้นและก้าวออกไปร่างในชุดนักเรียนสีดำค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นชุดรัดรูปนสีแดงเข้ม ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ คิดจะลุกขึ้นเดินตามไปแต่ร่างกายกลับขยับไม่ได้แม้แต่น้อย ความเจ็บปวดแล่นไปในทุกอณูของร่างกาย

    "ชั้นไปก่อนนะแล้วหวังว่าเราคงไม่ต้องต่อสู้กันอีกที่ผ่านมา..ขอโทษนะ"

    "เดี๋ยวสิ..นายพูดอะไรของนาย เรื่องนั้นน่ะ..."

    เรื่องนั้นน่ะมันเป็นแค่ความฝันไม่ใช่เหรอ ก็พวกเราน่ะ....

    พวกเราน่ะยังอยู่ด้วยกันไม่ใช่เหรอ...

    อัสรันไม่ตอบที่ผมพูดราวกับไม่ได้ยิน เขาหันมายิ้มแต่ไม่ได้มองตาผม นัยน์ตาสีมรกตเต็มไปด้วยความเศร้าแล้วร่างนั้นก็หันเดินไกลออกไปเรื่อยๆ

    "อัสรัน..อัสรัน..อัสรัน.."ผมพยายามที่จะเรียกเพื่อฉุดรั้งเค้าเอาไว้แต่แผ่นหลังของอัสรันก็ยังคงไกลออกไปเรื่อยๆจนไม่อาจจะเอื้อมถึง เสียงเรียกถูกกลืนหายไปในความมืด  แต่แม้กระนั้นผมก็ยังคงส่งเสียงเรียกเขาออกไป

    "อัสรัน!!!!"

    ###############################
    เดี๋ยวจะมีบทส่งท้ายในคราวหน้านะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×