ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FanFic G Seed]Athrun&Kira : Lost Memery

    ลำดับตอนที่ #2 : Kira Yamato Part 1

    • อัปเดตล่าสุด 29 เม.ย. 50


    Kira Yamato Part 1 : Pain

    "คิระ!!!!!!!!!!!!!!!"เสียงแห่งความโกรธดังกึกก้องอยู่ในโสตประสาทไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผู้เป็นเจ้าของเสียงนั้นโกรธมากเพียงไรเพราะทุกสิ่งนั้นได้สื่อออกมาในการกระทำทั้งหมดแล้ว

    แสงสว่างอันเจิดจ้าลอดผ่านมาในห้องบังคับการที่ผมอยู่ เสียงระเบิดในระยะประชิดทำให้แก้วหูลั่น นัยน์ตาพร่ามัวเพราะแสงสว่าง ร่างกายกระแทกไปมาในค็อกพิทอย่างรุนแรงขนาดที่แม้มีเข็มขัดนิรภัยก็ยังไม่อาจช่วยได้ ทั้งหมดนี้ก่อเกิดสิ่งที่เรียกว่าความเจ็บปวด

    เจ็บ..เจ็บมาก...

    ร่างกายขยับไม่ไหวอีกแล้วราวกับว่าทั้งร่างกายและหัวใจแตกเป็นเสี่ยงๆ

    ในวินาทีที่รู้สึกเจ็บปวดนั้นผมกลับมองเห็นรอยยิ้มของคนที่ทำร้ายผม อัสรัน...รอยยิ้มอันอ่อนโยนที่แสนเลือนรางและมันก็ทำให้ผมรู้ว่าไม่เพียงแค่ร่างกายเท่านั้นจิตใจของผมเองก็เจ็บปวดด้วย

    ร่างกายของผม..ร่างของมนุษย์ที่ถูกดัดแปลงจนกลายเป็นโคออดิเนเตอร์นั้นขอเพียงไม่เสียส่วนต่างๆตามร่างกายไปหรือไม่บาดเจ็บสาหัสจนเกินไปก็จะสามารถหายได้ในเวลาไม่นานและมันก็คือสิ่งที่กองทัพโลกรวมทั้งทุกคนที่เป็นเนเฌอรอลหวาดกลัวและรังเกียจ

    ทุกคนต่างกลัวให้สิ่งที่แตกต่างจากตนเอง กลัวในสิ่งที่เหนือกว่าตนเอง กลัวที่จะเจ็บปวด

    ผมเองก็กลัวที่จะเจ็บปวดไม่ใช่ร่างกายแต่หากเป็นจิตใจ แผลกายอาจหายได้ด้วยการรักษาต่างๆแต่แผลใจนั้นจะใช้สิ่งใดรักษากัน การที่ผมและโคออดิเนเตอร์ทุกคนนั้นมีความกลัวแสดงว่าพวกเราเองก็เป็นมนุษย์เช่นกัน ทำไมพวกกองทัพโลกถึงไม่เข้าใจกันบ้าง

    พวกเขาทำลายล้างโคออดิเนเตอร์ด้วยความกลัว ปากบอกว่าขยะแขยง ในมือถืออาวุธเข้าห้ำหั่นกันจนกระทั่งมันกลายเป็นสงครามที่ลุกลามไปใหญ่โตและทำให้ผมกับอัสรันต้องมาเป็นศัตรูกัน

    ความเป็นเพื่อนนับสิบปีแตกหักไปในเพียงเสี้ยงวินาที เพียงแค่อยู่คนละฝ่ายกัน เพียงแค่อยากจะปกป้องเพื่อนเท่านั้นแล้วทำไม....

    การที่เพื่อนและพวกของอัสรันต้องตายไปนั้นจะไม่ปฏิเสธว่าเป็นความผิดของผมคำว่า"ต่อสู้เพื่อปกป้อง"ก็เป็นได้แค่คำแก้ตัวยามเมื่อคร่าชีวิตผู้อื่นไป การฆ่าคนไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ต้องเป็นความผิดอยู่แล้ว แม้ว่าผมจะอยู่ในสมรภูมิที่ไม่ฆ่าก็ถูกฆ่า แต่ว่า..

    ผมไม่ได้อยากฆ่าใครสักนิด

    ทุกคนต่างก็กลัวความตายรวมทั้งผมด้วย เพราะงั้นทุกครั้งที่ชีวิตของใครคนหนึ่งจบสิ้นลงในมือของผม บาดแผลก็ยิ่งบาดลึกลงไปมากขึ้นเรื่อบๆราวกับตราบาปที่ไม่มีวันเลือนหาย ยามที่คิดถึงเรื่องนี้ก็เจ็บปวดจนแทบทนไม่ได้

    คนที่ตายไปนั้นจะมีครอบครัวไหมนะ คนที่อยู่ข้างหลังเค้าจะทำยังไงกันนะ พวกเค้าจะเคียดแค้นผมไหม...คงต้องแค้นแน่ๆแล้วยิ่งหากพวกเค้ารู้ว่าผมเองก็เป็นโคออดิเนเตอร์คงยิ่งโกรธแค้นอย่างแน่นอน การที่ได้สัมผัสความตายมาหลายต่อหลายครั้งทำให้ผมนั้นได้รับรู้ถึงความสำคัญของคนๆหนึ่ง

    อัสรัน...ชั้นไม่อยาก..ฆ่า..นาย...

    เพราะว่านายคือเพื่อนรักของชั้นแม้ว่าตอนนี้นายอาจจะปฏิเสธคำว่าเพื่อนก็ตาม

    นายเองก็คงแค้นชั้นมากสินะ เพื่อนของนายหลายคนต้องเจ็บปวดและตายไปในมือของชั้นเฉกเช่นทหารคนอื่นๆ ความโกรธแค้นของนายที่สื่อออกมาทำให้ชั้นเข้าใจดีทีเดียวว่าเพื่อนคนนั้นคงจะสำคัญสำหรับนายมาก มากเสียจนทำให้นายและชั้นกลายเป็นศัตรูกันจริงๆ

    เราสองคนกลายเป็นศัตรูกันตั้งแต่เมื่อไหร่นะ...

    ในตอนนั้นคนที่ผิดคือใครกันนะ...

    ผิดหรือที่ตอนนั้นผมอยู่ที่นั่น...ผิดหรือที่อัสรันอยู่ที่แพลนท์...

    กี่ครั้งกันนะที่นายหันปากกระบอกปืนมาทางชั้น...กี่ครั้งที่เจ็บปวด คำว่าคนทรยศเผ่าพันธุ์คงจะเป็นคำที่เหมาะสมกับคนอย่างผม อุ้งมือเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดที่แม้หลับตาก็ยังรู้สึกได้ เสียงร้องสุดท้ายของพวกเขาดังก้องอยู่ในหูกับอีกหลายชีวิตที่ไม่อาจปกป้องได้แล้วทำไมกัน...ทำไมถึงไม่มีใครโทษผมเลย

    ยามเมื่อกลับมาจากสนามรบพวกเค้าบอกกับผมว่าทำได้ดีมาก...ทั้งที่ผมเพิ่งจะฆ่าคนมาแท้ๆ

    นับสิบชีวิตที่ตายไปเพราะปกป้องไม่ได้กลับไม่มีใครพูดถึง ไม่มีใครต่อว่าผมยกเว้นเธอคนนั้นเพียงคนเดียว...

    เฟรย์...

    ใครๆอาจมองว่าเธอทำให้ผมเจ็บปวดอยู่เสมอแต่เธอก็เป็นเพียงคนเดียวที่ยื่นมือมาโอบกอดผมยามที่เจ็บปวด...ผมรู้ดีว่าตนเองไม่ได้เก่งกาจขนาดปกป้องทุกชีวิตได้

    จะต่อว่าผมที่อ่อนแอก็ได้...จะต่อว่าผมยังไงก็ไม่เป็นไรแต่พวกเค้าก็ไม่ทำ ทุกคนต่างเก็บความเจ็บปวดไว้ข้างในแล้วฝืนยิ้มออกมาโดยมิได้รู้เลยว่าการเก็บความรู้สึกเจ็บปวดนั้นไว้ยิ่งตอกย้ำตัวผมให้รู้สึกว่าตนเองนั้นช่างอ่อนแอเหลือเกิน

    บางทีการต่อว่าผมมันอาจทำให้ความรู้สึกนั้นลดน้อยลงไปบ้างแม้เพียงเล็กน้อยก็ตามโดยแลกกับความเจ็บปวดในจิตใจ

    แน่นอนว่าเฟรย์คงไม่ได้คิดแบบนั้น เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่แสดงความรู้สึกต่างๆออกมาโดยตรงไม่มีปิดบัง

    โกรธที่ผมปกป้องพ่อของเธอไม่ได้ เสียใจกับการจากไปของผู้เป็นพ่อ เศร้าที่ตนเองไม่อาจทำอะไรได้นอกจากร้องไห้ เคียดแค้นผู้ที่พรากคนที่เธอรักไปหรือคนที่ไม่อาจปกป้องคนที่เธอรักได้ ทุกสิ่งที่โถมกระหน่ำเข้ามาสร้างความเจ็บปวดให้แก่ผมทำให้ ณ ตอนนั้นผมได้รับรู้ว่าเธอคือผู้ที่ค้ำจุนผมเอาไว้และทำให้ผมสามารถสู้ต่อไปได้

    ความเจ็บปวดแปรเปลี่ยนเป็นพลัง ตราบาปกลายเป็นอาวุธที่ฟาดฟันออกไป อ้อมกอดที่คอยปลอบโยนมอบพลังให้กับคนที่อ่อนแอเช่นผม

    เธอคนนั้นค่อยๆกลายเป็นคนสำคัญของผมมากขึ้นเรื่อยๆแต่มันก็ไม่ใช่ความรัก บางทีอาจเป็นความรู้สึกผิดและอยากไถ่โทษเสียมากกว่า ผมไม่อาจช่วยพ่อของเธอได้แต่ขอเพียงแค่เธอเท่านั้นที่ผมต้องปกป้องไว้ให้ได้ เฟรย์คนสำคัญของผม...

    อัสรัน...อีกหนึ่งคงสำคัญของผม...

    ตัวผมนั้นช่างโง่เขลาเหลือเกินที่หันคมดาบใส่คนสำคัญของตนเองเขาจะโกรธผมก็ได้เพราะคนที่ผิดก็คือผมเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ว่า...ทอลล์ล่ะผิดตรงไหน..ทำไมกันคนที่ผิดคือผมทอลล์เพียงแค่อยากช่วยผมเท่านั้น เขาไม่ควรจะตายในที่แบบนั้น

    คนที่ควรตายคือผมต่างหาก...

    จริงที่อัสรันเป็นเพื่อนของผมแต่ทอลล์ก็เช่นกัน เมื่ออัสรันฆ่าทอลล์ไปผมก็รู้สึกเจ็บปวดมาก ความโกรธและความแค้นเข้าครอบงำจิตใจ ละทิ้งความมีเหตุผลและคำว่าเพื่อนไป กลายเป็นตัวตนแห่งความแค้นคิดได้เพียงแค่ว่าตรงหน้าคือ ศัตรู!

    ต่างฝ่ายต่างเสียคนสำคัญของตนเองไป เราสองคนได้เข้าต่อสู้ด้วยเหตุผลเพียงคำว่า แก้แค้น

    ถ้าหากในตอนนั้นผมคือผู้ชนะแล้วจะเป็นอย่างไร...

    ผมที่สามารถแก้แค้นให้ทอลล์ได้สำเร็จแต่ก็ต้องเสียเพื่อนรักคนนี้ไปตลอดกาล คงได้แต่นอนฝันร้ายปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆแล้วถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเธอจะยอมโอบกอดผมไว้ไหมนะ...เธอจะยอมกอดคนที่ฆ่าเพื่อนของตนเองถึงสองคนได้ไหม...

    ทอลล์ที่ตายเพราะผมนั้นก็ไม่ต่างกับว่าผมเป็นคนฆ่าเค้าหรอก...

    ถ้าหากว่าเฟรย์จากไปล่ะ...เพียงแค่คิดผมก็ทนไม่ได้แล้ว หากเธอคนนั้นยังจากไปตัวผมก็คงไม่เหลือใครอีกแล้ว

    ความมืดคลอบคลุมทั่วจิตใจร่างกายรับรู้ถึงความหนาวยามเมื่อต้องเดียวดาย ลอยเคว้างคว้างไปอย่างไร้จุดหมาย ทำได้แค่กอดไหล่ตนเองไว้แล้วร้องไห้ออกมาเบาๆ ใบหน้ายิ้มอ่อนโยนของเธอกำลังเลือนหายไปในความมมืดทีละน้อยๆ
     
    หนาว...ไม่นะอย่า..อย่าไป...เฟรย์

    ไม่..อย่า..อย่าทิ้งผมไว้คนเดียว.....

    พลันนั้นผมกลับรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นราวกับมีใครสักคนโอบกอดผมเอาไว้ ใครสักคนที่ยิ้มให้แล้วบอกกับผมว่า "ไม่เป็นไรนะ..."

    เมื่อเสียงปริศนานั้นหายไปผมก็มองเห็นถึงบางสิ่งที่ส่องประกายในความมืด มันส่องประกายงดงามในความมืดมิดราวกับเป็นความหวัง เพียงแต่ยามเมื่อยื่นมือออกไปก็ไม่อาจไขว่คว้ามาได้ ทั้งที่อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมแต่เหมือนไกลออกไป

    ไกลมาก...จนไม่อาจจะเอื้อมถึงราวกับว่าความหวังสำหรับผมนั้นไม่มีอีกแล้ว

    น้ำตาที่ควรจะเหือดแห้งไปแล้วกำลังเอ่อล้นออกมาจากหัวใจที่เจ็บปวด ร่างกายร้อนดั่งเปลวไฟแต่ในหัวใจนั้นกลับเย็นเยียบดั่งน้ำแข็ง

    ผมนั่งกอดเข่าตนเองเพื่อคลายหนาวพลางจ้องมองแสงสว่างนั้นที่ยังคงไม่หายไปไหน ไม่เข้าใจเลยว่าถ้าหากมันไม่ได้มีไว้เพื่อผมแล้วทำไมถึงยังอยู่ข้างๆผม

    ไม่ว่าใครต่างก็ต้องการความหวังไม่ใช่เหรอ...ไปสิ

    สำหรับผมแค่นี้มันก็เพียงพอแล้วผมไม่อยากได้อะไรอีกแล้ว....

    ไม่สิ..ไม่ใช่ไม่อยากได้แต่คงไม่อาจได้มามากกว่าเพราะงั้นแทนที่จะอยู่กับผม จงไปอยู่กับคนที่สมควรจะได้รับมากกว่า...

    ผมที่ไร้ความหวังนั้นก็ไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่อีกแล้ว  ถ้าผมตายไปแบบนี้อัสรันจะยกโทษให้ไหมนะ....

    อย่างน้อยการตายของผมก็คงพอชดเชยให้กับเพื่อนของอัสรันที่ตายไปได้สักเล็กน้อยใช่ไหม...

    คิระ...

    เสียงใครสักคนที่แสนคุ้นหูส่งเสียงเรียกอย่างแผ่วเบา มือที่เคยยื่นออกไปไขว่คว้านั้นบัดนี้กลับมีสิ่งที่ส่องแสงเรืองรองอยู่ในมือ

    จะให้โอกาสผมอีกครั้งงั้นเหรอ...อยากจะบอกให้ผมก้าวต่อไปใช่ไหม

    อดีตนั้นไม่อาจแก้ไขได้แต่ผมจะสามารถก้าวข้ามมันไปได้ใช่ไหม

    หากคราวนี้ผมต้องลุกขึ้นสู้อีกละก็...ต่อให้ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล รอบกายมีเพียงศัตรูที่หมายชีวิตแต่ผมก็จะไม่ฆ่าใครอีก สงครามที่ไม่ฆ่าอาจเป็นเพียงแค่ความคิดโง่ๆแต่มันก็ไม่ผิดใช่ไหมที่ผมจะคิดเช่นนั้น

    หลายคนอาจบอกว่าอ่อนหัดแต่มันก็เป็นสิ่งที่ผมเชื่อ คราวนี้แหละที่ผมจะได้ต่อสู้เพื่อปกป้องอย่างแท้จริง...และเมื่อผมสามารถทำได้สำเร็จนายคงจะยกโทษให้ชั้นได้ใช่ไหม...

    อัสรันเพื่อนรักของชั้น...

    ######################
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×