ลำดับตอนที่ #18
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : กาลเวลาของผืนดินผู้หลงรักท้องฟ้า
หวัดดีค่ะหลังจากที่ห่างหายไปนานร่วม5เดือนได้ต้องขออภัยจริงๆค่ะแบบว่ามันติดสอบแล้วก็จะสอบแอดฯแล้วต้องไปเรียนเลยไม่ค่อยว่างมานั่งเขียน
แล้วคอมเม้นต์กันเยอะๆน้าคนเขียนจะได้มีกำลังใจ
Phase 18 กาลเวลาของผืนดินผู้หลงรักท้องฟ้า
ซ่า...ซ่า......ซ่า...............
เสียงสายฝนที่เคยพัดถาโถมเริ่มเบาลงเรื่อยๆจนกระทั่งเงียบสนิทเหลือเพียงเสียงหยดน้ำที่ค้างคาอยู่ตามที่ต่างๆร่วงหล่นสู่พื้นเบื้องล่างดังเผาะและก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างหนึ่งบนที่นอนลืมตาตื่นขึ้นก่อนใช้มือยันตัวลุกจากที่นอนนุ่มๆ มือข้างหนึ่งลูบไล้เส้นผมสีนิลที่ยุ่งเหยิงจากการนอนเล็กน้อย
เนตรสีทับทิมเหม่อมมองออกไปนอกหน้าต่างประสาคนเพิ่งตื่นจนเวลาผ่านไปสักนาทีสองนาทีนัยน์ตาที่เลื่อนลอยก็เริ่มมีประกายขึ้นมาบ้างตามแบบคนที่ตื่นเต็มตา สายตาที่มองท้องฟ้ากำลังรู้สึกว่าท้องฟ้านั้นช่างดูเศร้าหมองนัก
ฟ้าหลังฝนที่ควรจะสดใสกลับไม่ใสเท่าที่ควรเป็น...หรือว่ามันเป็นเพราะจิตใจของผู้ที่มองท้องฟ้ากันแน่นะที่หม่นหมอง
"สเตลล่า..."นามของสตรีภายในดวงใจถูกเอ่ยออกมา
ข้ากำลังเศร้าใช่ไหม...
ข้ากำลังเศร้าเพราะนางมิอาจจำเขาได้งั้นหรือ...
เจ้านั้นลืมเลือนข้าไปแล้วจริงหรือ....
ร่างสูงลุกจากเตียงก่อนบิดตัวไปมาไล่ความเกียจคร้านภายในกายออกไปและตัดสินใจไปเดินเล่นเพื่อผ่อนคลายจิตใจที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
ขอโทษนะ ตอนนี้ขอให้นายอย่ามายุ่งกับสเตลล่าเลย อย่าน้อยก็เพื่อสเตลล่าและรวมถึงนายด้วย
คำพูดนั้นมันหมายความว่าอย่างไร...มันเกิดอะไรขึ้นกับสเตลล่าในครั้งสุดท้ายที่เราจากกัน....ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ อยากจะเข้าไปถามตั้งแต่เมื่อครั้งที่ได้ยินนักว่า มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ขณะที่ก้าวเดินไปใจที่ใคร่ครวญถึงเรื่องนี้ก็สังเกตได้ถึงบางสิ่งนั่นคือผู้คนที่เคยเห็นเดินอยู่แถวนี้กลับหายไป ช่างให้ความรู้สึกเงียบเชียบจนน่าใจหาย แต่แล้วในความเงียบนั้นเองเขาก็สดับได้ถึงเสียงสนทนาของใครบางคนอยู่ออกไปไม่ห่างมากเท่าไหร่
น้ำเสียงหวานพูดคุยสลับกับเสียงทุ้มๆของคนที่น่าจะเป็นบุรษและแน่นอนน้ำเสียงหวานนั้นเขาจำได้ว่าเป็นเสียงของใคร
"เสียงนี้..สเตลล่า"ไม่ต้องรอให้ใครสั่งเขาเดินตามเสียงไปแทบจะในทันที
เหตุที่ได้ยินเสียงเพราะมันดังแว่วมากับสายลมเพราะงั้นที่ๆนางอยู่ก็คงเป็น สวนหย่อมสินะ...
เมื่อถึงจุดหมายก็ใช่อย่างที่เขาคิดจริงๆร่างบอบบางที่แสนคุ้นตากำลังยืนคุยกับชายหนุ่มสองคนที่มักจะอยู่กับเธอเสมอ เขาสังเกตได้ว่าใบหน้าของทั้งสามนั้นช่างดูหม่นหมองราวกับท้องฟ้าในเวลานี้เหลือเกินและก่อนที่เขาจะได้เดินเข้าไปริมฝีปากบางก็เป็นฝ่ายเอ่ยออกมาทำให้เขาเปลี่ยนใจมายืนหลบแถวประตูแทน
"ไม่ได้หรอกสติง ข้าน่ะไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงไม่อาจรู้สึกถึงความทรงจำของเธอได้เลย"ความทรงจำ...คำพูดที่เขาไม่เข้าใจ
"ถ้างั้นความทรงจำของคนที่ชื่อไซล่ะ"ชายผมฟ้าที่เขาจำได้ว่าชื่ออาล์วถามขึ้น สเตลล่าพยักหน้าน้อยๆแต่ดวงตากลับเศร้าหมอง
"แม้ว่าข้าจะมีความทรงจำของคนที่ชื่อไซแต่ว่า.."
"แต่ว่าอะไร.."อาล์วถามต่อ เขาเห็นสเตลล่าหลับตาลงและยามเมื่อลืมตาขึ้นความรู้สึกภายใต้ดวงตาของเธอนั้นก็เปลี่ยนไป
"ข้าในตอนนี้น่ะกำลังรักษาความทรงจำของใครซักคนเอาไว้ ใครซักคนที่ข้าเองก็ไม่อาจนึกออก ความรู้สึกที่มีมันแปลกออกไปจากสิ่งต่างๆที่ข้าต้องรักษาเอาไว้ราวกับว่ามันใกล้จะเลือนหายไปเต็มที เพราะงั้นหากข้านำความทรงจำของบุรุษนามไซ อาร์ไกล์ออกมาแล้วข้าก็เกรงว่าความทรงจำของใครคนนั้นจะเลือนหายไปจริงๆและพวกท่านเองก็รู้มิใช่หรือว่าความทรงจำในกายข้า ณ ตอนนี้เต็มไปด้วยความสับสนเพียงไร"
น้ำคำของเธอที่เคยอ่อนหวานกลับฟังดูเย็นเยียบ นัยน์ตาที่ดูเหม่อลอยราวกับไร้จุดยืนผันเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้นมาแต่กลับรู้สึกได้ถึงความสง่าในเวลาเดียวกันพร้อมทั้งกิริยาท่าทางที่ผิดไปจากเดิม แต่ทั้งอาล์วและสติงกลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรซักนิด
"งั้นหรือ ว่าแต่เจ้าออกมาได้อย่างไรสเตลล่าแห่งอนาคต"คำถามของสติงที่ยิ่งจุดชนวนความสงสัยของผู้ที่แอบฟัง
"ในครานี้สเตลล่ากำลังอ่อนแอเพราะว่าตัวตนในอดีตของนางนั้นกำลังร้องไห้อยู่ แม้ไม่มีน้ำตาแต่ข้าก็รู้ว่านางกำลังร้องไห้อยู่ภายในตัวข้า ช่างน่าแปลกนักนะทั้งที่ตัวตนของสเตลล่าคนนั้นได้ลบเลือนไปแล้วแท้ๆ"เธอคนนั้นยิ้มเศร้าๆออกมาก่อนจะเอ่ยต่อ
"การที่จิตใจของนางไม่คงที่เช่นนี้จะทำให้'เวลานั้น'มาถึงเร็วขึ้น ข้าจึงต้องเป็นฝ่ายออกมาเองเพื่อรักษาสภาพจิตใจของปัจจุบันเอาไว้"
เวลานั้น..ที่ข้าไม่อยากจะให้มันมาถึงสักนิด
"จิตใจอ่อนแองั้นเหรอ เจ้าพอจะบอกได้ไหมว่าเพราะอะไร"
"เวลาไงล่ะ"สเตลล่าผ่อนลมหายใจออกมายาวและเริ่มต้นอธิบายด้วยน้ำเสียงที่คล้ายฟังดูเศร้าใจ
"ยามเมื่อวันเวลาหมุนเวียน อดีตถูกลบเลือนแทนที่ด้วยปัจจุบันซึ่งพอเวลาผ่านไปปัจจุบันนั้นก็จะแปรเปลี่ยนเป็นอดีต อนาคตที่เกิดขึ้นกลายเป็นปัจจุบันแล้วไม่ช้าอนาคตนั้นก็จะกลายเป็นอดีต จนกระทั่งในที่สุดก็เลือนหายไป ทุกสิ่งจะวนเวียนไปมาเช่นนี้อย่างไร้จุดสิ้นสุด"
ทั้งที่รู้ดีว่ามันถูกกำหนดเอาไว้แล้วและไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้...
แต่แล้วก็ยังต้องร่ำไห้กับมันอยู่ร่ำไป...
ไม่รู้ว่าเมื่อกันที่เธอเองก็จักต้องเลือนหายไปจากร่างนี้....
"แต่ว่า..บางทีสิ่งที่ทำที่ทำให้สเตลล่าอ่อนแอนั้นคงไม่ใช่เรื่องนี้หรอกนะ"หญิงสาวเงียบเสียง นัยน์ตาคู่สวยมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีหม่นและเริ่มพูดออกมาอีกครั้ง
"สเตลล่ากำลังหลงรักในท้องฟ้าที่มิอาจเอื้อม แม้ว่าท้องฟ้านั้นจะยื่นมือมาให้นางก็ไม่อาจจะสัมผัสได้ ช่างน่าเศร้านักที่แม้ท้องฟ้าและผืนดินจะอยู่เคียงคู่กัน มองกันและกันเสมอแต่ทั้งคู่กับไม่อาจจะเชื่อมสัมพันธ์ได้แม้แต่นิดทำได้แค่ทอดยาวออกไปไกลเปรียบดั่งเส้นขนานที่ไร้จุดจบนักและเพราะเป็นเช่นนั้นนางจึงต้องเจ็บปวดยามเมื่อเวลาที่เลือนหายนั้นได้ใกล้เข้ามา"
นัยน์ตาคู่สวยหรี่ลงมิยอมสบมองท้องฟ้าที่อ้างว่ารักก่อนจะเดินห่างออกไปทิ้งความสงสัยไว้ให้ใครบางคนที่ยืนหลบอยู่ ทับทิมคู่สวยก้มมองพื้นต่ำอย่างเจ็บปวดเพราะเรื่องที่ได้ยิน เพราะจากที่เขาได้ฟังมานั้นข้อสรุปที่ได้ก็คือ
สเตลล่ากำลังจะดับสลาย.....
เขาเดินออกมาข้างนอกมุ่งตรงไปยังชายสองคนที่เฝ้ามองเธอคนนั้นซึ่งอยู่ไกลออกไปพอควร แต่เพียงแค่เขาย่ำเท้าออกมานอกประตูชายสองคนนั้นก็หันมาทางเขาทันที
"นายเองเหรอมีอะไรล่ะ"สติงถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเขายืนอยู่ตรงนั้นและรู้ด้วยว่าเขาต้องการจะรู้อะไร
"เรื่องของ..สเตลล่า"
"ก็อย่างที่นายได้ยินนั่นแหละ"นัยน์ตาสีทับทิมเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อหูตนเองเพราะมันเหมือนกับย้ำข้อสรุปที่เขาคิดได้
"หมายความว่า อีกไม่นานสเตลล่าจะดับสลายไปงั้นเหรอ"ทั้งสติงและอาวล์หันมามองชินด้วยสายตาแปลกใจนิดๆแล้วสติงก็กล่าวออกมา
"ก็ไม่เชิงหรอก.."คำพูดที่เหมือนจุดประกายความหวังอันน้อยนิดของเขาแต่ก็ยังนึกหวั่นใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
"นายอยากจะรู้งั้นเหรอ"เขาถามซึ่งชินรีบพยักหน้าอย่างไร้ความลังเลแต่ยังไม่ทันที่สติงจะเอ่ยปากพูดอาวล์ก้ขัดขึ้นมา
"จะดีเหรอสติง"
"ไม่เป็นไรน่าอาวล์ มันก็ยังดีกว่าไม่ให้รู้อะไรเลยแล้วบางที..มันอาจจะทำให้ตัดใจได้เร็วขึ้นก็ได้"นัยน์ตาคมหันมามองเขาและจ้องลึกลงไปภายในดวงตาหมายจะชั่งใจในความพร้อมของอีกฝ่าย เมื่อเห็นอีกฝ่ายไร้ความลังเลเขาก็เริ่มพูดขึ้น
"ชิน นายรู้ใช่ไหมว่าบนโลกนี้มีสิ่งมีชีวิตมากมาย...ทั้งผืนป่า สัตว์ต่างๆรวมทั้งมนุษย์ ทุกสิ่งบนโลกนั้นต่างก็มีชีวิตอยู่ตามอายุขัยของมัน ภายในช่วงที่มีชีวิตอยู่นั้นจะต้องพบเรื่องราวต่างๆมากมายทั้งเรื่องที่มีความสุขและเรื่องที่โศกเศร้าและเมื่อเวลาผ่านไปสิ่งเหล่านั้นก็จะกลายเป็นอดีตภายใต้จิตใจที่เรียกว่า ความทรงจำ..."เขาหยุดไปเล็กน้อยเพื่อผ่อนลมหายใจยาวแล้วเริ่มเล่าต่ออีกครั้ง
"ความทรงจำนั้นแม้จะมองไม่เห็นแต่ยามเมื่อหลับตาแล้วคิดคำนึงถึงแค่นั้นก็ราวกับว่าได้มองเห็น...ในช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่ความทรงจำนั้นจะถูกเก็บไว้ภายใต้ส่วนหนึ่งของจิตใจ ทว่าเจ้ารู้หรือไม่ว่ายามเมื่อชีวิตที่มีความทรงจำนั้นไร้ตัวตนแล้วความทรงจำทั้งหมดนั้นใครกันที่จะเป็นผู้ปกป้องเอาไว้..."คำถามที่เขาไม่เข้าใจนัก แต่ก็พยายามครุ่นคิดแล้วตอบออกมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก
"ผู้ที่อยู่ข้างกายคนๆนั้นงั้นเหรอ.."
"ถ้าเช่นนั้นแล้วหากเมื่อถึงเวลาที่คนผู้นั้นไร้ตัวตนล่ะ ใครกันที่จะเป็นคนสานต่อความทรงจำนั้น"แล้วคำถามใหม่ก็เริ่มขึ้นเพียงแต่คราวนี้เขาไม่อาจตอบได้แม้จะพยายามหาคำตอบมากเท่าไรก็ตาม ชินส่ายหัวไปมาคล้ายเชิงยอมแพ้ขอคำตอบสติงจึงได้เริ่มอธิบาย
"ชินทุกครั้งที่นายก้าวเดินย่อมทิ้งร่องรอยเอาไว้บนผืนดิน เหล่าปักษาที่แม้จะเวียนว่ายบนท้องฟ้าต่างก็ทอดเงาสู่ผืนดินเช่นกัน ไม่ว่าเรื่องทุกข์ สุข เสียใจ ดีใจ น้ำตาและเสียงหัวเราะล้วนเกิดขึ้นภายใต้นัยน์เนตรแห่งผืนดินผู้ที่คอยแบกรับเรื่องราวต่างๆเอาไว้ ผืนดินนั้นจักต้องแบบรับความทรงจำของทุกสิ่งเอาไว้ไม่ว่าสิ่งนั้นจะหามีชีวิตไม่แล้วก็ตาม...และนั่นก็คือหน้าที่ของเทพีแห่งผืนดินสเตลล่าไงล่ะ..."น้ำเสียงของเขาที่อธิบายฟังดูราบเรียบแต่ได้แฝงความเศร้าเอาไว้ไม่น้อยทีเดียว ดวงตาของเขาหรี่ลงเหมือนอยากจะข่มความรู้สึกเอาไว้
"เพียงแต่ว่า..ยามเมื่อต้องรักษาความทรงจำเหล่านั้นที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้นมีหรือที่จะไม่มีสิ่งใดแลกเปลี่ยน เพราะเพื่อการรักษาความทรงจำทุกสิ่งเอาไว้สเตลล่าจึงจำต้องละทิ้งความทรงจำของเธอไป วันนี้เธออาจจะจำพวกข้าได้แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรกันที่ความทรงจำจะจางหายไป อาจอีก1ปี 1เดือนหรือพรุ่งนี้ก็ได้ที่สเตลล่าจะหันกลับมาถามพวกข้าว่า"ท่านคือใคร"และมันก็จะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ"
เจ็บปวดนักที่ไม่รู้ว่าวันใดเธอจะลืมพวกตนไป....
วันนี้เธออาจจะยังยิ้มให้แต่ถ้ายามเมื่อเธอลืมเลือนแล้ว เธอนั้นจะยังยิ้มให้หรือไม่...
ไม่รู้ว่าการลืมพวกเขาถ้านับจากครั้งสุดท้ายเป็นครั้งที่เท่าไหร่กันแน่...
เวลาที่จะลืมเลือนตัวตนของเธอนั้นนับวันยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อย...
"แม้สเตลล่าจะไม่มีวันดับสลายเช่นพวกข้าแต่เมื่อวันที่ความทรงจำเหล่านั้นหายไปสเตลล่าก็จะไม่ใช่สเตลล่าที่พวกข้ารู้จักอีกต่อไป..."คำกล่าวทิ้งท้ายนั้นเหมือนเป็นคำระบายอารมณ์ที่อัดอั้นอยู่ภายในใจของเขา
แม้เธอจะมีอายุมากกว่าพวกเขาแต่สำหรับพวกเขาแล้วเธอก็คือ น้องสาวคนเล็กที่ต้องคอยดูแล...
พวกเขาเองก็โง่นักที่แม้รู้ว่าอีกไม่นานเธอก็จะไม่รู้จักพวกเขาแต่พวกเขาก็ไม่อาจจะทิ้งเธอไปได้...
เคยคิดอยากจะออกไปให้ไกลห่างเพื่อหนีความเจ็บปวดของการถูกลืมแต่ว่าก็ไม่สำเร็จ เพราะใจนั้นไม่อาจหนีความเป็นห่วงที่มีให้เธอได้...
และหากพวกเขาที่อยู่กับเธอมาตลอดยังทอดทิ้งเธอนั้นแล้วใครเล่าที่จะมาคอยอยู่เคียงกายเธออีก...
รู้สึกได้ว่าขอบตานั้นร้อนผ่าวเมื่อได้ฟังคำพูดของผู้ที่คอยอยู่กับเธอเรื่อยมา ความโศกเศร้าของผู้ถูกลืมที่เขาเองก็เข้าใจ เพราะหากย้อนไปในวันนั้นเมื่อนานมาแล้วได้เขาก็อยากจะกลับไปนัก
ไปยังอดีตที่แสนโหยหา...
.................
...........
.......
ในวันนั้นช่างเป็นวันที่แสงแดดแรงกล้านัก รู้สึกได้เลยว่าไอร้อนของแดดทะลุผ่านเสื้อผ้าเข้ามาในขณะที่ข้าและเรย์กำลังเดินทางผ่านหมู่บ้านออกมาและมุ่งหน้ามายังนครแพลนท์ตามที่ท่านลักซ์ได้เป็นผู้นัดหมายเอาไว้ ไม่นานหลังจากที่พวกข้าผ่านเขตเมืองมาก็เข้าสู่ป่าวงกตที่หากไร้การนำทางของเสียงฮาร์ปที่ลอยมาก็คงมิอาจผ่านเข้ามาได้
เมื่อได้ผ่านพ้นเขตป่าวงกตมาพวกข้าก็เข้าสู่เนินสีเขียวชอุ่มและข้าก็เห็นสตรีผมสีเพลิงกำลังขับร้องบทเพลงอันแสนเศร้าอยู่ ยามที่นางได้หันมามองพวกข้านั้นฮาร์ปในมือก็หยุดบรรเลงไปในทันที นางลุกขึ้นแล้วเดินมาทางพวกข้าพร้อมกล่าวต้อนรับด้วยใบหน้าที่เฉยชาไร้รอยยิ้มใดๆไม่ต่างจากครั้งสุดท้ายที่ได้พบ
"ยินดีต้อนรับการกลับมาค่ะ ท่าชินและท่านเรย์ ข้าเทพีผู้นำทางเฟรย์ อัลสตาร์ขอเป็นผู้นำพาท่านสู่คฤหาสน์ค่ะ"นิ้วเรียวสวยวางลงบนเส้นสายของฮาร์ปในมือแล้วเริ่มกรีดกรายนิ้วสลับไปมาจนเกิดเสียงแล้วลูกแก้วบนเครื่องสายนั้นก็ส่องแสงเป็นประกายเจิดจ้า ข้าและเรย์เองก็ใช้พลังเล็กน้อยเป็นตัวเสริมแล้วในวินาทีต่อมาข้าและเรย์ก็ได้มายืนอยู่หน้าคฤหาสน์สีขาวอันแสนงดงามแล้ว
"ยินดีต้อนรับค่ะท่านชินและท่านเรย์ ข้ามิลิอาเลีย ฮาวล์และเจสสิก้า ฟรานซิสขอเชิญท่านเข้าร่วมพิธีของท่านหญิงลักซ์ค่ะ โปรดตามพวกข้ามาทางนี้เลยนะคะ"พวกนางว่าก่อนจะย่อตัวให้คนละครั้งแล้วเดินนำหน้าพวกข้าไปยังที่แห่งหนึ่งก็คือห้องโถงใหญ่
พอเข้ามาข้ามองไปรอบข้างมีทั้งคนที่ข้ารู้จักและไม่รู้จัก คงเพราะว่าข้านั้นได้ถือกำเนิดมาทีหลังก็ได้ทำให้ไม่รู้จักใครมากนักและเมื่อยืนได้ครู่หนึ่งท่านลักซ์ก็ได้ก้าวเดินออกมาจากประตูใหญ่ที่อยู่ตรงกลางออกมา
ร่างบางระหงในชุดเกาะอกสีเขียวสวยขับให้ผิวสีนวลยิ่งดูขาวกว่าเดิม เส้นผมสีซากุระยาวสลวยถูกรวบเอาไว้เป็นสองข้างด้วยที่ครอบผมสีทองแล้วเมื่อนัยน์ตาสีครามที่งดงามได้มองผ่านพวกเขาก็ราวกับสะกดให้ทุกสิ่งหยุดนิ่งไม่ไหวติง ก่อนจะค่อยๆขยับกายร่ายรำไปมาพร้อมด้วยบทเพลงที่ถูกขับขานด้วยน้ำเสียงอันไพเราะ
ทุกครั้งที่แขนเพรียวสวยยกขึ้นสะบัดผืนผ้าเป็นดั่งผืนท้องนภา เส้นผมเกลียวสวยก็จะสะบัดเข้ามาดั่งเส้นรุ้งที่พาดผ่านไป ทุกสิ่งได้ตราตรึงเข้าสู่สายตาของข้าจนไม่แทบจะละไปไม่ได้ สำหรับข้านี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นท่านลักซ์ในลักษณะเช่นนี้ ส่วนคนอื่นนั้นก็อาจจะเป็นเช่นเดียวกับข้าเพราะว่านัยน์ตาทุกคู่ที่สบมองท่านหญิงนั้นต่างก็เป็นเช่นเดียวกับข้า
จนกระทั่งบทเพลงสุดท้ายได้หยุดลงทุกคนดูเหมือนจะได้สติคืนมาในทันใด ท่านลักซ์ได้บอกให้ทุกคนต่างเข้ามาเต้นรำได้ข้าก็มองเห็นชายหลายคนต่างโค้งให้กับสตรีข้างกายและจูงมือนางเหล่านั้นลงไปสู่ฟลอร์ทีละคู่
"ชินนายไม่ไปเต้นรำเหรอ"เจ้าเพื่อนที่ยืนเงียบอยู่นานถาม
"ไม่หรอกนายไปเถอะเรย์ สตรีคนนั้นสินะเป้าหมายของนาย"ข้าพยักเพยิดไปทางสตรีผมแดงสั้นซอยนามลูน่ามาเรียพลางแอบยิ้มขบขันเล็กน้อยเมื่อเห็นเรย์ผู้แสนจะเงียบขรึมทำหน้าตาเลิ่กลั่กขึ้นมา
"ไปสิจะมัวรออะไรอยู่ล่ะเดี๋ยวข้าก็ไปขอเองซะหรอก"ว่าแล้วก็ขอแหย่เจ้าสหายสนิทคนนี้เล็กน้อย
"ถ้าเจ้าไม่กลัวความเย็นก็เชิญ"เรย์ขู่ข้าเล็กน้อย แน่นอนข้าก็รู้ว่าแค่ขู่แต่ข้าคงคิดผิดเป็นแน่
"อืม..ข้าว่ามีน้ำแข็งมาประดับห้องบ้างก็ดีนะเพราะมันร้อนใช่เล่น"แล้วข้าก็ได้ยินเหมือนเสียงหัวเราะเย้ยหยันลอยมา รู้ตัวอีกทีมือของข้าก็เต็มไปด้วยน้ำแข็งเกาะพราวพราย
"เป็นไงล่ะเย็นดีใช่ไหม"เจ้าสหายสนิทส่งเสียงแหย่ทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินไปหาลูน่ามาเรียและขอเธอเต้นรำ
"เชอะ ซักวันข้าจะเอาเจ้าไปปล่อยทิ้งไว้บนท้องฟ้าให้ตกมาเป็นลูกเห็บเลยคอยดู"ข้าสวนกลับไปขณะที่รู้สึกว่าเจ้าน้ำแข็งนี่มันไม่จะละลายซะด้วย
ใช้พลังได้เยี่ยมมาก!
เรย์หันมายักไหล่ให้ข้าแบบไม่เกรงกลัวก่อนพาลูน่าเดินเข้าสู่ฟลอร์เต้นรำโดยทิ้งให้ข้ายืนกุมมือที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งเพียงคนเดียว จากนั้นไม่ว่าข้าจะทำอย่างไรเจ้าน้ำแข็งนี่ก็ไม่ยอมละลายเสียทีจึงต้องเดินออกมาข้างนอกเพื่อใช้แสงแดดช่วย เพราะอย่างน้อยมาโดนแสงแดดแบบนี้พลังน้ำแข็งก็คงอ่อนลงพอให้ข้าคลายออกได้
ข้าเดินผ่านทางออกที่อยู่ใกล้ที่สุดออกมาที่สวนหย่อมพร้อมเดินเข้าหาแสงสว่างที่เจิดจ้าและในไม่ช้าน้ำแข็งเจ้าปัญหาก็เริ่มกลายเป็นหยดน้ำทีละนิด ข้ายิ้มอย่างพึงใจพลางใช้พลังของตนเองสลายพลังน้ำแข็งที่มือออกในเวลาไม่นานเมื่อสาเหตุที่ข้าต้องเดินออกมาหาแสงแดดหมดไปข้าก็เดินวนสำรวจสวนหย่อมอันแสนสวยนี้ไปพลาง ทันใดนั้นเองข้าก็ได้ยินเสียงหนึ่งที่แสนแผ่วเบา
ครั้นพอเดินไปได้อีกหน่อยข้าก็มองเห็นสตรีคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้า นางมีเส้นผมสีทองสวยแม้จะอยู่ในทรงสั้นก็ตาม ร่างกายนั้นช่างเล็กราวกับเด็กสาววัยรุ่น นัยน์ตาสีชมพูเข้มที่มองไปบนผืนหญ้าสีเขีวก็ช่างงามนัก นางอยู่ในชุดสีขาวบริสุทธิ์ที่ชวนให้คิดถึงเทพธิดาที่ร่อนลงมาจากท้องฟ้า
"La..Lalla...La..."เจ้าของร่างบางนั้นส่งเสียงเพลงออกมาในขณะที่ร่างกายก็เริ่มขยับด้วยท่วงท่าที่ทำให้ข้าต้องแปลกใจ
ท่วงท่าอันแสนงดงามที่ข้าได้เห็นนี้ช่างเหมือนกับการร่ายรำของท่านลักซ์เมื่อครู่ไม่ผิดเพี้ยน เพียงแต่ความรู้สึกที่ให้นั้นกลับต่างออกไป การเต้นรำของท่านลักซ์นั้นงดงามและสวยสง่าดั่งหงส์ขาวที่ร่ายรำอยู่บนผืนน้ำที่สะท้อนความงามของมันออกไปเป็นดั่งระลอกที่ไม่มีวันสิ้นสุดแต่เธอนั้นกลับต่างออกไป...
แม้ว่าท่าทางจะเหมือนกันเพียงไรสิ่งที่ข้าเห็นนั้นไม่ใช่หงส์ขาวที่งามสง่าแต่เป็นกวางตัวน้อยที่กำลังกระโดดโลดเต้นในป่าใหญ่ภายใต้แสงอาทิตย์อันอบอุ่น เสียงเพลงที่ได้สดับฟังก็ราวกับได้ยินเสียงนกตัวน้อยขับร้องในยามรุ่งอรุณ ใบหน้านั้นมีรอยยิ้มที่ดูไร้เดียงสาและบริสุทธิ์กว่าสิ่งใดๆบนโลก นัยน์ตาที่ทอประกายสดใสก็กำลังดึงดูดให้ข้าเดินเข้าไปใกล้นางอย่างเผลอตัว
"อะ..ท่านคือ.."ดูท่าข้าจะทำให้กวางน้อยตกใจไม่น้อย เมื่อเห็นข้านางก็หยุดร่ายรำรีบถอยห่างออกไปตามแบบคนขี้กลัว
"ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะ ข้าคือเทพแห่งท้องฟ้านามชิน อาสึกะ ขอทราบนามของเจ้าได้ไหม"
"ข้า..เทพีแห่งผืนดินสเตลล่า ลูซเซอร์ แต่เรียกข้าว่าสเตลล่าก็ได้ค่ะท่านอาสึกะ"ข้ายิ้มให้กับท่าทางตื่นๆของนางก่อนพูดออกมา
"ถ้างั้นสเตลล่าก็ต้องเรียกข้าว่า ชินนะตกลงไหม"นางนิ่งคิดไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้มตอบกลับมาให้กับข้า
"ได้สิ ชิน"และนั่นเองก็คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวระหว่างข้าและสเตลล่า
นับจากวันนั้นหลายครั้งที่เราพบกันและหลายครั้งที่เราทั้งสองมานั่งคุยกันเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ นางมักจะเล่าเรื่องราวระหว่างนางและคนอีกสองคนที่อยู่กับนางเสมอคือ เทพแห่งสายน้ำอาวล์ นีเดอร์และเทพแห่งสายลมสติง โอ๊คเล่ย์ จากที่นางเล่ามานั้นทำให้ได้รู้ว่าพวกนางทั้งสามนั้นแม้แต่ได้ถือกำเนิดมาพร้อมกันแต่ก็รักกันดุจพี่น้องท้องเดียวกัน
บางครั้งเราสองคนก็ออกไปเดินเล่นในเมืองที่ร้างผู้คนที่ไม่ว่าข้าจะมองกี่ครั้งก็ชวนให้รู้สึกเหงาหงอยแต่เมื่อนางได้ยิ้มให้กับข้าทุกสิ่งก็ดูสดใสขึ้นมาทันตาหรือไม่เราสองคนก็จะมาขลุกอยู่ในอุทยานนี้ตลอดทั้งวันดังเช่นวั้นนี้
ย่างเข้าช่วงเย็นพวกกระรอกหางพวงที่เคยเล่นด้วยกันก็เริ่มกลับเข้ารังไปทีละตัว ตะวันที่คล้อยต่ำทอแสงสีส้มสวยแปรเปลี่ยนกุหลาบขาวให้กลายเป็นดอกพรีมโรส ภาพนี้ที่ไม่ว่ากี่ครั้งข้าและสเตลล่าก็รู้สึกชอบมันจนอดที่จะมาดูไม่ได้เป็นประจำ
โดยเฉพาะสเตลล่าที่มักจะมองไปยังดอกกุหลาบเหล่านั้นแล้วแย้มยิ้มออกมาราวกับเด็กก่อนจะเดินไปบนพื้นหินอ่อนสีน้ำตาลแดงแล้วเริ่มร่ายรำออกมาออกมา
บ่อยครั้งที่เธอร่ายรำแล้วหันมาสบตากับข้าพร้อมยิ้มให้ รอยยิ้มที่ทำให้หัวใจช่างอบอุ่นนัก ข้ามองดูนางอยู่ครู่หนึ่งร่างบางนั้นก็กลับมานั่งข้างกายข้าเหมือนจะพักเหนื่อย
"นี่สเตลล่าครั้งแรกที่ข้าได้พบเจ้านั้น เจ้าก็เต้นร่ายรำเช่นท่านลักซ์ใช่ไหม"
"อืม.."เธอตอบเสียงสั้น
"ท่านลักซ์นี่ช่างเป็นสตรีที่งดงามากเลยนะ อ่อนโยน ใจดีแม้จะเป็นสตรีที่สูงศักดิ์แต่ก็ไม่มีท่าทีถือตัวแม้แต่น้อย ช่างราวกับสตรีงามเพรียบพร้อมในอุดมคติของใครหลายคนเลยนะ"ข้าพูดเอ่ยไปตามที่เห็น กล่าวในสิ่งที่คิดโดยไม่ได้สังเกตท่าทีที่แปลกไปของสตรีข้างกายสักนิด
"...แล้วชินล่ะ..คิดยังไงกับท่านลักซ์เหรอ..."น้ำเสียงนั้นช่างแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินแต่ข้าก็ยังไม่ได้รู้สึกถึงอะไรบางอย่างในน้ำเสียงนั้น
อะไรบางอย่างที่ข้ามารู้ภายหลังว่าคือ..ความเศร้า
"..ก็ชอบละมั้ง"ข้าตอบสั้นๆ
ใช่ ข้าชอบท่านลักซ์เพราะท่านให้ความรู้สึกที่แสนอบอุ่น แต่ว่า...
ข้าก็ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับท่านลักซ์ ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าท่านช่างใจดีราวกับท่านเป็นพี่สาวของข้าเท่านั้น
สำหรับข้าแล้วแม้ว่าท่านลักซ์จะมีน้ำเสียงที่หวานไพเราะเพียงใดก็ไม่อาจเทียบได้กับเสียงหัวเราะอันร่าเริงของคนข้างกายข้าได้เลย...
รอยยิ้มของท่านลักซ์นั้นข้ายอมรับว่างดงามกว่าทุกสิ่งที่แต่ข้าต้องการนั้นก็คือ รอยยิ้มอันไร้เดียงของสเตลล่าต่างหากที่ข้าต้องการจะเห็น....
คำพูดในใจที่คิดอยากจะบอก....
"นี่สเตลล่าข้าน่ะ..."ทันใดนั้นร่างกายข้ากลับรู้สึกแปลกๆ กายข้าทรุดลงไปกับพื้นโดยมีสีหน้าเป็นห่วงของสเตลล่ามองอยู่
การดับสลายงั้นหรือ...ไม่สิมันยังเร็วเกินไป...
ข้ารู้สึกว่าสติเริ่มพร่าเลือนไปทีละนิด โดยไม่รู้สาเหตุไม่ว่าจะพยายามประคองสติไว้เท่าใดใจของข้ากลับยิ่งพร่าเลือนไปทุกที ข้าจึงได้พยายามหันไปหาเธอที่ตอนนี้นั่งอยู่ข้างกายข้าและสติสุดท้ายที่มีก็พยายามพูดออกไป
"สเตลล่า...ข้าขอจับมือเจ้าเอาไว้ได้ไหมและยามได้ที่ข้าตื่นขึ้นมาข้ามีเรื่องที่อยากจะบอกเจ้า..เพราะงั้น..ข้าขอจับมือเจ้าไว้ได้ไหม..."ข้าไม่รู้ว่านางตกลงรึเปล่า ข้าก็ได้คว้ามือเรียวสวยนั้นเอาไว้แล้ว
ก่อนที่สติของข้าจะหลับไหลข้าได้ยินเสียงของนางดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทพร้อมๆกับที่มีหยดน้ำกระทบกับใบหน้าของข้าทั้งที่ท้องฟ้านั้นไร้ฝน
"ขอโทษนะ..ชิน"
ยามข้าลืมตาตื่นก็ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ดวงตะวันที่เคยมีอยู่หายลับฟ้าเหลือแต่เพียงท้องฟ้ามืดมัวเพราะเมฆบดบังแสงจันทร์ ข้ารู้สึกได้ว่ามือที่เคยกุมไว้นั้นบัดนี้ได้หายไปแล้วและมีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในอุ้งมือนี้แทน
"สเตลล่า..."ข้าลุกขึ้นยืนและพยายามมองหานางรอบบริเวณนั้น
"สเตลล่า! เจ้าอยู่ที่ไหน!"
.....................
เงียบไร้เสียงตอบรับใดๆ
"สเตลล่า!"จากนั้นไม่ว่าข้าจะพยายามมองหาซักเท่าใดหรือตะโกนเรียกเสียงดังแค่ไหนข้าก็ได้รับรู้แล้วว่าข้างกายข้านั้นไม่ได้มีเธออยู่อีกแล้ว...
สิ่งที่เหลืออยู่ในอุ้งมือของข้านั้นมีเพียงสร้อยสีเงินเส้นบางที่มีเพียงเปลือกหอยสีชมพูประดับเอาไว้ ข้าจำได้ว่ามันคือสร้อยที่สเตลล่าจะสวมเอาไว้เสมอ
เมื่อข้าได้กลับมาที่คฤหาสน์ท่านลักซ์ก็ได้บอกข้าว่าสเตลล่ากับพวกของนางก็ได้ออกเดินทางอีกครั้งแล้ว โดยไร้คำร่ำลาใดๆ
ข้านึกเสียใจและโกรธตนเองที่ไม่อาจได้บอกความในใจออกไป
ข้าจึงได้แต่หวัง...
หวังว่าซักวันข้าและนางคงได้พบกันอีกครั้งหนึ่ง...
สเตลล่า..สตรีผู้เป็นที่รักของท้องฟ้า....
............
......
....
เวลาผ่านไปข้าก็ได้พบกับนางอีกครั้ง นางยังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยนทั้งใบหน้าและน้ำเสียงช่างเหมือนกับทุกสิ่งที่อยู่ในความทรงจำของข้า ณ ชั่วแว่บแรกที่ข้าได้เห็นนางข้าดีใจจนบอกไม่ถูก
ดีใจที่จะได้พูดคุยกับนางอีกครั้ง...
ดีใจที่จะได้เห็นรอยยิ้มที่ข้าคนึงหา...
ความในใจตั้งแต่เมื่อครั้งอดีตที่ไม่ว่าผ่านมานานเท่าไร บัดนี้ก็ยังคงไม่แปรเปลี่ยนไปจากเดิม แต่ทว่า...ในตอนนี้ไม่ว่าข้าจะคิดถึงนางมากแค่ไหน อยากจะคุยกับนางเพียงไรหรือคำที่ว่า"ข้ารักนางมากแค่ไหน"มันก็ไร้ค่า
เพราะนางได้ลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมดแล้ว...
#####################################
แล้วคอมเม้นต์กันเยอะๆน้าคนเขียนจะได้มีกำลังใจ
Phase 18 กาลเวลาของผืนดินผู้หลงรักท้องฟ้า
ซ่า...ซ่า......ซ่า...............
เสียงสายฝนที่เคยพัดถาโถมเริ่มเบาลงเรื่อยๆจนกระทั่งเงียบสนิทเหลือเพียงเสียงหยดน้ำที่ค้างคาอยู่ตามที่ต่างๆร่วงหล่นสู่พื้นเบื้องล่างดังเผาะและก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างหนึ่งบนที่นอนลืมตาตื่นขึ้นก่อนใช้มือยันตัวลุกจากที่นอนนุ่มๆ มือข้างหนึ่งลูบไล้เส้นผมสีนิลที่ยุ่งเหยิงจากการนอนเล็กน้อย
เนตรสีทับทิมเหม่อมมองออกไปนอกหน้าต่างประสาคนเพิ่งตื่นจนเวลาผ่านไปสักนาทีสองนาทีนัยน์ตาที่เลื่อนลอยก็เริ่มมีประกายขึ้นมาบ้างตามแบบคนที่ตื่นเต็มตา สายตาที่มองท้องฟ้ากำลังรู้สึกว่าท้องฟ้านั้นช่างดูเศร้าหมองนัก
ฟ้าหลังฝนที่ควรจะสดใสกลับไม่ใสเท่าที่ควรเป็น...หรือว่ามันเป็นเพราะจิตใจของผู้ที่มองท้องฟ้ากันแน่นะที่หม่นหมอง
"สเตลล่า..."นามของสตรีภายในดวงใจถูกเอ่ยออกมา
ข้ากำลังเศร้าใช่ไหม...
ข้ากำลังเศร้าเพราะนางมิอาจจำเขาได้งั้นหรือ...
เจ้านั้นลืมเลือนข้าไปแล้วจริงหรือ....
ร่างสูงลุกจากเตียงก่อนบิดตัวไปมาไล่ความเกียจคร้านภายในกายออกไปและตัดสินใจไปเดินเล่นเพื่อผ่อนคลายจิตใจที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
ขอโทษนะ ตอนนี้ขอให้นายอย่ามายุ่งกับสเตลล่าเลย อย่าน้อยก็เพื่อสเตลล่าและรวมถึงนายด้วย
คำพูดนั้นมันหมายความว่าอย่างไร...มันเกิดอะไรขึ้นกับสเตลล่าในครั้งสุดท้ายที่เราจากกัน....ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ อยากจะเข้าไปถามตั้งแต่เมื่อครั้งที่ได้ยินนักว่า มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ขณะที่ก้าวเดินไปใจที่ใคร่ครวญถึงเรื่องนี้ก็สังเกตได้ถึงบางสิ่งนั่นคือผู้คนที่เคยเห็นเดินอยู่แถวนี้กลับหายไป ช่างให้ความรู้สึกเงียบเชียบจนน่าใจหาย แต่แล้วในความเงียบนั้นเองเขาก็สดับได้ถึงเสียงสนทนาของใครบางคนอยู่ออกไปไม่ห่างมากเท่าไหร่
น้ำเสียงหวานพูดคุยสลับกับเสียงทุ้มๆของคนที่น่าจะเป็นบุรษและแน่นอนน้ำเสียงหวานนั้นเขาจำได้ว่าเป็นเสียงของใคร
"เสียงนี้..สเตลล่า"ไม่ต้องรอให้ใครสั่งเขาเดินตามเสียงไปแทบจะในทันที
เหตุที่ได้ยินเสียงเพราะมันดังแว่วมากับสายลมเพราะงั้นที่ๆนางอยู่ก็คงเป็น สวนหย่อมสินะ...
เมื่อถึงจุดหมายก็ใช่อย่างที่เขาคิดจริงๆร่างบอบบางที่แสนคุ้นตากำลังยืนคุยกับชายหนุ่มสองคนที่มักจะอยู่กับเธอเสมอ เขาสังเกตได้ว่าใบหน้าของทั้งสามนั้นช่างดูหม่นหมองราวกับท้องฟ้าในเวลานี้เหลือเกินและก่อนที่เขาจะได้เดินเข้าไปริมฝีปากบางก็เป็นฝ่ายเอ่ยออกมาทำให้เขาเปลี่ยนใจมายืนหลบแถวประตูแทน
"ไม่ได้หรอกสติง ข้าน่ะไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงไม่อาจรู้สึกถึงความทรงจำของเธอได้เลย"ความทรงจำ...คำพูดที่เขาไม่เข้าใจ
"ถ้างั้นความทรงจำของคนที่ชื่อไซล่ะ"ชายผมฟ้าที่เขาจำได้ว่าชื่ออาล์วถามขึ้น สเตลล่าพยักหน้าน้อยๆแต่ดวงตากลับเศร้าหมอง
"แม้ว่าข้าจะมีความทรงจำของคนที่ชื่อไซแต่ว่า.."
"แต่ว่าอะไร.."อาล์วถามต่อ เขาเห็นสเตลล่าหลับตาลงและยามเมื่อลืมตาขึ้นความรู้สึกภายใต้ดวงตาของเธอนั้นก็เปลี่ยนไป
"ข้าในตอนนี้น่ะกำลังรักษาความทรงจำของใครซักคนเอาไว้ ใครซักคนที่ข้าเองก็ไม่อาจนึกออก ความรู้สึกที่มีมันแปลกออกไปจากสิ่งต่างๆที่ข้าต้องรักษาเอาไว้ราวกับว่ามันใกล้จะเลือนหายไปเต็มที เพราะงั้นหากข้านำความทรงจำของบุรุษนามไซ อาร์ไกล์ออกมาแล้วข้าก็เกรงว่าความทรงจำของใครคนนั้นจะเลือนหายไปจริงๆและพวกท่านเองก็รู้มิใช่หรือว่าความทรงจำในกายข้า ณ ตอนนี้เต็มไปด้วยความสับสนเพียงไร"
น้ำคำของเธอที่เคยอ่อนหวานกลับฟังดูเย็นเยียบ นัยน์ตาที่ดูเหม่อลอยราวกับไร้จุดยืนผันเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้นมาแต่กลับรู้สึกได้ถึงความสง่าในเวลาเดียวกันพร้อมทั้งกิริยาท่าทางที่ผิดไปจากเดิม แต่ทั้งอาล์วและสติงกลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรซักนิด
"งั้นหรือ ว่าแต่เจ้าออกมาได้อย่างไรสเตลล่าแห่งอนาคต"คำถามของสติงที่ยิ่งจุดชนวนความสงสัยของผู้ที่แอบฟัง
"ในครานี้สเตลล่ากำลังอ่อนแอเพราะว่าตัวตนในอดีตของนางนั้นกำลังร้องไห้อยู่ แม้ไม่มีน้ำตาแต่ข้าก็รู้ว่านางกำลังร้องไห้อยู่ภายในตัวข้า ช่างน่าแปลกนักนะทั้งที่ตัวตนของสเตลล่าคนนั้นได้ลบเลือนไปแล้วแท้ๆ"เธอคนนั้นยิ้มเศร้าๆออกมาก่อนจะเอ่ยต่อ
"การที่จิตใจของนางไม่คงที่เช่นนี้จะทำให้'เวลานั้น'มาถึงเร็วขึ้น ข้าจึงต้องเป็นฝ่ายออกมาเองเพื่อรักษาสภาพจิตใจของปัจจุบันเอาไว้"
เวลานั้น..ที่ข้าไม่อยากจะให้มันมาถึงสักนิด
"จิตใจอ่อนแองั้นเหรอ เจ้าพอจะบอกได้ไหมว่าเพราะอะไร"
"เวลาไงล่ะ"สเตลล่าผ่อนลมหายใจออกมายาวและเริ่มต้นอธิบายด้วยน้ำเสียงที่คล้ายฟังดูเศร้าใจ
"ยามเมื่อวันเวลาหมุนเวียน อดีตถูกลบเลือนแทนที่ด้วยปัจจุบันซึ่งพอเวลาผ่านไปปัจจุบันนั้นก็จะแปรเปลี่ยนเป็นอดีต อนาคตที่เกิดขึ้นกลายเป็นปัจจุบันแล้วไม่ช้าอนาคตนั้นก็จะกลายเป็นอดีต จนกระทั่งในที่สุดก็เลือนหายไป ทุกสิ่งจะวนเวียนไปมาเช่นนี้อย่างไร้จุดสิ้นสุด"
ทั้งที่รู้ดีว่ามันถูกกำหนดเอาไว้แล้วและไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้...
แต่แล้วก็ยังต้องร่ำไห้กับมันอยู่ร่ำไป...
ไม่รู้ว่าเมื่อกันที่เธอเองก็จักต้องเลือนหายไปจากร่างนี้....
"แต่ว่า..บางทีสิ่งที่ทำที่ทำให้สเตลล่าอ่อนแอนั้นคงไม่ใช่เรื่องนี้หรอกนะ"หญิงสาวเงียบเสียง นัยน์ตาคู่สวยมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีหม่นและเริ่มพูดออกมาอีกครั้ง
"สเตลล่ากำลังหลงรักในท้องฟ้าที่มิอาจเอื้อม แม้ว่าท้องฟ้านั้นจะยื่นมือมาให้นางก็ไม่อาจจะสัมผัสได้ ช่างน่าเศร้านักที่แม้ท้องฟ้าและผืนดินจะอยู่เคียงคู่กัน มองกันและกันเสมอแต่ทั้งคู่กับไม่อาจจะเชื่อมสัมพันธ์ได้แม้แต่นิดทำได้แค่ทอดยาวออกไปไกลเปรียบดั่งเส้นขนานที่ไร้จุดจบนักและเพราะเป็นเช่นนั้นนางจึงต้องเจ็บปวดยามเมื่อเวลาที่เลือนหายนั้นได้ใกล้เข้ามา"
นัยน์ตาคู่สวยหรี่ลงมิยอมสบมองท้องฟ้าที่อ้างว่ารักก่อนจะเดินห่างออกไปทิ้งความสงสัยไว้ให้ใครบางคนที่ยืนหลบอยู่ ทับทิมคู่สวยก้มมองพื้นต่ำอย่างเจ็บปวดเพราะเรื่องที่ได้ยิน เพราะจากที่เขาได้ฟังมานั้นข้อสรุปที่ได้ก็คือ
สเตลล่ากำลังจะดับสลาย.....
เขาเดินออกมาข้างนอกมุ่งตรงไปยังชายสองคนที่เฝ้ามองเธอคนนั้นซึ่งอยู่ไกลออกไปพอควร แต่เพียงแค่เขาย่ำเท้าออกมานอกประตูชายสองคนนั้นก็หันมาทางเขาทันที
"นายเองเหรอมีอะไรล่ะ"สติงถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเขายืนอยู่ตรงนั้นและรู้ด้วยว่าเขาต้องการจะรู้อะไร
"เรื่องของ..สเตลล่า"
"ก็อย่างที่นายได้ยินนั่นแหละ"นัยน์ตาสีทับทิมเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อหูตนเองเพราะมันเหมือนกับย้ำข้อสรุปที่เขาคิดได้
"หมายความว่า อีกไม่นานสเตลล่าจะดับสลายไปงั้นเหรอ"ทั้งสติงและอาวล์หันมามองชินด้วยสายตาแปลกใจนิดๆแล้วสติงก็กล่าวออกมา
"ก็ไม่เชิงหรอก.."คำพูดที่เหมือนจุดประกายความหวังอันน้อยนิดของเขาแต่ก็ยังนึกหวั่นใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
"นายอยากจะรู้งั้นเหรอ"เขาถามซึ่งชินรีบพยักหน้าอย่างไร้ความลังเลแต่ยังไม่ทันที่สติงจะเอ่ยปากพูดอาวล์ก้ขัดขึ้นมา
"จะดีเหรอสติง"
"ไม่เป็นไรน่าอาวล์ มันก็ยังดีกว่าไม่ให้รู้อะไรเลยแล้วบางที..มันอาจจะทำให้ตัดใจได้เร็วขึ้นก็ได้"นัยน์ตาคมหันมามองเขาและจ้องลึกลงไปภายในดวงตาหมายจะชั่งใจในความพร้อมของอีกฝ่าย เมื่อเห็นอีกฝ่ายไร้ความลังเลเขาก็เริ่มพูดขึ้น
"ชิน นายรู้ใช่ไหมว่าบนโลกนี้มีสิ่งมีชีวิตมากมาย...ทั้งผืนป่า สัตว์ต่างๆรวมทั้งมนุษย์ ทุกสิ่งบนโลกนั้นต่างก็มีชีวิตอยู่ตามอายุขัยของมัน ภายในช่วงที่มีชีวิตอยู่นั้นจะต้องพบเรื่องราวต่างๆมากมายทั้งเรื่องที่มีความสุขและเรื่องที่โศกเศร้าและเมื่อเวลาผ่านไปสิ่งเหล่านั้นก็จะกลายเป็นอดีตภายใต้จิตใจที่เรียกว่า ความทรงจำ..."เขาหยุดไปเล็กน้อยเพื่อผ่อนลมหายใจยาวแล้วเริ่มเล่าต่ออีกครั้ง
"ความทรงจำนั้นแม้จะมองไม่เห็นแต่ยามเมื่อหลับตาแล้วคิดคำนึงถึงแค่นั้นก็ราวกับว่าได้มองเห็น...ในช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่ความทรงจำนั้นจะถูกเก็บไว้ภายใต้ส่วนหนึ่งของจิตใจ ทว่าเจ้ารู้หรือไม่ว่ายามเมื่อชีวิตที่มีความทรงจำนั้นไร้ตัวตนแล้วความทรงจำทั้งหมดนั้นใครกันที่จะเป็นผู้ปกป้องเอาไว้..."คำถามที่เขาไม่เข้าใจนัก แต่ก็พยายามครุ่นคิดแล้วตอบออกมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก
"ผู้ที่อยู่ข้างกายคนๆนั้นงั้นเหรอ.."
"ถ้าเช่นนั้นแล้วหากเมื่อถึงเวลาที่คนผู้นั้นไร้ตัวตนล่ะ ใครกันที่จะเป็นคนสานต่อความทรงจำนั้น"แล้วคำถามใหม่ก็เริ่มขึ้นเพียงแต่คราวนี้เขาไม่อาจตอบได้แม้จะพยายามหาคำตอบมากเท่าไรก็ตาม ชินส่ายหัวไปมาคล้ายเชิงยอมแพ้ขอคำตอบสติงจึงได้เริ่มอธิบาย
"ชินทุกครั้งที่นายก้าวเดินย่อมทิ้งร่องรอยเอาไว้บนผืนดิน เหล่าปักษาที่แม้จะเวียนว่ายบนท้องฟ้าต่างก็ทอดเงาสู่ผืนดินเช่นกัน ไม่ว่าเรื่องทุกข์ สุข เสียใจ ดีใจ น้ำตาและเสียงหัวเราะล้วนเกิดขึ้นภายใต้นัยน์เนตรแห่งผืนดินผู้ที่คอยแบกรับเรื่องราวต่างๆเอาไว้ ผืนดินนั้นจักต้องแบบรับความทรงจำของทุกสิ่งเอาไว้ไม่ว่าสิ่งนั้นจะหามีชีวิตไม่แล้วก็ตาม...และนั่นก็คือหน้าที่ของเทพีแห่งผืนดินสเตลล่าไงล่ะ..."น้ำเสียงของเขาที่อธิบายฟังดูราบเรียบแต่ได้แฝงความเศร้าเอาไว้ไม่น้อยทีเดียว ดวงตาของเขาหรี่ลงเหมือนอยากจะข่มความรู้สึกเอาไว้
"เพียงแต่ว่า..ยามเมื่อต้องรักษาความทรงจำเหล่านั้นที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้นมีหรือที่จะไม่มีสิ่งใดแลกเปลี่ยน เพราะเพื่อการรักษาความทรงจำทุกสิ่งเอาไว้สเตลล่าจึงจำต้องละทิ้งความทรงจำของเธอไป วันนี้เธออาจจะจำพวกข้าได้แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรกันที่ความทรงจำจะจางหายไป อาจอีก1ปี 1เดือนหรือพรุ่งนี้ก็ได้ที่สเตลล่าจะหันกลับมาถามพวกข้าว่า"ท่านคือใคร"และมันก็จะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ"
เจ็บปวดนักที่ไม่รู้ว่าวันใดเธอจะลืมพวกตนไป....
วันนี้เธออาจจะยังยิ้มให้แต่ถ้ายามเมื่อเธอลืมเลือนแล้ว เธอนั้นจะยังยิ้มให้หรือไม่...
ไม่รู้ว่าการลืมพวกเขาถ้านับจากครั้งสุดท้ายเป็นครั้งที่เท่าไหร่กันแน่...
เวลาที่จะลืมเลือนตัวตนของเธอนั้นนับวันยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อย...
"แม้สเตลล่าจะไม่มีวันดับสลายเช่นพวกข้าแต่เมื่อวันที่ความทรงจำเหล่านั้นหายไปสเตลล่าก็จะไม่ใช่สเตลล่าที่พวกข้ารู้จักอีกต่อไป..."คำกล่าวทิ้งท้ายนั้นเหมือนเป็นคำระบายอารมณ์ที่อัดอั้นอยู่ภายในใจของเขา
แม้เธอจะมีอายุมากกว่าพวกเขาแต่สำหรับพวกเขาแล้วเธอก็คือ น้องสาวคนเล็กที่ต้องคอยดูแล...
พวกเขาเองก็โง่นักที่แม้รู้ว่าอีกไม่นานเธอก็จะไม่รู้จักพวกเขาแต่พวกเขาก็ไม่อาจจะทิ้งเธอไปได้...
เคยคิดอยากจะออกไปให้ไกลห่างเพื่อหนีความเจ็บปวดของการถูกลืมแต่ว่าก็ไม่สำเร็จ เพราะใจนั้นไม่อาจหนีความเป็นห่วงที่มีให้เธอได้...
และหากพวกเขาที่อยู่กับเธอมาตลอดยังทอดทิ้งเธอนั้นแล้วใครเล่าที่จะมาคอยอยู่เคียงกายเธออีก...
รู้สึกได้ว่าขอบตานั้นร้อนผ่าวเมื่อได้ฟังคำพูดของผู้ที่คอยอยู่กับเธอเรื่อยมา ความโศกเศร้าของผู้ถูกลืมที่เขาเองก็เข้าใจ เพราะหากย้อนไปในวันนั้นเมื่อนานมาแล้วได้เขาก็อยากจะกลับไปนัก
ไปยังอดีตที่แสนโหยหา...
.................
...........
.......
ในวันนั้นช่างเป็นวันที่แสงแดดแรงกล้านัก รู้สึกได้เลยว่าไอร้อนของแดดทะลุผ่านเสื้อผ้าเข้ามาในขณะที่ข้าและเรย์กำลังเดินทางผ่านหมู่บ้านออกมาและมุ่งหน้ามายังนครแพลนท์ตามที่ท่านลักซ์ได้เป็นผู้นัดหมายเอาไว้ ไม่นานหลังจากที่พวกข้าผ่านเขตเมืองมาก็เข้าสู่ป่าวงกตที่หากไร้การนำทางของเสียงฮาร์ปที่ลอยมาก็คงมิอาจผ่านเข้ามาได้
เมื่อได้ผ่านพ้นเขตป่าวงกตมาพวกข้าก็เข้าสู่เนินสีเขียวชอุ่มและข้าก็เห็นสตรีผมสีเพลิงกำลังขับร้องบทเพลงอันแสนเศร้าอยู่ ยามที่นางได้หันมามองพวกข้านั้นฮาร์ปในมือก็หยุดบรรเลงไปในทันที นางลุกขึ้นแล้วเดินมาทางพวกข้าพร้อมกล่าวต้อนรับด้วยใบหน้าที่เฉยชาไร้รอยยิ้มใดๆไม่ต่างจากครั้งสุดท้ายที่ได้พบ
"ยินดีต้อนรับการกลับมาค่ะ ท่าชินและท่านเรย์ ข้าเทพีผู้นำทางเฟรย์ อัลสตาร์ขอเป็นผู้นำพาท่านสู่คฤหาสน์ค่ะ"นิ้วเรียวสวยวางลงบนเส้นสายของฮาร์ปในมือแล้วเริ่มกรีดกรายนิ้วสลับไปมาจนเกิดเสียงแล้วลูกแก้วบนเครื่องสายนั้นก็ส่องแสงเป็นประกายเจิดจ้า ข้าและเรย์เองก็ใช้พลังเล็กน้อยเป็นตัวเสริมแล้วในวินาทีต่อมาข้าและเรย์ก็ได้มายืนอยู่หน้าคฤหาสน์สีขาวอันแสนงดงามแล้ว
"ยินดีต้อนรับค่ะท่านชินและท่านเรย์ ข้ามิลิอาเลีย ฮาวล์และเจสสิก้า ฟรานซิสขอเชิญท่านเข้าร่วมพิธีของท่านหญิงลักซ์ค่ะ โปรดตามพวกข้ามาทางนี้เลยนะคะ"พวกนางว่าก่อนจะย่อตัวให้คนละครั้งแล้วเดินนำหน้าพวกข้าไปยังที่แห่งหนึ่งก็คือห้องโถงใหญ่
พอเข้ามาข้ามองไปรอบข้างมีทั้งคนที่ข้ารู้จักและไม่รู้จัก คงเพราะว่าข้านั้นได้ถือกำเนิดมาทีหลังก็ได้ทำให้ไม่รู้จักใครมากนักและเมื่อยืนได้ครู่หนึ่งท่านลักซ์ก็ได้ก้าวเดินออกมาจากประตูใหญ่ที่อยู่ตรงกลางออกมา
ร่างบางระหงในชุดเกาะอกสีเขียวสวยขับให้ผิวสีนวลยิ่งดูขาวกว่าเดิม เส้นผมสีซากุระยาวสลวยถูกรวบเอาไว้เป็นสองข้างด้วยที่ครอบผมสีทองแล้วเมื่อนัยน์ตาสีครามที่งดงามได้มองผ่านพวกเขาก็ราวกับสะกดให้ทุกสิ่งหยุดนิ่งไม่ไหวติง ก่อนจะค่อยๆขยับกายร่ายรำไปมาพร้อมด้วยบทเพลงที่ถูกขับขานด้วยน้ำเสียงอันไพเราะ
ทุกครั้งที่แขนเพรียวสวยยกขึ้นสะบัดผืนผ้าเป็นดั่งผืนท้องนภา เส้นผมเกลียวสวยก็จะสะบัดเข้ามาดั่งเส้นรุ้งที่พาดผ่านไป ทุกสิ่งได้ตราตรึงเข้าสู่สายตาของข้าจนไม่แทบจะละไปไม่ได้ สำหรับข้านี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นท่านลักซ์ในลักษณะเช่นนี้ ส่วนคนอื่นนั้นก็อาจจะเป็นเช่นเดียวกับข้าเพราะว่านัยน์ตาทุกคู่ที่สบมองท่านหญิงนั้นต่างก็เป็นเช่นเดียวกับข้า
จนกระทั่งบทเพลงสุดท้ายได้หยุดลงทุกคนดูเหมือนจะได้สติคืนมาในทันใด ท่านลักซ์ได้บอกให้ทุกคนต่างเข้ามาเต้นรำได้ข้าก็มองเห็นชายหลายคนต่างโค้งให้กับสตรีข้างกายและจูงมือนางเหล่านั้นลงไปสู่ฟลอร์ทีละคู่
"ชินนายไม่ไปเต้นรำเหรอ"เจ้าเพื่อนที่ยืนเงียบอยู่นานถาม
"ไม่หรอกนายไปเถอะเรย์ สตรีคนนั้นสินะเป้าหมายของนาย"ข้าพยักเพยิดไปทางสตรีผมแดงสั้นซอยนามลูน่ามาเรียพลางแอบยิ้มขบขันเล็กน้อยเมื่อเห็นเรย์ผู้แสนจะเงียบขรึมทำหน้าตาเลิ่กลั่กขึ้นมา
"ไปสิจะมัวรออะไรอยู่ล่ะเดี๋ยวข้าก็ไปขอเองซะหรอก"ว่าแล้วก็ขอแหย่เจ้าสหายสนิทคนนี้เล็กน้อย
"ถ้าเจ้าไม่กลัวความเย็นก็เชิญ"เรย์ขู่ข้าเล็กน้อย แน่นอนข้าก็รู้ว่าแค่ขู่แต่ข้าคงคิดผิดเป็นแน่
"อืม..ข้าว่ามีน้ำแข็งมาประดับห้องบ้างก็ดีนะเพราะมันร้อนใช่เล่น"แล้วข้าก็ได้ยินเหมือนเสียงหัวเราะเย้ยหยันลอยมา รู้ตัวอีกทีมือของข้าก็เต็มไปด้วยน้ำแข็งเกาะพราวพราย
"เป็นไงล่ะเย็นดีใช่ไหม"เจ้าสหายสนิทส่งเสียงแหย่ทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินไปหาลูน่ามาเรียและขอเธอเต้นรำ
"เชอะ ซักวันข้าจะเอาเจ้าไปปล่อยทิ้งไว้บนท้องฟ้าให้ตกมาเป็นลูกเห็บเลยคอยดู"ข้าสวนกลับไปขณะที่รู้สึกว่าเจ้าน้ำแข็งนี่มันไม่จะละลายซะด้วย
ใช้พลังได้เยี่ยมมาก!
เรย์หันมายักไหล่ให้ข้าแบบไม่เกรงกลัวก่อนพาลูน่าเดินเข้าสู่ฟลอร์เต้นรำโดยทิ้งให้ข้ายืนกุมมือที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งเพียงคนเดียว จากนั้นไม่ว่าข้าจะทำอย่างไรเจ้าน้ำแข็งนี่ก็ไม่ยอมละลายเสียทีจึงต้องเดินออกมาข้างนอกเพื่อใช้แสงแดดช่วย เพราะอย่างน้อยมาโดนแสงแดดแบบนี้พลังน้ำแข็งก็คงอ่อนลงพอให้ข้าคลายออกได้
ข้าเดินผ่านทางออกที่อยู่ใกล้ที่สุดออกมาที่สวนหย่อมพร้อมเดินเข้าหาแสงสว่างที่เจิดจ้าและในไม่ช้าน้ำแข็งเจ้าปัญหาก็เริ่มกลายเป็นหยดน้ำทีละนิด ข้ายิ้มอย่างพึงใจพลางใช้พลังของตนเองสลายพลังน้ำแข็งที่มือออกในเวลาไม่นานเมื่อสาเหตุที่ข้าต้องเดินออกมาหาแสงแดดหมดไปข้าก็เดินวนสำรวจสวนหย่อมอันแสนสวยนี้ไปพลาง ทันใดนั้นเองข้าก็ได้ยินเสียงหนึ่งที่แสนแผ่วเบา
ครั้นพอเดินไปได้อีกหน่อยข้าก็มองเห็นสตรีคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้า นางมีเส้นผมสีทองสวยแม้จะอยู่ในทรงสั้นก็ตาม ร่างกายนั้นช่างเล็กราวกับเด็กสาววัยรุ่น นัยน์ตาสีชมพูเข้มที่มองไปบนผืนหญ้าสีเขีวก็ช่างงามนัก นางอยู่ในชุดสีขาวบริสุทธิ์ที่ชวนให้คิดถึงเทพธิดาที่ร่อนลงมาจากท้องฟ้า
"La..Lalla...La..."เจ้าของร่างบางนั้นส่งเสียงเพลงออกมาในขณะที่ร่างกายก็เริ่มขยับด้วยท่วงท่าที่ทำให้ข้าต้องแปลกใจ
ท่วงท่าอันแสนงดงามที่ข้าได้เห็นนี้ช่างเหมือนกับการร่ายรำของท่านลักซ์เมื่อครู่ไม่ผิดเพี้ยน เพียงแต่ความรู้สึกที่ให้นั้นกลับต่างออกไป การเต้นรำของท่านลักซ์นั้นงดงามและสวยสง่าดั่งหงส์ขาวที่ร่ายรำอยู่บนผืนน้ำที่สะท้อนความงามของมันออกไปเป็นดั่งระลอกที่ไม่มีวันสิ้นสุดแต่เธอนั้นกลับต่างออกไป...
แม้ว่าท่าทางจะเหมือนกันเพียงไรสิ่งที่ข้าเห็นนั้นไม่ใช่หงส์ขาวที่งามสง่าแต่เป็นกวางตัวน้อยที่กำลังกระโดดโลดเต้นในป่าใหญ่ภายใต้แสงอาทิตย์อันอบอุ่น เสียงเพลงที่ได้สดับฟังก็ราวกับได้ยินเสียงนกตัวน้อยขับร้องในยามรุ่งอรุณ ใบหน้านั้นมีรอยยิ้มที่ดูไร้เดียงสาและบริสุทธิ์กว่าสิ่งใดๆบนโลก นัยน์ตาที่ทอประกายสดใสก็กำลังดึงดูดให้ข้าเดินเข้าไปใกล้นางอย่างเผลอตัว
"อะ..ท่านคือ.."ดูท่าข้าจะทำให้กวางน้อยตกใจไม่น้อย เมื่อเห็นข้านางก็หยุดร่ายรำรีบถอยห่างออกไปตามแบบคนขี้กลัว
"ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะ ข้าคือเทพแห่งท้องฟ้านามชิน อาสึกะ ขอทราบนามของเจ้าได้ไหม"
"ข้า..เทพีแห่งผืนดินสเตลล่า ลูซเซอร์ แต่เรียกข้าว่าสเตลล่าก็ได้ค่ะท่านอาสึกะ"ข้ายิ้มให้กับท่าทางตื่นๆของนางก่อนพูดออกมา
"ถ้างั้นสเตลล่าก็ต้องเรียกข้าว่า ชินนะตกลงไหม"นางนิ่งคิดไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้มตอบกลับมาให้กับข้า
"ได้สิ ชิน"และนั่นเองก็คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวระหว่างข้าและสเตลล่า
นับจากวันนั้นหลายครั้งที่เราพบกันและหลายครั้งที่เราทั้งสองมานั่งคุยกันเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ นางมักจะเล่าเรื่องราวระหว่างนางและคนอีกสองคนที่อยู่กับนางเสมอคือ เทพแห่งสายน้ำอาวล์ นีเดอร์และเทพแห่งสายลมสติง โอ๊คเล่ย์ จากที่นางเล่ามานั้นทำให้ได้รู้ว่าพวกนางทั้งสามนั้นแม้แต่ได้ถือกำเนิดมาพร้อมกันแต่ก็รักกันดุจพี่น้องท้องเดียวกัน
บางครั้งเราสองคนก็ออกไปเดินเล่นในเมืองที่ร้างผู้คนที่ไม่ว่าข้าจะมองกี่ครั้งก็ชวนให้รู้สึกเหงาหงอยแต่เมื่อนางได้ยิ้มให้กับข้าทุกสิ่งก็ดูสดใสขึ้นมาทันตาหรือไม่เราสองคนก็จะมาขลุกอยู่ในอุทยานนี้ตลอดทั้งวันดังเช่นวั้นนี้
ย่างเข้าช่วงเย็นพวกกระรอกหางพวงที่เคยเล่นด้วยกันก็เริ่มกลับเข้ารังไปทีละตัว ตะวันที่คล้อยต่ำทอแสงสีส้มสวยแปรเปลี่ยนกุหลาบขาวให้กลายเป็นดอกพรีมโรส ภาพนี้ที่ไม่ว่ากี่ครั้งข้าและสเตลล่าก็รู้สึกชอบมันจนอดที่จะมาดูไม่ได้เป็นประจำ
โดยเฉพาะสเตลล่าที่มักจะมองไปยังดอกกุหลาบเหล่านั้นแล้วแย้มยิ้มออกมาราวกับเด็กก่อนจะเดินไปบนพื้นหินอ่อนสีน้ำตาลแดงแล้วเริ่มร่ายรำออกมาออกมา
บ่อยครั้งที่เธอร่ายรำแล้วหันมาสบตากับข้าพร้อมยิ้มให้ รอยยิ้มที่ทำให้หัวใจช่างอบอุ่นนัก ข้ามองดูนางอยู่ครู่หนึ่งร่างบางนั้นก็กลับมานั่งข้างกายข้าเหมือนจะพักเหนื่อย
"นี่สเตลล่าครั้งแรกที่ข้าได้พบเจ้านั้น เจ้าก็เต้นร่ายรำเช่นท่านลักซ์ใช่ไหม"
"อืม.."เธอตอบเสียงสั้น
"ท่านลักซ์นี่ช่างเป็นสตรีที่งดงามากเลยนะ อ่อนโยน ใจดีแม้จะเป็นสตรีที่สูงศักดิ์แต่ก็ไม่มีท่าทีถือตัวแม้แต่น้อย ช่างราวกับสตรีงามเพรียบพร้อมในอุดมคติของใครหลายคนเลยนะ"ข้าพูดเอ่ยไปตามที่เห็น กล่าวในสิ่งที่คิดโดยไม่ได้สังเกตท่าทีที่แปลกไปของสตรีข้างกายสักนิด
"...แล้วชินล่ะ..คิดยังไงกับท่านลักซ์เหรอ..."น้ำเสียงนั้นช่างแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินแต่ข้าก็ยังไม่ได้รู้สึกถึงอะไรบางอย่างในน้ำเสียงนั้น
อะไรบางอย่างที่ข้ามารู้ภายหลังว่าคือ..ความเศร้า
"..ก็ชอบละมั้ง"ข้าตอบสั้นๆ
ใช่ ข้าชอบท่านลักซ์เพราะท่านให้ความรู้สึกที่แสนอบอุ่น แต่ว่า...
ข้าก็ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับท่านลักซ์ ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าท่านช่างใจดีราวกับท่านเป็นพี่สาวของข้าเท่านั้น
สำหรับข้าแล้วแม้ว่าท่านลักซ์จะมีน้ำเสียงที่หวานไพเราะเพียงใดก็ไม่อาจเทียบได้กับเสียงหัวเราะอันร่าเริงของคนข้างกายข้าได้เลย...
รอยยิ้มของท่านลักซ์นั้นข้ายอมรับว่างดงามกว่าทุกสิ่งที่แต่ข้าต้องการนั้นก็คือ รอยยิ้มอันไร้เดียงของสเตลล่าต่างหากที่ข้าต้องการจะเห็น....
คำพูดในใจที่คิดอยากจะบอก....
"นี่สเตลล่าข้าน่ะ..."ทันใดนั้นร่างกายข้ากลับรู้สึกแปลกๆ กายข้าทรุดลงไปกับพื้นโดยมีสีหน้าเป็นห่วงของสเตลล่ามองอยู่
การดับสลายงั้นหรือ...ไม่สิมันยังเร็วเกินไป...
ข้ารู้สึกว่าสติเริ่มพร่าเลือนไปทีละนิด โดยไม่รู้สาเหตุไม่ว่าจะพยายามประคองสติไว้เท่าใดใจของข้ากลับยิ่งพร่าเลือนไปทุกที ข้าจึงได้พยายามหันไปหาเธอที่ตอนนี้นั่งอยู่ข้างกายข้าและสติสุดท้ายที่มีก็พยายามพูดออกไป
"สเตลล่า...ข้าขอจับมือเจ้าเอาไว้ได้ไหมและยามได้ที่ข้าตื่นขึ้นมาข้ามีเรื่องที่อยากจะบอกเจ้า..เพราะงั้น..ข้าขอจับมือเจ้าไว้ได้ไหม..."ข้าไม่รู้ว่านางตกลงรึเปล่า ข้าก็ได้คว้ามือเรียวสวยนั้นเอาไว้แล้ว
ก่อนที่สติของข้าจะหลับไหลข้าได้ยินเสียงของนางดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทพร้อมๆกับที่มีหยดน้ำกระทบกับใบหน้าของข้าทั้งที่ท้องฟ้านั้นไร้ฝน
"ขอโทษนะ..ชิน"
ยามข้าลืมตาตื่นก็ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ดวงตะวันที่เคยมีอยู่หายลับฟ้าเหลือแต่เพียงท้องฟ้ามืดมัวเพราะเมฆบดบังแสงจันทร์ ข้ารู้สึกได้ว่ามือที่เคยกุมไว้นั้นบัดนี้ได้หายไปแล้วและมีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในอุ้งมือนี้แทน
"สเตลล่า..."ข้าลุกขึ้นยืนและพยายามมองหานางรอบบริเวณนั้น
"สเตลล่า! เจ้าอยู่ที่ไหน!"
.....................
เงียบไร้เสียงตอบรับใดๆ
"สเตลล่า!"จากนั้นไม่ว่าข้าจะพยายามมองหาซักเท่าใดหรือตะโกนเรียกเสียงดังแค่ไหนข้าก็ได้รับรู้แล้วว่าข้างกายข้านั้นไม่ได้มีเธออยู่อีกแล้ว...
สิ่งที่เหลืออยู่ในอุ้งมือของข้านั้นมีเพียงสร้อยสีเงินเส้นบางที่มีเพียงเปลือกหอยสีชมพูประดับเอาไว้ ข้าจำได้ว่ามันคือสร้อยที่สเตลล่าจะสวมเอาไว้เสมอ
เมื่อข้าได้กลับมาที่คฤหาสน์ท่านลักซ์ก็ได้บอกข้าว่าสเตลล่ากับพวกของนางก็ได้ออกเดินทางอีกครั้งแล้ว โดยไร้คำร่ำลาใดๆ
ข้านึกเสียใจและโกรธตนเองที่ไม่อาจได้บอกความในใจออกไป
ข้าจึงได้แต่หวัง...
หวังว่าซักวันข้าและนางคงได้พบกันอีกครั้งหนึ่ง...
สเตลล่า..สตรีผู้เป็นที่รักของท้องฟ้า....
............
......
....
เวลาผ่านไปข้าก็ได้พบกับนางอีกครั้ง นางยังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยนทั้งใบหน้าและน้ำเสียงช่างเหมือนกับทุกสิ่งที่อยู่ในความทรงจำของข้า ณ ชั่วแว่บแรกที่ข้าได้เห็นนางข้าดีใจจนบอกไม่ถูก
ดีใจที่จะได้พูดคุยกับนางอีกครั้ง...
ดีใจที่จะได้เห็นรอยยิ้มที่ข้าคนึงหา...
ความในใจตั้งแต่เมื่อครั้งอดีตที่ไม่ว่าผ่านมานานเท่าไร บัดนี้ก็ยังคงไม่แปรเปลี่ยนไปจากเดิม แต่ทว่า...ในตอนนี้ไม่ว่าข้าจะคิดถึงนางมากแค่ไหน อยากจะคุยกับนางเพียงไรหรือคำที่ว่า"ข้ารักนางมากแค่ไหน"มันก็ไร้ค่า
เพราะนางได้ลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมดแล้ว...
#####################################
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น