ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FanFic G Seed]Athrun&Kira : Lost Memery

    ลำดับตอนที่ #1 : Athrun Zala Part 1

    • อัปเดตล่าสุด 27 เม.ย. 50


    Athrun&Kira :  Lost  Memery

    ในบางครั้งเรื่องราวบางอย่างก็สูญหายไป...

    แม้ว่ามันความทรงจำที่น่าเศร้าแต่ก็มีค่ามากแค่ไหน...

    พวกเราก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่า เรื่องราวนั้นเป็นอย่างไร...

    เรื่องราวที่หายไปท่ามกลางหมอกควันแห่งความเศร้าและโชคชะตาที่พลิกผัน...

    Athrun Zala Part 1 : Confuse

     ตูม!!!!!!!!!

    เสียงระเบิดดังสนั่นราวกับจะทำให้เกาะเล็กๆนั้นจมหายไปในทะเล ฝุ่นหมอกควันสีเทาฟุ้งกระจายไปทั่วพื้นที่อาณาบริเวณนั้นและภายใต้ควันที่ปกคลุมทำให้ผมต้องสำลักควันออกมาหลายครั้ง ผมยันตัวลุกขึ้นจากพื้นแต่ขณะนั้นความเจ็บปวดก็แล่นจากแขนซ้ายของผมขึ้นมา ทำให้สงสัยตอนที่หนีออกมาจากหุ่นรบสีแดงนั้นแขนคงไปกระแทกกับอะไรซักอย่างเข้าด้วยแรงระเบิดทำให้หน้าของผมเกือบจะกระแทกกับพื้นหลายครั้งหลายคราเพราะในตอนนั้นหยาดฝนได้เทลงมาแล้ว การจะใช้แขนขวาเพียงข้างเดียวยันตัวลุกขึ้นนั้นคงเป็นอะไรที่ทำได้ยากแถมยังบาดเจ็บอีกด้วย

    "..แล้วคิระล่ะ"พลันนั้นผมก็เกิดนึกถึงอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้หนีออกมาจากการระเบิดนั้นผมรีบลุกจนลืมความเจ็บปวดไปจนหมด โซซัดโซเซไปเรื่อยๆผ่านซากของหุ่นที่เคยเป็นคู่หูร่วมรบ คู่หูที่ผมใช้เป็นเครื่องมือในการแก้แค้น ร่างของหุ่นนั้นกระจัดกระจายไปทั่วสีที่เคยแดงกลายเป็นสีเทาจนหมด

    ผมตกตะลึงกับสิ่งที่ตัวเองทำไม่น้อยแต่ก่อนที่จะได้คิดอะไรต่อสายตาของผมก็เหลือบไปเห็นซากของหุ่นอีกตัวหนึ่งที่มีสภาพไม่ได้ดีไปกว่าอีจิสของผมเท่าไหร่ แต่ที่ผมสนใจไม่ใช่หุ่นแต่นักบินของซากหุ่นนั้น

    หมอนั่นไม่ได้หนีออกมา ไม่สิ...หนีไม่ได้ต่างหากมีแต่ผมที่ในชั่ววินาทีแห่งความเป็นความตายนั้นที่ผมได้ผละออกจากมัน แต่หมอนั่นไม่มีโอกาสแม้จะได้คิดด้วยซ้ำ พอผมมองไปที่ห้องนักบินที่นั่นยังคงปิดสนิทอยู่ยิ่งทำให้ความคิดนั้นแน่ใจ

    "คิระนายคงจะ..."แม้ปากและใจนั้นแน่ใจว่าคนที่เคยเป็นเพื่อนสนิทนั้นคงไม่มีชีวิตอยู่อีกแล้ว แต่ผมก็ยังพยุงร่างที่บาดเจ็บของตนเองตรงไปยังซากโมบิลสูทตัวนั้น รอยแตกยาวที่ผมเป็นคนทำที่ห้องค็อกพิทสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้น ไม่กล้าที่จะมองเข้าไปเพราะหวาดกลัวในสิ่งที่ตนเองกระทำ

    ผมใช้เวลาทำใจอยู่นานที่ดึงที่เปิดค็อกพิทภายนอกแต่แม้มันจะเปิดออกผมก็ยังไม่กล้ามองเข้าไปอยู่ดี กลัวที่จะมองเห็นสภาพของคนที่เคยเรียกว่าเพื่อนสนิทชโลมไปด้วยเลือด กลัวที่จะรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผล กลัวที่จะมองเห็นสายตาที่เจ้าของมันมองมาอย่างเคียดแค้นในช่วงวินาทีสุดท้ายของชีวิต

    กลัวที่สุด....

    แต่แม้จะหวาดกลัวเพียงใดมีทางเดียวก็คือผมต้องยอมรับกับสิ่งที่ตนเองกระทำไม่ว่าผลนั้นจะเป็นเช่นไรก็ตาม....

    เมื่อฝาครอบถูกเปิดออกภาพที่เห็นนั้นทำให้ผมถึงกับถอนหายใจออกมาเสียงดังเพราะสภาพนั้นช่างต่างกับที่ผมคิดไว้มากทีเดียว ร่างของคิระมีเลือดเปรอะเล็กน้อย ที่หมวกเองก็เปื้อนเลือดและมีรอยร้าวเหมือนกัน ภายใต้หมวกนักบินนั้นดวงตาก็ยังคงปิดสนิทดีซึ่งพอผมมองดูแล้วก็แยกไม่ออกเหมือนกันว่าคนตรงหน้านั้นกำลังนอนหลับ สลบหรือว่า..หมดลมหายใจแล้วกันแน่

    แล้วผมก็ทำในสิ่งที่ตัวผมเองก็ยังตกใจมือของผมเอื้อมเข้าไปข้างในแล้วถอดหมวกนั้นออกอย่างรวดเร็ว เกิดเสียงค้านในใจทันที

    นี่ชั้นกำลังทำอะไร...ช่วยคิระงั้นเหรอ....

    ไม่..ไม่ใช่!

    ผมแค่ต้องการตรวจดูว่าตายแล้วแน่นอนเท่านั้น!...ใช่..ผมแค่ต้องการมั่นใจว่าคิระตายจริงๆ

    หลังจากที่มั่นใจในความคิดของตนเองถุงมือก็ถูกปลดออกทันทีแล้วนำมาไปวางไว้ใต้จมูก ไม่รู้เหมือนกันว่าในใจผมตอนนั้นหวังให้สัมผัสถูกลมหายใจของคิระรึเปล่า เพราะหลังจากนั้นผมก็ต้องรู้สึกสับสนขึ้นมาเมื่อสัมผัสที่ได้คือลมหายใจอ่อนๆของหมอนั่น

    "หมอนี่ยังไม่ตาย!"ทันใดนั้นมีขวาก็ถูกชักกลับอย่างรวดเร็ว มีดพกเล่มเล็กที่ข้อเท้าถูกหยิบออกมาทั้งที่ในใจยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เพียงแต่ผมรู้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

    นิโคล...เพื่อนร่วมรบที่อายุน้อยกว่าผม1ปี เด็กหนุ่มผู้รักแพลนท์และเสียงดนตรียิ่งกว่าใคร

    แม้ว่าจะอยู่ในสนามรบก็ยังคงมีรอยยิ้มที่อ่อนโยนซึ่งสมารถเยียวยาจิตใจของผมที่ไม่อาจจะฆ่าคิระได้

    คนที่ไม่ควรจะตายในที่แบบนี้...แต่คิระกลับเป็นผู้ที่ช่วงชิงชีวิตนั้นไป

    สิ่งที่ผมต้องทำคือ...การแก้แค้น

    ปลายมีดยกขึ้นจ่อลำคอ ริมฝีปากสั่นระริกโดยไม่รู้ว่าเพราะความเศร้าหรือความแค้น ผมพยายามพูดออกไปเหมือนพูดกับตนเองเพื่อระงับความลังเล

    "คิระนายฆ่านิโคล....ชั้นจะ...ฆ่านาย..."ทว่ายังไม่ทันที่ผมจะกดปลายมีดลงไปริมฝีปากของคิระกลับขยับเหมือนพูดอะไรซักอย่างที่ผมต้องเงี่ยหูลงไปฟัง

    "อัสรัน...ชั้นไม่อยาก..ฆ่า..นาย..."คำพูดที่แสนแผ่วเบาเอ่ยออกมาพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อล้นจากแพขนตาหนา ความลังเลก่อเกิดขึ้นในใจของผม ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรมีดในมือก็ไม่อาจสังหารคนตรงหน้าได้อย่างที่คิดจะกระทำในคราวแรกจนผมต้องลดมีดลง

    "คิระ..นี่ชั้น...."และผมก็ทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าตัวผมจะทำ ผมพยายามอุ้มคิระออกมาจากค็อกพิททั้งที่ตัวเองก็บาดเจ็บพอสมควรโดยเฉพาะแขนซ้ายที่เจ็บหนักกว่าส่วนอื่นพอควร ร่างของคิระถูกอุ้มผ่านหาดทรายที่ชื้นไปด้วยน้ำทะเลและสายฝนขณะเดียวกันก็ก้มลงมองใบหน้าที่ดูสงบนิ่ง รอยน้ำตาดูจางหายไปมากทีเดียว

    บนใบหน้ามีร่องรอยของความอิดโรยอยู่มากเหมือนกับว่าได้รับการพักผ่อนไม่เต็มที่ ร่างกายก็ดูซูบผอมนิดๆอย่างน่าประหลาดเพราะสมัยฝึกเตรียมทหารนักบินจะต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมโดยการนอนพักให้เต็มที่และกินอาหารทุกมื้อแต่ว่าสภาพของคนตรงหน้าผมกับตรงกันข้าม

    ไม่ใช่ว่าไม่ดูแลแต่คงไม่มีอารมณ์จะดูและเสียมากกว่า.....

    เบื้องหน้าที่เดินไปเป็นป่าที่มีต้นไม้ไม่หนามาก ผมมองไปมองมาก็พบกับต้นไม้ใหญ่ที่กิ่งก้านแผ่ขยายออกไปมากและแล้วต้นไม้นั้นก็ได้กลายเป็นที่พักชั่วคราวของผมกับคิระไปโดยปริยาย

    "เรื่องในคราวนี้คงกระเทือนจิตใจของนายมากสินะ"ข้อสรุปของผมหลังจากดูสภาพร่างกายอ่อนล้าของคิระ หมอนั่นยังคงหลับสนิทหรือจะเรียกว่าไม่ได้สติก็คงได้ เพราะงั้นคำพูดของผมหมอนั่นก็คงไม่ได้ยินหรอก

    "ปล่อยไว้แบบนี้ก็คงไม่เป็นไรละมั้ง"ผมว่าแล้วก็เดินไปเก็บกิ่งไม้ที่ค่อนข้างมาก่อไฟแล้วความคิดก็พาลไปนึกถึงเรื่องเมื่อก่อนหน้านี้ เด็กผู้หญิงผมทองที่ซัดกระสุนใส่ผมโดยไม่ให้รู้ตัวที่เกาะร้างเล็กๆนั้น พอจับไว้ก็ยังมีท่าทีไม่ยอมแพ้

    ช่างเข้มแข็งเหลือเกิน..ต่างกับผม...

    พอกลับไปตรงใต้ต้นไม้นั้นภาพของคนตรงหน้าก็ทำให้ผมทิ้งกิ่งไม้ลงทันที ร่างในชุดนักบินสีน้ำเงินสลับขาวกำลังทุรนทุราย เสียงหอบหนักๆประสานกับอกที่กระเพื่อมแสดงให้เห็นว่าอาการที่น่าเป็นห่วงเมื่อจับหน้าผากดูก็รู้สึกได้ถึงความร้อน

    "ตัวร้อนมาก..เป็นไข้งั้นเหรอ"ผมวิเคราะห์สภาพไปเรื่อยก่อนจะได้ยินเสียงเหมือนคิระกำลังเพ้อ

    "หนาว...ไม่นะอย่า..อย่าไป...เฟรย์"พลันนั้นนัยน์ตาผมก็เบิกกว้างกับชื่อที่ได้ยิน

    "ไม่..อย่า..อย่าทิ้งผมไว้คนเดียว....."เสียงเพ้อนั้นเงียบหายไปเสียเฉยๆแต่น้ำตากำลังไหลรินร่างกายสั่นเทาด้วยความหนาวและพิษไข้ ผมจึงตัดสินใจปลดเสื้อนักบินออกเหลือเพียงส่วนร่างและกอดคิระเอาไว้อย่างแนบแน่นหวังจะช่วยคลายความหนาวและความกลัว

    "ไม่เป็นไรนะ..."

    ร่างกายที่เคยสั่นไหวค่อยๆสงบลงพร้อมกับเสียงเพ้อสุดท้ายโดยที่หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ยินอะไรอีก

    "...อัสรัน...."เสียงนั้นทำให้ผมได้สติ ไม่เข้าใจว่าผมคิดจะทำอะไรกันแน่

    ศัตรูอยู่ที่ตรงหน้าคนที่ควรกำจัดแต่กลับทำไม่ได้...คำสรุปที่อยู่ในใจของผม

    ไม่นานผมก็ถอดถุงมืออกและเริ่มก่อไฟอย่างลำบากเพราะฝนตก เมื่อกองไฟน้อยๆนั้นปะทุขึ้นมาไออุ่นก็แผ่ขยายรอบตัวผมเล็กน้อย ในตอนนั้นเองที่ผมมองเห็นว่าคิระกำลังเอื้อมมือออกไปข้างหน้าที่ว่างเปล่า

    "คิระ..."ผมเรียกเค้าเบาๆแล้วมองดูใบหน้าที่เจ็บปวดนั้นกำลังไขว่คว้าบางอย่าง

    พยายามแล้วพยายามอีกราวกับว่าสิ่งนั้นคือความหวังสุดท้าย มันทำให้ผมอดที่จะช่วยเหลือไม่ได้ มือที่ไขว่ขว้าอากาศธาตุถูกผมกุมเอาไว้พลางลูบเส้นผมสีน้ำตาลยุ่งๆนั้นเป็นเชิงปลอบเหมือนกับที่ท่านแม่เคยทำเมื่อผมฝันร้าย

    'ไม่เป็นไรแล้วนะอัสรัน'

    เสียงนั้นยังคงจำได้ดี ถ้อยคำที่อ่อนโยนกว่าสิ่งใด อบอุ่นมากกว่าทุกๆอย่างแต่ก็ไม่อาจได้ยินอีกต่อไปแล้ว...

    เพียงแค่คิดก็เหมือนกับได้ยินเสียงร้องในหัวว่า ต้องแก้แค้น...แก้แค้นพวกที่มันฆ่าท่านแม่และคนอื่นๆในวันวาเลนไทน์เลือดให้หมด พวกกองทัพโลก...

    มิเกล นิโคล...คนที่คิระฆ่า....และยังอีกมากมายที่ผมไม่รู้จักเพราะงั้นเหตุผลที่จะฆ่ามันก็พอเพียงแล้ว....

    ฆ่า!....คำๆนี้ทำไมผมถึงคิดถึงมันได้ง่ายเพียงนี้!

    ผมอดไม่ได้ที่จะตกลงใจกับความคิดของตนเองที่เกือบจะพูดคำนี้ออกมาอย่างง่ายดาย ไม่ใช่เหตุผลว่าผมเป็นทหารแต่มันเพราะผมเป็นคนที่โหดร้ายแล้วใช่ไหม มันช่างต่างกับตอนที่นิโคลตายไปเหลือเกิน

    "ฉันจะฆ่าคิระเอง คราวต่อไปนี่แหละมันตายแน่!"

    ตอนนั้นมันคงเพราะอารมณ์โกรธ เสียใจและความแค้นเหมือนดั่งคราวท่านแม่ ผมกระทำทุกสิ่งด้วยความแค้น ระบายความแค้นทุกอย่างออกไปใส่คิระทั้งที่สุดท้ายแล้วผมก็รู้ดีว่ามันจะจบด้วยความสูญเสีย

    เรื่องมันก็เป็นเพียงว่าผมฆ่าเพื่อนสนิทที่ฆ่าเพื่อนร่วมหน่วยของผม

    เหตุผลที่จะช่วย...เหตุผลที่จะฆ่า สิ่งใดกันคือตัวกำหนด

    ไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจ

    เสียงเพ้อแผ่วเบาดังออกมาอีกครั้งแต่ผมก็ไม่อาจฟังมันออกรู้แต่เพียงน้ำตาของคิระกำลังไหลออกมาอีกครั้ง คิระนายกำลังฝันร้ายอยู่ใช่ไหม...

    "นี่คิระ..นายน่ะต่อสู้กับชั้นด้วยความรู้สึกแบบไหน"คำถามที่ไร้คำตอบและแม้มันจะย้อนกลับมาถามผมก็คงไม่มีคำตอบเช่นเดิม

    เพื่อนของชั้นอยู่บนยานลำนั้น!

    คำพูดที่เคยได้ยินจากปากของนายครั้งหนึ่ง นั่นอาจจะเป็นเหตุผลก็ได้แล้วผมล่ะสู้เพื่ออะไร ยังจะกล้าตอบได้ไหมว่าสู้เพื่อปกป้องไม่ใช่ล้างแค้น

    ทั้งที่รู้ดีว่าแม้จะแก้แค้นไปคนตายก็ไม่อาจฟื้นคืน...ใช่ทั้งที่รู้ดีแต่ผม..ก็ยังคิดจะฆ่าคิระ...

    เคยได้ยินใครสักคนพูดไว้ว่ามนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่เอาแต่ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่แก้ไขเพราะงั้นมนุษย์ถึงได้เป็นเพียงความโง่เขลาเท่านั้น

    ผมไม่เคยคิดสนใจคำพูดนั้นเท่าไหร่เพียงแต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่ามันเป็นอย่างที่ว่าจริง ใช่ผมเองก็เป็นมนุษย์...เป็นเพียงมนุษย์ที่โง่เขลาปล่อยให้ความแค้นเข้าครอบงำจิตใจจนกระทั่งหันคมดาบเข้าปลิดชีพเพื่อนรักของตนเองแล้วตอนนี้มันจะสายไปไหม...

    มันจะสายไปไหมหากผมจะแก้ไขมัน....สายไปไหมหากผมจะเอ่ยคำว่า...

    ขอโทษ...

    ######################
    ท่านทั้งหลายอย่าเพิ่งกระโดดถีบเราข้อหาดองนะคะเพราะเรื่องนี้แต่งก่อนเรื่องที่ลงเกือบทุกเรื่องเลยล่ะค่ะเป็นเรื่องสั้นไม่กี่ตอนจบเชิญติดตามแล้วเม้นต์ให้ด้วยนะคะ
    ปล.เรื่องBlue songขอเวลาหน่อยนะคะเพราะค่อนข้างยุ่งเรื่องเรียนต่อ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×