ตอนที่ 3 : จีบ 02 : เชกสเปียร์
? cactus
ตอนที่ 2
เชกสเปียร์
“เย็นแล้วนะ ยังไม่ตื่นอีกเหรอ สรุปได้ไปเรียนไหม?”
( ไปไม่ไหวอะง่วง... )
“โธ่ อย่าเอาแต่เล่นเกมจนเช้าสิ เดี๋ยวก็เรียนไม่จบกันพอดี”
( อือ... รู้ )
“ตื่นเถอะ ถ้าเย็นกว่านี้จะปวดหัวเอานะ ลุกไปอาบน้ำกินข้าวเร็ว”
( ไม่ปวดอะ จะนอน )
“จูฮยอกอ่า...”
( อย่าบ่นได้ไหม ไม่ได้อยากให้โทรมาทำให้ปวดหัวกว่าเดิมนะแบคฮยอน )
“อะไรกัน ฉันก็แค่เป็นห่วงนายเอง”
( ถ้าเป็นห่วงก็อย่าทำให้ปวดหัวกว่าเดิมสิ คนง่วง ๆ ก็ปลุกอยู่ได้ ตื่นมาตอนนี้ก็ไปเรียนไม่ทันแล้วไหม ยังไงก็ต้องเปิดคอมเล่นเกมอยู่ดี )
“อืม แล้วแต่ละกัน”
คนตัวเล็กเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มพลางมองหน้าจอมือถือซึ่งบ่งบอกระยะเวลาสั้น ๆ ที่ได้คุยกับแฟนและมันก็จบลงแบบที่ไม่น่าจะมีใครในโลกประทับใจถ้าเจออย่างนี้บ้าง
“อ๊ายยย เบา ๆ หน่อยแบคฮยอน อย่ารัดแน่นเกินไป”
“เดี๋ยวเหอะ” คนตัวเล็กง้างมือขึ้นพร้อมถลึงตาคาดโทษเพื่อนในเซคที่ยิ้มล้ออย่างนึกสนุกหลังจากที่เขาโดนอาจารย์ประจำวิชาพื้นฐานทางกายภาพบำบัดด่ามาสด ๆ ร้อน ๆ
“ไง เขินไหมโดนปู่คิมให้พรต่อหน้าเพื่อนทั้งเซค” แบคฮยอนถอนหายใจพลางหันไปสบตากับเพื่อนสนิทที่เดินตามออกมาติด ๆ แน่นอนว่าโดคยองซูก็เป็นอีกคนที่พยายามกลั้นขำอย่างสุดความสามารถตอนเห็นเขาก้มหน้าก้มตารับพร
“เสียงดังขนาดนั้นคงได้ยินไปถึงหน้ามหา’ลัยแล้วมั้ง ทั้งนายทั้งปู่คิม” ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าอาจารย์ท่านนี้โหดและเนี๊ยบมากเท่าไร แค่ผิดพลาดนิดหน่อยก็สวดยับเหมือนฆ่าคนไข้ตายไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
“อ้าว ก็ใครใช้ให้พันแบนเดจแน่นเกินไปล่ะ เวลาปวดก็ต้องร้องเป็นธรรมดาปะวะ?” คยองซูเลิกคิ้วมองอีกคนที่อยู่ ๆ ก็พาลเสียอย่างนั้น ถ้าบยอนแบคฮยอนไปคู่กับคนอื่น พนันได้เลยว่าคู่ของมันต้องแหกปากลั่นตั้งแต่เริ่มพันผ้าพันแผลแน่ “ใจลอยไปไหน?”
“เปล่าสักหน่อย” คนตัวเล็กรีบปฏิเสธเพราะไม่อยากยอมรับว่ามันเป็นเรื่องจริง ระหว่างเรียนพื้นฐานทางกายภาพบำบัด สายตาของเขาก็เอาแต่มองสมาร์ทโฟนที่วางอยู่บนโต๊ะราวกับว่ารอใครทักมา
“แล้วในมือนั่นอะไร?”
“โทรศัพท์ไง”
“ใช่ จะโทรหามัน?”
“ไม่ใช่ ‘จะ’ แต่เป็นโทรไปแล้ว” พอเห็นเพื่อนตอบอย่างซื่อบื้อโดคยองซูจึงตบหน้าผากตัวเองอย่างเหนื่อยใจ
“ทะเลาะกันอีกแล้วล่ะสิ”
“ใช้คำว่าอีกแล้วด้วย...” แบคฮยอนยิ้มแห้ง คำที่หลุดออกมาจากปากเพื่อนช่างเป็นสิ่งบ่งบอกได้ดีว่าความสัมพันธ์ของเขาและคนรักมันทุลักทุเลมากแค่ไหนตลอดเวลาห้าเดือนที่คบกันมา
“ฉันเตือนกี่ครั้งแล้วว่าอย่าโทรหามันถ้าไม่จำเป็น”
“คนเป็นแฟนกันต้องคิดเรื่องนั้นด้วยเหรอ คิดถึงก็โทรไง” หันไปเถียงเพื่อนอย่างไม่ยอม แม้ว่าลึก ๆ แล้วเหตุผลที่ทำให้โทรหานั้นยังห่างไกลคำว่าคิดถึงมากโข
พูดก็พูดเถอะ... ต้องคิดถึงแฟนถึงจะถูก แต่ที่โทรไปก็โกหกตัวเองไม่ได้หรอกว่าอยากยืนยันความซื่อสัตย์ให้ใจตัวเอง
“ถามมันยังว่าอยากให้คิดถึงไหม?”
“ฉันควรโทรไปอีกรอบไหมล่ะ จูฮยอกอ่า นายคิดถึงฉันหรือเปล่า?” แบคฮยอนโคลงศีรษะ ปั้นหน้าปั้นตากวนประสาทเพื่อนที่แสดงสีหน้าให้เห็นว่าตอนนี้โดคยองซูไม่ได้อยากขำขนาดนั้น
“เอาสิ อยากเห็นคนโดนตัดสายทิ้งอยู่เหมือนกัน”
“...” สุดท้ายก็กลายเป็นเขาที่ถูกเพื่อนชกหน้าด้วยความจริง แบคฮยอนถอนหายใจพลางทำหน้าเหนื่อยโลกแล้วเดินไปตามทางเดินยาวพร้อมเพื่อนสนิท ในขณะที่เพื่อนร่วมเซ็คทยอยออกไปเกือบหมดแล้ว
“จะไหวเหรอแบคฮยอน”
“มันควรเกิดคำถามแบบนี้สำหรับคนที่คบกันแค่ห้าเดือนเหรอ”
“นั่นสิ มันโคตรสั้นเลยนะ สั้นกว่ารุ่นพี่ชางมินสมัยมอปลายอีก”
“หรือเป็นเพราะฉันเยอะเกินไป แฟนที่เคยคบทุกคนก็เลยรำคาญไปหมด?” คำพูดเพื่อนอีกคนผุดขึ้นมาให้ได้คิด ในงานวันเกิดครั้งล่าสุดที่นั่งดื่มกันจนดึก จงแดเป็นคนเดียวที่ทำให้แบคฮยอนย้อนมองดูตัวเอง แต่ใจเขาก็ไม่อยากเปลี่ยนอะไรทั้งนั้น
เขาชอบที่จะใส่ใจแฟน เพราะคิดว่ามันคือความรัก แต่ดูเหมือนว่ามันจะมากเกินไปสินะ
“โทษไอ้ขี้เกมนั่นบ้างเถอะ อย่าเอาแต่กอดความผิดไว้คนเดียว” คยองซูส่ายศีรษะหน่าย ๆ กับความซื่อบื้อของเพื่อน ทั้งเตือน ทั้งสอนให้หัดแหกตาดูสิ่งรอบข้างบ้าง แต่ก็ยังหน้ามืดคบกับไอ้บ้านั่นอยู่ได้ “เก็บมือถือซะ”
“อะไรเล่า” แบคฮยอนมองตามมือเพื่อนที่แย่งโทรศัพท์ไปพร้อมยัดใส่กระเป๋ากางเกงให้เขาอย่างเสร็จสรรพ
“แทอูเคยบอกว่าไง?”
“อย่าติดต่อไป ให้รอจูฮยอกเป็นฝ่ายโทรมาเอง” เขาตอบเสียงเอื่อยพลางมองไปยังเบื้องหน้าอย่างคนไร้ความหวังแล้ว
“แล้วทำยัง?”
“ทำได้ไหมล่ะ ก็พูดได้สิพวกนายไม่ได้มีแฟนอย่างฉันนี่”
“ก็อยากให้เลิกกับมันเร็ว ๆ ไงถึงได้พูด” คยองซูผลักหัวคนข้าง ๆ “แล้วมันใช่เรื่องหมอนั่นอย่างเดียวเหรอ เห็นเหม่อ ๆ ตั้งแต่บ่ายแล้ว”
“ดูออกง่ายขนาดนั้นเลย?” แบคฮยอนทำตาโต
“ถ้าไม่ตาบอดก็คงสังเกตได้” คยองซูชำเลืองมอง “มีอะไรก็ระบายมา ก่อนแยกไปฟิตเนส”
“ก็ไม่ใช่เรื่องจูฮยอกซะทีเดียวหรอก”
“แล้ว?”
“เรื่องพี่คนนั้นที่ฉันเพิ่งเล่าให้ฟังน่ะ” สุดท้ายก็สำลักความอึดอัดใจออกมาจนได้ บยอนแบคฮยอนเป็นคนโง่จริง ๆ ที่พยายามโทรหาแฟนทันทีที่เรียนเสร็จเพื่อกลบเรื่องราวในหัว
“อ้อ ผู้ชายหน้าตาดีที่เข้ามาคุยกับนายเหมือนไม่คิดอะไรแต่นายก็คิดน่ะนะ?”
“อย่าเสียงดังสิ” แบคฮยอนรีบตะปบปากเพื่อนสนิทพลางหันซ้ายขวาราวกับกลัวว่าใครจะมาได้ยินเข้า
“แล้วไงต่อ”
“วันนี้เขาชวนฉันไปกินข้าวด้วย”
“เยี่ยม ไปเลยสิ” คยองซูยกยิ้มอย่างนึกสนุก “เป็นไปได้ก็งาบเลย รวยด้วยไม่ใช่เหรอ”
“เห็นฉันเป็นคนยังไง?”
“คนโง่ไง” คยองซูหัวเราะพลางเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “ถ้าเป็นกลุ่มผู้หญิงคุยกันพวกเธอคงพูดว่า ทั้งหล่อ ทั้งรวย ทั้งแสนดีแบบนี้ ถ้าไม่แต่งงานแล้วก็คงเป็นเกย์ ไงล่ะเพื่อน เข้าทางนายชัด ๆ” คยองซูกอดคอเพื่อนที่ทำหน้าเครียดเหมือนหมาคิดไม่ตก
“แล้วถ้าพี่ชานยอลไม่ใช่ล่ะ แบบ... บางทีเขาอาจจะอยากคุยกับฉันเฉย ๆ” เขารู้สึกไม่มั่นใจเอาเสียเลยเมื่อเป็นเรื่องแบบนี้
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงแล้วจะทำยังไง เอางี้ดีกว่า นายจะจัดการเรื่องนัมจูฮยอกยังไง?”
“อะไร ทำไมฉันต้องจัดการ นี่ก็แค่เล่าให้ฟังเฉย ๆ ว่าเขาชวนไปกินข้าว”
“ก็นั่นไง ถ้าแค่ไปกินข้าวแล้วปวดหัวทำไม?”
“นั่นสิ”
“จะไปก็ไปตั้งแต่ตอนนี้เลย อย่าเอาเชือกผูกคอตัวเองไว้ให้มันกระตุกเล่น ต่อให้เลิกกับมันไปแล้วนายไม่ได้คบกับพี่คนนั้น แต่นายก็ยังมีคนหล่อ ๆ ให้คุยพอกระชุ่มกระชวยหัวใจนะเพื่อน” คยองซูเตือนด้วยความหวังดี และเขาทำอย่างนี้มาตลอดตั้งแต่ช่วงที่นัมจูฮยอกเริ่มหมดโปรไป ซึ่งนั่นก็คือเดือนที่สาม
“นายบอกให้ฉันเลิกกับแฟนเพื่อไปหาคนที่เพิ่งรู้จักกันได้แค่วันเดียวเนี่ยนะ เอาจริงแค่ยุให้เลิกเฉย ๆ ใช่ไหม ตอบมาเลย”
“อ่า รู้ทันจนได้” คยองซูปล่อยมือออกจากไหล่เพื่อนแล้วเดินนำไปก่อนแล้วหันไปหัวเราะกับปัญหาโลกแตกของเพื่อนสนิทที่แสดงออกผ่านทางสีหน้าอย่างเก็บไม่มิด “ถ้ายังไม่มั่นใจกับอะไรสักอย่าง การลองไปกินข้าวกับเขาสักมื้อร่างกายของนายคงไม่สึกหรอจนดูเหมือนคนนอกใจหรอกมั้ง”
“วันนี้ฉันต่อยหน้าตัวเองด้วยคำว่านอกใจไปแล้วล้านครั้ง และครั้งที่หนึ่งล้านหนึ่งมันมาจากปากนาย” แบคฮยอนเบะปาก
“ครั้งต่อไปจะตามมาเรื่อย ๆ ถ้ายังย้อนแย้งกับความรู้สึกตัวเองอย่างนี้” คยองซูเดินถอยหลังอย่างไม่เร่งรีบ สบตากับเพื่อนสนิทที่คาดหวังความช่วยเหลือจากเขา
“มันแย่ใช่ไหมที่ฉันสนใจคนที่เพิ่งรู้จักกันแค่วันเดียวทั้งที่มีแฟนอยู่แล้ว”
“อะไรจะฟันธงได้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่พระเจ้าถึงจะยอมมอบคนที่ใช่ให้กับเรา” คยองซูเดาะลิ้นก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากตึกคณะจนทางเดินเงียบ ๆ ตรงนี้เหลือเพียงคนคิดมาก
คำว่า ‘คุยกันแค่วันเดียว’ ยังคงตอกย้ำให้รู้สึกไม่ดีกับตัวเอง มันอาจจะเป็นเรื่องเล็กสำหรับคนทั้งโลก แต่พอเป็นแบคฮยอนแล้วมันกลับใหญ่โตจนเอามาเป็นปัญหา ทั้งที่อีกฝ่ายอาจจะไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด และบางทีคงมีแค่เขาที่คิดไปไกลจนถึงคำว่านอกใจนั่น
คนหน้าตาดี สุภาพแบบนั้นจะมาคาดหวังอะไรกับผู้ชายหน้าตาธรรมดาแถมมีแฟนแล้วอย่างบยอนแบคฮยอนกัน ใช่ ประโยคนี้เขาบอกกับตัวเองตั้งแต่บ่ายแล้ว
คนตัวเล็กให้ความเงียบจัดการทุกอย่างอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะเอาสมาร์ทโฟนขึ้นมากดดูข้อความของพี่ชานยอลอีกครั้ง
‘จะให้ไปรับกี่โมงก็บอกนะครับ’
ข้อความที่ทำให้เขารู้สึกดีและรู้สึกแย่ในเวลาเดียวกัน
‘ไปไม่ได้อะพี่ วันนี้ผมมีนัดกับแฟน ไว้คราวหน้า ๆ 555555’
โกหกคำโตเพื่อหักดิบ แม้มันจะน่าอึดอัดแต่ก็คงดีกว่าถ้าจะตัดไฟตั้งแต่ต้นลม พี่ชานยอลเข้ามาด้วยเจตนาอะไรมันไม่สำคัญเท่าเขาเริ่มรู้สึกแล้ว คนดี ๆ ที่ไหนจะคิดเรื่องแบบนี้กับผู้ชายที่รู้จักกันแค่วันเดียว แบคฮยอนไม่ชอบตัวเองตอนนี้เลย
*
ร่างอาบไปด้วยเหงื่อยังคงไม่หยุดพักจากการหักโหมออกกำลังกายที่มันหนักกว่าทุกวัน ลู่วิ่งถูกปรับระดับขึ้นกระทั่งได้ยินเสียงหอบหายใจแข่งกับความเร็ว รู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาดที่สุดท้ายก็หาทางออกให้เรื่องนี้ได้ ถึงจะเซ็งอยู่ไม่น้อยที่จะเสียรุ่นพี่ดี ๆ ไปหนึ่งคน แต่มันก็ดีกว่าการปล่อยให้เลยเถิด
เขาเองนี่แหละ ไม่ใช่พี่ชานยอล
พนันได้เลยว่าคงไม่ได้เจอผู้ชายคนนั้นอีกเพราะความเล่นตัวไม่ดูสภาพหน้าตาตัวเอง แต่มันมีทางออกที่ดีกว่านี้หรือไง แบคฮยอนไม่อยากเป็นคนเลวที่รู้สึกกับคนอื่นมากกว่าแฟนตัวเอง นัมจูฮยอกก็แค่ติดเกม ขี้โมโหบ้างเป็นบางเวลา ใช่ เขาหวั่นไหวเพราะน้อยใจแฟนนั่นแหละ สรุปได้แล้ว
“แบคฮยอน?”
เดี๋ยว
“อ่า ใช่เราจริง ๆ ด้วย”
พี่ชานยอลมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?!!!!
คนตัวเล็กเบิกตากว้างอย่างตกใจทันทีที่เห็นใบหน้าหล่อของใครอีกคนอยู่ห่างจากตรงนี้ราว ๆ ห้าเมตร พร้อมกระเป๋ากีฬาใบใหญ่ซึ่งคาดว่าคงเป็นของผู้ชายผิวแทนอีกคนที่เดินตามมาติด ๆ
ขาที่วิ่งบนลู่อ่อนยวบขึ้นมาจนต้องคว้าราวจับเอาไว้อย่างทุลักทุเล พี่ชานยอลคงตกใจมากถึงได้ทำท่าจะคว้าเขาเอาไว้แม้อยู่ห่างจากตรงนี้พอสมควร
“เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่เลยพี่ ผมสบายดี” แบคฮยอนหัวเราะกลบเกลื่อนพลางจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่หลังจากทำเรื่องน่าอับอายขายขี้หน้าไปเมื่อครู่ ทั้งคู่สบตากันในช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนชายหนุ่มผิวแทนจะเดินตามมาเพื่อขอกระเป๋าจากมือพี่ชานยอล
“พี่แวะมาส่งเพื่อนน่ะครับ”
“อ๋อ นั่นใช่ไหม ผมก็ว่าหน้าคุ้น ๆ เคยเห็นอยู่ครั้งสองครั้ง” รอยยิ้มแบบไม่มีนัยยะของผู้ชายคนนี้กำลังจะทำให้เขากระอักเลือดดำออกมา
‘ไปไม่ได้อะพี่ วันนี้ผมมีนัดกับแฟน ไว้คราวหน้า ๆ 555555’
“แหะ”
“งั้นพี่ไม่กวนแล้วนะครับ สู้ ๆ นะ” คนตัวสูงยิ้มบาง ๆ พลางกำมือขึ้นเป็นท่าประกอบ และความรู้สึกดี ๆ ที่คิดว่าหลีกหนีพ้นจากเรื่องนี้ได้แล้วก็ถูกฆ่าตายภายในวินาทีเดียวโดยความรู้สึกผิดในใจ
พี่ชานยอลไม่ถามสักคำว่า ‘ไหนบอกว่านัดกับแฟนไงครับ โกหกพี่เหรอ?’ และเพราะอย่างนี้เขาจึงรู้สึกไม่ดีเข้าไปใหญ่
“พี่!”
“ครับ?” ขายาวหยุดยืนกับที่พร้อมหันไปสบตากับคนตัวเล็กที่ยืนอาบเหงื่ออยู่ข้างลู่วิ่ง
“...เปล่าครับ ไว้เจอกันนะ”
คนใจดียังคงยิ้ม และพยักหน้าตกลงอย่างว่าง่าย
พี่ชานยอลกำลังเดินออกไป และการเอาแต่มองแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่ายมันเริ่มส่งผลต่อความรู้สึกเขาเสียแล้ว
ยอมทนหน่อยนะแบคฮยอน ดีเสียอีกที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่เพราะนั่นจะเป็นวิธีทำให้ทุกอย่างจบง่ายขึ้น พี่ชานยอลไม่ใช่คนขี้ริ้วขี้เหร่ อีกทั้งยังนิสัยดี อย่างไรก็คงหาเพื่อนใหม่ที่ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกได้ดีกว่าแบคฮยอนอยู่แล้ว
‘อย่าบ่นได้ไหม ไม่ได้อยากให้โทรมาทำให้ปวดหัวกว่าเดิมนะแบคฮยอน’
‘งั้นพี่ไม่กวนแล้วนะครับ สู้ ๆ นะ’
เขาอยากให้ดวงตาพร่าเบลอเหมือนเดิมต่อไป ถ้าทุกอย่างมันจะชัดเจนได้มากถึงขนาดนี้
“พี่ชานยอล!”
เจ้าของชื่อหยุดฝีเท้าแล้วหันไปตามเสียงเรียก แบคฮยอนรู้ว่าสภาพของตนเองตอนนี้คงไม่ได้น่ามองนัก ทั้งชุดออกกำลังกาย เหงื่อ และทรงผม ทุกอย่างดูมอมแมมไปหมดแต่เขาก็ปล่อยให้ตัวเองวิ่งตามอีกฝ่ายมาจนได้
“พ... พี่ไปหาโพนี่มาแล้วหรือยัง...” ประโยคนี้แผ่วลงกว่าเมื่อครู่นัก เมื่อเสียงทั้งหมดถูกความไม่มั่นใจกลืนไปจนหมดสิ้น “ถ้ายัง... พี่ช่วยรอผมสักสิบนาทีได้ไหม”
“...”
“สองนาทีก็ได้ ผม... ขอวิ่งไปหยิบกระเป๋าก่อน”
น่าอายเหลือเกินที่ปฏิเสธไปอย่างอย่างมั่นใจแต่ตอนนี้คนตัวเล็กกำลังแสดงให้อีกฝ่ายเห็นด้วยภาพว่าความโลเลเป็นอย่างไร อีกทั้งยังจับโกหกได้คาตา ถ้าหากเป็นพี่ชานยอลก็คงรำคาญใจอยู่ไม่น้อย
“สิบห้านาทีก็ได้ครับ พี่รอเราอาบน้ำได้”
จนถึงตอนนี้ผู้ชายคนนั้นก็ยังคงยิ้มโดยไม่หลุดแสดงออกให้รู้ว่านั่นแค่แกล้งทำหรือคือสิ่งที่เป็นโดยนิสัยอยู่แล้ว คน ๆ หนึ่งจะยิ้มรับกับทุกเรื่องทั้งที่รู้อยู่แก่ใจได้ด้วยหรือไง ไม่อยากเชื่อเลย...
แต่แบคฮยอนก็รู้สึกดีกับรอยยิ้มนั้นเหลือเกิน
*
“โอ้โห... นี่บ้านพี่จริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย?”
“เรียกว่าบ้านพ่อกับแม่ดีกว่าครับ ถ้าไม่มีท่าน พี่ก็ไม่มีอะไร” คนยิ้มเก่งพาเขาเข้าไปด้านในหลังจากจอดรถเสร็จ แบคฮยอนกวาดสายตามองความหรูของบ้านหลังนี้ที่มีทั้งบ่อน้ำพุและสวนเล็ก ๆ เหมือนทางฝั่งยุโรปอยู่ทางด้านหน้า ซึ่งถ้ามองทะลุเข้าไปอีกหน่อยก็จะมีห้องที่ไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไป ห้องเก็บของหรือเปล่านะ เหมือนบ้านฮอบบิทเลย
“ตรงนั้นคืออะไรเหรอ?”
“บ้านหนังสือครับ พ่อสร้างให้เป็นรางวัลที่พี่ทำได้ดีตอนอยู่เกรดห้า”
“โห ได้ที่หนึ่งของชั้นใช่ไหม?” ถึงจะใช่ แต่ก็ยังดูเหนือความคาดหมายอยู่ดี พ่อแม่บ้านไหนจะใจดีสร้างบ้านหนังสือให้ลูกเป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้... อ่าใช่... บ้านคนรวย
“สอบคณิตศาสตร์ชิงเหรียญทองระดับประเทศครับ แต่เป็นของรุ่นประถมนะ” ชายหนุ่มหัวเราะ
เดี๋ยว... จะเกินไปแล้ว
“สุดยอด...” แบคฮยอนชูนิ้วหัวแม่มือพลางกระพริบตาปริบ ๆ คน ๆ นึงจะต้องหล่อ รวย เรียนเก่งขนาดนี้เลยหรือไงกัน
“แต่พอโตขึ้นก็สู้ใครไม่ได้แล้วครับ มีแต่คนเก่ง ๆ ทั้งนั้นเลย” ชานยอลยิ้มขำเมื่อนึกถึงเรื่องวัยเด็ก แบคฮยอนไม่อยากเถียงหรอก เพราะเขาพอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายคงหาทางมาถ่อมตัวแน่ ๆ
“แต่มองดูอีกทีก็เหมือนบ้านขนมหวานในนิทานมากกว่า”
“ถ้าแบคฮยอนไม่แพ้กลิ่นหนังสือ จากตรงนี้เดินไปบ้านขนมหวานก็ใช้เวลาแค่ยี่สิบวิเองนะครับ” ดูใช้คำพูดเข้าสิ จะชวนไปห้องหนังสือก็ต้องเล่นคำขนาดนี้เลยหรือไงกัน...
“ผมบังเอิญเรียกชื่อห้องแห่งความลับของพี่ถูก หรือพี่เพิ่งคิดได้เมื่อกี้” คนตัวเล็กช้อนตามอง และคนใจดีก็ยังคงเลือกรอยยิ้มเป็นคำตอบให้เขา
“คิดค่าลิขสิทธิ์หรือเปล่าครับ พอได้ยินเราพูด พี่ก็ชอบทันทีเลย” รู้สึกร้อนไปทั้งหน้าอีกแล้ว ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้มองหน้าเขาด้วยซ้ำ แต่น้ำเสียงทุ้มต่ำ อ่อนโยนนั่นก็ทำให้เขารู้สึกมากขึ้น
“ขี้ลอก”
“ชอบคำนี้นะครับ เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกเลย”
“เอาโพนี่ออกมาได้แล้ว ผมอยากเจอหมาก่อนไปเยี่ยมบ้านขนมหวานของพี่” ต้องรีบพาตัวเองออกจากหลุมความเขินก่อน ไม่อย่างนั้นบยอนแบคฮยอนต้องตายแน่ ๆ
“โพนี่อา” เรียกด้วยเสียงอ่อนโยนกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว แบคฮยอนอมยิ้มขณะมองคนตัวโตผิวปากเรียก และที่น่าตกใจกว่านั้นคือเจ้าหมาโกลเด้นตัวโตกำลังวิ่งออกมาราวกับรู้ดีว่านั่นคือสัญญาณที่มีไว้สำหรับเรียกมันเท่านั้น
เจ้าของขนสีส้มกระโดดใส่พี่ชานยอล หางของมันส่ายไม่หยุดและแบคฮยอนรู้ว่านั่นคืออาการดีใจ อยู่ ๆ หัวใจก็พองโตขึ้นมาอย่างไม่รู้เวล่ำเวลาเพียงเพราะได้ยินเสียงงุ้งงิ้งกับน้องหมาว่า ‘ไงครับ คิดถึงใช่ไหม ระหว่างที่พี่ไม่อยู่คงซนมากเลยล่ะสิ คุณป้าจีเฮเล่าให้พี่ฟังหมดแล้ว’
แทนตัวเองว่าพี่เวลาคุยกับหมาด้วย... น่ารักจัง
“น้องซนเวลาพี่ไปเรียนเหรอครับ?”
“นิดนึงครับ วันไหนพี่นอนคอนโดน้องก็จะดื้อสักหน่อย” ชานยอลยีขนเจ้าตัวดื้อพลางเงยหน้าสบตาคนตัวเล็ก “พอดีว่ามหาลัยพี่อยู่ไกลในสายตาคนที่บ้าน ถ้าวันไหนเลิกค่ำแม่ก็อยากให้พี่ค้างคอนโดมากกว่าต้องขับรถตอนฟ้ามืดน่ะครับ”
“โห มีคอนโดด้วยเหรอ อยู่แถวไหนเนี่ย”
“กังนัมครับ”
กังนัมไปอีก...
ราคาต้องแหกแล้วแหกอีกแน่ ๆ นี่มันลูกคุณหนูชัด ๆ
“สวัสดีพี่แบคฮยอนเร็วครับโพนี่” เจ้าขนส้มลิ้นห้อยเปลี่ยนเป้าหมายมายังคนแปลกหน้า ดวงตากลมโตคู่นั้นใช้เวลาแสกนเขาเพียงครู่เดียวก่อนจะกระโดดเกาะเอวอย่างแสนรู้
“ทำไมเชื่องจัง สั่งให้ทำอะไรก็ทำตามหมด ขนาดเพิ่งเจอผมครั้งแรกนะ” แบคฮยอนย่อตัวลง เอนศีรษะตัวหลบลิ้นเปียก ๆ ของเจ้าโพนี่ที่ทำให้ต่อมบ้าจี้ของเขากำเริบ
“น้องรู้ครับว่าใครเป็นมิตร”
“ดูท่าจะติดคนด้วย ตอนพี่ไม่อยู่น้องคงเหงาน่าดู แล้วพี่เลิกดึกทุกวันหรือเปล่าครับ?”
“ก็อาทิตย์ละสามวันครับ”
“โห เหงาแย่เลยเนอะโพนี่” แบคฮยอนอิงแอบกับเจ้าขนส้ม เอาจมูกถู ๆ จนเปียกแต่เขาก็รักที่จะเล่นกับมันมากกว่าแคร์เรื่องนั้น
“น้องเป็นเด็กดี แต่ก็ซนบ้างตามประสาเด็กนิสัยร่าเริง” ชานยอลลูบศีรษะมันอย่างเอ็นดู ก่อนจะหันมาสบตากับคนตัวเล็กซึ่งดูเหมือนว่าจะถูกใจเจ้าโพนี่เป็นพิเศษ
“ผมถ่ายรูปกับน้องได้ไหม?”
“เอาสิ เดี๋ยวพี่ถ่ายให้”
แบคฮยอนค่อนข้างตื่นเต้น ยิ่งเจ้าโพนี่เล่นด้วยก็ยิ่งรู้สึกดีเข้าไปอีก คนตัวเล็กเอียงศีรษะซบกับเจ้าขนส้มที่ไม่พยายามวิ่งหนีเมื่อถูกกอด โพนี่ลิ้นห้อยมองกล้องพี่ชายอย่างรู้งาน ก่อนแบคฮยอนจะอมยิ้มเล็ก ๆ เพราะชะงักไปเมื่อรู้ตัวว่าถูกอีกฝ่ายจ้องอยู่
“ยิ้มกว้างกว่านี้นิดนึงนะครับ”
“กว้าง ๆ เหรอ”
“ครับ ยิ้มเหมือนตอนหัวเราะน่ะ” ถึงสายตาพี่ชานยอลจะจับจ้องอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์ แต่เขาก็เกร็งอยู่ดี
“ผมยิ้มแล้วตลกอะ ปากมันเป็นสี่เหลี่ยม”
“ไม่จริงหรอกครับ” ชายหนุ่มยิ้ม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อสบตากับคนที่กอดรัดเจ้าโพนี่จนดูไม่ออกว่าใครกันที่ตัวโตกว่า “พี่ว่าเราคิดไปเองแล้วล่ะ”
“อะไรกัน... พี่ไม่เคยเห็นผมยิ้มแบบนั้นพี่ไม่รู้หรอก”
“งั้นยิ้มให้ดูหน่อยสิครับ”
“...”
หลอกให้พูดชัด ๆ
“พร้อมนะครับ หนึ่ง... สอง... สาม”
เพียงแค่นับถอยหลัง ริมฝีปากก็ฉีกยิ้มออกกว้างพร้อมดวงตาที่หยีลง เขาไม่เคยมั่นใจเวลายิ้มแบบนี้ แต่นั่นก็ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองพี่ชานยอล... มองรอยยิ้มที่ทำให้บยอนแบคฮยอนมั่นใจว่าเขาไม่ได้ขี้เหร่อย่างที่คิดมาตลอด
“น่ารัก”
น่ารักงั้นเหรอ...
“นอนลงครับโพนี่” คนตัวเล็กเลิกคิ้วมองเจ้าขนส้มที่ทำตามอย่างว่าง่าย อีกทั้งยังหงายท้องอ้อร้อราวกับเชิญชวนให้เกาอย่างไรอย่างนั้น พี่ชานยอลหัวเราะในลำคอ ขายาวตรงเข้ามาจัดแจงท่าให้ความน่ารักสีส้มก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา “พี่ว่ารูปต้องออกมาดูดีแน่ถ้าเราลงไปนอนข้าง ๆ น้อง”
หัวใจเต้นตึกตักอย่างบอกไม่ถูกกับน้ำเสียงและแววตาที่ส่งมายังเขา แบคฮยอนเลียริมฝีปากคลายความประหม่า พยายามบอกตัวเองว่ามันก็แค่การถ่ายรูป และการบอกให้นอนก็คือนอนลงไปเฉย ๆ ไม่ใช่เรื่องลามก
ให้ตาย... เป็นเพราะอยู่กับคนทะลึ่งอย่างแทอูบ่อยเกินไปแน่ ๆ
ทำตัวไม่ถูกแล้ว ร่างกายมันร้อนขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ทั้งที่เป็นกลางเดือนตุลาคม คนตัวเล็กนอนลงบนผืนหญ้าสีเขียวข้าง ๆ เจ้าโพนี่ กอดก่ายความนุ่มนิ่มเพื่อกลบความร้อนทั้งหมด แบคฮยอนไม่อยากคิดไปเองว่าเสี้ยววินาทีหนึ่งพี่ชานยอลไม่ได้มองหน้าจอ แต่ดวงตาคู่นั้นกำลังมองมาทางนี้... ผ่านมือถือเครื่องนั้น
“เรียบร้อยแล้วครับ”
“ผมต้องหล่อมากแน่ ๆ” คนตัวเล็กพรูลมหายใจและตลกอย่างสิ้นคิดเพื่อกลบเกลื่อน เขาแกล้งทำเป็นยื่นมือขอยืมโทรศัพท์มาดู และอีกฝ่ายก็ยื่นให้โดยไม่ลีลาสักนิด
“คุณชานยอล ให้ป้าเตรียมมื้อเย็นเลยไหมคะ?”
“ทำเลยครับ เดี๋ยวผมแวะบ้านหนังสือแป๊บนึง”
“ได้ค่ะ” แม่บ้านมีเครื่องแบบด้วย แบคฮยอนเลิกคิ้วมองอย่างตื่นตาตื่นใจก่อนจะหันไปทางคนตัวโตที่พยักหน้าชวนให้ไปบ้านหนังสือด้วยกัน
“อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมครับ?”
เขาส่ายศีรษะ “ผมกินง่ายนะ ทำอะไรมาก็กินได้หมดเลย”
“ดีจังครับ พี่ว่าเราน่าจะชอบฝีมือคุณป้า”
“มั่นใจแบบนี้แสดงว่าต้องอร่อยจริง” คนตัวเล็กพยายามผ่อนคลายบรรยากาศ เพื่อขับไล่ความขลาดอายออกไปให้หมดสิ้น และตอนนี้ก็ถือว่าดีขึ้นกว่าเมื่อไม่กี่นาทีก่อนอยู่มากโข
“เชิญครับ” ชายหนุ่มผายมือทันทีที่เปิดประตูเข้าไป แบคฮยอนอ้าปากค้างกับหนังสือมากมายที่วางเรียงอยู่บนชั้นไม้ซึ่งคงหาซื้อทั่วไปไม่ได้เพราะดูแล้วคงถูกสั่งทำเป็นพิเศษ อีกทั้งโซนนั่งเล่นที่มีฟูกสีครีมชวนให้ทิ้งตัวลงเพื่อพิสูจน์ให้รู้ว่ามันจะนุ่มจนกลืนร่างบยอนแบคฮยอนลงไปลึกมากแค่ไหน
“นี่ไม่ใช่แค่บ้านขนมหวานธรรมดานะ นี่คือขนมหวานสอดไส้ด้วย”
“ตามสบายนะครับ อีกสิบห้านาทีเดี๋ยวคุณป้ามาเรียกไปกินข้าว”
“ผมเริ่มเกร็งจริง ๆ แล้วอะ บ้านพี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะเนี่ย ดูสิ ตรงนั้นมีแฮรี่ พอตเตอร์ด้วย”
“พี่เป็นบิ๊กแฟนเจเคเลยล่ะครับ” พี่ชานยอลทำมือป้องปากเหมือนจะกระซิบ แบคฮยอนอดยิ้มไม่ได้เลย ไม้กวาดนิมบัส 2000 กับเสื้อคลุมและผ้าพันคอบ้านกริฟฟินดอร์นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ด้วย
คนตัวเล็กเดินไปหยุดอยู่ตรงกลางพรมสีน้ำตาลพลางกวาดสายตาไปรอบตัว เขาไม่ใช่หนอนหนังสือ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าถ้าหากให้เลือกออกไปข้างนอกกับสิงอยู่ที่นี่ เขาก็คงเลือกอย่างหลัง
“นี่เหมือนเตาผิงไฟเลย” แบคฮยอนจับโครงโซฟาซึ่งทำด้วยวัสดุอย่างดี ก่อนพี่ชานยอลจะพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้นั่งลงได้ไม่ต้องเกรงใจ “บนพื้นมีรอยอะไรด้วย”
“ที่จริงตรงนั้นมันเคยเป็นจุดวางเตียงถังไวน์น่ะครับ แต่พอพี่โตขึ้นก็เข้าไปนอนในนั้นไม่ได้แล้ว ก็เลยต้องขายทิ้งแล้วเก็บเงินซื้อโซฟาเตาผิงไฟแทน”
“อย่างพี่ต้องเก็บเงินด้วยเหรอ โกหกน่า ปะป๊าซื้อให้อยู่แล้ว”
“แต่โซฟาตัวนั้นพี่เก็บเงินซื้อเองนะครับ” พี่ชานยอลกำลังพยายามเถียงเขาอยู่หรือเปล่า ทำไมดวงตาคู่นั้นถึงใสซื่อเกินกว่าที่จะเกิดคำ ๆ นั้นขึ้นได้
“ล้อเล่นค้าบ” แบคฮยอนยิ้ม พลางขยับสะโพกเพื่อวัดความนุ่มนิ่มของโซฟาที่นั่งอยู่ “นี่ พี่ชานยอล”
“ว่าไงครับ?”
“ชอบอ่านวรรณกรรมของใครมากที่สุด?”
“อืม...” ชายหนุ่มขมวดคิ้วราวกับว่ามีตัวเลือกหลากหลายให้ลังเล “ที.เอส. อีเลียตครับ”
“ไม่เคยได้ยินเลยอะ” หลังจากได้ยินคำตอบที่มาพร้อมคิ้วทั้งสองข้างที่ขมวดเข้าหากัน ชานยอลก็กำมือป้องปากขำอย่างห้ามไม่ได้ “อะไรเล่า ผมแค่ชวนคุยเรื่องที่พี่ชอบระหว่างรอข้าวเสร็จเฉย ๆ นี่... อย่าขำสิครับ”
พี่ชานยอลพยายามกลั้นขำขณะตรงไปยังชั้นหนังสือ ผู้ชายคนนั้นคงรู้หมดแล้วว่าเล่มไหนอยู่ตรงไหนถึงได้ไม่มีท่าทีลังเลเลยสักนิดตอนหยิบออกมา คนที่นั่งอยู่บนโซฟาเตาผิงไฟจึงขยับออกข้างเล็กน้อยเมื่อเจ้าของบ้านเดินมาถึง และตอนนี้เรามีระยะห่างต่อกันเพียงแค่หนึ่งฝ่ามือเท่านั้น
“นี่ครับ หนังสือของที.เอส. อีเลียต”
“ผมจะไม่ถามนะว่าสนุกไหม เพราะผมจะดูซื่อบื้อทันทีเพราะถ้ามันไม่สนุกพี่คงไม่ชอบแน่ ๆ” แบคฮยอนมองหนังสือ ‘The Love Song Of J. Alfred Prufrock’ ที่ยังคงอยู่ในสภาพดี บ่งบอกถึงการดูแลรักษาอย่างใส่ใจของพี่ชานยอล
“ครับ มันเป็นเล่มที่พี่ชอบที่สุด” ชายหนุ่มอมยิ้มขณะสบตากับคนตัวเล็ก “ลองเอาไปอ่านดูไหม?”
“โห จะดีเหรอ มันเป็นเล่มโปรดของพี่นะ ผมกลัวจะทำมันยับไม่ก็ทำน้ำหกใส่อะ ยิ่งเด๋อ ๆ ด๋า ๆ อยู่ด้วย” แบคฮยอนทำตาโต ประคองหนังสือวางลงบนตักอีกคนอย่างระมัดระวัง
“เพราะเป็นเล่มโปรดพี่ถึงได้อยากให้เราลองอ่านดูไงครับ” พี่ชานยอลทิ้งจังหวะไปราวกับว่ากำลังให้โอกาสเขาหาคำพูดมาอ้าง คนตัวเล็กรู้สึกเหมือนว่ากลิ่นหอม ๆ จากอโรมาภายในห้องเริ่มชัดขึ้นเมื่อทุกอย่างถูกความเงียบกลืนกิน กลิ่นอ่อน ๆ ที่เดาไม่ออกเลยว่าทำมาจากอะไร กำลังช่วยให้เขาผ่อนคลายขึ้นหรือเปล่านะ? “อ่านวันละหน้าก็ได้”
“เกี่ยวกับอะไรเนี่ย ความรักเหรอ?” อ่านปกแล้วก็น่าจะใช่อย่างนั้น คงมาแนว ๆ อินเลิฟแหง
“ไม่ใช่ครับ เรื่องนี้เกี่ยวกับพรูฟ็อกค์ ผู้ชายย้อนแย้งคนหนึ่งน่ะ” ชายหนุ่มหัวเราะ
“ผมไม่เคยอ่านนิยาย วรรณกรรมอะไรแบบนี้เลย ผมกลัวว่าอ่านไปแล้วจะเข้าไม่ถึง เดี๋ยวพี่เสียความรู้สึกแย่”
“พี่ไม่เสียความรู้สึกหรอกครับ” ชายหนุ่มตอบอย่างไม่ลังเลพร้อมพยักหน้าย้ำเพื่อให้เขาเอากลับไปอ่านที่บ้าน
“แล้วถ้าเกิดมันยับล่ะ” แบคฮยอนขมวดคิ้ว “พอถึงตอนนั้นอย่าบ่นนะ?”
“แค่ไม่ทำหน้าหายไปก็โอเคแล้วครับ” ชานยอลยิ้มขำกับความกังวลของคนข้าง ๆ ที่แสดงออกมาจนถึงวินาทีนี้
แบคฮยอนเอาหนังสือเล่มนั้นกลับมาวางบนตักตนเช่นเดิมพลางสูดอากาศเข้าปอดลึก ๆ เพื่อรับความสดชื่นจากอโรมา ก่อนจะหันไปสบตากับใบหน้าหล่ออีกครั้ง
“ตอนแรกผมนึกว่าพี่จะชอบเชกสเปียร์ซะอีก”
“อะไรที่ทำให้คิดอย่างนั้นครับ?”
“เพราะผมรู้จักอยู่คนเดียวไงล่ะ”
“ฮึ...” แบคฮยอนหน้าเหวอทันทีที่เห็นว่าอีกฝ่ายป้องปากขำกับคำตอบของเขา
“อะไรเล่า... ผมเป็นเด็กกายภาพบำบัดนะ”
“พี่ยังไม่ได้ว่าอะไรเลยครับ”
“แต่พี่ขำอะ” คนตัวเล็กเอาศอกสะกิดแขนแกร่ง และนั่นยิ่งทำให้พี่ชานยอลหัวเราะจนไหล่สั่น “ถึงพี่จะบอกว่าผ่านวิกฤติเชกสเปียร์ไปได้อย่างยากลำบาก แต่ผมก็จะคิดว่าพี่ชอบเขา”
“เหตุผลฟังขึ้นครับ”
“ทำไมอะ เชกสเปียร์ไม่ดีตรงไหนทำไมพี่ต้องขำ”
“จะว่าไปแล้ว ที.เอส. อีเลียตก็เอาแฮมเลต ตัวละครของเชกสเปียร์มาเป็นซิมโบลิกในเรื่องนี้ด้วยนะครับ”
“ผมรู้จักแค่โรมิโอกับจูเลียตของเขา แล้วพี่ก็ดูจะโรมิโอมากด้วย”
“ครับ?” เป็นครั้งแรกที่แบคฮยอนเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วมองราวกับว่าไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะหลุดขำออกมาอีกครั้ง “พี่ดูเหมือนผู้ชายคลั่งรักเหรอ?”
“จากที่คุยกันมาหนึ่งวัน บวกกับคณะที่พี่เรียนแล้วก็หนังสือในห้องนี้ ผมขอฟันธงว่าใช่แน่นอน”
“เถียงได้ไหมครับเนี่ย จริง ๆ พี่เป็นคนไร้เดียงสากับเรื่องนั้นมากเลยนะ”
“โกหก” แบคฮยอนไม่รู้ว่าเผลอทำปากยื่นใส่เหมือนที่เคยทำกับเพื่อนเวลาไม่อยากเชื่อกับอะไรบางอย่าง และคนตัวเล็กก็เพิ่งจะรู้ตัวตอนเห็นดวงตาคู่นั้นหลุบลงมองริมฝีปากของเขา
พอรู้ว่าเริ่มใกล้กันเกินไป แบคฮยอนจึงขยับออกมาเพื่อสร้างกำแพงระหว่างเราขึ้นมาอีกครั้ง คนตัวเล็กเลียริมฝีปากพลางแกว่งขาแก้เขินระหว่างที่ความเงียบกำลังทำงาน ‘โรมิโอ’ บ้าอะไรของแกแบคฮยอน พูดจาเลอะเทอะจริง ๆ
“พอคิดดูแล้วบางทีมันอาจจะจริงอย่างที่เราพูดก็ได้นะครับ”
แบคฮยอนเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ พลางหันไปสบตากับคนตัวโตอีกครั้งเพื่อรอฟังว่าอะไรในโลกกันที่ทำให้พี่ชานยอลคล้อยตามเด็กที่ไม่เข้าใจเรื่องวรรณกรรมอย่างเขาได้
“เพราะพี่เหมือนโรมิโอตรงที่ตกหลุมรักจูเลียตตั้งแต่ได้เจอกันครั้งแรก”
TBC
ชานยอล: ขอโทดที่รวย
ขอบคุณ @pekozzang ที่ให้ความรู้เรื่องวรรณกรรม คุยแล้วสนุกมาก รบกวนเวลาเรียนน้องสนุกมากกก
ขอบคุณ @VPINXH ที่ให้ความรู้เรื่องกายภาพบำบัด นั่งมอยกับน้องเรื่องนี้มาสองวันแล้ว ได้ความรู้เข้าสมองมากคร้า
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

น้องรอพี่ที่ท่าน้ำทุกวันเลยยT^T