คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #29 : Season 2 | Painkiller 04 :: Problem.
? cactus
Chapter 04
Problem
กว่าจะรู้ว่าเช้าแล้วก็ตอนที่ควานหาความนุ่มนิ่มข้างตัวไม่เจอ
ชาร์ลลุกขึ้นนั่งแล้วให้เวลาตัวเองอยู่กับการสะลึมสะลือพร้อมตบเป้ากางเกงที่ตื่นตัวขึ้นมาทักทายดวงอาทิตย์ยามเช้าเหมือนทุกวันให้สงบลง
‘แบคฮยอนตื่นตั้งแต่ตอนไหน?’ นั่นคือคำถาม ไม่สิ ต้องถามว่า ‘หมอนั่นได้นอนบ้างหรือเปล่า?’ ถึงจะถูก
เขาไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือจากนั้น ตกลงไหม? จริงอยู่ที่ชาร์ลี
ฮอปส์เป็นเด็กผู้ชายมือไวใจบาปซึ่งพร้อมจะทำเรื่องบ้าบิ่นอยู่ตลอดเวลา แต่เขารู้ว่าต้องรู้จักหักห้ามใจกับคนที่ยังมีผลประโยชน์ให้ตราบใดที่ยังอยู่เกาหลี
อย่างมากก็แค่นอนกอดเพราะอยากเข้าใจความรู้สึกของดีแลน
เพื่อนชาวอเมริกันที่บอกว่าการมีหมอนข้างมนุษย์มันทำให้หลับสบายกว่านอนตัวเปล่าเป็นไหน
ๆ ทีแรกเขาไม่เชื่อกระทั่งลองทดลองกับแบคฮยอน และการมีผู้ชายตัวเล็ก ๆ
นอนขดตัวอยู่ในอ้อมกอดจึงทำให้คำพูดของดีแลนดูน่าเชื่อถือขึ้นมาได้บ้างนิดหน่อย
สายตาพลันไปเห็นโพสต์-อิทรูปแอปเปิ้ลวางอยู่บนหมอนที่เมื่อคืนแบคฮยอนไม่มีโอกาสได้ใช้มันหนุนนอน
เด็กหนุ่มเสยผมขึ้นก่อนจะหยิบขึ้นมาอ่านจึงรู้ว่าโมจินุ่มนิ่มออกไปมินิมาร์ทเพื่อซื้อกางเกงในกับแปรงสีฟันให้เขา
ได้แต่ยิ้มขำกับความหวังดีที่มีให้ตั้งแต่ลืมตาตื่น
ไม่รู้ว่าปาร์คแบคฮยอนเป็นคนดีจริง ๆ
หรือแค่หาเรื่องออกไปข้างนอกเพราะไม่กล้าเผชิญหน้ากับเขากันแน่
ชาร์ลยังจำสีหน้าของอีกฝ่ายตอนคายของเหลวใส่มือตัวเองได้
เขาชอบความรู้สึกตอนนั้นแต่ก็ต้องแกล้งทำเหมือนว่าทุกอย่างเป็นเรื่องปกติ เพราะไม่อยากให้โมจิเสียขวัญจนไม่อยากทำมันอีกเป็นครั้งที่สอง
แบคฮยอนคงอายมากถึงได้นอนหันหลังตลอด ก็รู้อีกนั่นแหละว่าไม่ควรคุกคามด้วยการกอดทันทีหลังจากทำเรื่องลามกกันไปเกินครึ่งทาง
ชาร์ลปล่อยให้เวลาล่วงเลยผ่านจนโมจินุ่มนิ่มเข้าใจว่าเขาหลับไปแล้ว
หลังจากนั้นค่อยเนียนแกล้งทำเป็นละเมอเลื้อยกอดเอาให้จมอกจนขยับตัวไม่ได้
อยากเป็นพี่ชายแมน ๆ
แต่เครื่องเขียนส่วนหนึ่งก็สาวน้อยแล้ว เด็กหนุ่มฉีกโพสต์-อิทรูปแอปเปิ้ลสีแดงออกแล้วแปะกับผนัง
ชาร์ลไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเอาแต่มองทั้งที่มันก็เป็นแค่กระดาษโง่ ๆ ที่พอขยำก็คงกลายเป็นขยะ
สิบนาทีผ่านไปปาร์คแบคฮยอนก็ยังไม่กลับมา
ไปซื้อกางเกงในถึงอิรักหรือไงใจคอจะให้รออีกนานแค่ไหน พอสติครบถ้วนก็เริ่มปวดฉี่แล้ว
หมอนั่นควรรู้หรือเปล่าว่ามนุษย์ต้องลุกไปเข้าห้องน้ำทุกเช้า แต่ตอนนี้ชาร์ลี
ฮอปส์ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างจากคนชราที่ต้องรอใครสักคนพาไปเข้าห้องน้ำเพราะเขาออกไปจากห้องนี้ด้วยตัวเองไม่ได้
*
“ขอโทษจ้ะแม่จ๋า ผมจะไม่ดื้ออีกแล้ว
แม่อย่าทำแบบนี้ โอ๊ย ๆ”
ลูกชายคนกลางได้แต่ทำหน้าเหยเกพร้อมจะบีบน้ำตาแห้งใส่ผู้มีอำนาจประจำบ้านที่กำลังใช้มือเล็ก
ๆ บีบคอเขาให้เดินลงบันไดไปด้วยกันหลังจากที่ยัยตัวแสบโบยอนแอบฟ้องแม่ว่าเมื่อวานเขาทำแบคฮยอนร้องไห้จนน้ำหูน้ำตาไหลอีกแล้ว
“คราวที่แล้วก็พูดแบบนี้ แต่ก็ยังทำอีกอยู่ดีนี่มันหมายความว่ายังไงเหรอปาร์คชานอี?”
“ก็แบคฮยอนปล่อยให้รอนานผมก็ต้องหงุดหงิดเป็นธรรมดาปะแม่
ตอนเป็นวัยรุ่นแม่ก็เป็นคนหัวร้อนเหมือนผมอะพ่อเล่าให้ฟังหมดแล้ว เรื่องแค่นี้ก็น่าจะเข้าใจง่าย
ๆ ไหม?”
“แต่แม่ไม่เคยหัวร้อนใส่คนที่ไม่ได้ทำผิด
อย่าเอาไปรวมกัน”
“อะไร
แม่จะบอกว่าพี่แบคฮยอนไม่ผิดงั้นเหรอ?! โห ยอมแล้ว ยอมเลย
เจ้าข้าเอ๊ย! บ้านหลังนี้รักลูกไม่เท่า -- โอ๊ยยยยยยยยยย!!!” คราวนี้เปลี่ยนจากบีบคอเป็นดึงหูแทน โหดร้ายเหลือเกิน
เพราะแม่โอ๋แบบนี้ไงพี่แบคฮยอนถึงได้หงิมแบบนั้น
“เป็นพี่น้องก็ต้องดูแลกันสิ มันถูกต้องแล้วที่เราตามหาพี่
จะงอนก็ได้แต่ให้เป็นพิธีพอ ไม่ใช่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่จนต้องมีใครเสียใจ
ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าพี่เค้าเป็นคนยังไง?”
แบคฮียืนกอดอกมองหน้าลูกชายคนกลางที่ยืนถอนหายใจฟึดฟัดใส่อยู่บนขั้นบันได
“รู้ ผมถึงพยายามกระตุ้นให้แบคฮยอนเข้มแข็งขึ้นไง”
“แต่ที่เราทำมันไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง
การจะกระตุ้นให้คน ๆ หนึ่งเข้มแข็งได้มันมีวิธีดี ๆ
อีกตั้งหลายทางที่ไม่ใช่การขึ้นเสียงใส่ ขนาดตอนแม่พูดตอนนี้เรายังไม่ชอบเลย ก็ลองคิดดูสิว่าพี่เค้าจะรู้สึกยังไงที่น้องชายแท้
ๆ เอาแต่ทำตัวไม่น่ารักใส่?” ชานอีเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม
อยากตอบว่ารู้สึกผิดตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแต่ไม่กล้าลงไปคุยด้วยเพราะคำว่า ‘กลัวเสียฟอร์ม’ มันค้ำคออยู่
“พูดว่าขอโทษกับคนในครอบครัวมันไม่ใช่เรื่องน่าอายหรอกลูก” เจ้าของบ้านเดินมาหยุดยืนอยู่บนขั้นบันไดชั้นต่ำกว่าเพื่อให้แม่ช่วยติดกระดุมเสื้อเม็ดบนให้
“เรื่องนั้นเป็นไงบ้างคะ?”
“มันจะบินมาเกาหลีคืนนี้ เดี๋ยวตอนเที่ยงพี่จะแวะไปดูที่โรงพยาบาลสักหน่อย
คาดว่าชาร์ลีน่าจะไปที่นั่น” หลังจากติดกระดุมเรียบร้อย
ทั้งคู่ก็เดินลงไปข้างล่างโดยมีลูกชายคนรองเดินตามหลัง ใครจะมาที่นี่กัน
แล้วชาร์ลีที่ว่านั่นใช่คน ๆ เดียวกับที่คิดอยู่ไหม?
“เด็กวัยกำลังหัวเลี้ยวหัวต่อ
หวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดีนะคะ”
“ถ้าเขายอมฟังพี่นะ”
“ขนาดพ่อแม่ยังไม่ฟัง
บางทีเราอาจจะต้องพึ่งคุณปู่ ให้ท่านพูดหว่านล้อมสักหน่อย” แบคฮีจัดเผ้าผมให้สามีที่เธอจับโกนหนวดให้เมื่อคืน
“มานี่สิชานอี” ชานยอลก็หันไปทางลูกชายที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้มากนัก
พ่อยิ้มบาง ๆ พลางลูบศีรษะเขา
เมื่อครู่นี้คงเป็นเรื่องของคนที่อยู่อเมริกา และชานอีก็พอจะจับต้นชนปลายได้ด้วยคีย์เวิร์ดเดียวว่าต้องเป็นลุงอี้ฝาน
ว่าแต่ไอ้เด็กฝรั่งที่เคยตีกันตอนยังเป็นเด็กมันเป็นอะไร?
“เรามีกันอยู่แค่นี้
รักษาน้ำใจกันไว้ให้มากนะ”
“เข้าใจที่พ่อพูดหรือเปล่า?!”
“เงียบไปเลยยัยเตี้ย!”
“คิ”
โบยอนหลบหลังคุณแม่ยังสาวพร้อมแลบลิ้นใส่พี่ชายคนกลางอย่างนึกสนุก
“หรือถ้าไม่อยากขอโทษเพราะกลัวเสียฟอร์ม
เราก็แค่เดินเข้าไปหาพี่แล้วบอกว่าวันนี้จะเลี้ยงขนม
พ่อว่าแค่นั้นแบคฮยอนก็น่าจะรู้สึกดีขึ้นแล้วนะ”
ชานอีรู้ว่ามันได้ผลเพราะเขาใช้วิธีนั้นมาตลอด เด็กหนุ่มรู้ว่าพี่ชายไม่ได้เห็นแก่กิน
แต่แบคฮยอนก็แค่อยากให้เขาเป็นฝ่ายเริ่มชวนคุยก่อนเพื่อที่จะได้รู้ว่าสงครามบ้าบอของเราสิ้นสุดลงแล้ว
“ถ้าทำแล้วแม่จะไม่ไปส่งผมที่โรงเรียนใช่ไหม?”
บอกตามตรงว่าหวาดระแวงกับเรื่องหลอนที่ผู้มีอำนาจในบ้านมักจะมอบให้เขาทุกครั้งที่ทำตัวเป็นเด็กมีปัญหา
การให้แม่ไปส่งโรงเรียนนั้นไม่ต่างจากการอมกระบอกปืนแล้วเหนี่ยวไกใส่ตัวเองเลยสักนิด
การเอาคืนลูกชายด้วยการกอดหอมซ้ายขวาต่อหน้านักเรียนเป็นสิบมันไม่ใช่เรื่องตลกเลย
เบื่อจะโดนเพื่อนล้อ
“ถ้าพี่แบคฮยอนยิ้มได้แม่ก็โอเค”
“ได้เลยจ้าคุณนาย” ชานอียิ้มพร้อมโค้งประชดแบบคนโบราณ เขาหายใจเข้าลึก ๆ รวบรวมสติเพื่อเข้าไปทำให้เรื่องมันจบ
ๆ ซ้อมบทพูดในใจไว้เวลาพูดจริงจะได้ไม่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ
“โบยอนไปนั่งกินข้าวให้เสร็จเร็วครับ
วันนี้สายไม่ได้นะ” เจ้าของชื่อทำปากยื่นใส่พ่อจ๋าที่วางมือลงบนศีรษะเธอราวกับไม่อยากให้เข้าไปดูพี่ชานอีง้อพี่แบคฮยอนด้วย
แต่คนปากแข็งยังไม่ทันได้อ้าปากพูดว่าจะเลี้ยงขนมพี่ชาย
ขาทั้งสองข้างก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเปิดประตูเข้าไปพบใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าชั้นหนังสือ
เด็กหนุ่มตัวสูงมีสีผมและดวงตาเป็นสีน้ำตาลเทาอ่อน สายตาเรียบเฉยคู่นั้นอาจจะตกใจไม่เท่าเขาแต่ก็ไม่ได้เฉยชากับสถานการณ์ตอนนี้
คำพูดที่เตรียมไว้ง้อพี่ชายถูกกลืนลงคอไปพร้อมกับคำถาม
ความเงียบกลืนกินบรรยากาศโดยรอบและไม่มีใครคิดจะพูดอะไรออกมาเพื่อคลายความสงสัย
คนในครอบครัวรู้ดีว่าแบคฮยอนมีเพื่อนที่โรงเรียนกี่คน หน้าตาเป็นอย่างไร
สนิทกับใครมากที่สุด
และแน่นอนว่าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่
“ชาร์ลี?”
“...”
เจ้าของชื่อในชุดเสื้อยืดกางเกงนอนขาเต่อเลยตาตุ่มก้าวถอยหลังโดยไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายนั้นถามอะไรอีก
ชาร์ลไม่คิดจะกล่าวทักทายเพื่อนสนิทพ่อหรือโค้งทำความเคารพแบบวัฒนธรรมเกาหลี
ไม่ว่าจะเป็นเพราะความไม่สนิทหรือสถานการณ์ไม่อำนวย ชาร์ลรู้เพียงว่าเขาอยู่ที่นี่ไม่ได้อีกแล้วจึงคว้าเอากระเป๋าเงินกับชุดนักเรียนตัวเมื่อวานซึ่งวางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาก่อนจะกระโดดออกจากหน้าต่างและไม่ลืมที่จะหยิบรองเท้าที่ซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ไปด้วย
ชานยอลหยุดยืนอยู่ข้างหน้าต่างพร้อมมองตามแผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่วิ่งเท้าเปล่าไปจนลับสายตา
แบคฮีคิดว่าสามีของเธอคงประหลาดใจอยู่ไม่น้อยที่ได้รู้ว่าชาร์ลีไม่ได้ไปไหนไกลอย่างที่อู๋อี้ฝานเป็นกังวลตั้งแต่เมื่อวาน
แต่เด็กคนนั้นกลับมาอยู่ในห้องลูกชายคนโตบ้านหลังนี้
ซึ่งเธอไม่เคยรู้ว่าทั้งคู่ยังติดต่อกันอยู่
แต่มันคงไม่แปลกเพราะแบคฮยอนคงไม่ได้เล่าทุกเรื่องให้คนเป็นพ่อแม่ฟัง
สามีภรรยาหันมาสบตาอย่างรู้กัน
ชานยอลเพียงพยักหน้าเท่านั้นแบคฮีจึงออกไปรอข้างนอก
ทิ้งไว้เพียงลูกชายคนกลางที่ยืนขมวดคิ้วอยู่ในห้องพร้อมคำถามที่ว่า ‘ไอ้ฝรั่งนั่นมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
แล้วแบคฮยอนหายไปไหน?’
*
สองมือถือถุงพะรุงพะรังเดินไปตามทางลาดชันที่อีกนิดเดียวก็ถึงบ้าน
ถ้าแบคฮยอนไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยใช้เวลาไปกับการเลือกของป่านนี้คงถึงบ้านนานแล้ว ก็พอหยิบแปรงสีฟันกับกางเกงในได้ก็ต้องยืนคิดอีกว่าต้องใช้กี่ตัว
ถ้าซื้อน้อยแล้วซักตากเอาก็กลัวแม่จะสงสัยว่าทำไมลูกชายตัวแค่นี้ใส่ตัวใหญ่จังอะ
พอคิดว่าเนียนตากกับของพ่อกับชานอีก็ได้ ความลังเล
ชั่งใจก็ทำให้เขาเสียเวลากับตรงนั้นไปมากโข
พอเลือกของจำเป็นเรียบร้อยก็เพิ่งนึกได้ว่าคอนเวิร์สของเพื่อนวัยเด็กมันขาดตั้งแต่เมื่อวาน
แบคฮยอนจึงเดินวนกลับไปซื้อรองเท้าแตะให้ แต่ชาร์ลจะยอมใส่หรือเปล่านะ
ผู้ชายคนนั้นเหมือนตุ๊กตาที่ถอดได้แค่ชุดแต่ถอดรองเท้าไม่ได้
คอนเวิร์สคู่นั้นเหมือนเป็นไอเทมติดตัวมาตั้งแต่เกิด
แต่ก็เหมาะกับคนที่เติบโตจากอเมริกาดี
คนตัวเล็กหยุดฝีเท้าเมื่อเห็นว่าเพื่อนวัยเด็กกำลังตรงมาทางนี้
ชาร์ลตายยากจัง แค่นินทาในใจก็โผล่ออกมาจากความคิดได้ด้วย ไม่ใช่สิ... การที่อีกฝ่ายวิ่งหอบเสื้อผ้าหน้าตั้งแบบนั้นมันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่
“ชาร์ล!”
“Listen.” (ฟังนะ)
เด็กหนุ่มหยุดยืนหอบหายใจตรงหน้าคนตัวเล็ก เขาโยนรองเท้าลงพื้นแล้วสวมเหยียบส้นแบบลวก
ๆ ก่อนจะวางมือข้างที่เคยถือรองเท้าลงบนศีรษะทุย “ถ้ากลับบ้านตอนนี้นายจะต้องเจอกับคำถามว่าทำไมฉันถึงอยู่ในห้องนั้นได้”
“โดนจับได้แล้วเหรอ เราบอกแล้วไงว่าให้อยู่แต่ในห้องอะ”
“ก็ใครไม่ยอมล็อกประตูจนญาติพี่น้องแห่เข้ามาได้ล่ะวะ?”
บ้านหลังนี้มีคำว่าพื้นที่ส่วนตัวบ้างไหม นึกจะเปิดก็เปิด
ไม่มีเคาะให้สัญญาณเตือนเลยสักนิด ชาร์ลมองคาดโทษคนตัวเล็กที่ขมวดคิ้วครุ่นคิดแล้วทำหน้าเซ็งใส่เขาอีก
“ถ้าล็อกเราก็เข้าไม่ได้น่ะสิ
ถ้าพ่อเห็นว่าเราเคาะประตูห้องตัวเองก็คงดูเหมือนคนบ้าไปนิดนึงอะ”
“หน้าต่างไงแบคฮยอน หน้าต่างมี
เมื่อวานฉันใช้ทางนั้นเข้าได้ นายก็ต้องทำได้เหมือนกันถูกไหม?” ชาร์ลถอนหายใจแรง ๆ
“จริงด้วย”
ยังจะมาจริงด้วยอะไรอีก?!
“เอาเถอะ ถ้ากลับไปถึงก็บอกพวกเขาไปซะว่าฉันแอบปีนเข้าห้องนายตอนตีสี่”
“ทำไมต้องตีสี่ล่ะ”
“เพราะมันจะทำให้นายหลุดจากการเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดไง
ซื่อบื้อจริง” ชาร์ลกระตุกผมหน้าม้าคนตัวเล็กแล้วมองค้อน
แบคฮยอนจึงทำตาโตอย่างตกใจ
“เราไม่ชอบโบ้ยความผิดให้คนอื่นหรอกชาร์ล
เราเป็นคนชวนมาค้างที่บ้านด้วย เราจะเทกลางทางไม่ได้”
มันใช่เวลามาทำหน้าขึงขังแบบนั้นไหม
หมอนี่ควรพยักหน้าเข้าใจแล้วทำตามแผนที่เขาวางไว้สิถึงจะถูก
“งั้นก็บอกไปเลยว่าที่นายต้องโดนไอ้เด็กเปรตนั่นด่าก็เพราะหาทางช่วยฉัน
ว่าไงล่ะพี่ชายคนแมน?” ชาร์ลแค่นหัวเราะพลางหันไปมองข้างทาง
พอไม่ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วตอบโต้จึงขมวดคิ้ว
แล้วก็พบว่าตอนนี้อีกฝ่ายไม่ได้ยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
เพราะแบคฮยอนย่อตัวลงนั่งยอง ๆ
หยิบรองเท้าแตะออกมาจากถุงแล้ววางลงข้างหน้าเท้าของเขา
“เราเห็นผ้าใบชาร์ลขาดก็เลยซื้อรองเท้าแตะมาให้”
“...”
“คิดว่าใส่แก้ขัดนะ
ถ้าไม่ชอบค่อยโยนทิ้งตอนได้คู่ใหม่ก็ได้”
ชาร์ลมองรองเท้าคู่เก่งที่ตอนนี้มันขาดจนนิ้วโผล่ออกมาเผชิญหน้ากับโลกที่น่าเบื่อ
พอแบคฮยอนเห็นว่าเขาไม่สวมเข้าไป
ดวงตาคู่นั้นจึงช้อนมองมาราวกับกำลังขอร้องให้เขาใส่รองเท้าแตะโง่ ๆ คู่นี้เสียที
“ฉันจะไม่ซื้อคู่ใหม่”
“ได้ เรารู้จักร้านซ่อมรองเท้านะ” คนตัวเล็กลุกขึ้นยืน จนถึงตอนนี้บนหน้าของแบคฮยอนก็ยังคงมีรอยยิ้มแม้เจ้าตัวจะรู้อยู่แก่ใจว่าถ้ากลับไปถึงบ้านคงเจอกับคำถามน่าเบื่อเกี่ยวกับเขา
“เพราะงั้นใส่รองเท้าแตะก่อนนะ เพราะถ้าฝืนใส่ต่อเดี๋ยวรอยขาดจะใหญ่กว่าเดิม
ร้านซ่อมรองเท้าอยู่ไม่ไกลจากตรง --”
“นายไม่ต้องพาฉันไปไหนแล้ว”
ยังพูดไม่ทันจบคนตัวโตก็ตัดบทด้วยการวางมือลงบนบ่าเขา
แบคฮยอนเพียงยืนนิ่งกับความรู้สึกวูบตรงหน้าอกข้างซ้ายหลังจากถูกปฏิเสธ เขาแค่อยากช่วยชาร์ลเท่าที่จะทำได้
“ขอบคุณที่ช่วย ถ้าหลังจากนี้มีอะไรเกิดขึ้นกับฉัน
ก็ให้รู้ไว้เลยว่ามันได้เป็นไปอย่างที่ควรเป็นแล้ว”
“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ
เหมือนกำลังบอกลากันเลย”
เสียงเบาหวิวกับแววตาของคนตัวเล็กเต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่อยากรับรู้
ใช่ ชาร์ลี ฮอปส์ตั้งใจหลอกใช้แบคฮยอน แต่มันก็บ้าบอเหลือเกินที่เขาเผลอรู้สึกดีไปกับการนั่งไทม์แมชชีนย้อนไปตอนอายุเก้าขวบ
กลับไปในช่วงเวลาที่มีแต่ความสุข รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ ช่วงเวลาที่เด็กคนหนึ่งไม่ต้องรับรู้ว่าโลกใบนี้มันโหดร้ายแค่ไหน
“อย่าไปเลยนะ
พ่อแม่เราเป็นคนเข้าใจง่าย ถ้าชาร์ลอธิบายให้ฟังท่านต้องเข้าใจแน่” แบคฮยอนกุมมือเพื่อนตัวโตเอาไว้
แต่อีกฝ่ายกลับเบือนสายตาหลบไปอีกทางก่อนจะแกะมือเขาออก
“พ่อฉันต้องตามไปที่บ้านนายแน่
เขาจะไม่ฟังอะไรนอกจากความรู้สึกตัวเอง”
“ลุงอี้ฝานใจร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ชาร์ลไม่ตอบ เขาเพียงถอดรองเท้าผ้าใบออกแล้วใส่รองเท้าแตะตามที่อีกฝ่ายขอ
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตากับคนตัวเล็กที่ยื่นถุงพลาสติกสีดำออกมาให้
ก่อนจะเอาห่อขนมปังกับนมรสช็อกโกแลตออกมา
“เราซื้อมาให้ชาร์ลเอาไว้กินตอนท้องว่าง”
ก็เพราะเป็นแบบนี้ไงถึงได้โดนไอ้เด็กชานอีแกล้งไม่หยุด
ปาร์คแบคฮยอนควรดีใจที่หมดภาระจากเพื่อนวัยเด็กที่เพิ่งกลับมาเจอกันได้แค่วันเดียวมากกว่าจะแสดงออกว่ากังวลกับเรื่องของเขามากแค่ไหน
ชาร์ลี ฮอปส์ไม่ได้มีค่ามากขนาดนั้น
ขนาดเพื่อนที่โรงเรียนยังไม่เคยเป็นห่วงเป็นใยมากถึงขนาดนี้
“ถ้าจะทิ้งก็โยนมันเข้าไปในท้องนะ”
“...”
“รับไว้หน่อย เราหนัก” พอเห็นชาร์ลไม่ยอมเอาไปสักทีก็ใจเสีย ขอแค่อย่างเดียว
อย่าเมินความหวังดีของเขาเลย
“สำออยจริง”
เด็กหนุ่มคว้าถุงมาถือไว้ และแทนที่คนซื่อบื้อจะสะดุ้ง แต่เจ้าตัวกลับหัวเราะแหะดีใจกับเรื่องเล็ก
ๆ น้อย ๆ
“เราทำกับข้าวเผื่อเยอะเลย
รอตรงนี้ก่อนได้ไหมเดี๋ยวเราวิ่งไปเอามาให้”
“นายกลับเข้าไปก็คงเจอพ่อกับแม่รออยู่
และฉันคงไม่รอ”
“งั้นเราเอาไปให้ที่โรงพยาบาลได้ไหม?”
“อย่าเลย”
ชาร์ลตอบทันทีโดยไม่เสียเวลาคิด “มันผิดแผนหมดแล้ว”
ตอนแรกตั้งใจหลอกใช้แบคฮยอนเพื่อหาที่ซุกหัวนอนสักระยะหนึ่ง
แต่พอถูกเพื่อนพ่อจับได้เรื่องมันก็ยากขึ้นจนถ้าฝืนติดต่อกับหมอนี่ต่อไปคงมีแต่จะแย่
พ่อต้องตามมาแน่ เขาเชื่อว่าอาชานยอลต้องเล่าทุกอย่างแม้แบคฮยอนจะพราวด์ทูพรีเซนท์ว่าพ่อของตนใจกว้างเหมือนมหาสมุทร
หมอนี่ควรรู้ไว้อย่างว่าผู้ใหญ่จะไม่มีทางฟังคำขอของเด็ก เว้นแต่ว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ขัดใจ
คนเหล่านั้นมักจะทำในสิ่งที่คิดว่าถูกต้องแล้ว โดยไม่ถามความสมัครใจเด็กสักคำ
ชาร์ลนึกสีหน้าพ่อออกเลยว่าจะเป็นอย่างไร
เขาไม่อยากถูกจับได้ทั้งที่เพิ่งเจอปู่เมื่อวาน
“เราจะแยกกันไปตามทางหลังจากหันหลังให้กัน”
“หมายความว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีกเหรอ?” ไม่ชอบการจากลา ไม่ว่าจะเป็นตอนเรียนจบประถมหรือมอต้นที่เพื่อนต้องแยกย้ายไปเรียนที่อื่น
และตอนนี้ก็เช่นกัน
“ขอบคุณสำหรับความหวังดีในช่วงเวลาสั้น
ๆ ถ้ามีโอกาสก็คงได้เจอกันอีก”
“เมื่อไหร่อะ”
“ตอนที่นายดวงตกล่ะมั้ง?”
“เราไม่เคยแช่งใคร
แต่ตอนนี้เราเริ่มอยากแช่งให้ตัวเองดวงตกบ้างแล้ว” ชาร์ลยิ้มขำกับประโยคเมื่อครู่
เขาเสยผมหน้าม้าคนตัวเล็กขึ้นแล้วโน้มลงไปจูบหน้าผากมนเบา ๆ ค้างไว้ครู่หนึ่ง
แบคฮยอนหลับตาลงรับความรู้สึกแปลก ๆ
ที่มันกำลังตีอยู่ในอกข้างซ้ายจนสับสนไปหมดแล้ว มันทั้งวูบไหวเพราะเสียใจ
แต่ก็เต้นตุบตับผิดจังหวะเพราะริมฝีปากของอีกฝ่ายที่สัมผัสกับหน้าผากตนเอง
ชาร์ลทำแบบนี้กับเพื่อนที่ไมอามี่บ่อยใช่ไหม
แล้วคนที่นั่นใจเต้นแรงเหมือนแบคฮยอนตอนนี้หรือเปล่า?
“ห้ามหันหลัง” ประโยคคำสั่งกระซิบบอกให้คนตัวเล็กยืนนิ่ง ๆ
เขาไม่ต้องการให้อีกฝ่ายหันมาตะโกนเรียกพร้อมแสดงสีหน้าแบบที่สามารถทำให้เขาหงุดหงิดเพราะความไขว้เขวลึก
ๆ ในใจที่มันอยากเก็บสะสมความนุ่มนิ่มไว้เป็นของตัวเอง
ชาร์ลก้มลงมองมือเล็กที่ดึงชายเสื้อเขาไว้หลวม ๆ
ราวกับว่ามันเป็นหนทางสุดท้ายที่แบคฮยอนจะรั้งเขาไว้ได้ เราสบตากันในระยะใกล้
เด็กหนุ่มอยากบอกอีกฝ่ายว่าอย่าทำให้เขาต้องแสดงด้านมืดมากไปกว่านี้ ชาร์ลี
ฮอปส์เลวร้ายกว่าที่ปาร์คแบคฮยอนคิดอยู่มาก เพียงแต่เขายังไม่แสดงด้านนั้นออกมา
ด้านที่เด็กผู้ชายอย่างเขาสามารถทำทุกอย่างได้เพราะความเห็นแก่ตัว
“Goodbye.”
*
คนตัวเล็กหยุดฝีเท้าเมื่อสายตาทุกคู่มองมาทางนี้ทันทีที่เขาก้าวเข้ามาในบ้าน
แบคฮยอนไม่ได้ประหลาดใจนักเพราะรู้ดีว่าต้องเจอกับคำถามแบบไหน
แต่เขาเชื่อว่ามันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสำหรับครอบครัวที่อยู่กันด้วยความเข้าใจมาตลอด
ทั้งที่เตรียมตัวพร้อมไปทำงานแล้วแต่พ่อกับแม่ยังอยู่บ้าน
ทุกคนคงรอแบคฮยอนกลับมาเพื่ออธิบายเกี่ยวกับเรื่องของชาร์ล
“ผม --”
“ไม่เป็นไรลูก
ไว้ค่อยคุยกันตอนเย็น รีบไปแต่งตัวเถอะ เดี๋ยวไปโรงเรียนสาย”
รอยยิ้มของแม่ยังคงเป็นพลังงานชั้นดีให้แบคฮยอนได้เสมอ คนตัวเล็กพยักหน้าแล้วมองตามพ่อที่เดินไปหยิบกุญแจรถ
เขาอยากรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
“พ่อจะบอกลุงอี้ฝานไหม?” คนถูกถามหันไปสบตากับลูกชายคนโตที่มองมาอย่างคาดหวัง เขารู้ว่าลึก ๆ
แล้วในดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเพื่อนซึ่งเขาไม่รู้ว่านอกจากตอนอายุแปด-เก้าขวบแล้วทั้งคู่เอาเวลาไหนไปสนิทกัน
“แล้วเราอยากให้เรื่องมันดีขึ้นหรือเปล่า?” แบคฮยอนรีบผงกศีรษะ คนเป็นพ่อจึงกอดคอลูกชายให้เดินออกไปหยุดยืนอยู่หน้ารถในช่วงเวลาที่เขาควรไปถึงโรงเรียนได้แล้ว
“สมัยเรียนมัธยม เพื่อนพ่อเคยมีปัญหากับที่บ้าน
มันเลยประชดด้วยการหนีออกมา เพราะอยากหาคนผิดให้เรื่องนั้น”
“ชานอี โบยอน ขึ้นรถได้แล้วลูก”
“แค่หน้าทางเข้าพอนะ” ชานอีชูนิ้วชี้ขึ้นมาตรงระดับใบหน้าเพราะไม่อยากให้แม่ก้าวออกจากรถเมื่อขับไปถึงโรงเรียน
แบคฮีปัดนิ้วออกแล้วยักคิ้วกวน
เด็กหนุ่มชะลอฝีเท้าพลางหันไปทางพี่ชายคนโต
ทั้งคู่สบตากันในช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนน้องชายคนซึนจะขยับปากพูดแบบไม่มีเสียงว่า ‘เดี๋ยวเลี้ยงไอติม’ แบคฮยอนจึงทำปากยื่นใส่ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาพร้อมกันเมื่อความน้อยใจทั้งหมดหายไปได้เพียงเพราะใครคนหนึ่งยอมอ่อนลง
“แล้วเพื่อนพ่อหนีออกมานานไหมครับ?”
พอรถขับออกไปแล้วตอนนี้ก็เหลือเพียงพ่อกับลูกชายคนโตที่ยืนอยู่หน้าบ้าน
“อาทิตย์กว่า ๆ
สำหรับการอยู่บ้านเพื่อนอีกคนที่ค่อนข้างเข้มงวด คนหนึ่งอยากช่วยเพื่อน
อีกคนอยากได้ที่พักพิง แต่ด้วยความที่ยังเป็นเด็กพ่อกับเพื่อน ๆ ก็เลยทำอะไรได้ไม่มาก
พวกเรายังไม่มีเงินเดือน แต่ก็เจียดเงินค่าขนมช่วยเพื่อนคนนั้น แต่พอเวลาผ่านไปพ่อก็คิดว่าเราควรทำอะไรสักอย่าง
พ่อกับเพื่อนคนอื่น ๆ จะช่วยเขาด้วยวิธีนั้นไม่ได้
เพราะพ่อแม่เพื่อนอีกคนก็เริ่มบ่นที่พาคนเข้าไปอยู่ในบ้าน กินอยู่ ใช้น้ำใช้ไฟทั้ง
ๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานตัวเอง ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจ”
“แล้วที่ผมพาชาร์ลมาค้างเมื่อคืน
พ่อโกรธหรือเปล่าครับ?”
“ไม่แบคฮยอน พ่อไม่โกรธ” มือแกร่งลูบศีรษะลูกชายคนโตที่ยังคงกังวลอยู่ “พ่อแค่อยากบอกลูกว่าถ้าเพื่อนลำบาก
เราสามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเขาได้นะ มันไม่ผิดเลย
พ่อดีใจด้วยซ้ำที่ลูกมีจิตใจที่ดี แต่ตอนนี้ชาร์ลกำลังมีปัญหา การให้ที่พักพิงโดยไม่ช่วยแก้ไขเรื่องที่เขากำลังเผชิญอยู่มันจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น
ลูกเข้าใจที่พ่อพูดไหม?”
คนตัวเล็กพยักหน้าอย่างว่าง่าย
ที่พ่อพูดมันถูกหมดเลย แบคฮยอนคิดไม่ผิดที่เชื่อว่าพ่อต้องเข้าใจ
“ชาร์ลมีปัญหากับลุงอี้ฝานมานานแล้ว
ตอนนี้เรื่องมันเริ่มใหญ่โตเพราะบินข้ามประเทศมาพร้อมโรงเรียน มันจะเป็นไรไหมถ้าเกิดว่าพ่อจะพูดเรื่องนี้กับอี้ฝาน?” เขาค่อย ๆ หว่านล้อมเพื่อให้ลูกชายคล้อยตามและให้ความร่วมมือกับเรื่องนี้
อี้ฝานมันปวดหัวมามากพอแล้ว ถ้าเพื่อนอย่างปาร์คชานยอลพอจะช่วยอะไรได้
เขาก็ไม่ลังเลที่จะทำมัน
*
เกือบเดือนแล้วที่แบคฮยอนไม่ได้เจอหน้าชาร์ล
แต่ก็พอได้ยินความเป็นไปจากพ่ออยู่ตลอดว่าอีกฝ่ายเป็นอยู่อย่างไร เรื่องหนีทัศนศึกษาเมื่อคราวนั้นส่งผลถึงโรงเรียน
พ่อไม่ได้เล่าเหตุผลว่าทำไมลุงอี้ฝานถึงให้ชาร์ลลาออกจากโรงเรียนทั้งที่กำลังจะเรียนจบในอีกไม่กี่เดือน
ชาร์ลย้ายมาอยู่บ้านคุณปู่
ก่อนที่ท่านจะจากโลกใบนี้ไป
แบคฮยอนเป็นห่วงเพื่อน
ถ้าคุณปู่ไม่อยู่แล้วการกลับมาเกาหลีของชาร์ลจะมีค่าอะไร
ตอนนี้อีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไร เศร้าซึมแค่ไหน เขาอยากคุยกับผู้ชายคนนั้นเหลือเกิน
แต่พอไปหาที่บ้านคุณปู่ก็เจอแต่คนสวน ชาร์ลแทบไม่อยู่บ้านเลยหลังจากพบเจอความเสียใจ
และการที่อีกฝ่ายเป็นอย่างนั้นจึงทำให้ลุงอี้ฝานโมโหเข้าไปอีก
สุดท้ายชาร์ลก็ถูกยัดเยียดให้เข้าไปอยู่โรงเรียนประจำในเทอมหน้า
“โบยอน กินข้าวดี ๆ ลูก”
“มันเหลือแต่ผักอะ น้องไม่อยากกิน”
“แต่วันนี้วันพฤหัส
เราตกลงกันไว้แล้วนะ?”
ชานยอลวางมือลงบนศีรษะลูกสาวคนเล็กที่ไม่ยอมกินผักเหมือนแม่จนต้องสร้างข้อตกลงกันว่าถ้าโบยอนยอมกินผักทุกวันจันทร์กับพฤหัส
เขาจะให้คูปองเอาแต่ใจกับลูกสาวเดือนละหนึ่งใบ
“พ่อจ๋ากินแทนน้องได้ไหม วันนี้พี่แบคฮยอนใส่มะเขือเทศด้วย
น้องเกลียด” โบยอนทำตาปริบ ๆ อ้อนพ่อจ๋าที่เอาแต่ทำหน้าเคร่งเครียดระหว่างคุยกับแม่บนโต๊ะอาหาร
“โบยอน ถ้ายังงอแงเรื่องเดิม ๆ อีกแม่จะดุหนูจริง
ๆ แล้วนะ”
เด็กสาวทำปากยื่นใส่แล้วก้มลงมองมะเขือเทศบนจาน
พอเงยหน้าขึ้นขอความเห็นใจจากพี่ชายทั้งสองที่คลานออกมาจากท้องแม่มาก่อน
ก็ได้คำตอบเป็นรอยยิ้มจากแบคฮยอน และสีหน้ากวนประสาทจากชานอี
“ไม่เคยเห็นพี่อี้ฝานอารมณ์ร้ายขนาดนี้มาก่อนเลย
เขาคงสุดจะทนแล้วจริง ๆ สินะคะ”
“พี่พยายามเกลี้ยกล่อมแล้ว ยังไงชาร์ลีก็คงต้องเข้าโรงเรียนประจำ”
“แบบนั้นเด็กมีแต่จะต่อต้านมากขึ้นกว่าเดิม
ชาร์ลีเพิ่งเสียคุณปู่ไป อยู่เกาหลีก็ไม่เหลือที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแล้ว
พี่อี้ฝานไม่น่าใจร้อนยื่นเรื่องลาออกให้ลูกเลย อีกแค่นิดเดียวแท้ ๆ”
“ที่รัก ความจริงมันเป็นความสมัครใจของชาร์ลี”
“อะไรนะคะ?”
“อืม
เขาบอกว่าให้อยู่ที่ไหนก็ได้ยกเว้นบ้านหลังนั้น”
“หมายถึงไมอามี่เหรอคะ
ทำไมเป็นอย่างนั้นไปได้ล่ะ?”
แม้มือจะตักข้าวเข้าปากแต่หูทั้งสองข้างกำลังฟังเพื่อเก็บรายละเอียด
แบคฮยอนชำเลืองมองพ่อกับแม่ที่ยังคงอยู่ในบทสนทนาตึงเครียด
ดูเหมือนว่าตอนนี้การเยียวยาชาร์ลจะกลายเป็นเรื่องยากสำหรับทุกคนไปแล้ว
“พี่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าแม่ชาร์ลีว่ายังไงบ้าง
แต่อี้ฝานไม่ยอมพูดถึงเลย”
“แล้วเรื่องโอนเกรดล่ะคะ
มันทำได้เหรอ?”
“ไม่ได้หรอก แต่เส้นสายทำได้”
ทุกที่ย่อมมีเส้นสาย การเอาชาร์ลี ฮอปส์ยัดเข้าโรงเรียนประจำเพื่อตัดปัญหาจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับอู๋อี้ฝาน
ชานยอลค่อนข้างเป็นกังวล เขาพยายามหาทางออกให้เรื่องนี้โดยการเสนอว่าจะให้ชาร์ลีย้ายมาอยู่ด้วยกัน
อาจจะเรียนซ้ำชั้นอีกปีแต่โรงเรียนที่แบคฮยอนอยู่ก็มีคุณภาพมากพอที่จะวางใจได้ แต่สุดท้ายก็มาตกม้าตายเพราะความเด็ดขาดของเพื่อน
เพราะอี้ฝานบอกว่า
‘อย่าเลย เด็กอย่างมันอยู่ที่ไหนก็สร้างแต่ปัญหา
กูไม่อยากให้ครอบครัวมึงต้องเจอเรื่องแย่ ๆ’
“ให้ผมไปเรียนที่นั่นกับชาร์ลได้ไหมครับพ่อ?”
“...”
“...”
ทุกคนหันไปทางลูกชายคนโตบ้านนี้เป็นตาเดียวกันกับประโยคเมื่อครู่ที่ทำให้อยากฟังซ้ำอีกครั้งว่าหูฝาดไปหรือไม่
“อีกไม่กี่เดือนผมก็จะขึ้นปีสามแล้ว
ถ้าได้อยู่ปีเดียวกันอะไร ๆ อาจจะดีขึ้นก็ได้ ผมอยากช่วยชาร์ลครับ”
“เลอะเทอะน่าแบคฮยอน” น้องชายขมวดคิ้วมองคาดโทษกับคำพูดโง่ ๆ ของพี่ชายที่คิดว่าตัวเองจะเปลี่ยนเด็กบ้านแตกได้
“นั่นโรงเรียนประจำนะลูก
มันไม่เหมือนกัน”
แม่มองหน้าเขาราวกับอยากให้ทบทวนเรื่องนี้อีกครั้ง
“ไม่เอานะ น้องไม่ให้ไป”
“เพราะอะไร
อธิบายให้พ่อฟังหน่อยได้ไหม?”
มีแค่พ่อที่เปิดโอกาสให้แบคฮยอนได้กล้าพูดในเรื่องที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะทำอย่างที่คิดไว้
ในขณะที่คนอื่นไม่อยากให้เขาไปอยู่ไกลหูไกลตา
“ถึงจะไม่มากเท่าคุณปู่...
แต่ชาร์ลฟังผมนะ”
‘ขอบคุณที่ช่วย
ถ้าหลังจากนี้มีอะไรเกิดขึ้นกับฉัน
ก็ให้รู้ไว้เลยว่ามันได้เป็นไปอย่างที่ควรเป็นแล้ว’
“เขาไม่ใช่คนเกเร
ใจหยาบกระด้างอย่างที่ลุงอี้ฝานคิด เขาเหมือนที่พ่อเคยพูดว่าที่ชาร์ลเป็นแบบนั้นก็เพราะสิ่งแวดล้อมกับคนรอบข้าง
ที่แสดงออกแบบนั้นก็เพราะอยากสร้างเกราะป้องกันความรู้สึกให้ตัวเอง
แต่เวลาอยู่กับผมเขาก็เป็นแค่เด็กธรรมดาคนหนึ่ง”
‘พ่อฉันต้องตามไปที่บ้านนายแน่
เขาจะไม่ฟังอะไรนอกจากความรู้สึกตัวเอง’
“ผมชอบเพื่อนที่โรงเรียนมาก
แล้วผมก็คงคิดถึงบ้านแน่ ๆ ถ้าไม่ได้ตื่นมาเจอทุกคน แต่ผมกลับมาตอนวันหยุดสุดสัปดาห์ได้
แต่เราจะปล่อยชาร์ลให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้นะครับ”
พ่อกับแม่หันไปมองหน้ากันเพื่อขอความเห็นกับสิ่งที่แบคฮยอนร้องขอ
ชานอีอยากแกล้งหูหนวกเพราะเขากำลังหงุดหงิดที่ถ้าให้พูดออกไปล่ะก็คงมีคนร้องไห้อีกแน่
เป็นบ้าเหรอ โรงเรียนประจำอะไรกัน เขากำลังจะขึ้นมอปลายอยู่แล้ว เรากำลังจะได้อยู่โรงเรียนเดียวกัน
แต่พี่กลับคิดย้ายไปอยู่โรงเรียนประจำที่ทำให้เราห่างกันยิ่งขึ้น
“ไม่เอา ไม่ให้ไป อย่าทิ้งน้อง” โบยอนส่ายหน้า เดินมาหาพี่ชายคนโตแล้วเบะปากเหมือนจะร้องไห้ แบคฮยอนจึงลูบศีรษะน้องคนเล็ก
นอกจากพ่อแล้วก็มีเขาอีกคนที่โบยอนตามติดแจ
“ลูกอยากเก็บเรื่องนี้ไปคิดอีกสักคืนไหม หรือว่าคิดมาดีแล้ว?” คนตัวเล็กสบตากับแม่ ก่อนจะพยักหน้าเป็นคำตอบ
“ผมคิดดีแล้วครับ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ
ผมจะดูแลตัวเองให้ดี แล้วก็ดูแลชาร์ลไปด้วย”
แม้ว่าจะเป็นห่วงและไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่ แต่บ้านหลังนี้อยู่ด้วยการเคารพการตัดสินใจกันและกัน
จึงไม่มีใครเอาความรู้สึกตัวเองมาตัดสินกับเรื่องที่เห็นตรงกันแล้วว่าต้องการช่วยเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาครอบครัว
ทุกคนหันไปให้ความสนใจกับมื้อเช้าอีกครั้งเมื่อบทสนทนาสิ้นสุดลง
รอยยิ้มเล็ก ๆ บนใบหน้าพ่อกับแม่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ลูกชายคนโตได้เป็นอย่างดี
แบคฮยอนไม่รู้หรอกว่าการตัดสินใจครั้งนี้มันจะดีขึ้นหรือว่าแย่ลงยิ่งกว่าเดิม
ถ้าตอนนี้ชาร์ลกำลังจมน้ำ เขาก็อยากลองยื่นมือลงไปช่วย
แบคฮยอนจะไม่ยอมปล่อยให้ชาร์ลจมลงไปใต้ทะเลลึกเด็ดขาด
TBC
ชั้นมาจ่ายให้ค่าตัวทีมครอบครัวตั้งแต่ตอนนี้
เพราะตอนถัดไปก็ย้ายไปอยู่โรงเรียนประจำแร้ว
อยู่ไกลหูไกลตาอยู่นะเอาจิง หนวดที่ไว้มาขู่ชาวบ้านก็โดนเมียไถออกหมดไม่มีเหลือ
ลูกซองสิบกระบอกก็ช่วยอะไรไม่ได้ อีพ่อต้องพึ่งไรเฟิ้วซูมระยะไกลถึงจะยิงโดนนะค๊
ปล. ไม่ไหวละปวดท้องเมนส์ ไปเล่นเกมแปป
ความคิดเห็น