คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #27 : Season 2 | Painkiller 02 :: Are you fucking kidding me?
? cactus
Chapter 02
Are you fucking kidding me?
“ใจคอจะจ้องหน้าฉันไปจนถึงโรงพยาบาลเลยหรือไง?”
“เราอยากรู้ว่าบนหน้าชาร์ลมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ขอจ้องอีกสองนาทีแล้วจะหันไปมองถนนแทน”
“แปลกคน” เด็กหนุ่มยิ้มขำ ตั้งแต่รู้ว่าเขาเป็นใครแบคฮยอนก็เอาแต่จ้องมาตลอดทางโดยไม่ยอมละสายตาไปไหน
มันก็นานแล้วที่ทั้งคู่ไม่ได้เจอกัน ล่าสุดคือตอนชาร์ลอายุเก้าขวบซึ่งเขาแทบจำภาพเหล่านั้นไม่ได้แล้วว่าแบคฮยอนวัยแปดขวบเป็นแบบไหน เพราะสิ่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่คือความผูกพันที่เด็กหนุ่มจำได้ว่ามันเป็นอย่างไร มันไม่มีหน้าตา จับต้องไม่ได้ แต่เขายังรู้สึก
“ขอเราจับจมูกได้ไหม” เสียงของแบคฮยอนเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่ชาร์ลก็ยิ้มแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ จนคนขอเอนหลังอัตโนมัติเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว “เราไม่ได้คิดว่าเป็นจมูกปลอมนะ อย่าเข้าใจเราผิด”
“ยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ”
“อธิบายไว้ก่อน เผื่อชาร์ลเข้าใจผิดแล้วไม่ยอมพูดเพราะกลัวเรารู้สึกแย่”
“ในสายตานายฉันคงเป็นคนดีมากเลยสินะ?” เด็กหนุ่มหัวเราะ อีกฝ่ายจึงหน้าเจื่อนไปเพราะคำพูดของเขามันอาจสวนทางกับความเชื่อในใจของแบคฮยอน
“ชาร์ลเป็นคนไม่ดีแค่ตอนบอกว่าจะเอามีดแทงคอเราแค่นั้นแหละ”
“ก็นายพูดไม่หยุด แต่ขู่แล้วได้ผลซะที่ไหนล่ะ?” ชาร์ลยีผมคนตัวเล็ก และท่าทางตอนหลับตา ห่อไหล่จนตัวเหลือแค่นั้นก็ทำให้มือไม้ที่วางอยู่บนหน้าขาอยากยกขึ้นมาบีบแก้มนุ่มนิ่มนั่นให้ร้องอู้อี้
“ว่าแต่ทำไมต้องแอบไปหาคุณปู่ด้วยล่ะ ไปหาเลยก็ได้ไม่ใช่เหรอ?”
พอพูดถึงเรื่องนี้สีหน้าคนตัวโตก็กลับไปเรียบเฉยเหมือนก่อนหน้านี้ ดวงตาสีน้ำตาลเทาคู่นั้นทอดมองไปยังเบื้องหน้าราวกับว่าคำถามเมื่อครู่เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความคิดก่อนตอบ แบคฮยอนไม่ได้รบเร้าและชาร์ลก็ยังคงเงียบ บนถนนที่แท็กซี่กำลังพาเราทั้งสองคนไปให้ถึงจุดหมาย
*
แบคฮยอนยืนอยู่หน้าห้องผู้ป่วยเพื่อดูลาดเลาระหว่างชาร์ลเข้าไปหาคุณปู่ จากที่คุยกันบนแท็กซี่ก็ได้ความว่าลุงอี้ฝานไม่ยอมพาชาร์ลกลับมาเกาหลีเพราะชาร์ลชกต่อยกับคนอื่นจนได้เรื่อง ถ้าถามความเห็นแบบเด็ก ๆ จากแบคฮยอน เขาก็คงคิดว่าลุงอี้ฝานน่าจะแยกแยะได้เพราะถ้าจะดัดนิสัยชาร์ลก็มีอีกตั้งหลายวิธีที่ทำให้ลูกชายสำนึก
เหมือนตอนชานอีนิสัยไม่ดี แม่ก็เอาคืนด้วยการไปส่งถึงหน้าโรงเรียน กอดหอมจนชานอีอายเพื่อน ตัวแสบก็เลยไม่กล้าดื้อกับแม่อีก ตอนนั้นแบคฮยอนสะใจมากเลยอะ
ตอนเป็นเด็กจำได้ว่าชาร์ลติดคุณปู่มาก ไม่แปลกเลยที่อีกฝ่ายจะเป็นห่วงจนทนอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ พอทางโรงเรียนจัดทริปทัศนศึกษาเกี่ยวกับพระราชวัง ชาร์ลจึงใช้จังหวะนั้นโดดร่มหนีออกมา และกลุ่มนักเรียนหัวทองที่วิ่งตามคือศัตรูคู่อาฆาตในโรงเรียนที่พร้อมจะซัดหมัดใส่หน้าชาร์ลตลอดเวลาเมื่อมีโอกาส
แบคฮยอนพอจะนึกภาพออกนะ เด็กฝั่งอเมริกาดูหัวร้อนกันง่ายอะ เอะอะต่อยดั้งหัก ชาร์ลอยู่ที่นั่นคงถูกแกล้งบ่อยสินะ แต่เท่าที่เห็นก็ดูเข้มแข็งมากเลย ไม่รู้ว่าต่อยเก่งหรือเปล่า อยากรู้จัง หลอกถามตอนนี้เลยดีไหม จะโดนดุหรือเปล่า ไม่น่ามั้ง... แบคฮยอนน่าจะเอาความเป็นเพื่อนสมัยเด็กมาอ้างได้ ชาร์ลจะต้องหายใจเข้าลึก ๆ แล้วอดใจไม่ด่า
ชาร์ลขอไว้ว่าห้ามเล่าให้พ่อกับแม่ฟังเด็ดขาด เพราะถ้าเรื่องถึงหูลุงอี้ฝานเมื่อไหร่ไมอามี่ต้องระเบิดเป็นผุยผงแน่ แบคฮยอนไม่อยากทำให้เพื่อนต้องซวยทั้งที่ยังปวดหัวเรื่องคุณปู่อยู่ ดังนั้นเขาจะพยายามช่วยชาร์ลไปจนถึงสุดทางให้ได้
เป็นเพราะชานอีเอาพาวเวอร์แบงค์ไปแล้วไม่ยอมคืน คนตัวเล็กจึงทำได้แค่มองหน้าจอโทรศัพท์ที่ดับสนิทและไม่มีท่าทีว่าจะเปิดติด เขย่าก็แล้ว อะไรก็แล้ว ถ้าชานอีเดินออกมาจากร้านหนังสือการ์ตูนแล้วไม่เจอเขายืนอยู่ตรงนั้นคงหาเรื่องบ่นอีกแน่ เด็กคนนั้นน่ะชอบทำเหมือนตัวเองเป็นพี่ทั้งที่เด็กกว่าตั้งสองปี
“เป็นไงบ้าง?” แบคฮยอนเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเมื่ออีกคนเดินออกมาจากห้องผู้ป่วยแล้ว สีหน้าของชาร์ลดูไม่สู้ดีนักคาดว่าอาการของคุณปู่น่าจะเป็นกังวลอยู่พอสมควร
แบคฮยอนไม่ได้เจอคุณปู่นานแล้ว เพราะถ้าชาร์ลไม่มาเกาหลีพ่อก็ไม่ได้พาไปบ้านหลังนั้นอีก ท่านจะเป็นอะไรมากหรือเปล่านะ ความห่างเหินทำให้แบคฮยอนแทบไม่รู้อะไรเลย
“ฉันกลับไปทั้งแบบนี้ไม่ได้” คนตัวสูงถอนหายใจ “ตราบใดที่ปู่ยังนอนอยู่ในนั้น”
“แล้วกับทัวร์โรงเรียนล่ะ เอางี้ดีไหม ชาร์ลลองคุยกับอาจารย์ดูว่าขอแวะมาหาคุณปู่ก่อนกลับไมอามี่สักครึ่งชั่วโมงได้ไหม?”
“ไม่ได้หรอก”
“อ่า...” พูดอะไรโง่ ๆ อีกแล้ว รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีทางทำแบบนั้นได้เพราะทุกอย่างต้องอยู่ในกฎระเบียบ แต่แบคฮยอนก็สงสารชาร์ลเหมือนกันถ้าจะได้เจอคุณปู่ได้แค่วันนี้ “ถ้ากลับไป... ยังไงชาร์ลก็ต้องโดนอาจารย์ดุใช่ไหม?”
คนตัวโตพยักหน้า “คงโดนพักการเรียนด้วย”
“หูย ทำไงดีอะ มันเรื่องใหญ่มากเลยนะ”
“ไม่มีทางเลือกแล้วนี่” ชาร์ลกวาดสายตาไปโดยรอบอย่างหวาดระแวง จนถึงตอนนี้คนตัวโตก็ยังกลัวว่าจะมีใครตามเห็นแล้วพากลับไปหาอาจารย์ที่เป็นคนนำทัวร์ทัศนศึกษาครั้งนี้ “อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ฉันจะไม่ไปไหนจนกว่าปู่จะดีขึ้น”
ขายาวเดินไปยังเก้าอี้แถวยาวแล้วนั่งลง เอนหลังพิงกับพนักอย่างเหนื่อยอ่อนพลางหลับตาลงเพื่อให้สมองได้หยุดทำงานเสียบ้าง แบคฮยอนมองเพื่อนวัยเด็กที่มีความกังวลอัดแน่นอยู่ในใจ พอเห็นว่าชาร์ลกำลังลำบากแบคฮยอนก็ไม่กล้าขยับตัวไปไหน แม่เคยสอนไว้ว่าเวลาสบายอย่าลืมคนที่อยู่เคียงข้างเรามาตลอด และเวลาเพื่อนลำบากก็ไม่ควรเพิกเฉย
“นี่” ใบหน้าคมเงยขึ้นสบตากับคนตัวเล็กที่หยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมเอานิ้วชี้จิ้มอกเบา ๆ “จะนอนตรงนี้เหรอ?”
“ใช่”
“มันปวดหลังนะ”
“แล้วให้ทำไง ฉันเข้าไปเฝ้าปู่ในห้องไม่ได้ จะกลับไปนอนโรงแรมก็ไม่ได้เหมือนกัน มันจะมีที่ไหนเหมาะไปกว่าตรงนี้อีก” แววตาของอีกฝ่ายช่างตัดพ้อและน่าสงสารเหลือเกิน แบคฮยอนทำปากยื่นเพราะสงสารเพื่อนก่อนจะใช้สองมือดึงแขนคนตัวโตให้ลุกขึ้นยืน “กลับไปเถอะ วันนี้ฉันกวนนายเกินไปแล้ว”
“ไม่ได้กวนนะ อย่าคิดเองเออเองสิ”
“ฉันรู้สึกผิดจะแย่อยู่แล้วที่ลากนายเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย ไหนจะเอามีดขู่นายอีก ฉันควรจะจำนายได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอหน้ากันด้วยซ้ำ ฉันมันแย่จริง ๆ” คนแผนสูงลูบหัวคอร์กี้ตัวน้อยเบา ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายตายใจและเชื่อไปกับคำพูดเหล่านั้นของเขา
ใครจะบ้าจำได้ มีอย่างเดียวที่ปาร์คแบคฮยอนยังเหมือนเดิมคือส่วนสูงซึ่งเหมือนตายสนิทไปตั้งแต่ตอนแปดขวบ แต่ถ้าไม่ได้หมอนี่เขาต้องลำบากแน่ ชีวิตในโซลที่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ มันไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเลยสักนิดเดียว เพราะฉะนั้นเขาต้องหลอกให้แบคฮยอนจ่ายค่าโรงแรม หลังจากนั้นก็ปล่อยไปตามยถากรรม Whatever
“ปะ ไปนอนบ้านเรา”
“What?” รอยยิ้มอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นคิ้วขมวดกับประโยคที่คิดว่าต่อให้ตายเขาก็ไม่มีทางตกลงแน่ แบคฮยอนควรบอกว่า ‘เราจะจ่ายค่าโรงแรมให้เอง’ สิถึงจะถูก “บ้านที่มีพ่อแม่นายอยู่ด้วยน่ะเหรอ?”
“อื้อ แต่ไม่ต้องกลัวนะ พ่อกับแม่จะไม่มีวันรู้เด็ดขาด เราจะย่องเข้าไปเงียบ ๆ เหมือนหนังสายลับอะ” แบคฮยอนป้องปากพูดเบา ๆ เพื่อให้ได้ยินกันสองคน
“No way มันเสี่ยงเกินไป”
“หูย เชื่อใจเราหน่อยซี่”
“เชื่อคนที่หลบหลังม่านจนเท้าโผล่ตอนเล่นซ่อนแอบน่ะนะ Are you kidding me?” ชาร์ลแค่นหัวเราะ ก่อนจะหลุบสายตามองมือเล็ก ๆ ที่จับข้อมือเขาไว้
“แต่ชาร์ลจะนอนตรงนี้ไม่ได้ มันปวดคอ ขาชาร์ลก็ยาวมาก มันจะขวางทางหมอกับพยาบาลอะ”
“...”
“เชื่อใจเรานะ เราจะช่วยชาร์ลเอง”
ลูกหมาคอร์กี้กำลังส่งสายตามุ่งมั่นมาเพื่อให้เขารู้ว่าทั้งหมดนั้นล้วนแต่เป็นความจริง ชาร์ลค่อนข้างเป็นกังวลเพราะมันขัดกับความต้องการที่คาดไว้ แต่ถ้าอีกฝ่ายรับปากเสียดิบดีว่าทำได้ มันคงไม่แย่นักถ้าหากจะปล่อยให้ปาร์คแบคฮยอนซวยแทนเมื่อกลายเป็นเรื่องใหญ่โต
*
“กลับมาแล้วเหรอ?”
“กลับมาแล้วครับ!”
“พี่ชานอีโทรมาถามด้วยว่าพี่แบคฮยอนกลับหรือยัง พี่เค้าโมโหมาก กระแทกเสียงใส่จนหูหนูแทบแตกอะ พี่แบคฮยอนโดนหยิกตัวเขียวแน่!” ยัยตัวแสบประจำบ้านวัยสิบสองขวบตะโกนอย่างนึกสนุก
“อย่าขู่พี่เค้าสิโบยอน” พ่อที่นั่งดูแข่งเทนนิสอยู่บนโซฟาเอื้อมมือไปยีผมลูกสาวที่นั่งทำการบ้านอยู่บนโต๊ะกระจกหน้าโซฟา
“คิคิ” แบคฮยอนยิ้มแห้งพลางถลึงตาบอกน้องสาวว่าวันนี้เขาไม่เล่น จะแกล้งกันวันไหนก็ได้แต่ต้องไม่ใช่วันนี้ NOT TODAY (ติดชาร์ลมาอะ)
“พ่อโทรบอกชานอีให้หน่อยว่าผมถึงบ้านแล้ว เครื่องผมแบตผมหมด”
“ได้สิ รีบไปอาบน้ำแล้วออกมากินข้าวนะ”
ลูกชายคนโตรีบวิ่งเข้าไปในห้อง ทิ้งกระเป๋าเป้ลงบนเตียงแล้วเปิดหน้าต่างออกพร้อมชะโงกหน้าออกไปนอกบ้านก่อนจะกวักมือเรียกคนตัวโตที่หลบอยู่หลังพุ่มไม้ แบคฮยอนยังไม่ได้เปิดไฟเพราะกลัวมีใครเห็น ต่อให้ไม่ใช่ลูกเสือแต่สัญญาแล้วก็ต้องเป็นสัญญา เขาจะไม่ทำให้ชาร์ลลำบากเด็ดขาด ดังนั้นต้องไม่ประมาท
“ให้เราปิดหน้าต่างก่อนแล้วค่อยลุกขึ้นนะ”
“Copy that.” (รับทราบ) มีแค่แสงจากดวงจันทร์เท่านั้นที่ทำให้ชาร์ลมองเห็นเงาดำของแบคฮยอน ไม่รู้ว่าควรสงสารอีกฝ่ายดีไหมที่หัวอ่อนโดนหลอกใช้มาจนถึงตอนนี้ “Your room smells nice tho.” (กลิ่นหอมดีนี่)
“แหะ”
คนตัวเล็กปิดหน้าต่างตามด้วยรูดผ้าม่านก่อนจะเดินไปเปิดไฟเพื่อให้ความสว่าง ชาร์ลกวาดสายตาไปรอบห้องสีโทนครีมน้ำตาลซึ่งถูกจัดของไว้อย่างเป็นระเบียบ มีมุมหนังสือ มุมโต๊ะทำงาน มุมเตียง และมุมของสะสม แบคฮยอนยิ้มขณะมองเพื่อนวัยเด็กที่กำลังให้ความสนใจกับห้องของเขา นึกแล้วก็คิดถึงตอนวัยเด็กที่เราเคยใช้เวลาร่วมกัน
“ตามสบายเลยนะ เดี๋ยวเราออกไปเอามื้อเย็นมาให้”
“เดี๋ยว”
ยังเดินไปไม่ถึงประตูสองขาก็หยุดชะงักตามเสียงเรียก เจ้าของชื่อหันหลังกลับไปสบตากับเพื่อนสมัยเด็กที่มองมาด้วยแววตาซึ่งต่างไปจากเมื่อตอนเย็นอย่างสิ้นเชิง ไม่มีความใจร้าย ไม่มีความหยาบคายอีกต่อไปแล้ว แบคฮยอนรู้สึกเหมือนได้เพื่อนวัยเก้าขวบกลับคืนมาเลย
ชาร์ลจะพูดว่า ‘ขอบคุณนะ’ ใช่ไหมล่ะ ตอนเป็นเด็กแม่เคยสอนว่าการทำความดีมักจะมีสิ่งตอบแทนเสมอ บางครั้งอาจจะเป็นสิ่งของ แต่บางครั้งก็มาในรูปแบบความอิ่มเอมใจ ซึ่งตอนนี้แบคฮยอนรู้แล้วว่าความรู้สึกแบบนั้นเป็นอย่างไร มันคงเป็นเหมือนตอนที่เขารู้สึกกับชาร์ลสินะ
“มีอะไรในตู้เย็นก็เอามาให้หมด I’m fucking hungry as a bear.” (ฉันหิวจนจะเป็นหมีแล้วนะ)
หน้าแตกละเอียดเป็นขาตอนหน้าหนาวเลยอะ
*
“วันนี้แม่คงกลับดึก พรุ่งนี้ฝากมื้อเช้าด้วยนะแบคฮยอน”
“เดี๋ยวผมจัดการเอง พ่อบอกแม่นอนยาวเลยนะครับ”
พอได้ยินลูกชายพูดอย่างนั้นคนเป็นพ่อก็อดยิ้มไม่ได้ หัวหน้าครอบครัวมองลูกชายที่เดินหายเข้าไปในห้องครัวก่อนจะเดินออกมาพร้อมถาดอาหารที่ดูเหมือนว่าวันนี้แบคฮยอนจะตักเยอะผิดปกติ
“วันนี้เจริญอาหารนะ?”
“อ๋อ... คือ -- พอดีจะเปิดกล้องคุยงานกับเพื่อนน่ะครับพ่อ แหะ”
“ตักไปเยอะแบบนั้นเดี๋ยวหกกลางทางจะอดกินกันพอดี โบยอนไปช่วยพี่เค้าถือหน่อยสิ” ทำไมพ่อไม่ยอมปล่อยเลยอะ... หันไปดูเทนนิสสิ ทำแต้มกันจนไม่รู้แล้วว่าใครนำ T_T
“น้องช่วยเอ๊ง!” ยัยตัวดื้อประจำบ้านทำตาใส กระโดดออกมาจนพี่ชายคนโตรีบส่ายหน้าปฏิเสธ
“พี่ถือเองได้ หูย แค่นี้เอง เราไปทำการบ้านเถอะ”
“หูย แค่นี้เอง”
“ห้ามล้อเลียนพี่นะ” แบคฮยอนย่นจมูกสู้ยัยตัวแสบที่เห็นเขาเป็นของเล่นที่น่าแกล้งไม่ต่างจากชานอี
“อะไรอะ ทำไมวันนี้แปลก ๆ”
“แปลกตรงไหน พี่ก็เหมือนทุกวัน ใช่ไหมครับพ่อ?” ตะโกนหาตัวช่วยเลย พ่อต้องเข้าใจเขา
“พ่อก็ว่าแปลก”
พ๊อออออออออออออออออออออ!!!! T_T
“ทำงานเสร็จเมื่อไหร่อะ จะออกมาสอนหนูทำการบ้านไหม?”
ภาระใหญ่หลวงที่ทำทุกวันดูเหมือนว่าจะกลายเป็นเรื่องยากขึ้นมาเพียงเพราะมีเพื่อนวัยเด็กรออยู่ในห้อง คนตัวเล็กอ้ำอึ้งไม่ได้ตอบตกลงในทันที เขาจึงส่งสายตาเว้าวอนและผู้ชายใจดีที่สุดในโลกก็ช่วยชีวิตแบคฮยอนจนได้
“เดี๋ยวพ่อสอนเอง แบคฮยอนไปทำงานเถอะ”
“พ่อชอบดุหนูอะ หนูไม่อยากเรียนกับพ่อ”
“ก็หนูดื้อเหมือนแม่สมัยเรียนมัธยมพ่อก็ต้องดุสิ”
“นินทาแม่ลับหลังสินะ ได้เลยได้ แม่ต้องรู้เรื่องนี้”
“เดี๋ยวโบยอน วางโทรศัพท์ก่อน หนูจะทำแบบนี้กับพ่อไม่ได้นะ อยากให้บ้านระเบิดเหรอ?”
แบคฮยอนยิ้มแห้ง อาศัยจังหวะนั้นเดินเนียนกลับห้องแล้วเอาก้นปิดประตู คนตัวเล็กวางถาดอาหารเย็นลงบนโต๊ะพลางมองไปยังเพื่อนวัยเด็กที่ยังคงให้ความสนใจกับกรอบรูปครอบครัวบนผนังที่มีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่
ครอบครัวชาร์ลที่ไมอามี่จะเป็นยังไงบ้างนะ แบคฮยอนไม่เคยเห็นหน้าแม่ชาร์ลเลย เพราะตอนมาเกาหลีแต่ละครั้งก็มีแค่ลุงอี้ฝานที่มากับลูกชาย รูปบนผนังของบ้านหลังนั้นจะเป็นแบบไหน มีรอยยิ้มมากสักเท่าไหร่ อยากไปเยี่ยมบ้างสักครั้งจัง
“นาน”
“เราแวะคุยกับพ่อแป๊บเดียวเอง”
แบคฮยอนถอยหลังหนึ่งก้าวเมื่อคนตัวโตเดินมานั่งบนเก้าอี้แล้วตักข้าวกินโดยไม่ชวนเขาเลยสักคำ คงหิวมากล่ะสิ ไม่เป็นไรนะ ของแบบนี้เข้าใจได้ง่าย ๆ เลย แต่ปวดหัวใจแปลก ๆ จังอะ ชาร์ลควรจะเงยหน้าขึ้นมามองแววตาที่เต็มไปด้วยความหิวของเขาบ้างสิ
“เรากินด้วย”
“ก็ไปเอาช้อนมาตักกินเองสิ”
“ไม่ได้หรอก เราบอกพ่อว่าจะเปิดกล้องคุยงานกับเพื่อนเลยเอาข้าวมากินหน้าคอมอะ ถ้ามีช้อนสองคันพ่อต้องสงสัยแน่ ไม่มีใครยื่นช้อนให้เพื่อนที่เปิดกล้องคุยกันหรอกนะชาร์ล” คนที่ข้าวเต็มกระพุ้งแก้มเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงเจื้อยแจ้วที่พูดเป็นนกแก้วนกขุนทอง “ขอคำนึงซี่”
“นายนี่มัน” อยากเคาะหัวคอร์กี้ขาสั้นตัวนี้จริง ๆ แต่เขาก็ทำได้แค่ขยับปากบ่นแบบไม่มีเสียงแล้วตักข้าวเปล่ายัดใส่ปากเล็ก ๆ นั่นเพื่อให้หยุดพูดเสียที “เดี๋ยวคนข้างนอกก็ได้ยิน ถ้าความแตกขึ้นมาฉันจะโทษว่าเป็นความผิดของนายคนเดียว”
“เอาอ๋อโอ้ด” (เราขอโทษ)
“...”
บทจะว่าง่ายก็เล่นเอาไปไม่ถูกเลย
“อยากกินซุปด้วยอะ”
“ตักกินเอง” ชาร์ลยื่นช้อนให้ เขาจะไม่ยอมป้อนอีกแล้ว อย่าเหลิง
เด็กสองคนสลับกันกินคนละคำจนหมดในเวลาอันสั้น ชาร์ลเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ระหว่างรอคนตัวเล็กเอาจานไปล้างแล้วก็นึกอะไรไปเรื่อยเปื่อย พรุ่งนี้จะเอาไงต่อ ทางโรงเรียนหัวร้อนจนเรื่องถึงหูพ่อแล้วแน่ ๆ
แต่มันใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจหรือไง?
“ชาร์ล...”
“...” เจ้าของชื่อหันไปตามเสียงก่อนจะรับแอปเปิ้ลไว้ได้ด้วยมือเดียว แบคฮยอนอ้าปากหวออย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เขาคิดว่าจะมีแค่ในหนังเสียอีกที่ทำแบบนั้นได้ ชาร์ลเท่มากเลยอะ!
“เดี๋ยวรอเที่ยงคืนแล้วค่อยออกไปอาบน้ำนะ ตอนนั้นพ่อกับน้องก็ขึ้นบ้านแล้ว”
เด็กลูกครึ่งไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเพียงยิ้มบาง ๆ เป็นการขอบคุณเพื่อไม่ให้แบคฮยอนรู้สึกระแคะระคายใจหลังจากถูกปฏิบัติแย่ ๆ ตอนแย่งกินข้าวไปเมื่อครู่นี้
เขามองตามคนตัวเล็กที่เดินไปหยิบผ้าขนหนูกับชุดนอน ก่อนจะหันมามองเขาพร้อมเอานิ้วชี้แตะริมฝีปากตัวเองเป็นการบอกให้เงียบไว้ถ้าไม่อยากให้ใครเข้ามาเห็นระหว่างที่แบคฮยอนเข้าไปอาบน้ำ
ชาร์ลทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มและกลิ่นหอมของมันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด เด็กหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง ถ้าให้นับมันคงเกินล้านแล้วสำหรับความกังวลในใจ ‘นึกถึงอนาคตบ้างไหม?’ นั่นคือคำถามที่คนรอบข้างต่างสาดมาให้ และเขาไม่ต้องการที่จะหาคำตอบ
ผ่านไปสิบห้านาทีแบคฮยอนก็กลับมาพร้อมชุดนอนและผ้าขนหนูที่โปะอยู่บนหัว ชาร์ลมองตามคนตัวเล็กที่ใช้ชีวิตต่างจากเขาคนละขั้วแล้วก็ตั้งคำถามว่าเพราะอะไรหมอนั่นถึงซื่อบื้อได้ถึงขนาดนั้น พ่อแม่รังแกฉันหรือไง?
ปัง ๆๆๆๆ
“แบคฮยอน!!!”
คนตัวเล็กสะดุ้งสุดตัวกับเสียงประตูที่ถูกทุบจนเหมือนว่ามันจะพังเข้ามาอยู่รอมร่อ แบคฮยอนหันไปพยักหน้าส่งซิกบอกเพื่อนวัยเด็กที่นอนอยู่บนเตียงให้ลุกขึ้นไปซ่อนตัวซึ่งชาร์ลก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แบคฮยอนไม่เคยคิดว่าตัวเองเตี้ยมากขนาดนี้กระทั่งของในห้องของมันบังตัวชาร์ลได้ไม่มิด!
“เปิดประตู!!!”
“แป๊บนึงนะ เราแก้ผ้าอยู่อะ!!!” แบคฮยอนรีบวิ่งเข้าไปลากแขนเพื่อนวัยเด็กให้ยืนพิงกับผนังข้างตู้เสื้อผ้าซึ่งน่าจะปลอดภัยมากที่สุดแล้วในตอนนี้ “อย่าส่งเสียงจนกว่าเราจะเรียกนะ เดี๋ยวเรามา ขอตัวไปรับมือชานอีแป๊บนึง -- โอ๊ะ!”
คนตัวเล็กยืนห่อไหล่เมื่ออยู่ ๆ ร่างของเขาก็ถูกรวบเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดผู้ชายสูงร้อยแปดสิบ ดวงตากลมโตกระพริบปริบ ๆ อย่างไม่เข้าใจ แบคฮยอนคิดว่าตอนนี้สมองคงตายไปแล้วเพราะคิดไม่ออกว่ากำลังรู้สึกอย่างไร สถานการณ์แบบนี้คืออะไร ทำไมอีกฝ่ายถึงกอดแน่นจนเหมือนว่าร่างของเขาจะจมหายเข้าไปในอก
“หายใจไม่ออก...”
“ใจเต้นแรงเหรอ?”
“หะ... ทำไมดูเป็นคำถามแปลก ๆ อะ ไม่มีใครใจเต้นกับเพื่อนหรอก”
“แล้วหลบสายตาทำไม?”
“แล้วทำไมเราจะต้องสบตากับชาร์ลด้วย”
“เถียงเหรอ เดี๋ยวกอดจนกระดูกหักเลยดีไหม?”
“ฝรั่งเค้าเล่นกันแบบนี้เหรอ เราไม่ชินเลยอะ” แบคฮยอนอยากร้องไห้ เด็กต่างชาติอยู่กันแบบไหนถึงได้กอดรัดกันแน่น ๆ โดยไม่รู้สึกอะไร
“ถ้าไอ้เด็กเวรเปิดเข้ามาเห็นเราอยู่สภาพนี้จะเป็นยังไงนะ?” พอจำได้อยู่นิดหน่อยว่าเมื่อก่อนเคยงัดกับเด็กนั่นแบบไหน จากที่ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายเมื่อครู่ก็ทำให้รู้ได้ไม่ยากว่าปาร์คชานอีคงเป็นเด็กนรกเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“โห ดูเรียกเข้าสิ ถึงน้องเราจะเป็นเด็กไม่น่ารักแต่ให้ได้มากที่สุดคือเด็กดื้ออะ เด็กเวรหยาบคายเกินไป”
“ปกป้องกันจริงนะ” ชาร์ลหลุบสายตามองคนตัวเล็กที่ยังพูดจ้อเจื้อยไม่ดูสถานการณ์ โดนกอดขนาดนี้แล้วยังมึนอีก จับปล้ำเลยดีไหม?
“เราเป็นพี่ ต้องปกป้องน้อง”
คนตัวเล็กผละอ้อมกอดออกแล้วเดินไปเปิดประตู แต่ยังไม่ทันก้าวพ้นธรณีน้องชายสุดเอาแต่ใจก็ดันเข้ามาด้านในพร้อมสีหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่แบคฮยอนรู้ได้แม้อีกฝ่ายยังไม่ได้พูด
“หายไปไหนมา?!”
“เรา... เราเจอเพื่อนก็เลยแวบไปคุยด้วยอะ พอคุยเสร็จเราก็ลืมว่าชานอีซื้อการ์ตูนอยู่ เดินมึนกลับบ้านเฉยเลย...”
“ลืมงั้นเหรอ?” ชานอีแค่นหัวเราะ แบคฮยอนรู้ว่าตอนนี้น้องชายกำลังพยายามสงบสติอารมณ์ ว่าแต่ที่เหงื่อโชกขนาดนี้เพราะวิ่งมาหรือเปล่านะ “พี่รู้ไหมว่าตอนนี้เรารู้สึกยังไง?”
“ชานอีโกรธเรา”
“มากด้วย”
“ขอโทษนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ทอดไข่ให้สองฟองเลย”
“แค่นั้นแล้วมันหายเหรอ?!” คนถูกตะคอกหลับตาแน่นพลางยืนห่อไหล่ ก่อนจะค่อย ๆ หรี่ตาขึ้นเพื่อขอความเห็นใจ จะให้อธิบายความจริงก็ไม่ได้ด้วยอะ ชานอีต้องเอาไปบอกพ่อแน่ถ้าแบคฮยอนเล่าเรื่องชาร์ลให้ฟัง
“เราขอโทษ”
“พอออกมาไม่เจอพี่ รู้ไหมว่าเรากลัวแค่ไหน? ยิ่งเอ๋อ ๆ แบบนี้กลัวจะถูกปล้น ถูกหลอกไปฆ่าทิ้ง แล้วดูคำตอบดิวะ ลืมงั้นเหรอ ตลกมากไหม?”
“เราไม่ได้เดินตามคนแปลกหน้าทุกคนสักหน่อยอะ ดูถูกกันเกินไปแล้ว” ชาร์ลต้องเม้มปากแน่นเพื่อกลั้นเสียงหัวเราะกับคำตอบซื่อบื้อ ๆ จากคนซื่อบื้อ “เราขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจ”
“เอาแต่พูดขอโทษอยู่ได้ ขอโทษแล้วมันหายเหรอ?!”
“พอได้แล้วชานอี อย่าขึ้นเสียงใส่พี่สิ”
“พ่อจะไม่ให้ผมโมโหได้ไง โทรไปก็ปิดเครื่อง ปล่อยให้ผมวิ่งเป็นบ้าอยู่แถวนั้นตั้งนาน”
“พ่อบอกแล้วไงว่าพี่เค้าแบตหมด”
“แล้ว!!! --” คนหัวร้อนจำต้องกลืนคำพูดลงคอไปหมดเพราะเห็นสีหน้าหงอย ๆ ของพี่ชายและน้ำตาที่ไหลออกมาโดยที่ไม่ได้บีบ ยิ่งเห็นแบคฮยอนทำเป็นยืนนิ่งเหมือนไม่เป็นอะไรก็ยิ่งโมโห “ร้องไห้ทำไม?!”
“ใครร้อง ไม่มีหรอก”
“รู้สึกผิดขึ้นมาล่ะสิที่ทำให้เราต้องปวดหัวน่ะ?”
“อื้อ รู้สึกผิดมากเลย ให้ตีมือสิบทีแล้วหายโกรธเราได้ไหมอะ”
“...” ชานอีมองมือเล็กที่ยื่นออกมาและถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงฟาดลงไปแรง ๆ โดยไม่รู้สึกสงสารเลยสักนิด
“เกินไปแล้วนะชานอี พี่เค้ากลับบ้านปลอดภัยก็ดีแล้ว อย่าทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่สิ”
“หนูจะฟ้องแม่ว่าพี่ชานอีทำพี่แบคฮยอนร้องไห้อีกแล้ว!”
“ถ้าไม่อยากโดนอีกคนก็เงียบไปเลยโบยอน”
“พ่อจ๋าช่วยน้องด้วย!”
แบคฮยอนปิดประตูเบา ๆ แล้วใช้แขนเสื้อซับน้ำตา เมื่อกี้ชานอีคงโมโหมากถึงได้ตะคอกแรงแบบนั้น แต่เขาผิดเองที่ทำให้น้องเป็นห่วง ชานอีคงเหนื่อยแล้วก็หิวด้วยที่ต้องตามหาพี่ซื่อบื้ออย่างแบคฮยอนตั้งนาน จะโมโหก็ไม่แปลกหรอก แต่เจ็บหัวใจจังเลยอะ
“ขี้แย”
เสียงกระซิบข้างหูมาพร้อมวงแขนแกร่งที่สวมกอดจากข้างหลัง แบคฮยอนยืนนิ่งเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้ต้องรับมือกับอะไรก่อนระหว่างความรู้สึกผิดที่มีต่อน้อง หรือกอดซึ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกแปลก ๆ จากเพื่อนวัยเด็ก
“น้ำตาจะท่วมโลกอยู่แล้วแบคฮยอน”
ไม่คิดเลยว่าผู้ชายที่ขู่จะเอามีดแทงเมื่อตอนเย็นจะทำให้รู้สึกอบอุ่นใจได้เพียงเพราะคำพูดเหมือนจะเยาะเย้ยแต่สองแขนกลับตวัดกอดรอบคอแบคฮยอนจนได้กลิ่นหอมประจำตัว คนตัวเล็กยกมือขึ้นปิดปากเพราะไม่อยากร้องไห้อีกเพราะเขารู้สึกอ่อนแอทุกครั้งที่เป็นอย่างนั้น แบคฮยอนอยากเป็นพี่ชายตัวโต ๆ ที่เข้มแข็งจนสามารถปกป้องน้องอีกสองคนได้ แต่ดูตอนนี้สิ เขาเป็นแค่คนไม่เอาไหน โดนน้องตะคอกใส่ก็ร้องไห้จนน้ำมูกไหลแล้ว
“ไหนขอดูชัด ๆ ซิ”
คนตัวเล็กถูกจับให้พลิกหันมาเผชิญหน้ากัน ชาร์ลจึงก้มลงเล็กน้อยเพื่อที่จะสบตากับคนขี้แย แต่แบคฮยอนกลับขมวดคิ้ว ปั้นหน้ามึนตึงเหมือนทหารพร้อมรบ และสูดน้ำมูกฟืดใหญ่
“ห้ามสมน้ำหน้าเรา”
“ทำไม?”
“เพราะเราแบ่งข้าวให้ชาร์ลกิน ชาร์ลต้องอยู่ทีมเรา”
“อยู่ก็บ้าแล้ว มีหัวหน้าทีมขี้แยแบบนี้ฉันขอลาออกดีกว่า” เด็กหนุ่มยิ้มขำ มองคนตัวเล็กที่เบะปากสะอึกสะอื้น ทั้งน่าเอ็นดูและก็น่ารังแกไปพร้อม ๆ กัน ก็อดไม่ได้จนต้องเช็ดน้ำตาให้ “Geez... น้ำมูกไหลจนจะเข้าปากอยู่แล้ว รีบหาอะไรมาเช็ดสักทีสิ”
“เราขอเช็ดเสื้อชาร์ล”
“อย่ามาตลก เสื้อตัวนี้แพงกว่าชุดนักเรียนนายสามตัวรวมกันอีกรู้ไว้ด้วย”
“ขี้อวดจัง รวยแล้วแย่งข้าวเรากินทำไม” แบคฮยอนย่นจมูก ก่อนจะกุมศีรษะเพราะถูกอีกคนแกล้งดึงผมหน้าม้า “เดี๋ยวเราสูดกลับเข้าไปเอง ไม่ต้องห่วงหรอกว่ามันจะเลอะเทอะเสื้อราคาแพงของชาร์ล”
“น่าเกลียดจริง” ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่คนใจร้ายที่หวังผลประโยชน์ตั้งแต่แรกก็หลุดขำออกมาโดยไม่รู้ตัว ทั้งคู่ยืนอยู่ในห้องที่ไม่กว้างและไม่แคบจนเกินไป พูดคุยเรื่องไร้สาระกันกระทั่งน้ำตาของคนบอบบางทางความรู้สึกหยุดไหล
จนเที่ยงคืนแบคฮยอนก็นั่งเฝ้าชาร์ลอาบน้ำ... และทั้งคู่ก็นอนเบียดกันบนเตียงห้าฟุต
TBC
มีคนสงสัยว่า พี่คระ ซี2เนี่ยจะมีคัทรัว ๆ เหมือนภาคแรกมะ หนูจะได้ลงไปเก็บเวลในคุกอีกปะ ชั้นก็ไม่รู้จะตอบยังไง เพราะภาคนี้ตัวละครหลักคือไม่ได้สปาร์กกันแบบพีค ๆ เหมือนภาคแรก คาแรกเตอร์ไม่ผีเน่ากับโลงศพเหมือนพ่อแม่ไงเก้ทฟีวมะ
ภาคนี้ต้องค่อย ๆ หยอดก่อน แบบ เออ ตอนต่อไปก็ยังอยู่ในห้องนอนแบคฮยอนนะแกร เด็ก ๆ ใส ๆ ปิดไฟนอนคุยกัล ไรงี้ จะเกิดไรขึ้นก็ภาวนาเอาว่าชาติที่แร้วน้องแบคฮยอนทำบุญมาเท่าไหร่ คนผีมันจะหลอกใช้อย่างเดวไหม หรือว่าจะชวนบ๊ะ ๆ โอ้บ๊ะตอนกลางคืนด้วย โอ๊ย น่ากัวเว่อ
หลายคนบอก พี่คระ หนูรู้สึกเหมือนอ่านมนุดแบคฮยอนเวอร์ชั่นรีเม้ก ชั้นก็จะตอบว่า ใช่เรย มันประมาณนั้นแหละ แต่แค่ 4-5 ตอนแรกนะ มันเปงเรื่องของทายาทอสูร
เจ้าคือทายาทททททททททททท คนต่อปัยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ปล. พวกที่ออกเสียงชาร์ลไม่ได้ คือพวกที่จะนกผัวฝรั่ง
ความคิดเห็น