คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : #SFเซมที่รัก | ตอนที่ 11
(11)
ค่ำคืนเงียบสงบที่ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงรถยนต์วิ่งบนถนนด้านนอก สิ่งที่ปาร์คชานยอลได้ยินมีเพียงอย่างเดียวคือลมหายใจที่ผ่อนเข้าออกอย่างเป็นจังหวะของเด็กตัวแสบที่นอนซมอยู่บนเตียง
เขาบิดผ้าขนหนูผืนเล็กที่ชุบน้ำพอหมาด ๆ เพื่อเช็ดตามผิวที่เคยเย็นยะเยือกแต่ตอนนี้กลับร้อนระอุดั่งไฟ ชานยอลไม่ได้คาดหวังว่าทุกอย่างจะต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิมในทีเดียว แต่การที่อยู่ ๆ แบคฮยอนก็ไข้ขึ้นมันก็เป็นเรื่องชวนประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
เด็กคนนี้น่ะเหรอป่วย?
ปกติต้องฟัดกันสักสองสามยกถึงจะยอมนอน แต่การเห็นเด็กตัวแสบนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม หน้าซีดตัวสั่นก็ทำให้เขารู้สึกผิดเหลือเกินที่ทำรุนแรงไปตอนรอบแรก แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่หว่า... ใครใช้ให้ทำให้คิดถึงมากขนาดนี้ แล้วเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าไอ้เด็กตัวแสบจะเจ็บป่วยเหมือนชาวบ้านชาวช่องเป็นเหมือนกัน
“เซม...”
“จ๋า” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนพื้นวาดท่อนแขนลงกับขอบเตียงพร้อมเกลี่ยปอยผมออกจากดวงหน้าซีดเผือด ดูเหมือนว่าแบคฮยอนจะดีขึ้นบ้างแล้ว หลังจากที่เขาให้กินยาลดไข้ไปตอนเที่ยงคืน
“กี่โมงแล้ว...”
“ตีสามครึ่ง”
“เหรอ... ไวจัง”
“ใครใช้ให้ตอกบัตรเข้ากะช้าล่ะ” นักวาดหนุ่มเขี่ยแก้มนุ่มนิ่มด้วยหลังนิ้วชี้ ก่อนเด็กสิ้นฤทธิ์จะจับมือเขาไปกอดอย่างออดอ้อนโดยไม่แก้ตัวใด ๆ สักคำ “เห็นไหมว่าเผลอแป๊บเดียวก็จะเช้าแล้ว” พอกลับไปเป็นเด็กแปดขวบ ตอนนั้นจะมีไข้แบบนี้เปล่าวะ
“ทำไมมืออุ่นแบบนี้เนี่ย” ทั้งที่ตั้งใจตัดพ้อใส่เต็มที่ แต่แบคฮยอนกลับเลือกอ้อนเขาจนดูเหมือนจงใจไม่พูดถึงเรื่องเมื่อครู่
“อย่างอื่นก็อุ่นนะ อันที่มันใหญ่ ๆ อะ... อุ่นสุด โอ๊ยยย!” ชายหนุ่มร้องเสียงหลง นั่งห่อไหล่ ลูบแขนป้อย ๆ หลังถูกคนป่วยชกแขนเข้าเต็มแรง “ซาดิสม์เหลือเกินค่ะหนู”
“เซมนั่งเฝ้าผมตลอดเลยหรือไง”
ถึงคราวที่ชานยอลเป็นฝ่ายไม่ตอบคำถาม เขาเพียงขมวดคิ้วและไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ เพราะไม่มีความกล้ามากพอที่จะบอกว่า ‘เซมกลัวหนูหายไป’ เขาจึงนั่งจ้องอยู่อย่างนี้
ชายหนุ่มใช้มือข้างที่ว่างบิดผ้าขนหนูผืนเล็กให้พอหมาด ๆ อีกครั้ง ก่อนจะซับเหงื่อตามโครงหน้าและซอกคอให้คนป่วยอย่างเบามือ ถ้าไม่นับคนในครอบครัว แบคฮยอนก็คงเป็นคนแรกที่ผู้ชายอย่างเขายอมเทงานไว้ข้างหลังแล้วหันมาดูแลอย่างใส่ใจ
“เซมของผมน่ารักจัง” เสียงแหบพร่าทั้งน่าเอ็นดูและน่าสงสารในเวลาเดียวกัน ปกติแบคฮยอนเคยทำตัวเป็นผู้เป็นคนอย่างนี้ซะที่ไหน นอกจากจะพูดจาไม่น่ารักขวานผ่าซากแล้ว นี่ก็อาจเป็นความรู้ใหม่ให้ปาร์คชานยอลจดจำว่าเวลาเด็กตัวแสบป่วยแล้วจะเป็นคนขี้อ้อน
“เพิ่งรู้เหรอ บอกแล้วไงว่าเซมของหนูอะโคตรแรร์” ชายหนุ่มพูดติดตลก แต่อีกฝ่ายกลับจ้องหน้าเขาแล้วยิ้มคล้ายว่าไม่คิดจะปฏิเสธความหลงตัวเองเมื่อครู่ “เห็นด้วยอะดิ”
“งั้น ๆ แหละ”
“อยากแต่งงานกับเซมแล้วสินะ” นักวาดไส้แห้งยักคิ้วกวนขณะสบตากับอีกฝ่าย “ใครได้เป็นผัวคงโชคดีไปทั้งชาติ หนูคิดว่าไง?”
แบคฮยอนไม่ตอบ
“อะไร ไม่เห็นด้วยเหรอ” ชายหนุ่มหรี่ตามอง เขารู้สึกได้ถึงความร้อนที่ออกแรงบีบมือของเขาแน่นขึ้น
“กอดหน่อย”
“หือ?” ชานยอลขมวดคิ้วเพราะตามอารมณ์อีกคนไม่ทัน นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่แบคฮยอนเปลี่ยนเรื่องไปอย่างหน้าตาเฉย
คนตัวสูงลุกขึ้นนั่งกับขอบเตียงตามแรงดึงของเด็กตัวแสบ และสุดท้ายเขาก็แทรกตัวเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่นกึ่งไปทางร้อนเพราะพิษไข้
“อยากกอด จะได้รู้ว่าโชคดีจริงอย่างที่พูดไหม”
“เช้ด... เดี๋ยวนี้มีหยอด” ชายหนุ่มเบ้ปากนั่งพิงกับหัวเตียง พลางยกมือทั้งสองข้างขึ้นระดับอก มองคนป่วยที่กำลังบดเบียดเข้ามานอนกอดเอวเขาอย่างออดอ้อน ผิดแปลกจากเมื่อก่อนที่เป็นต้องดึงหัวกางเกงลงเพื่อใช้ปากทำเรื่องอย่างว่า
“ผมโชคดีจริง ๆ ด้วย”
“เออ ทีนี้รู้ยังว่าต้องทำยังไงกับความโชคดี” ชานยอลลูบหัวเด็กตัวแสบที่พยักหน้าช้า ๆ เป็นคำตอบ บทจะว่านอนสอนง่ายก็น่ารักจนแทบลืมไปเลยว่าก่อนหน้านี้เคยแก่แดดแก่ลมแค่ไหน
“ตอนผมไม่อยู่เป็นไงบ้าง วาดการ์ตูนสักตอนหรือยัง หรือว่าเอาแต่ดูหนังโป๊?”
“ก็แย่ละ เซมเพิ่งลงไปได้เป็นอาทิตย์ที่สามเอง ฟีดแบคก็ไม่ถึงกับดีแต่ก็ไม่แย่อย่างที่คิดเท่าไหร่”
“ทำไมล่ะ กลัวที่จะวาดเหรอ”
“ก็นิดนึง บอกตามตรงว่ายังเข็ดกับเรื่องที่แล้วอยู่ จะทำอะไรนอกกรอบก็กลัวมันจะออกมาแย่ ความรู้สึกมันชอบบอกว่าเซมแม่งโคตรกระจอก จะทำอย่างนั้นก็กลัวไม่รอด จะอย่างนี้ก็ไม่อยากทำเพราะใจไม่อยาก” ชายหนุ่มเผลอขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว แม้พล็อตที่แบคฮยอนเสนอมันจะมีจุดที่คิดว่าคงเจ๋งถ้าเอาไปเพิ่มเติมปรุงแต่ง แต่พอเอาเข้าจริงก็ไม่กล้า
“มีอะไรให้กลัวตรงไหน ใส่ไปให้เต็มที่เลยสิเซม ผมเชื่อว่าคนต้องชอบจินตนาการบ้า ๆ ของเซมแน่ ที่ผมพูดไปก็แค่ไกด์เล่น ๆ ให้ แต่เซมต้องทำได้ดีกว่า เซมไม่ได้กระจอกนะ นี่พูดในฐานะคนอ่านที่มองแบบกลาง ๆ เลย”
“...”
“แต่ถ้าวาดตามกระแสเซมก็จะสูญเสียความเป็นตัวเอง แต่ถ้าวาดในสิ่งที่ชอบโดยไม่สนใจโลกเลยเซมก็จะไม่มีอะไรเหมือนกัน มันต้องพอดีน่ะ เซมพอนึกภาพออกไหม อย่ากลัวแต่ก็อย่าประมาท”
“พูดมันง่ายแต่ทำมันยากนะหนู นักวาดดัง ๆ ในเว็บตูนมีตั้งเยอะ เซมจะเอาอะไรไปสู้เขา ไหนจะวาดแล้วดูเหมือนไปซ้ำพล็อตชาวบ้านเขาอีก”
“ก็เพราะเซมคิดแบบนี้ไง!”
“...” ใช่ว่าจะเป็นครั้งแรกที่ถูกแบคฮยอนตะคอก แต่คราวนี้มันจริงจังไปกว่าทุกครั้งจนชายหนุ่มขำไม่ออก ทั้งคู่นิ่งไปชั่วอึดใจหลังจากบรรยากาศเปลี่ยนไป คนที่เพิ่งขึ้นเสียงใส่จึงหันไปซบกับหน้าท้องเขาอีกครั้ง
“สู้หน่อยสิ หยุดเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้วก็กล้าทำในสิ่งที่ชอบเถอะ”
“ก็สู้มาตลอดปะวะ หนูเห็นเซมนั่งเขี่ยไพ่เล่นอยู่หรือไง?”
“ต้องมากกว่านี้ ไม่ใช่พอใจกับความเช้าชามเย็นชาม เซมอยากกินรามยอนไปตลอดชีวิตเหรอ ไม่อยากกินเนื้อย่าง แล้วก็บินไปเที่ยวต่างประเทศโดยไม่ต้องห่วงว่าเงินในบัญชีจะเหลือเท่าไหร่หรือไง”
“ใคร ๆ ก็อยากทำแบบนั้นทั้งโลกแหละแบคฮยอน แต่มันง่ายอย่างที่พูดซะที่ไหน” ชายหนุ่มส่ายหน้าหน่าย กลายเป็นว่าบรรยากาศดี ๆ เริ่มตึงเครียดเพราะมุมมองที่แตกต่างของเรา
“ช่วยรักตัวเองให้มากกว่านี้ทีได้ไหม”
ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงมือเล็กที่กำเสื้อยืดของเขาไว้แน่น และน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับว่าเจ้าตัวเหนื่อยที่จะพูดเรื่องนี้เต็มที
“เดี๋ยว ทำไมอยู่ ๆ ก็จริงจังขึ้นมาล่ะ” ชานยอลมองอีกคนที่ซบอยู่กับหน้าท้องของเขาโดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากัน “ย่าห์ นี่ไม่สมเป็นหนูเลยนะ เป็นไรเปล่า อินเหรอ”
อย่าให้พูดเลยว่าวันนี้เด็กตัวแสบแปลกไปแค่ไหน ไม่ใช่แค่เรื่องที่อยู่ ๆ ก็กลายเป็นคนน่ารัก แต่มันรวมถึงคำพูดที่ชวนให้สะกิดใจอยู่ตลอดด้วย และนั่นทำให้เขาใจไม่ดีขึ้นมาซะอย่างนั้น
“มีอะไรที่เซมต้องรู้เปล่าวะแบคฮยอน?”
ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนี้ คนตัวเล็กไม่แม้แต่จะหันมาส่งสายตาคาดโทษเพื่อบอกให้เขารู้ทางอ้อมว่าไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น แบคฮยอนยังคงนิ่งและไม่มีท่าทีว่าจะปริปาก ชายหนุ่มจึงขยับตัวลงไปนอนข้าง ๆ และเชยคางมนขึ้นมาสบตากันเพื่อคาดคั้นเอาคำตอบ
“ไม่เป็นแบบนี้ดิ หนูทำเซมใจไม่ดีแล้วนะ มีอะไรก็บอกตรง ๆ เราไม่ใช่คนอื่นสักหน่อย”
“แล้วถ้าใช่ล่ะ”
“หะ?”
“ถ้าความจริงเราไม่ได้สนิทกัน เซมจะรู้สึกยังไง?”
ถ้าแบคฮยอนกำลังอำเล่น มันก็คงเป็นการอำที่ค่อนข้างแรงต่อใจคนฟังอย่างเขาเหลือเกิน ชายหนุ่มนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น สบตากับคนตรงหน้าโดยไม่ถามหรือกวนประสาทกลับอย่างที่ควรทำ เพราะความกลัวที่อยู่ในก้นบึ้งจิตใจ
“หนูเพ้อเจ้อไรวะ เดี๋ยวจะโดนนะ”
ชานยอลเป็นคนปากไม่ดี และเขามักจะระเบิดหัวเราะออกมาจนดูเหมือนคนโง่ได้ง่าย ๆ โดยไม่เสแสร้ง แต่นี่คือครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าการยิ้มและหัวเราะเจื่อนคือสิ่งจำเป็นต้องทำ เพียงเพราะไม่อยากเชื่อว่าที่แบคฮยอนพูดจะเป็นความจริง
“ถ้าไม่สนิทแล้วเราเป็นอะไรกัน ตอบให้ดีนะ”
“...”
“อย่าเอาแต่เงียบสิ” เขากำลังงี่เง่า และอยากตบกบาลตัวเองสักทีที่เอาแต่พูดกดดันไม่หยุด ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ว่าแบคฮยอนกำลังไม่สบายและต้องการพักผ่อนมากกว่ามาปวดหัวกับความอยากรู้ของเขา
แต่พอมองนาฬิกาที่ติดอยู่กับผนัง เห็นเข็มสั้นกำลังชี้ไปถึงเลขสี่ ใจมันก็เริ่มร้อนรนจนต้องการได้ยินคำตอบเดี๋ยวนี้ ก่อนที่แบคฮยอนจะกลับไปเป็นเด็กแปดขวบและทิ้งความค้างคาใจทั้งหมดไว้กับเขา
“เราเคยสนิทกัน”
“...”
“สนิทจนผมทนเห็นชีวิตเซมแย่ลงไม่ได้”
“สรุปสนิทหรือไม่สนิทกันแน่” ชานยอลกำลังหัวเสียและรู้สึกผิดไปพร้อม ๆ กัน แต่เขาไม่สามารถหยุดความย้อนแย้งในใจได้เลย
“เคย”
“แล้วมันยังไง หรือในอดีตที่เป็นอนาคตเราไม่สนิทกันแล้ว หนูเลยกลับมาแก้ไขความผิดพลาด”
“ไม่เชิงหรอก มันเลวร้ายกว่านั้นอีก ผมไม่ได้ย้อนเวลามาเพื่อนอนกับเซมแล้วกอบโกยความสุขอย่างเดียว อย่าคิดแบบนั้นล่ะ”
“ก็พูดความจริงมาสักทีสิว่าเพราะอะไร หนูมาจากไหน แล้วกลับมาแก้ไขอดีตเซมทำไม”
“...”
“ที่หนูย้อนเวลากลับมาได้เป็นเพราะปาฏิหาริย์หรือความจงใจ ช่วยพูดอะไรให้มันชัดเจนเข้าใจง่ายในครั้งเดียวได้ไหมวะ”
ปาร์คชานยอลกำลังสับสน... ว่ามีอะไรบ้างที่เป็นความจริง
“มีคนกลุ่มหนึ่งระดุมทุนสร้างองค์กรเพื่อทดลองการย้อนเวลาขึ้นมา มันเป็นองค์กรลับที่ทางรัฐบาลก็ยังไม่รู้ เพราะการกลับไปแก้ไขอดีตเป็นเรื่องใหญ่โตที่ยากจะควบคุมถ้าหากเกิดความเปลี่ยนแปลงจริง ๆ แต่ก็ยังมีใครหลายคนคิดว่าถ้ากลับไปแก้ไขอดีตได้สำเร็จ... มันจะส่งผลดีในปัจจุบันมากกว่าปล่อยให้กลายเป็นความทรงจำเลวร้าย”
“...”
“ผมคือส่วนหนึ่งในนั้น ที่ผมเคยบอกว่าร่างกายสามารถเข้ากันได้ดีกับเครื่องย้อนเวลามันคือเรื่องจริง”
แบคฮยอนเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งเพื่อให้อีกฝ่ายค่อย ๆ ซึมซับคำพูดของเขา และคิดตามโดยไม่สับสนจนกลายเป็นรับไม่ได้
“แต่อย่างที่บอกว่ามันเป็นองค์กรที่รู้กันเพียงลับ ๆ และทุกอย่างก็เพิ่งเริ่มต้น คนใหญ่คนโตเลยเลือกคนใจกล้า และพร้อมจะสูญเสียคนเหล่านั้นไปโดยไม่รู้สึกเสียดายเข้าไปในเครื่องย้อนเวลา คนที่เป็นอาสาสมัครต้องกรอกข้อมูลยินยอม แลกเปลี่ยนข้อตกลง พวกเขาให้ข้อเสนอว่าผมจะแก้ไขอดีตยังไงก็ได้ที่ต้องไม่ใช่เรื่องส่งผลกระทบต่อประเทศ และผมรู้ว่าการย้อนเวลาครั้งนั้นคงเปลี่ยนแปลงอะไรได้ไม่มากเพราะอะไรหลาย ๆ อย่างที่ยังไม่สมบูรณ์ แต่ผมไม่ได้รู้สึกเสียดายเลย เพราะเจตนาที่ตั้งใจกลับไปก็เพราะเซมทั้งนั้น”
“...”
“ไม่มีใครคิดว่าผมจะทำสำเร็จ ผมอาจจะตายหรือเป็นเจ้าชายนิทราเหมือนอาสาสมัครคนก่อนที่ทำการทดลองไม่สำเร็จ แต่ผมทบทวนทุกอย่างมาดีแล้ว”
น้ำเสียงแหบพร่าเว้นจังหวะไปชั่วอึดใจ ราวกับว่าเด็กคนนี้ต้องการให้ผู้ใหญ่เข้าใจยากเข้าใจเหตุผลทั้งหมด ดวงตาคู่นั้นที่กำลังจ้องมองเขาดูเศร้าหมองจนไม่เหลือเค้าเดิมของเด็กตัวแสบ
“พอย้อนเวลากลับไปอดีตได้ มันเป็นการประสบความสำเร็จครั้งแรกที่ผมเองก็ไม่อยากเชื่อเลยว่าเป็นไปได้ยังไง หลังจากที่ได้เจอเซม พวกเขาก็เริ่มทำการวิจัยทุกอย่างในสิ่งที่ผมมองเห็น”
“หมายความว่าไงที่บอกว่าทำการวิจัยในสิ่งที่หนูมองเห็น?” ชานยอลขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ แม้ว่าลึก ๆ จะประติดประต่อเรื่องราวได้ด้วยตัวเองบ้างแล้ว แต่เขาก็ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นอย่างที่คิด
“อะไรก็ตามที่ผมมองเห็น พวกเขาก็เห็นด้วยกันทั้งหมด”
“...”
“คิ้วของเซม ตากลมโตสองชั้น จมูก แล้วก็หนวดที่ยังไม่ได้โกน” แบคฮยอนจดจ้องใบหน้าคมอย่างใคร่รัก พร้อมยกมือขึ้นทาบแก้มอีกฝ่ายเบา ๆ “ทุกอย่าง”
“งั้นก็หมายความว่าตอนที่เรามีอะไรกัน... คนอื่นก็?”
แบคฮยอนไม่ตอบ
“บ้าน่า หนูต้องอำเล่นแน่ ๆ เซมไม่ตลกด้วยนะบอกเลย” ชายหนุ่มถอนหายใจฮึดฮัด ปัดมืออีกคนออกแล้วลุกขึ้นนั่งหันหลังให้
ต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ที่ปาร์คชานยอลคาดหวังว่าที่เด็กแสบย้อนเวลามาได้เป็นเพราะปาฏิหาริย์เหมือนในมังงะเด็กผู้หญิงเพ้อฝัน มากกว่าถูกองค์กรหอกหักอะไรก็ไม่รู้ส่งมาเพื่อทดลองว่าจะแก้ไขอดีตของใครได้หรือไม่ ซึ่งถ้าได้ก็โชคดีไป แต่ถ้าไม่ได้ภารกิจก็ล้มเหลวแล้วเริ่มโปรเจคใหม่อย่างงั้นเหรอ?
แล้วคำว่า ‘พวกเขาก็เห็นด้วยกันทั้งหมด’ นั่นก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกทั้งอายและหัวเสียจนไม่รู้ว่าต้องจัดการความรู้สึกยังไง จะบอกว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขามีเซ็กส์ให้คนเยอะแยะดูเหรอ นั่นคือการถ่ายทอดสดที่น่าอายเกินกว่าจะหัวเราะได้แล้ว
“หนูเห็นเซมเป็นตัวอะไรวะ”
“...”
“ไม่ดิ ทุกคนที่มองอยู่ตอนนี้เห็นกูเป็นอะไรวะ”
ชานยอลไม่ได้สนใจว่าตอนนี้น้ำเสียงเย็นชาของตนจะทำให้คนฟังรู้สึกแย่แค่ไหน เพราะนั่นคือสิ่งที่ทุกคนควรได้รับจากเหยื่อการทดลองอย่างเขา เออใช่ ก็ปาร์คชานยอลเป็นแค่คนธรรมดาที่ต่อให้แก้ไขอดีตยังไงก็ไม่มีผลกระทบต่อประเทศชาติ ใครจะนึกกลับมาทำยังไงกับชีวิตเขาก็ได้ทั้งนั้น
“เซมโกรธผมมากเลยใช่ไหม”
“ยังต้องถามอีกเหรอ ลองให้ใครสักคนเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของหนู แล้วมีอะไรกันกับหนูเกือบทุกวัน ทำเหมือนว่ารักนักรักหนาแล้วสุดท้ายก็เผยไต๋ออกมาว่าในห้องแม่งมีกล้องถ่ายทอดสดติดอยู่เต็มไปหมดดูดิ”
“ผมบอกแล้วไงว่าพวกเขาเห็นในสิ่งที่ผมเห็น ในห้องนี้ไม่มีกล้องหรอก พอกลับไปเป็นเด็กแปดขวบก็ไม่มีใครรู้แล้วว่าเซมกำลังทำอะไรอยู่” ทั้งที่อยากรู้แทบตายว่าเซมเป็นอยู่ยังไง แต่แบคฮยอนก็ทำได้แค่รอเวลาเพื่อย้อนกลับมาเห็นกับตาเท่านั้น
“ไม่มีก็เหมือนมี ต่อให้เซมหน้าด้านยังไงแต่การมีเซ็กส์แบบถ่ายทอดสดมันก็น่าอายปะวะ”
“ไม่มีใครสนใจเรื่องนั้นหรอก”
“ไม่สนงั้นเหรอ ตอนเซมทำหน้าเสียวจะเป็นจะตายพวกแม่งคงขำลืมแล้วมั้งน่ะ ให้ตายเหอะว่ะ หนูทำแบบนี้ได้ไงวะแบคฮยอน”
“แต่ถ้าเซมมีชีวิตที่ดีได้ทุกอย่างก็จะจบนะ”
“หนูรู้ได้ไงว่าจบ เป็นคนบอกเซมเองไม่ใช่เหรอว่าการทดลองยังไม่สมบูรณ์แบบ จะเป็นจะตายยังไงหนูรู้เหรอวะ”
“...”
“ตอบมาดิ”
ไม่มีคำตอบที่น่าพอใจ ตอนนี้มีแต่ความรู้สึกแย่ ๆ ที่โถมใส่นักวาดกระจอกที่เพิ่งรู้ตัวว่าชีวิตของเขาเป็นเพียงส่วนประกอบของการทดลอง ซึ่งถ้าสำเร็จมันก็คงดีกับตัวเขากับองค์กรหอกนั่นที่คงเอาไปพัฒนาต่อและอาจจะได้รับการยอมรับจากรัฐบาลเข้าสักวัน แต่ถ้าผิดพลาด ชีวิตของปาร์คชานยอลก็คงดำเนินต่อไปอย่างพัง ๆ และกลายเป็นหัวข้อเรื่องตลกรายวันที่พวกหลังจอนั่นเอาไปพูดถึงความน่าสมเพชของผู้ชายคนหนึ่ง
“เชี่ยเอ๊ย...”
คนตัวสูงสบถออกมาอย่างเหลืออด เขากัดฟันกรอดแล้วตรงเข้าไปคว้าซองบุหรี่ที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนจะเดินลงไปชั้นล่างโดยไม่หันกลับไปมองคนป่วยเลยสักนิด ปาร์คชานยอลต้องการสงบสติอารมณ์ ส่วนแบคฮยอนก็ควรได้รู้ซึ้งสักครึ่งหนึ่งว่าทำอะไรกับเขาไปบ้าง
บุหรี่ตัวแรกถูกอัดเข้าปอดจนหมดภายในเวลาอันสั้นก่อนจะตามด้วยตัวที่สอง ชายหนุ่มยังคงเดินไปตามฟุตปาธข้างถนนเรื่อย ๆ ปล่อยให้สมองได้ทบทวนเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่เริ่มเห็นความบ้าบอที่เด็กแปดขวบข้างบ้านกลายร่างเป็นเด็กอายุสิบแปดได้หลังฟ้ามืด เด็กคนนั้นที่เผด็จการแต่ก็รักเขายิ่งกว่าอะไรดี ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่แบคฮยอนจะหวังร้าย และสุดท้ายโทสะที่เคยปะทุเป็นไฟก็เริ่มเจือจางลงจนเหลือเพียงภาพคนป่วยที่น่าเป็นห่วง
นอกจากปาร์คชานยอลจะเป็นคนกระจอกแล้ว เขาก็ยังเป็นคนใจอ่อนที่ปากเก่งได้ไม่สุดอีกด้วย มือแกร่งยกขึ้นสางกลุ่มผมสีเข้มอย่างหัวเสียกับชีวิตเส็งเคร็งที่ใช้อย่างไอ้หมาขี้แพ้มาตลอด เขาสับสนในความหวังดีที่ทำให้รู้สึกหัวใจพองโตและไม่ชอบใจในเวลาเดียวกัน อีกทั้งความจริงจากคนกลุ่มหนึ่งในอนาคตซึ่งทำให้รู้สึกขุ่นเคืองใจจนไม่รู้ว่าจะต้องรู้สึกขอบคุณหรือไม่
ชานยอลถุยน้ำลายขมปร่าไปด้วยรสบุหรี่ลงพื้น ก่อนจะใช้รองเท้าแตะขยี้ต้นเหตุของควันสีหม่นซึ่งเริ่มเป็นสีเดียวกับท้องฟ้าที่ใกล้เข้ารุ่งสาง ชายหนุ่มไม่ใช่คนชอบใส่นาฬิกา และไม่ได้พกโทรศัพท์มาด้วย แต่ตอนนี้ปาร์คชานยอลก็พอรู้ว่าเขากำลังจะเสียเวลาสำคัญไปแล้ว
พอตั้งสติได้หัวใจก็เต้นเร็วจนไม่เป็นจังหวะ ขายาวรีบวิ่งไปตามฟุตปาธด้วยความเร็วทั้งหมดที่เขามี แม้ในใจจะรู้ดีว่าพอกลับไปถึงห้องก็จะพบเพียงเด็กแปดขวบที่นอนหลับอยู่บนเตียง แต่เบื้องลึกในใจก็ยังมีความหวังเล็ก ๆ ว่าเจ้าเด็กจอมบงการวัยสิบแปดจะแหกกฎของเวลาและรอผู้ชายกระจอกอย่างเขาอยู่ตรงนั้น
แต่ทุกอย่างก็เป็นเพียงความคิด... ไม่ว่าพระเจ้าหรือองค์กรจากอนาคตก็ไม่เข้าข้างคนอย่างเขา ชานยอลยืนนิ่งอยู่หน้าประตูเมื่อพบเพียงความว่างเปล่าภายในห้องสี่เหลี่ยมรก ๆ ที่ไม่มีทั้งคนป่วยและเด็กประถมที่ควรนอนอยู่ตรงนั้น
มือข้างขวากำลูกบิดค้างไว้ ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าหัวใจของเขาหรือลูกบิดประตูที่เย็นยะเยือกกว่ากัน ริมฝีปากแห้งผากไร้ซึ่งการขยับทั้งที่อยากตะโกนเรียกหาคนที่ทำให้ทั้งรักทั้งโกรธสุดใจ
“แบคฮยอน”
ถ้าเด็กคนนั้นโผล่หน้าออกมาจากมุมไหนมุมหนึ่งของห้องพร้อมปั้นหน้าปั้นตาซนตะโกน ‘จ๊ะเอ๋!’ ...เขาขอสาบานตรงนี้เลยว่าจะลืมความขุ่นเคืองใจก่อนหน้าไปให้หมด แต่ทุกอย่างยังคงเป็นเพียงจินตนาการของปาร์คชานยอลที่ได้รับความจริงตอกหน้ากลับมาเป็นความว่างเปล่า
RRRrrrr!!!
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น และชายหนุ่มเลือกที่จะปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้นมากกว่าเดินไปรับสายอย่างร้อนรน ชานยอลต้องแย่แน่ถ้าหากคนโทรเข้าเป็นพี่จงแดที่ตั้งใจโทรมาทวงต้นฉบับซึ่งต้องส่งนักวาดช่วยแต่งเติมฉากให้ หรือไม่ก็เป็นตำรวจปัญญานิ่มอย่างไอ้จงอินที่โทรมาเซ้าซี้ถามว่าแบคฮยอนวัยสิบแปดกลับมาหรือยัง
รู้สึกเหมือนขยับขาไม่ได้ ทุกอย่างในร่างกายมันชาไปหมด รวมถึงหัวใจของเขาด้วยเช่นกัน
“เดี๋ยวหกโมงเย็นก็กลับมาแล้ว” ชายหนุ่มกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ปลอบใจตัวเองด้วยความกลัวที่ชัดเจนมาตลอดหนึ่งเดือนว่าการกลับมาของแบคฮยอนมันเป็นเรื่องไม่แน่นอนแค่ไหน
ขายาวก้าวเข้ามาหยุดอยู่กลางห้องและปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นคนโง่จนกว่าจะพอใจ เสียงโทรศัพท์ดับไปราว ๆ นาทีครึ่ง ก่อนจะเริ่มส่งเสียงอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ชานยอลมีสติมากพอที่จะพูดคุยกับใครสักคนบนโลกใบนี้แล้ว
โทรเข้า...
‘พี่ยุนจี’
ไม่บ่อยนักที่เจ้าของเบอร์จะโทรหาเขาเพราะลำพังแค่เดินออกไปชะโงกมองหาข้างรั้วก็เจอแล้ว มันจะมีสักกี่เหตุผลกันที่ทำให้พี่สาวข้างบ้านโทรมาหา ถ้าไม่ใช่แบ่งกับข้าวให้และเรื่องลูกชายวัยแปดขวบที่ติดพี่ชายข้างบ้านอย่างเขายิ่งกว่าครอบครัวตัวเอง
ชานยอลหันไปมองเตียงที่มีเพียงผ้าห่มม้วนกันไว้เป็นก้อน เขาต้องรีบรับสายเดี๋ยวนี้เพราะวูบหนึ่งคิดได้ว่าพี่ยุนจีอาจจะกำลังตามหาลูก ซึ่งเด็กคนนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่
“ว่าไงพี่”
( โทษทีนะชานยอล ยุ่งอยู่เหรอ? )
“อ๋อ เปล่าพี่ เมื่อกี้ผมไปเข้าห้องน้ำก็เลยไม่ทันรับโทรศัพท์น่ะ”
( คือพี่ต้องรีบพาลูกไปส่งโรงเรียนแล้วแวะไปทำธุระต่อก็เลยอยากโทรคุยตอนนี้เลยเพราะกลัวลืมน่ะ จะส่งข้อความบอกก็กลัวนายจะไม่เห็น ขอโทษที่โทรหลายรอบนะ )
หมายความว่าพี่ยุนจีเจอแบคฮยอนแล้วสินะ...
( พอดีตอนพี่เข้าไปรับลูกเห็นเด็กผู้ชายคนนึงยืนอยู่หน้าบ้านนาย เขาฝากบอกพี่ให้บอกนายว่าอย่าลืมเช็กกล่องจดหมายหน้าบ้านนะจ้ะ )
“เด็กผู้ชายเหรอ?”
( ใช่ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย ไม่รู้ว่าเป็นรุ่นน้องที่มหาลัยนายหรือเปล่า หรือจะเป็นแฟนการ์ตูน มาแต่เช้าเชียวนะ )
เด็กผู้ชาย...
“ตัวเล็ก ๆ หางตาตก เสียงแหบ ๆ ...ใช่หรือเปล่า?”
( นั่นแหละ ใส่เสื้อเบอร์ใหญ่กว่าไซส์ตัวเองด้วยนะ ไม่รู้ว่าเพิ่งตื่นนอนหรือมาวิ่งออกกำลังกาย )
หญิงสาวพูดกลั้วหัวเราะ
( ยังไงก็แวะไปดูกล่องจดหมายด้วยล่ะ ท่าทางจะเป็นเรื่องสำคัญ เด็กผู้ชายคนนั้นถึงย้ำนักย้ำหนาว่าต้องบอกนายให้ได้ )
“แล้วตอนนี้เขาไปไหนครับ?”
( อืม... ไม่รู้สิ พอคุยกันเสร็จเขาก็บอกพี่ว่าได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง พี่เลยกลับบ้านไปดูแต่เหมือนคนโทรจะวางสายก่อนพี่ไปถึง พอเดินกลับมาหน้าบ้านอีกทีเขาก็หายไปแล้ว )
“...”
( อ่า โทษทีนะ พี่ต้องส่งลูกเข้าโรงเรียนแล้วล่ะ ไว้เจอกันนะจ๊ะชานยอล )
ความจริงในปัจจุบันก็คือ... พี่ยุนจีได้เจอลูกชายตัวเองตอนอายุสิบแปดโดยไม่รู้ตัว และเด็กคนนั้นก็หลอกให้เธอกลับเข้าไปในบ้านเพื่อใช้โอกาสนั้นแอบกลับไปเป็นเด็กแปดขวบในบ้านของเขา
ชานยอลยืนนิ่งทั้งที่ยังแนบสมาร์ทโฟนไว้ข้างหู ชายหนุ่มปล่อยให้สมองกลวง ๆ ได้ใช้ความคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพาขาที่เคยวิ่งหนีความจริงเดินออกไปหน้าบ้านแล้วหยุดยืนอยู่หน้ากล่องจดหมาย
ใบแจ้งค่าน้ำค่าไฟที่ยังไม่ได้จ่ายสองเดือนถูกทับไว้ด้วยกระดาษเอสี่ซึ่งถูกพับเป็นรูปหน้าหมา มันทั้งน่ารักและชวนให้ใจหายขึ้นมาเพียงเพราะเห็นตัวอักษรเขียนไว้ด้านหลังว่า...
‘ถึง เซมที่รักของผม’
“เอาเตียงคนไข้มา เตรียมสายน้ำเกลือกับผ้าห่มให้พร้อม!”
“แบคฮยอน! ได้ยินหรือเปล่า? แบคฮยอน!”
เสียงล้อเสียดสีกับพื้นและเสียงผู้คนที่กำลังแตกตื่นนั้นกึกก้องอยู่ในหู เด็กหนุ่มปล่อยให้ร่างกายถูกประคองออกมาจากเครื่องทดลองในสภาพเปลือยเปล่า ก่อนจะถูกห่อด้วยผ้าขนหนูผืนบางเพื่อคลายความหนาวในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน
ทุกอย่างพร่ามัวจนมองเห็นได้ไม่ชัด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสติที่กำลังเลือนรางหรือเป็นเพราะน้ำตาซึ่งไหลออกมาไม่หยุดกับโอกาสสุดท้ายที่บยอนแบคฮยอนเพิ่งใช้มันไป เครื่องช่วยหายใจขึ้นฝ้าขาวเป็นจังหวะ มันค่อย ๆ จางหายไปเหมือนความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่คิดว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้
“แย่แล้วครับ ร่างกายแบคฮยอนทรุดตัวเร็วมาก!”
“พาเขาเข้าห้องฉุกเฉินเดี๋ยวนี้!”
แต่ก็เหมือนเดิม... บยอนแบคฮยอนไม่สามารถแก้ไขอดีตได้อย่างที่ตั้งใจไว้ และสุดท้ายทุกอย่างก็จบลงที่ความว่างเปล่า
*
เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นพบแสงสว่างที่กระจายอยู่รอบห้องสี่เหลี่ยม เป็นอีกครั้งที่บยอนแบคฮยอนตื่นมาพบเพดานหลังกลับมาจากอดีตจนต้องถูกหิ้วมารักษาเพราะใช้พลังงานมากเกินไป เพดานสีขาวนั้นว่างเปล่าเหมือนสมองของเขาในตอนนี้ไม่มีผิด ถ้าแทบกับช่วงแรก ๆ ที่ไปกลับอดีต-ปัจจุบัน บยอนแบคฮยอนจำได้ว่าเขาไม่เคยกลัวการลืมตาตื่นเท่าครั้งนี้มาก่อน
ห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ ได้ยินเพียงเสียงโมนิเตอร์ผู้ป่วยเคล้าเสียงร้องไห้ในใจของตัวเอง แบคฮยอนกลับไปหาเซมในอดีตไม่ได้อีกแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้ใช้โอกาสกลับไปย้ำเตือนเป้าหมายชีวิตให้ผู้ชายคนนั้น โดยไม่มีวันรับรู้ว่าอนาคตจะออกมาดีหรือร้าย
เป็นเพราะใช้ร่างกายย้อนไปกลับอดีต-ปัจจุบันบ่อยเกินไป บวกกับความรวนของระบบเวลาที่ส่งผลให้อุปกรณ์ไม่เสถียร จึงทำให้แบคฮยอนไม่สามารถกลับไปได้อีกแล้ว
คนตัวเล็กลุกขึ้นจากเตียงคนไข้พร้อมกระชากสายน้ำเกลือออกจากหลังมือโดยไม่กลัวเจ็บ สองขาที่ไร้เรี่ยวแรงค่อย ๆ ประคองร่างตนเองออกไปจนเซชนกับผนัง หอบหายใจหนักราวกับว่ามันเป็นลมหายใจสุดท้ายที่มีอยู่
ดึงประตูหนักอึ้งเข้าหาตัวเพื่อออกไปเผชิญความจริงข้างนอก ชายหญิงวัยกลางคนสวมชุดกาวน์ยังคงเป็นภาพคุ้นตาซึ่งฝ่ายนั้นเองก็คงรู้สึกเหมือนกันที่เห็นเขาในสภาพแบบนี้
นักวิทยาศาสตร์บางคนเพิ่งละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ เดินเมาง่วงยืดเส้นยืดสายมาทางนี้เพื่อตรงไปยังห้องพักแคบ ๆ ที่ใช้พักผ่อนชั่วคราว บางคนเดินออกมาหยุดพักสายตาหน้าตู้กาแฟ หยอดเหรียญเข้าไปและอัดความเข้มเพื่อให้ร่างกายต่อสู้กับความง่วง
มองนาฬิกาซึ่งบอกพร้อมวันที่บนผนังทางเดิน เขาหลับไม่ได้สติไปหนึ่งวัน และตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงสิบสามนาที เป็นช่วงเวลาที่บยอนแบคฮยอนรู้ตัวว่ามันสิ้นสุดลงแล้ว
หลังจากนี้ทางองค์กรคงมอบรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ ปลอบใจให้ในฐานะที่เขารอดตายจากการทดลอง เด็กหนุ่มใช้มือข้างหนึ่งค้ำผนังเย็นเฉียบเพื่อช่วยประคองตนเองให้เดินไปข้างหน้า เป้าหมายคือห้องของชายคนหนึ่งที่มักจะให้กำลังใจเขาอยู่เสมอ แต่พอดันประตูเข้าไปได้เพียงนิดเดียวก็ต้องชะงักค้างอยู่ท่านั้น เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ตามลำพัง และหัวข้อสนทนานั้นเป็นเรื่องของเขา
“เกิดปาร์คชานยอลฮึดสู้ขึ้นมาจริง ๆ ทางเราแย่แน่ครับ ล่าสุดระบบก็รวนจนทางฝ่ายเทคนิคถึงกับเครียด และผมค่อนข้างมั่นใจว่าเรื่องความทรงจำของพวกเราทุกคนในองค์กรต้องรวนเมื่อความจริงเปลี่ยน”
“ไม่มีทางที่ไอ้กระจอกนั่นจะเปลี่ยนอะไรได้ เชื่อผมเถอะ”
“คือ... ผมพูดในกรณีที่อาจจะเป็นไปได้น่ะครับท่าน”
“นายคิดว่าไอ้เด็กโง่ที่ย้อนเวลาไปเพื่อมีเซ็กส์กับพี่ชายข้างบ้านที่แอบรักมานานจะแก้ไขอะไรได้งั้นเหรอ?”
“เอ่อ... คือ...”
“อย่างมากที่สุดมันก็ทำให้เราได้ข้อมูลกลับมาต่อเติมช่องโหว่กฎของเวลาเท่านั้น ไม่มีอะไรน่ากลัวเลยสักนิด”
“ครับ...”
“ส่วนเรื่องสำเร็จไม่สำเร็จก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องต้องใส่ใจ ปาร์คชานยอลไม่ใช่คนสำคัญของโลกที่พวกเราทุกคนต้องช่วยเสียเมื่อไหร่ ทุกอย่างคือการทดลอง มันเป็นเรื่องปกติของวิทยาศาสตร์ ส่วนไอ้เด็กที่เลือกเสี่ยงเอาชีวิตตัวเองไปทิ้งซ้ำ ๆ กับเครื่องย้อนเวลาก็ถือว่าช่วยให้เด็กขาดความอบอุ่นได้เติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไป ส่วนเราก็ได้ผลประโยชน์ แฟร์ ๆ ทั้งสองฝ่าย”
“ครับ...”
“ถ้าจะให้โทษใคร บยอนแบคฮยอนก็ต้องโทษตัวเองที่เปลี่ยนชะตาชีวิตผู้ชายคนนั้นไม่ได้”
แม้จะรู้อยู่แก่ใจดีว่าคนเหล่านั้นคงคิดอย่างนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคำพูดดูแคลนตัวเขาทั้งคู่จากคนที่ไว้ใจมันทำให้รู้สึกชาวาบไปทั้งตัว เด็กหนุ่มเลียริมฝีปากที่แห้งผาก ค่อย ๆ ปล่อยมืออกจากประตูแล้วมองไปยังทางเดินโล่งซึ่งมองไม่เห็นอนาคต
มองไม่เห็นอะไรเลยสักอย่างเดียว
*
เคยได้ยินว่าคนเราควรมีคนรักมากที่สุดก็ตอนหน้าหนาว เหตุผลเพราะถ้าอยู่ตัวคนเดียวจะรู้สึกเหงาเป็นเท่าตัวเมื่อเงยหน้าขึ้นเจอท้องฟ้าสีคราม และลมเย็นยะเยือกที่เป็นตัวช่วยให้ความเหงาคูณสิบเข้าไปอีก
แบคฮยอนในชุดโค้ทดำมิดชิดและผ้าพันคอผืนใหญ่ปิดถึงริมฝีปาก เด็กหนุ่มยืนนิ่งอยู่ไม่ห่างจากชายหนุ่มสามคนมากนัก มือของคนเหล่านั้นถือช่อดอกไม้อยู่หน้าป้ายหลุมศพ พร้อมสีหน้าซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความเศร้าเมื่อมองไปยังแผ่นหินสีเทาที่อยู่ด้านหน้าภูเขาลูกเล็กสูงถึงอกซึ่งมีหญ้าปกคลุมโดยรอบ
หนึ่งในนั้นเคยมีอดีตที่มีแต่กลิ่นคาวเลือด ผู้ชายคนนั้นสวมชุดบาทหลวงสีดำ ท่าทางสุขุมเรียบนิ่งราวกับคนละคนที่เขาเคยพบเจอ อีกทั้งชายสวมสูทดำกลุ่มหนึ่งซึ่งยืนอยู่ห่าง ๆ และยังคงตามติดไปทุกที่ เพื่อคอยดูแลปกป้องอดีตหัวหน้าแก๊งซึ่งวางมือจากวงการคาวเลือดไปเป็นบาทหลวง
ถัดไปเป็นแรปเปอร์หนุ่มตัวผอมสูงหน้าตาดีที่ตอนนี้กำลังโด่งดังหลังจากถูกแมวมองจับไปเป็นนายแบบ และคนสุดท้ายคือบรรณาธิการ คนที่คอยช่วยเหลือเรื่องงานให้กับนักวาดอยู่เสมอ
ใบหน้าเรียบเฉย จริงจัง จนแทบเดาไม่ออกเลยว่าคนเหล่านั้นเคยหัวเราะมาก่อนหรือไม่
แบคฮยอนแตะนิ้วกลางที่ใต้จมูก ก่อนจะหลุบสายตามองเลือดกำเดาซึ่งไหลออกมาเมื่อความทรงจำมากมายอัดแน่นเข้ามาในหัว ทั้งเรื่องที่เป็นแกนหลักในโลกของความจริง และเรื่องที่เขากลับไปแก้ไขในอดีตจนปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป
ใช่ ความจริงคิมจุนมยอนเป็นมาเฟียใจโหดเหี้ยม ส่วนโอเซฮุนเป็นเด็กหนุ่มที่เรียนตำรวจไม่จบ แต่ด้วยความที่มีใบหน้าและหุ่นที่ดูดี จึงถูกทาบทามเข้าวงการไปเป็นนายแบบ แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเพราะคนตัวเล็กกลับไปแก้ไขอดีตซึ่งมีปาร์คชานยอลเป็นหลัก หากชีวิตส่วนหนึ่งของผู้ชายคนนั้นเปลี่ยน ก็อาจส่งผลถึงความรู้สึกนึกคิดหรือการกระทำของคนรอบข้างด้วยเช่นกัน และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมในอดีตคิมจุนมยอนถึงกลายเป็นบาทหลวง และทำไมโอเซฮุนถึงกลายเป็นเด็กบ้าบอคอแตกที่เอาดีด้านแรปเปอร์
“ห้าปีแล้วนะที่ลูกทิ้งพวกเราไป”
“...”
ชายหนุ่มผู้เป็นบาทหลวงกำสร้อยไม้กางเขนพลางขมวดคิ้วเพื่อเก็บสีหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความเศร้าเอาไว้ เขาพยายามกลั้นน้ำตาทุกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ แต่มันก็ไม่เคยสำเร็จเลยสักครั้งเดียว
“ขอให้มึงสดใสเหมือนดอกทานตะวันช่อนี้นะ” ชายผู้เป็นบรรณาธิการวางช่อดอกไม้ลงหน้าป้ายหลุมศพอย่างใจหาย ทั้งสามคนยืนนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนชายหนุ่มผู้เป็นน้องเล็กจะเดินไปหยุดอยู่ที่หลุมฝังศพข้าง ๆ
“พี่ชอบปืน ชอบจับผู้ร้าย แต่ผมคิดว่ามันคงดีกว่าถ้าพี่ได้เห็นแต่สิ่งสวยงามในโลกนั้น ปืนกับผู้ร้ายน่ะทิ้งมันไว้ในโลกนี้เถอะ” เซฮุนยืนนิ่งก่อนจะถอนหายใจ “ผมจะวางไว้ตรงนี้นะ”
ชายหนุ่มตัวผอมพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ก่อนจะก้มลงวางช่อดอกลิลลี่สีเหลืองลงหน้าป้ายหลุมศพ ดอกไม้ที่แสดงถึงความห่วงใยและขอให้ผู้รับปลอดภัยในภพภูมิที่อาศัยอยู่
“มึงทำแบบนี้ได้ไงวะ” เสียงของบก.หนุ่มฟังดูอ่อนแรง “ทำไมถึงคิดสั้นอย่างนั้น”
“...”
“หรือกลัวเสียเปรียบ เห็นไอ้จงอินโดนโจรยิงตายก็เลยอยากตายบ้างแบบนี้น่ะเหรอ” ไม่มีใครห้ามให้จงแดหยุดพูด เพราะพวกเขาก็คิดเหมือนกัน “ทุกคนมีปัญหาชีวิต แต่มึงเสือกเลือกตัดช่องน้อยแต่พอตัว แล้วคนที่ยังอยู่ล่ะ มึงนึกถึงเพื่อนอย่างพวกกูบ้างหรือเปล่าชานยอล?”
น้ำตาของคนที่ยืนฟังอยู่ห่าง ๆ หยดเผาะอาบแก้ม เขาไม่ได้บีบมันด้วยซ้ำ ทุกอย่างล้วนเป็นความรู้สึกที่บยอนแบคฮยอนจดจำมาตลอดห้าปีที่ต้องทำใจยอมรับว่าพี่ชายข้างบ้านที่เขาตกหลุมรักมานานได้จากโลกนี้ไปนานแล้ว
ชายหนุ่มทั้งสามคนมีตัวตนอยู่จริงทั้งในอดีตและปัจจุบัน แต่อีกสองคนที่นอนอยู่ใต้หลุมศพมีชีวิตอยู่แค่ในอดีตที่บยอนแบคฮยอนกลับไปแก้ไขเท่านั้น เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากกลั้นก้อนสะอื้นเอาไว้ กำหมัดแน่นอย่างเจ็บใจที่ไม่สามารถพาเซมและพี่จงอินกลับมาได้
ทำไมล่ะ... ทำไมสองคนนั้นยังตายอยู่อีก หรือว่าเซมถอดใจไปแล้วหลังจากรู้ความจริง?
พี่จงอินที่ถูกยิงตายในช่วงเวลาที่ชีวิตเซมกำลังดิ่งลงอย่างถึงขีดสุด ทั้งคู่เป็นเพื่อนซี้ที่ไม่เคยทิ้งกัน การตายของผู้ชายคนนั้นจึงเป็นแผลใหญ่ในใจของนักวาดการ์ตูนอย่างปาร์คชานยอล คนที่เคยโด่งดังเป็นอันดับหนึ่งในวงการการ์ตูนเกาหลี และขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดของชีวิต ร่ำรวย มีบ้านกับรถแพง ๆ ขับ กระทั่งได้แต่งงานกับผู้หญิงสวยหุ่นดี
ชีวิตคนเรามีขึ้นลงเป็นเรื่องปกติ จากที่เคยขึ้นไปอยู่ในจุดที่ต้องก้มลงมองคนอื่น ปาร์คชานยอลก็เริ่มดิ่งลงเรื่อย ๆ เพราะกระแสตอบรับการ์ตูนซึ่งน้อยลงจนถูกหน้าใหม่แซงหน้า นักวาดหนุ่มสูบบุหรี่จัด ดื่มเหล้าแทนน้ำและนั่งปั่นการ์ตูนด้นสดส่งบก.แบบขอไปทีเพื่อให้ทันกำหนดลงเว็บตูนในแต่ละสัปดาห์
ร่างกายเริ่มซูบโทรมเพราะบุหรี่และเหล้า เมียคนสวยที่เก่งเรื่องใช้เงินจึงไม่อยากเข้าใกล้สามีที่เคยเป็นหน้าเป็นตาในสังคมให้เธอ สุดท้ายปาร์คชานยอลก็จับได้ว่าเมียมีชู้ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจขอหย่าเพราะไม่สามารถทำใจรับเรื่องนั้นได้
ชีวิตที่แย่ลงของนักวาดชื่อดังกลายเป็นกระแสในอินเทอร์เน็ต บวกกับคำวิพากษ์วิจารณ์ที่สาดเสียเทเสียเข้ามาโดยไม่รักษาน้ำใจนั้นทำให้นักวาดหนุ่มเครียดยิ่งขึ้นไปอีก ชีวิตเริ่มตกต่ำ ปัญหารุมเร้า หัวสมองตื้อวาดอะไรไม่ออก กระทั่งรู้ข่าวว่าเพื่อนสนิทตนถูกโจรยิงตายระหว่างทำภารกิจ ฟางเส้นสุดท้ายของปาร์คชานยอลจึงขาดลง
และวันต่อมาคิมจงแดก็พบศพนักวาดหนุ่มที่จบชีวิตตนเองลงบนโต๊ะทำงานซึ่งเต็มไปด้วยลายเส้นตัวการ์ตูนมากมายที่เคยวาด
TBC
บทสรุปของการย้อนเวลาจะเป็นยังไง เซมในปัจจุบันตายไปแล้ว และเซมในอดีตจะสู้หรือว่ามีจุดจบเหมือนเดิม?
ตอนหน้าตอนจบแล้วจ้า มีสเปแถมอีกหนึ่งตอนเด้อ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้นะคะ เริ้บ
ความคิดเห็น