ตอนที่ 9 : CHAPTER 09 :: Who The Hell Are You?
CHAPTER 09
Who The Hell Are You?
ตามที่คนอื่นรู้และเข้าใจ เจ้านายอย่างคิมจงอินมีแพลนต้องไปต่างประเทศเรื่องงาน และมีความจำเป็นที่ต้องพาเลขาโอเซฮุนไปด้วย ไม่มีใครตั้งข้อสงสัย คนเหล่านั้นยังคงทำงานเหมือนปกติไป รวมถึงเลขาชั่วคราวอย่างเบจูฮยอนหรือไอรีน ที่เจ้านายบอกว่าไม่ต้องเป็นกังวล เพราะจ่าฝูงหญิงคนนั้นมีฝีมือมากพอที่จะล้มผู้ชายหลายคนได้ง่าย ๆ
ไม่มีใครรู้ว่าซีอีโอหนุ่มและเลขากำลังจะไปบ้านพักในช็อลลาใต้ เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับไคในช่วงนี้ หลังจากที่คุณผู้ชาย ผู้ซึ่งเป็นพ่อของคิมจงอินออกปากบอกว่าจะจัดการเอง
เซฮุนมองบ้านสไตล์เกาหลีโบราณซึ่งถูกตกแต่งให้ทันสมัยผ่านกระจกรถ เขาก็ไม่ได้พูดคุยกับคนที่นั่นมากนัก อันที่จริงควรเรียกว่าแค่พยักหน้ารับถึงจะถูก ทั้งคุณผู้ชายที่พูดสั้น ๆ ว่า ‘ดูแลตัวเองด้วย’ กับคุณหญิงที่มองมาด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ เธอยังคงหัวเสียเรื่องไคและคิดว่าการทำเพื่อมนุษย์ธรรมดาอย่างโอเซฮุนมันเป็นเรื่องเกินไปสำหรับคิมจงอิน
“ปล่อยมันไปนอนเบาะหลังเถอะ”
“ทำไมล่ะ มันคงหนาว”
“...”
จงอินชำเลืองมองแมวสีส้มที่นั่งทำตาแป๋วอยู่บนตักคนตัวผอม ก่อนจะเอาแก้มถูหน้าท้องแบนราบนั่นผ่านเสื้อเชิ้ตที่เขาให้ยืมใส่อย่างออดอ้อน ชายหนุ่มคิดว่าเซฮุนคงเอ็นดูไอ้แมวนรกพอสมควร ถึงได้ก้มลงพูดคุย เอามือลูบหัวจนมันหลับไป
“นี่”
“หืม?”
“พ่อคุณจะทำยังไงกับเขา ที่จริงผมไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องหนีไปไกลถึงช็อลลาใต้ ไคเขาจะอยากเจอผมขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เพราะผมไม่รู้ถึงได้ต้องพาคุณไปที่นั่น เดี๋ยวพอถึงเวลาคุณก็จะรู้เองว่าทำไม” ชายหนุ่มผิวแทนยังคงบังคับพวงมาลัย จดจ้องสายตาอยู่กับถนนเบื้องหน้า พลางหันไปทางคนข้างตัวซึ่งยังคงมีไข้ เขาจึงหักหลบหาที่จอดรถ ก่อนจะเดินลงไปเปิดประตูหลัง
มือหนารูดซิปกระเป๋าสีดำออกก่อนจะเอาผ้าพันคอผืนใหญ่ที่เอามาเผื่อเพราะคิดว่าเซฮุนจำเป็นต้องใช้สำหรับสภาพอากาศที่กำลังเข้าใกล้ฤดูหนาว กับการอยู่ที่นี่หนึ่งอาทิตย์หรืออาจจะยาวนานกว่านั้น
“อย่าดิ้น”
คนเป็นเลขาขมวดคิ้วกับความเผด็จการของเจ้านายแม้ว่าจะนอกเวลางาน เขายังไม่ทันอ้าปากพูดอะไรด้วยซ้ำทำไมต้องสั่งให้รู้สึกว่าถูกกดขี่ เซฮุนชักสีหน้าพร้อมปล่อยให้มืออุ่น ๆ ช้อนท้ายทอยเพื่อการใส่ผ้าพันคอ จนรู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมแบบผู้ใหญ่ที่คล้ายกับว่ามันติดอยู่ใต้จมูก และพอหันไปมองใบหน้าอีกฝ่ายซึ่งอยู่ไม่ห่างมากนัก โอเซฮุนจึงคิดว่าการมองต้นไม้ข้างทางให้เป็นจุดยึดสายตาคงดีกว่าเป็นไหน ๆ
จงอินช่วยแปะเจลลดไข้ให้อีกฝ่ายแล้วขยับกลับมานั่งเช่นเดิม เขามองเลขาที่ดูกระสับกระส่ายนั่งไม่ติดกับที่ ซึ่งจากกลิ่นที่รับรู้ได้ก็มาจากอาการครั่นเนื้อครั่นตัว พาลทำเอาเจ้าแมวส้มที่อยู่บนตักส่ายหางอย่างหงุดหงิดที่ถูกรบกวนเวลานอน
คงไข้ขึ้นอีกแล้วสิ
“นอนเถอะ ถ้าถึงแล้วเดี๋ยวผมปลุก” เซฮุนไม่ได้เถียงหรือแย้งว่าเจ้าตัวอยากทำอะไรเจ้านายอย่างเขาก็ไม่มีสิทธิ์มาสั่ง ผู้ชายคนนั้นเพียงขยับตัวเพื่อหาที่พิงศีรษะ
ชายหนุ่มผิวแทนหลุบสายตามองเจ้าแมวส้มที่เอาแต่จ้องเขาราวกับอยากพูดอะไร ตาคมมองถนนสลับกับสัตว์สี่ขาตัวอ้วนเป็นระยะแล้วสู้กันด้วยสายตา พร้อมขยับปากพูดแบบไม่มีเสียงว่า ‘ไปนั่งข้างหลัง’
เขาได้ยินเสียงมันถอนหายใจ ก่อนจะกระโดดข้ามไปนั่งเบาะหลัง ขยับหาที่นอนใหม่แล้วนอนลงเลียขนตนเอง หมาป่าหนุ่มมองกระจกหลัง พอเห็นว่าตัวสัตว์สี่ขาตัวปัญหาหลับไปแล้วจึงหันไปสนใจถนนเบื้องหน้าต่อ
ผ่านไปสองชั่วโมงกับการขับรถ จงอินถอนหายใจพลางหันไปทางเลขาตัวผอมที่นอนหลับคอพับจนเกรงว่าถ้าตื่นมาคงบ่นให้เขาหูชาเล่นเรื่องปวดคอ แต่นั่นเป็นเรื่องที่เขาจะต้องเดือดร้อนเสียเมื่อไหร่ คิมจงอินมองถนนต่อไป ปล่อยให้เพลงคลาสสิคคลอเบา ๆ ในรถทำลายความเงียบ
ก่อนจะรู้สึกได้ถึงก้อนบางอย่างด้านข้างที่กำลังสัปหงก จงอินขมวดคิ้วอย่างหัวเสียที่สุดท้ายเขาก็ปล่อยให้โอเซฮุนเข้ามาในความคิดอีกจนได้ ชายหนุ่มมองศีรษะทุยที่พับอยู่ไหล่ ก่อนจะใช้นิ้วชี้ดันแก้มคนที่หลับไม่ได้สติให้กลับไปอยู่ตรงกลางพนักพิง
“...ให้ตายสิ” ชายหนุ่มสบถ รอยบุ๋มที่เกิดจากปลายนิ้วเขายังไม่ทันหายไปเลยด้วยซ้ำก้อนกลม ๆ นั่นก็สัปหงกลงมาอีกแล้ว
จงอินหงุดหงิดตัวเองเต็มทีที่ไม่ยอมปล่อยไป และยังมีความคิดที่จะทำแบบเมื่อครู่ซ้ำสองอีก ซึ่งดูเหมือนว่ามือมันจะไปเร็วกว่าสมอง เพราะรู้ตัวอีกทีก็รู้สึกได้ถึงแก้มเย็น ๆ ของคนป่วยซึ่งทำให้เขาจำเป็นต้องละมือจากพวงมาลัยมาครู่หนึ่งเพื่อลดความแรงของแอร์
โอเซฮุนไม่ต้องปวดคอ และคิมจงอินก็กลับไปขับรถได้โดยไม่ต้องหัวเสียเพราะการสัปหงกของใครอีก เพราะตอนนี้หลังมือของเขาได้กลายเป็นหมอนชั่วคราวให้คนป่วยอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
และเขาขอสาบานเลยว่าถ้าโอเซฮุนตื่นเมื่อไหร่ มือของขวาของคิมจงอินจะกลับมาวางอยู่บนหน้าขาเหมือนเดิมโดยไม่ปล่อยให้ใครได้ตั้งคำถาม
*
“ไง ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ดูท่าแกจะไม่ค่อยดีขึ้นสักเท่าไหร่”
ชายหนุ่มร่างสูงทั้งสองนั่งลงฝั่งตรงข้ามแวมไพร์หนุ่มผิวแทนที่ดูเหมือนว่าจะรอมาได้สักพักแล้ว การทักทายครั้งแรกในรอบหลายเดือนสิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น กับคนที่ไม่ค่อยมีอารมณ์ขันกับเผ่าพันธุ์เดียวกันอย่างไค ซึ่งทั้งคู่เข้าใจดี
“มัวไปหดหัวอยู่ที่ไหนมา” คำถามแรกทำเอาเจ้าของทรงผมอันเดอร์คัทหลุดขำออกมาอย่างห้ามไม่ได้
“ให้ตายเถอะว่ะ ก่อนหน้านี้เกาหลีร้อนจะตายชัก มาช่วงต้นฤดูหนาวมันก็ถูกต้องแล้ว” ซงมินโฮ แวมไพร์หนุ่มนักฆ่าพูดกลั้วหัวเราะ เล่นถามแบบนี้แสดงว่าไคคงเบื่อหน่ายกับการเล่นสงครามประสาทกับเหล่าหมาป่าตามลำพังแล้ว “ว่าแต่แกเถอะ ทนร้อนทนฝนอยู่ที่นี่ได้ตั้งนาน สภาพจิตใจยังอยู่ดีไหม?”
“เอสเพรสโซ่ดับเบิ้ลช็อต” นัมแทฮยอนสั่งกาแฟเพื่อไม่ให้บทสนทนาในโต๊ะนี้ดูว่างเปล่าเกินไปนัก เขามองไปยังเพื่อนสนิทที่นั่งทำหน้าตึงเครียดอยู่ฝั่งตรงข้าม และคิดว่าคงไม่ใช่ครั้งแรกหลังจากกลับมาที่เกาหลี
ทั้งสามคนเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่เด็ก แต่ด้วยความที่ไคมีศักดิ์เหนือกว่า เขาทั้งสองคนจึงมีความเกรงใจและให้เกียรติอีกฝ่ายมากพอสมควร ซึ่งการที่นัมแทฮยอนกับซงมินโฮกลับมาที่เกาหลี ก็เป็นความสมัครใจที่ต้องการทำเพื่อไคทั้งนั้น
“โทษทีพี่! ข้างนอกเจอพวกปากดี เลยเสียเวลาสั่งสอนมันหน่อย!” แวมไพร์หนุ่มทั้งสามมองไปยังผู้มาใหม่ที่ยิ้มราวกับว่าสะใจ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงตรงที่ว่างข้าง ๆ ไค “สวัสดีครับ อ่า อย่างเป็นทางการ ฮะ”
“ไอ้เด็กนี่เป็นใคร”
“จินครับ คิมซอกจิน”
“เด็กกะโหลกน่ะ พ่อแม่มันโดนฆ่า จะฝังตัวอยู่กับพวกกุ๊ยฉันก็กลัวมันจะมีจุดจบแบบพ่อแม่มัน ฉันกับแทฮยอนเลยให้ตามมาด้วย” มินโฮจำเป็นต้องอธิบาย เขารู้ว่าไคไม่ชอบให้ใครทะเล่อทะล่าเข้าไปตีสนิทแบบนั้น แม้ซอกจินจะปลื้มในตัวไคจนอยากตีซี้เป็นน้องรัก แต่การเข้าหาแบบนั้นคงไม่ใช่วิธีที่เข้าท่าสักเท่าไหร่
“ถอยออกไปห่าง ๆ” ชายหนุ่มผิวแทนกล่าวเสียงเรียบ ซึ่งเด็กหนุ่มที่เพิ่งมาใหม่เพียงยิ้มแห้งก่อนจะทำตาม
“อย่าถือสาเลย มันยังเด็ก”
“ถ้าพี่ไคไม่ชอบให้ผมนั่งตรงนี้ เดี๋ยวผมไปนั่งที่อื่นก็ได้ ขอแค่พี่สั่ง ผมจะทำตามทั้งหมด” เจ้าของคำพูดมองด้วยแววตามุ่งมั่น ตามประสาเด็กหนุ่มที่กำลังตื่นเต้นที่จะเป็นแวมไพร์เลือดเย็นอย่างเต็มตัว
“แค่นั่งฟังเงียบ ๆ โดยไม่ต้องออกความเห็นก็พอ” แทฮยอนกอดอกเอนหลังพิงกับพนัก พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเพราะเขารู้ว่างานนี้อาจจำเป็นต้องใช้ซอกจิน ดังนั้นการให้เด็กนั่นนั่งฟังด้วยมันคงดีกว่าต้องให้เล่ารอบสอง
“ตอนนี้มันกับเลขาหนีไปช็อลลาใต้แล้ว คงคิดว่าป่าโง่ ๆ นั่นจะช่วยอะไรได้” ไคว่า พลางนึกไปถึงจ่าฝูงหมาป่าที่มีหน้าตาเหมือนเขา
“ก็ช่วยได้ไม่ใช่เหรอ?” มินโฮหัวเราะ เมื่อนึกถึงทางเข้าทุกทางซึ่งปกคลุมไปด้วยดินที่ทำให้รู้สึกร้อนเหมือนโดนไฟ ซึ่งเป็นอีกอย่างหนึ่งที่แวมไพร์แพ้
“ไม่ตลอดไปหรอก” ทุกคนหันไปทางแทฮยอน ที่ใช้นิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือจับหูแก้วเซรามิกซ์ใบเล็กขึ้นมาจิบกาแฟ “ถ้าจะฝังตัวอยู่ในนั้นตลอดชีวิตก็ให้มันรู้ไป”
“ฮะ” ซอกจินยิ้มพอใจ กับแผนการซึ่งดูเหมือนว่าจะน่าสนุกอยู่ไม่น้อยถ้าได้ฆ่าหมาป่าดูสักครั้ง หลังจากที่ฆ่าคนมาตลอดชีวิต
“ทำไมแกไม่ฆ่าเลขาคนนั้น” มินโฮคิดมาดีแล้วก่อนถาม เขารู้ดีว่าเรื่องไหนต้องไว้หน้า หรือต้องเก็บไว้ในใจแม้ว่าจะสงสัย แต่คงไม่ใช่เรื่องฆ่าเลขาทุกคนของคิมจงอินที่ไคทำมาตลอด
“พวกมันมาช่วยได้ทัน ถือว่าเป็นโชคช่วยของหมอนั่นที่ได้ต่อเวลาหายใจต่อไปอีกสักหน่อย” ไคตอบอย่างไม่ยี่หระ ไม่หลุดท่าทีประหม่าหรือความกังวลที่มีต่อโอเซฮุนให้เพื่อนได้รับรู้ มันคงดีถ้าหากปล่อยให้เข้าใจไปแบบนี้ มากกว่าการอธิบายถึงความกังวลเรื่องคู่ชีวิตบ้า ๆ นั่น
“สายบอกมาว่าพ่อของมันกำลังตามสืบเรื่องของแกอยู่” มินโฮคว้าซองบุหรี่ขึ้นมากะเทาะก่อนจะคาบไว้ เขาทำท่าจะจุดไฟแช็กแต่ก็ต้องชะงักอยู่ท่านั้น
“ขอโทษค่ะคุณลูกค้า หากต้องการสูบบุหรี่ รบกวนเชิญที่โซนด้านนอกนะคะ” พนักงานสาวกล่าวเสียงเบา แม้จะเป็นหน้าที่ แต่การห้ามชายหนุ่มสวมชุดหนังพร้อมรอยสักตรงส่วนผมที่ไถอันเดอร์คัท ก็เป็นเรื่องที่เธอไม่อยากทำเหมือนกัน
“เก็บเข้าไปซะ” แทฮยอนว่า ซึ่งมินโฮก็ถอนหายใจฮึดฮัดอย่างหัวเสียแต่สุดท้ายเขาก็ยอมทำตาม
“ฉันควรปลาบปลื้มที่เขานึกสนใจเรื่องฉันสินะ” ไคแค่นหัวเราะ เมื่อนึกไปถึงผู้ให้กำเนิด ซึ่งที่ทำไปทั้งหมดก็คงเพื่อปกป้องลูกชายผู้เป็นจ่าฝูงที่เป็นหน้าเป็นตาให้สังคมหมาป่า
“ดูเหมือนว่าฝ่ายนั้นจะไม่ยอมอยู่เฉย ๆ อีกต่อไปแล้ว”
“ก็ดี หัดดิ้นซะบ้าง เกมจะได้สนุกขึ้นมาหน่อย” ไคยิ้มมุมปาก “ถ้าใครมันกล้ายื่นขาเข้ามาขวาง”
ทั้งสามคนมองชายผิวแทนที่หยุดสายตาอยู่กับมีดบนจานวาฟเฟิลซึ่งยังไม่ถูกกินสักคำ ก่อนจะกำด้ามมันไว้แน่นเมื่อภาพเก่า ๆ ในหัวแล่นกลับมาให้ความแค้นได้ทำงานอีกครั้ง
“...ก็ฆ่าทิ้งให้หมด”
*
“ไม่มีใครอยู่เหรอ?”
“พี่ชายผมอยู่คยองกี หมายถึงพ่อไอ้เด็กสามตัวนั้นที่ข่วนหลังคุณน่ะ”
เซฮุนเลิกคิ้ว พลางกลอกมองไปรอบห้องโถงกว้างบ้านไม้ซึ่งถูกตกแต่งอย่างมีสไตล์ กว่าจะวางใจได้ว่าจะไม่โดนหมาป่าเด็กกระโดดออกมาจากมุมไหนก็ยืนนิ่งไปเกือบนาที
ด้านข้างมีหน้าต่างบานใหญ่ที่ทำให้มองเห็นวิวทิวทัศน์ด้านนอก คืนนั้นเขามัวแต่ตกใจกลัว จึงไม่ได้สังเกตว่าที่นี่สวยแค่ไหน ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้ว โอเซฮุนก็อยากมีบ้านแบบนี้สักหลังไว้ให้ยายกับพี่สาวอยู่
“พวกเขาจะมาที่นี่ทุกวันรวมญาติ แต่ผม พ่อแม่ กับคยองซูจะมาที่นี่เฉพาะตอนอยากออกล่า” ชายหนุ่มเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “เป็นหมาป่าที่อาศัยอยู่ในเมืองก็ยากหน่อย”
“เป็นครอบครัวใหญ่มาก” เซฮุนปล่อยเจ้าหญิงน้อยลงบนพื้นพร้อมกวาดตามองไปรอบ ๆ
“ก็ใหญ่พอที่จะให้น้องชายแท้ ๆ ใช้นามสกุลอื่นเพราะแม่มีลูกหลายตัว” เจ้านายเดินไปเปิดม่าน ก่อนจะตรงไปยังทางเดินแคบพร้อมกระดิกนิ้วเรียกเขาให้ไปด้วยกัน “นี่ห้องของคุณ”
“โอ้”
“ที่นี่ไม่มีห้องเผื่อสำหรับแขก เพราะที่นี่เป็นบ้านสำหรับคนที่เรียกว่าครอบครัว และไม่ใช่ว่าใครจะขับรถเข้ามาได้ง่าย ๆ” อธิบายเฉย ๆ ไม่ได้เลยเหรอ จำเป็นต้องแซะขนาดนี้ไหม... “และนี่คือห้องของคยองซู เขาอนุญาตให้คุณนอนกลิ้งบนเตียงได้”
“ทำไมต้องเป็นห้องของเขาล่ะ?” คนเป็นเลขาขมวดคิ้ว ก่อนจะยืนห่อไหล่เพราะอีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกระซิบพอให้ได้ยินกันเพียงสองคน
“เพราะไม่มีทางที่ผมจะเสียสละห้องตัวเองให้คุณนอนไงล่ะ”
“...อ่ะ!” คนตัวผอมนิ่วหน้าเพราะเจ้านายยัดกระเป๋าเสื้อผ้าใส่เขาจนต้องอุ้มมันไว้แนบอก
“ถ้าไม่อยากใส่ชุดนอนกับสูทตลอดเวลาตอนอยู่ที่นี่ ก็รีบเก็บของให้เรียบร้อย ผมจะพาคุณเข้าเมือง”
“ครับ เจ้านายยย” เสียงเป็ด ๆ ลากยาวประชดจนต้องชำเลืองมอง ยิ่งเห็นคนป่วยเบ้ปากใส่ก่อนแง้มปิดประตูห้องให้เหลือเพียงช่องว่างเล็ก ๆ ก็ยิ่งรู้สึกอยากทำอะไรสักอย่างให้หายมันเขี้ยว ช่างพูดนัก
เซฮุนเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วหยุดยืนมองชุดลำลองโทนสีเข้มของคยองซู ไม่มีชุดทางการที่นี่ ไม่มีชุดไหนที่มีสีจัดจ้าน ทุกอย่างล้วนอยู่ในโทนขาวดำ น้ำตาล กรมท่า และน้ำเงิน
เขาปัดมันทั้งหมดไปทางด้านซ้าย ก่อนจะเอาสูทที่พี่สาวจัดให้แขวนเข้าไปในตู้ แล้วหันไปมองชุดนอนสองตัวที่พับอยู่บนเตียง ถ้าเจ้านายไม่ออกปากว่าจะพาไปซื้อชุด เขาคงซักแล้วสลับมันใส่เป็นอาทิตย์ เพราะไม่อยากออกปากขอยืม
“เมี๊ยว”
“อ้าว ว่าไงคนสวย”
“เมี๊ยว... เมี๊ยว...”
เซฮุนอุ้มแมวส้มขึ้นมาตรงระดับสายตา เอาจมูกตนเองถูกับปลายจมูกรั้นเปียก ๆ อย่างเอ็นดูก่อนจะฟัดหอมแรง ๆ หนึ่งที ซึ่งเจ้าหญิงน้อยก็เลียหน้าเขา เปรียบเทียบให้เห็นด้วยการแสดงออกว่าเวลาอยู่กับคนแปลกหน้าและเจ้าของนั้นแตกต่างแค่ไหน
“แกอยู่กับเจ้านายได้ยังไง เอาแต่ใจอย่างนั้น เป็นฉันแอบกระโดดข้ามรั้วหนีไปตั้งแต่สามวันแรกแล้ว”
“เมี๊ยว!”
“แกฟังฉันพูดรู้เรื่องเหรอ?” เซฮุนทำตาโต พอเห็นมันส่งเสียงร้องอีกทีเขาก็ยิ้มขำ “ถ้าทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้วแกไปอยู่กับฉันไหม?”
“เมี๊ยว”
“ไปเหรอ? ฮะ แกน่ารักจัง”
“มันไม่ได้ตอบว่าจะไป” เสียงผู้มาใหม่มาพร้อมประตูที่เพิ่งถูกดันเข้ามา เซฮุนอุ้มเจ้าหญิงน้อยไว้แนบอกพลางมองไปยังชายหนุ่มผิวแทนซึ่งยืนกอดอกพิงกับวงกบประตู
“แอบฟังเราคุยกันเหรอ เป็นถึงเจ้าคนนายคนทำแบบนี้ได้ไง” คนป่วยขยับปากบ่น แต่อีกฝ่ายกลับปั้นหน้านิ่งไม่รู้สึกผิดใด ๆ
“ผมไม่ได้แอบ แต่เสียงไอ้แมวนรกนั่นมันลอดออกไปข้างนอกจนผมรู้สึกรำคาญหู”
“ม่าว!”
“อะไร?” จงอินถลึงตามองขู่แมวส้มที่โพล่งออกมาราวกับจะเถียงเขา
“มันก็แค่ร้องตามประสาสัตว์ที่อยากคุยกับคน” เซฮุนคิดว่าเจ้านายของเขาเริ่มจะไร้สาระเกินไปแล้ว หลายครั้งที่คิมจงอินทะเลาะกับเจ้าหญิงน้อย ซึ่งเหตุผลคงมาจากสัญชาตญาณหมาที่ไม่กินเส้นกับแมว และมันไม่ยุติธรรมกับแมวตัวอ้วนเลยสักนิด
“รู้เหรอว่ามันพูดอะไร?”
“รู้”
“ตอนที่คุณเรียกมันว่า ‘คนสวย’ รู้ไหมว่ามันตอบว่าอะไร?” เซฮุนกลอกตาเพราะตอบไม่ได้ เขาลูบหัวเจ้าหญิงน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดอย่างออดอ้อนแก้โง่ระหว่างคิดหาคำตอบ นี่เจ้านายกะจะจิตวิทยาใส่เขาเหรอ ถ้าโลกนี้มีการเรียนรู้ภาษาแมวจะลงเรียนให้ก็ได้ โอเคไหม?
“มันตอบว่า ‘ค่ะ หนูเอง’”
คนผิวแทนขำพรืดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ จนต้องกำมือยกขึ้นป้องปากพร้อมหันหน้าไปอีกทาง ท่ามกลางเสียงครางขู่ในลำคอของเจ้าหญิงน้อยและความมึนอึนของคนเป็นเลขา ซึ่งไม่รู้ว่าการคาดเดาแบบนั้นมันตลกอย่างไร
“ขำอะไรของคุณ”
“กรุ๊ปเลือดหรือดวงที่ทำให้คุณเชื่อว่ามันพูดอย่างนั้น?”
“ความรู้สึกไง” เซฮุนเลิกคิ้วเถียง “หรือคุณจะบอกว่าไม่ใช่”
“แน่นอนว่าไม่” จงอินตอบอย่างมั่นใจ โดยที่ยังไม่ละสายตาจากลูกจ้าง
“งั้นบอกมาสิว่ามันพูดอะไรตอนที่ผมเรียกว่าคนสวย?” ถ้าเจ้านายอยากอวดทักษะการเป็นหมาป่ามาก เขาก็จะลองฟังดูก็ได้
“มันบอกว่า ‘ฉันไม่ชอบเวลามีไอ้งั่งเรียกว่าคนสวยเลย แต่ถ้ามันจะทำให้ฉันหลอกฟัดนายได้ล่ะก็... เอาสิเซฮุน เรียกฉันอีก’” เจ้านายดัดเสียงช่วงประโยคหลังพร้อมปั้นหน้ากวนประสาท
“ม่าว!!!!!”
“ยังไม่หมด ใจเย็นก่อนเจ้าหญิงน้อย” จงอินยิ้มพอใจพร้อมกระดิกนิ้วชี้ ขณะที่คนเป็นเลขากำลังก้มลงมองเจ้าแมวส้มในอ้อมแขน มันกำลังดิ้นพล่านราวกับอยากกระโดดออกไปข่วนหน้าเจ้านายเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“ตอนที่คุณถามมันว่าทนผมได้ไง ถ้าเป็นคุณคงหนีไปแล้ว มันตอบว่า ‘ฉันก็ไม่ได้อยากทนหรอกนะ แต่สัญญาก็ต้องเป็นสัญญา เพราะฉะนั้นจูบปลอบฉันหน่อยสิ เอาแบบเมื่อกี้เลยนะ ตัวนายหอมมากเลยเซฮุนนา’”
“...”
คนฟังยืนนิ่ง ตอนนี้มีเพียงสิ่งมีชีวิตสี่ขาเท่านั้นที่กำลังดิ้นยุกยิกในอ้อมกอดของเขาพร้อมส่งเสียงขู่ฟ่อไม่หยุด “และตอนที่คุณชวนมันไปอยู่ด้วยน่ะ”
รองเท้าหนังสีดำปลายแหลมก้าวบดพื้นไม้เข้ามาใกล้ ก่อนจะหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเลขาตัวผอมและแมวอ้วน เซฮุนกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ เขาเอนไปข้างหลังเล็กน้อยเมื่อเจ้านายค่อย ๆ เลื่อนใบหน้าเขามาพร้อมกระซิบเสียงเบา
“มันบอกว่า ‘เอาสิ หาข้ออ้างบอกไอ้หมาโง่นั่น แค่คิดว่าตอนเช้าจะได้เห็นนายแก้ผ้าอยู่หน้ากระจก มองบั้นท้ายแน่น ๆ ที่ฉันอยากจะลองฟาดมือลงไปสักครั้งก็ตื่นเต้นจนแทบรอไม่ไหวแล้ว อ่า มันต้องเยี่ยมมากแน่ ๆ’”
“บ้าน่า เจ้าหญิงน้อยไม่มีทางพูดแบบนั้นเด็ดขาด มันเป็นตัวเมียนะ!”
“เหรอ?” จงอินเลิกคิ้ว เขาหลุดยิ้มออกมากับท่าทางเป๋อ ๆ ของเลขาที่กำลังอุ้มเจ้าหญิงน้อยขึ้นเหนือศีรษะเพื่อดูตุ้งติ้งของมัน
“ตัวผู้!!!!”
“ม๊าววววววววววววว!!!”
“แล้วทำไมเรียกมันว่าเจ้าหญิงน้อยล่ะ?!” เซฮุนถามอย่างใคร่รู้ และเขาต้องการคำตอบเดี๋ยวนี้ด้วย!
“เพราะมันไม่ชอบ ผมก็เลยเรียก” คนเป็นเจ้านายตอบอย่างไม่ยี่หระ และตอนนี้เจ้าหญิงน้อยก็กำลังส่งเสียงร้องไม่หยุด
“ให้ตายเถอะ ผมไม่อยากเชื่อว่ามันจะพูดอย่างนั้น”
“ถ้าคิดว่าผมโกหก ก็ลองพูดคำที่อยู่ในหัวคุณตอนนี้สิ” เซฮุนขมวดคิ้วกับคำพูดของเจ้านาย เขาเห็นว่าดวงตาคู่นั้นกำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงขณะมองมา ซึ่งไม่ใช่การอ่านกลิ่น ไม่ใช่การข่มขู่ แต่คนตัวผอมรู้สึกเหมือนกำลังถูกสะกดจิตอย่างไรอย่างนั้น เมื่ออยู่ ๆ ก็มีคำบางคำผุดเข้ามาในความคิดอย่างที่อีกฝ่ายว่าจริง ๆ
“ลู่หาน...?”
ป๊อง!
เซฮุนเบิกตากว้างเมื่ออยู่ ๆ แมวอ้วนในอ้อมกอดก็กลายร่างเป็นมนุษย์ในชุดหนังสีดำราวกับนักดนตรีวงร็อค เขาเหลือกตามองใบหน้าได้รูปที่เซ็ทผมสีน้ำตาลขึ้น ดวงตาเป็นประกายกะพริบปริบ ๆ ซึ่งคงมีสิ่งนี้ที่ทำให้รู้สึกว่าเหมือนแมวส้มเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน
และตอนนี้เจ้าหญิงน้อยที่เพิ่งรู้ว่าเป็นตัวผู้ และกลายร่างเป็นมนุษย์ได้... ก็อยู่ในอ้อมแขนเขาในท่าเจ้าสาว
“ฮาคูน่ามาทา -- อั่ก!!!!”
เซฮุนปล่อยแมวที่กลายร่างเป็นมนุษย์ลงทั้งที่ยังค้างอยู่ท่านั้น จนเจ้าตัวจะตกลงไปกระแทกอย่างแรง พร้อมแอ่นหลังขึ้นมาจากพื้นไม้ด้วยความเจ็บปวด ท่ามกลางคนเป็นเจ้านายที่ยืนมองอย่างพอใจ ยิ้มเยาะกับการกลายร่างของคู่กัดที่อยู่ในร่างแมวมาหลายปี
“อูย อะไรจะรุนแรงเบอร์นั้น”
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน แก -- เจ้าหญิงน้อย -- ไม่สิ คุณ?” เซฮุนยังคงไม่หายช็อก เขามองไปยังชายหนุ่มชุดหนังซึ่งพยายามลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล พร้อมชี้หน้าไปยังเจ้านาย
“ไอ้เด็กนรก แกนี่มันปากเปราะจริง ๆ ฉันน่าจะเอาอุ้งเท้ายัดปากแกตั้งแต่วันที่เห็นว่าในคอกนั้นมีจ่าฝูง” แมวที่เพิ่งกลายร่างบ่นเป็นผีกินผึ้ง เจ้าตัวยกขาขึ้นพาดบนโต๊ะ โน้มหน้าลงไปจนเกือบถึงหัวเข่าพร้อมบิดตัวจนได้ยินเสียงกระดูกลั่น
“เซฮุนควรได้รู้ว่าเจ้าหญิงน้อยที่น่ารักคือไอ้เฒ่าทารกที่อยู่กับครอบครัวฉันมานานแค่ไหน”
“ถ้าแกเรียกฉันด้วยชื่อนั้นอีกแค่ครั้งเดียวนะ... จงอิน” ชายหนุ่มชุดหนังเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม ไอ้หมาโง่ไม่เคยรู้หรอกว่าเขาต้องใช้ความอดทนฟังมันเรียกชื่อนี้ต่อหน้ามนุษย์กี่ครั้ง ชื่อบนโลกมีไว้เรียกแมวเยอะแยะมันไม่เคยจะเรียก และที่เขากลับคืนร่างมนุษย์ได้ ก็เป็นเพราะถูกเรียกชื่อจริง
“ก่อนจะทะเลาะกันช่วยอธิบายให้ผมฟังทีได้ไหมว่านอกจากหมาป่ากับแวมไพร์แล้ว... ยังมีอะไรที่ทำให้ผมต้องช็อกอีกบ้าง?”
ทั้งสองหนุ่มหันกลับไปทางมนุษย์เพียงผู้เดียวที่ยืนอยู่ตรงนี้ หมาป่าหนุ่มล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง และปล่อยให้เป็นหน้าที่ชายหนุ่มชุดหนังในการอธิบายคราวนี้ ซึ่งแมวที่เพิ่งกลายร่างเป็นคนก็ยกยิ้มกับคำถาม
“ฉันชื่อลู่หาน เป็นแอนิเมจัส”
TBC
สวัสดีความไบแอส
#แอนิเมจัสคืออัลไลน้า
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อยู่ดีๆ ก็มีแอนิเมจัสโผล่มา คุณพระมากกกกกกก
แฮร์รี่ พอตเตอร์ก็มา 55555
ชอบมากอ่ะ พี่มลิน เจ้าหญิงน้อยเป็นตัวผู้
แถมชื่อลู่หานด้วย โอ้ยยย
ต่อไปนี้ไม่กล้าแก้ผ้าต่อ-แล้ว
กลัวววว