คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : CHAPTER 08 :: I Need To Know
CHAPTER 08
I need to know
เสียงกระแทกอย่างแรงไม่ได้เกิดจากประตูที่เพิ่งถูกผลักเข้าไป แต่กลับเป็นร่างของแวมไพร์หนุ่มซึ่งชนกับราวแขวนเสื้อตั้งพื้นจนล้มลงไปกองกับพื้นไม้ มือหนากุมรอยแผลเหวอะหวะตรงช่วงอก ผ่านเสื้อยืดเนื้อดีสีเทาเข้มที่ขาดเป็นรอยยาวจากฝีมือกรงเล็บหมาป่า
ไคใช้เวลาหลายชั่วโมงในการสมานแผลบนรถ ซึ่งเขาต้องแย่แน่ ๆ ถ้าหากฝืนเยียวยาด้วยตัวเองแทนที่จะกัดฟันขับรถกลับมาที่บ้านพักไม้เล็ก ๆ แถบชานเมือง แทนที่จะเป็นคอนโดตึกสูงย่านกังนัม เพราะมันคงไม่ดีสักเท่าไหร่ถ้าหากเขาต้องเจอคำถามว่าเป็นอะไร และต้องการรถพยาบาลหรือไม่
เขาเพียงต้องการใช้ยาของท่านอัลฟอนโซ่ ชายผู้สูงศักดิ์ที่สุดในบรรดาแวมไพร์
“น้าเคยบอกตั้งแต่แกเป็นเด็ก ว่ากรงเล็บหมาป่าเป็นพิษถึงขั้นตายได้”
ชายหนุ่มผิวแทนกัดฟันกรอดหลังจากได้ยินเสียงของผู้มาใหม่ แม้คำเหล่านั้นจะอยู่ในโทนปกติ ไม่ติดประชดประชันอย่างที่ไม่ชอบให้ใครหน้าไหนทำ แต่ไคก็รู้สึกเหมือนถูกตอกย้ำบาดแผลให้มันลึกลงไปอีก เขาไม่ได้ถึงกับคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าข้าง และแยกเขี้ยวอย่างเกรี้ยวกราดเพราะเห็นว่าหลานเจ็บตัวเพราะศัตรู แต่อย่างน้อยก็ช่วยอยู่เงียบ ๆ จนกว่าทุกอย่างจะเข้าสู่สภาวะปกติได้ไหม?
“ผมไหว”
“น้ารู้” น้ำเสียงทุ้มนุ่มกล่าวพร้อมใช้มือข้างเดียวประคองหลานชายขึ้น ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโน้มตัวลงเพื่อพาดท่อนแขนของอีกฝ่ายลงบนคอตนเอง
“มาเกาหลีเพราะผมหรือไง?”
“อืม” จางอี้ชิงวางอีกฝ่ายลงบนโซฟา หยุดสายตามองรอยแผลเหวอะหวะและคราบเลือดซึ่งแห้งกรังอยู่ตามเสื้อผ้าและต้นคอแกร่งของหลานชาย “ถึงแกจะไม่ชอบคำว่าฝูงหรือพรรคพวก แต่น้าคือคนในครอบครัว ถ้ารู้แล้วก็เลิกทำหน้าแบบนั้นสักที”
ไคกัดฟันแน่น สกัดกั้นความเจ็บปวดจากพิษที่แล่นปราดไปทั่วร่างกาย พลางกลืนน้ำลายลงคอซึ่งแห้งเป็นผง
“แกเป็นคนฉลาด แต่อย่าหลงตัวเองจนคิดว่าคนอื่นด้อยกว่า เพราะถ้าคิดอย่างนั้น แกก็จะกลายเป็นไอ้งั่งเหมือนตอนนี้”
“ทุกอย่างที่เกิดขึ้นคือความตั้งใจ ผมคิดมาดีแล้วก่อนไปสู้กับมัน บ่นเสร็จแล้วก็กลับ -- อั่ก!” แวมไพร์หนุ่มผิวแทนนิ่วหน้า ทันทีที่อีกฝ่ายตรงเข้ามากดไหล่เขาลงกับพนักโซฟา พร้อมทิ่มเข็มฉีดยาลงบนซอกคอโดยไม่เปิดโอกาสให้ตั้งตัว “อ๊ากกก!”
ไคหอบหายใจหนัก ทรุดลงนอนขดตัวอย่างหมดท่าเพราะฤทธิ์ของยาที่เพิ่งถูกฉีดเข้าร่างกาย ชายหนุ่มปรือตามองน้าชายแท้ ๆ ที่ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวฝั่งตรงข้ามเขา พร้อมมองมาด้วยสายตาเรียบเฉย
“...จะว่าอะไรผมอีก”
“เหมือนทุกครั้ง” แวมไพร์เชื้อสายจีนเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอนหลัง ขาไขว่ห้างพร้อมวางท่อนแขนลงบนพนัก “ฉันอยากให้แกหยุดฆ่าคน”
“...”
“ไม่ว่าจะเป็นความต้องการของท่านอัลฟอนโซ่หรือเจตนาลึก ๆ ของแกก็ตาม บนโลกใบนี้มีอีกหลายวิธีถ้าแกอยากกระตุกหนวดเสือ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องฆ่าคนซี้ซั้ว”
“นั่นแหละเหตุผล” หลังจากเริ่มฟื้นตัวได้ ไคก็ค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง พลางเสยผมที่โชกไปด้วยเหงื่อขึ้น “และต่อให้ไม่มี เราก็ฆ่าคนเพื่อกินเลือดอยู่ดี”
“งั้นทำไมไม่ฆ่าโอเซฮุนล่ะ?”
“...”
“ถ้าแกมีเหตุผลรองรับ แล้วเพราะอะไรถึงปล่อยเขาไป” คนถูกถามนิ่งงัน เขาไม่ได้สบตากับน้าชายที่ยังคงมองมาอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ “เป็นเพราะแกไม่มั่นใจว่าเขาเป็นผู้อยู่เหนือธรรมชาติ หรือลังเลว่าโอเซฮุนจะเป็นคู่ชีวิต เพราะแกฝันถึงเขา?”
ราวกับถูกจี้ใจดำกับความจริงที่ไม่อยากยอมรับ แวมไพร์หนุ่มกำมือแน่น ไคยังคงหัวเสียกับความย้อนแย้งในตัวเองที่เลือกทำอย่างหนึ่งแต่ความต้องการเบื้องลึกกลับสวนทาง แน่นอนว่าการกลับมาเกาหลีในครั้งนี้เป็นเพราะเรื่องก่อกวนพวกหมาป่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหลัก ๆ คือความสนใจในตัวโอเซฮุน
แวมไพร์หนุ่มเชื้อสายจีนหยัดตัวลุกขึ้นยืน ขยับโค้ทสีเทาเข้มอยู่ในทีเมื่อไม่ได้รับคำตอบจากปากหลานชาย “ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วน้าจะว่าไง?”
รองเท้าหนังปลายแหลมหยุดยืนอยู่หน้าประตูทันทีที่ได้ยินประโยคเมื่อครู่ ฝ่ามือเย็นเฉียบค้างอยู่ในท่าคว้าลูกบิด พลางชำเลืองมองใครอีกคนซึ่งยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
“น้าจะได้ย้ำให้แกรู้ว่าโอเซฮุนเป็นคนของคิมจงอิน”
*
“ขอโทษที่มารบกวนกลางดึกนะครับคุณยายจอง”
“ไม่เป็นไรจ้ะ ที่จริงคุณโทรมาก็ได้ ฉันเปิดเสียงโทรศัพท์ไว้ เซฮุนสอนฉันใช้มันแล้ว” หญิงชรายิ้มพร้อมชูสมาร์ทโฟนขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือตนเองให้ดู
ท่ามกลางแสงไฟสลัวในห้องโถงขนาดไม่เล็กแต่ก็ไม่กว้างนัก ที่ตรงนี้เป็นทั้งห้องนั่งเล่นและโต๊ะกินข้าวสำหรับครอบครัวตระกูลโอ ซึ่งหมาป่าหนุ่มเคยอาศัยอยู่ในบ้านสไตล์ดั้งเดิมคล้ายแบบนี้เมื่อห้าสิบปีที่แล้ว ก่อนจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศเพื่อใช้ชีวิตเป็นคนแปลกหน้าที่นั่น ทั้งญี่ปุ่น ฝรั่งเศส สเปน เยอรมัน และเมื่อถึงเวลาที่ต้องสืบทอดการเป็นผู้นำจ่าฝูงจากพ่อ เขาจึงต้องสร้างประวัติเริ่มต้นใหม่ที่นิวออร์ลีนส์ ประเทศอเมริกา ในนามตัวตนที่แท้จริง คิมจงอิน
ชายหนุ่มมองดวงตาคู่นั้นที่หยีจนแทบปิดของหญิงชรา ทำให้นึกไปถึงเลขาช่างพูดที่ตอนนี้หลับไม่ได้สติอยู่ในห้องของเขา ซึ่งได้รับการดูแลจากหมอจุนมยอน จงอินรู้สึกผิดไม่น้อยที่เลือกมาในเวลานี้ แต่เขาคงปล่อยให้เธอเป็นกังวลเพราะรอหลานชายกลับบ้านไม่ได้ และการโทรหาแบบขอไปที ก็เป็นเรื่องไร้มารยาทที่ซีอีโอหนุ่มไม่ประทับใจ
“ผมอาจจะเอาแต่ใจไปสักหน่อยที่ให้เซฮุนอยู่เคลียร์งานจนดึกดื่น เขาเลยกลับมาจัดกระเป๋าเดินทางเองไม่ได้”
จงอินยังคงสร้างเรื่องโกหกว่าต้องพาเลขาไปออกงานต่างประเทศด้วยกันหนึ่งสัปดาห์ เพราะเขาคงปล่อยให้เซฮุนออกมาเดินเหินใช้ชีวิตอย่างปกติเหมือนก่อนหน้านี้ไม่ได้ หลังจากที่ไคเริ่มประกาศสงครามกับครอบครัวตระกูลคิมอีกครั้ง
คุณยายจองควรได้รับความสบายใจ แม้ว่าตอนนี้ในหัวของคิมจงอินจะเต็มไปด้วยความกังวล กับภัยรอบตัวที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับเขา แต่กลับเป็นคนรอบข้างที่ไม่สามารถป้องกันตัวจากแวมไพร์เหล่านั้นได้
ในช่วงเวลาที่คนอื่นกำลังพักผ่อน ชายหนุ่มผู้เป็นจ่าฝูงกำลังพยายามคิดหาทางออกให้กับเรื่องนี้ ซึ่งมันค่อนข้างริบหรี่เหลือเกิน
“เรียบร้อยค่ะ ฉันคิดว่าแค่นี้น่าจะพอแล้ว” หญิงสาวผมสั้นประบ่าเดินออกมาพร้อมกระเป๋าเดินทางใบสูงขนาดถึงเข่า ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ คุณยายของเธอ
“ขอบคุณมากครับ คุณเซบยอล” ชายหนุ่มโค้งศีรษะขอบคุณ ซึ่งเธอก็ยิ้มรับและโค้งศีรษะตอบ
“ข้างในมีพาสปอร์ต กับของใช้จำเป็น ถ้ามีอะไรขาดเหลือก็โทรบอกได้นะคะ วันนี้ฉันหยุดงาน”
“ครับ” ซีอีโอหนุ่มยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหันไปสบตากับหญิงชราที่ยังคงจับจ้องอยู่กับใบหน้าเขา เช่นเดียวกับทุกครั้งที่คิมจงอินมาที่นี่
“คุณไม่ชอบชาหรือคะ?”
“ผมแพ้ชา แต่ความร้อนของมันทำให้คลายความเย็นจากอากาศด้านนอกได้ดีทีเดียว” ชายหนุ่มยังคงประสานมือผ่านแก้วชาขนาดเล็ก กับสมุนไพรที่ส่งกลิ่นเหม็นแต่เขายังอยู่ในจุดที่ทนมันได้ เพราะกลิ่นหอมจำเพาะของหญิงชรา ซึ่งปะปนกับกลิ่นความรู้สึกที่เธอส่งออกมาถึงความเอ็นดูเขา
“ตอนนี้เซฮุนยังทำงานอยู่เหรอคะ?” เซบยอล พี่สาวคนโตถามอย่างใคร่รู้ ซึ่งจงอินก็พยักหน้าเป็นคำตอบ “เขาทำได้ดีใช่ไหมคะ หรือว่าที่ต้องอยู่ดึกเป็นเพราะทำงานผิดพลาด?”
“เซฮุนทำงานได้ดีครับ ไม่ต้องเป็นห่วง”
“...โล่งอกไปที” หญิงสาวซึ่งมีหน้าตาไม่ต่างจากน้องชายแท้ ๆ มีกลิ่นของความกังวล เธอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา
รอยยิ้มที่มาพร้อมคำว่า ‘ขอบคุณที่ดูแลน้องชายของฉันนะคะ’ ราวกับจะย้ำเตือนบาดแผลในใจคนที่ไม่สามารถดูแลใครได้ จงอินยิ้มพร้อมพยักหน้ารับ และมันถึงเวลาที่เขาต้องกลับไปดูอาการเซฮุนได้แล้ว
*
เสียงส้นสูงย่ำเป็นจังหวะเรียกความสนใจจากพนักงานที่เพิ่งมาถึงบริษัทให้หันไปมอง ชายหนุ่มต่างหยุดสายตาอยู่กับผมดัดเป็นลอน และริมฝีปากสีแดงเข้มรับใบหน้าเรียวสวย ซึ่งเข้ากับเดรสเข้ารูปสีดำที่ทำให้เห็นสัดส่วนโค้งเว้าได้อย่างชัดเจน
ลิฟต์เปิดออก ชายหนุ่มที่ห้อยป้ายพนักงานต่างเบียดเสียดกันยืนติดผนังลิฟต์เพื่อให้หญิงสาวผมบลอนด์น้ำตาลหุ่นไซส์เอสได้ยืนตรงกลางอย่างสะดวก กลิ่นของเธอช่างหอมเย้ายวนใจ จนอยากรู้ว่าเป็นพนักงานฝ่ายไหน พวกเขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
หญิงสาวยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นว่ามีใครคนหนึ่งยืนรออยู่หลังจากประตูลิฟต์เปิดออก ชายหนุ่มที่แต่งตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมแก้วกาแฟร้อนซึ่งเธอคิดว่ามันคงอุณหภูมิไม่ต่างจากเลือดที่อยู่ใต้ผิวหนัง หญิงสาวรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบเสียเวลาทิ้งไปอย่างไร้ค่า แต่ใครกันที่บังคับให้หมอนั่นมาที่นี่ถ้าไม่ใช่เจ้าตัวสมัครใจเอง
“ช้า”
“ขอโทษค่ะทนายโด พอดีฉันตื่นเต้นกับการทำงานเป็นเลขาชั่วคราวของบอสคิมก็เลยตื่นสายไปหน่อย”
พนักงานหนุ่มที่อยู่ในลิฟต์ต่างเลิกคิ้วอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ทันทีที่เห็นว่าคนสวยตรงเข้าไปหาทนายคยองซูพร้อมเกาะแขนราวกับว่ารู้จักกันมานาน แม้ชายหนุ่มจะแกะมือเธอออกอย่างรำคาญ แต่หญิงสาวกลับหัวเราะ ก่อนจะหันไปมองเหล่ามนุษย์เงินเดือนที่ยอมขึ้นลิฟต์มาบนชั้นสูงสุดของตึกสูงแทนที่จะลงชั้นที่ตนเองทำงานอยู่
“เดินดี ๆ ทีเถอะเบจูฮยอน”
“เรียกไอรีนก็ได้ค่ะ ฉันมีชื่อเล่น”
ชายหนุ่มมองคาดโทษเพื่อนสนิทที่กำลังสนุกกับการเล่นละครตบตาพนักงานในบริษัท เนื่องจากวันนี้เซฮุนมาทำงานไม่ได้ ไอรีนจึงต้องรับหน้าที่นี้ซึ่งคงเสี่ยงน้อยกว่าใครมนุษย์ทั่วไปหรือคนที่ได้ชื่อว่าเป็นทนายอย่างเขาเข้ามาจัดการงานแทน
คยองซูขยับปากบ่นพึมพำแบบไม่มีเสียง ซึ่งนั่นทำให้เธอยิ้มอย่างพอใจยิ่งขึ้นไปอีก
*
“ม่าว!”
เสียงกุกกักพร้อมแรงเหยียบจากอุ้งเท้าสัตว์สี่ขาปลุกให้คนที่จมอยู่กับฝันทั้งคืนสะดุ้งตื่น เซฮุนหรี่ตามองไปโดยรอบก่อนจะกุมศีรษะที่หนักอึ้ง ตามด้วยอาการครั่นเนื้อครั่นตัวตามร่างกาย
นี่คงเป็นผลข้างเคียงตามที่หมอจุนมยอนบอกสินะ... แต่เมื่อคืนเจ้านายก็ช่วยทุเลาอาการไปแล้วไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงยังเป็นไข้ได้อีก
“ม่าว!”
คนตัวผอมส่ายศีรษะ ภาพตรงหน้าพร่ามัวทำให้สูญเสียการทรงตัวจนหงายหลัง แต่วินาทีนั้นเซฮุนรู้สึกเหมือนโลกมันหยุดหมุน เมื่อร่างของเขาค้างอยู่กลางอากาศโดยที่แผ่นหลังยังไม่แนบลงกับผืนเตียง เพราะถูกคว้าไว้ด้วยมือเดียว
เซฮุนกะพริบตาพลางยกมือขึ้นบังแสงแดดที่ลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ก่อนจะเห็นเงาของใครอีกคนซึ่งอยู่ใกล้แค่เอื้อม ภาพทุกอย่างเริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อปรับระดับสายตา เจ้านายที่อยู่ในชุดเสื้อยืดแขนยาวสีดำกางเกงยีนส์กำลังมองหน้าเขา โดยที่มืออีกข้างหิ้วคอแมวส้มเอาไว้
“อรุณสวัสดิ์”
“อะ... อรุณสวัสดิ์... ก็ได้” แทบลืมว่าเคยปวดหัวมากแค่ไหนเมื่อรู้สึกได้ถึงฝ่ามือร้อน ๆ ที่โอบไหล่ไว้ ก่อนจะค่อย ๆ ประคองร่างของเขาให้นอนลงอย่างเบามือ
“ม่าว!” เจ้าแมวส้มพยายามดิ้นออกจากพันธนาการ ก่อนจะถูกจับพลิกให้หันมาสบตากับคนเป็นเจ้านาย ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะไม่พอใจนักกับการถูกจับท่านั้น
“ว่าไงคนสวย ก่อเรื่องแต่เช้าเลยนะ”
“ม่าว!” เจ้าหญิงน้อยส่งเสียงขู่ในลำคอ ง้างขาหน้าขึ้นพร้อมกางกรงเล็บราวกับจะเตือนว่าถ้าหากคิดหือ เจ้านายก็มีสิทธิ์เจ็บตัวได้เหมือนกัน
“ดูเหมือนคุณจะทำมันโกรธนะ ปล่อยมันลงเถอะน่า” ในทีแรกก็แปลกใจอยู่หรอกที่หมาป่าเลี้ยงแมว แต่พอเห็นภาพตรงหน้าแล้วก็คงไม่แปลก ถ้าจะกัดกันโดยไร้ความเอ็นดูสัตว์เลี้ยงขนาดนี้
“อ้อนวอนสิ เจ้าหญิงน้อยคนเก่ง”
“ม่าว!!!!” อุ้งเท้าเล็ก ๆ พยายามตะกุย ซึ่งคนเป็นเจ้านายกลับเล่นเป็นเด็กด้วยการแยกเขี้ยว ส่งเสียงครางฮือในลำคอพร้อมเปลี่ยนตาเป็นสีแดง
นี่ก็บ้าบอ -_-
“ถ้ายังไม่หยุดก่อเรื่อง คงรู้นะว่าฉันจะจัดการกับแกยังไง”
“ม่าว!”
หมาป่าหนุ่มยกยิ้มก่อนจะคลายมือออกกลางอากาศทำเอาเจ้าแมวส้มตกลงพื้น เซฮุนชะเง้อหน้ามองเจ้าของฟันแหลมคมที่กำลังขู่ฟ่อคนเป็นเจ้านายอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะรีบวิ่งออกไปด้านนอกพร้อมส่งเสียงไม่พอใจให้หมาป่าทั้งบ้านได้รับรู้
“เมื่อคืนผมยังเห็นมันนอนเฝ้าคุณอยู่เลย ไหงตอนนี้ถึงทำเหมือนจะฆ่ากันให้ได้” พูดจบก็สะดุ้งเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายนั่งลงกับขอบเตียงพร้อมอังหลังมือลงมาบนหน้าผากเขาโดยไม่ทันให้ได้ตั้งตัว
“ผมเป็นเจ้านายที่ไม่ค่อยสนิทกับสัตว์เลี้ยงสักเท่าไหร่น่ะ” พูดจบก็ขมวดคิ้ว ขณะมองหน้าซีดเผือดของคนเป็นเลขา “ผมสัมผัสไม่ได้ว่าคุณตัวร้อนแค่ไหน เพราะตัวผมก็ร้อนเหมือนกัน”
“งั้นก็เอามือออก” คนตัวผอมยิ้มแค่ปาก แต่ตาเกร็งมองอีกฝ่ายพร้อมชี้นิ้วเป็นท่าประกอบ ซึ่งเจ้านายก็ทำตามอย่างไม่ต้องหาเหตุผลมาเถียงเขาเหมือนทุกครั้ง
“ผมโกหกที่บ้านคุณว่าจะพาไปต่างประเทศ เลยจัดฉากบอกให้พี่สาวคุณช่วยจัดกระเป๋าเดินทางให้หน่อย ผมพยายามเปิดกระเป๋าคุณแต่ไม่รู้รหัส ครั้นจะปลุกขึ้นมาถามผมก็นึกได้ว่าตัวเองมีมารยาทมากพอ ก็เลย --” เซฮุนเบิกตากว้าง มองไปยังซากกระเป๋าเดินทางที่ถูกแหกด้วยรอยฟันและกรงเล็บจนแทบไม่หลงเหลือชิ้นดี
“คุณทำอะไรเนี่ย! ใบนั้นผมได้ฟรีมาจากการสะสมแต้มนะ!!!”
“โทษพี่สาวคุณสิ เธอเป็นคนล็อก” เจ้านายปัดความผิดให้คนอื่นได้อย่างหน้าตาเฉย เซฮุนเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มพลางมองคาดโทษอีกฝ่ายที่เดินล้วงกระเป๋ากางเกงไปใกล้ ๆ กระเป๋าเดินทางใบนั้นพร้อมใช้เท้าเขี่ยดูเหมือนกับเวลาหมาทำ -_-
“นิสัย”
“ผมค้นดูแล้ว ข้างในมีเชิ้ต สูทอย่างละสี่ชุด กับชุดนอนสอง” จงอินย่อตัวนั่งลงยอง ๆ พร้อมใช้มือข้างหนึ่งเขี่ยของที่อยู่ในกระเป๋าเดินทาง “สามก๊กเล่มหนึ่ง... หนาเอาเรื่อง”
เซฮุนมองเจ้านายที่กำลังพลิกหนังสือเล่มโปรดของพี่เซบยอล ที่เธอพยายามยัดเยียดให้เขาอ่านอยู่หลายครั้ง พร้อมอวดว่าสนุกมากแค่ไหน
“กับแท็บเล็ตพร้อมโพสต์-อิทว่า ‘มีหนังหลายเรื่อง เอาไว้ดูแก้เบื่อบนเครื่องบินนะ มีเกมพัซเซิลกับเกมตู้ปลาโง่ ๆ ด้วย พาสเวิร์ดคือวันเกิดพี่’ อ่า เป็นพี่สาวที่ใส่ใจดีจัง แต่ดีนะ เพราะคุณคงได้ใช้มันตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่เราต้องอยู่ด้วยกัน”
“อะไรคือเราต้องอยู่ด้วยกัน?” เซฮุนมองตามคนผิวแทนที่กำลังเดินไปหยุดอยู่หน้ากะละมังใบเล็ก ก่อนจะเอามันมาวางไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียง
“คุณยังกลับไปทำงานไม่ได้ มันอันตรายเกินไป”
“งั้นคุณก็ให้ผมกลับบ้านสิ”
“กลับไปให้เขาฆ่าครอบครัวคุณเหรอ?” ประโยคนี้ทำเอาคนฟังหยุดชะงัก
ภายในห้องเงียบมีเพียงเสียงบิดน้ำออกจากผ้าขนหนูผืนเล็ก ก่อนที่มันจะซับลงบนใบหน้าซีดเผือดของคนป่วย
“แต่ถ้าเขาทำล่ะ?”
“ยังหรอก เพราะคนที่มีความแค้นส่วนตัวกับเขาคือผม แต่ถ้าผมอยู่กับครอบครัวคุณตอนที่เขากระหายเลือดก็อีกเรื่องหนึ่ง”
“ทำไมมันเป็นแบบนี้ ผมอยากกลับบ้านแล้ว” คนตัวผอมพยายามจะยันตัวลุกขึ้น แต่กลับถูกอีกฝ่ายกดร่างลงไปให้จมลงกับเตียงเช่นเดิม จงอินกดข้อมือทั้งสองข้างของคนเป็นเลขาไว้ มองเข้าไปยังดวงตาคู่นั้นซึ่งเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ไม่ใช่ตอนนี้ เซฮุน”
“ผมวางใจไม่ได้หรอก ผู้ชายคนนั้นทำผมเกือบตาย แล้วต้องหาเหตุผลอะไรถ้าเกิดว่าเขาคิดจะฆ่ายายกับพี่สาวของผม?”
“แต่เขามีเหตุผลที่ไม่ฆ่าคุณ”
“...”
“ผมไม่รู้ว่าทำไม มันต่างไปจากทุกครั้ง และผมคิดว่ามันไม่ใช่ความใจดี”
“...”
“เราจะหาคำตอบให้เรื่องนี้กัน แต่คุณต้องพักผ่อนก่อน ตกลงไหม?” ชายหนุ่มสบตากับคนเป็นเลขาที่ยังคงต่อต้านเขาไม่ว่าจะเป็นทางสายตาหรือร่างกาย แต่เพียงครู่เดียวร่างกายที่ร้อนรุ่มดั่งไฟเพราะพิษไข้ก็สงบลงและยอมรับอย่างไม่เต็มใจนัก
“ทำไมเขาถึงเกลียดคุณขนาดนั้น”
เจ้านายไม่ตอบคำถาม ผู้ชายคนนั้นเพียงลุกขึ้นเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อให้อากาศถ่ายเท ก่อนจะคว้ากระปุกยา เคาะเบา ๆ ใส่มือ รินน้ำดื่มใส่แก้วแต่พอดีแล้วกลับมานั่งลงกับขอบเตียงพร้อมยื่นให้เขา
“ไคเป็นพี่น้องต่างแม่ของผม”
“...” เซฮุนค้างอยู่ท่านั้นกับเรื่องที่ไม่คาดคิดว่าจะเป็นจริง เขากลืนยาลดไข้และน้ำลงไปขณะมองหน้าเจ้านาย โดยไม่รู้ว่าภายใต้ดวงตาคู่นั้นกำลังคิดอะไรอยู่
“ถ้าไม่นับหมอจุนมยอน คุณคือมนุษย์คนแรกที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง” ทั้งคู่สบตากันท่ามกลางความเงียบ ปล่อยให้ลมอ่อน ๆ พัดเข้ามา เซฮุนไม่อยากรู้สึกกับคำว่า ‘คนแรก’ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำ ๆ นี้กำลังซึมซับเข้ามาในหัวเขา และมัน... แปลก
“เล่าต่อสิ ผมฟังอยู่” คนตัวผอมเลียริมฝีปากที่แห้งผาก ก่อนจะเอื้อมมือคว้าผ้าขนหนูชุ่มน้ำที่อยู่ในมือเจ้านาย แต่เจ้าตัวกลับไม่ยอมให้
“อยู่เฉย ๆ”
“ผมทำเอง”
“อยู่... เฉย ๆ” ชายหนุ่มผิวแทนกดเสียงลงต่ำเป็นเชิงดุ ซึ่งเขารู้ว่าถ้าเซฮุนมีแรงกว่านี้คงอ้าปากเถียงอย่างไม่ยอมแพ้แน่ ๆ
“เช็ดอะไรของคุณ มือร้อนจะแย่ ผมไม่เห็นรู้สึกดีขึ้นเลย”
“ผมรู้วิธีทำให้รู้สึกดี แต่คงไม่ใช่การเช็ดตัวคนป่วย” คนเป็นเลขาชำเลืองมองเจ้านายที่พูดคำกำกวมแบบนั้นออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย ซึ่งถ้าปล่อยให้บทสนทนาอยู่กับเรื่องนี้ คนที่จะแย่คงเป็นเขาแน่
“จะเล่าไหมวันนี้”
“เขินแล้วชอบเปลี่ยนเรื่อง”
“มันเกี่ยวกันที่ไหนล่ะ” เซฮุนปัดมืออีกฝ่ายออก พลิกตัวจะนอนหันข้างแต่กลับถูกมือหนาบีบคางให้หันมาสบตากันเช่นในทีแรก “อื้อ!!!”
“Don’t... move”
คนป่วยขมวดคิ้วทำปากจู๋เพราะถูกบีบ มองคาดโทษเจ้านายที่กลับเข้าสู่โหมดเอาแต่ใจจนหมดคราบผู้ชายน่าสงสารเมื่อคืน ไหนใครที่ทำท่าเหมือนว่าจะตายเพราะรู้สึกแย่ที่ช่วยคนรอบตัวไว้ไม่ได้ ตอนนี้คิมจงอินก็กำลังจะฆ่าเขาเหมือนกัน
“เมื่อเจ็ดสิบเก้าปีก่อน ฝูงของปู่ผมโดนฮันเตอร์ไล่ล่าจนถูกฆ่าตายไปทีละคน พวกเขาแยกย้ายกันหนีเอาตัวรอด พ่อผมโดนยิงจากกระสุนที่ถูกทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อฆ่าหมาป่า และตอนนั้นมีแวมไพร์ช่วยเขาไว้”
จงอินนิ่งไปชั่วอึดใจ ขณะนึกย้อนไปถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่เขายังไม่เกิด เมื่อตอนนั้นที่พ่อกับแวมไพร์สาวตกหลุมรักกัน ซึ่งต่างฝ่ายต่างรู้ว่าเป็นความรักที่เผ่าพันธุ์ตนเองไม่สามารถรับได้ หมาป่ากับแวมไพร์เป็นศัตรูกันมาเป็นพัน ๆ ปี และตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่พ่อรู้สึกว่าเธอช่างแตกต่าง
‘เธอมีรอยยิ้มที่สวยจนพ่อไม่สามารถละสายตาไปได้ เขี้ยวเล็ก ๆ นั้นแต่งเติมให้ใบหน้าของเธอสวยยิ่งขึ้น มากกว่าจะให้ความรู้สึกว่าน่ากลัว’
มันเป็นช่วงเวลาที่พ่อกำลังโตเต็มวัย และเพิ่งมีความรักเป็นครั้งแรก ท่านจึงค่อนข้างหลงเธอจนทิ้งเรื่องฝูงที่ถูกไล่ล่าไว้ข้างหลัง โดยอ้างเรื่องบาดแผลที่ได้รับจากกระสุนของฮันเตอร์ว่ามันยังไม่หายดี เพื่อให้ตนเองไม่รู้สึกผิด
เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน แต่การตั้งครรภ์ของแวมไพร์นั้นช่างรวดเร็วเหลือเกิน หญิงสาวท้องโตขึ้นภายในเวลาสองวัน และเธอก็คลอดเด็กออกมาเป็นทารกเพศชาย
และพ่อตั้งชื่อให้เด็กคนนั้นว่าไค
แวมไพร์มีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งคือมองเห็นอนาคตเป็นบางครั้ง แต่จะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ล่วงรู้การเกิดและการตายของคนในเผ่าพันธุ์ เขาคนนั้นคืออัลฟอนโซ่
ทันทีที่รู้ว่ามีทารกแรกเกิดเป็นลูกครึ่งหมาป่ากับแวมไพร์ ชายคนนั้นจึงสั่งองค์รักษ์กระจายกำลังออกตามล่าพ่อ เหล่าผีดิบดูดเลือดต่างโทสะที่ถูกเหยียบจมูก ในขณะเดียวกัน ร่างกายของไคก็เติบโตเร็วอย่างน่าตกใจ เวลาเพียงสองวันก็สามารถนั่งได้และมองหน้าพ่อเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจทิ้งไคและผู้เป็นภรรยา
แวมไพร์สาวต้องรีบพาลูกหนีไปให้ไกล เพราะเธอรู้ดีว่าการเป็นแวมไพร์เลือดผสมนั้นจะมีจุดจบเช่นไร ระหว่างนั้นพ่อก็โดนไล่ล่า ถูกฝังคมเขี้ยวซ้ำ ๆ จนเกือบตาย กระทั่งไปเจอฝูงของปู่และพันธมิตร ทั้งสองฝั่งสู้กันอยู่นาน และจบเหมือนทุกครั้งคือความแค้นทวีคูณยิ่งขึ้น ฝั่งแวมไพร์ตราหน้าว่าเราเป็นฝ่ายประกาศสงคราม ที่กล้าก้าวข้ามอาณาเขตและให้กำเนิดทารกสองเผ่าพันธุ์
พ่อไม่ได้ข่าวแวมไพร์สาวเลยหลังจากนั้น เขาไม่รู้ว่าเธอกับไคเป็นตายร้ายดีอย่างไร ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ไม่มีกลิ่น ไม่มีข่าว ซึ่งปู่บอกกับพ่อว่าตามความน่าจะเป็นแล้ว... ไคกับมารดาคงถูกจับเสียบประจานต่อหน้าเหล่าแวมไพร์และตายไปอย่างทุกข์ทรมาน
พ่อทำอะไรไม่ได้นอกจากทนคิดถึงเธอกับลูกและโทษตัวเอง จนเวลาผ่านไปเกือบสองปี ท่านก็เจอกับครอบครัวหมาป่าซึ่งมีลูกสาวมาด้วย ทั้งคู่ผูกใจกันเป็นคู่แท้เพราะความต้องการของพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย และให้กำเนิดลูกออกมาหลายตัว ซึ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้ใหญ่ประทับใจก็คือเด็กผู้ชายที่โชคชะตากำหนดให้เป็นจ่าฝูง... หมาป่าตัวนั้นคือคิมจงอิน
ไม่มีใครรู้ว่าแวมไพร์สาวและลูกชายของเธอยังมีชีวิตอยู่... ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสองแม่ลูก แต่พ่อเล่าให้ฟังว่าเธอไม่ได้ถูกฆ่าตาย แต่กลับตรอมใจและออกไปยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดด ก่อนจะแทงกริชลงไปบนอกตนเองจนร่างสลายเป็นเศษเถ้าธุลีดินลอยสู่อากาศ ...เพียงเพราะได้รับข่าวว่าหมาป่าผู้ซึ่งเป็นสามีตนนั้นได้เริ่มต้นใหม่กับใครอื่นแล้ว
และนั่นทำให้ไคเกลียดพ่อตัวเอง
“เหตุผลแค่นั้นจริงเหรอ” เซฮุนถามขณะมองเสี้ยวหน้าคนเป็นเจ้านาย “ไม่รู้สิ ผมคิดว่ามันร้ายแรงเกินไปที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งจะคิดฆ่าพ่อตัวเอง เพราะพ่อของเขามีครอบครัวใหม่”
“ผมก็ได้แต่หวังว่าเขาจะมีเหตุผลมากกว่านั้น” จงอินมองมือทั้งสองข้างของตนเอง ก่อนจะทาบลงบนหน้าผากมนเพื่อลองวัดอาการคนป่วยดูอีกครั้ง
“ถ้าไม่ฆ่าคน เขาก็คงดูน่าสงสารกว่านี้”
“หมอนั่นไม่อยากให้ใครสงสารหรอก” จงอินละมือออกมา ซึ่งผลลัพธ์มันก็ไม่ต่างจากเดิมคือเขาสัมผัสได้เพียงแค่ไอร้อน
“แล้วคุณล่ะ” ชายหนุ่มผิวแทนชะงักมือที่ชุบอยู่กับน้ำเย็นในกะละมังใบเล็ก เขาชำเลืองมองไปยังคนเป็นเลขาที่มองมาอย่างคาดหวังคำตอบ ก่อนจะซับผ้าขนหนูลงบนซอกคอขาว
“คำว่าเป็นห่วงคงน่าฟังกว่า”
คำตอบของคนปากแข็งทำเอาคนฟังหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ จงอินละสายตาจากผ้าขนหนูผืนเล็กที่ซับลงมาจนถึงคอเสื้อ ค่อย ๆ ริดกระดุมเสื้ออีกฝ่ายก่อนจะเงยหน้ามองเจ้าของเสียงหัวเราะในลำคอ ซึ่งกำลังส่งกลิ่นพอใจออกมาอย่างน่าหัวเสีย เขาจึงกระชากเสื้อจนรังดุมหลุดออกภายในครั้งเดียว
“เฮ้!!!” เซฮุนเบิกตากว้างอย่างตกใจ รีบกำคอเสื้อตนเองไว้พร้อมหดไหล่เข้าหาตัว เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่จ้อง ซึ่งเขารู้แล้วว่าเจ้านายคงไม่พอใจที่เขานึกอยากจะยิ้ม
“เมื่อกี้ยังเห็นทำหน้าเห็นใจหมอนั่นอยู่เลย ตอนนี้หัวเราะได้แสดงว่าหายป่วยแล้วสินะ?”
“ผมจะป่วยก็เพราะคุณนั่นแหละ ถอยออกไปเลยไป ...เอะอะก็รุนแรง โห ขาดหมดเลยเนี่ย” คนตัวผอมเบือนหน้าหลบ ก้มลงมองรังดุมที่หลุดลุ่ยออกมา ทั้งที่เสื้อแบรนด์นี้แพงเอาเรื่อง และคงไม่ชำรุดง่าย ๆ แต่ก็นะ... อะไรก็เกิดขึ้นได้กับฝีมือหมาป่าทั้งนั้น
พอเห็นว่าบรรยากาศโดยรอบมันเงียบเกินไป เซฮุนจึงชำเลืองมองพร้อมทำมือปัด ๆ ไล่ แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมทำตาม
“อะไร”
“เอ้า คุณนั่นแหละอะไร มานั่งมองหน้าผมนี่ว่างเหรอ”
“ผมว่างมากพอที่จะนั่งจ้องคุณได้ทั้งวันเลยล่ะ โอเซฮุน” ชายหนุ่มผิวแทนแค่นหัวเราะ ก่อนจะเปลี่ยนกลับมาเป็นสีหน้าเรียบเฉย “เมื่อกี้ผมได้กลิ่นรู้สึกแย่ ตอนที่ผมเล่าเรื่องไค”
“ก็ใช่” เขาตอบอย่างไม่โกหก “ไคน่าสงสาร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องนั้นจะเป็นข้ออ้างให้เขาฆ่าใครก็ได้”
“เจอกันครั้งหน้าระวังใจอ่อนล่ะ โดนลักพาตัวไปอีกครั้งผมไม่ตามไปช่วยแล้วนะ”
“ได้ไง คุณจะหมดหล่อจากเรื่องเมื่อวานเลยนะถ้าทำแบบนั้น ...เฮ้!!!” คนป่วยเม้มปากแน่น พยายามยื้อดึงเชิ้ตขาวบนร่างที่อีกคนพยายามจะกระชากมันออกจนเหมือนว่าจะขาดอยู่รอมร่อ
“บอกให้อยู่เฉย ๆ ผมจะเช็ดตัวให้”
“ผมอายุยี่สิบสี่แล้ว เช็ดเองได้!!!”
“แต่ผมเป็นจ่าฝูง”
“แล้วไง! ผมไม่ใช่หมาป่าในฝูงคุณสักหน่อย!” ทั้งคู่สบตากันอย่างหยั่งเชิง เซฮุนถลึงตาคาดโทษเจ้านายที่ปั้นหน้านิ่ง ส่งแววตายียวนกวนประสาทมาราวกับว่าอยากล้างสมองให้โอเซฮุนลืมเรื่องอดีตของไคที่เพิ่งได้รับรู้
ทั้งคู่ยื้อดึงกันอยู่สักพัก จนเชิ้ตขาวร่วงลงจากไหล่ลงไปกองอยู่ที่ข้อแขน และนั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่คยองซูเปิดประตูเข้ามาอย่างพอดิบพอดี ทั้งสามคนค้างอยู่ท่านั้นโดยที่ไม่มีใครพูดอะไร ซึ่งต่อให้โอเซฮุนอ่านกลิ่นไม่ได้... เขาก็พอจะเดาออกว่าตอนนี้ทนายความคนนั้นกำลังคิดอะไรแปลก ๆ อยู่
“...”
“...”
“...”
มีเพียงสิ่งเดียวที่ขยับได้คือเปลือกตา กับแมวส้มที่เดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างคยองซูพร้อมมองที่เตียงราวกับอยากถามว่ามนุษย์สองตนนั้นกำลังทำเรื่องบัดสีกันอยู่หรือเปล่านะ...
“เอ่อ ผมแค่จะมาบอกพี่ว่า --”
“ม... ไม่ใช่อย่างนั้น” เซฮุนอยากแก้ตัวแต่กลับทำได้แค่อ้าปาก เจ้านายปล่อยมือออกแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงด้วยท่าที่ไม่ยี่หระต่อสิ่งใดในโลก ราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ตาคมคู่นั้นมองเขาเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะเปลี่ยนไปทางน้องชาย
“เอกสารน่ะ” คยองซูชูแฟ้มขึ้นมาให้ดู จนถึงตอนนี้ดวงตากลมโตคู่นั้นก็ยังมองมาอย่างกระอักกระอ่วนกับสถานการณ์ตอนนี้
“อ้อ ได้ เดี๋ยวฉันออกไปเดี๋ยวนี้เลย” คยองซูหันหลังเพราะเขารู้ดีว่าคงกลั้นขำไว้ไม่ได้ กับท่าทางของพี่ชายที่แสดงออกอย่างเก้ ๆ กัง ๆ โดยไม่รู้ตัว “คราวหลังหัดเคาะประตูบ้าง”
คยองซูก้มหน้า กำมือยกขึ้นป้องปากกลั้นยิ้มกับเสียงกระซิบเมื่อครู่ของพี่ชาย “โทษที ก่อนหน้านี้ผมคงอยู่ในร่างหมาป่านานเกินไปหน่อย เลยไม่ชินกับการเคาะประตู”
ทนายความหนุ่มได้ยินเสียงจงอินถอนหายใจ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเพราะความน่าอายที่เขาทะเล่อทะล่าเปิดประตูเข้ามา หรือเป็นเพราะเรื่องบนเตียงเมื่อครู่ที่ไม่รู้ว่าอยู่ในอารมณ์ไหน นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่โดคยองซูอยากลองเป็นจ่าฝูงสักครั้ง เพื่อที่จะได้รู้จากกลิ่นว่าพี่ชายแท้ ๆ กำลังรู้สึกอย่างไร
คนเป็นน้องหันไปทางเลขาตัวผอมบนเตียง ตอนนี้เซฮุนกำลังรีบติดกระดุมเสื้อเชิ้ต แล้วค่อย ๆ เลื้อยลงไปนอนพร้อมดึงผ้าห่มขึ้นคลุมศีรษะตนเอง ตามด้วยเจ้าแมวส้มที่กระโดดขึ้นไป และพยายามมุดพุงอ้วน ๆ เข้าไปหาคนป่วย
“พี่”
“อะไร?”
“เจ้าหญิงน้อย” เขาชี้ไปยังก้นเจ้าแมวส้มที่โก่งขึ้นขณะพยายามมุดเข้าไปในผ้าห่มของคนป่วย
จงอินมองภาพตรงหน้าพลางถอนหายใจ ก่อนจะมองก้นโง่ ๆ พร้อมบิดคอจนเกิดเสียง คนเป็นน้องจึงแบมือออกให้พี่ชายวางแฟ้มลงมา เพื่อที่จ่าฝูงหมาป่าจะได้หักนิ้วได้ถนัดสักหน่อย
“ไอ้แมวนรก...”
TBC
ยังไงอะเจ้านาย ยังงายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ความคิดเห็น