คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : CHAPTER 13 :: First Snow
CHAPTER 13
First Snow
“อีกสักพักเขาคงฟื้นตัว”
แวมไพร์เชื้อสายจีนยันตัวลุกขึ้นยืนข้าง ๆ มนุษย์เพียงคนเดียวที่อยู่ตรงนี้ สายตาของทั้งคู่ยังคงจดจ้องอยู่กับร่างกายที่เต็มไปด้วยแผลซึ่งเกิดจากกรงเล็บของหมาป่า เมื่อครู่เขาเห็นว่าจางอี้ชิงฉีดยาให้ไคอีกหนึ่งเข็ม ส่งให้แผ่นหลังที่เคยนอนราบกับเตียงแอ่นขึ้น ริมเสียงอึกอักในลำคอคล้ายว่าจะช็อก ก่อนจะวูบไป
คนตัวผอมกวาดสายตาไปรอบห้องสี่เหลี่ยมที่มีเพียงเตียงขนาดห้าฟุต โต๊ะเล็ก ๆ ไว้วางโคมไฟ กับตู้เสื้อผ้า ที่นี่โล่งจนอดสงสัยไม่ได้ว่าเป็นบ้านสำหรับพักค้างคืนจริงหรือ
“ขอบคุณที่ช่วยเขา” แปลกหูดีที่เซฮุนได้ยินคำขอบคุณหลุดออกจากปากแวมไพร์ที่เคยสร้างแต่ความทรงจำแย่ ๆ ให้กับเขา
“ที่จริงผมเกือบเดินหนีไปทิ้งเขาไว้ตรงนั้นด้วยซ้ำ ไม่ต้องขอบคุณหรอก” เซฮุนยิ้มเจื่อนเหมือนเป็นไอ้โง่ที่หาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้ว่าทำไมต้องรู้สึกเกรงใจในการรับคำขอบคุณครั้งนี้
“อย่างน้อยคุณก็มีความลังเล” หนุ่มชาวจีนยิ้มบาง ๆ
“มันคือความผิดพลาดของผมสินะ”
“เป็นความผิดพลาดที่ต่อชีวิตแวมไพร์โง่ ๆ ตนหนึ่งไว้ ในฐานะน้าชายแท้ ๆ ที่อยู่กับเด็กนั่นมาตลอดชีวิต ยังไงก็รับคำขอบคุณจากผมไว้เถอะครับ เซฮุน” จางอี้ชิงเอาแต่ทำตัวสุภาพไม่หยุด คนตัวผอมยิ้มเจื่อนแล้วเดินออกไปด้านนอกตามอีกคน ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา
“พวกคุณพักอยู่ที่นี่เหรอ?”
“ในวันที่เขาเจ็บตัวหนักน่ะ และผมจะขอบคุณมากถ้าเรารู้เรื่องนี้กันแค่สองคน” เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกขู่ด้วยคำสุภาพจากแวมไพร์ที่ไม่รู้ว่ากรุ๊ปเลือดอะไร แต่จะถามออกไปตอนนี้ก็ใช่เรื่อง
“หมายความว่าปกติพวกคุณอยู่ที่อื่นเหรอ?”
“ครับ” อี้ชิงตอบอย่างไม่โกหก พลางอ่านริมฝีปากสีเชอร์รี่ที่ขยับถามว่า ‘รวมถึงไคด้วย?’ เขาจึงพยักหน้า “เขาอยู่คอนโดที่สามารถพุ่งไปหาคุณที่บริษัทได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องนั่งรถไฟใต้ดิน”
ความสงสัยทั้งหมดถูกคลายออกมาได้เพียงเสี้ยววิ มันทำให้โอเซฮุนรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองตลอดเวลาจากแวมไพร์ตนนั้น
“ขอโทษด้วยนะครับ ที่นี่ไม่มีน้ำดื่มไว้รับแขกเลย” หนุ่มชาวจีนยิ้ม ซึ่งเรื่องนั้นเขาก็พอใจเข้าใจอยู่ สำหรับแวมไพร์ที่ทั้งกินทั้งดื่มเป็นเลือด คงจะมีโคล่าขวดลิตรไว้ยกกระดกแก้กระหายหรอกนะ
“คุณคอยตามล้างตามเช็ดเขาอย่างนี้มาตลอดเหรอ?” เซฮุนชี้ไปยังประตูห้องที่ปิดสนิท และมันคงจะดีมากถ้าแวมไพร์ปากดีตนนั้นจะไม่โผล่ออกมาตอนนี้
“เพราะไคเป็นคนเดียวในสายเลือดแวมไพร์ที่ผมเหลืออยู่ อาจจะเหนื่อยบ้าง แต่หมอนั่นก็แค่เด็ก”
“คุณบอกว่าเขาเป็นเด็ก?” คนตัวผอมเหลือกตา พร้อมชี้นิ้วย้ำไปที่ประตูบานนั้น “แวมไพร์อายุมากกว่าเจ็ดสิบปีคือเด็ก?”
“คุณอยากรู้ไหมครับว่ารุ่นปู่รุ่นย่าของเผ่าพันธุ์เราอายุกี่พันปี?” หนุ่มชาวจีนเลิกคิ้ว เท้าท่อนแขนลงกับหน้าขาตนเองพลางมองไปยังมนุษย์ตรงหน้าที่รีบยกมือขึ้นเป็นเชิงปฏิเสธ
“พวกคุณใช้ชีวิตเหมือนคนทุกอย่างยกเว้นเรื่องกินใช่ไหม หรือผมคิดไปเอง”
“ครับ กิน นอน ทำงาน แต่พวกเราแค่ไม่ชอบนอนอาบแดด” แวมไพร์หนุ่มตอบอย่างไม่ยี่หระ “เราจะย้ายถิ่นฐานไปอยู่เมืองหนาวเมื่อเกาหลีเข้าสู่ฤดูร้อน”
“ถ้าอย่างนั้น คุณทำงานอะไร?”
“ผมเป็นอาจารย์พิเศษ สอนจิตวิทยาที่มหา’ลัยอีฮวา” อี้ชิงเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “ดูเหมือนว่าพี่สาวของคุณทั้งสองคนก็จบจากที่นั่นสินะครับ?”
‘ดูเหมือน’ งั้นเหรอ คำพูดคล้ายว่าไม่มั่นใจแต่มาพร้อมสีหน้าเรียบเฉยแบบนั้นคืออะไรกัน โอเซฮุนรู้สึกเหมือนกำลังถูกคุกคาม คาดว่าการที่อีกฝ่ายรู้เรื่องพี่สาวทั้งสองคนของเขาคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่
“ยิ้มอะไร?” เซฮุนขมวดคิ้วมองลักยิ้มทั้งสองข้างบนแก้มอีกฝ่าย
“ความคิดคุณ”
“...”
“ที่กำลังคิดว่าผมเป็นคนช่างวางแผน และเริ่มเป็นกังวลว่าเธอทั้งสองคนจะถูกคุกคามจากแวมไพร์เหมือนที่คุณเจอหรือเปล่า ผมพูดถูกไหม?”
คนถูกล้วงสมองเบิกตากว้างอย่างตกใจ ก่อนจะยกมือทั้งสองข้างแปะลงบนศีรษะตนเองราวกับมันจะช่วยป้องกันอะไรได้ อี้ชิงยิ้มขำกับสายตาหวาด ๆ ของมนุษย์ ก่อนจะเอนหลังพิงพนักโซฟาอย่างสบาย ๆ
“ตกใจที่ผมอ่านความคิดคุณออกเหรอครับ?”
“ผมควรทำเหมือนมันเป็นเรื่องปกติเหรอ ไม่น่ามั้ง...” เซฮุนแค่นหัวเราะพลางมองไปอีกทาง
“ที่ผมรู้ว่าพี่สาวคุณจบจากอีฮวา ก็เพราะคุณเป็นคนบอกผมเอง” พูดจบชายหนุ่มก็เอานิ้วชี้เคาะขมับตนเอง “ตอนที่ผมพูดจบ ในหัวคุณก็พูดว่า ‘อ่า นั่นมหาลัยของพี่เซบยอลกับพี่เซจองนี่?’”
“ให้ตายเถอะ พวกคุณนี่ร้ายกาจชะมัด” เซฮุนถอนหายใจพลางขยับปากบ่นอย่างหัวเสีย ตอนแรกก็กังวลแทบแย่ นึกว่าเธอทั้งคู่ก็โดนหมายหัวเหมือนเขา พอรู่อย่างนี้ก็โล่งใจขึ้นมาหน่อย
“โล่งใจเหรอครับ?” แวมไพร์ชาวจีนเลิกคิ้ว หลังจากแอบอ่านความคิดเขาอีกครั้ง
“เลิกอ่านความคิดผมสักทีเถอะน่า เรื่องนี้ผมก็พอรู้อยู่ หมาป่าอ่านความรู้สึกทางกลิ่นได้ แวมไพร์ก็อ่านความคิดได้ ไม่เห็นจะน่าแปลกใจเลย” โอเซฮุนทำงานกับเจ้านายมานานมากพอที่จะรู้จักโลกเหนือธรรมชาติบ้างแล้ว จางอี้ชิงทำเหมือนว่าเขาจะต้องอ้าปากกว้าง เบิกตาโพลงอย่างตกใจอย่างไรอย่างนั้น
“ในขณะที่ไคอ่านความคิดคุณไม่ได้?”
“...”
“ไม่สงสัยเรื่องนี้หรือไงครับ?”
คนตัวผอมยังจำสีหน้าและแววตาของผู้ชายคนนั้นตอนพยายามอ่านความคิดของเขาแต่ไม่สำเร็จ ตอนที่โอเซฮุนถูกดูดพลังชีวิตจนเกือบตาย เพราะอีกฝ่ายคิดว่าเขาจะดึงพลังวิเศษออกมาต่อต้านได้ ใช่ เขาจำได้
“ถ้าผมสงสัย... คุณจะเล่าให้ผมฟังเหรอ อี้ชิง?”
*
จางอี้ชิงเลือกที่จะเล่าให้เขาฟังบนรถ มากกว่าการนั่งรอไคตื่นขึ้นมาแสดงความโมโหร้าย หลังจากรู้ว่าน้าชายเพียงคนเดียวได้เล่าความลับที่เจ้าตัวจงใจเก็บไว้มาตลอดให้เซฮุนฟัง
เราใช้เวลาอยู่บนรถด้วยกันสักพักหนึ่ง เพื่อพูดคุยในเรื่องที่ควรรู้ กระทั่งรถขับมาใกล้ร้านของรุ่นพี่ ซึ่งคาดว่าตอนนี้เพื่อน ๆ คงกลับกันไปแล้ว และโอเซฮุนต้องโทรไปหาข้ออ้างสารพัดเพื่อไม่ให้โบราน้อยใจ แต่ยังไม่ทันขับเทียบจอด คนตัวผอมก็เบิกตากว้างทันทีที่เห็นว่าใครคนหนึ่งยืนพิงประตูรถของเขา โดยมีทนายโดอยู่ด้วย
“แย่แล้วคุณ จอด ๆ” เซฮุนหันไปห้ามแวมไพร์ชาวจีนที่ดูไม่มีท่าทีตกใจเลยสักนิดตอนเห็นว่าจ่าฝูงหมาป่าและน้องชายผู้เป็นนักรบยืนอยู่ตรงนั้น
จางอี้ชิงบอกเองว่าพิษของจ่าฝูงเป็นอันตรายกว่าเหล่านักรบหลายเท่า และเขามั่นใจว่าฝีมือเจ้านายคงไม่แพ้คุณไอรีนตอนกำลังโมโหสุดขีดแน่ ‘แวมไพร์กับหมาป่าไม่ถูกกัน’ ประโยคนี้ก้องอยู่ในหัวโอเซฮุน และเขาไม่อยากให้จางอี้ชิงต้องนอนจมกองเลือดอยู่ตรงนี้
“อี้ชิง! จอด!”
“ถ้าจอดตรงนี้คุณจะเดินไกลนะ” ให้ตาย! นี่มันใช่เวลาห่วงขายาว ๆ ของเขาเหรอ?!
“มันก็ไม่ได้ไกลเป็นกิโลสักหน่อย นี่คุณอยากตายหรือไง เจ้านายผมเป็นหมาป่านะ น้องชายเขาก็เหมือนกัน” คนฟังหลุดยิ้มออกมา ขณะที่สายตายังคงให้ความสนใจถนนเบื้องหน้าอย่างเช่นทีแรก กระทั่งภาพของชายหนุ่มทั้งสองเข้าใกล้เรื่อย ๆ เขาจึงหยุดรถลง
“ดื่มชาร้อนสักแก้วก่อนนอนด้วยนะ มันจะทำให้คุณหลับสบายขึ้น” อี้ชิงโน้มตัวข้ามคนตัวผอมไปเปิดประตูให้ ซึ่งทุกอย่างอยู่ในสายตาของจ่าฝูงหมาป่าที่ยังคงจับจ้องมาทางนี้ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก เซฮุนกลืนน้ำลายพลางชำเลืองมองแวมไพร์ชาวจีน พอปลดเข็มขัดนิรภัยเสร็จก็เดินลงไปอย่างเก้ ๆ กัง ๆ
จะมีใครพุ่งมาชนกระจกรถจนแตกแล้วลากร่างเป็น ๆ ไถไปกับพื้นถนนไหมนะ วันนี้มนุษย์ธรรมดา ๆ โอเซฮุนเจอเรื่องชวนผวามากเกินไปแล้ว ถ้าเกิดอะไรขึ้นอีกเขาต้องเป็นบ้าแน่ ๆ
“ราตรีสวัสดิ์”
“...”
แวมไพร์หนุ่มในคราบครูพิเศษมหา’ลัยหญิงล้วนหันไปสบตากับจ่าฝูงหมาป่าเพียงชั่วอึดใจ ก่อนจะขับรถออกไปอย่างสบาย ๆ โดยไม่มีท่าทีหวาดกลัวหรือแสดงออกถึงความขัดฟันอยากฝังคมเขี้ยวลงบนตัวหมาป่าเลยสักนิด
พอจางอี้ชิงไปแล้ว ตอนนี้ก็เหลือเพียงเขาและสองพี่น้องที่ยืนอยู่ไม่ห่างกันจากตรงนี้มากนัก เจ้านายไม่ได้พูดอะไร แต่คุณคยองซูกลับเดินไปขึ้นรถพี่ชายพร้อมขับออกไปจนเหลือเพียงเราสองคน
“กุญแจรถ” ประโยคเรียบเฉยมาพร้อมมือที่ยื่นออกมาข้างหน้า ซึ่งมันผิดคาดจากที่คิดไปสักหน่อย สำหรับหมาป่าที่ควรเลือดร้อนตอนเห็นแวมไพร์ ไหนอีกฝ่ายจะเป็นน้าชายแท้ ๆ ของไคอีก
“จะไม่ถามผมหน่อยเหรอ”
“ผมจะถามคุณบนรถ” โอเซฮุนกำลังใจเต้นแรง เพราะอีกฝ่ายก้าวเข้ามาและคว้ามือเขาให้เดินไปด้วยกัน
ความคิดในหัวตีรวนจนสับสนไปหมด ว่าทำไมถึงกลัวโดนดุทั้ง ๆ ที่เขาก็ไม่มีความผิดอะไรเลยสักนิด ทำไมถึงกลัวว่าเจ้านายจะไม่พอใจ มันมีแต่คำว่า ‘ทำไม ทำไม ทำไม?’ อยู่เต็มไปหมด ทุกอย่างมันวนกลับไปที่เดิม ตรงที่โอเซฮุนได้แต่ถามว่าทำไมต้องกลัวทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิด
*
รถของเขาวิ่งไปตามถนนโดยเจ้านายเป็นคนขับ จากที่บอกว่าจะคุยกันในรถก็มีแค่เสียงถอนหายใจเท่านั้นที่โอเซฮุนได้ยิน ไม่มีบทสนทนาเกิดขึ้น ไม่มีแม้แต่สายตากวนประสาท ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนี้มันกำลังเพิ่มความอึดอัดใจให้เขาจนไม่อยากทนนั่งเงียบ ๆ อีกต่อไปแล้ว
“คุณตามมาทำไม”
“นั่นเป็นสิ่งที่คุณควรถามเหรอ?”
“แล้วจะให้ผมพูดอะไร ‘เจ้านายไปเที่ยวกับเซเลปสวย ๆ ในวงการบันเทิงมาใช่ไหมครับ?’ อย่างนั้นเหรอ”
ชายหนุ่มหักพวงมาลัยเทียบจอดข้างถนนอย่างกะทันหันพร้อมเปิดไฟขอทาง เป็นอีกครั้งที่เจ้านายถอนหายใจให้เขาได้ยิน พร้อมเคาะปลายนิ้วชี้ลงบนพวงมาลัยราวกับอยากสงบสติอารมณ์
“คุณชอบมาตอนที่ทุกอย่างมันแก้ไขไม่ได้แล้ว แต่ก็ยังแสดงท่าทีว่าไม่พอใจผมอีก”
“ถ้าผมมาตอนที่ยังแก้ไขได้ คุณจะเลือกช่วยเขาหรือเปล่า โอเซฮุน?”
“...”
“ผมถามคุณแค่นี้”
ถ้าคิมจงอินขู่จะหักเงินเดือนหรือไล่ออกจากงานเพราะโอเซฮุนไปยุ่งกับฝั่งแวมไพร์ เขาก็พร้อมจะเข้าใจ แต่สีหน้าและแววตาแบบนั้นที่มองมาน่ะ มันทำให้คนเป็นเลขาคิดมากจนต้องต่อว่าตัวเองที่กล้าคิดอย่างนั้นได้
“ถ้าผมปล่อยให้เขาตาย คุณจะดีใจเหรอ”
“...”
“ตอบสิ ผมจะได้โทษตัวเองโดยไม่ต้องสงสัยว่าเพราะอะไร”
ไม่รู้ว่าตอบไม่ได้หรือแค่ไม่อยากตอบกันแน่ เจ้านายถึงเอาแต่มองหน้าเขาอย่างเดียว
“ถ้าคุณอยากให้ไคตายจริง ๆ มันก็คงไม่ยากสำหรับหมาป่าที่อยู่กันเป็นฝูงใหญ่ไม่ใช่หรือไง”
“...”
“คุณทำแบบนี้กับผมมันใช้ได้ที่ไหน วินาทีนั้นผมเลือกอะไรได้บ้าง พอเลือกจะช่วย ผมก็กลัวว่าเขาจะตื่นขึ้นมาทำร้ายผมอีก แต่พอคิดจะปล่อยให้เขาตาย ผมก็ได้แต่มองหน้าเขาแล้วก็นึกถึงคุณ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะอย่างน้อยเขาก็เป็นพี่ชายคุณ ถึงคุณจะไม่อยากยอมรับ”
“...”
“ผมยังมีความเป็นมนุษย์ มีจิตสำนึก ผมไม่มีทางปล่อยให้ใครตายไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ไม่ทำอะไรเลย” เซฮุนกลืนน้ำลายขณะสบตากับคนข้าง ๆ
“ผมต้องขอโทษคุณที่เกิดมาเป็นหมาป่า และเขาเป็นแวมไพร์ที่คิดจะฆ่าครอบครัวผมหรือเปล่า?” เสียงของชายหนุ่มผิวแทนกดลงต่ำบ่งบอกถึงความไม่พอใจ
“ไม่ต้องหรอก” คนตัวผอมเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “คุณไม่พอใจที่ผมทำแบบนี้ แล้วตอนที่ผมต้องการคุณน่ะ คุณไปอยู่ไหน!” เซฮุนโพล่งออกไปอย่างเหลืออด และเขาคงไม่สามารถควบคุมความรู้สึกตัวเองเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายอ่านกลิ่นได้
จงอินนั่งนิ่งพลางเบือนหน้าหลบไปอีกทาง ตอนนี้เจ้านายคงเอือมเลขาเจ้าปัญหาที่ดีแต่สร้างเรื่องให้ปวดหัวไม่หยุดและพูดจาทิ่มแทงใจโดยไม่ห่วงความรู้สึกคนฟัง ก็ดีแล้ว... มันก็แฟร์สำหรับเราทั้งคู่นั่นแหละ เขาเองก็ไม่ได้ต้องการให้ทุกอย่างออกมาเป็นแบบนี้เลยสักหน่อย ไม่เลย...
“พ่อผมเพิ่งกลับมา และเรามีเรื่องจำเป็นต้องคุยกันโดยให้คนอื่นรู้ไม่ได้” ชายหนุ่มผิวแทนพูดขึ้นท่ามกลางความอึดอัด “หนึ่งในนั้นคือเรื่องของไค ซึ่งผมคิดว่าคุณน่าจะรู้แล้ว”
ไม่มีอีกแล้วแววตาที่เต็มไปด้วยโทสะ ทั้งคู่หันมาสบตากันโดยมีเสียงรถคันอื่นขับผ่านไปเป็นระยะเพื่อกลบความเงียบ ซึ่งคำพูดของเจ้านายทำให้เขานึกไปถึงเรื่องโลกแตกที่จางอี้ชิงเพิ่งเล่าให้ฟัง
“หมายถึงเรื่องที่ผม...” เซฮุนไม่กล้าพูดออกมาจนจบประโยค กับเรื่องที่ตัวเขาเองยังรู้สึกกลัวถ้าหากมันจะเป็นความจริง
‘ที่ไคอ่านความคิดคุณไม่ได้ เพราะเขาคิดว่าคุณเป็นคู่ชีวิต’
“ผมบอกคุณแล้วใช่ไหมว่าให้ย้ายมาอยู่ด้วยกัน”
“คุณจะบ้าเหรอ มันเป็นไปไม่ได้” จริงอยู่ที่เขางี่เง่าใส่เจ้านายที่ไม่เคยมาทันเวลาเลยสักครั้ง แต่ถึงอย่างนั้น การย้ายไปอยู่ด้วยกันมันก็เป็นเรื่องเกินขอบเขตสำหรับเจ้านายและลูกจ้าง ซึ่งทางครอบครัวนั้นก็เป็นหมาป่าในตระกูลเก่าแก่
“ผมทำได้ทุกอย่าง ถ้ามันทำให้คุณไม่ใช่คู่ชีวิตของเขา”
“...”
ไม่ว่าจะเป็นความน้อยใจ หวาดกลัว หรือรู้สึกแย่ ทุกอย่างมันหายไปในพริบตาเพียงเพราะได้ยินประโยคไม่คาดคิด สองมือที่วางอยู่หน้าขากำเข้าหากันแน่นจนเลือดห้อ เราทั้งคู่ต่างเงียบไปราวกับว่ากำลังให้อีกคนใช้เวลาไปกับความคิด
หิมะแรกในฤดูหนาวกำลังตกลงมา มันเชื่องช้ากว่าอัตราการเต้นของหัวใจโอเซฮุนหลายเท่าเมื่อลองเทียบกัน เพราะคนที่เคยเอาแต่หงุดหงิดกำลังโน้มตัวมาหาเขาจนระยะห่างของเราที่เคยมีต่อกันลดน้อยลงไปทุกที คนตัวผอมค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลงกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ เขาบีบมือตนเองแน่นยิ่งขึ้น กระทั่งอีกฝ่ายตัดสินใจผละตัวออกกลับไปนั่งที่เดิม
“...”
เจ้านายเท้าแขนลงกับประตูรถพร้อมถอนหายใจขณะทอดสายตาออกไปด้านนอก นี่คือฤดูหนาวจริงหรือ ทำไมโอเซฮุนถึงรู้สึกร้อนจนเหงื่อออกตามซอกคอ ขมับ และฝ่ามืออย่างนี้
“หะ -- หิมะตกแล้ว”
มีแต่คนโง่เท่านั้นที่เอาแต่เก่งไม่เข้าเรื่อง ไม่รู้ว่าควรโล่งใจหรือผิดหวังที่ทุกอย่างถูกตัดฉับกลางอากาศ เซฮุนกลืนน้ำลายพลางยกมือขึ้นถูจมูกเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศที่เพิ่มความอึดอัดขึ้นเป็นเท่าตัวเพราะเหตุการณ์เมื่อครู่
บ้าเหรอ เมื่อกี้เจ้านายเกือบจะจูบเขา? บ้า... บ้าไปแล้ว
ใช่... โอเซฮุนคงบ้าไปแล้วจริง ๆ
“...”
คนที่จมอยู่กับความคิดเบิกตากว้างอย่างตกใจ ทันทีที่อีกฝ่ายโน้มตัวมาอีกครั้งพร้อมเชยคางมนให้หันมารับจูบร้อนท่ามกลางความหนาวเหน็บยามค่ำคืนจนได้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนไม่มีโอกาสได้ตั้งตัว... ถ้าบอกว่าจูบของหมาป่าทำให้หยุดหายใจไปชั่วขณะได้ล่ะก็... โอเซฮุนก็คงเชื่อ มันเป็นเรื่องที่คาดหวังแต่ก็ไม่คาดคิด
ริมฝีปากที่เคยพูดแต่เรื่องโง่ ๆ กำลังถูกบดขยี้ รวมถึงลิ้นที่เคยแอบแลบใส่เจ้านายเวลาได้ยินคำพูดไม่รื่นหู สิ่งเดียวที่ทำให้โอเซฮุนหายใจไม่ออกก็คือการเป็นหวัด แต่ตอนนี้คงต้องเพิ่มจูบของเจ้านายเข้าไปด้วยเพราะเขากำลังรู้สึกอย่างนั้น แต่ก็ไม่อยากผละออกเพื่อสูดอากาศให้ฉ่ำปอด
เพราะในวินาทีนี้เขาเลือกที่จะหลับตาลงและปล่อยให้เจ้านายจูบจนกว่าจะพอใจ
ไม่สิ... บางทีมันอาจจะเป็น ‘จนกว่าโอเซฮุนจะพอใจ’ มากกว่า
มือที่เคยบีบกันแน่นเลื่อนขึ้นคว้าต้นคออุ่น ๆ ของชายหนุ่มผู้เป็นจ่าฝูงหมาป่า จูบที่เกิดขึ้นอย่างงง ๆ และคงหาเหตุผลไม่ได้ในตอนนี้ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขากำลังรู้สึกดี จนไม่อยากถอนริมฝีปากออก ซึ่งชายหนุ่มผู้อ่านความรู้สึกได้ผ่านกลิ่นก็คงรับรู้โดยที่เขาไม่ต้องพูด จึงกดจูบย้ำลงมา ดูดดุนลิ้นร้อนราวกับว่าเราต่างโหยหากันและกันทั้งที่ต่างฝ่ายต่างแสดงออกตรงกันข้าม
บนรถที่มีจางอี้ชิงอยู่ข้าง ๆ โอเซฮุนใช้เวลาไปกับการถามตนเองว่าถ้าเขาเป็นคู่ชีวิตของไคจริง ๆ นั่นหมายความว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องรักผู้ชายคนนั้นใช่หรือไม่? และถ้าใช่... เขาจะจัดการความรู้สึกต่อเจ้านายที่มันฝังลึกอยู่ในใจได้อย่างไร?
ถ้าใครคนหนึ่งถูกกำหนดมาเพื่อให้เป็นคู่ชีวิต... คน ๆ นั้นจะเป็นคิมจงอินไม่ได้เหรอ?
“ผมมีตัวเลือกให้คุณสองข้อ ระหว่างกลับไปนอนซุกผ้านวมที่บ้าน หรือว่าจะซุกอกผมในรถคันนี้”
ลมหายใจอุ่น ๆ ของเราสอดประสานกันจนแทบลืมความหนาวด้านนอก เสียงกระซิบของเจ้านายไม่เคยอบอุ่นขนาดนี้ มันเปลี่ยนจากคนขี้โมโหให้กลายเป็นลูกหมาที่กำลังใช้สายตาออดอ้อนได้ภายในเสี้ยววิ และโอเซฮุนก็รู้สึกดีจนกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่ได้
“พูดเหมือนคุณตัวใหญ่มาก”
“ให้ผมแปลงเป็นหมาป่าไหมล่ะ?”
“บ้าเหรอ” เซฮุนเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตกใจเพราะถูกกระตุกข้อมือจนปลายจมูกของเราชนกัน “...ผมไม่จูบคุณตอนเป็นหมาหรอก”
ความรู้ใหม่อีกเรื่องในวันนี้ก็คือ... รอยยิ้มของคิมจงอินเริ่มเป็นภัยต่อใจโอเซฮุนเข้าแล้ว บอกไม่ถูกเลย ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกดีขนาดนี้ตอนเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มตอน ขณะที่โอเซฮุนมองเห็นเงาตนเองอยู่ในแววตาคู่นั้น
ชายหนุ่มผิวแทนคลึงนิ้วหัวแม่มือลงบนริมฝีปากที่เพิ่งบดขยี้ไปเมื่อครู่ และเขาอยากจะทำอีกซ้ำ ๆ ทั้งคู่สบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนคนเป็นเจ้านายจะเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ซอกคอขาวเพื่อกดจูบลงไปเบา ๆ จนคนถูกสัมผัสขนลุกซู่
“งั้นผมไม่กลายร่างก็ได้”
TBC
#เจ้านายผู้มาเพื่อแหกกฎเดสทินี่ทั้งหมดทั้งมวล
ความคิดเห็น