คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : CHAPTER 16 :: ซวยจนปากแตก (100%)
CHAPTER 16
ซวยจนปากแตก
ชายหนุ่มนั่งลงบนขั้นบันไดหินข้างคนตัวเล็กโดยไม่มีการพูดจาใด ๆ เขาทอดสายตาไปยังแม่น้ำเบื้องหน้าเฉกเช่นเดียวกับอีกฝ่าย ท่ามกลางสายลมที่พัดมาเป็นการบ่งบอกว่าอีกไม่นานฝนก็คงตก
เรานั่งเงียบอยู่ตรงนี้ เหมือนกับที่ทำมาตลอดหลายชั่วโมงตอนช่วยป๋ายเซียนตัดโมเดลจนเป็นรูปเป็นร่าง แม้ว่าคนน้องจะยังคงซึม และไม่ยอมพูดอะไรมากไปกว่า ‘ไม่เป็นไร เดี๋ยวทำเอง’ แต่แบคฮยอนก็ยังคงก้มหน้าก้มตาช่วยต่อไปราวกับว่าไม่ได้ยินคำพูดนั้นของน้องชาย
เซฮุนยังจำความกระอักกระอ่วนในตอนนั้นได้ ไม่มีความวุ่นวาย ไม่มีคำพูดคำจากวนประสาทที่ทำให้มือสั่นจนต้องเขกหัวไปคนละที เขาเพียงแค่นั่งตัดโมเดลและซึมซับความเสียใจของป๋ายเซียนไปพร้อม ๆ กับแบคฮยอนเท่านั้น
ไม่มีคำปลอบใจไหนดีไปกว่าเวลา เขาเชื่ออย่างนั้น ชายหนุ่มรู้ว่าไม่ควรยกเรื่องใครผิดถูกมาพูดเพื่อตอกย้ำให้รู้สึกแย่ไปกว่าเดิม เพราะไม่ว่าผลจะออกมายังไง การซ้ำเติมคนล้มก็ไม่ใช่วิธีที่สมควรเลยสักนิด
ทุกคนต่างต้องยอมรับผลลัพธ์จากความสนุกและการรักเพื่อน ให้เป็นสิ่งเตือนใจว่าอย่าให้เกิดขึ้นซ้ำสองอีก โอเซฮุนก็เคยผิดพลาด และตอนที่รู้สึกแย่กับสิ่งที่ทำลงไป เขาก็ได้แต่คิดว่าถ้ามีโอกาสจะแก้ไข หรือไม่ทำให้มันแย่ลงไปกว่าที่เคย
ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะมีอะไรในโลกที่ทำให้บยอนแบคฮยอนเจ็บปวดได้ จนกระทั่งเห็นไอ้เตี้ยนั่นช่วยติดพลาสเตอร์ให้น้องชายซึ่งเกิดจากการตัดโมเดล แม้จะเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ แต่เขากลับรับรู้ถึงกำแพงซึ่งคั่นกลางอยู่ระหว่างสองคนนั้น ที่มันชื่อว่าความเสียใจ
สายตาแบคฮยอนตอนมองน้ำตาของป๋ายเซียนที่ไม่ได้ตั้งใจบีบออกมานั้นเป็นอย่างไร เขาพอจะสัมผัสได้ เซฮุนคิดว่าคนเป็นพี่ชายคงสามารถรับรู้และเข้าใจแม้อีกฝ่ายจะไม่พูดอะไรสักคำ ชายหนุ่มเคยได้ยินมาว่าคนเป็นฝาแฝดจะมีความพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง คือการรับรู้ความรู้สึกอีกฝ่ายได้เพียงแค่มองหน้ากัน และตอนนั้นแบคฮยอนก็คงเข้าใจเป็นอย่างดี แต่ไม่รู้ว่าจะแก้ไขยังไง
ไม่รู้หรอกว่าทั้งคู่ผูกพันกันมากแค่ไหน แสดงความรักต่อกันยังไง แต่ที่รู้และสัมผัสได้ก็คือ คนเป็นพี่ชายกำลังกังวลและทำตัวไม่ถูก ว่าต้องปลอบน้องชายที่กำลังเจ็บช้ำด้วยวิธีไหนในโลก และแม้ว่าพยายามคิดแล้ว แต่ไอ้เตี้ยนั่นก็โดนความว่างเปล่าตอกหน้าจนต้องปล่อยให้ป๋ายเซียนได้อยู่ตามลำพัง แม้ว่าใจจะไม่ต้องการอย่างนั้น แต่แบคฮยอนก็ยอมเดินออกมาหลังจากน้องชายบอกว่า 'ขออยู่คนเดียวนะ'
“กินเหล้าไหม?” คนตัวเล็กไม่ได้ตอบคำถามในทันที ดวงตาคู่นั้นยังคงทอดไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย
“ตอนนี้เลยเหรอ”
“อืม”
“ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นชวน มึงกินเป็นด้วยหรือไง” แบคฮยอนถาม จนถึงตอนนี้เราทั้งคู่ก็ยังไม่หันมามองหน้ากันเลยสักนิด หลังจากเริ่มบทสนทนา
“ที่ไม่พูด ใช่ว่าจะไม่เคย” สิ้นสุดคำตอบ คนฟังก็หลุดขำออกมา ก็คงอย่างนั้น... ในสายตาบยอนแบคฮยอน โอเซฮุนก็คงเป็นลูกคุณหนูคนหนึ่งที่แตะต้องของมึนเมาแค่ตอนออกงานกับพ่อแม่ “ว่าไง อยากกินไหม?”
“ไม่ล่ะ เกิดกูเมาแล้วหน้ามืดปล้ำมึงขึ้นมาแล้วจะยุ่ง”
ไอ้เตี้ยกำลังยิ้ม แต่มันช่างเป็นรอยยิ้มที่ต่างไปจากทุกที เซฮุนผลักหัวอีกฝ่ายเบา ๆ เพื่อทำลายความตึงเครียด แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น สุดท้ายแบคฮยอนก็กลับมาซึมเหมือนเดิม
“ไว้ถ้ากูอยากเมาเมื่อไหร่ จะนึกถึงมึงคนแรกแล้วกัน”
“แล้วที่ไปเที่ยวทุกวันนี่ไม่ใช่เพราะอยากเมาหรือไง?” เขาแค่นหัวเราะ ชำเลืองมองคนปากดีที่ทำเป็นพูดรักษาน้ำใจคนฟัง
“กูไปเพราะอยากสนุก ถ้าอยากเมาอะแดกที่บ้านก็ได้” แบคฮยอนเลิกคิ้ว ขยับปากกระจับสีแดงเถียง เห็นอย่างนั้นแล้วก็อยากบีบให้มันร้องหงิงจริง ๆ “วันไหนอยากหัวทิ่มเดี๋ยวกูไประรานมึงถึงบ้านเลย”
“ทำไมต้องบ้านกู”
“เอ้า ก็บ้านมึงรวยอะ มีเตียงกว้าง ๆ ผ้านวมหอม ๆ ห้องน้ำที่สามารถหลับในนั้นได้ กับพรมขนสัตว์ที่เอาหน้าถาก ๆ แล้วรู้สึกเหมือนไม่เคยผ่านตีนใครมาก่อน กูรู้ ไอ้ป๋ายเล่าให้ฟังหมดแล้ว”
แต่ไหนแต่ไร โอเซฮุนไม่ชอบคนพูดจาเพ้อเจ้อเลอะเทอะไร้แก่นสาร แต่พอเป็นบยอนแบคฮยอน เขากลับอยากฟังนาน ๆ เสียอย่างนั้น ในวินาทีนี้จะยังไงก็ได้ เพราะมันคงดีกว่าการเห็นอีกฝ่ายนั่งเงียบแล้วเก็บความรู้สึกไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉย
“จะมาตอนไหนก็บอกก่อนแล้วกัน”
“ทำไม ตารางงานยุ่งเหรอคนฮอต?” คนตัวเล็กชำเลืองมองคนข้าง ๆ ที่เท้ามือไว้ข้างหลังพร้อมเอนตัวเล็กน้อย เขาไม่ค่อยเห็นเซฮุนยิ้มนัก อาจเป็นเพราะมันแทบไม่เคยเกิดขึ้นกับเขา จึงรู้สึกแปลกอยู่ไม่น้อย
คนตัวผอมหันมาสบตากันในช่วงเวลาที่มีเพียงสายลมและความว่างเปล่าเท่านั้นที่รายล้อมอยู่โดยรอบ แบคฮยอนตอนนี้เวลาโลกอาจจะเดินช้า รอยยิ้มบนใบหน้าโอเซฮุนถึงยังไม่จางหายไป
“จะได้เตรียมไว้ ว่าต้องเอาอะไรล้มวัวตัวเตี้ย ๆ อย่างมึงดี” แบคฮยอนเซไปด้านข้างเพราะถูกผลักหัว เขาถอนหายใจฮึดฮัด พลางมองเจ้าของรอยยิ้มที่ยังคงมองมาทางนี้
“ปากดี เดี๋ยวเจอกูจะมอมแล้วจะได้คลานเข้าห้องน้ำหยั่งหมา”
เซฮุนไม่ได้ตอบโต้ แม้ว่าจะถูกอีกฝ่ายชกแขนราวกับอยากเอาคืน ชายหนุ่มทอดสายตาไปยังแม่น้ำเบื้องหน้า ฟังเสียงคนตัวเล็กที่กำลังคุยอวดว่าเลือดวิศวะคอแข็งแค่ไหน ชายหนุ่มยิ้มอย่างภาคภูมิใจในตัวเองอย่างเก็บไม่มิด ว่าอย่างน้อยเขาก็ทำให้แบคฮยอนผ่อนคลายได้
ในช่วงเวลาที่สองพี่น้องกำลังทุกข์ใจ โอเซฮุนก็อยากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น เขาหวังแค่นั้น
ไม่ได้คาดหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้น... แต่ขอแค่ไม่แย่ลงไปกว่าเดิมก็พอแล้ว
ป๋ายเซียนนั่งอยู่ใต้ตึกคณะ ท่ามกลางเพื่อนมากมายที่กำลังวุ่นวายกับงานกีฬาเฟรชชี่ซึ่งใกล้เข้ามาถึงเต็มที เขายังคงล่องลอยราวกับคนสติไม่อยู่กับตัว และไม่สามารถห้ามความรู้สึกแล้วพยายามเข้มแข็งเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้
เรื่องราวจากปากจงแดยังคงวนเวียนอยู่ในหัว แม้จะเป็นความบังเอิญเพราะเพื่อนอยากรู้ว่าแบคฮยอนหายไปไหนหลังจากคุยกันวันนั้น แต่เชื่อเถอะว่ามันทำให้ป๋ายเซียนรู้สึกผิดกับชานยอลยิ่งกว่าเดิมได้อีกเป็นล้านเท่า กับความจริงที่ได้รู้ว่าอึนจีแต่งเติมเรื่องลงไปเพื่อให้ผู้ชายคนนั้นดูเลวร้ายเพราะรู้สึกเสียฟอร์มที่ถูกบอกเลิก
อึนจีอาจจะตั้งใจ หรืออาจจะไม่ตั้งใจ เรื่องนี้มันเป็นความจริงอย่างหนึ่งที่มนุษย์หลายคนปฏิเสธไม่ได้เลยว่าก็เป็นอย่างนั้น กับการแต่งเติมเรื่องราวเพื่อให้ตัวเองเป็นฝ่ายถูก และทำให้อีกคนดูแย่เพียงเพราะต้องการให้ตนเองได้รับความเห็นใจ
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตที่ป๋ายเซียนต้องชี้หน้าต่อว่าอึนจี เพราะมันไม่ได้บอกให้เขาไปแก้แค้นให้ หรือช่วยหาวิธีเอาคืนอย่างสาสม อึนจีก็แค่เล่าเพราะอยากให้เพื่อนเข้าข้าง และที่ทุกอย่างพังลงจนไม่เหลือชิ้นดี ก็เป็นเพราะเขาและพี่ชายฝาแฝดที่ยื่นมือเข้าไปยุ่งเองทั้งนั้น
หลายวันมานี้แบคฮยอนก็ไม่ค่อยอยู่บ้านให้เห็น เจ้าตัวอ้างว่าอยู่มหาลัยทำป้ายงานกีฬาเฟรชชี่กับเพื่อน ตั้งแต่วันนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้คุยเรื่องชานยอลอีก อันที่จริง... ต้องพูดว่าแทบไม่เกิดบทสนทนาระหว่างเราเลยคงจะถูกกว่า อาจเป็นเพราะป๋ายเซียนเศร้าเรื่องผู้ชายคนนั้นจนดูน่ารำคาญ แบคฮยอนจึงเลือกอยู่ห่าง ๆ เพราะไม่อยากโมโหที่เห็นเขาเป็นอย่างนี้
“ไหวเปล่า”
“หะ?”
“เห็นซึม ๆ มาหลายวันแล้ว ไม่สบายเหรอวะ?” คนตัวเล็กเลิกคิ้วหลังจากได้ยินคำถามของเพื่อน เขาส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมยิ้มเจื่อน ยกสองมือขึ้นโบกปัด
“เปล่า กูแค่ง่วง ๆ อะ แหะ”
“ไม่ไหวก็กลับไปนอนได้นะมึง เดี๋ยวตรงนี้พวกกูทำต่อเอง” ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ป๋ายเซียนคงแค่นหัวเราะแล้วเอาเท้าเขี่ยคนพูดไปอย่างหมั่นไส้ ที่ปล่อยให้เขาทำอยู่คนเดียวมาตลอดแล้วเพิ่งมาช่วยเอาทีหลัง
แต่ตอนนี้เขาเพียงนั่งนิ่งราวกับชั่งใจว่าจะอยู่ต่อหรือกลับไปนอนตามที่เพื่อนบอกดี แม้จะง่วงจนอยากซุกผ้านวมหอม ๆ แต่การอยู่คนเดียวในห้องเงียบ ๆ มันก็ชวนให้รู้สึกแย่เพราะพาลคิดไปถึงเรื่องของชานยอล ซึ่งคนตัวเล็กไม่สามารถทำอะไรได้เลย
ผู้ชายคนนั้นไม่อยากเจอหน้าเขาอีกแล้ว นั่นคือความจริง
“เพื่อนให้กลับแล้วก็ลุกสิ”
เสียงปริศนาเรียกความสนใจจากเด็กสถาปัตย์ที่นั่งรายล้อมอยู่บนพื้น ป๋ายเซียนเบิกตากว้างอย่างตกใจที่เห็นว่าเจ้าของประโยคเมื่อครู่คือผู้ชายที่ชอบเย็นชากับเขา แต่ก็โผล่มาทุกครั้งเมื่อตอนลำบาก
โอเซฮุนไม่ได้แต่งตัวเวอร์ไปกว่าใคร แต่ผู้ชายคนนี้กลับดูดีได้เพียงแค่สวมเชิ้ตขาวกับกางเกงขายาวสีดำ และการเซ็ทผมขึ้นจนเห็นคิ้วเค้มและหน้าผากได้อย่างชัดเจน เขายังไม่ทันอ้าปากถามเลยด้วยซ้ำว่าลมอะไรพัดเซฮุนมาที่นี่ เพื่อน ๆ ที่อยู่รอบข้างก็ส่งเสียงแซวจนคนฟังแทบจะนั่งไม่ติดพื้น
“เฮ้ยไรวะ กุ๊กกิ๊กกับเด็กแฟชั่นอยู่เหรอ”
“คนนี้เคยเห็นบ่อย ๆ ขับแอสตันมาร์ติน รถนี่อย่างสวย”
“คบกันนานยังวะ ท่าทางจะรวยเอาเรื่องนะเนี่ย”
“ไม่ได้คบเว้ย!” ป๋ายเซียนรีบอ้าปากโต้เถียง ก่อนจะยืนอย่างทุลักทุเลเมื่อถูกคนตัวผอมดึงให้ลุกขึ้น เขาเห็นว่าเซฮุนก้มลงไปคว้ากระบอกใส่กระดาษเขียนแบบขึ้นมาสะพายโดยไม่ถามความเห็นจากเขาสักคำ “มาได้ไงอะ”
“ขับรถไปจอดหน้าตึก แล้วก็เดินมา”
“ไม่ใช่แบบนั้นดิ มึงเป็นบ้าอะไรเนี่ย” ป๋ายเซียนขมวดคิ้ว แต่สีหน้าเซฮุนก็ยังไม่ต่างไปจากทีแรก ยังคงเรียบเฉย และมองมายังเขา
“ทำอยู่คนเดียวมาตลอด พอถึงเวลาพักก็ควรพัก คิดว่าตัวเองเป็นหุ่นยนต์หรือไง” อะไรกัน ไอ้บ้านี่มาถึงก็บ่นเอา ๆ ใหญ่เลยอะ ป๋ายเซียนพยายามจะชักแขนออกแต่อีกฝ่ายกลับออกแรงดึงจนร่างของเขาเซไปปะทะอกแกร่ง จนเพื่อนที่นั่งมองอยู่ส่งเสียงแซวกันเสียงดัง
“เซฮุน!”
“คงรู้นะว่าต้องทำยังไงถ้าไม่อยากอายมากไปกว่านี้” สายตาของอีกฝ่ายมาพร้อมคำข่มขู่ ซึ่งป๋ายเซียนยังไม่รู้เลยว่าเพราะอะไรเซฮุนถึงต้องบังคับให้เขากลับไปนอนพัก
สีหน้าท่าทางแบบนี้คงไม่กล้าเรียกว่าความหวังดี และถ้าไอ้บ้านี่รำคาญจริงก็คงไม่ก้าวขามาถึงที่นี่ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับโอเซฮุนกัน?
คนตัวเล็กแทรกตัวเข้าไปในเบาะข้างคนขับ ชำเลืองมองใบหน้าเรียบเฉยของอีกคนก่อนจะคาดเข็มขัดนิรภัยแม้ว่าจะไม่เต็มใจนัก “แบคฮยอนล่ะ”
“เป็นพี่น้องกัน แต่มาถามคนนอกเนี่ยนะ”
“ก็เห็นมึงสองคนอยู่ด้วยกันบ่อย ๆ แล้วกูก็ไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้มันกำลังทำอะไรอยู่” ทันทีที่พูดจบ ภายในรถก็รู้สึกได้แค่แอร์เย็น ๆ ที่กำลังกระจายไปโดยรอบ มากกว่าคำตอบที่ควรทำให้หายคาใจ เซฮุนวางมือข้างหนึ่งลงบนพวงมาลัยแล้วเข้าเกียร์ ก่อนจะหันมามองเขา
“ก็มัวแต่เศร้า แล้วจะรู้เหรอว่าพี่ชายตัวเองเป็นยังไง”
ประโยคนี้เป็นเหมือนหอกแหลมทิ่มเข้ากลางอก ป๋ายเซียนรู้สึกเหมือนเวลาหยุดนิ่งไปทั้งที่รถกำลังเคลื่อนตัวออก ใบหน้าของพี่ชายฝาแฝดลอยเข้ามาในหัว คนที่เคยเป็นบ้าเป็นบอเหมือนไม่แคร์ใคร กลับเงียบไปหลังจากเหตุการณ์วันนั้น
เพราะรู้สึกผิดต่อชานยอล ความห่างเหินระหว่างเราสองพี่น้องจึงเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาและแบคฮยอนมักจะพูดทุกสิ่งที่คิดและรู้สึก มากกว่าการเก็บไว้ในใจเช่นตอนนี้ ซึ่งมันไม่เข้าท่าเลย
แม่ทักทายเซฮุนเหมือนเป็นเรื่องปกติเมื่อทั้งคู่กลับมาถึงบ้าน เพียงเพราะว่าผู้ชายคนนี้เคยมาที่นี่เพื่อช่วยเขาทำโมเดลในฐานะเพื่อนที่มหาลัย ป๋ายเซียนยังต้องการคำตอบว่าเพราะอะไรเซฮุนถึงพามาส่งที่บ้านและตั้งท่าว่าจะช่วยทำโมเดลต่อทั้งที่เขาไม่ได้ร้องขอเลยสักคำ แต่ยังไม่ทันอ้าปากถาม อีกฝ่ายก็เอื้อมมือมาปิดปากเขาไว้เสียก่อน
“ห้ามพูดอะไรจนกว่ามึงจะหลับครบสามชั่วโมง”
“...”
“ส่วนแบคฮยอนน่ะ” ชายหนุ่มเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ คลายมือออกจากริมฝีปากคนตัวเล็ก “มันไม่เป็นไร”
ทั้งคู่สบตากันท่ามกลางความเงียบซึ่งมาพร้อมความอึดอัด ป๋ายเซียนเกลียดตัวเองที่เป็นคนอ่อนไหวจนน้ำตามันไหลออกมาง่าย ๆ อย่างน่าโมโห คนตัวเล็กพยักหน้าแล้วนอนลง พร้อมดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงศีรษะปกปิดความอ่อนแอเพื่อไม่ให้อีกคนรู้
ถามตัวเองอยู่หลายครั้งว่าถ้าย้อนเวลาได้... บยอนป๋ายเซียนจะทำยังไงกับเรื่องนี้ ระหว่างไม่ยุ่งกับปาร์คชานยอลตั้งแต่แรก แผนเหล่านั้นจะได้ไม่เกิดขึ้น หรือเลือกที่จะเดินเข้าไปหาผู้ชายคนนั้น และเริ่มต้นกันโดยไม่มีเจตนาอื่นแฝงอยู่
“...”
มือของเซฮุนต้องเชื่อมต่อกับต่อมน้ำตาของเขาแน่ ๆ ป๋ายเซียนหลับตาแน่นขดขาเข้าหาตัว พยายามกลั้นก้อนสะอื้นเอาไว้เมื่ออีกฝ่ายค่อย ๆ ลูบหัวเขาผ่านผ้าห่มอย่างเบามือ
“ร้องเถอะ แต่ต้องสัญญากับกูก่อนว่าถ้าตื่นมาแล้วมึงต้องเข้มแข็งให้มากกว่านี้”
60%
ในบางครั้ง สถานที่ที่เราไม่ชอบ อาจจะเป็นที่ ๆ ทำให้สบายใจที่สุดในช่วงเวลาหนึ่งก็ได้
เสียงเพลงยังคงดังกระหึ่มอย่างเอาอกเอาใจวัยรุ่นที่กำลังเต้นบนฟลอร์ โดยไม่รับรู้ถึงความเย็นของแอร์ซึ่งเปิดอยู่ในองศาต่ำ ใครคนหนึ่งเคยรู้สึกได้ถึงมัน กระทั่งเขาเอาแอลกอฮอล์เข้าปากซ้ำ ๆ จนความร้อนของมันแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
ปาร์คชานยอลไม่ชอบผับ ใช่ ชายหนุ่มบอกตัวเองเสมอเวลามาเหยียบที่นี่ ซึ่งก่อนหน้านี้เขามาเพราะอยากมีสังคม และมันก็เป็นเรื่องงี่เง่าอยู่ไม่น้อย กับการที่คน ๆ หนึ่งต้องการเป็นที่ยอมรับ ถึงได้พยายามเป็นในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง
แต่เชื่อเถอะว่าวันนี้มาด้วยใจล้วน ๆ ชานยอลไม่ได้โทรชวนเพื่อนอีกสามคนมานั่งดื่มด้วยแล้วพ่นเรื่องเดิม ๆ ให้ฟัง เขาละอายใจถ้าต้องทำอย่างนั้นและผลลัพธ์มันทำให้เพื่อนต้องเป็นกังวล
ชานยอลไม่ใช่คนมีเพื่อนมากนัก และสามคนนั้นก็เป็นคนสำคัญที่เขาอยากรักษาเอาไว้นาน ๆ ถึงเราสี่คนจะไม่ค่อยพูดดีต่อกันสักเท่าไหร่ แต่ถ้าให้กุมมืออีกฝ่ายแล้วพูดว่า ‘ขอบคุณที่เป็นเพื่อนกูนะ’ มันคงน่าขนลุกและทำให้ปาร์คชานยอลรู้สึกอ่อนแอเกินไป
ต่อให้เปลี่ยนแปลงตัวเองไปมากแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนได้ยากคือเบื้องลึกความเป็นตัวเอง ปาร์คชานยอลคนเก่าเคยคิดมากยังไง วันนี้เขาก็ยังคงเป็นอย่างนั้น เรื่องความใจร้ายของสองแฝดยังคงตามหลอกหลอนทุกครั้งเมื่อสมองว่างจากการเรียน และความน้อยใจต่อโชคชะตาที่ทำให้คนอย่างเขาต้องเจอแต่เรื่องเดิม ๆ
พอรู้สึกอย่างนั้นก็ยกเหล้าขึ้นดื่ม ปาร์คชานยอลไม่ได้คอแข็งอย่างที่ใครคิด คนเหล่านั้นเห็นหน้าตาเจ้าเล่ห์ของเขาถึงฟันธงไปเองว่า ‘ปาร์คชานยอลน่ะคอทองแดง ดื่มเยอะขนาดนั้นแต่ยังขับรถควงสาวกลับไปฟันได้’
คนพวกนั้นจะไปรู้อะไร ที่ดื่มไปก็แค่โคล่าโง่ ๆ ผสมเหล้านิดหน่อย ชนิดว่าเติมทีนึงอยู่ได้เป็นชั่วโมง ที่คอแข็งจริงต้องไอ้คริส รายนั้นนั่งดื่มเรื่อย ๆ ฟังเขาพล่ามถึงทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ได้ยันเช้า
แต่วันนี้ปาร์คชานยอลดื่มจริง ไม่สิ เมื่อวาน กับวันก่อนก็ใช่ แต่ทุกวันไอ้จงอินมันยอมเสียสละเวลานอนเพื่อขับรถมาหิ้วเขากลับไปส่งบ้านได้ แต่วันนี้ไม่มี ชายหนุ่มรับปากกับเพื่อนทั้งสามแล้วว่าจะไม่ออกมาเมาคนเดียวอีก หลังจากไอ้จงอินแฉให้อีกสองคนฟังว่า ไอ้หน้าหล่อแต่โง่เกือบต่อยกับคนในผับเพราะเผลอเดินเหยียบตีน แต่เสือกโทษว่าเป็นเพราะแรงโน้มถ่วงของโลก
ชานยอลจำได้ลาง ๆ ว่านาทีนั้นได้สวมวิญญาณคนเก่ง ชี้หน้าหาเรื่องอีกฝ่าย แต่จุดประสงค์นั้นกลับเป็นการตะโกนบอกตัวเองว่าควรเข้มแข็งให้ได้อย่างนี้ มวยที่เรียนมาก็เก่งแค่ตัว แต่ใจก็ยังเป็นไอ้ปอดแหก ไม่กล้าชกหน้าคนอื่นจนกว่าจะถึงจุดขีดสุดอยู่ดี
ตอนนั้นไอ้จงอินเคลียร์ให้อยู่กี่นาทีเขาเองก็จำไม่ได้ แต่ตื่นมาโดยไม่มีรอยแผลตามใบหน้าก็ถือว่าเพื่อนเขาเจ๋งเอาเรื่อง
ชานยอลมองแก้วบรั่นดีในมือ มันยี่ห้อห่าเหวอะไรก็ไม่รู้ บาร์เทนเดอร์เป็นคนจัดแจงให้ทั้งหมดหลังจากได้ยินลูกค้าบอกว่าเอาแบบล้มช้างไว ๆ ราคาเท่าไหร่ก็ว่ามา
ตอนนี้เขาอยากลุกไปทำเรื่องที่ปาร์คชานยอลคนเก่าไม่ถนัดแล้ว ใช่ เขาต้องลุกไปเต้นสักหน่อย
ขาทั้งสองข้างกำลังพาตัวเองไปทำในสิ่งที่ย้อนแย้งกับความรู้สึก ชายหนุ่มเซไปหยุดอยู่กลางฟลอร์แล้วเต้นกับผู้หญิงสามคนที่มองเขามาสักพักแล้ว เสียงหัวเราะคิกคักและสายตาที่มองมาทำให้คนอ่อนแอรู้สึกอุ่นใจ ซึ่งแน่นอนว่ามันย่อมดีกว่าการถูกมองเหยียดเป็นไหน ๆ
เลิกคิดเรื่องแฝดนั่นสักที เขาควรกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมแล้วระวังให้มากกว่านี้
ระวังให้ดี แล้วอย่าปล่อยให้ใครที่ไหนเข้ามาทำร้ายได้อีก
“เฮ้ย มึงยุ่งอะไรกับแฟนกูวะ?”
เสียงทุ้มต่ำมาพร้อมแรงดึงให้หันไปเผชิญหน้ากัน ชายหนุ่มที่กำลังเมาได้ที่แทบเสียหลักแต่โชคดีที่ได้แผ่นหลังของคนอื่นช่วยยั้งไว้ ชานยอลส่ายศีรษะ พยายามเพ่งมองว่าเจ้าของคำถามกำลังพูดถึงอะไรและหมายถึงเขาหรือไม่
โอ้... ให้ตาย นั่นมันไอ้หัวหยวกที่เกือบฟาดหน้ากันเมื่อวานนี่หว่า
“เหอะ นึกว่าใคร ที่แท้ก็มึงนี่เอง”
“ดึกสวัสดิ์” ชานยอลยกมือขึ้นยิ้มกวนประสาทใส่ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ราว ๆ ห้าคน โดยมีผู้หญิงที่เคยเต้นด้วยกันเมื่อครู่ยืนอยู่ข้างหน้า อ่าใช่ มือใหญ่ ๆ ของไอ้พวกนั้นก็กอดไหล่เธอไว้ด้วย
ปิ๊งป่อง!
“แม่งกวนตีนว่ะ จัดเลยไหม?”
“ไม่เอาน่า เราก็แค่เต้นด้วยกันเฉย ๆ เอง” หญิงสาวคนหนึ่งพยายามปราม แต่ดูเหมือนว่าคนพวกนั้นจะไม่อยากฟังสักเท่าไหร่
“ใช่ แล้วก็บอกไปด้วยว่าพวกเธอเป็นฝ่ายเริ่ม”
“อะไรนะ?” หญิงสาวขมวดคิ้วกับประโยคเมื่อครู่ที่หลุดมาจากปากชายหนุ่มหน้าหล่อ “ฉันเปล่า ไม่เชื่อถามสองคนนี้ได้เลย นายเป็นคนเดินเข้ามาหาเราเอง”
“ใช่”
อ่า... ยัยผู้หญิงพวกนี้นี่จริง ๆ เลย จะบอกว่าที่มองหยาดเยิ้มเกือบครึ่งชั่วโมงนั่นคือตาเขหรือไง กลัวผัวแบบนี้ไม่น่าอ่อยพี่เลยให้ตาย
“กูเห็นกับตาว่ามึงเดินมายุ่งกับแฟนกูเอง ยังจะโทษผู้หญิงอีกเหรอวะ?” ชายร่างใหญ่เข้ามากำคอเสื้อเชิ้ตดำอีกฝ่าย สบตากันในระยะใกล้เพื่อให้รู้ว่ากำลังหัวเสียแค่ไหน แต่คนที่เข้ามายุ่งกับแฟนสาวของเขาก็ยังคงหน้าระรื่น
“งั้นมึงก็ต้องเห็นว่าแฟนมึงมองกูอยู่นานมาก... นานชนิดว่าถ้าท้องได้กูคงมีลูกแฝดไป – ไม่สิ แฝดเหี้ยไรล่ะ ไม่มีแฝดอะไรทั้งนั้น” ทุกคนต่างขมวดคิ้วมองไอ้หน้าหล่อสติไม่ดีที่กำลังเถียงกับตัวเอง
“พล่ามเชี่ยไร”
“เปล่า กูไม่ได้พูดอะไรถึงแฝดเลยสักคำ สาบานได้” ยิ่งฟังก็ยิ่งงง กลุ่มชายหนุ่มรวมถึงหญิงสาวทั้งสามต่างขมวดคิ้ว ก่อนจะหันไปมองด้านข้าง เมื่อรู้สึกได้ถึงการมาใหม่ของใครคนหนึ่ง “เชี่ย!”
ปาร์คชานยอลไม่เคยเจอผี แต่คนที่มายืนจังก้าอยู่ข้าง ๆ กลับให้ความรู้สึกมากกว่านั้น เหล้าที่เคยทำให้เมาจนแทบทรงตัวไม่อยู่เหมือนจะละเหยไปกับอากาศอย่างปาฏิหาริย์ ชายหนุ่มแทบตาสว่างเพียงเพราะสบตากับคนตัวเล็ก
“แกว่งปากหาตีนจริงมึง”
โอเค กูรู้เลยว่าใคร
“เพื่อนกันหรอวะ”
“ไม่ใช่”
ชานยอลแค่นหัวเราะกับคำตอบของบยอนแบคฮยอน ถ้าบอกว่ามาเพื่อช่วยพวกนี้กระทืบเขาล่ะก็ จะยอมนอนนิ่ง ๆ ให้เหยียบเลย
“แล้วเข้ามายุ่งทำไมครับหืม?” ชายร่างใหญ่โน้มหน้าลงไปใกล้ พร้อมยิ้มขู่คนตัวเล็กไปดูเหมือนว่าจะไม่ธรรมดา ที่กล้ายื่นขาเข้ามายุ่งทั้งที่ตัวก็แค่นี้
“อ่า ที่จริงก็ไม่ได้อยากยุ่ง” แบคฮยอนล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง พยายามผ่อนคลายกับสถานการณ์ซึ่งคิดว่าเขาคงไม่น่ารอดตีนถ้าหากปากดีทั้งที่ตัวอยู่คนเดียว “แต่ปล่อยมันเถอะ”
“ปล่อยมัน?”
“อ๊า จะทำอะไรก็ทำ จะได้รีบไป เหม็นแล้ว” คนตัวเล็กขมวดคิ้วมองไอ้ตัวปัญหาที่ดูเหมือนว่าจะเมาได้ที่แล้วถึงได้พ่นคำพูดคำจาล่อตีนออกมาไม่หยุด แถมยังทำมือปัด ๆ ตรงจมูกทั้งที่คอเสื้อยังถูกฝั่งตรงข้ามกำไว้
“เห็นไหม มึงเห็นหรือเปล่า?”
“ไม่เห็นก็ตาบอดแล้ว” <- ชานยอล
“มึงหุบปากไป” <- แบคฮยอน
“วอนตีนแบบนี้กูขอสักหมัดเหอะว่ะ”
สิ้นสุดคำพูดของชายร่างใหญ่ ทุกคนก็เบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อไอ้บ้าปากดีเมื่อครู่ถูกซัดหน้าจนเซไปชนกับวัยรุ่นที่กำลังเต้นอยู่ด้านข้าง แต่เจ้าของหมัดหนัก ๆ นั่นกลับเป็นไอ้เตี้ยคนมาใหม่ที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าเกี่ยวข้องกับไอ้เปรตนี่ยังไง
“เรียบร้อย ถือว่าหายกันนะ”
หญิงสาวทั้งสามยืนทำตาปริบ ๆ รวมถึงกลุ่มชายหนุ่มร่างใหญ่ที่ทำได้แค่มองคนตัวเล็กพรูลมหายใจออกทางริมฝีปากพร้อมสะบัดมือไล่ความเจ็บ ก่อนจะเข้าไปลากคอไอ้ขี้เมาปากดีออกไปอย่างทุลักทุเล โดยไม่รอคำตอบจากพวกเขาเลยว่าตกลงหรือไม่
“แม่ง... บ้าพอกันเลยไอ้ฉิบหาย”
“ปล่อย”
“...”
“บอกให้ปล่อยไง! ฟังไม่รู้เรื่องเหรอ?!”
ชายหนุ่มเดินเซซ้ายเซขวาไปตามทางเดินเท้า โดยการควบคุมจากมือคนตัวเล็กกว่าซึ่งคว้าต้นคอของเขาไว้แน่น ภาพตอนนี้มันคงทุลักทุเลมาก ปาร์คชานยอลรู้สึกเหมือนโลกมันหมุนอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งถูกเหวี่ยงลงไปบนสนามหญ้า
คนตัวสูงซี๊ดปากกับความเจ็บปวดที่ช่วงโหนกแก้มซึ่มมันลามมาถึงปากและฟัน เขาปรือตามองใครอีกคนที่กำลังย่อตัวนั่งลงยอง ๆ แสงสว่างจากหลอดไฟด้านหลังทำให้เขาเห็นหน้าอีกฝ่ายได้ไม่ชัดนักเพราะการย้อนแสง แต่ก็พอจะเดาได้ว่าบยอนแบคฮยอนกำลังมีสีหน้ายังไงตอนมองมา
“เจ็บเหรอ”
“ไม่เลยมั้ง” เขาหายใจฟึดฟัด ยันตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมสบตากับคนตัวเล็กที่กำลังเอานิ้วถูจมูก
“เอาน่า กูถนัดขวา นี่ถือว่าเบาแล้ว” เบามะเหงกมั้ง ชานยอลมองมือซ้ายของอีกฝ่ายที่ชูขึ้นมาให้ดู และอยู่ ๆ ก็รู้สึกปวดหนึบยิ่งกว่าเดิม
“นั่นคือวิธีช่วยคนอื่นของนายหรือไง”
“เรียกว่าทำให้มึงพ้นจากดงตีนดีกว่า ไม่ขอบคุณแล้วยังชักสีหน้าใส่อีกเหรอ มึงเป็นคนประเภทไหนวะปาร์คชานยอล”
“เฮ้!” เจ้าของชื่อเลิกคิ้วคาดโทษคนตัวเล็กที่ตบหัวเขาหน้าแทบคว่ำจนได้ยินเสียงวิ้ง ๆ ก้องอยู่ในหู
“จะเดือดดาลอะไรขนาดนั้น เก่งไม่ใช่หรือไง ผ่านมาหลายวันแล้วก็ยังเห็นเมาเหมือนหมา คนจริงต้องคีพโกอิ้งตั้งแต่สองวันแรกแล้ว”
ชานยอลไม่ได้ตอบโต้ กับประโยคเมื่อครู่ที่ดูเหมือนว่ายิ่งทำให้เขาหัวเสียเข้าไปใหญ่ บยอนแบคฮยอนมาที่นี่เพื่ออยากพูดเรื่องนี้หรือไง คนที่จะลืมเรื่องโดนหลอกได้ก็คงมีแต่คนบ้าไม่ก็พวกความจำสั้นเท่านั้นแหละ
“รอนี่ อย่าเสือกหนีไปไหนล่ะ”
เขาไม่ได้หันไปพยักหน้าหรือขานตอบในลำคอ จนกระทั่งแบคฮยอนเดินไปนั่นแหละปาร์คชานยอลถึงได้ทอดสายตาไปยังแม่น้ำมืด ๆ ในสวนสาธารณะตอนกลางคืน ที่ตรงนั้นคงเหมือนความรู้สึกของเขาในตอนนี้ มืดมิด ไม่มีความสว่างจุดอยู่ในใจเลยสักนิดเดียว
ชายหนุ่มจมอยู่กับความเงียบและความมืดอยู่ราว ๆ สองนาที พอตั้งสติได้จึงนึกทวนคำพูดของคนตัวเล็กที่ว่า ‘ผ่านมาหลายวันแล้วก็ยังเห็นเมาเหมือนหมา’ และนั่นทำให้เกิดคำถามว่า บยอนแบคฮยอนรู้ได้ยังไงว่าเขาเมาทุกวัน
“จะกลั้วปากเอาเลือดออก หรือจะยกราดหัวก็ตามใจ”
ชานยอลรับขวดน้ำที่อีกฝ่ายโยนมาอย่างทุลักทุเล เขาขมวดคิ้วคาดโทษคนตัวแสบที่คิดแต่จะรุนแรงอยู่ตลอด ผิดกับป๋ายเซียนที่อ่อนโยนและน่าทะนุถนอม จนเกือบใจอ่อนกับคำขอโทษในวันนั้น
“ซื้ออะไรมา”
“เบียร์” แบคฮยอนนั่งลงข้าง ๆ พร้อมแหวกถุงพลาสติกมินิมาร์ทให้ดู ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากัน “ไม่ได้ซื้อมาให้มึงแดก”
“ย่าห์ นายจะหยาบคายกับฉันเกินไปแล้วนะบยอนแบคฮยอน”
“อยากฟังคนพูดเพราะ ๆ ก็ไปวัดดิ แต่ทำตัวล่อตีนแบบนี้อย่าเสือกไปไหนเลย เดี๋ยวโดนกระทืบเปล่า ๆ เอ้าแดกเข้าไป” ชานยอลหลับตาลง พยายามหายใจเข้าลึก ๆ พลางลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาเห็นว่าแบคฮยอนรับขวดน้ำไปเปิดฝาให้ พร้อมเลิกคิ้วขยับปากถามแบบไม่มีเสียงว่า 'คุณหนูอยากใส่หลอดไหม' และสุดท้ายก็ใส่ลงไปทั้งที่เขาไม่ได้ตอบ
ใจคอจะกัดตลอดเลยหรือไง เกินไปแล้วนะ
ไม่มีใครหาเรื่องเถียงอีกชานยอลกลั้วปากแล้วบ้วนน้ำปนเลือดออก ก่อนจะลูบช่วงแก้มที่ยังปวดชาเพราะหมัดเล็ก ๆ นั่น
ทั้งคู่ทิ้งช่วงให้ความเงียบทำงานอยู่นาน จนเกิดคำถามว่าเราสองคนควรนั่งอยู่ตรงนี้ด้วยกันจริง ๆ เหรอ?
“นายรู้ได้ไงว่าฉันเมาทุกวัน แอบสะกดรอยตามเหรอ”
“คำถามมึงยังคงความหลงตัวเองไม่ตกหล่นเลยนะ แต่ก็นั่นแหละ”
แบคฮยอนยกเบียร์ขนาดเหมาะมือขึ้นดื่ม ก่อนจะชะงักเพราะรู้สึกได้ว่ากำลังถูกมองอยู่ พอหันไปก็พบว่าตอนนี้ไอ้ขี้เมากำลังคาดหวังคำตอบที่ชัดเจนกว่านี้ และแน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนชอบพูดให้มันมากความนัก
“ใช่ กูตามมึงไป”
“เพื่ออะไร”
“แค่อยากรู้ว่าเป็นอยู่ยังไง จะเป็นจะตายจริง ๆ หรือว่ามาเกี้ยวหญิงควงกลับบ้าน”
“ในสายตานายฉันคงเป็นอย่างหลังมาตลอดสินะ พวกมองคนแค่ภายนอก” ชานยอลแค่นหัวเราะ ก่อนจะหน้าทิ่มอีกครั้งเพราะถูกตบหัว “โอ๊ย!!!”
“ก็ชอบทำให้คนเข้าใจแบบนั้น แล้วยังเสือกคาดหวังให้ถูกมองว่าเป็นคนดีอีกเหรอวะ เดินเข้าผับ แดกเหล้า เต้นสีกับผู้หญิงนี่นักบุญมากมั้ง” แบคฮยอนพูดเสียงลอดไรฟัน ขณะที่คนถูกตบจนหัววิ้งกำลังหัวเสียอย่างหนัก
“มันก็ต้องมีสักคนนั่นแหละที่ชอบฉันจริง ๆ”
“เออ แล้วที่ผับอะ มันใช่เหรอ” คนตัวเล็กเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “ทำตัวเป็นเพล์บอยแต่อยากได้รักแท้ ถ้ามึงไม่บ้า ก็ต้องเป็นพวกอ่านการ์ตูนตาหวานเยอะแน่ ๆ”
“ใช่ ฉันมันบ้า” ชานยอลแค่นหัวเราะอีกครั้ง “เอาเลยสิ พวกนายชนะแล้วนี่ อยากหัวเราะดังแค่ไหนก็ตาม – โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!”
เขาถูกตบหัวอีกแล้ว!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ชานยอลอยู่ในท่าก้มหน้าปากแทบจูบผืนหญ้า หายใจฮึดฮัดกับโทสะ จนดึงหญ้าติดมือมาเป็นกำ แล้วเขวี้ยงใส่คนตัวเล็กอย่างหมาขี้แพ้ไร้ทางสู้
แบคฮยอนขมวดคิ้วมองอย่างสมเพชในท่ายกขวดเบียร์ค้างไว้ที่ปาก ถ้าปาร์คชานยอลเป็นยอดมนุษย์ อีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าคงแปลงร่างแล้วเข้ามาฉีกเขาเป็นสองส่วนแน่ ๆ แต่โชคดีที่ไอ้บ้านี่เป็นแค่มักเกิ้ล จึงได้แค่นั่งทำหน้าเหวี่ยงแต่ทำอะไรไม่ได้
“ผู้ชายเขาไม่โกรธกันนานหรอก แบบนั้นเรียกตุ๊ด” แบคฮยอนคว้าเบียร์มาสองขวด ชานยอลเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายใช้ฟันเปิดฝา จนเผลอหลุดพูดออกไป
“ทำอะไร เดี๋ยวก็ฟันหักหรอก”
คนตัวเล็กชะงักมือ เงยหน้าขึ้นสบตากับอีกคนซึ่งดูเหมือนจะไม่รู้ตัวว่าเผลอแสดงความเป็นห่วงกับคนที่ทำให้โมโห ไอ้หมอนี่เติบโตมาในโลกที่มีแต่มนุษย์ต่างดาวหรือไงวะ ถึงไม่รู้ว่าการงัดฝาขวดออกมันไม่จำเป็นต้องพึ่งที่เปิด
“แล้วอันนี้ก็เรียกเสือก”
“ฉันก็ไม่ได้อยากยุ่งนักหรอก ถ้าฟันหักก็แค่ขี้เหร่ลง”
“กูเอาฟันไปเฉาะหน้ามึงยัง เสือกจริง” แบคฮยอนขยับปากบ่น เดี๋ยวปั๊ดตบคว่ำอีกรอบ ยังมีหน้ามามองเหยียดอีก
“เฉาะมาเฉาะกลับอะ คิดว่ามีฟันหน้าคนเดียวหรือไง” ชานยอลรู้ตัวว่ากำลังพูดอะไร และเขาเชื่อว่าถ้าร่างกายไม่มีแอลกอฮอล์สะสมอยู่ คงได้แต่เงียบ ไม่ตอบโต้อีกฝ่ายอย่างฉะฉานปนไร้สาระแบบนี้
“ปัญญาอ่อน” แบคฮยอนทำหน้าเอือม ทำท่าง้างหมัดขึ้นมาและอีกฝ่ายก็ทำตามเช่นกัน ยึกยักเหมือนจะซัดหน้ากึ่งตบหัว แต่คราวนี้คนตัวสูงตั้งหลักได้ จึงยกมือบังเอาไว้
ชานยอลหลุบตามองขวดเบียร์ที่อีกคนยื่นมาให้ เขายังคงหัวเสียเพราะคำพูดและการแสดงออกของอีกฝ่าย ที่ไม่ได้ช่วยปลอบใจหรืออะไรอธิบายให้เขามองสองพี่น้องดีขึ้นสักนิด เราเอาแต่ด่ากันกลับไปมาเหมือนเด็ก ๆ แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงยังนั่งอยู่ตรงนี้
ทั้งคู่ดื่มกันเงียบ ๆ โดยไร้บทสนทนา ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายต้องการให้มันเป็นแบบไหนถึงได้นั่งอยู่ตรงนี้โดยไม่แยกย้ายกลับบ้านไปนอน นอกจากความจริงที่ถูกหลอกแล้ว ปาร์คชานยอลก็ไม่รู้อะไรอีกเลย
“พี่ยุนโฮเห็นผลงานมึงที่โชว์ในงานนิทรรศการประจำคณะ พี่เขาบอกว่ามึงเก่งมาก นี่เล่าให้ฟังเฉย ๆ นะ กูรู้ว่าในหัวมึงกำลังพูดว่า ‘แล้วไง?’”
ให้ตายเถอะ เป็นเพราะก่อนหน้านี้เขาเป็นตัวของตัวเองมากเกินไปใช่ไหม แบคฮยอนถึงได้มองออกง่ายอย่างทะลุปรุโปร่งอย่างนี้
“มึงอาจจะรู้แต่ไม่อยากยอมรับ แต่ลึก ๆ ในใจมึงน่าจะรู้อยู่เต็มอกว่าทำไมพี่ยุนโฮถึงทำแบบนั้น” คนตัวเล็กเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเข้มแข็งเหมือนกัน มึงอาจจะทนอยู่ในสังคมนั้นมาได้ตั้งหลายปี แต่จะเอาเรื่องตัวเองมาวัดว่าพี่ยุนโฮควรอดทนได้เหมือนมึงก็ไม่ใช่”
“พยายามพูดดี ทั้งที่ตัวเองกับน้องชายก็ทำร้ายฉันน่ะนะ ไม่คิดว่ามันตลกหรือไง” ชานยอลยังคงทอดสายตาไปยังแม่น้ำเบื้องหน้า แล้วยกเบียร์ขึ้นดื่ม
“โอเค กูผิดเองแหละที่หมั่นหน้ามึงเลยชวนไอ้ป๋ายเล่นด้วย ตอนนี้กูได้บทเรียนแล้วว่าไม่ควรเอาความสนุกไปเล่นกับความรู้สึกคนอื่น กูรู้สึกผิดมาก แต่ปากกูเสือกพูดอะไรดี ๆ ไม่เป็น แล้วตอนนี้ก็ไม่ใช่แค่มึงที่เสียความรู้สึก ไอ้ป๋ายก็เหมือนกัน”
“...”
“โคตรแย่เลยที่มันดันชอบมึงขึ้นมา ตอนที่เรากำลังรวมหัวกันแกล้งมึงไปได้แค่ไม่เท่าไหร่”
“...”
“กูหงุดหงิดมาก ๆ ที่ต้องคอยดุมันที่ชอบทำตัวออกนอกแผน หงุดหงิดที่มันไม่อยากแกล้งมึงแล้ว” แบคฮยอนหันไปสบตากับชายหนุ่มที่กำลังตั้งใจฟังเขาโดยไม่รู้ตัว เขาไม่ชอบตัวเองตอนนี้นัก แต่ถ้าการงัดปากพูดเพื่อให้ทุกอย่างดีขึ้น เขาก็จะทำ “ทุกคนเคยทำผิด แต่เลิกทำตัวเหมือนว่าถูกทำร้ายอยู่ฝ่ายเดียวสักทีเถอะ มึงต้องเข้มแข็งดิวะ”
“...”
“มึงพยายามมาไกลกว่าที่เคยเป็นแล้ว มึงสามารถกลับไปเป็นตัวเองได้ กลับไปเป็นคนเดิมโดยไม่ต้องผลักใครออกไปจากชีวิต”
“...”
“ไอ้ป๋ายมันชอบมึงมากแค่ไหน คนที่จะรู้สึกได้ชัดที่สุดก็คือมึงไม่ใช่เหรอวะ”
“...”
“คนอื่นอาจจะมองว่ามึงประหลาดที่ชอบเรื่องมนุษย์ต่างดาว แต่จะมีสักกี่คนที่ยอมรับสิ่งที่มึงเป็นได้โดยไม่มีข้อแม้”
“...”
“ถ้ามึงหาคนนั้นเจอแล้ว ก็คิดดูว่าจะปล่อยไปหรือรักษาไว้ มีสมองก็ทบทวนดู ไม่ใช่เอาไว้คิดแต่เรื่องลามก” แบคฮยอนผลักหัวคนตัวโตที่ทำตัวเป็นหมาหงอยขึ้นมา พูดแค่นี้เสือกทำตัวน่าสงสารอีกแล้ว เขาจะด่าลงไหม
“ฉันจะเชื่อได้ยังไงว่าป๋ายเซียนชอบฉันจริง ๆ บางทีนายสองคนอาจจะรวมหัวกัน แล้วกลับมาหลอกฉันอีกครั้งก็ได้”
“กูไม่ว่างขนาดนั้น ที่ผ่านมากูสนุกพอแล้ว กูจะไปเล่นกับคนอื่น”
“กับใคร โอเซฮุนหรือไง?” ชานยอลจ้องหน้าอีกฝ่ายระหว่างรอคำตอบ ซึ่งดูเหมือนว่าแบคฮยอนจะประหลาดใจอยู่ไม่น้อยกับการลั่นชื่อบุคคลที่สี่ขึ้นมา
“เกี่ยวไรกับมัน กูไม่เคยคิดจะแกล้งไอ้เซฮุน”
“แต่ชอบสินะ นายสองคนคบกันอยู่หรือไง?”
“เสือก”
“ฉันถามนายดี ๆ นะแบคฮยอน” ชายหนุ่มกดเสียงลงต่ำ แต่อีกฝ่ายกลับปั้นหน้ากวนพร้อมยกไหล่ขึ้นอย่างไม่ยี่หระ
“กูไม่ได้แกล้งมันแล้วกัน เลิกมองโลกในแง่ร้ายได้แล้ว อวกาศของมึงน่ากลัวกว่าอีก”
“กลัวอะไร นายไม่เคยสนใจมันด้วยซ้ำ”
“ไม่สนเชี่ยไรล่ะ ตอนไปดูหนังด้วยกันกูยังโฟ่กับมึงเรื่องการทดลองมนุษย์ต่างดาวอยู่เลย แม่งเอ๊ย ตอนนั้นกูเพลินเฉย ๆ หรอก ไม่งั้นจะเอามาล้อหนักกว่านี้”
เห็นไหม คำพูดคำจาบยอนแบคฮยอนน่ะน่าดีดปากแค่ไหน ชานยอลมองปากกระจับที่กำลังเบ้ลง พูดจากวนประสาทเขาอย่างไม่สิ้นสุดเพื่อปั่นหัวให้เขาโมโห
“แต่นายบอกว่าหนังเรื่องนั้นสนุกไม่ใช่หรือไง”
เขาน่าจะรู้ว่าคนตัวเล็กจะตอบแบบไหน แต่ก็ยังเลือกถามออกไปอย่างนี้ ทั้งคู่สบตากันในช่วงวินาสั้น ๆ ที่ชายหนุ่มกำลังคาดหวังคำตอบ และสีหน้าเรียบเฉยของแบคฮยอนนั้นไม่ใช่การเริ่มต้นที่ดีนัก
“ถ้าไม่สนุก จะคุยกับมึงรู้เรื่องเหรอ ทำไมชอบถามอะไรเด๋อ ๆ วะ”
ปาร์คชานยอลกำลังถูกล้างสมอง เขาบอกตัวเองอย่างนี้ ชายหนุ่มไม่ชอบที่กำลังรู้สึกดีกับคำพูดขวานผ่าซากนั่น บยอนแบคฮยอนก็แค่พี่ชายฝาแฝดของป๋ายเซียนที่ชอบทำตัวนิสัยไม่ดี
“รู้ไว้เลยนะ ว่ากูไม่เคยเสียฟอร์มมานั่งพูดแบบนี้กับใคร” คนตัวเล็กเอนตัวลงนอนบนผืนหญ้า สายตาทอดมองไปยังท้องฟ้าสีดำซึ่งไร้กลุ่มดาว “แล้วมึงเสือกเป็นคนแรก”
“...”
มนุษย์ไม่ชอบถูกหลอก แต่บางครั้งเขากลับใช้มันเพื่อความสนุกและความสะใจ และกว่าจะรู้สึกได้ว่ามันไม่ถูกต้องก็ตอนที่ทำผิดพลาดไปแล้ว
ท่ามกลางความเงียบและความขมของเบียร์ราคาถูก ทั้งคู่กำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเองเงียบ ๆ โดยไม่ได้พูดอะไรอีก ชานยอลยังคงถามตนเองอีกครั้งว่าเราสองคนควรนั่งคุยกันอยู่ตรงนี้จริง ๆ เหรอ อคติในใจของเขามันจะลดลงไหม หลังได้รับรู้เรื่องราวจากปากอีกฝ่ายไปมากมาย
ชายหนุ่มเอนตัวลงนอนบนผืนหญ้าข้าง ๆ คนปากร้าย ทอดมองไปยังท้องฟ้าว่างเปล่าแล้วให้ความเย็นของอากาศช่วยทุเลาความร้อนรนในใจออกไป ใบหน้าของป๋ายเซียนยังลอยเข้ามาในความคิดทุกขณะ ภาพสีหน้าตอนจะร้องไห้ หรือแม้แต่ตอนปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่เพราะกลัวถูกเข้าใจผิดนั่นน่ะ
ลึก ๆ แล้ว... ชานยอลก็ไม่อยากโกรธใครเหมือนกัน
“รู้ไหมว่าถ้าสร่างเมาแล้ว ฉันก็จะกลับไปโกรธนายเหมือนเดิม”
“ช่างหัวมึงสิ ไม่ได้อยากสนใจสักหน่อย”
ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนเราสามารถใช้เวลาปรับทุกข์ไปกับคนที่ทำให้ทุกข์ได้ด้วย ทั้งคู่ยังคงหยุดสายตาอยู่กับท้องฟ้ายามค่ำคืน ซึ่งบยอนแบคฮยอนคงไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ปาร์คชานยอลกำลังยิ้มบาง ๆ กับคำตอบ ที่มันกลับทำให้ผู้ชายอ่อนแอคนนี้เริ่มเข้มแข็งขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
มันจะเป็นไรไหมนะ... ถ้าปาร์คชานยอลอยากจะลองเปิดใจอีกครั้ง?
TBC
ความคิดเห็น