คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : CHAPTER 12 :: ซวยแบบเย็นหน้านิด ๆ
CHAPTER 12
ซวยแบบเย็นหน้านิด ๆ
ภายในรถนั้นเงียบสงบ ไม่มีแม้เสียงเพลงโปรดที่เคยเปิดคลอเบา ๆ เมื่อเขาต้องใช้เวลาอยู่กับมัน
สายตาจับจ้องไปยังคนคุ้นเคยที่กำลังวิ่งตรงมายังตึกวิศวะ
หอบหายใจพลางกวาดสายตาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะจัดเผ้าผมให้เข้าที่
คนตัวเล็กในเชิ้ตขาวกางเกงขายาวยังคงน่ารักเหมือนทุกครั้งที่เจอ
รวมถึงเมื่อยี่สิบนาทีก่อนที่เห็นขึ้นรถไปกับโอเซฮุน ปาร์คชานยอลไม่จำเป็นต้องตั้งคำถามโง่
ๆ ว่าเสื้อช็อปของป๋ายเซียนหายไปไหน และทำไมผู้ชายที่เคยหยอกล้อกันอย่างมีความสุขถึงไม่ได้มาด้วยกัน
นิ้วชี้เรียวเคาะพวงมาลัยเป็นจังหวะเข็มนาฬิกา ปล่อยให้เวลาล่วงเลยผ่านไปพร้อม
ๆ ใครอีกคนที่กำลังชะโงกหน้ามองหาเขาอยู่ทุกวินาที ราว ๆ
สามครั้งที่ป๋ายเซียนก้มลงมองนาฬิกาบนหน้าจอมือถือ
ก่อนจะหันไปทางชายหนุ่มในชุดเสื้อช็อปทั้งสาม พูดคุยกันผ่าน ๆ กแล้วปิดท้ายด้วยรอยยิ้มแห้ง
ราวกับว่าเป็นการทักทายครั้งแรกทั้งที่เรียนอยู่ในคณะเดียวกัน
มีเรื่องราวมากมายที่กำลังวิ่งวนอยู่ในหัว
ชานยอลให้สายตามองภาพตรงหน้าและถามตัวเองว่า ‘อะไรคือความจริง?’
คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นยังคงเป็นป๋ายเซียนที่เขารู้จัก
คนที่ดูไม่มีพิษมีภัย และทำให้ปาร์คชานยอลเกิดความรู้สึกอยากดูแลใครสักคนอย่างจริงจังสักครั้งหลังจากไม่เคยทำมันได้
แต่ไหนแต่ไรเขาเป็นคนมั่นใจในตัวเอง และกล้าคิดกล้าแสดงออกกับสิ่งที่รู้สึก
แต่ตอนนี้ปาร์คชานยอลเพียงแค่นั่งเฉย ๆ ราวกับคนโง่
พร้อมปล่อยให้ความคิดและความจริงที่น่ากลัวไล่ต้อนอยู่กับที่แคบภายในรถ เสียงสมาร์ทโฟนเป็นสิ่งเดียวที่ดึงสติเขากลับมา
ชานยอลหยุดสายตาที่หน้าจอซึ่งกำลังฉายภาพคนตัวเล็ก เขาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจกดรับ
“ครับ”
( เราเรียนเสร็จแล้วนะ ชานยอลอยู่ไหนเหรอ? )
เสียงของป๋ายเซียนยังคงอยู่ในโทนปกติ
ไม่ตะคอกหรือแสดงอาการหัวเสียหลังจากถูกปล่อยลอยแพให้ยืนรอตรงนั้นอยู่นาน
คนตัวเล็กชะโงกหน้ามองอย่างมีความหวัง โดยไม่ระแคะระคายใจใด ๆ ว่าทำไมปาร์คชานยอลถึงปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปนานเกินกว่าที่เคย
“อ๋อ ตอนนี้”
ชายหนุ่มเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง กระแอมไอเบา ๆ
ก่อนจะปั้นหน้ายิ้มแม้ว่าคนในสายจะไม่เห็น “เราอยู่ลานจอดรถหน้าตึกป๋ายน่ะ
เพิ่งมาถึงเมื่อกี้นี้เอง”
เพียงครู่เดียวดวงตาเรียวรีที่มักจะหยีลงตอนยิ้มก็หันมาทางนี้
ชานยอลรู้ว่าคนตัวเล็กไม่มีทางเห็นว่าเขากำลังทำหน้ายังไง และกำลังรู้สึกแบบไหน
แต่เจ้าตัวก็ยิ้มกว้างพร้อมโบกมือให้ ก่อนจะวิ่งมาหา
ชายหนุ่มพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
พยายามบอกตัวเองให้ใจเย็นและไม่ควรพูดอะไรทั้งนั้นจนกว่าจะได้คำตอบว่าคนตัวเล็กที่อยู่กับโอเซฮุนเมื่อครู่นี้คืออะไรกันแน่
ถ้าหากเขาไม่ได้โทรหาป๋ายเซียนเพื่อเห็นว่าคนที่เห็นคาตากับคนที่กดรับสายไม่ใช่คนเดียวกัน
ความสงสัยเหล่านี้อาจจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และคิดไปอย่างสบายใจว่าโอเซฮุนคงขับรถมาส่งคนตัวเล็กหน้าตึก
แต่คนที่ใส่เสื้อช็อปตัวนั้น...
“เรานึกว่าชานยอลยังอยู่ตึกคณะซะอีก”
ป๋ายเซียนแทรกตัวเข้ามาในรถพร้อมรอยยิ้ม ชายหนุ่มสบตากับคนตัวเล็กระหว่างสมองย้ำบอกให้รีบแสดงความเสแสร้งออกมา
เพราะมันคงดีกว่าการปั้นหน้านิ่ง จนกระทั่งอีกฝ่ายจับผิดได้
“วันนี้ไม่ได้ใส่ช็อปมาเหรอ?” ชานยอลลูบศีรษะทุย คนถูกถามยิ้มเก้อไปครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ
“ซักน่ะ”
“...อ้อ”
ชายหนุ่มพยักหน้าช้า ๆ แล้วปล่อยให้ความเงียบทำงาน
ป๋ายเซียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยกับความรู้สึกผิดปกติซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร
จึงเอื้อมมือไปสะกิดให้อีกฝ่ายหันมามองหน้ากัน
“ชานยอลเป็นอะไรหรือเปล่า” เจ้าของชื่อทอดสายตาไปยังเบื้องหน้า ก่อนจะหันมาแค่นยิ้มอย่างหน่าย ๆ
กับเรื่องที่กำลังจะพูดถึง
“นิดหน่อยน่ะ เมื่อกลางวันทะเลาะกับเซฮุนมา”
“ไอ้บ้านั่นน่ะเหรอ มันทำไรชานยอลอะ” คนตัวเล็กขมวดคิ้ว หลังจากเอ่ยความสนิทสนมถึงบุคคลที่สามโดยไม่รู้ตัว
“มันไม่ได้เล่าให้ฟังเหรอ ว่าก่อนหน้านี้มีเรื่องกัน
พอมาวันนี้ก็...” ชานยอลขมวดคิ้ว แกล้งถอนหายใจแรง ๆ
ราวกับไม่อยากพูดถึง แสร้งปั้นหน้าจริงจังระหว่างดูท่าทีว่าคนตัวเล็กจะเผยไต๋อะไรออกมาหรือไม่
ซึ่งป๋ายเซียนก็ส่ายหน้าพรืดเป็นคำตอบ
และนั่นทำให้เขารู้สึกชาวาบอย่างบอกไม่ถูก
“เซฮุนไม่เคยเล่าอะไรให้เราฟังหรอก” หวังว่าเขาคงคิดไปเองว่าน้ำเสียงนั้นกำลังตัดพ้อ ชานยอลมองสีหน้าหงอย ๆ
ของอีกฝ่ายแล้วยิ้ม
“นึกว่าจะเล่าซะอีก
เราเห็นว่าป๋ายเซียนก็สนิทกับมันพอสมควร” ชานยอลเลื่อนมือลงไปกุมมือคนตัวเล็ก
เพื่อจับพิรุธว่ากำลังโกหกหรือไม่ และคำตอบก็คือ... ไม่
ป๋ายเซียนไม่ได้โกหก
“สนิทแบบไม่สนิท” คนตัวเล็กยิ้มเจื่อน และเลือกที่จะมองไปทางอื่นมากกว่าสบตากับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง
ๆ
“ยังไงนะ?” ชานยอลดึงความสนใจจากป๋ายเซียนกลับมาด้วยการสอดประสานเรียวนิ้ว
กระชับจนแทบไม่เหลือช่องว่างให้อากาศวิ่งผ่านพร้อมประคองสถานการณ์ด้วยรอยยิ้ม
คนตัวเล็กส่ายหน้า
ซึ่งชานยอลคิดว่าป๋ายเซียนคงไม่อยากอธิบายมากกว่าการบอกว่าไม่รู้ “ก็เหมือนจะสนิทกัน
แต่ก็ไม่ได้สนิทหรอก”
“เพื่อนฝ่ายเดียวเหรอ
ป๋ายเซียนของเราจะน่าสงสารเกินไปแล้ว”
คนตัวเล็กมองผู้ชายตลกที่อยู่ ๆ ก็เปลี่ยนเป็นคนอบอุ่นในทะเลน้ำแข็ง
ป๋ายเซียนรู้สึกแปลก ๆ เข้าไปทุกที แต่ก็หาเหตุผลไม่ได้ว่าเพราะอะไร
“เอาเป็นว่าเราไม่ค่อยได้คุยกับเซฮุนนานแล้ว
แต่ถ้าคุย เราก็ไม่เข้าข้างมันหรอก วางใจได้เลย”
คนตัวเล็กยิ้มตาหยี เอียงศีรษะให้อีกคนยีผมอย่างเอ็นดูเพื่อคลายบรรยากาศกดดัน
ซึ่งเหมือนว่าเขาจะรู้สึกเองคนเดียว
“เราไม่อยากให้มันมายุ่งกับป๋าย”
“ชานยอลวางใจได้ ยังไงเซฮุนก็ไม่ยุ่งกับเราอยู่แล้วอะ” คนตัวเล็กยืนยันอย่างไม่ลังเล และตอนนี้ชานยอลกำลังสับสนว่ามันยังไงกันแน่
“อะไรที่ทำให้มั่นใจขนาดนั้น?” คนตัวสูงยังคงไม่หยุดเก็บรายละเอียด เขาควรถามไปตรง ๆ เลยไหมว่าที่โอเซฮุนไม่ยุ่งก็เพราะมันไปกับใครอีกคนซึ่งหน้าเหมือนป๋ายเซียน
และเสื้อช็อปที่บอกว่าส่งซักก็ถูกคนหน้าเหมือนเอาไปใส่
ให้ตายเถอะ ปาร์คชานยอลควรถามออกไปตรง ๆ
เลยหรือไม่ ว่าคนตรงหน้ามีฝาแฝดหรือเปล่า?
และถ้าใช่... เขาก็มั่นใจว่ากับคนตัวเล็กที่ใส่เสื้อช็อปวันนี้
มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เราได้เจอกัน
“เราเดาเองน่ะ ทุกคนน่าจะมีเซนส์อะไรแบบนี้
ชานยอลว่าจริงไหม?”
ป๋ายเซียนเป็นคนโกหกไม่เก่งเลยสักนิดเดียว รอยยิ้มเจื่อน
ๆ ที่มาพร้อมดวงตาคู่นั้น มันลอกแลกราวกับกลัวถูกจับผิด ซึ่งถ้าอีกฝ่ายให้คำตอบที่ดีกว่านี้
ปาร์คชานยอลก็อาจยอมหยุดความสงสัยไปเฉย ๆ อย่างไร้เหตุผลก็ได้
ชานยอลถนัดการทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย
ใช่ เขาทำอย่างนี้มาตลอด
ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ ก่อนจะจูบหลังมือที่สอดประสานกันขณะที่ยังไม่ละสายตาออกห่างจากใบหน้าขาว
สีหน้าของป๋ายเซียนต่างไปจากตอนแรกที่ขึ้นมาบนรถ
แต่ก็ไม่แย่จนน้ำหนักเทไปทางชวนน่าสงสัยไปกว่าเกิม
คนโกหกไม่เก่ง
แต่ก็ไม่ยอมพูดความจริงออกมาทั้งหมดแบบนี้น่ะ...
“นั่นสิ ทุกคนมีเซนส์
แล้วเราก็เดาแม่นทุกครั้งซะด้วย”
“อะไร”
“ทำไมนิสัยไม่ดีแบบนี้อะ” พูดจบก็ผลักอกคนตัวโตกว่า แต่เซฮุนก็ยังคงยืนนิ่งแม้ว่าจะเซเล็กน้อย
ชายหนุ่มตัวผอมเลิกคิ้วมองไอ้เตี้ยเบอร์สองที่อยู่
ๆ ก็โผล่มายืนจังก้าอยู่หน้ารถซึ่งจอดอยู่หน้าคณะในเวลาเช้าตรู่เหมือนอย่างเคย อีกทั้งยังส่งสายตาเป็นเชิงขู่
กดดันให้เขาเดินลงไป ก่อนจะมาปั้นหน้ามึนใส่
“ถ้ามึงอธิบายไม่จบภายในประโยคเดียว
กูจะตบหัวคืน เอาให้แรงกว่าที่มึงผลักเมื่อกี้ด้วย”
“ก็เอาซี้ จะได้รู้กันไปเลยว่ามึงเป็นคนถ่อย
ชอบหาเรื่องคนอื่นไม่เลือกหน้า”
ชายหนุ่มหลุบตามองใบหน้าซน ๆ
ของอีกฝ่ายที่เชิดขึ้นเถียงคอเป็นเอ็น เท่าที่จำได้ เขาก็ไม่เคยไปเหยียบหางใครในรอบหลายวันนี้
ถ้าจะเหยีบบ ก็มีแต่ความรู้สึกตัวเองที่เทให้บยอนแบคฮยอนไปเต็มที่ แต่มันเสือกแกล้งตายใส่หน้าด้าน
ๆ แล้วไปเที่ยวกันได้อย่างหน้าตาเฉยตลอดทั้งวัน
“เมื่อวานกูไปกับพี่มึงแน่ ๆ
อย่ามาละคร” ถ้าไอ้เตี้ยเบอร์สองอ้าปากบอกว่า ‘โป๊ะแล้ว! เมื่อวานที่มึงสารภาพรักอะ คือกูเอง!’ จะกลายร่างเป็นเดอะฮัลค์ให้ดู
เซฮุนเอามือดันหน้าอีกฝ่ายออกให้พ้นทาง
แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่หยุดแค่นั้น ป๋ายเซียนวิ่งตามมาติด ๆ แล้วแย่งกล่องอุปกรณ์ไปกอดไว้แนบอก
เบะปากทำตาโตกึ่งหาเรื่องและคิดว่ามันต้องสมหวังแน่ ๆ
ถ้าหากทำของรักของหวงของเขาตกพื้นจนเสียหาย
“อยากตายเหรอ เอาคืนมา”
“ไม่”
“กูมีเรียนแปดโมงครึ่ง
แล้วตอนนี้ก็แปดโมงสิบห้า ดูเวลาเป็นใช่ไหม?” ชายหนุ่มชี้นาฬิกาข้อมือให้ดู
ซึ่งป๋ายเซียนไม่รู้หรอกว่าราคามันจะแหกแค่ไหน
“มึงก็เป็นอย่างนี้ไง ชอบขู่คนอื่น”
“มันใช่เวลาที่มึงจะมาพูดถึงข้อเสียที่กูไม่ได้เป็นเหรอวะ
เอาคืนมานี่” เซฮุนพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายโดยไม่ให้ได้ตั้งตัว
ป๋ายเซียนจึงยืนห่อไหล่ หลับตาปี๋กอดกล่องอุปกรณ์ไว้แน่น
ชายหนุ่มหลุบตามองไอ้เตี้ยเบอร์สองที่อวดเก่งได้ไม่สุดทาง
อีกทั้งยังช้อนตามองปริบ ๆ เหมือนจะบอกว่า ‘แน่จริงก็ต่อยเลยฉิ
แต่กูร้องไห้แน่ ตรงนี้ด้วย คนเริ่มเยอะแล้ว มึงได้อับอายแน่เซฮุน ฮ่า ฮ่า ฮ่า’
หึ... อยากเขกกะโหลกจริง ๆ
ดื้อดีนัก -_-
“ห้านาที
เล่ามาให้หมดว่าอะไรที่ทำให้มึงคลานมาหากูถึงหน้าตึกแฟชั่นได้”
“หูย กูไม่ใช่หมานะ”
“มึงเป็นหมา”
ป๋ายเซียนบึนปาก ตัวโยกไปข้างหน้าจนเกือบล้มเพราะถูกอีกฝ่ายแย่งกระเป๋าอุปกรณ์ไป
คนตัวเล็กปัดเชิ้ตขาวของตนเองอยู่สองสามที
ก่อนจะมองสีหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความรำคาญของเซฮุนที่มีให้เขาแบบนี้อยู่เสมอ
“กูรู้ว่ามึงไม่ชอบชานยอล
แต่ต่างคนต่างอยู่ไม่ได้เหรอ”
คำถามของคนตัวเล็กทำเอาคิ้วคนฟังกระตุก แววตาของโอเซฮุนไม่ได้มองมาอย่างคาดโทษ
หรือสวนกลับมาด้วยคำพูดแสบ ๆ คัน ๆ อย่างที่ใจคิด
ตอนนี้คล้ายว่าคนตัวผอมกำลังไม่เข้าใจ ซึ่งอาจเป็นเพราะว่าเขายังไม่พูดเข้าประเด็นก็ได้
ดังนั้น... “พูดบ้าไร”
“งั้นตรง ๆ เลยแล้วกัน มึงเลิกหาเรื่องชานยอลได้แล้ว
ต่างคนต่างอยู่ไป ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกัน กูเข้าใจว่าเสือมันอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้อะ
แต่กูก็ไม่อยากให้ชานยอลอารมณ์-- โอ๊ะ!”
ป๋ายเซียนยกมือขึ้นลูบหน้าผากป้อย ๆ
กับความแสบร้อนเพราะถูกอีกคนดีดเข้ามาซะเต็มแรง สายตาของเซฮุนตอนนี้กำลังไม่พอใจ
ใช่ ไม่พอใจมาก ๆ ด้วย แต่มันยังเก็บอาการไว้ได้ หูย
ถ้าพีคกว่านี้อีกนิดแม่งแปลงร่างมาฆ่าเขาแน่ ๆ
“ถ้ายังเลอะเทอะอีกแค่ประโยคเดียว
กูจะตบหัวมึงตามจำนวนคำ”
“อะไรอะ มันเป็นเรื่องที่มึงควรปรับปรุงตัวเองไหม
ไม่ใช่เอะอะทำร้ายร่างกายคนที่หวังดีด้วย” ป๋ายเซียนสุดจะทน จึงฟาดแขนไอ้คนเย็นชาไปทีนึงแต่ก็เจ็บเอง
ทำไมแขนมันแน่นขนาดนี้เนี่ย เล่นกีฬาเหรอ หรือฟิตเนส
“หนึ่ง กูอาจจะเคยมีปากเสียงกับมัน
แต่นั่นก็เป็นเพราะปาร์คชานยอลเริ่มก่อน”
“อ่อย!
(ปล่อย!)” คนตัวเล็กดิ้นพล่าน
เมื่ออีกฝ่ายบีบกรามเขาเอาไว้ด้วยมือเดียว ป๋ายเซียนมองนิ้วชี้เรียวยาวที่ชูขึ้นมาตรงระดับจมูก
ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังใบหน้าหล่อที่อยู่ห่างกันแค่คืบเดียว
“สอง กูกับมันลาขาดกันตั้งแต่จบงานคู่
และถ้ามันเพิ่งระลึกชาติได้ตอนนี้ว่าควรขึ้น ก็บอกมันกัดลิ้นตัวเองตายไปซะ
เพราะกูคงไม่มีเวลาไปเถียงเรื่องไร้สาระกับมันเหมือนพวกรุ่นพี่ปีสอง”
“ปีสองไหนอะ?” คนตัวเล็กทำตาโต จับข้อมือแกร่งไว้พร้อมฉายแววสงสัย เซฮุนยังไม่ยอมปล่อยมือออกขณะมองใบหน้าดื้อ
ๆ ที่อยากบีบให้เป็นก้อนเพราะความมันเขี้ยว
“ทีงี้มันไม่เล่าให้มึงฟังสิ
ให้ตาย... ผู้ชายของมึงนี่โคตรอินซีเดียส วิญญาณยังตามติดกูชัด ๆ” ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ ขนาดไม่ค่อยมองหน้ากันยังเฮี้ยนขนาดนี้
“มึงก็เล่าให้กูฟังสิ... นะเซฮุนนะ” ป๋ายเซียนเอารอยยิ้มเข้าสู้ ซึ่งมันไม่เคยใช้ได้ผลกับโอเซฮุนเลยสักครั้ง
“กูไม่เล่า”
ชายหนุ่มแค่นหัวเราะแล้วปล่อยมือออก มองรอยแดงจาง ๆ บนแก้มขาวอย่างรู้สึกผิดลึก ๆ ที่มันเกิดขึ้นเพราะเขาเผลอออกแรงบีบมากเกินไป
ดวงตาคู่นั้นมองมาอย่างคาดหวังว่าจะได้คำตอบดี ๆ
จากผู้ชายคนนี้ ซึ่งเขาคงไม่มีให้ ขึ้นไปเรียนวิชาเดียวกันไม่เดินไปกระชากคอเสื้อมันมาถามว่าไปตอแหลอะไรให้ไอ้เตี้ยเบอร์สองฟังก็ดีแค่ไหนแล้ว
“ถ้าปาร์คชานยอลแคร์ความรู้สึกมึงจริง
ๆ มันจะพูดทุกอย่างเอง ไม่ใช่ให้มึงวิ่งไล่หาคำตอบกับคนอื่นอย่างนี้”
ทั้งคู่สบตากัน และเป็นอีกครั้งที่บยอนป๋ายเซียนทำให้รู้สึกผิดได้ด้วยสีหน้าหงอย
ๆ เหมือนคนต้องการความเห็นใจ ซึ่งโอเซฮุนไม่อยากมีให้แล้ว
เขาอยากจะชัดเจนกับบยอนแบคฮยอน
แล้วเห็นอีกฝ่ายเป็นอะไรก็ได้ที่ไม่มีผลกระทบทางความรู้สึก
แต่ในขณะเดียวกัน...
ไอ้เตี้ยนี่ก็เอาแต่ปกป้องปาร์คชานยอล แล้วยัดเยียดให้เขาเป็นคนเลวอยู่ได้
“อ้อ
ถ้ายังเลือกที่จะเชื่อแบบนี้อยู่ล่ะก็ กูจะบอกอะไรให้”
ทั้งคู่สบตากัน ซึ่งดูเหมือนว่าป๋ายเซียนจะอยากฟังเขาพูดต่อมากกว่าการอ้าปากเถียง “กูไม่ได้ทำตัวแย่ ๆ ใส่ทุกคน”
“...”
“ซึ่งถ้ากูจะทำแบบนั้นก็เพราะกูมีเหตุผล
อย่างเช่นมึง”
เซฮุนเริ่มรำคาญสายตาของป๋ายเซียนแล้ว ทำไมมันต้องมองมาเหมือนคาดหวังว่าคำตอบของเขามันจะส่งไปในทางที่ดีด้วย?
“มึงมันคนสองมาตรฐานนี่”
“ใช่ แล้วกูก็จะทำแบบนี้กับมึงไปเรื่อย
ๆ ด้วย” เขารู้สึกเป็นคนไร้เหตุผล
มากกว่าตอนที่พ่นความในใจให้แบคฮยอนรู้เสียอีก อย่างน้อยตอนที่อยู่กับแบคฮยอน โอเซฮุนก็ยังพูดอย่างฉะฉานได้โดยไม่ต้องห่วงว่ามันจะเจ็บปวด
แต่พอเป็นคนตรงหน้า มันกลับมีความรู้สึกผิดไล่ตามมาทุกครั้งหลังจากพูดออกไป
“เชิญไปเอาใจปาร์คชานยอลให้พอ”
ผู้ชายเย็นชาที่เอะอะเป็นด่าเดินหนีไปแล้ว
ป๋ายเซียนทำได้แค่ยื่นมือออกไปข้างหน้า อ้าปากเหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็ไม่มีเสียงออกมาสักแอะ เขาเพียงยืนโง่อยู่ตรงนี้แล้วมองแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่ายจนกระทั่งหายเข้าไปในตึกแฟชั่นดีไซน์
พร้อมคำถามมากมายที่ไม่รู้ว่าจะหาคำตอบได้จากไหน
ป๋ายเซียนเบะปากพลางเกาหัว
เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บกับคำพูดนั้น แต่ก็ไม่อยากให้ไอ้บ้านั่นเดินหนีไปเฉย ๆ อะ โอเซฮุนเป็นคนนิสัยไม่ดีที่ชอบขึ้นเสียง
ทำหน้าเหมือนว่ารำคาญเขาอยู่ตลอดเวลา แต่จากแววตาและคำพูดทั้งหมดนั้น คนตัวเล็กคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้โกหก
และผู้ชายที่เขาชอบก็คงเหมือนกัน มันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ชานยอลจะสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อบลั๊ฟเซฮุน
คนตัวเล็กยืนอยู่ตรงนั้นเพื่อใช้ความคิดอยู่นานสองนาน
เงยหน้าขึ้นมองตึกหรูเบื้องหน้าแล้วนึกไปถึงใครอีกคนที่เพิ่งลับริมฝีปากกันไปเมื่อครู่ ซึ่งดูเหมือนว่าปัญหาในตอนนี้จะไม่ใช่เรื่องการหาคำตอบว่าใครกันแน่ที่พูดความจริง
แต่มันคือเรื่องบ้า ๆ ที่บยอนป๋ายเซียนเป็นกังวลเพราะคิดไปเองว่าเซฮุนคงกำลังรู้สึกไม่ดีเพราะคำพูดของเขา
คุณกำลังส่งข้อความถึง...
‘ห้ามโทรหา’
[ กูขอโทษอะ ( 'ㅅ')๗ ]
TBC
ความคิดเห็น