คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : CHAPTER 11 :: ซวยแบบไม่รู้ตัว
CHAPTER 11
ซวยแบบไม่รู้ตัว
“แม่ร่วง!”
แบคฮยอนผงะถอยหลังทันทีที่ได้รับการทักทายกึ่ง ๆ จับผิด ใช่ว่าเรื่องที่เขาทำมันจะไม่ถูกต้องหรอกนะ แต่การที่อยู่ ๆ โอเซฮุนก็โผล่หนังหน้ามาโดยไม่ได้นัดกันไว้ก่อน แถมยังทำหน้าทำตากวนตีนหาเรื่องแบบนี้ ก็ทำเอาตกใจเหมือนกัน
“มาทำอะไรที่นี่?”
คนตัวเล็กสบตากับเจ้าของคำถามครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเครื่องหมายกากบาทซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโรงพยาบาล เซฮุนยืนกอดอก เลิกคิ้วเป็นเชิงกดดัน
จะเรียกว่าบังเอิญได้ไหมที่เขาจอดรถรอแบคฮยอนอยู่หน้าปากซอยตั้งแต่เช้า พอเห็นว่าอีกฝ่ายขึ้นรถเมล์ก็ขับตามมาโดยไม่ให้รู้ตัว แต่เป็นเพราะต้องหาที่จอดรถ จึงทำให้คลาดกัน เขาเลยไม่รู้ว่าแบคฮยอนเข้าไปทำอะไรในโรงพยาบาลอยู่นานเป็นชั่วโมง
“แล้วมึงอะมาทำไร”
“ตามมึงมาไง”
“อะนั่นแน่... เดี๋ยวนี้พัฒนามีแอบสต็อกเกอร์นะคะ” แบคฮยอนเอานิ้วจิ้มอกอีกคนก่อนจะถูกปัดออกอย่างรำคาญ
“ไม่สบายเหรอ?”
“อือ ลองจับตัวกูดูสิ ร้อนรุ่มไปหมดเลย” คนตัวเล็กเบะปาก ทำตาใสเรียกร้องความเห็นใจแต่ก็ไม่ได้ผล เมื่อเซฮุนเอามือดันหน้าเขาไว้
ทั้งคู่สบตากันอีกครั้ง สีหน้าระรื่นไม่เหมือนคนป่วยคล้ายกับกำแพงสูงที่คั่นเราทั้งคู่เอาไว้ ดูเหมือนว่าต่อให้ซักไซ้ยังไงแบคฮยอนก็คงไม่พูดความจริง โอเซฮุนไม่อยากเซ้าซี้ จึงพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ไปขึ้นรถด้วยกัน
“กินข้าวหรือยัง”
“ยัง จะเลี้ยงไหม”
“เห็นแก่กิน” เขาปั่นหน้านิ่ง ขณะชำเลืองมองเจ้าของรอยยิ้มทะเล้นที่คงไม่สะทกสะท้านกับคำพูดใด ๆ ในโลก
รถขับเข้าไปในมหาลัย เซฮุนหันไปมองที่นั่งข้างคนขับเป็นระยะหลังจากคนที่เคยเอาแต่พูดกวนประสาทผล็อยหลับไปได้สักพักแล้ว คาดว่าคงเมาค้างจากเมื่อคืน น่าเขกกะโหลกให้สำนึกจริง ๆ
ตอนอยู่นิ่ง ๆ ก็น่ารักดีหรอก แต่พอลืมตาตื่นเมื่อไหร่ก็ซนอย่างกับลิงจนเขาไม่อยากจะอ่อนโยนด้วย
ทั้งคู่เลือกกินมื้อเที่ยงในแคนทีนที่อยู่ใกล้ตึกแฟชั่น เพราะแบคฮยอนบอกว่าที่นี่มีของดีให้เลือกเยอะกว่าฝั่งวิศวะ คนตัวเล็กพุ่งไปเลือกของชอบและให้เขาเป็นคนจ่าย ก่อนจะนั่งกินอย่างเอร็ดอร่อยพร้อมขยับบอกว่า ‘เงินคนรวยนี่อร่อยจังเลย’
เซฮุนเท้าคางมองไอ้ตัวตะกละที่ดันน่ารักเวลาแก้มทั้งสองข้างบวมเพราะของกิน ชายหนุ่มไม่สนแล้วว่าคนตรงหน้าจะแซวยังไงกับการที่ไอ้คนปากแข็งเอาแต่นั่งจ้องมากกว่าการก่นด่า
อยู่ ๆ ก็เกิดการเปรียบเทียบขึ้นมาว่า ถ้าอีกฝ่ายเป็นป๋ายเซียน เขาก็คงไม่ทำอย่างนี้ ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างที่ทำให้โอเซฮุนรู้ว่าเขาสู้ความซื่อบื้อไม่ได้
“หายตึงกับน้องยัง”
“มันเล่าให้มึงฟังเหรอ” แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นพร้อมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ซึ่งอีกฝ่ายก็ยักคิ้วครั้งเดียวเป็นคำตอบ “แหม่ คุยกันบ่อยนะช่วงนี้”
“ก็ถ้าพี่ขี้เหล้าไม่งี่เง่า มันจะทักไลน์มาพ่นใส่กูเป็นหน้ากระดาษเอสี่ไหมล่ะ” คนมีคดีทำจมูกบานเป็นลิง ก่อนจะทำหน้าเนือยเมื่อนึกถึงเรื่องน้องชายฝาแฝด
เซฮุนจะไม่เล่าเด็ดขาดว่าเขาโทรไปประสาทแดกใส่ป๋ายเซียนจนต้องหงุดหงิดตัวเองแค่ไหน
“ไหน เอามาดูดิ๊” คนตัวเล็กเอื้อมมือไปตรงหน้าหวังจะเอาสมาร์ทโฟน แต่เซฮุนคว้าไว้ได้ทัน
“ไม่ได้”
“อะไร มึงมีความลับกับกูเหรอ” แบคฮยอนเบะปาก เหลือกตาเชิดหน้ามองหาเรื่อง
“จะอ่านทำไม เนื้อ ๆ ก็ระบายให้ฟังว่าทะเลาะกันแค่นั้น แล้วสรุปโอเคยัง?”
“ถ้ากูไม่พูด แล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็คงเรียกว่าโอเคมั้ง”
“มันสาหัสขนาดนั้นเลยหรือไง?”
“แน่อยู่แล้ว มึงลองจินตนาการดูนะว่านี่คือลูกรักของมึง” แบคฮยอนชี้ไข่ดาวบนจาน ขณะที่ยังสบตากับอีกฝ่าย “แล้วอยู่ ๆ ก็มีไอ้หน้าหยวกที่ไหนก็ไม่รู้มาทำแบบนี้” พูดจบก็เอาตะเกียบจิ้มจนไข่แดงทะลักออกมา
เซฮุนหลุบตามองภาพตรงหน้า ก่อนจะผลักหัวคนตัวเล็กเรียกสติ แบคฮยอนสบถคำหยาบแบบไม่มีเสียงพลางจัดเผ้าผม ก่อนจะจ้องไอ้มือไวที่เอะอะก็ลงไม้ลงมือกับเขา
“ปัญญาอ่อน มันบอกว่ายังไม่ได้มีอะไรกับปาร์คชานยอล”
“ก็เกือบไหมล่ะ ให้เขาฟัด เขาหอม อย่างนี้ แล้วก็อย่างนี้” คนตัวเล็กยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาระดับใบหน้า พร้อมปากจู๋เอียงคอปรับองศาเป็นท่าประกอบ
“น้องมึงก็คน มีรัก มีอารมณ์ได้ มันโตแล้วก็ปล่อย ๆ บ้าง” ถึงจะพูดอย่างนี้ก็เถอะ แต่พอเอาเข้าจริง ๆ โอเซฮุนก็คงหงุดหงิดเหมือนกันถ้ารู้ว่าไอ้เตี้ยเบอร์สองยอมโอนอ่อนให้ปาร์คชานยอลย่ำยี
“แต่ก็ต้องไม่ใช่คนแบบนั้น”
“ถ้ารู้ว่ามันไม่ดีก็ถอยออกมาสิวะ คนที่ไม่ยอมเลิกเล่นเกมนี้สักทีก็มึงไม่ใช่หรือไง?”
“กูหยุดแล้ว เมื่อวานมึงเห็นกูดี๊ด๊าต่อหน้ามันไหมล่ะ” แบคฮยอนเถียงคอเป็นเอ็น ต่อให้ใจยังรักการเอาคืนแค่ไหน แต่พอรู้ว่าน้องชายฝาแฝดเล่นออกนอกกติกา เขาก็หัวเสียจนไม่อยากเล่นต่อไปแล้ว
“ดี” เซฮุนปั้นหน้านิ่ง ทำมือปัด ๆ เป็นเชิงไล่ให้อีกคนกลับไปใส่ใจการกินข้าวต่อ เขาลอบยิ้มอย่างพอใจกับคำตอบ ยิ่งตอนอีกฝ่ายสบถคำหยาบ ก้มหน้าก้มตายัดข้าวเข้าปากก็ยิ่งทำให้กลั้นยิ้มไว้ไม่ไหว
อย่างน้อยแบคฮยอนมันก็มีความคิดที่จะหยุด
เพล๊ง!
เสียงจานตกแตกเรียกความสนใจจากทุกคนที่อยู่โดยรอบ รวมถึงเซฮุนและแบคฮยอนที่นั่งอยู่เกือบด้านในสุด ภาพที่เห็นทำให้เบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง เมื่อตอนนี้ปาร์คชานยอลกับชายคนหนึ่งกำลังกระชากคอเสื้อกัน ซึ่งมีเพื่อนของทั้งสองฝั่งพยายามเข้าไปห้าม
“ฉิบหายละ ของขึ้นเหรอนั่น” คนตัวเล็กพึมพำพร้อมเคี้ยวข้าวไปด้วย ถ้าบอกว่าจะโดนอัดเพราะไปหลงตัวเองใส่ชาวบ้านนี่จะขำเลยนะ
“รุ่นพี่ปีสองน่ะ เห็นว่าหมั่นหน้ากันมานานแล้ว”
“งัดกันบ่อยเหรอ”
“ก็แค่เกือบ ๆ แต่เด็กแฟชั่นไม่ค่อยมีเรื่องชกต่อยกันหรอก มันทำให้ภาพลักษณ์ดูถ่อย” เซฮุนดื่มน้ำแล้วมองไปยังจุดเดิมอีกครั้ง เพราะไอ้ลู่หานไปตามเสือกมาจนรู้ว่าเพราะอะไรรุ่นพี่ถึงเกลียดปาร์คชานยอลขนาดนั้น ซึ่งคงไม่พ้นเรื่องเด่นเกินหน้าเกินตา หลงตัวเองว่าเก่งนักหนา อีกทั้งชอบดูถูกคนที่เหม็นขี้หน้า
ยอมรับว่าเขาก็เป็นหนึ่งในคนที่ไม่ชอบไอ้ขี้เก๊กนั่น และพร้อมจะตอกหน้ากลับไปเสมอถ้ามีเรื่องต้องลับฝีปากกัน แต่ก็ต้องยอมรับว่าฝีมือการดีไซน์และเรื่องเรียนของมันไม่ได้แย่ไปกว่าคำคุย หลายครั้งที่ปาร์คชานยอลทำให้รู้สึกประหลาดใจ ซึ่งโอเซฮุนก็ได้แต่คิดว่ามันเป็นคนมีพรสวรรค์หรือไม่ก็เป็นพวกปากเก่งแต่เก่งจริง ๆ
“ผิดกันกับพวกกู กระทืบได้เป็นกระทืบ” แบคฮยอนยิ้มขำ พลางหันไปมองชานยอลอีกครั้ง “โห ท่าจะเดือดมาก คอนี่เป็นเอ็นเลย”
“จะเข้าไปปลอบไหมล่ะ เห็นหน้ามึงแล้วคงหายโมโหเป็นปลิดทิ้ง” คนตัวผอมแค่นหัวเราะในลำคอ พลางมองคนตัวเล็กที่กำลังหรี่ตาพร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์
“หึงเหรอจ๊ะ”
“ถ้าใช่แล้วจะว่าไง?”
“อุ่ต้ะ เดี๋ยวนี้หัดเล่นคำ...” แบคฮยอนจิ๊ปากรัว แต่เซฮุนกลับนิ่ง ไม่แสดงทีท่าหัวเสียเหมือนทุกครั้ง “มึงพูดจริงดิ?”
“อืม”
คนตัวเล็กเคี้ยวเอื้องเป็นควาย สบตากับคนพูดน้อยต่อยหนักที่เคยจูบกันมาแล้วหลายครั้ง บอกตามตรงว่าแบคฮยอนเป็นพวกติดเล่นจนเป็นนิสัย จึงทำให้คิดอะไรง่าย ๆ จนเคยตัว อย่างเช่นเรื่องของเซฮุนที่ดูเหมือนทีเล่นทีจริง ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ตีตัวออกห่างหลังจากถูกจูบ ก็เลยคิดว่าคงไม่จริงจัง
“อยากเป็นแฟนกูเหรอ”
“เปล่า กูอยากให้เราเป็นแฟนกัน”
“อั่ยหยา...” แบคฮยอนขมวดคิ้ว จิ๊ปากรัว ๆ แล้วยัดข้าวเข้าปากคำโต “มันควรจะโรแมนติกกว่านี้นะกูว่า ทั้งคำพูด บรรยากาศ แต่ดูมึงดิ นั่งไขว่ห้าง กอดอก ทำหน้าเหมือนจะแดกหัวกูให้ได้แล้วมาพูดงี้”
“คนอย่างมึงรู้จักเรื่องน้ำเน่าพรรค์นั้นด้วยเหรอ” เซฮุนเอาซองขนมแท่งเคาะหัวอีกฝ่ายเบา ๆ กับบรรยากาศแปลก ๆ ที่ควรจะโรแมนติกอย่างที่แบคฮยอนว่า แต่คำตอบกลับดูธรรมดาเหมือนเขากำลังชวนมันไปกินข้าวยังไงอย่างนั้น
“จริงจังนะ นี่มึงชอบกูจริง ๆ เหรอวะ เอาแบบไม่กวนตีน”
“อืม”
“แล้วน้องกูล่ะ”
“...”
โอเซฮุนถูกไล่ต้อนซะจนมุม ชายหนุ่มนั่งนิ่งทั้งที่ยังสบตากับคนตัวเล็กซึ่งเขารู้ดีว่าต้องการคำตอบแบบไหน คนตัวผอมนึกโมโหตัวเองอยู่ในใจที่ไม่ตอบออกไปอย่างฉะฉาน ทั้งที่กล้าสารภาพความรู้สึกไปแล้ว
เพียงเพราะนึกถึงอีกคน ที่มีหน้าตาเหมือนคนที่นั่งอยู่ตรงนี้
“ป๋ายเซียนก็ส่วนป๋ายเซียนสิ”
“อั่ยหยา...” แบคฮยอนส่ายศีรษะเล็กน้อย ชำเลืองมองเขาอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินก่อนจะลุกขึ้นยืน “ขอไปซื้อน้ำแป๊บ”
“ไปอะไรตอนนี้ ที่มีอยู่ทำไมไม่แดกให้หมด”
“อยากแดกโคล่า จบไหม!” แบคฮยอนเชิดหน้าถลึงตามองอย่างกวนประสาท ซึ่งเซฮุนก็ได้แต่ขมวดคิ้วมองตามหลังไอ้เตี้ยที่เลือกบ่ายเบี่ยงการให้คำตอบอย่างหน้าตาเฉย
ถามว่าเสียฟอร์มไหมก็คงไม่ปฏิเสธ เพราะการสารภาพรักใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่พูดออกไปยังไงก็ได้โดยไม่ต้องผ่านการคิดก่อน ใช่ โอเซฮุนรวบรวมความกล้ามาตั้งหนึ่งคืน หลังจากหักดับตัวเองเพื่อเลือกแล้วว่าเขาจะมองแค่บยอนแบคฮยอน มากกว่าการปล่อยให้ตัวเองสับสนว่าที่จริงแล้วก็แอบหวั่นไหวกับบยอนป๋ายเซียน ซึ่งเจ้าตัวก็คลั่งปาร์คชานยอลซะยิ่งกว่าอะไรดี
แต่พอพูดแล้วก็เป็นอย่างนี้ เหมือนโดนไอ้เตี้ยเบอร์หนึ่งลากไปตบกลางสี่แยกแล้วบอกว่า ‘ชอบกูเหรอ เรื่องของมึงดิ’
คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นว่าตอนนี้แบคฮยอนมันกำลังทำท่าจะตรงไปที่โต๊ะของชานยอลมากกว่าการกลับมานั่งที่เดิมแล้วซัดทุกอย่างที่ซื้อมาลงท้องไปให้หมด สีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเจ้าเล่ห์นั่นคืออะไร คิดจะปั่นหัวกันใช่ไหม? เมื่อกี้ยังทำท่าเหมือนว่าอยากสมน้ำหน้าปาร์คชานยอลซะเต็มแก่ไม่ใช่หรือไง? ถ้าอยู่ ๆ ไปหาไอ้หมอนั่นทั้งที่เขาเพิ่งสารภาพรักคงได้มีหัวแตกแน่ ขอสาบานตรงนี้
เซฮุนกำลังไม่ชอบใจ และจะให้เวลาไอ้เตี้ยนั่นอีกแค่สองนาทีเท่านั้น แบคฮยอนยิ้มพร้อมเลิกคิ้ว ยึกยักว่าจะตรงมาทางนี้หรือจะไปหาปาร์คชานยอลดี ก่อนที่มันจะยอมเดินกลับมาเพราะเห็นเขาขยับปากพูดว่า
‘อยากตายไหม?’
“หึงจนหน้าดำหน้าแดงหมดแล้ว”
“รีบแดกให้หมด จะได้รีบไป”
“อ้าว แค่นี้ไล่” แบคฮยอนเลิกคิ้วมอง ก่อนจะถูกอีกฝ่ายเคาะหัวด้วยขนมแท่งเดิม
“กูไล่ตัวเองกับมึงให้ไปพร้อมกัน ยังต้องอธิบายอะไรอีกไหม?”
คนตัวเล็กหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ กับคำตอบจากปากคนซึนซึ่งยังคงฟอร์มจัดเหมือนในทีแรก เซฮุนก็เป็นซะอย่างนี้ ชอบทำตัวน่าแหย่ สุดท้ายก็ร้องเป็นแมวหงิง ๆ น่าแกล้งเป็นบ้า
แบคฮยอนเอื้อมมือไปยีหัวคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แต่กลับถูกคว้ามือไว้พร้อมสายตาที่มองมาอย่างจริงจัง ตอนนี้มีแค่คนตัวเล็กที่ยังคิดว่าบรรยากาศตอนนี้มันน่าตลก ในขณะที่เขาคิดมากจนเสียความเป็นตัวของตัวเองเพราะเริ่มถลำลึก
“ปล่อยปาร์คชานยอลไปเถอะ” แบคฮยอนเลิกคิ้วโดยไม่พูดแทรก ไอ้ตัวกวนประสาทยังคงมีสีหน้าไม่ต่างไปจากทีแรก ซึ่งเขาก็ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะหน้าแดงแล้วหลบสายตาอย่างขลาดอาย “เพราะถ้ามึงอยากปั่นป่วนชีวิตใครสักคน”
ชายหนุ่มมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น ซึ่งไม่ได้ฉายแววหวั่นไหวอย่างคนที่เขาเคยคบด้วย เซฮุนอยากให้แบคฮยอนใจตรงกันบ้างสักนิด หรือไม่ก็มีความคิดที่อยากเปลี่ยนแปลงสถานะให้มันต่างไปจากคนแปลกหน้าที่เข้าไปขอความช่วยเหลือเรื่องถ่ายแบบ หรือเพื่อนห่าง ๆ ที่ไม่ได้สนิทสนมกันมากมาย เขาทั้งคู่สามารถเริ่มต้นใหม่ในแบบคนรักได้ เชือกที่ผูกเราทั้งสี่คนไว้ด้วยกันจะได้คลายออกสักที
และหลังจากนั้นจะได้ไม่มีใครลังเลเรื่องบุคคลที่สามอีกต่อไป
“ให้กูเป็นคน ๆ นั้นได้ไหมวะ?”
“น่าจะกวนตีนมันกลับเหมือนครั้งก่อน ๆ แบบนี้ไม่สมเป็นมึงเลย” คริสส่ายหน้าพลางมองเพื่อนสนิทที่ยังคงถูกโทสะปั่นป่วนจนยากที่จะฝืนยิ้มออกมาได้ เขาหันไปมองจงอินที่ยืนอยู่ข้างตัวแล้วพยักหน้าอย่างรู้กัน
“อะไรที่สมกับเป็นกูล่ะ ยิ้มอย่างอารมณ์ดีแล้วบอกว่า ‘ขอบคุณนะครับรุ่นพี่ที่แอบเอากรรไกรมาตัดชุดที่ผมเย็บจักรเองกับมืองี้เหรอ?’ มึงอย่าตลก”
“จริงคริส มึงอย่าตลก” จุนมยอนเสริมพลางกระดิกนิ้วชี้
“มันเข้าใจผิดว่ามึงไปทำของมันก่อนไง” หารู้ไม่ว่าพี่ปีสองกลุ่มนั้นก็ส้นตีนจนคนอื่นหมั่นไส้เหมือนกัน
“ควรถามกูก่อนเปล่า? อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่การเอาอคติของแม่งมาลงที่ชุดกู ไอ้ฉิบหาย คิดว่าใช้เวลาทำวันสองวันเหรอ?” ชานยอลถอนหายใจอย่างหัวเสีย ทำเอาจุนมยอนและคนอื่น ๆ ทำตัวไม่ถูก
ใช่พวกเขาจะไม่รู้ว่าบางครั้งชานยอลก็เป็นคนอารมณ์รุนแรง โดยเฉพาะเรื่องที่เจ้าตัวจริงจังซึ่งน้อยคนที่จะรับรู้ จงอินวางมือลงบนไหล่เพื่อนสนิทพร้อมบีบเบา ๆ มันก็น่าโมโหจริง ๆ ที่พวกรุ่นพี่จะเอาคืนด้วยวิธีนี้เพียงเพราะมั่นใจว่าชานยอลเป็นคนทำ โชคดีที่ไม่ใช่งานโปรเจคคู่ที่เพิ่งส่งไป ไม่อย่างนั้นคงมีปากแตกกันกลางแคนทีนไปแล้ว
“หายใจเข้าลึก ๆ” คริสม้วนมือเป็นท่าประกอบ ยังไงเขาก็อยากเห็นไอ้หอกนี่เป็นบ้าหลงตัวเองมากกว่าตอนองค์ลง
ชานยอลพยายามทำตาม ยกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามซึ่งเพื่อนทั้งสามก็หยุดยืนอยู่กับที่ทันที ชายหนุ่มหลับตาลงพร้อมเงยหน้าขึ้นสูดอากาศบริสุทธิ์ซึ่งดูเหมือนว่าฝนคงจะตกลงมาในอีกไม่ช้า เขาไม่ชอบเวลาควบคุมตัวเองไม่ได้ เข้าใจไหม มันหลุดคาแรกเตอร์ มันไม่คูล แล้วไอ้รุ่นพี่เหลาเหย่นั่นก็ทำตัวส้นตีนอยู่เรื่อย
“จ้างกูเปล่า ยี่สิบล้าน เดี๋ยวเอาให้เป๊ะแบบชุดเดิมเลย” จงอินว่า ก่อนจะยิ้มขำเมื่อเพื่อนง้างมือขึ้นทำท่าจะโบกหัวเขา
“มึงไม่ใช่คนตลก จงอิน เพราะงั้นมุกนี้ไม่ผ่าน” ชานยอลกดเสียงลงต่ำ “กูจะทำให้มันเห็นเองว่าหัตถ์เทวะเป็นยังไง พวกมันไม่สามารถหยุดยั้งการลั่นผลงานมาสเตอร์พีซของกูได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน” ชานยอลมองสองมือตนเองด้วยแววตาจริงจัง ก่อนคริสจะหันไปกุมขมับเพราะรับไม่ได้ เขาชักจะไม่แน่ใจแล้วว่าอยากให้มันเป็นบ้าแบบนี้จริง ๆ หรือเปล่า
“จริง เพื่อนกูโคตรเฉร๋ง” จุนมยอนชูนิ้วหัวแม่มือพร้อมพยักหน้า
“แม่ง โตขึ้นมาโดยที่ไม่โดนตีนได้ไงวะ” จงอินพึมพำ เมื่อทั้งสี่คนเดินเฉิดฉายลงบันไดหน้าตึกคณะไปด้วยกันในจังหวะที่ลงตัว
“ไอ้พวกปีสองช้ะ” <- จุนมยอน
“มึงเนี่ยสัด”
“ลั่นเลยเอ่าะ” คนตัวเล็กประจำกลุ่มพูดเสียงสั่น พลางยืนเบียดชานยอลหวังเป็นที่พักพิง
ชายหนุ่มหยุดฝีเท้าบนฟุตปาธหน้าคณะ พลางมองไปยังคนตัวเล็กที่กำลังหดคอ ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีเพราะโดนโอเซฮุนบีบคอให้เดินไปด้วยกัน และที่ยิ่งกว่านั้นคือ รอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้าไอ้หมอนั่น... มันทำให้เขาถูกดึงกลับไปเป็นคนเดิมเมื่อไม่กี่นาทีก่อนอีกครั้ง
“อ้าวนั่นป๋ายเซียนใช่ปะวะ?” จุนมยอนชี้ไปยังเข้าของชื่อ พลางมองเพื่อนตัวสูงที่กำลังทำหน้าเคร่งเครียด
ชานยอลเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม กับกฎเหล็กข้อที่สิบเอ็ดว่าจะไม่ปล่อยให้ตัวเองหัวเสียเกินวันละครั้ง ซึ่งภาพตรงหน้ามันกำลังจะทำให้เขาแหกกฎ
จุนมยอนค่อย ๆ เฟดตัวไปยืนข้างคริส สะกิดแขนพร้อมพยักหน้าหวังให้คนมีเหตุผลประจำกลุ่มช่วยล้างสมองเพื่อนกลับเข้าสู่สภาพเดิมที แต่ดูเหมือนว่ายังทำตอนนี้ไม่ได้ เมื่อชานยอลคว้าสมาร์ทโฟนขึ้นมาแล้วกดโทรหาคนตัวเล็กที่ยังอยู่ในพิกัดสายตา
ก็เคลียร์กันรู้เรื่องแล้วไม่ใช่หรือไง ทั้งเรื่องที่ทำให้น้ำไหลคืนนั้น กับเรื่องเมินเฉยเมื่อวานที่ป๋ายเซียนอ้างว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย ถึงไม่อยากเชื่อ แต่ชายหนุ่มคิดว่าคนตัวเล็กคงไม่โกหก คนที่ร้องไห้เพราะกลัวถูกทิ้งหายไปไหนแล้ว ตอนนี้ปาร์คชานยอลมองเห็นแค่คนยิ้มเก่งที่กำลังมีความสุขกับโอเซฮุน
ที่ตกลงว่าจะค่อย ๆ ดูกันไป แต่ระหว่างนี้ก็ใช่ว่าจะให้ไปอิ๊อ๊ะกับไอ้หมอนั่นยังไงก็ได้หรือเปล่า ปาร์คชานยอลดูเป็นคนใจเย็นหรือไงกัน?
ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรในโลกที่ทำให้ทั้งคู่หัวเราะอย่างออกรสได้ถึงขนาดนั้น เขารู้สึกว่าในหัวมันร้อนไปหมดเพราะความหึงหวง ยิ่งรู้ว่าพักนี้โอเซฮุนไม่ได้คุยกับใคร และไปมาหาสู่กับป๋ายเซียนแค่คนเดียวก็ยิ่งอารมณ์เสียเข้าไปใหญ่
เสียงรอสายเป็นเหมือนระเบิดเวลา ชานยอลไม่สนใจว่าตอนนี้เพื่อน ๆ กำลังจะพูดอะไร หรือแม้แต่เสียงรุ่นพี่ที่กล่าวทักทายเมื่อเดินผ่าน สายตาชายหนุ่มยังคงอยู่ที่จุดเดิม พร้อมมองไปยังสมาร์ทโฟนที่เหน็บอยู่ข้างหลังกางเกงยีนส์คนตัวเล็ก
แต่...
( ว่าไงชานยอล )
น้ำเสียงคุ้นหูเป็นเหมือนประโยคหยุดโลก เมื่อเจ้าของเสื้อช็อปตัวนั้นทำท่าชู้ทแก้วน้ำลงถังขยะ มากกว่าการถือสมาร์ทโฟนแนบหูให้ตรงกับเสียงที่เขาได้ยินในสาย
( ชานยอล? )
เจ้าของชื่อยังคงนิ่ง ปล่อยให้หูฟังเสียงและตามองใบหน้าของคนตัวเล็กที่กำลังชี้หน้าโอเซฮุนอย่างเอาเรื่อง ชายหนุ่มละมือออกมาเพื่อดูหน้าจอ เพื่อดูว่าเบอร์โทรตรงกับชื่อหรือไม่ ซึ่งก็ได้คำตอบว่าเขาไม่ได้โทรผิด
แต่ทำไม?
“ไม่รับสายเหรอวะ” จุนมยอนขมวดคิ้วพลางกระพริบตาปริบ ๆ มองแอสตันมาร์ตินคันหรูที่กำลังขับออกไปต่อหน้าต่อตา
ชานยอลยืนตั้งสติท่ามกลางความว่างเปล่าที่โรยตัวอยู่โดยรอบ ในหัวมีคำถามมากมายซึ่งเขาคงไม่โง่ตั้งคำถามว่าทำไมเสียงคนในสายถึงได้หน้าเหมือนกับคนที่อยู่กับโอเซฮุนในตอนนี้ เขาไม่ได้ตาฝาด ไม่ได้หูหนวก ที่อยู่ในสายตอนนี้คือบยอนป๋ายเซียน และที่ขึ้นรถไปกับโอเซฮุนเมื่อครู่นี้ก็เช่นกัน
แล้วตอนนี้มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น?
“ป๋ายเซียน”
( คับ )
“อยู่ไหนครับ?”
( เรียนอยู่ มีอะไรหรือเปล่า )
“หมายถึงตอนนี้น่ะเหรอ?”
( อื้ม แต่อีกสิบนาทีก็เลิกแล้ว ไว้มาเจอกันไหม? )
จงอิน คริส และจุนมยอนต่างมองใบหน้าเคร่งเครียดของเพื่อนสนิท ชายหนุ่มยังคงยืนนิ่งเพื่อหวังให้สายลมเย็น ๆ พัดผ่านความงุนงงออกไป และสุดท้าย ความสงสัยก็เอาชนะทุกอย่าง
( ชานยอล )
“ป๋ายเซียนเรียนอยู่ตึกไหน เราจะไปหาเดี๋ยวนี้”
TBC
*พนมมือตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า*
เอาแล้วป๋าย จะทำไงเนี่ย?! (ไม่สปอยล์ดีกว่า)
ขอโทษที่หายไปนานนะคะ ยังรอกันอยู่ไหม สืบเนื่องจากตอนก่อนที่เราเขียนฉากคัทสามพีไป ทำให้มีกระแสตอบกลับมาในด้านลบมากมายจนเราไม่กล้าอ่านทั้งคอมเมนท์และแท็กในทวิต (ซึ่งถ้าคนที่ตามเรา จะเห็นว่าเราไม่ได้รีแท็กแฝดเลย)
เรายินดีรับคำติติงนะคะ แต่รบกวนว่าอย่าสกรีมกันด้วยคำหยาบได้ไหม บางคนขึ้นกูมึง อีไรท์เตอร์กับเราเลย เราไม่คิดว่ามันเป็นคำพูดที่เหมาะสมค่ะ เราไม่ใช่เพื่อนเล่นของใคร และคิดว่าคงอายุมากกว่าคนหลายคนที่เมนท์ด้วยคำหยาบ คิดดี ๆ นะคะ ไม่ต้องชมเราก็ได้ค่ะ แต่ไม่ต้องสกรีมด่าเราขนาดนั้น เราเขียนฟิคตอนนึงใช้เวลานาน พอเห็นคุณเมนท์แรง ๆ แบบนี้เราก็ไม่รู้ว่าจะเอากำลังใจจากไหนไปเขียนต่อ เพราะฉะนั้นรบกวนมีสติกันนิดนึงนะคะ
บางคนรับไม่ได้กับฉากคัท เราไม่ว่าค่ะ เพราะสิ่งที่เราจะสื่อคือ มันเป็นความฝันของป๋ายเซียน ซึ่ง มันเป็นเรื่องที่ป๋ายเซียนกลัวว่าจะเกิดขึ้นจริง
กลัวว่าแบคฮยอนจะไปรักกับผู้ชายที่ตัวเองชอบ ซึ่งน้องก็ยังแยกแยะไม่ได้ว่าหวงพี่หรือชอบชานยอลมากกันแน่ เพราะถ้าเป็นความจริง แบคฮยอนไม่มีทางทำร้ายป๋ายเซียนแน่นอน ถ้าคนอ่านมาแต่แรก และเข้าใจคาแรกเตอร์แบคฮยอน ก็จะรู้ว่าแบครักน้องมากแค่ไหน
เซ็กส์ในฝันช่วงป๋ายกับชาน เป็นช่วงที่ป๋ายมีความคิดอยากทำแบบนั้นอยู่ลึก ๆ (ซึ่งเคยมีโอกาสทำ แต่ก็หยุดกลางคัน จึงทำให้ค้าง) ซึ่งเราคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องน่าอายสำหรับเด็กผู้ชาย
แต่ที่เขียนให้เซ็กส์ชานแบครุนแรง ก็เป็นเพราะความกลัวของป๋ายอีกเช่นกันค่ะ
ส่วนฉากที่แบคฮยอนเข้ามาร่วมด้วยเป็นสามพี (ฉากที่แบคฮยอนช่วยป๋ายไปด้วย) อันนั้นเป็นความเคยชินของสองแฝดที่เคยเล่นพิเรนทร์กันอยู่บ่อย ๆ จึงทำให้ฝันอย่างนั้นด้วยค่ะ
สังเกตว่าในฝันจะดูเวิ้ง ๆ คำพูดดูไม่สมจริง ดูลอย ๆ ซึ่งมันก็เป็นความกลัวเหมือนกัน
เราไม่รู้ว่าจะขอโทษคนอ่านดีไหม เพราะถ้าเขียนเบา ๆ มันก็จะเป็นแค่ nc ธรรมดาที่อ่นาแล้วฟิน ซึ่งคนอ่านคงเข้าไม่ถึงความกลัวของป๋ายเซียน
พูดซะยาวเลย ยังไงก็ขอบคุณที่ยังไม่ทิ้งเรื่องนี้นะคะ เราเคยถอดใจจนอยากเทเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ถ้าเราเท คนอ่านก็คงไม่รู้ว่าเราวางพล็อตไว้ยังไงบ้าง นี่เกือบ ๆ จะถึงกลางเรื่องเอง
ความคิดเห็น