ตอนที่ 17 : CHAPTER 15 :: When I found you I found myself (END)
CHAPTER 15
When I found you I found myself
“รู้สึกเหมือนไม่ได้เจอนายมานาน ทั้งที่ผ่านไปแค่สี่วัน”
“นั่นสิ เธอสวยขึ้นนะ”
“ย่าห์... ไอ้บ้านี่” หญิงสาวขยับปากบ่นพลางผลักหัวอดีตคนรักอย่างเหลืออด
จนถึงวินาทีนี้เบจูฮยอนก็ยังคงยืนยันว่าผู้ชายตรงหน้าคือคนที่เธอรัก หากแต่ทั้งคู่ไม่สามารถพัฒนาไปมากกว่าเดิมได้อีกแล้ว ความเป็นกันเองที่มาพร้อมเสียงหัวเราะมันดูว่างเปล่า กับความสัมพันธ์ที่เพิ่งเปลี่ยนไปได้ไม่นาน
เราต่างต้องปรับตัวและเรียนรู้ที่จะอยู่ให้ได้โดยที่ไม่มีกันและกัน เธอคิดอย่างนั้น
จูฮยอนเลือกจอดรถไว้ที่โรงพยาบาล แล้วไปบ้านพ่อแม่เธอด้วยรถของแบคฮยอน วันนี้เป็นวันที่ทั้งคู่ควรจัดการจบความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการเสียที เราต่างเป็นผู้ใหญ่แล้ว ดังนั้นระยะเวลาสี่วันมันก็มากพอแล้วกับการเตรียมใจเพื่อเคลียร์เรื่องนี้กับพ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย
เราไม่เคยเงียบต่อกันขนาดนี้มาก่อน ซึ่งหญิงสาวเข้าใจว่าสถานะที่เปลี่ยนไปเป็น ‘แฟนเก่า’ มันได้สร้างกำแพงไว้ให้รู้ว่าต่อจากนี้เธอคงไม่สามารถพูดและแสดงออกได้อย่างที่ใจคิดเหมือนเมื่อก่อนอีก
หญิงสาวหันไปมองเสี้ยวหน้าคนขับอยู่หลายครั้ง สีหน้าของแบคฮยอนเรียบเฉยจนคาดเดาไม่ออกว่าภายใต้แววตาคู่นั้นที่ทอดมองออกไปยังท้องถนน กำลังคิดอะไรอยู่?
“นายคุยกับคนนั้นแล้วใช่ไหม”
“อืม เรียบร้อยแล้ว”
“คงมีความสุขสินะ”
อดไม่ได้ที่จะขบกัด หญิงสาวมองรอยยิ้มที่แต่งแต้มบนใบหน้าผู้ชายคนนั้นหลังจากกล่าวถึงบุคคลที่สามหรือสี่ ซึ่งทำให้อดคิดไม่ได้ว่าใครกันที่ทำให้บยอนแบคฮยอนมีความสุขจนกล้าตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ได้
“โทษนะ จะหาว่าฉันเป็นอีบ้าก็ได้ แต่บอกอย่างไม่โกหกเลยว่าฉันยังหึงนายอยู่” จูฮยอนไม่ได้ตั้งใจพูดเพื่อให้อีกฝ่ายหันมาทำหน้าเศร้า แล้วบอกว่าให้ตายอย่างไรผู้หญิงคนใหม่ก็คงไม่มีทางดีเท่าเธอ แต่เหตุผลเดียวที่พูดออกไปก็เพราะความรู้สึกมันบอกอย่างนั้น เบจูฮยอนยังคงมีเยื่อใยอยู่ ยังมีความหวงก้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะยื้อให้อีกฝ่ายกลับมา
“ฉันก็รู้สึกเหมือนเธอนะ” แบคฮยอนหันมายิ้มให้หญิงสาวที่แสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจนว่าไม่รู้สึกดีกับสถานภาพที่เป็นอยู่ “แต่ถ้าเราไม่รู้สึกอะไรเลยสิแปลก”
“...”
“ฉันกับเธอคบกันมาตั้งกี่ปี ถึงจะมีช่วงเวลาที่จืดจางไปบ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รักกันสักหน่อย” แบคฮยอนเอื้อมมือไปวางลงบนศีรษะอดีตคนรัก ไม่บ่อยนักที่จูฮยอนจะปล่อยให้อีกฝ่ายเล่นหัว ยกเว้นตอนนี้ ตอนที่เธอรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
“ถ้ายังรู้สึกอย่างนี้ เราจะมีความสุขกับคนใหม่ได้เหรอ?” หญิงสาวยังคงไม่ละสายตาจากรอยยิ้มซึ่งแต่งแต้มอยู่บนใบหน้าชายหนุ่ม
“เราจะรู้คำตอบกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อเรามั่นใจกับมันแล้ว” เขายังคงมองถนนเบื้องหน้า “เธอไม่มั่นใจในตัวผู้ชายคนนั้นหรือไง?”
“เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น ให้ตายเถอะ... ฉันควรพูดถึงผู้ชายอีกคนตอนที่เราต่างก็รู้สึกอย่างนี้หรือไง?”
“มันอาจจะแปลก ๆ แต่อย่างน้อยฉันก็จะได้วางใจ ที่เราเลิกกันเพราะเราต่างรักคนอื่น ไม่ใช่เพราะอารมณ์ชั่ววูบ”
“ถ้าเป็นอย่างหลัง ฉันคงยอมให้นายตบหน้าฉันดีกว่า” จูฮยอนถอนหายใจเบาหวิว “ทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มต้นน่ะ แล้วฉันก็ไม่รู้สึกดีที่จะดี๊ด๊าเวลาพูดถึงคนใหม่ด้วย”
“ก็อย่าเล่าให้น่าหมั่นไส้สิ” แบคฮยอนหัวเราะ “ดีใจที่ได้ยินอย่างนี้นะ เพราะถ้าเธอบอกว่ารักเขาสุดหัวใจ ฉันคงรู้สึกปวดตับไปอีกสักพัก”
“คงเป็นเพราะเขาโตกว่า ฉันก็เลยรู้สึกว่ายังเป็นเด็กทุกครั้งเวลาอยู่ด้วยกัน แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังกลัวอยู่ดี”
“เรากำลังสับสน กังวลกับอนาคตที่ไม่รู้ว่าจะดีหรือแย่ลงไปกว่าตอนนี้หรือเปล่า” แบคฮยอนเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง เพื่อให้หญิงสาวคิดตามในสิ่งที่เขากำลังพูด “ฉันไม่รู้ว่าการเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้งมันจะไปรอดไหม ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันได้เลยว่าเราจะไม่เจ็บกับความรักครั้งใหม่ แต่เหตุผลที่ทำให้ฉันแน่ใจจนกล้าเลือกทางนี้ก็เพราะเราสองคนคบกันต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”
“...”
“เราเคยรักกัน ทุกอย่างราบรื่นเหมือนวัยรุ่นทั่วไป แต่พอนานวันเข้าโลกก็สอนให้เรารู้ว่าไม่มีอะไรมั่นคง จากที่เคยรักมาก มันก็จางลงได้” เขาหันไปสบตากับอีกฝ่ายเพียงครู่เดียว “เมื่อตอนเป็นเด็ก เราเคยทำเรื่องบ้า ๆ ด้วยกัน ทั้งเล่น ยิ้ม หัวเราะ... แต่พอโตขึ้น ภาระ ความรับผิดชอบ หน้าที่ทุกอย่างจะบีบให้เราทิ้งความเป็นเด็กไว้ข้างหลัง”
“...”
“และแม้ว่าจะโหยหาการเป็นเด็กมากแค่ไหน เราก็ทำได้แค่มอง”
ภาพตอนแบคฮยอนใส่ชุดนักเรียนลอยเข้ามาในความคิด ผู้ชายคนนี้ทั้งกะล่อน ปากดี พูดจากวนประสาทจนเธอต้องตบหัวสักครั้งให้หายโมโห วิธีการใช้ชีวิตของเราเมื่อตอนนั้นต่างจากตอนนี้อย่างสิ้นเชิง เบจูฮยอนมองหน้าอดีตคนรัก เธอแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าผู้ชายบ้า ๆ คนนั้นจะโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่สุขุมได้
“เธอคิดว่าเราเริ่มห่างกันอย่างจริงจังตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ตอนฉันเป็นอินเทิร์น?” หญิงสาวตอบอย่างไม่แน่ใจนัก ช่วงนั้นเธอเหนื่อยจนแทบใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาล อดทนอยู่กับความเครียดและโดนหัวหน้าต่อว่าซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับหน้าที่หมอ
จำได้ว่าช่วงนั้นทะเลาะกันบ่อย เธอเคยเผลอตะคอกใส่อีกฝ่ายเพราะความเหนื่อยที่สะสมจากโรงพยาบาล ส่วนแบคฮยอนก็หัวเสียเพราะถูกเธอวีนเรื่องไปเที่ยวกลางคืนจนเมาไม่เป็นท่า เหมือนสมัยเรียนมหาลัยที่ชายหนุ่มมักจะไปสังสรรค์กับเพื่อน เพราะเธอไม่มีเวลาให้
จากนั้นมันก็กลายเป็นจุดดำในใจ และถ้าเกิดเหตุการณ์นั้นซ้ำสองเมื่อไหร่ ทั้งคู่ก็จะทะเลาะกันอีกครั้ง แต่พอเวลาผ่านไปวันสองวัน แบคฮยอนก็จะแกล้งตายทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วทุกอย่างก็จะกลับเข้าสู่สภาพเดิม
ชายหนุ่มอมยิ้ม เขาละสายตาจากถนนเพื่อให้ไปมองหน้าอดีตคนรักชัด ๆ หลังจากจมอยู่กับความคิดชั่วขณะหนึ่ง
“นึกว่าเป็นตอนที่ฉันเข้ากรมเสียอีก”
นอกจากบทสนทนาของทั้งคู่แล้ว บนรถก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรกลบความอึดอัดที่เกิดขึ้นได้ และพอมีไม่มีใครพูด บรรยาดาศด้านในจึงเงียบสงบจนน่าใจหาย หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของอดีตคนรัก ซึ่งมันเกิดขึ้นในระยะเวลาที่แตกต่างกัน
จูฮยอนกำลังรู้สึกผิดจนไม่กล้าเอื้อมมือไปเล่นหัวแบคฮยอนเหมือนอย่างเคย กับความรู้สึกของเธอที่เปลี่ยนไปก่อน หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น ค่อย ๆ เอื้อมมือไปวางบนหลังมืออีกฝ่าย ก่อนจะกุมหลวม ๆ
“ที่ฉันรู้สึกอย่างนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าปีก่อน เดือนก่อน หรือเมื่อวานฉันไม่ได้รักนายหรอกนะ”
“ฉันรู้ เธออย่าทำหน้าเหมือนกำลังจะตายได้ไหมเบจูฮยอน?” เขายิ้ม “เราแค่ยังไม่ชินที่จะไม่มีกันอีกต่อไปแล้ว มันก็เท่านั้นเอง”
ประโยคนี้ทำเอาคนฟังใจหาย จูฮยอนปล่อยให้เสียงฝนที่ตกลงมาบนหลังคาช่วยทำลายความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างเรา ระหว่างที่เธอกำลังพยายามบอกตัวเองว่าทุกอย่างมันจบลงจริง ๆ แล้ว
“อยู่กับปัจจุบันเถอะ”
“...”
“อยู่กับคนที่ทำให้เธอรู้สึกว่าไม่ต้องพยายาม คนที่เธอเต็มใจทำทุกอย่างให้เขาโดยไม่มีเงื่อนไข”
“...”
“ถ้าผู้ชายคนนั้นตอบโจทย์ทั้งหมดได้ เธอจะไม่นึกเสียดายที่เราต้องเลิกกัน”
.
.
ท้องฟ้าร้องไห้ต้อนรับวันหยุดสุดสัปดาห์ ใบปัดน้ำฝนยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง ระหว่างเดินทางไปทงยองเพื่อสานฝันให้เด็กสองคนที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่มานาน อากาศในรถค่อนข้างเย็นจนคุณแบคฮยอนต้องหรี่แอร์ลง
มีเพียงเสียงเพลงที่เด็กหนุ่มอัดใส่แฟลชไดร์ฟเท่านั้นที่ช่วยผ่อนคลายบรรยากาศการเดินทางวันนี้ น้องสาวที่เคยเอาแต่พูดผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ คนเป็นพี่ชายจึงถอดเสื้อแขนยาวออกก่อนจะโน้มตัวไปด้านหลังเพื่อคลุมช่วงตัวให้น้องสาว
สักพักแล้วที่ชานยอลเอาแต่มองหน้าคนอายุมากกว่า ซึ่งการออกปากถามเรื่องคุณจูฮยอนและที่บ้านในเวลานี้คงไม่เหมาะสมนัก ทั้งที่อยากรู้ใจจะขาดตั้งแต่วินาทีแรกที่คุณแบคฮยอนส่งข้อความมาบอกว่า ‘ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว’ แต่สิ่งที่เด็กหนุ่มทำก็คือส่งสติ๊กเกอร์โง่ ๆ แล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น
“ถ้าเป็นปลากัด ฉันอาจท้องได้ถ้าเธอมองนานกว่านี้” ชานยอลตกใจเล็กน้อยหลังจากเห็นว่าอีกฝ่ายรู้ตัวมาตลอด คุณแบคฮยอนไม่ได้หันมามองเขาเลยสักนิด ดวงตาคู่นั้นยังคงมองไปยังถนนเปียกน้ำฝน พร้อมบังคับพวงมาลัยไปตามทิศทาง
“ถ้ามองทางแล้วจะเมารถน่ะครับ...”
“เอาถุงเกี่ยวหูไว้ไหม ถ้าคลื่นไส้จะได้อาเจียนออกมาเลย” คนตัวเล็กทำท่าประกอบ ก่อนจะหันมายิ้มล้อเด็กอายุสิบเก้าที่แก้ตัวได้อย่างซื่อบื้อ
“เมื่อคืนคุณทำงานจนดึก แถมยังตื่นเช้ามาขับรถอีก” เด็กหนุ่มมองอย่างรู้สึกผิด “ไว้ถ้าผมมีใบขับขี่แล้ว ผมจะขับให้คุณนั่งบ้างนะครับ”
“จะรอวันนั้นนะ” พอเห็นคุณแบคฮยอนยิ้มแบบนี้แล้วก็โล่งใจขึ้นมาหน่อย จริงอยู่ที่ปาร์คชานยอลเป็นเด็ก แต่หลังจากที่ได้รู้จักอีกฝ่าย เขาก็ได้เรียนรู้ว่าการเป็นผู้ใหญ่ต้องหัดซ่อนความรู้สึกไว้ภายใต้รอยยิ้ม “นอนเถอะ อีกสักพักเลยกว่าจะถึง”
“ไม่ครับ ผมอยากอยู่เป็นเพื่อนคุณ”
“ดื้อจริง ๆ” แบคฮยอนยิ้มพลางชำเลืองมองเด็กตัวสูงที่พลิกตัวหันเข้าหามาครึ่งตัว พร้อมสีหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความจริงจัง
เขาเห็นว่าชานยอลแอบมองไปยังเด็กสาวที่หลับอยู่ตรงเบาะหลังเป็นการ สังเกตลาดเลา สักห้าหรือสิบวินาทีเห็นจะได้ มือใหญ่อุ่น ๆ ก็เลื่อนมากุมมือเขาเอาไว้ ก่อนที่เขาจะหงายมือเพื่อสอดประสานกันในที่สุด
“แล้วคืนนี้จะเล่าให้ฟัง”
ชานยอลอมยิ้มแล้วพยักหน้าเป็นคำตอบ หลังจากที่อีกฝ่ายอ่านความคิดของเขาได้โดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกไปสักคำเดียว
แม้สถานะจะเปลี่ยนไปแล้ว แต่เด็กหนุ่มก็ยังมีความกังวลมากมายจนไม่กล้าทำตามใจตนเองนัก ยกตัวอย่างเช่นการอยากถามเรื่องที่ไปคุยกับผู้ใหญ่ว่าจะยกเลิกงานแต่ง ซึ่งเขาเดาเอาเองจากสีหน้าท่าทางคุณแบคฮยอนว่าคงไม่จบด้วยดีสักเท่าไหร่นัก แน่นอนว่าปาร์คชานยอลจะได้คำตอบถ้าหากเอ่ยปากถาม แต่เด็กหนุ่มก็เลือกที่จะเงียบ แล้วรอเวลาให้อีกฝ่ายพูดมันออกมาเอง
พอเข้าถึงทงยองฝนก็หยุด รถขับเข้ามาในถนนลูกรังย่านชนบท ก่อนจะเปิดประตูออกเมื่อถึงที่หมาย ชานยอลหันไปปลุกน้องสาวแล้วมองไปยังภาพตรงหน้า มันเป็นบ้านหลังเล็กเก่า ๆ ซึ่งมีแปลงผักอยู่ด้านข้าง ถัดไปอีกนิดก็พบชายวัยกลางคนใส่หมวกหวายสานกำลังง่วนอยู่กับการผ่าฟืน
แบคฮยอนหรี่ตา เพราะมองจากตรงนี้ได้ไม่ชัดเท่าที่ควร แต่คนที่เคยอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่จำความได้จึงรู้ทันทีเลยว่าร่างกายของชายคนนั้นทรุดโทรมไปจากเดิมแค่ไหน ชานยอลหยุดยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมมองไปยังผู้ให้กำเนิด พ่อไม่หลงเหลือเค้าเดิมของผู้ชายวัยทำงานบริษัทอีกแล้ว เสื้อผ้าดี ๆ ที่อยู่ในความทรงจำได้ถูกแทนที่ด้วยเสื้อลายสก็อตเก่า ๆ สีซีด กับกางเกงสีกรมท่า
“พ่อคะ!!!”
ชายหมวกหวายสานเงยหน้าขึ้น ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อเมื่อเห็นเด็กสาวตัวผอมวิ่งมาทางนี้ วงแขนที่เคยอุ้มแต่ท่อนไม้มาตลอดกำลังอ้าออกตามสัญชาติญาณ ก่อนจะโอบกอดร่างลูกสาวเอาไว้แน่น
“ซ... ซูยอง?”
ไม่มีเสียงขานตอบจากเด็กสาวที่ขาดความอบอุ่นจากพ่อแม่ไปนานห้าปี ตอนนี้มีเพียงเสียงสะอื้นซึ่งตอกย้ำพ่อที่บกพร่องทางหน้าที่อย่างเขา ซูยองออกแรงกอดรัดคนตรงหน้าแน่นยิ่งขึ้น ก่อนที่หญิงวัยกลางคนจะเดินออกมาหลังจากได้ยินเสียงโหวกเหวกดังเข้าไปถึงข้างใน
ฝีเท้าหยุดนิ่งเมื่อสายตามันเลือกหยุดอยู่ที่เด็กหนุ่มตัวสูงซึ่งยืนอยู่ห่างจากตรงนี้หลายเมตร มือที่เริ่มเหี่ยวย่นยกขึ้นป้องปาก พร้อมน้ำตาซึ่งไหลออกมาแม้ว่าเธอไม่ได้ตั้งใจบีบมัน
ชานยอลยืนแข็งทื่อทำตัวไม่ถูก เขารู้แค่ว่าตอนนี้หัวใจมันเต้นแรงมากเหมือนว่ามีใครสักคนมาบีบมันเอาไว้หลังจากได้สบตากับแม่ การรอคอยสิ้นสุดลงแล้ว... เด็กหนุ่มบอกตัวเองอย่างนั้น ซูยองผละอ้อมกอดพ่อพร้อมหันไปคว้าตัวแม่ สองสามีภรรยามองหน้าลูกชายคนโต ก่อนที่คนเป็นแม่จะยื่นแขนออกมาเพื่อเรียกเด็กหนุ่มให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเธอ
“ไปสิ” แบคฮยอนยิ้ม พลางลูบหลังเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เพียงครู่เดียวก็ได้เห็นภาพครอบครัวซึ่งกำลังกอดกันอย่างมีความสุข แม้ว่าจะมีน้ำตา แต่งเติมให้รู้ว่าทุกคนคิดถึงกันและกันมากแค่ไหน
แต่ละคนต่างเผชิญกับปัญหาในรูปแบบของตนเองมานานหลายปี วันนี้เขาจึงทำหน้าที่แทนพระเจ้า เพื่อมอบของขวัญให้กับครอบครัวปาร์ค และถ้ามองจากตรงนี้ ปาร์คชานยอลก็ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเป็นเท่าตัว หากเทียบกับเมื่อห้าปีก่อน...
เด็กอายุสิบสี่คนนั้นที่ทำรอยยิ้มหายไป จนถึงความซึมเศร้ากลืนกิน
แบคฮยอนยืนกอดอกและยิ้มอย่างมีความสุขจากตรงนี้ แล้วปล่อยให้ภาพในอดีตเมื่อหลายปีก่อนกลับมาย้ำให้มั่นใจว่าเขาคิดไม่ผิดที่ตัดสินใจอุปการะเด็กสองคนนั้น
ปาร์คชานยอลที่มักจะนึกถึงน้องสาวก่อนตัวเองเสมอ... ถ้าไม่นับเรื่องที่ทะเลน่ะนะ ไหนจะรับผิดชอบภาระมากมาย จนบยอนแบคฮยอนจินตนาการไม่ออกเลยว่าถ้าตกอยู่ในสภาพนั้นจะดึงตัวเองให้กลับมาเป็นผู้เป็นคนอย่างไรไหว
ไม่ว่าจะฟังขึ้นมากน้อยแค่ไหน แต่เขาเชื่อว่าทุกคนย่อมมีเหตุผลเป็นของตัวเอง สำหรับพ่อแม่ที่หนีไปแล้วปล่อยให้ลูกหาทางเอาตัวรอด บยอนแบคฮยอนเชื่อว่ามันคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนั้นสำหรับทั้งคู่
ครอบครัวปาร์คหันมาทางนี้ ก่อนที่คนเป็นพ่อแม่จะโค้งศีรษะขอบคุณผู้อุปการะลูกของตนทั้งสอง ด้วยใบหน้าที่ยังคงเปื้อนไปด้วยน้ำตา และแบคฮยอนก็โค้งตอบพร้อมยิ้มอย่างไม่อิดออด
สายตาของชานยอลตอนนี้คงเต็มไปด้วยคำขอบคุณ สำหรับผู้ชายอย่างบยอนแบคฮยอนแล้ว เขามีแต่ความหวังดีให้เด็กสองคนนั้นตั้งแต่แรกโดยไร้เงื่อยไข แน่นอนว่า ‘ความสุข’ คือสิ่งเดียวที่เขาอยากให้เกิดขึ้นกับครอบครัวนี้ ซึ่งมันคือสิ่งที่ทุกคนบนโลกต่างโหยหามัน
แบคฮยอนเชื่อว่าความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนเกิดขึ้นเพราะได้กินของอร่อย แต่งเพลง ไปเที่ยว ดูหนัง แต่งงาน มีลูก มีความรัก แต่สำหรับบางคนแล้ว... ความสุขที่แท้จริงของเขาอาจเป็นการได้อยู่กับครอบครัว และได้เห็นว่าคนที่เขารักยังสบายดีไม่เจ็บไม่ไข้
ชายวัยสามสิบสี่มองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม กับความสุขเล็ก ๆ ซึ่งเขาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดขึ้น บยอนแบคฮยอนเชื่อว่าหลังจากที่เด็กทั้งสองคนได้เจอกับพ่อแม่ ทั้งคู่คงคิดอะไรได้มากขึ้นว่าต่อไปนี้จะทำอย่างไรกับชีวิต
.
.
บนโต๊ะอาหารเล็ก ๆ เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ แบคฮยอนเลือกนั่งเงียบ ๆ แล้วฟังซูยองเล่าเรื่องที่โรงเรียน ในขณะที่ชานยอลเอาแต่คีบกับข้าวใส่ถ้วยของพ่อกับแม่ ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะไม่เคยเกิดขึ้น คนได้รับการใส่ใจจึงดูเก้ ๆ กัง ๆ พร้อมบอกให้ลูกชายคนโตกินเองบ้าง
ชานยอลติดนิสัยใส่ใจคนอื่นตั้งแต่ต้องดูแลซูยองด้วยตัวเอง ใบหน้าของเด็กหนุ่มอายุสิบเก้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม และสายตาคู่นั้นเอาแต่มองผู้ให้กำเนิดราวกับว่ากำลังจดจำรายละเอียดของพ่อกับแม่เอาไว้ให้ได้มากที่สุด
“พี่แบคฮยอนซื้อเสื้อตัวนี้ให้หนูไว้ใส่คู่กับแม่ล่ะค่ะ”
“โธ่ลูก...” หญิงวัยกลางคนยิ้มเจื่อนอย่างรู้สึกผิด เธอมองไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งเขาก็ยิ้มพร้อมพยักหน้าราวกับจะบอกว่าไม่เป็นไร
“คุณขับรถมาไกลคงเหนื่อย คืนนี้นอนในห้องฉันแล้วกันนะคะ เดี๋ยวฉันกับสามีจะเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้”
“เดี๋ยวเราจะนอนข้างนอกเอง” คนเป็นสามีเสริม
“ไม่เป็นไรครับ ผมเตรียมผ้านวมมาด้วยแล้วล่ะ” แบคฮยอนยิ้ม ต่างคนต่างเกรงใจอีกฝ่ายจนคนเป็นลูกทำตัวไม่ถูก ซึ่งชานยอลรู้ดีว่าคนตัวเล็กคงไม่ยอมนอนเตียงของท่านแน่
“ไม่ได้หรอกค่ะ จะให้แขกนอนพื้นข้างนอกได้ยังไงกัน”
“อย่ากังวลเลยครับ สมัยเรียนผมเคยนอนบนพื้นเย็น ๆ ในช็อปมาแล้ว เรื่องแค่นี้สบายมาก”
“ซูยองนอนกับพ่อแม่ในห้อง เดี๋ยวผมจะนอนข้างนอกกับคุณแบคฮยอนเองครับ” แบคฮยอนชำเลืองมองเด็กตัวสูงที่อยู่ ๆ ก็ออกความเห็นขึ้นมาหลังจากเงียบไปนาน ชานยอลกลอกตาอยู่ในที ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาอย่างคนใสซื่อ ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่ใช่อย่างนั้น
.
.
ชานยอลกับซูยองไปช่วยพ่อเก็บฟืนเรียงไว้หลังบ้าน เพื่อไม่ให้โดนฝนที่ทำท่าว่าจะตกลงมาอีกครั้ง ส่วนแบคฮยอนอาสาช่วยหญิงวัยกลางคนล้างจาน แม้เจ้าบ้านจะบอกให้นั่งรออยู่ข้างนอก แต่สุดท้ายเขาก็เอาชนะอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม
ภายในครัวเล็ก ๆ ซึ่งมีอุปกรณ์อยู่แค่ไม่กี่อย่าง เขากวาดสายตาไปรอบ ๆ ขณะวางแผนว่าหากมาคราวหน้าจะซื้ออะไรมาเพิ่มเติมดี แบคฮยอนไม่ใช่คนรวยใจบุญ แต่ที่มีความคิดอย่างนี้ก็เพราะเขาเห็นครอบครัวปาร์คเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตไปแล้ว
“คุณเช่าบ้านหลังนี้ใช่ไหมครับ?”
“ค่ะ เรามีเงินสู้ไหวแค่นี้น่ะ” เธอยิ้ม ก่อนบรรยากาศโดยรอบจะกลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง
“คุณมีแพลนกลับไปอยู่โซล หรือว่าอยากอยู่ที่นี่ต่อไปอีกสักพักเหรอครับคุณนายคิม?” หญิงวัยกลางคนไม่ได้ตอบคำถามในทันที เธอมองฟองน้ำยาล้างจานในอ่าง ก่อนจะหันเข้าหาชายหนุ่มด้านข้าง
“ฉันยังไม่เคยบอกเด็กสองคนนั้น... แต่เราไม่คิดจะกลับไปอยู่ที่นั่นแล้วล่ะค่ะ” เธอนิ่งไป ก่อนจะถอนหายใจเอาความทุกข์ออกมา “นอกจากลูก เราสองคนก็ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว อะไรหลายอย่างที่เป็นเหตุผลให้ฉันกับสามีกลับไปอยู่ที่นั่นไม่ได้”
“...”
“ฉันทั้งรู้สึกผิด ทั้งรู้สึกขอบคุณคุณที่เข้ามาช่วยเด็กสองคนนั้น ในขณะที่แม่อย่างฉันทำให้ได้แค่หนีหัวซุกหัวซุน” เธอสบตากับชายหนุ่ม แบคฮยอนเชื่อมาตลอดว่าคนเราจะพูดจริงหรือไม่ สามารถอ่านได้ผ่านทางสายตา ซึ่งเขาก็ได้คำตอบแล้วว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้โกหก
“คุณมีเหตุผลที่ต้องทำอย่างนั้น ใช่ไหมครับ?” แบคฮยอนอยากรู้เหตุผลที่แท้จริง หลังจากที่เขาพยายามทำความเข้าใจด้วยตัวเอง ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าช้า ๆ เป็นคำตอบ
“ถ้าฉันไม่หนี ลูก ๆ ต้องเดือดร้อนกว่านี้แน่”
“...”
“ฉันกับสามีเลยต้องทำใจหนีออกมาโดยไม่บอกลูก ...ฝากฝังกับคนข้างบ้าน ขอให้เขาเห็นใจช่วยเด็กสองคนนั้น แล้วภาวนาขอให้พระเจ้าช่วยพวกเขาด้วย” รู้ว่ามันสิ้นคิด แต่ในวินาทีที่จวนตัว เธอกับสามีก็คิดออกอย่างเดียวคือการหลบหนี “ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่มีวันไหนที่ฉันจะไม่รู้สึกผิดเลย”
“...”
“ฉันเป็นห่วงเด็กสองคนนั้น กังวลว่าจะอยู่กินยังไง จะเอาเงินจากไหนใช้ แต่ลำพังตัวฉันก็แทบเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน”
ฟองในอ่างล้างจานเริ่มหายไป แบคฮยอนล้างมือให้สะอาดแล้วเช็ดกับผ้าจนแห้ง ก่อนจะวางมือลงบนแผ่นหลังบาง ลูบเบา ๆ เป็นการปลอบใจกับความรู้สึกผิดที่อัดแน่นอยู่เต็มอกของเธอ
“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณที่ให้ชีวิตกับเขา”
“อ่า... คุณคิมครับ” แบคฮยอนรีบคว้าต้นแขนทั้งสองข้างเอาไว้ เมื่อคนอายุมากกว่าโค้งศีรษะลงต่ำเพื่อขอบคุณเขา
“คุณเป็นคนดีจริง ๆ ทั้งเลี้ยงดูลูกของฉัน ทั้งซื้อของมาฝากสารพัด ฉันกับสามีไม่รู้เลยว่าต้องทำยังไงถึงจะตอบแทนบุญคุณครั้งนี้ได้” เขามองอีกฝ่ายอย่างอ่อนใจ หญิงวัยกลางคนปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มอย่างกลั้นไม่อยู่ หลังจากพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติตลอดเวลาที่อยู่บนโต๊ะอาหาร
“ชานยอลกับซูยองเป็นเด็กดี ผมไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้เห็นเขาทั้งคู่เรียนจบ และมีงานดี ๆ ทำ”
“...”
“ผมไม่คิดจะต่อว่าคุณ เพราะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าตกอยู่ในเหตุการณ์นั้น ผมจะหาทางออกให้ตัวเองและครอบครัวยังไง เพราะฉะนั้นคุณอย่าโทษตัวเองกับเรื่องที่กลับไปแก้ไขไม่ได้เลยนะครับคุณนายคิม”
“...”
“จุดประสงค์ที่ผมยื่นมือเข้ามาช่วย เป็นเพราะผมอยากให้โอกาสเด็กสองคนนั้น อยากให้พวกเขาประสบความสำเร็จ และเลี้ยงดูคุณกับสามีจนแก่เฒ่าแค่นั้นเองครับ”
แบคฮยอนยิ้มพร้อมบีบหัวไหล่หญิงวัยกลางคนเบา ๆ เป็นการให้กำลังใจ หากเธอและสามีจมอยู่กับความรู้สึกผิดตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาก็อยากให้ทั้งคู่ยิ้มอย่างได้อีกสักครั้ง ด้วยการประสบความสำเร็จของลูกทั้งสองคน
“เลิกโทษตัวเองและใช้ชีวิตต่อไปโดยไม่เอาความผิดพลาดในอดีตมาตอกย้ำ หลังจากนั้นก็รอวันที่ชานยอลกับซูยองโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวนะครับ ผมเชื่อว่าพวกเขาจะไม่ทำให้เราผิดหวัง”
.
.
“ถ้าอยากได้อะไรเพิ่ม ก็เคาะประตูห้องเรียกฉันได้เลยนะคะคุณแบคฮยอน”
“ครับคุณคิม” คนตัวเล็กยิ้มก่อนที่หญิงวัยกลางคนจะเดินเข้าไปในห้อง ซึ่งมีสามีและลูกสาวที่จะนอนด้วยกันในคืนนี้
แบคฮยอนมองไปยังเด็กตัวสูงในสภาพเสื้อยืดและกางเกงวอร์มขายาว ในคืนวันฝนตกหนัก ชานยอลกำลังสะบัดผ้าห่มและจัดแจงที่นอนสำหรับเราสองคนโดยไม่ออกปากขอความช่วยเหลือ
“บอกให้เข้าไปนอนข้างในก็ไม่ฟัง”
“ผมโตแล้วนะครับ เลิกนอนกับพ่อแม่ตั้งแต่เก้าขวบแล้ว”
“อา เด็กชายปาร์คชานยอลนี่เข้มแข็งจริง ๆ เลย” แบคฮยอนยืนกอดอกมองเด็กหนุ่มที่เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ถ้าถามว่าวันนี้ใครมีความสุขมากที่สุดในโลก เขาก็คงตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่าเป็นเจ้าเด็กยักษ์
“พร้อมนอนแล้วครับ” เด็กตัวสูงกรีดมือไปตามที่นอนให้เรียบ ก่อนจะมองมาด้วยสายตาใสซื่อ คนตัวเล็กไหวไหล่แล้วลงไปนอนฟูกปิกนิก ขณะที่ชานยอลกำลังลุกขึ้นไปปิดไฟ เขาจึงใช้แสงไฟฉายจากมือถือเพื่อไม่ให้ขายาว ๆ นั่นสะดุดล้มในความมืดเข้า
เด็กหนุ่มแทรกตัวเข้ามาในผ้านวมอุ่น ๆ พร้อมพลิกตัวเข้าหาคนตัวเล็กกว่า คืนนี้เขาจะไม่หันซ้ายเด็ดขาด เขาจะมองคุณแบคฮยอนในความมืดจนหลับไปเลย
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็กลับแล้ว ใจหายหรือเปล่า?” แบคฮยอนยังไม่ดับไฟฉาย เขาอยากเห็นว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังทำหน้าอย่างไรหลังจากได้ยินคำถาม
“ครับ ผมคงคิดถึงท่านมาก ๆ เลย” ทั้งคู่สบตากัน ก่อนที่คนตัวเล็กจะพลิกตัวหันเข้าหาเด็กหนุ่ม มองดวงตาคู่นั้นที่ไม่เคยมีความลับกับเขา ก่อนจะลูบศีรษะเบา ๆ
“ไม่เป็นไรนะ ไว้หยุดยาวสามวันฉันจะพาเธอกับน้องมาหาท่านอีก”
เด็กหนุ่มไม่อยากละสายตาไปจากใบหน้าของคุณแบคฮยอนเลย ชานยอลยิ้มพลางไล้นิ้วชี้ลงบนใบหน้าผู้ชายที่เขารักและเคารพมาตลอดหลายปี ไม่ว่าจะเป็นทางคำพูดหรือการกระทำ คนตัวเล็กมักจะแสดงออกในสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงอยู่เสมอ
“คุณไม่เคยเปลี่ยนไปเลย” เด็กหนุ่มเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “ตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จักคุณมาจนถึงวันนี้ คุณยังคงเป็นคุณแบคฮยอนคนเดิมเสมอ”
“คุณแบคฮยอนของเธอเป็นยังไงนะ เล่าให้ฉันฟังบ้างสิ” คนตัวเล็กกำสมาร์ทโฟนไว้หลวม ๆ พอให้แสงสว่างมองเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มวัยสิบเก้าได้ ชานยอลยังคงมองเขาด้วยแววตาซึ่งเต็มไปด้วยความรัก และรอยยิ้มที่เขาชอบมอง
“ใจดี อบอุ่น”
“แค่นี้เองเหรอ?”
“ถ้ามากกว่านี้ก็ต้องเปลี่ยนชื่อเป็นที่รักแล้วล่ะครับ”
“อ่า... ไปเอาความกล้ามาจากละครเรื่องไหนกันนะ เลี่ยนจริง ๆ” คนอายุมากกว่าขมวดคิ้วพลางถอนหายใจ ทำเอาเด็กหนุ่มขี้เขินกลั้นยิ้มเอาไว้
“คำพูดสวยหรูใครก็พูดได้ครับ แต่อะไรจะชื่นใจเท่ากับการกระทำล่ะ จริงไหม?” ชานยอลจับมืออีกฝ่ายขึ้นมาหอมสลับกับจูบ ทำเอาคนอายุมากกว่าเขินจนปั้นหน้าไม่ถูก “ขออนุญาตนอนกอดได้ไหมครับ”
“ไม่ได้ นี่บ้านพ่อกับแม่เธอนะ”
“ท่านคงหลับไปแล้ว ถ้าเปิดประตูออกมาก็ต้องได้ยินเสียงก่อนแน่ ๆ ให้ผมกอดไม่ได้เหรอ... ตัวคุณอุ่น ถ้าได้กอดคงหลับฝันดีจนถึงเช้าแน่ ๆ เลย” เด็กยักษ์พูดอย่างออดอ้อน พร้อมสอดแขนเข้ามาตวัดรั้งเอวเขาจนเข้าไปชิดแผงอกแกร่ง
แบคฮยอนมองตาขวาง แต่เด็กยักษ์กลับขอโทษด้วยปลายจมูกที่กดลงบนแก้มเขาเสียฟอดใหญ่ “...ปาร์คชานยอล”
“หอมจังเลย เราใช้โฟมล้างหน้าหลอดเดียวกันจริงเหรอครับ”
“อย่าเวอร์ มันก็ไม่ขนาดนั้นหรอก”
“งั้นคุณลองหอมแก้มผมดูได้ไหม จะได้รู้ว่าหอมเหมือนกันหรือเปล่า”
“หัดพูดจาแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เด็กยักษ์” แบคฮยอนพูดกลั้วหัวเราะ ดีดหน้าผากคนช่างพูดไปทีหนึ่ง ก่อนที่เด็กตัวโตจะเลื่อนตัวลงต่ำ เพื่อเข้ามาออดอ้อนในอ้อมกอดของเขา “ถ้ารู้ว่ายอมแล้วจะเอาแต่ใจอย่างนี้ ฉันน่าจะใจแข็งกับเธอนาน ๆ”
“ผมไม่เชื่อหรอก คุณชอบผมมากกว่าเมื่อวานแล้ว ไม่มีทางไหนเลยที่คุณจะใจแข็งได้” เด็กยักษ์เงยหน้ามอง กระพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะจูบแก้มเขาในจังหวะทีเผลอ
“ปาร์คชานยอล?” แบคฮยอนถลึงตาคาดโทษเด็กหนุ่มอย่างเอาเรื่อง พร้อมหันไปมองด้านหลังให้แน่ใจว่าไม่มีใครมองอยู่ “อยากให้พ่อแม่ช็อกตายใช่ไหม?”
เด็กหนุ่มตอบให้คำตอบเป็นรอยยิ้มกวน พร้อมดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงไหล่คนตัวเล็ก จัดแจงปิดไฟฉายจากสมาร์ทโฟน ก่อนจะซุกจมูกลงกับซอกคออุ่น ๆ ของคนที่เขารัก
“แบบนี้ก็ไม่มีใครเห็นแล้ว”
“อา... ให้ตายสิ” ตอนนี้ชานยอลเหมือนลูกลิงตัวใหญ่ไม่มีผิดเลย
“ผมดีใจนะที่พ่อกับแม่ชอบคุณ”
“แน่ล่ะ แต่ในฐานะที่ฉันเป็นคนรับเลี้ยงดูเธอกับซูยองน่ะนะ”
“ผมไม่ได้อยากให้ท่านมองคุณมากไปกว่านั้นหรอกนะครับ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องดี ที่คุณกับท่านคุยกันได้ถูกคอ” เจ้าเด็กยักษ์หัวเราะในลำคอเบา ๆ “เพราะผมรู้ว่าพ่อกับแม่คงละอายใจต่อผมกับน้อง และเกรงใจคุณที่ต้องมารับภาระแทน ผมก็เลยมีความสุขมากตอนที่เห็นทุกคนคุยกันได้โดยไม่มีใครทำหน้ากระอักกระอ่วนน่ะครับ”
เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าคุณแบคฮยอนคุยอะไรกับแม่ ระหว่างที่เขาไปช่วยพ่อเก็บฟืนหลังบ้าน แต่พอกลับเข้ามาอีกที บรรยากาศก็เริ่มผ่อนคลายขึ้นกว่าเมื่อก่อนหน้านี้
เราทิ้งช่วงเวลาไปหลายนาที เพื่อให้ต่างฝ่ายต่างทบทวนความคิดตัวเองภายในความมืด ยังมีเรื่องราวมากมายที่น่าจะหยิบยกขึ้นมาพูดในตอนนี้ได้ มันคือช่วงเวลาที่เหมาะสม มากกว่าตอนแชทคุยกันระหว่างที่คุณแบคฮยอนทำงาน
ชานยอลเปลี่ยนเป็นยืดตัวขึ้นนอนหมอนในระดับเดียวกัน คนตัวเล็กเบิกตากว้าง เมื่อเจ้าเด็กขี้อ้อนที่เคยซุกกอดหาความอบอุ่นเมื่อก่อนหน้านี้กำลังกระชับกอดร่างของเขาจนจมหายเข้าไปในอ้อมกอด
“คุณจะเอายังไงกับเรือนหอหลังนั้นเหรอครับ” ชานยอลเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาที่ค้างคาตั้งแต่เมื่อตอนกลางวันขึ้นมา
“คงขายคอนโด แล้วก็ย้ายของเข้าไปอยู่ที่นั่นน่ะ” แบคฮยอนไม่รู้ว่าตอนนี้เขาขยับตัวไม่ได้ หรือไม่กล้าขยับตัวกันแน่ กับการไม่คุ้นชินเวลาได้อยู่ในอ้อมกอดของใคร คนตัวเล็กเริ่มประหม่าจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง เป็นอีกครั้งที่ปาร์คชานยอลทำให้เขารู้สึกว่ากำลังถูกปกป้อง
ชานยอลกดจมูกลงบนกลุ่มผมนุ่มอย่างทะนุถนอม ที่คุณแบคฮยอนตอบสั้นขนาดนี้เป็นเพราะยังไม่อยากเล่าหรือเปล่านะ คำถามที่เกิดจากความอยากรู้อยากเห็น... มันกำลังทำร้ายอีกฝ่ายอยู่หรือเปล่า?
“พ่อแม่ของจูฮยอนค่อนข้างตกใจหลังจากได้รู้เรื่องนี้ ท่านบอกให้เราสองคนทบทวนดี ๆ ก่อน คนรักกันมันไม่แปลกที่จะมีปากเสียง แต่จูฮยอนก็ทำให้มันจบลงด้วยคำว่า ‘เราไม่ได้รักกันแล้ว ทุกวันนี้เราอยู่ด้วยกันเพราะความหวังของผู้ใหญ่’”
“ตอนนั้นคุณคงอึดอัดและรู้สึกผิดมาก ๆ เลยใช่ไหมครับ”
แบคฮยอนขานตอบในลำคอ พร้อมนึกไปถึงหน้าอดีตคนรักซึ่งดูเหมือนว่าจะลำบากใจที่สุด เบจูฮยอนพร้อมพูดออกไปเสมอว่าเธอเป็นฝ่ายนอกใจ ถ้าหากมันจะทำให้เรื่องนี้จบลงได้โดยไม่ต้องกดดันเขา
“พอถึงจุด ๆ หนึ่ง ความรักก็ไม่ใช่เรื่องของคนสองคน ยังมีพ่อแม่เรา พ่อแม่ของอีกฝ่ายที่ต้องแคร์ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
เด็กหนุ่มรู้ว่าไม่ใช่แค่เรื่องคุณจูฮยอนที่คิดว่ายาก หากลองเทียบกันแบบไม่จริงจังแล้ว ชานยอลคิดว่าความรักเพศเดียวกัน ระหว่างเด็กมอปลายกับผู้อุปการะวัยสามสิบสี่คงน่าปวดหัวกว่าเป็นเท่าตัว
“ผมไม่ได้ต้องการบอกให้โลกรู้ว่าผมรักคุณแค่ไหน” เขามองไม่เห็นว่าตอนนี้คุณแบคฮยอนกำลังทำหน้าอย่างไร ระหว่างที่เราคุยกันท่ามกลางความมืดในระยะใกล้อย่างนี้ “ผมแค่อยากมีคุณอยู่ในชีวิต ได้รักคุณ ได้ดูแลคุณบ้าง”
“...”
“ผมรู้ว่ามันยากที่ผู้ใหญ่จะรับได้ เพราะเราเป็นผู้ชายเหมือนกัน อีกทั้งผมยังเด็กกว่าคุณสิบห้าปี ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันได้เลยว่าผมจะรักคุณไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตได้”
“...”
“แต่ถ้าเป็นตอนนี้... วินาทีนี้... ขอแค่พูดมาคำเดียว”
ภายในห้องโล่งที่มีทีวีกับชั้นวางของตั้งอยู่ ใครคนหนึ่งกำลังแสดงความจริงจังด้วยคำพูดด้วยเสียงเบาหวิวคล้ายกระซิบ แต่ก็หนักแน่นจนทำให้รู้สึกได้ว่าเด็กคนนี้ไม่มีความลังเลอยู่เลย หากเป็นความรักทั่วไปที่สังคมยอมรับได้ เราก็คงไม่ต้องหาคำพูดใด ๆ มาย้ำเพื่อให้อีกฝ่ายเชื่อและเลิกหวาดกลัวสิ่งรอบข้าง รวมไปถึงอนาคตที่ยังมองไม่เห็น
“ถ้าคุณบอกว่าเราเจอกันได้แค่วันอาทิตย์ ผมก็จะรอ ถ้าบอกให้ระวังตัวเวลาพูดหรือมองคุณ ผมก็จะทำ ถ้ามันมากเกินไปจนผิดสังเกต ผมจะแสดงออกให้น้อยลง ถึงมันจะยากแต่ผมจะพยายาม”
“...”
“ผมทำได้ทุกอย่าง ถ้ามันทำให้คุณอยู่ตรงนี้”
ไม่มีเสียงขานตอบกลับมา บางทีอาจเป็นเพราะเขาพูดมากเกินไปจึงทำให้คุณแบคฮยอนไม่อยากเชื่อ แต่ถ้าต้องทำอย่างที่พูดจริง ๆ เชื่อเถอะว่าปาร์คชานยอลทำได้โดยไม่ร้องขอความเห็นใจใด ๆ เพื่อให้เขาได้มีโอกาสมากกว่านั้น
“ทำไมถึงคิดว่าความรักมันยากขนาดนั้นล่ะ” คนตัวเล็กยิ้มบาง ๆ พร้อมเกลี่ยผมออกจากดวงหน้าเด็กหนุ่มอย่างเบามือ “เธออาจจะทำมันได้ แต่ผู้ใหญ่อย่างนั้นนี่สิ”
ชานยอลได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ ของคนตัวเล็ก เขาเลียริมฝีปากคลายความอึดอัด กับข้อเสนอที่เหมือนเอาคอไปแขวนไว้กับเชือก
“ขอโทษนะที่วันนั้นฉันทำให้เธอรู้สึกไม่ดี”
“วันไหนเหรอครับ?” เสียงทุ้มต่ำบ่งบอกให้รู้ว่าตอนนี้สีหน้าปาร์คชานยอลกำลังเป็นอย่างไร เจ้าเด็กยักษ์คงทำตาใส พร้อมครุ่นคิดว่าเมื่อไหร่กันนะที่คนใจร้ายอย่างเขาทำให้เสียใจ
“ที่ฉันชวนเธอไปอยู่บ้านหลังนั้นด้วยกันหลังจากแต่งงานกับจูฮยอน” เขาเงียบไปเกือบครึ่งนาที ขณะจมกับความรู้สึกผิดในความคิด “ไหนจะบอกให้เธอพาแฟนไปที่บ้านอีก”
‘มาเป็นลูกบุญธรรมฉันไหม?’
ชานยอลไม่ได้พูดว่า ‘วันนั้นผมเสียใจมาก’ หรือ ‘ไม่เป็นไรครับ เรื่องมันผ่านไปแล้ว’ เจ้าเด็กยักษ์เพียงกระชับกอดแน่นขึ้น ราวกับอยากให้เขาช่วยย้ำว่าความรู้สึกของบยอนแบคฮยอนในวินาทีนี้ต่างจากตอนนั้นมากแค่ไหนแล้ว
“ทั้งที่ตอนนั้นฉันก็รู้อยู่แก่ใจว่าเธอคิดยังไง มันแย่ใช่ไหมที่ฉันเลือกจัดการเรื่องนั้นด้วยการทำร้ายจิตใจเธอ” เขารอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรหรือไม่ ซึ่งชานยอลก็เลือกที่จะเงียบ “แต่ถ้าบ้านสร้างเสร็จแล้ว ทุกอย่างลงตัว”
‘เรือนหอที่มีเธอกับซูยองอยู่ด้วยไง ทำไม กลัวฉันบ่นเวลาพาแฟนมาบ้านเหรอ’
“มันจะดีนะถ้าเธอจะย้ายมาอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังใหม่” แบคฮยอนเลื่อนมือขึ้นโอบใบหน้าเด็กหนุ่ม กระซิบแผ่วเบาเพื่อให้คนตรงหน้าได้ยินเพียงคนเดียว “ในฐานะคนที่ฉันรัก”
ท่ามกลางความมืดซึ่งเขาเลือกใช้การสัมผัสเพื่อให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าผู้ใหญ่ที่มีแต่ความกังวลกำลังคิดอย่างไรกับความรักครั้งนี้ เกือบห้าวินาทีที่เด็กหนุ่มนิ่งไป ก่อนจะเลื่อนขึ้นมือขึ้นมามากุมมือของเขาไว้ และพรมจูบเบา ๆ
คนตัวเล็กยิ้มบาง ๆ พลางเลื่อนใบหน้าเข้าไปจูบเด็กหนุ่มที่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะเริ่มต้นใหม่ไปพร้อม ๆ กัน ชานยอลจูบตอบพร้อมกระชับกอดแน่นยิ่งขึ้น บดริมฝีปากแลกเอาความรักจากคนตรงหน้าภายในความมืดที่มีเราเพียงสองคน
เขาละทิ้งความกังวลทุกอย่างไว้ข้างหลัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัวที่อาจจะรับไม่ได้ถ้าหากวันหนึ่งคนเหล่านั้นได้รู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่มันมากกว่าเด็กในความดูแลกับผู้อุปการะ หรือแม้แต่เรื่องความรักที่ไม่รู้ว่าจะจืดจางเมื่อไหร่ถ้าเวลาผ่านล่วงไป
ทั้งคู่ถอนจูบออกมา เด็กหนุ่มตัวโตยังคงออดอ้อนคนรักด้วยปลายจมูกระหว่างรอฟัง ก่อนจะกดจูบย้ำลงไปอีกครั้งแล้วผละออก
แสงสว่างจากหน้าจอสมาร์ทโฟนทำให้มองเห็นว่าตอนนี้คุณแบคฮยอนกำลังให้ความสนใจกับมันมากกว่าเขาที่เพิ่งจูบกันเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน ชานยอลหรี่ตามองคนตัวเล็กที่กำลังจริงจัง และนั่นทำให้เขาอยากรู้อยากเห็น
“ทำอะไรครับ?”
“ตกลงไหม?”
“ครับ?” ชานยอลเลิกคิ้วอย่างงง ๆ พร้อมดีดตัวลุกขึ้นนั่ง เมื่อคนตัวเล็กหันสมาร์ทโฟนมาทางนี้ เรานั่งสบตากันโดยที่เขายังไม่ตอบ ‘ตกลง’ หรือแม้แต่หลุบสายตาดูว่าบนหน้าจอมีอะไร
“ฉันไม่อยากรอเธอโตแล้ว ไปจดทะเบียนลูกบุญธรรมกันเถอะ”
“ครับ?”
“อ่านดี ๆ นะ แล้วเธอจะรู้ว่าเหตุผลในการจดทะเบียนวันนั้นกับวันนี้มันต่างกัน”
เด็กหนุ่มยังคงไม่เข้าใจกับบทสนทนานี้ จนกระทั่งเขาอ่านข้อความบนจอสมาร์ทโฟน มันเป็นข้อความในแชทที่คุณจงอินน่าจะก็อปปี้มาจากอินเทอร์เน็ต สักครึ่งนาทีเห็นจะได้ที่เขาใช้เวลาไปกับการอ่าน และอีกหนึ่งนาทีที่ปล่อยให้สมองได้ประมวลผล จนหน้าจอดับไปสองครั้งปาร์คชานยอลก็ยังไม่ขานตอบ
‘การแต่งงานของเกย์มีหลายรูปแบบ บางคนสวมแหวนคู่เป็นสัญญาแทนใจ แต่ในกรณีที่อายุห่างกันสิบห้าปีขึ้นไป การจดทะเบียนลูกบุญธรรมก็ถือเป็นการจดทะเบียนสมรส’
เด็กหนุ่มไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองนัก กับประโยคสุดท้ายที่กำลังปั่นป่วนหัวใจให้เต้นแรงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เขารู้สึกได้ถึงความร้อนบนแก้มและใบหู ซึ่งสีหน้าคุณแบคฮยอนตอนนี้ดูจริงจังและประหม่าอยู่ไม่น้อย กับการขอแต่งงานที่เกิดขึ้นในบ้านพ่อแม่ของเขา
“แต่งงานกันเถอะ ฉันไม่อยากเปิดโอกาสให้เธอไปมีใครอีกแล้วชานยอล”
ริมฝีปากของเด็กตัวโตค่อย ๆ ยิ้มออกมา ซึ่งเขาคาดว่ามันคงเป็นคำตอบที่ดีได้โดยไม่ต้องพูด แบคฮยอนยิ้มตามออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่เขาจะปิดเปลือกตาลงเพื่อรับจูบจากเด็กหนุ่มซึ่งเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
แผ่นหลังบางเอนลงไปโดยมีเด็กหนุ่มคร่อมทับอยู่ด้านบน เราแลกจูบกันซ้ำ ๆ แล้วผละออกมาคลอเคลียจมูก หัวเราะในลำคอเบา ๆ กับกำแพงสูงอีกชั้นที่ปาร์คชานยอลโค่นมันลงได้ด้วยความซื่อสัตย์ ความจริงใจทั้งหมดที่เด็กอายุสิบเก้าจะมีให้ได้
จากที่เคยพูดไปเพื่อให้คุณแบคฮยอนสบายใจว่าอย่าลืมที่จะให้โอกาสตัวเอง หากวันหนึ่งรู้ตัวแล้วว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับเขามันไม่ใช่ความรัก แม้ในใจเด็กหนุ่มจะอยากเห็นแก่ตัว และบอกให้คนตัวเล็กมีเขาเพียงคนเดียว อย่าไปมองใครที่ไหนอีก
ปาร์คชานยอลไม่ต้องรออีกต่อไปแล้ว...
“ตกลงครับ... ผมจะแต่งงานกับคุณ”
.
.
แบคฮยอนได้คุยเรื่องนี้กับพ่อแม่เด็กอย่างจริงจังในวันรุ่งขึ้น ซึ่งท่านก็ยินดีที่จะให้ชานยอลกับซูยองมีผู้ปกครองเสียที เพราะเรื่องบางเรื่องต้องได้รับการยินยอมจากผู้ใหญ่และไม่สามารถจัดการเองได้
ชานยอลมองคนตัวเล็กที่อยู่ในชุดสูทผูกไทอย่างเป็นทางการ ส่วนเขากับน้องสาวอยู่ในชุดนักเรียน หลังจากเขียนใบลาจนถึงตอนเที่ยง เพื่อขอออกมาทำธุระก่อนจะกลับไปเรียนต่อ
เด็กหนุ่มเงยหน้ามองสถานที่ราชการ ซึ่งครั้งหนึ่งปาร์คชานยอลเคยกลัวที่จะจดทะเบียนเป็นลูกบุญธรรมคนตัวเล็ก แต่วันนี้จะเหมือนเมื่อวานได้อย่างไร วันนั้นมันอาจเต็มไปด้วยความวิตกกังวล แต่วันนี้สิ่งที่เขาทำคือหันไปยิ้มให้คุณแบคฮยอน และเดินเข้าไปในนั้นด้วยกัน
“ต่อไปนี้หนูต้องเรียกพี่ว่าปะป๊าใช่ไหมคะ?”
“แซวเหรอเด็กต๊อง?” แบคฮยอนมองเด็กสาวอย่างเอ็นดู พร้อมเอื้อมมือไปยีผมเบา ๆ ก่อนที่ซูยองจะเอนมาซบเขา และกอดเอวอย่างออดอ้อน
“เนี่ย ต้องรักหนูมากกว่าพี่ชานยอลนะ” เธอช้อนตามอง
“ทำไมล่ะ?”
“ก็บ้านหลังอื่นเขาเอาใจลูกคนเล็กที่สุดอะ หนูกำลังจะเป็นลูกบุญธรรมของพี่ และนั่นหมายความว่าต่อจากนี้ไปหนูจะงอแงได้โดยไม่โดนดุ” พูดจบก็ชำเลืองมองพี่ชายตัวโต
ชานยอลขยับปากบ่นพร้อมง้างมือขึ้นทำท่าจะเขกหัว ซึ่งน้องสาวตัวแสบก็เชิดหน้าท้าทาย ซูยองรู้ว่าพี่ชายไม่กล้าแน่ ๆ ถ้าเธออยู่ในอ้อมกอดของพี่แบคฮยอนแบบนี้
“ผิดแล้ว พี่จะดุเธอยิ่งกว่าเมื่อก่อนอีก”
“อ๋า ไหงงั้นล่ะคะ เราจะจดทะเบียนกันเพื่อเหตุผลนี้เหรอ ไม่ได้นะ” ซูยองเบะปาก กอดเอวอีกฝ่ายแน่นพร้อมซุกอก “ห้ามโหดกับหนู ถ้าหงุดหงิดก็ลงกับพี่ชานยอลแทน”
“ย่าห์ ปาร์คซูยอง”
“ฉันล้อเล่นน่ะ” แบคฮยอนยิ้มขำ ลูบศีรษะเด็กสาวเบา ๆ ก่อนจะหันไปทางคนรักที่มองมาด้วยสายตาคาดโทษเล็ก ๆ
อะไรของเจ้าเด็กนั่น น้องตัวเองแท้ ๆ ก็หึงหรือไง?
“วิ่งไปดูซิว่าวันนี้คนเยอะหรือเปล่า”
“อะไรอะ ทำไมต้องเป็นหนูด้วย พี่อยากรู้ก็ไปเองสิ” ซูยองเซไปด้านหน้าสองก้าวเพราะโดนพี่ชายผลักหัว ชานยอลไม่ตอบคำถาม เขายังคงทำหน้ามึนตึงอยู่กับความหึงที่ไม่เลือกหน้าว่าจะเป็นใคร
“บอกให้ทำก็ทำสิ”
“อ่า ลูกชายคนโตบ้านนี้ดุจริง ๆ เลย...” แบคฮยอนพึมพำเบา ๆ แต่คนถูกแซวยังคงปั้นหน้านิ่ง
“ผมดุได้มากกว่านี้อีกครับ” ชานยอลโน้มลงมากระซิบ ก่อนจะยืดตัวตรงพร้อมล้วงมือทั้งสองข้างเข้าไปในกระเป๋ากางเกง
“เริ่มจะอยากรู้แล้วสิ?” คนอายุมากกว่ายิ้มขำ สีหน้าปาร์คชานยอลตอนนี้เหมือนเด็กขี้แพ้ที่โดนแย่งของเล่นไม่มีผิด สายตาที่มองมาด้วยความอิจฉาเพราะทำเหมือนน้องไม่ได้น่ะ...
ไว้จะตอบแทนทีหลังแล้วกันนะเด็กยักษ์
ทั้งสามคนนั่งอยู่หน้าโต๊ะ โดยมีเจ้าหน้าที่ชายแก่เป็นคนเดินเรื่องให้ ชานยอลนั่งอยู่ตรงกลาง เขามองคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ด้านซ้ายมือ พร้อมเอาปากกาส่วนตัวออกมา
เอกสารสีขาวถูกแจกให้ทุกคนกรอกรายละเอียดลงไปหลังจากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลครบแล้วว่าบยอนแบคฮยอนสามารถรับเลี้ยงดูเด็กสองคนนี้ได้อย่างชอบธรรม
“ไม่อยากเชื่อเลยว่าคุณจะอายุสามสิบสี่แล้ว”
“พี่เขาหน้าเด็กใช่ไหมล่ะคะ” ซูยองเสริมคุณลุงเจ้าหน้าที่ซึ่งกำลังยิ้มขณะมองทั้งสามคนสลับกันไปมา
“ทำไมถึงรับเลี้ยงดูเด็กสองคนนี้ล่ะครับ?” ชานยอลชำเลืองมองคนข้าง ๆ หลังจากได้ยินคำถามของเจ้าหน้าที่ ซึ่งมันเป็นเรื่องดีเหลือเกินที่เขาได้เห็นรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่บนใบหน้าคนตัวเล็กมาจนถึงวินาทีนี้
“จุดเริ่มต้นมาจากความเห็นใจและความหวังดี แต่พอรู้ตัวอีกที ผมก็ผูกพันกับเด็กสองคนนี้ไปแล้วน่ะครับ” แบคฮยอนยิ้ม ก่อนจะหันไปทางสองพี่น้องที่กำลังมองมายังเขาด้วยความรักในแบบที่ต่างกัน
แบคฮยอนหลุบตามองเส้นตรงที่ขีดอยู่ในส่วนท้ายสุดของเอกสาร ถ้าหากว่าเขาเซ็นชื่อลงไปตรงนี้ เราทั้งสามคนก็จะกลายเป็นครอบครัวเดียวกันอย่างเป็นทางการ ซึ่งสองพี่น้องก็ได้เซ็นชื่อตนเองลงไปเรียบร้อยแล้ว
“ปกติผมจะเห็นเป็นเด็กประถม ไม่ก็มอต้นมากกว่า แต่เด็กคนนี้เดี๋ยวก็เข้ามหาลัยแล้วใช่ไหม?”
‘เมื่อไหร่ที่คุณเซ็นชื่อลงไปในกระดาษ... นั่นหมายความว่าคุณจะเลิกรักผมไม่ได้แล้วนะครับ คุณแบคฮยอน’
คำพูดของชานยอลเมื่อคืนได้ลอยเข้ามาในความคิด ซึ่งมันไม่ได้ทำให้เขาไขว้เขวจนนึกอยากเก็บปากกาใส่กระเป๋า แบคฮยอนยิ้มบาง ๆ เมื่อนึกถึงแววตาคู่นั้น เด็กยักษ์ยังคงกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจอยู่เสมอ
“ความหวังดีของแต่ละคนอาจมาในรูปแบบที่ต่างกัน บางคนให้คำแนะนำ บางคนแค่มองแล้วนึกเวทนา แต่บางคนก็เลือกให้เป็นการดูแล” แบคฮยอนเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง พร้อมหันไปสบตากับเด็กหนุ่มที่นั่งมองเขาโดยไม่ละสายตาไปไหน “เพราะต่อให้เขาอายุยี่สิบห้า สามสิบห้า หรือสี่สิบ ผมก็คงไม่ลังเลที่จะทำแบบนี้”
แบคฮยอนเซ็นชื่อตนเองลงไปในบรรทัดสุดท้าย ก่อนจะดันเอกสารไปตรงกลางโต๊ะเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ เสียงพูดของซูยองพอจะกลบความอิ่มเอมใจที่ลอยอยู่บนศีรษะพี่ชายของเธอได้บ้าง ชานยอลไม่เคยรู้สึกหัวใจพองโตขนาดนี้ แม้แต่ตอนมีจูบแรกกับคุณแบคฮยอน
เขาไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกของบ่าวสาวในงานแต่งเป็นอย่างไร จนกระทั่งตอนนี้... ตอนที่คำถามของเจ้าหน้าที่เป็นเหมือนบาทหลวงที่กำลังขอคำยืนยันจากปากเขาทั้งสอง
ชานยอลกุมมืออีกฝ่ายที่วางอยู่บนหน้าขา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสอดประสานเรียวนิ้วจนไม่เหลือช่องว่างให้อากาศวิ่งผ่าน ความอบอุ่นจากฝ่ามือและคำพูดทั้งหมดถูกส่งไปยังหัวใจ โดยไม่มีใครมองเห็นว่าเจ้าบ่าวทั้งสองในวันนี้กำลังให้คำสัญญากับพระเจ้า
แม้จุดเริ่มต้นจะเกิดจากความเห็นใจจนแปลเปลี่ยนเป็นความผูกพัน แต่สุดท้ายแล้วบยอนแบคฮยอนก็สัมผัสได้ด้วยตัวเองว่าความรักของปาร์คชานยอลนั้นบริสุทธิ์แค่ไหน
สิ่งเดียวที่มนุษย์ต้องกลัวคือความคิดของตัวเอง ดังนั้นบยอนแบคฮยอนจึงยิ้มได้อย่างมีความสุข หลังหลุดพ้นจากความกังวลสารพัดที่ไม่ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น หากกลัวที่จะรัก... เขาก็จะเสียความรักไป
ถ้าหากอีกฝ่ายไม่ใช่ปาร์คชานยอล คนที่นั่งแกะส้มอยู่ข้างเตียงในวันนั้นอาจเลือกหายไปจากชีวิตเขาก็ได้
ไม่ต้องมากไปกว่านี้ สิ่งที่บยอนแบคฮยอนต้องการก็คือ ขอแค่มีเด็กคนนั้นอยู่ด้วยกันในวันที่เหน็ดเหนื่อยกับชีวิต โดยไม่มีใครเห็นว่าเรื่องราวของอีกฝ่ายเป็น ‘แค่เรื่องเล็ก ๆ’ ซึ่งเขาก็จะทำอย่างนั้นเหมือนกัน หากทำได้... ความรักของเราก็จะไม่มีวันจืดจางลง
ใช่ไหมเด็กยักษ์?
“ผมสัญญาว่าจะดูแลคุณแบคฮยอนไปจนกว่าจะจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองเป็นใครครับ”
THE END
“Don’t stop giving love even if you don’t receive it. Smile and have patience.”
– – Anonymous – –
อย่าหยุดที่จะหยิบยื่นความรัก ถึงแม้คุณจะไม่ได้รับมันตอบ จงยิ้มสู้และมีความอดทน
“You’re here, there’s nothing I fear.”
– – Anonymous – –
ไม่มีอะไรที่จะทำให้ผมกลัวได้อีกแล้วเมื่อมีคุณอยู่เคียงข้าง
“Only once in a lifetime love rushes in, changing you with the tide.”
– – Mariah Carey – –
ในชีวิตเราจะมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ความรักจะวิ่งเข้าใส่ และทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปตามความรักนั้น
มาจนถึงตอนจบแล้วค่ะ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้นะคะ แล้วก็ขอโทษจริง ๆ ถ้าเกิดว่าเราทำอะไรผิดพลาดไป จุดเริ่มต้นของฟิคเรื่องนี้คือ เรานั่งอยู่กับน้อง แล้วน้องเล่าเรื่องกระทู้ในพันทิปให้ฟัง เหมือนที่กล่าวไว้ในอินโทรเลยค่ะ แล้วหลังจากนั้นก็คิดพล็อต ด้วยความที่เราอินกับเรื่องนี้มาก จึงทำให้การอัพมันต่อเนื่องจนจบภายในสองเดือน
ใจหายอีกเรื่องแล้วเนอะ แต่เดี๋ยวเราจะมาต่อสเปพิเศษอีกนะคะ ทั้งเป็นของเด็กยักษ์และคุณชานยอลเวอร์ชั่นสลับคาแรกเตอร์เลย
ขอบคุณมาก ๆ นะคะ ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ
ปล. หากใครต้องการสั่งซื้อเล่ม เราเปิดโอนถึงวันที่ 25 มีนาคมนี้นะคะ ในเล่มมีเหมือนในเวปหมดเลยค่ะ (สรุปคือไม่มีอะไรพิเศษ) ของแถมเป็นโปสการ์ดแฟนอาร์ต หากสนใจก็ลองเข้าไปอ่านรายละเอียดในลิงค์นี้ได้นะคะ >> https://t.co/PUcyqx4Crl << แต่ก่อนซื้อ ทบทวนให้ดีก่อนน้า อย่าเจียดเงินมาสั่งฟิคจนทำให้ใช้ชีวิตลำบากล่ะ เป็นห่วงนะ ถ้าไม่ซื้อเล่มก็อ่านเอาในเวปได้ เราไม่ลบบทความทิ้งอยู่แล้วค่ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ดือออออมากกกก สมคำช่ำชือออ ;—;
มีหลายตอนที่อ่านแล้วอยากร้องไห้ออกมา อาจจะเป็นเพราะวันนี้ฟ้าครึ้มเหมือนฝนจะตก หรือเพราะเข้าใจความหมายที่พี่มิ้วต้องการจะสื่อในแต่ละบรรทัดมากขึ้นก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันตื้นตันจนอยากจะร้องไห้ออกมาเลยค่ะ คิดถึงพี่มิ้วที่สุด รักพี่มิ้วนะคะ
ซึ้ง
ขอบคุณสำหรับฟิคดีๆอีกเรื่องนึง พี่แต่งได้ดีมากจริงๆคะ ^____^