ตอนที่ 13 : CHAPTER 12 :: Him Or Her (100%)
CHAPTER 12
Him Or Her
“หมอเบไม่ไปกินข้าวด้วยกันเหรอคะ?” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นจากแฟ้มประวัติผู้ป่วย ก่อนจะยิ้มให้อินเทิร์นทั้งสี่คน ที่เหน็ดเหนื่อยมาตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงตอนนี้
“ฉันยังไม่หิว พวกคุณไปกันเลย”
“ยังไงก็อย่าลืมกินนะครับ หมอตัวนิดเดียวเอง เดี๋ยวเป็นลมระหว่างผ่าตัดไปจะถูกหมอปาร์คบ่นเอานะ” อินเทิร์นหนุ่มหัวเราะ เขาไม่รู้เลยว่าประโยคเมื่อครู่ได้กลืนรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้าเบจูฮยอนไป
“ไปได้แล้ว” หญิงสาวโบกมือปัด ๆ เป็นเชิงไล่ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาให้ความสนใจกับแฟ้มประวัติผู้ป่วยอีกครั้งเป็นการตัดบทสนทนา
จูฮยอนกลับเข้าไปในห้องทำงาน ยืนพิงหลังกับประตูพลางหลับตาลงเพราะความเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่เคยเลยสักครั้งหญิงสาวจะกลัวการมาโรงพยาบาล จนกระทั่งอาทิตย์ที่แล้ว
เธอไม่สามารถลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นได้ และคงไม่มีวันให้อภัยตัวเอง จูฮยอนเดินไปนั่งบนเก้าอี้พร้อมเท้าศอกกุมขมับ ครุ่นคิดกับเรื่องเดิม ๆ จนปวดหัว เธอหลีกเลี่ยงการพูดคุยกับรุ่นพี่มาตลอดหนึ่งอาทิตย์ ไม่สิ... ต้องเรียกว่าหลบหน้าถึงจะถูก
แต่จูฮยอนคงไม่ต้องพยายามอีกต่อไปแล้ว เมื่อวันนี้ผู้ชายคนนั้นกลับเป็นฝ่ายเพิกเฉย แสร้งมองไม่เห็นเธอ ทั้งที่ควรสบายใจและรู้สึกดีขึ้น แต่มันกลับผิดไปหมด จูฮยอนรู้สึกเจ็บปวด กับสิ่งที่เธอเคยทำกับเขา
เราเคยเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกันมาตลอด ความสนิทสนมเพิ่มขึ้นตามลำดับเมื่อรุ่นพี่ทำให้จูฮยอนสบายใจจนยอมเล่าเรื่องความทุกข์ในชีวิตให้ฟัง ผู้ชายคนนั้นเป็นผู้ฟังที่ดี ไม่คล้อยตาม แถมยังต่อว่ากับนิสัยรักตัวเองมากจนมองข้ามแบคฮยอนไปอีก
จูฮยอนไม่โกรธสักนิดที่รุ่นพี่ดุเธออย่างนั้น เพราะมันเป็นเรื่องจริงซึ่งปฏิเสธไม่ได้ พอเวลาบีบกระชั้นเข้ามาเรื่อย ๆ ความเครียดก็เพิ่มมากขึ้น หญิงสาวกังวลทุกครั้งที่คนรักโทรมา เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะพูดถึงเรื่องแต่งงาน
รุ่นพี่บอกว่าถ้าไม่พร้อมหรือไม่อยากแต่งก็ควรทำอะไรสักอย่าง แทนที่จะปล่อยให้เรื่องราวคาราคาซังอย่างนี้ มันจะแย่ทั้งตัวเธอและแบคฮยอนที่รอมานาน ใช่ จูฮยอนรู้ แต่พูดมันย่อมง่ายกว่าตัดสินใจทำเสมอ
หากเธอบอกว่าไม่พร้อมแต่งงาน คนที่จะรู้สึกแย่คงไม่ใช่แค่เธอและแบคฮยอน เพราะยังมีพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย ที่เข้าใจว่าลูกของตนรักกันมาตลอดสิบกว่าปี ซึ่งท่านก็เข้าใจไม่ผิด แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้ใหญ่ไม่รู้ก็คือ ทุกอย่างมันได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว
จูฮยอนหลอกตัวเองไม่เก่งนัก เพราะหลังจากรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง เธอก็พยายามทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่ยิ่งพยายามเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความฝืนทนที่ทำให้ต้องย้อนกลับมาถามตัวเองว่า ‘เรายังรักกันอยู่หรือแค่ยื้อเวลาออกไป?’
เสียงเคาะประตูเรียกสติหญิงสาวให้หลุดจากความกังวล ลูกบิดหมุนและประตูบานไม้ถูกดันเข้ามา ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างอย่างตกใจ เมื่อพบว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือรุ่นพี่ที่เธอพยายามหลบหน้ามาตลอด
“เห็นพยาบาลบอกว่าเธออยู่ที่นี่ ฉันก็เลยเอามาให้”
จูฮยอนลุกขึ้นยืนนิ่ง พลางหลุบสายตามองแซนวิชที่อีกฝ่ายวางลงบนโต๊ะกับนมช็อกโกแลตที่เธอชอบหนึ่งกล่อง แม้จะทำธุระเสร็จแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังคงยืนอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ โดยไม่เดินออกไปจากที่นี่
ความอึดอัดปกคลุมอยู่โดยรอบ จูฮยอนไม่สามารถสบตากับรุ่นพี่ได้นานไปกว่านี้ หลังจากภาพในคืนนั้นลอยเข้ามาในความคิดอีกครั้ง หญิงสาวจึงตัดสินใจเป็นฝ่ายเดินออกไปเอง แต่ยังไม่ทันก้าวถึงประตู แขนของเธอก็ถูกชายหนุ่มคว้าเอาไว้
“เธอทำแบบนี้ไปไม่ได้ตลอดหรอกจูฮยอน”
“...”
“วิธีเดียวที่เธอจะหลบหน้าฉันได้ก็คือลาออกจากที่นี่”
“...”
“และฉันคงไม่ยอม”
หญิงสาวกำมือแน่น โดยที่อีกคนซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ยังไม่คิดจะปล่อยแขนเธอ ทั้งคู่ปล่อยให้ความเงียบทำร้ายอีกฝ่าย เพราะเรื่องบ้า ๆ ที่เกิดขึ้นจากการเผลอใจในคืนวันที่หมอและอินเทิร์นกลุ่มหนึ่งนัดกันไปกินข้าวและต่อด้วยคาราโอเกะ
จูฮยอนไม่ได้ปฏิเสธ หนำซ้ำเธอยังรู้สึกดีเสียอีกหากได้ปลดปล่อยความทุกข์ใจออกมาด้วยการแหกปากร้องเพลง และคืนนั้นรุ่นพี่ก็ไปด้วย แม้เจ้าตัวจะบ่นว่าง่วงจนแทบลืมตาไม่ไหวก็ตาม
นานแค่ไหนแล้วที่เบจูฮยอนไม่ได้สัมผัสกับรสชาติของความเมา มันคงนานมากจนแทบจำความรู้สึกแรกไม่ได้แล้ว หญิงสาวถูกรุ่นพี่รวบเอวให้ลงมาจากโต๊ะ พร้อมก่นด่าถึงความเลอะเทอะที่เธอกำลังเป็นอยู่ แต่วินาทีนั้นใครจะสน นาน ๆ ทีเบจูฮยอนจะได้ปลดปล่อย อย่างน้อยก็แค่ชั่วโมงเดียวไม่ได้หรือไง
รุ่นพี่เอามือถือของเธอไป พร้อมถามรหัสปลดล็อกเพื่อที่จะโทรตามแบคฮยอนให้มารับ หากแต่หญิงสาวกลับตบหน้าอีกฝ่ายเบา ๆ แล้วบอกว่าเธอไม่ต้องการเจอหน้าใครที่ไหนอีก
หากมีสติมากกว่านั้นสักหน่อย เบจูฮยอนคงพาตัวเองกลับได้โดยไม่ต้องให้รุ่นพี่ไปส่ง และเราคงไม่มีเซ็กส์กัน แต่วินาทีนั้นหญิงสาวก็ไม่อยากรับรู้อะไรอีก อยากทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง และต้องการที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ดังนั้นอ้อมกอดอุ่น ๆ จากรุ่นพี่ที่ไว้ใจ จึงเป็นสิ่งเดียวที่เบจูฮยอนต้องการที่สุด
เพราะพิษเหล้าและจิตใต้สำนึกที่เรียกร้องหาอีกฝ่ายอยู่ลึก ๆ หลังจากเริ่มมีให้กันโดยไม่รู้ตัว เราอยู่ใกล้กันเกินไป... ไว้ใจอีกฝ่ายเกินไป... ดังนั้นรุ่นพี่จึงเป็นคนเดียวที่สามารถเอาเบจูฮยอนได้จนอยู่หมัดได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“ฉันรู้ว่ามันยาก แต่ลืมมันไปเถอะค่ะ”
“ก่อนจะบอกให้ฉันลืม เธอทำมันได้แล้วหรือไง?”
“...”
“ถ้าเธอท้องขึ้นมา ยังจะบอกให้ฉันลืมอยู่ไหม?” หญิงสาวเบือนหน้าหลบไปอีกทาง หลังจากที่อีกฝ่ายคว้าไหล่ทั้งสองข้างของเธอเอาไว้
“วางใจเถอะ ฉันกินยาป้องกันเรียบร้อยแล้ว” หญิงสาวเว้นจังหวะไปชั่วอึดใจ “แต่ถ้ามีอะไรผิดพลาด รุ่นพี่ก็ไม่ต้องกังวลเลยว่าฉันจะ--”
คำพูดทุกอย่างถูกกลืนลงคอไปหมด ด้วยริมฝีปากหยักที่กดจูบทับลงมาอย่างรุนแรงเพื่อหยุดหญิงสาวให้หยุดทำร้ายจิตใจเขาเสียที จูฮยอนผลักอกแกร่งออก แต่ยิ่งพยายามเท่าไหร่ ชายหนุ่มก็ยิ่งจูบหนักขึ้นเท่านั้น
“หยุดพูดยั่วโมโหฉันสักทีเบจูฮยอน”
“รุ่นพี่ก็หยุดทำให้ฉันเป็นบ้าสักทีสิ!”
“มีแค่เธอคนเดียวหรือไงที่จะเป็นบ้าน่ะ?! คิดว่าฉันมีความสุขมากใช่ไหมที่ต้องเอาแต่มองหาเธออยู่ตลอด ในขณะที่เธอเอาแต่หลบหน้าฉัน!”
“แล้วจะให้ฉันทำยังไง?! ฉันมันเลวที่นอนกับรุ่นพี่ทั้งที่อีกไม่นานฉันก็จะแต่งงานกับผู้ชายที่คบกันมาสิบกว่าปี!” หยดน้ำใสคลอหน่วง ก่อนจะไหลลงอาบแก้มขาวของหญิงสาวตรงหน้า
“แล้วยังไงต่อล่ะ เธอจะแต่งงานกับเขาแล้วทำเหมือนว่าเรื่องของเรามันไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ” ชายหนุ่มกดเสียงลงต่ำ “ระยะเวลามันเป็นสิ่งบ่งบอกเหรอว่าใครที่จะอยู่กับเธอไปได้ตลอดชีวิต”
“...”
“เธอรักโรงพยาบาลขนาดนี้ เธอโหยหาฉันขนาดนี้ แล้วยังกล้าแต่งงานกับคนอื่นอีกเหรอ?”
“อย่าพูด...”
“มันไม่สำคัญหรอกว่าความรู้สึกที่เธอมีต่อฉันมันจะน้อยกว่าผู้ชายคนนั้นสักแค่ไหน แต่มันเกิดขึ้นแล้วจูฮยอน” ทั้งคู่สบตากันนิ่ง “และคนที่จะทำไม่ได้ไม่ใช่ฉัน แต่มันคือเธอ”
“...”
“เธอจะแต่งงานกับผู้ชายคนนั้นทั้งที่ยังรู้สึกแบบนี้หรือไง ถามตัวเองบ้างไหมว่ามีความสุขหรือเปล่าเวลาได้เจอเขา ผู้ชายที่เธอบอกว่ารักมาตลอดสิบกว่าปี”
“...”
“เธอจะปฏิเสธความรู้สึกฉันก็ได้ ฉันจะพยายามทำตัวเป็นปกติ แต่ขออย่างเดียว...” ชายหนุ่มไล้น้ำตาออกจากดวงหน้าขาวอย่างเบามือ “อย่าทำลายชีวิตตัวเองเพราะสิ่งที่เรียกว่าความผูกพันได้ไหมจูฮยอน?”
.
.
ปาร์คชานยอลพยายามตั้งสติ หลังจากสูญเสียความเป็นตัวเองครั้งยิ่งใหญ่ไปในคืนนั้น กับเรื่องที่ทำให้ใจเต้นแรงทุกครั้งที่นึกถึง แม้ว่าพยายามหาหนังสือมาอ่านกลบเกลื่อนแล้วก็ตาม แต่มันก็คงจริงอย่างที่คุณแบคฮยอนบอกนั่นแหละ ว่าการพยายามลืม ก็คือการนึกถึง
ความรู้สึกตอนนั้นทั้งเขินและกระดากอาย ชานยอลรู้ตัวเลยว่าหูทั้งสองข้างมันร้อนผ่าวตลอดเวลาที่อยู่บนโต๊ะอาหารเพื่อกินพิซซ่ากับคุณแบคฮยอน นั่งตัวเกร็งไม่พูดไม่จาอยู่นาน ในการรวบรวมความกล้าชวนคุยเรื่องสอบปลายภาคเทอมแรกซึ่งใกล้จะมาถึง แต่พอเงยหน้าขึ้นหัวใจก็ทำงานหนักอีกครั้ง หัวใจชานยอลแทบหยุดนิ่งเพราะเห็นว่าคนตัวเล็กกำลังเลียและดูดซอสมะเขือเทศจากนิ้วมือตนเอง
รอดจากเหตุการณ์นั้นมาได้ก็ถือว่าพระเจ้าช่วยแล้ว ชานยอลกุมขมับทุกครั้งที่ฮอร์โมนเด็กวัยรุ่นมันพุ่งพล่านจนส่งไปในทางลามกหมกมุ่น เด็กหนุ่มพยายามหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสงบสติ แต่มันก็ยากจริง ๆ ทุกสิ่งที่คุณแบคฮยอนทำมันเกินความคาดหมายจนทำให้เขานึกโลภมากขึ้นเรื่อย ๆ
จากตอนแรกคิดว่าแค่ได้อยู่ด้วยกันก็พอใจแล้ว แต่พอได้รับมากขึ้น ความเห็นแก่ตัวของเด็กอย่างปาร์คชานยอลก็ค่อย ๆ ปรากฏออกมา มันไม่เคยมีคำว่า ‘พอ’ เพราะเขานั้นอยากกอด อยู่จูบ อยากอยู่ใกล้ ๆ ตลอดเวลา จนในบางครั้งมันดูงี่เง่าเหมือนเด็กเห่อความรัก และถ้าคุณแบคฮยอนรู้ก็คงเอือมระอา
เด็กหนุ่มไม่อยากให้คุณแบคฮยอนแต่งงานแล้ว ยิ่งเวลามันใกล้เข้ามาทุกทีก็ยิ่งเจ็บหัวใจ จากที่เคยรอวันหยุดสุดสัปดาห์เพื่อได้เจอกัน ปัจจุบันชานยอลมักจะแวะไปหาคนตัวเล็กแทบจะทุกวันโดยเอามื้อค่ำมาอ้าง ซึ่งคุณแบคฮยอนก็คงรู้ และเด็กหนุ่มก็รู้สึกดีที่อีกฝ่ายไม่บ่น หรือแสดงท่าทีว่ารำคาญ
ปาร์คชานยอลคงยืดเวลาไปได้ไม่นาน แม้ช่วงนี้คุณจูฮยอนยังไม่ว่างไปลองชุด แต่ก็ใช่ว่าเธอจะยุ่งตลอดไป
ชานยอลโกรธตัวเองที่เอาแต่ภาวนาขอให้เธอผลัดวันไปเรื่อย ๆ เพื่อยืดเวลาให้เขาได้อยู่กับคุณแบคฮยอนนานกว่านี้อีกสักหน่อย เด็กหนุ่มรู้ว่ามันโง่ที่เอาแต่ภาวนาอย่างนี้ แต่ถ้ามีอะไรที่เขาสามารถลงมือทำได้แล้วมันไม่ผิด ไม่ทำให้ใครสักคนต้องเจ็บ เชื่อเถอะว่าปาร์คชานยอลคงไม่ลังเลที่จะทำ
มันน่าสมเพชที่ต้องมีความสุขได้แค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ พอคุณแบคฮยอนกลับไป เด็กหนุ่มก็ต้องกลับมาพบความรู้สึกว่างเปล่าอีกครั้ง แต่มันก็ยังดีกว่าการไม่มีความสุขเลย ใช่ ในเมื่อเขาตั้งใจไว้แล้วว่าจะอยู่กับคุณแบคฮยอนไปจนถึงวันนั้น เขาก็ต้องเก็บความทรงจำดี ๆ เอาไว้ก่อนที่จะไม่มีโอกาสอีก
ชานยอลไม่สนใจ และไม่อยากฟังคำพูดของอีกฝ่ายที่ต่อว่าตนเองเรื่องความโลเล เด็กหนุ่มขอแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น แค่รอยยิ้มเวลามองเขาและความสุขที่แท้จริงเวลาอยู่ด้วยกันโดยไม่ต้องฝืน เพียงเท่านั้นก็เกินพอแล้ว
.
.
“ทำไมนัดกูที่ร้าน”
“กูอยากให้มึงเป็นเจ้านายที่ดี หัดเข้ามาเทคแคร์ลูกจ้างบ้าง”
จงอินแค่นหัวเราะ มองเพื่อนสนิทในชุดเชิ้ตสีอ่อน กางเกงแสล็คและรองเท้าหนัง แบคฮยอนปลีกตัวออกมาข้างนอกก่อนจะกลับเข้าออฟฟิศในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า แต่มันก็คงมากพอสำหรับเพื่อนที่ไม่ค่อยมีเรื่องคุยกันนัก
“เตรียมชุดเพื่อนเจ้าบ่าวไว้หรือยัง”
“ไม่เตรียม”
“เพราะ?”
“มึงยังจะถามอีกเหรอว่าทำไม” จงอินยกยิ้ม พลางมองสีหน้าเรียบเฉยของเพื่อนสนิท “มึงสองคนนี่สภาพไม่ต่างกันเลยสักนิด เห็นแล้วน่าหงุดหงิด”
“จูฮยอนน่ะนะ เธอว่ายังไงบ้าง?”
“อยากรู้เหรอ ถามเองสิ” จงอินปั้นหน้ากวน ทำเอาคนฟังยกเท้าขึ้นเตรียมถีบ
“ทำอะไรสักอย่างเถอะ มึงเองก็เตลิดไปไกล กูว่าคงกู่ไม่กลับแล้ว” ชายหนุ่มผิวแทนเปลี่ยนเป็นแววตาจริงจัง สุดท้ายก็ต้องยื่นแขนยื่นขามายุ่งจนได้ เพราะแม่งสองคนทำอะไรไม่ได้ดั่งใจสักอย่างเดียว
จูฮยอนก็ทำหน้าเหมือนคนอมทุกข์ตลอดเวลาที่เจอกัน ส่วนไอ้ห่านี่ก็ดูจะเทใจให้เด็กไปเสียเยอะ ไหนชานยอลที่ดูฟุ้ง ปล่อยฮอร์โมนเด็กหนุ่มกำลังมีความรักออกมาตลอดเวลาตอนทำงานพิเศษ และมันทำให้เขาคิดว่าสองคนนี้ไม่ควรมีความสุขกันบนความทุกข์ของจูฮยอน
“ทำตั้งแต่ตอนนี้ซะแบคฮยอน มึงจะได้ไม่ต้องเสียเงินค่าชุดแต่งงานด้วย”
“มันชัดขนาดนั้นเลยเหรอวะ” คนตัวเล็กมองแก้วกาแฟดำในมือ เขาลองดื่มมันและรีบวางลงเพราะรสชาติขมเฝื่อนจนไม่อยากลองอีกเป็นครั้งที่สอง ให้ตายเถอะ เบจูฮยอนดื่มของแบบนี้ลงไปได้อย่างไร
“ก็ไม่ชัดมาก แต่กูคงฉลาดเกินไปถึงดูพวกมึงสองคนออก”
“เออ ความจริงกูก็คิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่ยังไงก็อยากไปลองชุดให้แม่ดีใจก่อน” แบคฮยอนถอนหายใจ
“สรุปคือมึงเลือกเด็กใช่ไหม?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ที่กูคิดจะยกเลิกงานแต่ง เป็นเพราะความรู้สึกของกูมันหยุดนิ่งไปนานแล้ว” เขาเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “กูแต่งงานกับจูฮยอนทั้งที่ใจกูมีชานยอลไม่ได้”
“อ่าฮะ”
“กับเด็กคนนั้น ถึงจะพูดว่ารักได้ไม่เต็มปาก แต่กูคิดว่าสักวันหนึ่งความใส่ใจของชานยอลจะทำให้กูไปไหนไม่ได้อีก” แบคฮยอนถอนหายใจ “การซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองมันเป็นสิ่งที่กูควรทำใช่ไหมวะจงอิน?”
“แน่นอนอยู่แล้วว่าใช่ กูพอจะรู้ว่าแม่นั่นก็ไม่ได้อยากแต่งงาน เพราะงั้นคงไม่ยากถ้าพวกมึงสองคนจะตกลงกันน่ะนะ”
“กูว่ายาก”
“...?”
“เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องแต่งงาน” จงอินมองเพื่อนสนิทที่วางแก้วกาแฟดำลงบนถาดเด็กเสิร์ฟที่เดินผ่านมาทางนี้ ก่อนจะหันมาสบตากับเขา “กูจะบอกเลิกจูฮยอน”
“จริงจังเปล่าเนี่ย?” ชายหนุ่มผิวแทนขมวดคิ้ว
“กูรู้สึกกับคนสองคนพร้อมกันไม่ได้ว่ะจงอิน ตลอดเวลาที่อยู่กับชานยอล กูจะรู้สึกผิดกับจูฮยอนทุกครั้ง และพออยู่กับจูฮยอน กูก็เอาแต่คิดถึงเด็กคนนั้น กูอยากจบความรู้สึกแบบนี้”
“แล้วมึงจะบอกแม่นั่นยังไง ขอเลิกเพราะชอบผู้ชายด้วยกัน แถมคน ๆ นั้นยังเป็นเด็กที่มึงรับอุปการะมาแต่อ้อนแต่ออกงั้นเหรอวะ?”
สีหน้าของแบคฮยอนเต็มไปด้วยความกังวล แต่ก็แฝงไปด้วยความแน่วแน่ที่คงผ่านการไตร่ตรองมาแล้ว จงอินรู้ดีว่าสัยอีกฝ่ายเป็นอย่างไร ดังนั้นเขาจึงอยากเตือนสติอีกสักหน่อย เผื่อว่าไอ้เพื่อนตัวดีจะมีความลังเลใจบ้าง แต่ผ่านไปเกือบนาที แบคฮยอนก็ให้คำตอบกับเขาคนนี้เป็นรอยยิ้ม
“การพูดความจริงมันอาจจะแย่ในตอนนี้ แต่มันจะดีสำหรับเราทุกคนในอนาคต ไม่ช้าก็เร็ว”
.
.
คุณได้รับข้อความจาก...
‘คุณแบคฮยอน’
[ ได้ข่าวว่าเทอมนี้เกรดเฉลี่ยสวยเหรอ ]
ชานยอลไม่รู้วิธีกลั้นยิ้มจากข้อความนี้ที่แนบมาพร้อมโลเกชั่นแห่งหนึ่งซึ่งมันคือบ้านพักริมทะเล ถ้าเป็นเรื่องของคุณแบคฮยอน แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคิด ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงรีบเก็บของใช้จำเป็นและเสื้อผ้าใส่กระเป๋า ก่อนจะกดโทรออก
“คุณอยู่ที่นั่นกับใครครับ?!”
( คนเดียวสิ ฉันดูเหมือนคนเพื่อนเยอะเหรอ )
“ก็... ไม่รู้สิครับ” เด็กหนุ่มยืนเกาท้ายทอยอย่างขลาดอายอยู่หน้ากระจก เห็นตัวเองตอนยิ้มกว้างราวกับคนโง่แล้วก็ตลกชะมัด “ผมต้องพาซูยองไปด้วยใช่ไหม”
( ถ้าไม่พามาแล้วจะให้น้องอยู่บ้านคนเดียวหรือไง เธอเป็นพี่ชายประเภทไหนกันนะปาร์คชานยอล? )
เด็กตัวสูงขมวดคิ้ว บอกตามตรงเลยว่าเขาน่ะรักน้องสาวมากเสียยิ่งกว่าอะไร แต่ถ้าหากไปทะเลที่มีคุณแบคฮยอนอยู่ตามลำพัง เด็กหนุ่มก็กลัวว่าจะเสียบรรยากาศดี ๆ ไปอย่างน่าเสียดาย ถ้ามียัยเด็กช่างพูดคอยขัดขวางการอยู่สองต่อสอง
“ผมแค่ถามเฉย ๆ แต่น้องคงไปด้วยไม่ได้หรอก”
( อ้าว ทำไมล่ะ? )
“น้องต้องไปทำกิจกรรมกับโรงเรียนน่ะครับ น่าเสียดายจังที่ผมจะได้ไปหาคุณแค่คนเดียว” ชานยอลค่อย ๆ หมุนลูกบิด แล้วชะโงกหน้าออกไปด้านนอกเพื่อสอดส่องต้นทาง
( อ่า ลาก็ไม่ได้เหรอ คืนเดียวเอง )
“ไม่ได้น่ะสิครับ คะแนนกิจกรรมที่โรงเรียนผมกว่าจะได้มาก็ยากน่าดูเลย แต่ไม่เป็นไรครับ ซูยองต้องเข้าใจความหวังดีของคุณแน่ ๆ เดี๋ยวผมจะรีบนั่งรถทัวร์ไปตอนนี้เลย คุณนั่ง ๆ นอน ๆ รอไปก่อนนะครับ ผมคงถึงสักบ่ายโมงโดยประมาณ”
( ย่าห์ ดูตื่นเต้นเหลือเกินนะปาร์คชานยอล จำไม่ได้แล้วเหรอว่าเคยมีประสบการณ์จากรถบัสโรงเรียนมาก่อน )
“แต่มันก็ไม่น่ากลัวเท่าการนอนอยู่บ้าน ในขณะที่คุณอยู่ริมทะเลหรอกครับ แค่นี้นะ” เด็กหนุ่มอมยิ้ม เป็นครั้งแรกที่เขาชิงตัดสายไปก่อนโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้พูดอะไรต่อสักหน่อย
ชานยอลไม่สามารถหุบยิ้มได้ ขายาวก้าวไปหยุดอยู่หน้าห้องน้องสาวพร้อมเคาะเรียกตามมารยาท ราว ๆ สองนาทีเด็กสาวที่อยู่ในชุดนอนก็เปิดประตูออกมาในสภาพสะลึมสะลือ
“มีไรอะ...”
“อยากได้รองเท้าคู่ใหม่ไหม?”
“หือ...” ซูยองขมวดคิ้วมองพี่ชายที่ยืนทำหน้าเซ่อตาปริบ ๆ “อารมณ์ไหนเนี่ย”
“ถามก็ตอบสิ พี่ไม่มีเวลาเล่นปัญหาเชาว์กับเธอทั้งวันหรอกนะปาร์คซูยอง”
“ถามแล้วไม่ให้เงินไปซื้อแล้วจะถามเพื่ออะไรอะ” เด็กสาวขยับปากบ่นอุบอิบ ก่อนจะเบิกตากว้างจนลืมง่วง เมื่อเห็นว่าพี่ชายคนดียื่นเงินจำนวนหนึ่งออกมาให้
“ไปซื้อรองเท้า แล้วก็ค้างกับซึงฮวานสักคืนนึงนะ”
“เดี๋ยว” ซูยองยกมือขึ้นห้าม เธอนิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อให้สมองได้ประมวลผลว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายสุดขี้งกของเธอ ถ้าหากเป็นความฝั่นอยู่ ไอ้กลิ่นสเปรย์ฉีดตัวของผู้ชายตรงหน้านี่คืออะไร
“ถ้าคิดนานกว่านี้พี่จะเปลี่ยนใจ”
“อะไรเล่า! ให้เวลาหนูสงสัยบ้างไม่ได้หรือไง?!” เด็กสาวรีบคว้าเงินมาซ่อนไว้ข้างหลัง หรี่ตาจับผิดพี่ชายที่เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่หยุด “นั่นกระเป๋าอะไร”
“ถามหนึ่งครั้งเอาคืนมาหมื่นวอน”
“อ๋อ นี่จะไปเที่ยวเลยจ้างหนูไปค้างบ้านเพื่อนสินะ เหอะ” ซูยองแค่นหัวเราะ มองสำรวจพี่ชายที่แต่งองค์ทรงเครื่องจนดูหล่อผิดปกติ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้สงสัยได้อย่างไร “ผู้หญิงใช่ไหมล่ะ”
“หยุดถามสักทีเถอะน่า พี่จะไปแล้ว ล็อกบ้านดี ๆ ด้วย อย่าลืมปิดไฟ ถอดปลั๊กให้ครบนะ เข้าใจไหม?” ชานยอลชี้หน้า ก่อนจะหุบนิ้วลงเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะงับนิ้วเขา
“พี่กำลังมีแฟน หนูจะฟ้องพี่แบคฮยอน”
“ฟ้องเลย กลัวจนขนลุกไปหมดแล้วเนี่ย” ชานยอลอมยิ้ม แสร้งทำเป็นลูบแขนตนเอง ก่อนจะชะงักไปเมื่ออีกฝ่ายวิ่งกลับไปในห้อง ค้นลิ้นชัก แล้วออกมาพร้อมอะไรบางอย่างที่ยัดใส่มือเขา
“เดี๋ยวนะ”
น่ะ... นี่มันถุงยางอนามัย...
“อาจารย์เขาแจกตอนหนูเรียนคาบสุขศึกษาอะ พี่เอาไปใช้นะ จะได้ไม่เปลืองเงินซื้อ” เด็กหนุ่มหน้าขึ้นสีจัด อยากจะต่อว่าน้องสาวแต่ก็ทำได้แค่ยืนทื่อ ปล่อยให้อีกฝ่ายเข้ามารูดซิปกระเป๋าเป้แล้วยัดถุงยางเข้าไป
“จะทำอะไรก็ต้องป้องกันให้ดี เรามีกันแค่สองคน หนูรักพี่นะคะ”
“เลอะเทอะไปกันใหญ่แล้ว”
ชานยอลกลอกตาแล้วหันหลัง กระชับสายกระเป๋าเป้พร้อมส่ายศีรษะหน่าย ๆ กับความแก่แดดของน้องสาว ซึ่งดูเหมือนว่าจะตรงกับความคิดของเขาอยู่ไม่น้อย ถึงจะอยากทำแค่ไหนก็ได้แค่อยากนั่นแหละ คงไม่ต้องนึกถึงเรื่องป้องกันหรอก
.
.
จะมีปิดเทอมไหนที่สุขใจได้มากเท่าเทอมนี้อีก ชานยอลรู้สึกว่าทุกอย่างโดยรอบช่างเป็นใจไปหมด ตั้งแต่ควันรถ ไปจนถึงเสียงตะโกนโหวกเหวกของกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่นั่งมาด้วยกันตลอดทาง เด็กหนุ่มยิ้มกว้างเมื่อเห็นคุณแบคฮยอนยืนพิงหลังอยู่ข้างประตูรถ ขายาวรีบวิ่งเข้าไปหาพร้อมตะเบ๊ะเลียนแบบทหาร
“รายงานตัวครับ!”
“ช้า”
“ความผิดผมเหรอ?” เด็กหนุ่มทำตาโตพลางชี้หน้าตนเอง “คนขับต่างหากที่ช้า”
“โทษคนอื่นได้ไง นิสัยไม่ดีเลยนะ” ทั้งคู่สบตากัน คนถูกว่าย่นจมูกแล้วโน้มใบหน้าลงไปเล็กน้อย หากแต่คนอายุมากกว่ากลับไม่มีท่าทีว่าจะเขินอายเลยสักนิด กลับกันแล้วตอนนี้ชานยอลกลายเป็นฝ่ายเขินเองเสียอย่างนั้น
“...ถ้าคุณรอมาพร้อมกันก็ไม่ต้องมายืนรอผมแบบนี้ไงครับ” เด็กหนุ่มกลอกตา ไม่กล้ามองคนตัวเล็กตรง ๆ แล้ว
“เดี๋ยวนี้หัดต่อปากต่อคำนะ พอฉันยอมอ่อนให้เลยได้ใจหรือไง?”
“อ๊า!” เด็กตัวสูงเอียงศีรษะไปตามแรงดึงที่หู ชานยอลหัวเราะปนโอดครวญ และนั่นทำให้คนอายุมากกว่าต้องหัวเสียเพราะแพ้ทางเด็ก “คุณยอมผมแล้วเหรอครับ?!”
“เสียงดัง!” คนตัวเล็กพูดลอดไรฟัน ในขณะที่เจ้าเด็กยักษ์ยืนอมยิ้มอย่างพอใจ
“ยอมผมเยอะ ๆ เลยนะ ผมจะได้เลิกเขินคุณสักที”
“เขินฉันมันไม่ดีตรงไหน?” แบคฮยอนยืนกอดอก ขมวดคิ้วเพ่งมองเด็กตัวสูงที่กลอกตากลบเกลื่อน ไม่รู้ล่ะ เขาชอบมองเวลาเด็กคนนี้เขิน แล้วก็จะทำมันเรื่อย ๆ ด้วย
“เวลาเขินแล้วทำตัวไม่ถูกนี่ครับ ผมก็อยากหล่อในสายตาคุณบ้าง”
“เวลาเขินก็น่ารักดีออก ฉันชอบ” คนตัวเล็กกระดิกนิ้วเป็นเชิงบอกให้เด็กหนุ่มขึ้นรถ หากแต่เจ้าเด็กซื่อบื้อกลับเอาแต่อมยิ้มจนน่าหยิกอีกแล้ว “ย่าห์”
“เนี่ย... เวลาคุณดุแบบนี้ก็น่ารัก”
“เอาไว้ใช้กับตัวเองเถอะหนูน้อย” แบคฮยอนดึงปีกหมวกอีกคนลง ก่อนที่เจ้าเด็กยักษ์จะสวมหมวกใหม่อีกครั้งพร้อมรอยยิ้ม “ที่ให้นั่งรถมาเอง ก็เพราะฉันอยากรู้ว่าเธอจะตามมาเร็วแค่ไหน” แบคฮยอนเปิดประตูรถแล้วแทรกตัวเข้าไปด้านใน ตามด้วยเด็กหนุ่มตัวสูง ชานยอลโยนกระเป๋าเป้ไว้ตรงเบาะหลัง พร้อมคาดเข็มขัดนิรภัย
“ยังช้าอยู่ใช่ไหมครับ ไม่เป็นไรนะ คราวหน้าผมจะมาเร็วจนคุณคาดไม่ถึงเลย” คนตัวเล็กแค่นหัวเราะ กับคำเอาอกเอาใจของเด็กอายุสิบเก้า “ผมไม่ได้เก่งแค่เรื่องพูดนะครับ”
แบคฮยอนหลุดยิ้มที่ถูกรู้ทัน เขาหันไปสบตาตากับคนช่างพูดที่มองมาอย่างจริงจัง ราวกับจะบอกว่าไม่ได้พูดเล่น “แล้วจะรอดูนะ”
“พอถึงตอนนั้น คุณอาจจะไม่เสียเวลาไปกับคำว่ารอเลยก็ได้”
นานแค่ไหนแล้วที่บยอนแบคฮยอนไม่ได้สัมผัสกับความเขิน กับคำพูดที่ทำให้คนฟังใจเต้นแรงน่ะ มีแต่เขาเท่านั้นแหละที่เป็นฝ่ายพูดมันมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นกับจูฮยอน หรือสาว ๆ ที่แซวเล่นตอนไปเที่ยวผับกับเพื่อน แต่พอเจอกับตัวก็เขินเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน แต่ก็ยังดีที่เก็บอาการได้ ไม่อย่างนั้นเจ้าเด็กนี่คงยิ้มร่าแล้วพยายามคิดหาคำพูดมาให้เขาเขินเพราะได้ใจแน่ ๆ
ทั้งที่เจ้าเด็กยักษ์กำลังจริงจังอยู่แท้ ๆ แต่เขากลับคิดว่าคำพูดเหล่านั้นมันน่ารักและน่าเอ็นดูจนอยากรู้แล้วว่าในอนาคต ปาร์คชานยอลจะโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่แบบไหนกัน?
70%
บ้านพักริมทะเลหลังนี้เป็นของจงอิน ที่มันกระแดะซื้อไว้เอาใจเมีย เผื่อว่าอยากเปลี่ยนบรรยากาศกับเซ็กส์ที่จำเจ รู้สึกว่ามันสองคนมาได้แค่ครั้งเดียว ไม่ถึงปีก็หย่ากัน แถมยังถูกเมียด่าอีกว่าซื่อบื้อที่ซื้อที่ดินงี่เง่านี่ ทั้งที่ควรเก็บเงินไว้เลี้ยงดูตัวเองตอนแก่ตัว
“ห้องเธออยู่ฝั่งนั้น เก็บของเสร็จแล้วลงมาทำกับข้าวให้ฉันกินด้วย”
“เพคะ ฝ่าบาท” เด็กหนุ่มทำท่าคำนับ เห็นอย่างนั้นก็อยากเข้าไปหยิกให้ตัวเขียวจริง ๆ เจ้าเด็กยักษ์ไปอารมณ์ดีมาจากไหนกัน
ครู่เดียวชานยอลก็วิ่งลงมาชั้นล่าง พร้อมถลกแขนเสื้อไหมพรมขึ้นจนถึงข้อศอก แบคฮยอนที่นั่งอ่านหนังสือปรัชญาชีวิตอยู่ห้องนั่งเล่นค่อย ๆ ชำเลืองมอง ก่อนจะพบว่าตอนนี้เจ้าของร่างสูงใหญ่กำลังทำความรู้จักกับอุปกรณ์ในครัว
“คุณอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมครับ?”
“ไม่รู้ คิดแทนหน่อยสิ”
“อา... ขี้แกล้งจริง ๆ เลย”
ประโยคเมื่อครู่เบาลงคล้ายว่าพึมพำกับตัวเอง พอหันหลังก็พบว่าตอนนี้คุณแบคฮยอนกำลังรื้อถุงวัตถุดิบที่เขาทั้งคู่เพิ่งแวะซื้อด้วยกันในซุปเปอร์ คนตัวเล็กแกะซองถั่วออกมา โยนขึ้นบนอากาศและอ้าปากงับได้อย่างง่าย ๆ ชานยอลอมยิ้มกับภาพที่เห็น ในชั่ววินาทีสั้น ๆ ที่คุณแบคฮยอนได้สร้างโลกให้ตัวเองกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
“คุยกับพ่อแม่บ้างหรือเปล่า?”
“ครับ ล่าสุดเมื่อวันก่อน ท่านโทรมาอวยพรน่ะ แต่ผมดันสอบเสร็จไปแล้ว” ชานยอลอมยิ้ม เมื่อนึกถึงบุพการีที่ใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัดอย่างลำบาก เพราะต้องหาเงินชดใช้ให้คนพวกนั้นที่คิดดอกเบี้ยสูงขึ้นเพราะพ่อกับแม่หนีหนี้
เด็กหนุ่มรู้สึกผิดที่ช่วยอะไรไม่ได้ ดังนั้น เขาจึงเอาเงินส่วนจากการทำงานพิเศษให้กับท่าน ถึงมันจะไม่มากเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็สามารถเอาไปซื้อกับข้าวที่ดีกว่ารามยอนได้
“หงอยเลยสิ เป็นห่วงท่านใช่ไหม?” แบคฮยอนลูบศีรษะเด็กหนุ่มอย่างเอ็นดู ชานยอลพยักหน้า เขายังคงให้ความสนใจอยู่กับการหั่นผัก ก่อนจะหันไปสบตากับอีกฝ่าย
“คุณเคยบอกว่าถ้าไม่อยากเจ็บ ก็อย่ารีบโตใช่ไหมครับ?” เด็กตัวสูงยิ้ม “แต่ผมคิดว่ามันอาจไม่ใช่สำหรับทุกคนนะ”
มีไม่กี่ครั้งที่ชานยอลทำให้เขารู้สึกว่าเจ้าตัวไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว และตอนนี้ก็เช่นกัน แววตาของเด็กคนนี้จะว่าสดใสก็ไม่ใช่ จะเศร้าหมองก็ไม่ถูกเสียทีเดียว สิ่งที่แบคฮยอนรู้สึกได้ขณะสบตากับอีกฝ่ายก็คือ เด็กคนนี้มีเรื่องราวมากมายซ่อนเอาไว้ในใจ โดยที่ไม่เคยบอกใครให้รับรู้
“สำหรับผม การเป็นเด็กมันเจ็บกว่าการเป็นผู้ใหญ่มากเลยครับ”
“หืม ทำไมล่ะ?”
“ผมไม่เคยเป็นผู้ใหญ่ แต่ผมก็รู้สึกว่าการเป็นเด็กมันมีข้อแม้อยู่เต็มไปหมด หันไปทางไหนก็เจอแต่ป้ายต้องห้าม มีผู้ใหญ่คอยชี้หน้าบอกว่า 'อย่าทำอย่างนั้นสิ มันไม่ถูกต้องนะ ไว้โตก่อนแล้วค่อยทำ' แบบนั้นมันทำให้เกิดคำถามในหัวผมว่า... ต้องอายุเท่าไหร่กันนะ ถึงจะเรียกว่าผู้ใหญ่ได้”
แบคฮยอนมองเสี้ยวหน้าของคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาหั่นผักเอาไปใส่หม้อ พอเป็นเรื่องทำอาหารชานยอลจึงดูคล่องแคล่ว จะว่าไปแล้ว เจ้าเด็กยักษ์ค่อนข้างทำได้ดีทุกเรื่อง ขอแค่มีเวลาให้ฝึกสักหน่อย
“เรียนจบ มีงานทำ หาเงินได้ด้วยตัวเอง อย่างนั้นเหรอครับที่เรียกว่าผู้ใหญ่”
“มันก็ไม่ถูกเสียทีเดียวหรอก เงินเดือนที่หามาได้ มันก็แค่เป็นจุดเริ่มต้นให้คน ๆ นึงรู้สึกมีคุณค่า หลังจากไม่ต้องแบมือขอเงินพ่อแม่น่ะนะ” แบคฮยอนกึ่งนั่งกึ่งยืนพิงกับซิงค์ล้างจานซึ่งอยู่ข้าง ๆ เด็กหนุ่ม
“ไม่ใช่เพราะคุณโดยตรงหรอกนะครับ ที่ผมอยากโตก็เพราะผมอยากช่วยพ่อกับแม่น่ะ แต่การเป็นเด็กมันก็ทำให้ยากไปหมดเลย สมัครงานก็ลำบาก เงินเดือนไม่พอเลี้ยงคนรอบข้าง เพราะฉะนั้นผมเลยอยากรีบเรียนให้จบ จะได้มีงานดี ๆ ทำ”
“ถ้าฉันเป็นพ่อแม่ของเธอ คงปลื้มที่รู้ว่าลูกชายมีความคิดอย่างนี้” แบคฮยอนชำเลืองมองอีกคนที่กำลังยิ้มกว้างหลังจากถูกชม
“คุณต้องปลื้มแน่นอนครับ เพราะถ้าถึงเวลานั้น ผมจะต้องเลี้ยงดูทุกคนให้ได้” ชานยอลหันเข้าหาคนตัวเล็ก พร้อมยื่นแครอทไปตรงหน้า ซึ่งอีกฝ่ายก็อ้าปากงับไว้ คุณแบคฮยอนเลิกคิ้วมอง เมื่อเขาไม่ยอมปล่อยมือออก “ทั้งพ่อแม่ ซูยอง แล้วก็คุณ ผมจะดูแลเอง”
“ทำเป็นซึ้งเถอะเด็กน้อย ฉันดูแลตัวเองได้” คนตัวเล็กแค่นหัวเราะ ก่อนจะเบิกตาโพลงเมื่ออีกฝ่ายดึงแครอทออก พร้อมเชยคางเขาขึ้นไปรับจูบโดยไม่ให้ได้ตั้งตัว
ปาร์คชานยอลก็ยังเป็นปาร์คชานยอล เจ้าเด็กยักษ์ที่หลงใหลการเรียนรู้ ทั้งที่คราวก่อนยังดูเก้ ๆ กัง ๆ อยู่แท้ ๆ แล้วไอ้ลิ้นที่กำลังกระหวัดในโพรงปากเขานี่มันอะไรกัน ชั่วขณะหนึ่งที่แบคฮยอนคล้อยตามไปกับกลิ่นหอมหวานจากเด็กหนุ่มตรงหน้า จนกระทั่งชานยอลถอนจูบออกมา แล้วกระซิบข้างหูเขาว่า...
“ผมจำมาจากคุณทั้งนั้น”
ทั้งคู่สบตากันในระยะใกล้ แต่ดูเหมือนว่าจะผิดคาดไปเล็กน้อย เพราะตอนนี้คุณแบคฮยอนกำลังทำหน้าเรียบเฉย มากกว่าการแสดงท่าทีว่าเขินเด็กอย่างเขา ชั่วอึดใจเลยทีเดียวที่ปาร์คชานยอลเอาแต่จ้องตาอีกฝ่าย หวังจะทลายภูมิต้านทานของคนมีประสบการณ์มากกว่าให้ได้สักครั้งหนึ่ง
และเด็กหนุ่มก็รู้ว่ามันเป็นเพียงความคิด เมื่ออีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยมือเล็กซึ่งกำเข้าที่เป้ากางเกงเขา พร้อมกระซิบและปิดท้ายด้วยการเป่าลมหายใจอุ่น ๆ รดหู!!!
“ยังเร็วไปสิบปีนะเด็กยักษ์”
“อ๊า... คุณครับ!”
ชานยอลหน้าเหยเก ส่งเสียงน่าเกลียดออกมาเพราะอีกฝ่ายดันขยำเป้ากางเกงเขาก่อนปล่อยมือออก เมื่อกี้แทบขาดอากาศหายใจไปแล้ว คุณแบคฮยอนเล่นเอามินิชานยอลพองคับจนต้องรีบหันหน้าเข้าหาเตาแก๊สเพื่อปกปิดความน่าอาย
คนตัวเล็กยิ้มขำอย่างพอใจ เขี่ยปลายนิ้วชี้ไปตามซอกคอและใบหูเด็กตัวสูงที่กำลังพยายามเบี่ยงตัวหลบสัมผัสวาบหวิว ชานยอลหันมางอหน้าราวกับว่ากำลังคาดโทษเขา ต้องบอกไหมว่าตอนนี้เจ้าเด็กยักษ์น่าแกล้งมากแค่ไหน
“หน้าแดงใหญ่แล้ว”
“เด็กก็งี้แหละครับ”
“โอ๋ งอนเหรอ” แบคฮยอนมองอีกคนที่ยังคงหน้าแดงจัดเพราะฝีมือเขา “ขอโทษนะ ฉันลืมไปว่าเธอตื่นตัวไวมาก”
“ทำไมคุณถึงพูดได้อย่างหน้าตาเฉยแบบนี้ล่ะครับ ผมอายจริง ๆ นะ!” ถ้าบอกว่าเสียงทุ้มต่ำที่โพล่งออกมากับหน้าแดง ๆ นั่นคืออาการโมโหล่ะก็... ขอโทษที่แบคฮยอนพอใจ
“ไม่เห็นต้องอายเลย เราก็ผู้ชายเหมือนกัน แล้วฉันก็เคยจับของเธอแล้วด้วย” คนตัวเล็กมองมือตัวเองที่กำลังกำหลวม ๆ
“คุณ...” เด็กอ่อนประสบการณ์ยกมือขึ้นปิดหน้า แบคฮยอนยิ้มกว้างก่อนจะโน้มตัวไปกระซิบใกล้ ๆ หวังแกล้งเด็กอายุสิบเก้าให้สติแตกยิ่งกว่าเดิม
“ไปเข้าห้องน้ำก่อนไหม เดี๋ยวตรงนี้ฉันจะจัดการต่อเอง”
“เข้าอะไรล่ะครับ!”
“อ่า... ตอนนี้ฉันเริ่มแยกแยะไม่ออกแล้วสิ ว่าหน้าเธอหรือลูกมะเขือเทศที่แดงกว่ากัน?” แบคฮยอนหยิบลูกมะเขือเทศขึ้นมาระดับใบหน้าเด็กตัวสูง คาดว่าตอนนี้เจ้าเด็กยักษ์คงมองมาอย่างเคียดแค้น และคงมีความคิดอยากเอาคืนอยู่แน่ ๆ
RRRrrr!!!
เสียงเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงขัดจังหวะชายหนุ่มทั้งสอง แบคฮยอนหยิบมันขึ้นมาดูก่อนจะพบว่าคนที่โทรเข้ามาคือเบจูฮยอน รอยยิ้มบนใบหน้าทั้งคู่เลือนหายไปโดยไม่รู้ตัว ชานยอลมองตามแผ่นหลังอีกฝ่ายที่เลือกเดินออกไปคุยข้างนอก มากกว่าการยืนอยู่ตรงนี้เพื่อให้เขาได้ยินด้วย
เด็กหนุ่มรู้ว่ายังมีอีกเป็นร้อยเป็นพันเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องรู้ หรือรู้ไม่ได้ ชานยอลหันกลับไปมองเป็นระยะ ตอนนี้คนที่เคยยิ้มและหัวเราะไปกับการแกล้งเขากำลังทำหน้าเคร่งเครียด โดยที่ไม่รู้เลยว่าต้นเหตุมาจากอะไร
เกือบสิบนาทีคุณแบคฮยอนก็เดินกลับเข้ามาในครัว บอกไม่ถูกเลยว่าทำไมชานยอลถึงรู้สึกแปลก ๆ ราวกับว่าจะมีเรื่องให้เขารู้สึกแย่ในวันดี ๆ
“คือว่าฉันจำเป็นต้องกลับโซลตอนนี้เลย” สีหน้าคนตัวเล็กดูเป็นกังวลกับการคิดหาคำพูดมาอธิบายให้เด็กอย่างเขาฟัง “เดี๋ยวทำเสร็จแล้วขึ้นไปเก็บกระเป๋านะ ส่วนตรงนี้ฉันจะเก็บเอง”
“แต่เราเพิ่งมาถึงนะครับ” น้ำเสียงและสีหน้าของชานยอลทำให้เขารู้สึกผิด แบคฮยอนเบนสายตาไปอีกทางพลางเลียริมฝีปาก แต่เรื่องที่จูฮยอนเพิ่งโทรมาก็สำคัญจนเขาคงปล่อยผ่านให้ข้ามวันไปไม่ได้ “คุณจูฮยอนอยากเจอคุณตอนนี้เลยเหรอ”
“อืม วันนี้เธอว่างไปลองชุดแต่งงานน่ะ ฉันก็ไม่คิดว่าจะกะทันหันขนาดนี้” ดวงตาที่เคยทอประกายสดใส ตอนนี้กำลังเศร้าหมองเพราะถูกดับฝันด้วยประโยคเมื่อครู่ ชานยอลก้มลงมองอาหารที่เขายังทำไม่เสร็จ จดจ้องกับมันอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะหันไปทางคนตัวเล็ก
“ผมรอที่นี่ได้ไหมครับ”
“...”
“พอเอาเข้าจริง ๆ ผมก็ไม่มีความกล้ามากพอที่จะเห็นคุณสองคนยืนอยู่ข้าง ๆ กันในชุดแต่งงานแล้ว” ชานยอลยืนนิ่ง สบตากับคนตัวเล็กอย่างเว้าวอน ร้องขอให้อีกฝ่ายเห็นใจเด็กโง่ ๆ อย่างเขา
เพราะถ้าคุณแบคฮยอนไปเลือกชุดแต่งงานวันนี้ มันก็หมายความว่านี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายสำหรับปาร์คชานยอล
“ไม่ต้องห่วงว่าผมจะรอนานนะครับ คุณอยู่กับเธออย่างสบายใจได้เลย แต่ช่วยกลับมาหาผมที่นี่ได้ไหม ดึกแค่ไหนผมก็จะรอ”
ครึ่งวินาทีก็นานเกินไปสำหรับการรอคำตอบ ชานยอลก้าวเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าก่อนจะสวมกอดคนตัวเล็ก ใบหน้าคมซบลงกับไหล่คนอายุมากกว่า พร้อมออกแรงกระชับกอดแน่นยิ่งขึ้นเพื่อหวังให้อีกฝ่ายเปลี่ยนใจ
“กลับมานะครับ... อย่าทิ้งผมนะ”
.
.
แบคฮยอนกลับมาถึงโซลตอนบ่ายสี่โมงครึ่ง นัยน์ตาทอดมองเข้าไปในร้านกระจกซึ่งมีหุ่นสวมชุดแต่งงานตั้งโชว์อยู่ สายฝนที่ตกลงมาทำให้มองเห็นภาพพร่ามัว เหมือนกับความรู้สึกของเขาในมุมมองของเจ้าบ่าว
จูฮยอนนั่งอยู่บนโซฟาด้านใน โดยมีหนังสือแบบชุดแต่งงานวางอยู่บนตัก หากแต่สายตาของเธอกลับเหม่อมองไปอย่างไร้จุดหมาย เขาใช้เวลาเรียบเรียงความคิดอยู่ราว ๆ ห้านาที ก่อนจะหยิบร่มตรงเบาะหลังแล้วก้าวออกไปจากรถ
“มาแล้วเหรอ” หญิงสาวยิ้มบาง ๆ พร้อมขยับที่นั่งให้ แต่อีกฝ่ายกลับนั่งลงบนโซฟาเดี่ยว
“แม่เธอล่ะ”
“ไปร้านเพชรน่ะ พอฉันบอกว่านายกำลังจะมา ท่านก็เลยวางใจ”
ทั้งคู่มองหน้ากันราวกับอยากพูดอะไรบางอย่าง พูดก็พูดเถอะ คบกันมานานขนาดนี้มีหรือที่เขาจะไม่รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่าย แบคฮยอนมองดวงหน้าขาวด้วยความเป็นห่วง จูฮยอนดูโทรมต่างไปจากทุกครั้ง
“เธอนอนแล้วหรือยัง”
“สามชั่วโมง เหลือแหล่แล้ว” หญิงสาวชูนิ้วขึ้น พร้อมยิ้มให้ดูเป็นหลักฐานว่าตอนนี้เธอโอเคดี “ขอโทษที่ตามออกมากะทันหันนะ”
“อย่าทำให้บรรยากาศมันน่าอึดอัดได้ไหม” แบคฮยอนถอนหายใจกับคำขอโทษที่ไม่ค่อยหลุดออกมาจากปากอีกฝ่าย ตอนนี้จูฮยอนทำท่าเหมือนว่าจะสำลักทุกอย่างออกมาและมันคงไม่ต่างจากเขา เมื่อการมาที่นี่ของเราทั้งคู่ มันเกิดขึ้นเพราะความต้องการของผู้ใหญ่ “เธอเล็งชุดไหนไว้บ้างหรือยัง”
“ฉันยังไม่ได้ดูเลย นายช่วยเลือกทีได้ไหม อะไรก็ได้ ฉันไม่เรื่องมากหรอก” จูฮยอนยื่นหนังสือแบบชุดแต่งงานมาให้ ซึ่งแบคฮยอนก็ไม่ได้ถามความยาวสาวความยืด หรือบ่นว่ายัยบ้านี่มัวแต่ทำอะไรอยู่ระหว่างรอ
“งั้นลองชุดนี้ดูไหม ลูกไม้น่าจะเหมาะกับเธอดี”
“อื้ม ได้สิ”
.
.
Tzuyu
ตอนนี้ฉันกำลังอาบน้ำให้หมาล่ะ 17:11
มันวิ่งออกไปตากฝนมา ตัวเปียกมอมแมมเลย 17:11
ชานยอลนั่งอยู่ริมหาดทรายตามลำพัง ท่ามกลางสายลมเย็นที่พัดผ่านในช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์กำลังจะจมหายลงไปในน้ำทะเล มีเพียงแค่จื่อวีเท่านั้นที่เขาเลือกตอบแชท ในขณะที่มินโฮส่งข้อความมาถามด้วยความตื่นเต้น
17:14 ที่นี่ยังไม่ตกเลย
Tzuyu
ฉันนึกว่าชานยอลไปกับพวกมินโฮซะอีก 17:14
ดูแลตัวเองด้วยนะ ไปคนเดียวมันอันตราย 17:15
17:18 อืม ขอบคุณนะ เธอก็อาบน้ำสระผมด้วยล่ะ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา
Tzuyu
ถ้าไม่คิดไปเอง ชานยอลกำลังซึมอยู่ใช่ไหม? 17:18
ฉันคอลไปได้หรือเปล่า? 17:19
17:20 ฉันดูเป็นอย่างนั้นเหรอ
17:20
Tzuyu
อื้ม น่าเป็นห่วงมากเลย 17:20
ฉันคอลไปนะ 17:20
เพียงครู่เดียวอีกฝ่ายก็วิดีโอคอลมา ชานยอลหลุดยิ้มโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นว่าภาพบนหน้าจอนั้นไม่ใช่ใบหน้าของจื่อวี แต่กลับเป็นน้องหมาพันธุ์ชิสุตัวเปียกซึ่งนอนนิ่ง ๆ ให้มือปริศนาเช็ดขนให้
“ไม่เจอกันเดี๋ยวเดียว ผมเธอเปลี่ยนเป็นสีขาวแล้วเหรอ?”
( จื่อหลิน สวัสดีพี่ชานยอลสิคับ )
( โฮ่ง! )
“น่ารักเอาเรื่องนะเนี่ย มันเชื่องกับเธอน่าดูเลย”
( ชานยอลเลี้ยงไว้สักตัวสิ จะได้ไม่เหงา )
“อ่า... ไม่หรอก เพราะฉันคงไม่รู้สึกอย่างนั้นทั้งที่มีซูยองอยู่บ้าน”
( ฮ่า ๆ ว่าน้องอีกแล้ว )
ทั้งคู่หัวเราะ ก่อนที่เด็กสาวจะแพลนกล้องมาที่ใบหน้าตนเอง จื่อวีไม่ได้แต่งหน้า ไม่ได้ทาแม้กระทั่งลิปสติกเหมือนอย่างเด็กผู้หญิงคนอื่น ๆ
( ข้างหลังคืออะไรเหรอ? )
“หืม... อ้อ” เด็กหนุ่มหันไปมองปราสาททรายที่เขานั่งปั้นมันระหว่างรอคุณแบคฮยอนกลับมา “บ้านใหม่น่ะ กะว่าจะขายสักร้อยล้านวอน”
( น่ารักจัง ชานยอลก็มีมุมเป็นเด็กเหมือนกันนะเนี่ย )
“ก็ฉันยังเป็นเด็กอยู่นี่” เด็กหนุ่มยิ้มขณะมองมัน แล้วนึกไปถึงคนสองคนที่กำลังลองชุดแต่งงานกันอยู่ เขารู้สึกเจ็บ เจ็บจนไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ถ้าหากชีวิตต้องกลับไปยืนอยู่ที่จุดเริ่มต้นโดยไม่มีคุณแบคฮยอนอีกแล้ว
( ฉันก็ชอบปราสาททรายนะ ตอนเป็นเด็กคุณพ่อสร้างมันให้ฉันทุกครั้งเวลาเราไปเที่ยวทะเลด้วยกัน )
“ชีวิตคนเราเหมือนปราสาททรายเลย เธอว่าไหม?” เด็กหนุ่มเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “มันถูกปั้นขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้าง สวยบ้าง ไม่สวยบ้าง แต่สุดท้ายมันก็ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง”
จื่อวีนอนลงบนโซฟา ลูบหัวเจ้าจื่อหลินที่ปีนขึ้นมานอนบนหน้าท้องของเธอ แล้วฟังอีกฝ่ายพูด
“ทุกคนมีปราสาททรายเป็นของตัวเอง บางครั้งก็ถูกคลื่นซัดจนพัง” เด็กหนุ่มไม่แม้แต่จะมองคนที่อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ สายตาของเขาจับจ้องอยู่กับสิ่งที่ปั้นเองกับมือ “ฉันพยายามสร้างมันขึ้นมาใหม่ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าอีกไม่นานมันก็คงถูกคลื่นซัดจนพังอีกครั้ง”
( มันท้อใช่ไหม? )
ชานยอลไม่ได้ตอบคำถาม
( กับสิ่งที่รู้ว่ายังไงก็เป็นไปไม่ได้ แต่เราก็อยากลองทำมันดูสักครั้งน่ะ ฉันเข้าใจความรู้สึกนั้นนะ )
( มินโฮบอกฉันว่าชานยอลมีคนที่ชอบอยู่แล้ว )
เด็กหนุ่มมองหญิงสาวบนหน้าจอสมาร์ทโฟน เธอยังคงยิ้ม และมันไม่ใช่การฝืนเพื่อแสดงออกให้เขาสบายใจ
( ตอนแรกฉันเสียใจมากเลยนะ ทั้งที่พยายามเข้าใกล้ พยายามเอาชนะใจชานยอลทุกวิถีทาง แต่ดูเหมือนว่าสำหรับชานยอลแล้ว ฉันคงเป็นได้แค่เพื่อนจริง ๆ )
เธอหัวเราะ พลางหลุบสายตาลง แล้วปล่อยให้ความเงียบทำงานอยู่ครู่หนึ่ง
( ถึงปราสาททรายของฉันมันจะพังไปแล้วหลายครั้ง แต่ฉันก็ยังอยากสร้างมันขึ้นมาใหม่ อย่างน้อยมันก็มีช่วงเวลาหนึ่งที่ฉันสามารถถ่ายรูปความทรงจำเหล่านั้นเอาไว้ ก่อนที่มันจะหายไป )
( ฉันก็พยายามเหมือนกัน แต่ฉันก็ชอบชานยอลมากจนคิดว่าต่อให้ไม่ได้คบกัน เราก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้... ก็พยายามคิดในแง่ดีน่ะนะ... )
จื่อวียิ้ม เธอพยายามเรียบเรียงคำพูด เพื่อไม่ให้ชานยอลอึดอัดกับความรู้สึกของเธอ ตลอดเวลาที่แอบมองอีกฝ่ายเล่นกีฬา ตอนที่ทำงานพิเศษด้วยกัน ตอนที่ชานยอลช่วยเธอออกมาจากรถบัสโรงเรียน ไปจนถึงคุกกี้กล่องเล็ก ๆ ที่เขาเอามาเยี่ยมเธอที่โรงพยายาบาล... ความรู้สึกตอนนั้นน่ะ... มันดีมาก ๆ เลย
( ฉันคิดว่าถ้าคนนั้นเป็นคนดี ทำให้ชานยอลยิ้มได้ ทำให้ชานยอลมีความสุข ฉันก็ไม่รู้ว่าจะต้องเสียใจไปกับอะไรอีก )
( เพราะงั้นชานยอลอย่าปล่อยให้ตัวเองต้องทุกข์ใจเลยนะ อยู่ทะเลคนเดียวไม่คิดถึงคนนั้นเหรอ ชานยอลน่าจะชวนเธอไปด้วยกัน )
สีหน้าของจื่อวีไม่ได้ดูฝืนตอนพูดมันออกมา เด็กหนุ่มยิ้มบาง ๆ กับความน่ารักของเพื่อนคนนี้ ซึ่งเขารู้สึกดีและขอบคุณเธอจากใจ
“ขอบคุณนะจื่อวี” ชานยอลเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “ฉันรู้สึกเหมือนเห็นตัวเองทุกครั้งเวลามองเธอ”
( ยังไงเหรอ )
ชานยอลหัวเราะในลำคอ กับดวงตาคู่นั้นที่ฉายแววสงสัย อาจเป็นเพราะโชคชะตาที่ทำให้เด็กหนุ่มมองเห็นความรักหลากหลายรูปแบบ ทั้งรักคือการเสียสละ รักคือการให้ รักคือความเจ็บปวด และเรื่องราวของเขาและจื่อวี มันทำให้คิดได้ว่า บางทีพระเจ้าคงอยากให้เขามองเห็นตนเองตอนหลงรักใครสักคน โดยการเลือกที่จะเหยียบความรู้สึกตัวเองเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ
แต่พอเรียกว่าความรัก มันมักจะมีสิ่งที่เจ็บปวดมากกว่าและน้อยกว่า ดังนั้น การเหยียบตัวเองให้จมดินจึงเป็นเรื่องเล็กน้อย ถ้าหากว่ามันทำให้คนที่เขารักมีความสุข
.
.
หญิงสาวมองชุดแต่งงานสีขาวบนเรือนร่างตนเองผ่านกระจกบานใหญ่ตรงหน้า เธอยืนอยู่ตรงนี้มาสักพักโดยไม่เดินออกไปข้างนอกเพื่อถามว่าที่สามีว่ามันดีแล้วหรือยัง ในหัวของเบจูฮยอนเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายให้ได้คิด และเธอกำลังจะจัดการมันทั้งหมดในเร็ว ๆ นี้
“...”
ใบหน้าเรียวหันไปด้านข้างเล็กน้อย เมื่อตอนนี้ชายหนุ่มในชุดเจ้าบ่าวได้ก้าวมาหยุดอยู่ข้างหลังเธอ แบคฮยอนช่วยจัดผ้าลูกไม้ให้เข้าที่พร้อมผูกเชือกจนเป็นโบว์เล็ก ๆ ไม่มีใครเปิดบทสนทนาขึ้นมาก่อน หญิงสาวไม่ได้คาดหวังกับคำชมจากอีกฝ่ายว่าวันนี้เธอสวยที่สุดตั้งแต่รู้จักกันมาสิบกว่าปี ไม่แม้แต่การคาดหวังว่าวันนี้เราจะมีรอยยิ้มให้กัน
“เธอทำหน้าเหมือนคนใกล้ตาย”
“นายก็ด้วย”
“อ่าฮะ แล้วฉันหล่อไหม”
“ดีกว่าตอนแก้ผ้านิดนึง”
“อ๊า ยัยขี้เหร่นี่” แบคฮยอนขยับปากบ่นพร้อมง้างมือขึ้น ขณะมองเจ้าสาวผ่านกระจกบานใหญ่
“วันนี้นายหล่อมาก อันนี้พูดจริงนะ”
“คนอย่างเธอมันเชื่อได้ที่ไหน เงียบปากไปเลยถ้าไม่ยอมพูดความจริง” แบคฮยอนช่วยจัดหมวกเจ้าสาว โดยไม่มีพนักงานเข้ามาวุ่นวาย เพราะมันคงดีกว่าถ้าตอนนี้เขาและเธอได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง “พร้อมออกไปถ่ายรูปหรือยัง?”
“ยัง”
“จะรอให้แม่มาก่อนเหรอ”
“เปล่า ฉันบอกให้แม่กลับไปเลย เราจะทำทุกอย่างที่นี่จนเสร็จโดยไม่ต้องให้ใครเข้ามายุ่ง”
“ฟังดูโรแมนติกแบบเถื่อน ๆ นะ วันนี้เธอค่อนข้างแฟนตาซี” แบคฮยอนพูดติดตลก ท่ามกลางบรรยากาศน่าอึดอัดที่เขาและเธอต่างมอบให้กัน “งั้นฉันจะออกไปรอข้างนอก”
“อย่าไป” หญิงสาวคว้าข้อมือคนรักเอาไว้ ดวงตาคู่สวยนั้นเต็มไปด้วยความจริงจังจนอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องที่เขาตั้งใจจะพูดหลังจากถ่ายรูปชุดงานแต่งเสร็จกับสีหน้าของเบจูฮยอนนั้น อะไรที่น่ากังวลกว่ากัน “ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
“ฉันก็เหมือนกัน”
หัวใจสั่นระรัวเมื่อสบตากัน ครั้งแรกมันเกิดขึ้นตอนที่เธอตกหลุมรักคนตรงหน้า และในวินาทีนี้ มันเกิดขึ้นเพราะความกลัวการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง จูฮยอนหลุบสายตาลงมองมืออีกฝ่ายที่ค่อย ๆ แกะมือเธอออก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นฝ่ายกุมมือเธอเอาไว้เสียเอง
“ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร เรามาสัญญากันก่อนดีไหมว่าจะฟังอีกฝ่ายพูดจนจบ” สำหรับคนที่มีแต่เรื่องแย่ ๆ สุมอยู่ในอก จูฮยอนจึงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตอบตกลง
“ให้ฉันพูดก่อนได้ไหม”
“ฉันเถอะ โดนตบตอนนี้คงดีกว่าโดนตบปิดท้ายก่อนกลับบ้านเป็นไหน ๆ”
“ให้ฉันพูดเถอะ ขอร้องล่ะ”
จูฮยอนจับท่อนแขนคนรักเอาไว้โดยไม่กล้าสบตากัน แบคฮยอนปล่อยให้อีกฝ่ายตั้งสติ และไม่คิดที่จะแย้งอะไรอีก แน่นอนว่าตลอดเวลาที่คบกันนั้นเขายอมเธอมาตลอด และคราวนี้ก็คงเช่นกัน
“ฉันแต่งงานกับนายไม่ได้แล้ว แบคฮยอน”
“...”
“ฉันนอกใจนาย”
“...”
“ฉัน... นอนกับผู้ชายคนอื่น”
“ว่าไงนะ?”
ทุกอย่างมันเกินไปกว่าที่คิดไว้เสียอีก แบคฮยอนไม่อยากเชื่อเลยว่าสิ่งที่เบจูฮยอนพูดออกมาทั้งหมดนั้นจะเป็นเรื่องจริง แม้ว่าพักหลังเราจะห่างกันจนแทบไม่หลงเหลือความโหยหา แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่เคยคิดเลยก็คือเรื่องที่ผู้หญิงคนนี้จะนอกใจ
“ฉันขอโทษ นายจะตบฉันก็ได้นะ”
คนที่อยู่ในชุดเจ้าบ่าวยืนนิ่ง สิ่งเดียวในร่างกายเขาที่ขยับได้ก็คือเปลือกตาที่กระพริบลง เขาเสยผมขึ้นระหว่างให้สมองประมวลผลว่าตอนนี้เขาควรรู้สึกอย่างไร ระหว่างเรื่องที่เพิ่งได้รับรู้ กับเรื่องบังเอิญที่เราทั้งคู่มันห่วยแตกพอกัน
ภายในห้องลองสี่เหลี่ยมที่ไม่กว้างและไม่แคบจนเกินไป บยอนแบคฮยอนกำลังคิดไม่ตกว่าควรพูดในส่วนของตนเองหรือไม่
“ตอนนี้นายกำลังรู้สึกอะไรอยู่”
“ไม่รู้สิ” เขาหันไปมองหญิงสาวที่กำลังมองมาอย่างคาดหวังคำตอบ “แล้วเธอล่ะ”
“ฉันกำลังคิดว่านายรักฉันอยู่ไหม” จูฮยอนทิ้งช่วงไป เพื่อให้อีกฝ่ายคิดตามคำพูดของเธอ “ที่นายไม่ตบฉัน หรือตะโกนด่าว่าฉันมันเลวที่นอกใจ นายก็คงเป็นคนที่ใจกว้างมาก”
“...”
“หรือไม่ นายก็ไม่ได้รักฉันแล้ว”
ในช่วงเวลานี้ แบคฮยอนไม่รู้เลยว่าประสบการณ์ในชีวิตตลอดสามสิบสี่ปีจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง ชายหนุ่มยืนนิ่งขณะสบตากับอีกฝ่าย เบจูฮยอนกำลังจะร้องไห้ และคาดว่าเธอคงไม่ได้ต้องการอ้อมกอดจากเขา
“ขอโทษ ถ้าคำตอบของฉันคืออย่างหลัง”
หญิงสาวไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองสักเท่าไหร่ เพราะตอนนี้ว่าที่เจ้าบ่าวของเธอได้ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาพร้อมกำมือป้องปากหัวเราะ ราวกับว่าตอนนี้มันมีเรื่องน่าตลก “เรามันบ้ากันทั้งคู่ชัด ๆ”
“...”
“ฉันจะไม่ถามหรอกนะว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่และกับใคร แต่ฉันอยากจะด่าเธอจริง ๆ”
“...”
“และฉันก็อยากให้เธอด่า ที่ฉันก็นอกใจเธอมาตลอดเหมือนกัน”
ถึงคราวที่เบจูฮยอนเป็นฝ่ายตกใจบ้าง หญิงสาวจ้องมองเสี้ยวหน้าอีกฝ่ายซึ่งดูเหมือนว่าจะเอือมระอาความรักบ้า ๆ ระหว่างเราสองคนเต็มทน แม้จะรู้สึกถึงความรักที่เหือดหายจนเหลือแค่ความผูกพัน แต่ตามสัญชาตญาณมนุษย์ เรามักจะรู้สึกหึงหวงอยู่ลึก ๆ กับสิ่งที่ยังเป็นของเรา
“ฉันผิดที่ไม่บอกตั้งแต่แรก ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันต้องทำร้ายเธอ”
“ฉันไม่อยากถามแบบนี้หรอกนะ แต่คนอย่างนายจะไปเจอใครที่ไหนได้?”
“เธอก็เหมือนกันนั่นแหละ ศพคนตายหรือไง?” แบคฮยอนเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงเรียกให้มานั่งด้วยกัน “ดูเหมือนว่าตอนนี้เราจะคิดตรงกันสองอย่างแล้ว สำหรับเรื่องแต่งงาน กับเรื่องใครอีกคน สองคน สามคน”
“...”
“มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด ที่ฉันต้องมองหน้าเธอแล้วบอกว่า ‘เราเลิกกันเถอะ’”
“งั้นก็ห้ามมองหน้าฉัน” ทั้งคู่เลือกที่จะมองโต๊ะกระจกที่ตั้งอยู่ตรงหน้า มากกว่าการหันไปสบตากัน
“ผู้ชายคนนั้นเป็นคนดีหรือเปล่า”
“ไหนบอกว่าจะไม่ถามไง”
“ก็ไม่ได้ถามว่าเป็นใคร แค่ถามว่าเป็นคนดีไหม แค่ตอบคำถามง่าย ๆ มันจะตายหรือไง” แบคฮยอนผลักศีรษะอีกคนจนเซไปด้านข้างเล็กน้อย จูฮยอนถอนหายใจฮึดฮัดอย่างหัวเสีย จัดหมวกเจ้าสาวให้เข้าที่อยู่ในที ก่อนจะเรียบเรียงคำพูด
“อืม เขาเป็นคนดี”
“ก็แค่นั้น” แบคฮยอนเงียบไป เพื่อให้เวลาระหว่างเขาและเธอได้ทบทวนถึงเรื่องราวทุกอย่าง อาจจะตอนนี้... หรือตั้งแต่เริ่มต้นจนมาถึงปัจจุบัน “ฉันจะได้วางใจ”
“ทำไม ถ้าเขาไม่ใช่คนดี นายจะไปแย่งฉันกลับคืนมางั้นเหรอ”
“จะได้แถมเงินให้”
“ไอ้บ้านี่” หญิงสาวจิ๊ปาก ก่อนจะผลักไหล่อีกฝ่ายอย่างแรง “แล้วผู้หญิงของนายล่ะ ดีกว่าฉันแค่ไหน”
“ไม่มีใครดีกว่าใครหรอก เธอก็ดีในแบบของเธอ เขาก็ดีในแบบของเขา”
“เพราะฉันไม่มีเวลาให้ นายเลยปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาเหรอ”
“ไม่เชิง ถ้าฉันมั่นคงมากพอ ต่อให้ผู้หญิงเป็นร้อยคนเข้ามาก็คงไม่หวั่นไหวหรอก เรื่องนี้ฉันผิดเอง” แบคฮยอนไม่อยากกล่าวถึงเด็กคนนั้น สิ่งที่เขาต้องการวันนี้ก็คือ การพูดในส่วนของตนเอง เพื่อให้ทุกอย่างมันเข้าที่เข้าทาง
“นี่เรากำลังจะเลิกกันจริง ๆ ใช่ไหม?” จูฮยอนรู้สึกใจหาย เธอไม่ได้รู้สึกดีเลยสักนิดกับการได้รับรู้ว่าอีกฝ่ายก็ทำเรื่องผิดมหันต์เหมือนที่เธอทำเช่นกัน
เราต้องเลิกกันจริง ๆ เหรอ?
ภาพเก่า ๆ ที่เคยมีร่วมกันมันฉายซ้อนขึ้นมาจนไม่อยากเชื่อว่าเราทั้งคู่ได้เดินทางมาจนถึงทางตันแล้ว จูฮยอนหลุบตามองมือตนเองที่ถูกอีกคนกุมเอาไว้หลวม ๆ ตอนนี้แบคฮยอนกำลังยิ้ม... ราวกับจะบอกเธอว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้น ทั้งตัวเธอและเขา
“ที่เราเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ก็เพราะไม่อยากทำร้ายความรู้สึกกัน แต่บางครั้งเราก็เลือกทำให้ทุกคนรู้สึกดีไม่ได้หรอก มันต้องมีใครสักคนที่เจ็บ” และเขาเชื่อว่า ตอนนี้เราทุกคนต่างเจ็บไม่แพ้กันเลย “เป็นเพราะความผูกพัน ที่ทำให้เรายังคบกันมาได้ถึงตอนนี้”
“...”
“ขอบคุณนะจูฮยอน ในชีวิตฉัน คงไม่มีผู้หญิงคนไหนดีไปกว่าเธออีกแล้ว”
“แต่นายนอกใจฉันไปหาผู้หญิงอีกคน ยังกล้าพูดแบบนี้อีกเหรอ” แบคฮยอนยิ้มขำ พลางใช้นิ้วหัวแม่มือปาดน้ำตาออกจากดวงหน้าขาวเบา ๆ
“เรายื้อมาจนถึงตอนนี้เพราะเสียดายเวลาที่คบกันมาสิบกว่าปี จนบางทีเราลืมตั้งคำถามให้ตัวเองว่า เราสองคนรักกันจริง ๆ หรือคิดว่าจำเป็นต้องรักกัน”
จูฮยอนไม่สามารถสั่งให้น้ำตาหยุดไหลได้ น่าแปลกที่เธอไม่โกรธอีกฝ่ายเลยสักนิด หากแต่มีความรู้สึกมากมายที่กำลังตีรวนอยู่ในความคิดตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเสียใจ ขอบคุณ ขอโทษ
“ไปอยู่กับไอ้หมอนั่นก็หัดแบ่งเวลาบ้างนะ อย่าเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน ต่อให้ผู้ชายจะชอบฟุตบอล จะติดเพื่อนแค่ไหน มันก็คงอยากอยู่กับแฟนอยู่แล้ว”
จูฮยอนไม่ได้พูดอะไรอีก เธอแค่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาขณะฟังประโยคสั่งลาครั้งสุดท้าย ก่อนที่เราทั้งคู่จะต้องแยกทางกันไปใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ หลังจากยื้อดึงกันมานาน
“เธอไม่ต้องห่วงเรื่องผู้ใหญ่หรอกนะ เดี๋ยวฉันจะจัดการเอง”
“นายจะทำยังไง?” จูฮยอนมองหน้าอีกฝ่าย เธอรู้ดีว่าผู้ชายคนนี้เป็นอย่างไร จากที่คบกันมานาน มีหลายครั้งที่บยอนแบคฮยอนมักจะออกปากรับผิดเอง เพื่อไม่ให้คนรอบข้างต้องแย่ไปด้วย
“ฉันมีวิธีแล้วกัน เลิกทำหน้าเป็นหมีได้แล้ว” จูฮยอนส่ายหน้า
“ไม่ใช่วิธีของนาย” เธอเปลี่ยนเป็นฝ่ายกุมมือแบคฮยอนแทน “แต่มันคือวิธีของเรา”
“...”
“เราจะจัดการเรื่องนี้ด้วยกัน จนกว่าทุกอย่างมันจะจบ”
ชายหนุ่มมองดวงหน้าขาวที่ยังเลอะไปด้วยคราบน้ำตา เขาทิ้งช่วงเวลาไปชั่วอึดใจ ก่อนจะพยักหน้าเป็นคำตอบ แบคฮยอนหยัดตัวลุกขึ้นยืน และไม่ลืมที่จะยื่นมือให้เจ้าสาวจับ จูฮยอนแต่งหน้าเพิ่มแค่ลวก ๆ เท่านั้น
ทั้งคู่ก้าวออกไปข้างนอก พร้อมตากล้องและพนักงานที่จัดซุ้มเล็ก ๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว สำหรับการถ่ายรูปอย่างไม่เป็นทางการครั้งแรก
เสียงคำชมที่บอกว่าเขาและเธอต่างเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก กับเสียงชัตเตอร์ทุกวินาทีนั้นคงไม่ดังเท่ากับเสียงหัวใจของเราทั้งคู่ นัยน์ตาของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวคลอไปด้วยน้ำตา สองมือสอดประสานกันแน่นกับครั้งสุดท้ายที่เป็นความทรงจำ
แบคฮยอนหันไปสบตากับหญิงสาวที่เขารักมาตลอดสิบกว่าปี ส่งยิ้มให้กันและกันเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับความรักของเรา พร้อมคำอวยพรในใจที่พร่ำบอกให้อีกฝ่ายมีความสุขกับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ความรักครั้งใหม่
เราจะเก็บเรื่องราวดี ๆ ที่เคยเกิดขึ้นไว้ในความทรงจำ และยิ้มให้กับมันทุกครั้งที่นึกถึง สำหรับหนังสือที่บยอนแบคฮยอนและเบจูฮยอนเป็นคนเดินเรื่อง วันนี้มันได้เดินทางมาจนถึงหน้าสุดท้ายแล้ว
เขาและเธอกำลังจะเริ่มต้นใหม่ โดยไม่หันหลังให้กับใครคนนั้นอีกแล้ว
รอก่อนนะชานยอล... ฉันกำลังจะไปหาเธอเดี๋ยวนี้
TBC
รีบไปเลยคุณแบคฮยอน เด็กมันจะร้องไห้แล้ววววววววววว #บอกมึงเลยอีคนเขียน #สกรีมฟิคตัวเองทำเชี่ยะไร
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

บางตามตรงว่าเสียดาย ดูเข้ากันจริงๆ แต่ชั้นก็สงสารลูกชายที่นั่งคอยเป็นหมาหงอย ;__;
ชานยอลแกสมหวังแล้วนะ
แบคฮยอนบึ่งรถไปเลยลูกกกกกกก!!!!!
ตอนนี้กินใจมากเลยค่ะ เรื่องระหว่างแบคฮยอน และ จูฮยอน อ่านแล้วร้องให้ตามจูฮยอนเลย
ทำดีงานดี ใช่มาก กราบบบบบ
ชานยอล แบคกำลังไปหานะ
ถึงจะไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตนและคบกันมานาน
แต่เข้าใจคำว่าผูกพันธ์ เพราะคบกันมาขนาดนี้
จบแบบแฮปปี้
และคงหนีไม่พ้นน้ำตา(น้ำมูกด้วย) ;___________;