ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] "SHADY BOY" มนุษย์มินซอก | LUMIN

    ลำดับตอนที่ #1 : INTRO

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.08K
      73
      13 ก.พ. 58

    Ⓒ QRD

     

     

     

     

    Intro

     

     

     

    เวลาอยู่ในประเทศที่สื่อสารกับคนอื่นลำบาก แต่มีใครคนหนึ่งที่สามารถคุยกับเราได้ทุกเรื่องโดยไม่รำคาญไปซะก่อน แบบนั้นมันเป็นเรื่องดีจริง ๆ นะครับ’ – ลู่หาน

     

     

    “Do you know what star is that?” (รู้ไหมนั่นดาวอะไร?)

     

    คนถูกถามนิ่งไปก่อนจะหันไปมองอีกคนที่นอนอยู่บนพื้นทรายข้าง ๆ เขา โดยที่ดวงตาคู่นั้นยังคงมองไปยังท้องฟ้ากว้างยามกลางคืน ที่มีหมู่ดาวกระจายอยู่โดยรอบ

     

    “You know what it is?” (แล้วนายรู้เหรอว่ามันคือดาวอะไร?)

     

    คนถูกย้อนถามยิ้มขำ ก่อนจะหันหน้าเข้าหาเพื่อนสนิท ดวงตาเรียวที่มองมาราวกับอยากรู้ว่าเขาต้องการคำตอบจริง ๆ หรือแค่ชวนคุยกลบเสียงคลื่นน้ำทะเลที่สาดโดนเท้าเราทั้งสองคนกันแน่

     

    “No, I don't. That's why I asked.” (ไม่รู้ ถึงได้ถามนี่ไง)

     

    “...Bullshit” (...นึกว่าจะฉลาด) คนตัวเล็กกว่าพึมพำ และมันสร้างความพอใจให้เขาเป็นอย่างมาก

     

    ลู่หานปล่อยให้ความเย็นของกระแสลมยามค่ำคืนพัดผ่านไปก่อนจะปิดเปลือกตาลง หลังจากผ่านพ้นช่วงปั่นรายงานหนัก ๆ มาได้ เลยถือโอกาสชวน คิมมินซอกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทออกมาพักผ่อนริมทะเลกันสักหน่อย

     

    “Hey Minseok.” (นี่มินซอก)

     

    What?” (ว่า?)

     

    “Let's do Q&A together.” (มาเล่นเกมถามตอบกันเถอะ) ทั้งสองคนคุยกันทั้งที่สายตายังคงทอดมองไปยังท้องฟ้าตอนกลางคืน มินซอกยิ้มบาง ๆ ก่อนจะขานตอบรับในลำคอ “So start with me.” (งั้นฉันเริ่มก่อนนะ)

     

    “I almost fall asleep. Ask something to keep me wide awake.” (จะหลับอยู่แล้ว ช่วยคิดคำถามที่ทำให้ตาสว่างหน่อยแล้วกัน)

     

    “First day at the university. Why did you come and talk to me?” (วันแรกที่มหาลัย ทำไมนายถึงเข้ามาคุยกับฉันล่ะ?)

     

    มินซอกยิ้มกับคำถามของเพื่อนสนิท พอนึกย้อนกลับไปถึงวันนั้น แน่นอนว่าเขายังจำสีหน้าซื่อ ๆ ของลู่หานได้เป็นอย่างดี อีกทั้งแววตาเหมือนกวางคู่นั้นที่กวาดมองไปรอบ ๆ เพราะทำตัวไม่ถูกนั่นอีกด้วย

     

    “Because you look bullshit.” (เพราะนายดูโง่ไง)

     

    “Nah... tell me the truth.” (ไม่เอาน่า...นายต้องพูดความจริงสิ)

     

    “That's the truest truth. Don't you know that you always make a stupid face?” (นั่นคือความจริงที่สุดแล้ว ไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าชอบทำหน้าโง่อยู่บ่อย ๆ)

     

    พูดจบทั้งคู่ก็หันหน้ามาสบตากัน สายตาของลู่หานในตอนนี้ราวกับกำลังจับผิดสีหน้าของเขา ซึ่งคิมมินซอกมั่นใจว่าหมอนี่จะไม่ได้รับความสมหวังกลับไป

     

    “Really?” (จริงเหรอ)

     

    “Yes. Compare to those Chinese in our faculty who speak Korean.” (จริง นายดูโง่มาก ถ้าเทียบกับคนจีนในคณะเราที่พูดภาษาเกาหลีได้)

     

    คนถูกด่าว่าโง่ถอนหายใจก่อนจะเอาแขนก่ายหน้าผาก แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น ลู่หานก็หันกลับมาอีกครั้ง

     

    “Your turn.” (ตานายแล้ว)

     

    “Is your brother an only reason you study Korean every Saturday?” (เพื่อน้องชาย นายถึงกับต้องลงทุนเรียนพิเศษภาษาเกาหลีทุกวันเสาร์เลยหรือไง?) ลู่หานอมยิ้มกับความพยายามที่ยังไปไม่ถึงไหนของตัวเอง

     

    ตอนนั้นยังไม่สนิทกับมินซอกเท่าไหร่ เลยยังไม่กล้ารบกวนให้สอนภาษาเกาหลี บวกกับเป็นจังหวะที่เขาเห็นแบคฮยอนประกาศสอนพิเศษทางอินเทอร์เน็ตพอดี และมันเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ ที่เด็กคนนั้นพักอยู่บ้านหลังเดียวกันกับชานยอลน้องชายของเขา

     

    “At first, yes. I think it's unfair for them to adjust themself just for me. Think about it, my dad and two of my brothers speak Korean with each others. But when they talk to me, English is an only option.” (ตอนแรกก็คิดอย่างนั้น เพราะการให้คนอื่นปรับตัวเข้าหาฉันคนเดียวมันก็ไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ นายลองคิดดูสิ พ่อกับน้องชายอีกสองคนใช้ภาษาเกาหลีคุยกัน แต่พอคุยกับฉัน พวกเขาต้องใช้ภาษาอังกฤษ)

     

    มินซอกมองคนข้าง ๆ ที่กำลังเล่าเรื่องของตัวเอง ลู่หานเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งก่อนจะหันหน้าเข้าหาเขาอีกครั้งพร้อมรอยยิ้ม

     

    “But since we're closer, I want to speak it with you too.” (แต่พอเราสนิทมากขึ้น ฉันก็อยากจะใช้มันพูดกับนายเหมือนกัน)

     

    “Sounds good, I like your answer.” (ฟังดูเข้าท่า ฉันชอบคำตอบของนาย) มินซอกยิ้มพอใจ วันนี้ลู่หานได้รู้แล้วว่าการยิ้มมันเป็นโรคติดต่อ เพราะการที่มินซอกกำลังยิ้ม มันทำให้เขายิ้มตามไปด้วย

     

    “Which part of my face do you like the most?” (นายชอบส่วนไหนของใบหน้าฉันมากที่สุด?)

     

    ลู่หานไม่ทิ้งระยะห่างนานเกินไปสำหรับเกมถามตอบ เขายิงคำถามนี้ก่อนจะหันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย ราวกับจะให้เจ้าตัวพิจารณา

     

    มินซอกเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าผีสางตนไหนดลใจให้ลู่หานถาม แต่ในเมื่อเพื่อนต้องการคำตอบ แน่นอนว่าเขามีให้เสมอ

     

    “Your eyes.” (ตา)

     

    “Why?” (เพราะอะไร)

     

    “Do I need to tell you the reason? I just like it.” (ฉันต้องบอกเหตุผลด้วยหรือไง ก็แค่ชอบ)

     

    “But I got a reason if you ask me the same.” (แต่ฉันมีเหตุผลนะ ถ้านายถามว่าฉันชอบส่วนไหนของใบหน้านายมากที่สุด)

     

    เราสบตากันอย่างหยั่งเชิง มินซอกไม่อยากบอกเหตุผลบ้า ๆ นั่นหรอก เพราะคำตอบมันอาจจะทะแม่ง ๆ เกินไป ถ้าหากหลุดออกมาจากปากคนที่เรียกได้ว่า เพื่อน

     

     

    ซึ่งคิมมินซอกปล่อยให้ความรู้สึกเกินเลยมากกว่านั้นมาตั้งนานแล้ว

     

     

    “Say it.” (ว่ามาสิ) พอถูกเปิดโอกาสลู่หานก็ยิ้มอย่างพอใจ หนุ่มชาวจีนจ้องหน้าเพื่อนสนิทแล้วหมุนนิ้วชี้เป็นวงกลม ราวกับจะปั่นให้มินซอกอยากรู้มากยิ่งขึ้น

     

    “I also like your eyes.” (ฉันก็ชอบตาของนายเหมือนกัน)

     

    “Reason?” (เหตุผลล่ะ)

     

    “Your eyes are like a magnet. Your eyes swallow me up and I hardly take my eyes off of them whenever I look.” (แววตาของนายเหมือนแม่เหล็ก พอมองแล้วเหมือนถูกดูดเข้าไป ทำให้ไม่อยากละสายตาไปมองสิ่งอื่น)

     

    ลู่หานแตะปลายนิ้วชี้ลงบนปลายจมูกเพื่อนสนิทเบา ๆ มินซอกหลุบตาลงเล็กน้อยก่อนจะช้อนตามองอีกคน

     

    “I would be shy if we were not friends.” (ถ้าไม่ใช่เพื่อนกันคงเขินไปแล้ว)

     

    “Do you?” (แล้วเขินไหม?)

     

    สีหน้าและน้ำเสียงของลู่หานไม่เหมือนพวกผู้ชายเจ้าชู้ตามผับ ที่เอาแต่พูดคำหวานให้เหยื่อติดกับ ตอนนี้ลู่หานกำลังยิ้มเหมือนผู้ชายโง่ ๆ คนนึง ที่ไม่รู้ว่ากำลังเล่นกับความรู้สึกคนอื่นอยู่

     

    “You know people in our faculty think we're gay.” (รู้หรือเปล่าว่าเพื่อนในคณะคิดว่าเราเป็นคู่เกย์)

     

    “I have no idea that you would care this kind of stuffs.” (ไม่ยักรู้ว่านายสนใจเรื่องแบบนี้ด้วย)

     

    ลู่หานยิ้มขำ ผู้ชายคนนี้ดูไม่ได้เดือดร้อนกับสิ่งที่เขาพูด ราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่ควรเก็บมาใส่ใจ

     

    “I don't know. What about you?” (ไม่รู้สิ แล้วนายล่ะ?)

     

    “I don't care.” (ฉันไม่สนหรอก) ลู่หานแค่นหัวเราะพลางส่ายหน้าเล็กน้อย “Maybe it's just because I always skinship you, isn't it? But I don't think it's a big deal. Korean boys all do skinship, especially those idols.” (ที่พวกนั้นคิดว่าเราเป็นเกย์ อาจเป็นเพราะฉันชอบสกินชิพกับนายล่ะมั้ง แต่มันก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน ผู้ชายเกาหลีก็ชอบสกินชิพกันทั้งนั้น ไอดอลก็ทำออกจะบ่อย)

     

    “Right.” (นายพูดถูก) มินซอกยิ้ม สิ่งที่หยุดสายตาของเขาได้ในตอนนี้คือดวงดาวบนท้องฟ้า แทนที่จะเป็นสายตาของผู้ชายคิดอะไรตื้น ๆ อย่างลู่หาน

     

    “But if you don't like it I'll do less.” (แต่ถ้านายคิดมาก ฉันก็จะทำให้น้อยลง) ประโยคนี้ดูจริงจังจนทำให้มินซอกหันกลับมามองใบหน้าซื่อ ๆ ของอีกฝ่าย

     

    และมันก็เป็นอย่างที่คิด ลู่หานกำลังจริงจังราวกับกลัวว่าเขาจะถูกมองไม่ดี ทั้ง ๆ ที่คนพวกนั้นก็คิดถูกแล้ว

     

    “Nothing you need to change. I like this way you are.” (ไม่ต้องลดอะไรทั้งนั้นแหละ ฉันชอบที่นายเป็นแบบนี้)

     

    คำตอบของมินซอกเรียกรอยยิ้มจากเขาได้เสมอ แม้ว่าคนตัวเล็กจะชอบปั้นหน้านิ่ง หรือพูดด้วยน้ำเสียงโทนเรียบเฉย แต่มันก็ทำให้ลู่หานรู้สึกอุ่นใจทุกครั้งเวลาอยู่ด้วยกัน

     

    “Don't change, Minseok.” (อย่าเปลี่ยนไปนะมินซอก)

     

    “...?”

     

    “It's not because you're my only friend. But I have no idea what would I do without you.” (ไม่ใช่เพราะนายเป็นเพื่อนคนเดียวของฉัน แต่ถ้าไม่มีนายฉันก็ไม่รู้จะทำยังไง)

     

    “Stop being corny. I'm getting goose bumps.” (อย่าพูดอะไรเลี่ยน ๆ ได้ไหม ขนลุกชะมัด) มินซอกยิ้มขำ แม้ว่าอีกฝ่ายจะทำหน้าจริงจัง

     

    ไม่บ่อยนักหรอกที่ผู้ชายซื่อ ๆ อย่างลู่หานจะชวนเข้าเรื่องจริงจัง ถ้าไม่นับเรื่องน้องชายหนีออกจากบ้าน ลู่หานเป็นผู้ชายโลกสวย มองโลกในแง่ดีเกินไป จนสามารถมองไก่ให้เป็นหงส์ได้

     

    เหมือนอย่างตัวเขาที่ลู่หานคิดว่าดี แต่ที่จริงแล้วคิมมินซอกก็แค่ผู้ชายแย่ ๆ คนหนึ่งที่สามารถนั่งนับข้อดีได้ภายในเวลาสิบวินาที แต่ใช้เวลาร่ายข้อเสียทั้งหมดได้เป็นวัน ๆ

     

    คิมมินซอกไม่ได้ดีอย่างที่คิด เขาก็แค่แสดงออกให้ลู่หานเห็นอย่างนั้น และเลือกปิดบังเรื่องแย่ ๆ เอาไว้ เพราะกลัวว่าทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม

     

    เขาอยากบอกผู้ชายคนนี้เหมือนกันว่า อย่าเปลี่ยนไปได้ไหมลู่หาน?’ ช่วยเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ได้ไหมถ้าเกิดวันหนึ่งได้รู้ว่าคิมมินซอกไม่ได้ดีอย่างที่เข้าใจ อีกทั้งยังคิดไม่ซื่อกับเพื่อนสนิทของตัวเอง

     

    ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาอีกมากมายที่ลู่หานยังไม่รู้ และถ้าถึงวันนั้นมาถึง มินซอกก็ไม่มั่นใจว่าเพื่อนคนนี้จะรับได้ไหม ลู่หานเหมือนสีขาว และเขาคือสีดำ มินซอกไม่อยากป้ายสีให้ผู้ชายคนนี้ต้องสกปรก

     

    ที่เป็นอยู่ในตอนนี้สามารถเรียกว่าความรักได้ไหม? กับการที่เขาเลือกเก็บความรู้สึกตัวเองเอาไว้ เพื่อรักษามิตรภาพระหว่างเรา เพราะเขารู้ดีว่าในความต้องการ มันก็ยังมีความไม่ต้องการอยู่

     
     

     

    มินซอกต้องการรักลู่หาน

    แต่เขา...ก็ไม่ต้องการรักลู่หานเช่นกัน

     
     

     

    นี่เป็นครั้งแรกที่คิมมินซอกกลัวการรักใครสักคน

     

     
     

    “Minseok.” (นี่มินซอก)

     

    Um” (อืม)

     

    “Do you know Park Jiyeon, faculty of Humanities? The one who always walk pass our building on Thursday in the afternoon.” (นายรู้จักปาร์คจียอนคณะมนุษย์ศาสตร์ไหม ที่เธอชอบเดินผ่านหน้าตึกเราช่วงบ่ายโมงวันพฤหัสน่ะ)

     

    มินซอกเป็นคนเซนส์ดี โดยเฉพาะเรื่องที่จะทำให้เขาต้องเสียใจ เหมือนตอนอายุสิบเจ็ด แน่นอนว่าเขาจดจำเรื่องราวแย่ ๆ ที่เคยเกิดขึ้นช่วงเวลานั้นได้ และเซนส์ที่ว่ามันก็ทำหน้าที่ได้ดีจนน่าเกลียด

     

    “Yeah, Ok Taecyeon tried to get her but she didn't give a damn so he gave up.” (รู้สิ ฉันเห็นอ๊กแทคยอนตามจีบอยู่พักนึง เห็นว่าเธอไม่เล่นด้วย หมอนั่นก็เลยตัดใจ)

     

    “Really...” (เหรอ...) ลู่หานเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอีกครั้งทั้งที่ยังยิ้มอยู่อย่างนั้น “I think she's cute.” (เธอน่ารักดีนะ)

     

    ลู่หานดูขลาดอายเวลาพูดถึงผู้หญิงอีกคน อีกทั้งน้ำเสียงในโทนปกติที่ดูประหม่าอยู่ไม่น้อย ตลอดเวลาที่เป็นเพื่อนกันมา นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่หานพูดถึงผู้หญิง และมันไม่ใช่ข่าวดีสำหรับเขาเลยสักนิด

     

    “Minseok.” (มินซอก)

     

     

     

    อย่า...

     

     

     

    “I think...I'm falling for Jiyeon” (ฉันว่าฉัน...กำลังชอบจียอน)

     

     

     

     

    TBC

     
     

     

    มาตามสัญญาแล้วค่ะ สำหรับมนุษย์มินซอก เปิดอินโทรมาก็อึมครึมเลย ไม่ต้องห่วงนะคะ เรื่องนี้ไม่สวีทหวานแหวว ไม่โรแมนติกอะไรทั้งนั้นเลย 555555555555555

     

    บางคนที่ไม่เคยอ่านมนุษย์แบคฮยอน หรือ มนุษย์จงอิน อาจจะสงสัยกันนะคะ ว่าทำไมลู่หมินถึงคุยกันเป็นภาษาอังกฤษ ตามเนื้อเรื่องหลัก ๆ จากมนุษย์แบคฮยอนแล้ว ลู่หานเป็นคนจีนค่ะ เพิ่งย้ายมาอยู่เกาหลีได้ไม่ถึงปี เขาเลยพูดภาษเกาหลีไม่ได้ เลยต้องสื่อสารกับคนอื่นด้วยภาษาอังกฤษ ซึ่งก็มีแค่มินซอกนี่แหละที่คุยกับเขารู้เรื่อง

    ถ้าอยากเข้าใจคาแรกเตอร์มินซอกเพิ่มมากขึ้น แนะนำให้อ่านมนุษย์จงอินตอนที่ห้า (แค่ช่วงพาร์ทแรกก็พอค่ะ) ลิงค์นี้เลย  http://my.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1275892&chapter=6

     

    ฟิคเรื่องนี้เราเขียนกับ @Pinkkieeee (โมเม) นะคะ ช่วยกันคิดพล็อต โมเมก็ช่วยแปลบทสนทนาเป็นภาษาอังกฤษด้วยค่ะ เกร๋ ๆ ที่สุด

     

    ตอนต่อไปจะเป็นยังไง โปรดติดตามดูนะคะ ว่าฟิคเรื่องนี้จะไปในทางไหน ขอบคุณทุกคนที่ให้ความสนใจฟิคเรานะคะ

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×