ตอนที่ 28 : SPECIAL CHAPTER :: (1/2)
Special Chapter 01
มนุษย์เรามักจะตั้งคำถามอยู่เสมอ
สงสัยว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และจะเป็นไปในทางไหน
แต่จะรู้คำตอบได้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาเหล่านั้นมีความใคร่รู้กับคำถามมากสักเท่าไหร่
โอเซฮุนมีคำถามมากมายที่ทั้งหาคำตอบได้เอง และให้เวลาเป็นตัวช่วย ยกตัวอย่างเช่นเรื่องของความรักครั้งนี้ที่มันจะราบรื่นไปได้สักแค่ไหน อาจเพราะเขาเป็นมนุษย์ที่เกิดมาพร้อมกับความหวาดกลัว กังวลที่จะสูญเสีย กลัวที่จะต้องเจ็บปวด ดังนั้น เขาจึงพยายามประคับประคองความรักที่มีต่อจงอินเอาไว้ และสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำให้ทุกอย่างต้องจบลงด้วยความโง่เหมือนตอนนั้นอีก
แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินกว่าที่จะทำ ตลอดเวลาที่คบกันมา เรามีทั้งความสุข และความทุกข์ใจเมื่อมีความเห็นไม่ตรงกัน จนมีปากเสียงให้รู้สึกแย่บ้าง มึนตึงใส่และไม่มองหน้ากัน แต่สุดท้ายความรักก็ทำให้เรายอมละทิ้งทิฐิ ความขุ่นเคืองใจไป เพราะตระหนักได้ว่าคงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความรู้สึกของคนที่เรารักอีกแล้ว
เซฮุนฟังอีกฝ่ายมากขึ้น เหมือนกับที่จงอินทำมาตลอดหลายปี ผู้ชายคนนั้นยังพร้อมที่จะฟังความงี่เง่าของเขาอยู่เสมอ ก่อนจะสั่งสอนให้เขารู้สำนึกด้วยความเป็นผู้ใหญ่กว่า พร้อมตอกย้ำด้วยการกระทำให้รู้ว่าโอเซฮุนไม่ควรดื้อ และต้องรักจงอินให้มาก ๆ
เขาทำงานเป็นผู้กำกับเวทีเข้าปีที่สามแล้ว ส่วนจงอินก็เรียนเนติจบเป็นที่เรียบร้อย และได้เป็นอัยการตามที่ตั้งใจไว้ บอกไม่ถูกเลย... เซฮุนรู้สึกภูมิใจทุกครั้งเวลามองไปยังคนที่เขารัก ผู้ชายใส่สูทดูภูมิฐานคนนั้นที่มีร่างเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนซ้อนทับ กำลังมองมายังเขาด้วยแววตาไม่ต่างจากวันแรกที่เราตกลงเป็นแฟนกัน
เกิดคำถามอีกครั้งว่าอะไรที่ทำให้โอเซฮุนเป็นผู้โชคดี?
จงอินไม่เคยทำให้คิดมากเรื่องมือที่สาม ในขณะที่เขาทำอย่างนั้นโดยไม่ตั้งใจ จะให้บอกอย่างไรดีล่ะ... รุ่นพี่ที่ทำงานเกิดเอ็นดูโอเซฮุนอย่างหนัก จึงทำให้การพูดคุยในเวลางานมันยังไม่เพียงพอสำหรับฝ่าย ซึ่งมันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ พอรู้อย่างนั้นจงอินก็มารับมาส่งทุกครั้ง แม้ว่าเจ้าตัวจะนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรก็ตาม
ฮะ... คนอะไร หึงแล้วทำตัวน่ารักเป็นบ้าเลย
เราย้ายมาอยู่ด้วยกันตามที่วางแผนไว้เมื่อสองปีก่อน โดยการหารเงินกันซื้อคอนโดที่ไม่กว้างและไม่เล็กจนเกินไป เขาไม่ยอมให้จงอินจ่ายคนเดียวหรอก เราควรมีส่วนร่วมด้วยกันในทุก ๆ เรื่อง แม้แต่การซื้อน้ำยาล้างจานที่อ้างว่า ‘เงินแค่นี้เอง’ โอเซฮุนไม่ได้อ่อนแอจนต้องถูกดูแลถึงขนาดนั้น เขาเองก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มีร่างกายแข็งแรง แถมยังเจียวไข่เป็นแล้วด้วย
กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ในทีแรกเราต่างก็เป็นกังวลเกี่ยวกับอนาคตที่อาจส่งผลกระทบถึงคนในครอบครัว ใช่ เขาและจงอินจะย้ายไปอยู่ด้วยกันด้วยเหตุผลอะไรในเมื่อเราต่างก็มีบ้านที่แสนอบอุ่นอยู่แล้ว ถึงพ่อแม่จะเคารพการตัดสินใจลูกชายมาตลอด แต่เขาก็ควรให้เหตุผลที่น่าฟังกับท่าน
จงอินไม่ได้พูดอะไรมากนักตอนที่เขาระบายความอัดอั้นออกมา ทั้งเรื่องที่พ่อแม่อยากให้ไปเจอผู้หญิงที่ท่านเตรียมไว้ให้ เธอเป็นลูกสาวของบริษัทที่เป็นหุ้นส่วน ซึ่งวันหนึ่งเขาต้องละทิ้งงานกำกับละครเวทีเพื่อไปศึกษาระบบงานและรับช่วงต่อจากพ่อ เพราะตอนนี้ท่านก็อายุมากพอสมควรแล้ว
เซฮุนลำบากใจและไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร มันหลายครั้งแล้วที่เขาเอาแต่อ้างว่าไม่ว่าง ซึ่งท่านก็ไม่ได้บังคับ และเพราะพ่อกับแม่เป็นอย่างนั้น เขาจึงรู้สึกผิดจนต้องบีบตัวเองว่าต้องไปเจอฝ่ายหญิง
แต่จงอินกลับยิ้มหลังจากฟังจบ พร้อมบอกให้เขาไปเจอเธอคนนั้น แม้จะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร แต่สุดท้ายเซฮุนก็ไปกินข้าวกับเธอ เพื่อลบล้างความไม่สบายใจนี้ออกไปก่อน ส่วนเรื่องจงอินที่ค้างคาใจ มันคงไม่ใช่การประชดประชันแน่ เราคบกันมากี่ปีแล้ว เขาคิดว่ารู้จักผู้ชายคนนั้นดีกว่าใคร
ระหว่างที่ตกอยู่ในบรรยากาศน่าอึดอัดบนโต๊ะอาหาร ผู้หญิงคนนั้นก็เป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน โดยการชวนคุยเรื่องชีวิตวัยเรียน เธอชื่อคิมซอลฮยอน น่าตลกดีที่ตอนแรกเราดูเก้อ ๆ และไม่มีท่าทีว่าจะคุยกันรู้เรื่อง จนกระทั่งอีกฝ่ายบอกว่าโดนบังคับมาเช่นกัน เขาจึงรู้สึกผ่อนคลาย และคุยกันได้อย่างออกรส
เซฮุนไม่ได้วางใจกับเรื่องนั้น เพราะพ่อแม่ของเขาและเธอยังคงหวังความสัมพันธ์ที่มากกว่าเพื่อน จงอินยังคงตั้งใจฟังเวลาเขาเล่าทุกเรื่องบนโลกใบนี้อย่างเช่นทุกครั้ง ดวงตาคู่นั้นไม่ได้แสดงออกถึงความขุ่นเคือง เมื่อตอนเซฮุนเผลอชมว่าเธอพูดจาน่ารัก
จงอินเพียงแค่ยิ้ม กุมมือเขาพร้อมบอกว่า ‘ไปกันเถอะ มันถึงเวลาแล้วที่เราต้องบอกเรื่องนี้ให้พ่อกับแม่เข้าใจ’
วินาทีนั้นเซฮุนรู้สึกเหมือนโลกมันกำลังหมุนติ้ว บอกไม่ถูกเลยว่ารู้สึกอย่างไรตอนที่ถูกอีกฝ่ายจูงมือให้เดินไปขึ้นรถด้วยกัน จะเขินกับความกล้าของจงอินก็ไม่ใช่ แต่จะว่ากลัวการบอกความจริงก็ไม่เชิง เขาเอาแต่หันไปถามคนขับว่าจะเอาจริงเหรอ แต่คุณอัยการมือใหม่กลับยิ้มน้อย ๆ ขณะที่สายตามองไปยังท้องถนน ก่อนจะหันมาบีบจมูกเขา แล้วบอกว่า
‘เรียนจบ มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่งแล้ว มันก็คงถึงเวลาไปขอลูกชายบ้านนี้อย่างเป็นทางการเสียที’
เวลาน่าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้จงอินยังพูดคำนั้นได้อย่างหน้าตาเฉยอีก สาบานให้ตายเลยว่าโอเซฮุนไม่เคยชินสักครั้งเวลาเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหมายพร้อมคำพูดที่ทำให้ใจเต้นแรงอยู่เสมอ มันก็จริงที่เราคบกันมาหลายปี แต่เป็นเพราะต่างฝ่ายต่างเรียนจึงทำให้มีช่วงเวลาทิ้งห่างให้คิดถึงกันบ้าง ซึ่งเซฮุนคิดว่ามันกำลังดี เขาชอบที่จะใช้เวลาไปกับการคิดถึงผู้ชายคนนี้ และยิ้มออกมากว้าง ๆ ตอนเห็นข้อความสั้น ๆ ซึ่งทำให้นึกถึงวันแรกที่รู้ตัวว่าชอบคิมจงอิน
‘คิดถึง’
‘ไม่ได้กอดมากี่วันแล้ว มันคงนานมากจนฉันขี้เกียจนับ’
‘เหนื่อยไหม ให้ไปรับหรือเปล่า?’
‘คุณนักเรียนกำลังทำอะไรอยู่นะ? ถ่ายรูปมาให้ดูหน่อยครับ’
‘คิดว่าดอกไม้ช่อนี้กับแก้มนาย อะไรจะหอมกว่ากัน?’
คิมจงอินยังคงเก่งเรื่องทำให้โอเซฮุนยิ้มเสมอ
เขาไม่ได้กลัวพ่อแม่โกรธหากรู้ความจริง แต่สิ่งที่เซฮุนแคร์คือความผิดหวังในตัวลูกชายเพียงคนเดียวที่ท่านจะได้รับ จงอินดูนิ่งและไม่มีท่าทีตื่นกลัวหลังจากเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ที่เริ่มต้นตั้งแต่ตอนมอปลาย เด็กผู้ชายคนนั้นที่พ่อกับแม่เขาเอ็นดูและให้ความเชื่อใจมาตลอด กำลังคุกเข่าขอโทษและอธิบายถึงเหตุผลที่ปิดบังเรื่องนี้ ว่าเรายังเป็นเด็ก และต้องการให้เวลายืนยันว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นเป็นเพราะวัยที่ยังแยกแยะไม่ออกว่าอะไรคือความรู้สึกดี ๆ และอะไรคือความรัก
จงอินยืนยันกับท่านด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่าแน่ใจแล้ว กับความรู้สึกที่มันมากกว่าเพื่อน เซฮุนใจเต้นแรงเพราะคำพูดของอีกฝ่ายและความหวาดกลัวที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ เขากังวลเหลือเกินว่าพ่อกับแม่จะรับไม่ได้จนตะโกนความในใจออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
ผู้ชายคนนี้ไม่ได้พูดคำว่ารักให้คนเป็นพ่อแม่ต้องรู้สึกแคลงใจ จงอินเพียงบอกว่าโอเซฮุนเป็นผู้ชายคนเดียวที่อยากอยู่ด้วยไปจนแก่ เราเป็นทั้งเพื่อนที่คุยกันได้ทุกเรื่อง และพี่น้องเมื่อยามอีกฝ่ายทุกข์ใจ จึงอยากขอโอกาสให้ผู้ใหญ่รับรู้เอาไว้ แต่ถึงพ่อกับแม่เซฮุนจะไม่เข้าใจ ไม่อยากยอมรับ คิมจงอินก็คงไม่ถอย
ท่ามกลางความเงียบและสีหน้าของท่านทั้งสองคน เขาคิดว่ามันออกมาไม่ดีนักแต่จงอินก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ที่เดิมและไม่หลบสายตาไปไหน ตอนนั้นเซฮุนจึงลงไปนั่งคุกเข่าข้าง ๆ พร้อมมองไปยังผู้ให้กำเนิดและหวังว่าท่านจะรับรู้ได้ถึงความจริงจังของเรา
พ่อกับแม่เงียบไปนานแค่ไหนนะ แต่ที่รู้คือขามันเริ่มจะเป็นเหน็บแล้ว กลัวไปหมด... ถ้าท่านขอให้เลิกคบกันเขาจะทำอย่างไร ในขณะที่เซฮุนกำลังตกอยู่ในห้วงของความกังวล เขาก็หันไปมองคนข้าง ๆ ซึ่งมันได้ผลเหมือนกับทุกครั้ง เมื่อไหร่ที่โลกนี้ตั้งคำถามและกดดันให้โอเซฮุนต้องกลัว ผู้ชายคนนี้ก็จะมอบความมั่นใจให้กับเขาทุกครั้ง ด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น ซึ่งมีเพียงโอเซฮุนคนเดียวที่ได้รับมัน
‘พ่อตกใจมากที่ได้ยินแบบนี้’
สีหน้าและน้ำเสียงของท่านไม่ได้เกินจริงไปกว่าที่พูดเลย แน่ล่ะ... ถ้าเขาเป็นพ่อคนสักครั้งในชีวิต ก็คงไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าลูกชายที่เลี้ยงมายี่สิบกว่าปีจะคบกับเพศเดียวกัน ซึ่งการอธิบายเรื่องความรักในวินาทีนี้ก็คงไม่เหมาะสมนัก เซฮุนคิดว่าพ่อกับแม่คงเข้าใจอยู่แล้ว แต่จะรับได้หรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง
‘แต่ให้เวลาพ่อกับแม่หน่อยแล้วกัน มันไม่ง่ายเลยที่จะพูดในตอนนี้’
มันเกินความคาดหมายด้วยซ้ำ สิ่งที่เราสองคนทำในตอนนั้นคือคำนับผู้ใหญ่ทั้งสอง แล้วหันมาสบตากันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรอีก
เมื่อก่อนจงอินอาจจะใจเย็นในหลาย ๆ เรื่อง แต่หลังจากผ่านวันนั้นไปได้ไม่นาน ผู้ชายที่ว่านิ่งก็แสดงความขี้เห่อออกมาให้เห็นด้วยการชวนเขามานั่งข้าง ๆ พร้อมสไลด์ให้ดูว่าคอนโดที่ไหนวิวสวย ราคาเท่าไหร่ และสะดวกต่อการไปทำงานของเราทั้งคู่หรือไม่ วินาทีนั้นเซฮุนเอาแต่อมยิ้ม แล้วมองสีหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความจริงจังกับการวางแผนเริ่มต้นใช้ชีวิตด้วยกันของผู้ชายที่ชื่อคิมจงอิน
ไหนจะเฟอร์นิเจอร์อีก จงอินย้ำตลอดเลยว่าต้องอยู่ในงบที่ไม่แพงจนเกินไป เพราะเจ้าตัวเพิ่งมีงานทำ เซฮุนจึงเกิดคำถามอีกครั้งว่าอัยการมือใหม่จะหาเงินจากไหนมาหารค่าเรือนหอของเรา ซอนแซงนิมผู้เงียบขรึมนิ่งไปครู่หนึ่งระหว่างใช้ความคิด ก่อนจะมองเขาและบอกอย่างขลาดอายว่าขอยืมพ่อก่อน เพราะรอต่อไปไม่ไหวแล้ว
ใครจะอดขำได้ ขอโทษแล้วกันที่ตอนนี้เขาเห็นว่าคิมจงอินเป็นเหมือนเด็กน้อยทั้งที่อายุก็จะยี่สิบเจ็ดแล้ว เจ้าตัวอ้างว่าถ้าเรียนจบสี่ปีแล้วมีงานทำเลยก็คงไม่ทำอย่างนี้หรอก แต่เป็นเพราะต้องเรียนเนติต่ออีกสองปี จงอินจึงต้องทำแบบนี้ และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เซฮุนรู้ว่า ผู้ชายคนนี้ได้บอกเรื่องของเราให้พ่อและแม่รับรู้ด้วยตนเองแล้ว
อีกฝ่ายคงรู้ว่าทำไมคนฟังถึงทำหน้าเหวอไป จงอินยิ้มขำแล้วยีหัวเขาแล้วบอกว่า ‘ฉันไม่อยากให้นายอึดอัดหลาย ๆ ครั้ง มันคงดีกว่าถ้าฉันกับพ่อแม่จะคุยเรื่องนี้กันสามคนในช่วงเวลาวันหยุด แล้วก็ไม่ต้องถามนะว่าทำไมฉันรู้สึกไม่ดีหรือเปล่าตอนที่คุยกับครอบครัวของนาย’
ก็เป็นเสียอย่างนี้ มันทำให้เขานึกย้อนกลับไปถึงเมื่อตอนที่เราต่างคิดไม่ตกกับเรื่องหวงจื่อเทา แต่ตอนนั้นจงอินยังเลือกที่จะฟังเขาก่อนแล้วค่อยตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง แต่หลังจากปรับความเข้าใจกันแล้วก็เป็นเสียอย่างนี้ การที่เซฮุนบอกว่ายอมรับการตัดสินใจของจงอิน นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปล่อยให้จงอินไปเผชิญหน้ากับผู้ใหญ่ตามลำพังสักหน่อย
เขาไม่รู้ว่าเผลอดุออกไป จนกระทั่งอีกฝ่ายเข้าไปมากอดพร้อมหอมแก้ม แล้วบอกว่า ‘ขอโทษนะ ฉันเป็นแฟนที่เอาแต่ใจจริง ๆ เลย’ แค่นั้นแหละ... โอเซฮุนจะพูดอะไรได้อีก
“เซฮุนนา”
“อืม...”
“ฉันทำมื้อเช้าที่เสร็จตอนเที่ยงเรียบร้อยแล้ว ถ้านายยังเอาแต่นอน ฉันจะกินคนเดียว”
“นายไม่กล้าหรอก...”
ชายหนุ่มผิวแทนมองคนขี้เซาที่กำลังก่ายขากอดฟัดหมอนข้างราวกับเด็ก เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยเมื่อนึกแผนออก
“ยังไงก็ลุกมากินแล้วกันนะ ฉันจะออกไปข้างนอกสักหน่อย”
“อย่ามาหลอกให้ยาก เมื่อคืนนายบอกว่าวันนี้ว่าง”
“พอดีคุณยุนอาโทรมานัดไปคุยงานน่ะ ร้านอาหารหรูด้วย ดูเหมือนว่าฉันคงต้องหาสูทดี ๆ สักตัวใส่ไปพบเธอ”
“อ๊า! ยอมแล้ว” คนตัวผอมดีดตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมมองไปยังแฟนหนุ่มที่ยืนควงกุญแจรถด้วยนิ้วชี้อยู่หน้าประตู จงอินยิ้มพอใจกับการงัดไม้ตายออกมาขู่ได้สำเร็จ เซฮุนเพียงขยับปากบ่น ชี้หน้าคนรักอย่างคาดโทษก่อนจะเบิกตากว้างเพราะถูกฟาดก้นอย่างแรงจนเกิดเสียง
“แน่นจริง ๆ”
“นี่” เซฮุนถลึงตามองผู้ชายที่เคยไล่ต้อนเขาด้วยสายตาและคำพูดเขิน ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่จงอินกลายเป็นคนมือไว
“ฉันชอบเวลานายขึ้นเสียงนะ ดูมีอำนาจแปลก ๆ หรือฉันจะชอบถูกข่มก็ไม่รู้สิ?” คนขี้แกล้งกำมือป้องปากหัวเราะ เดินผ่านไปพร้อมลดระดับสายตามองสะโพกของเขาอย่างเจ้าเล่ห์
“ชอบคนงี่เง่าสินะ”
“อะไรก็ได้ ยกเว้นคนที่นั่งคุยงานกับผู้ชายอื่นตอนดึก ๆ”
เซฮุนอมยิ้ม ชะโงกหน้าออกมาจากห้องน้ำพร้อมแปรงฟันไปด้วย มองคนขี้หึงที่กำลังปั้นหน้านิ่งและสบตากับเขาเป็นเชิงบอกให้รู้ว่าไม่พอใจ ก็ถ้าจงอินหึงแล้วงี่เง่าพูดไม่รู้เรื่องก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าหึงแล้วน่ารักแบบนี้ เขาก็อยากจะแหย่ให้พ่อหมีคิ้วกระตุกจริง ๆ
“นายคิดว่าพี่จองซอกชอบฉันหรือเปล่า?”
“คำถามจิตวิทยาเหรอ”
“จริงจังนะ” คนฟองยาสีฟันเต็มปากมองคนรักที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟาอย่างไม่ยี่หระ ดูเข้าสิ ทำเป็นเก็บอาการ
“คิดว่าไม่”
“แล้วนาย--”
“ถ้าคนบางคนไม่ทำตัวเป็นหมาหยอกไก่ ทำทีเล่นทีจริงเพื่อให้แฟนหึง”
“แล้วได้ผลไหม?”
จงอินละสายตาจากหนังสือพิมพ์ที่เป็นเพียงจุดยึดสายตา ก่อนจะมองไปยังอีกคนที่หายเข้าไปในห้องน้ำ กลั้วปากล้างหน้าพร้อมฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี
ดูโอเซฮุนเข้าสิ ทำตัวน่าหึงเรี่ยราดจนเขาต้องข่มใจตัวเองกับอาการหึงหวง ซึ่งมันเป็นเรื่องงี่เง่าเพราะรู้ดีว่ายังไงอีกฝ่ายก็คงไม่หวั่นไหว ชายหนุ่มผิวแทนเคาะปลายนิ้วลงบนหนังสือพิมพ์ระหว่างรอ เพียงครู่เดียวเซฮุนก็เดินออกมาพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็ก เช็ดใบหน้าก่อนจะทิ้งตัวลงข้าง ๆ เขา
“มาเอาคำตอบ”
จงอินยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหันมามองอย่างรู้ทัน สบตากันอยู่อย่างนั้นแล้วเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกของเราชนกันในที่สุด ผู้ชายคนนี้รู้ดีว่าต้องจัดการกับเขาอย่างไร และสิ่งไหนในโลกที่ทำให้โอเซฮุนรู้สึกดีได้ ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ เขาชอบตอนเราสองคนอยู่ด้วยกันในวันหยุด ไม่ต้องเร่งรีบ ใช้เวลาทั้งวันร่วมกันโดยไม่มีอะไรมาขัดจังหวะ
อากาศข้างนอกหนาวจนต้องสวมโค้ท แต่บรรยากาศในห้องสี่เหลี่ยมแห่งนี้กำลังได้ที่เพราะฮีตเตอร์และความอบอุ่นจากการกระทำของอีกฝ่าย ความหอมกลิ่นดอกไม้ช่วยเพิ่มความหวานของชายหนุ่มวัยทำงานทั้งสองคนได้เป็นอย่างดี จงอินเป็นคนเลือกมันเองกับมือเพื่อให้บ้านหลังเล็ก ๆ ของเราน่าอยู่ยิ่งขึ้น
รวมไปถึงปลายจมูกโด่งที่คลอเคลียอยู่ข้างแก้ม ไม่ละออก แต่ก็ไม่ยอมฟัดหอมจนเกิดเสียงฟอดเหมือนคราวที่เจ้าตัวมันเขี้ยวจนหลุดฟอร์ม หยอกล้อราวกับว่าจะดึงโอเซฮุนคนปัจจุบันให้กลับไปเป็นเด็กมอปลายอายุยี่สิบ
“ถ้าพี่จองซอกจะชอบแฟนฉันก็คงไม่แปลก” เซฮุนไม่รู้ว่าจงอินกำลังคิดอะไรอยู่ก่อนจะพูดออกมา ตอนนี้เขารู้เพียงว่ากำลังใจเต้นแรงเพราะแววตา และลมหายใจอุ่น ๆ ที่รดลงข้างแก้ม “แต่ห้ามมองคนอื่นด้วยสายตาแบบนี้ เข้าใจที่พูดไหม?”
“ฉันไม่ได้มองพี่จองซอกแบบนี้สักหน่อย เดี๋ยวนะ... แบบนี้น่ะแบบไหน?” เซฮุนสบตากับคนตรงหน้า ก่อนจะหลับตาลงทันทีที่ถูกจูบ จงอินเริ่มต้นด้วยความอ่อนโยน ผู้ชายคนนี้ร้ายกาจจริง ๆ ที่รู้ว่าต้องไล่ต้อนอย่างไรก่อนจะปิดท้ายด้วยริมฝีปากอุ่น ๆ เพื่อให้เขายอมแพ้
เซฮุนชอบจูบของจงอิน มันทั้งอบอุ่น อ่อนโยน และร้อนแรงในบางครั้งจนชวนให้ใจเต้น คนตัวผอมโอบรอบคออีกฝ่ายไว้เป็นหลัก กว้านลิ้นจูบตอบเพื่อการแสดงความรักที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น แผ่นหลังค่อย ๆ เอนลงนอนราบบนโซฟา ก่อนที่เราจะหลุดหัวเราะออกมาทั้งที่ยังจูบกันอยู่
“พอน่า มันจั๊กจี้”
“นอกจากฉัน ก็ไม่มีใครรู้แล้วว่าจุดอ่อนนายอยู่ตรงไหน” เซฮุนยักคิ้วราวกับเด็กที่เพิ่งชนะเกมอะไรสักอย่าง ก่อนจะยิ้มตาหยีเพราะถูกบีบจมูกอย่างมันเขี้ยว
“แล้วจุดอ่อนนายอยู่ตรงไหนกันนะ?” จงอินปั้นหน้าขมวดคิ้วจริงจัง สบตากับคนใต้ร่างที่ทำให้อยากลิ้มลองจูบรสยาสีฟันอีกสักครั้ง
“ตรง--”
“นี้?”
รู้สึกได้ถึงมือที่สอดเข้ามาในหัวกางเกง มันหยุดแค่นั้นราวกับหยั่งเชิงว่าเขาจะแสดงออกอย่างไร เซฮุนอาจไม่ใจเต้นแรงเท่าครั้งแรกที่ถูกมองด้วยสายตาแบบนี้ แต่เชื่อเถอะว่าความอ่อนโยนของคิมจงอินยังคงทำให้เขารู้สึกดีได้อยู่เสมอ คนตัวผอมอมยิ้มก่อนจะหัวเราะในลำคอ โอบกอดคนขี้หึงที่โน้มตัวลงมาจูบอีกครั้งก่อนจะเกี่ยวขายาวเข้ารอบเอวหนา
“ข้าวผมล่ะคุณอัยการ”
“ทำงานเกี่ยวกับละครเวที ไม่รู้หรือไงครับว่าควรลำดับความสำคัญอะไรก่อนหลัง?” จงอินขมวดคิ้วสบตากับคนใต้ร่างที่เอาแต่ยิ้มอย่างพอใจ เซฮุนแกล้งทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบ “ค่อยอุ่นกินแล้วกัน”
จะมีอะไรเรียกรอยยิ้มจากโอเซฮุนได้มากกว่าการเห็นคิมจงอินหลุดฟอร์มอีก เขาเมื่อยแก้มจะแย่แล้วที่เอาแต่ยิ้มเพราะคำพูดและการแสดงออกของผู้ชายคนนี้ คนตัวผอมโอบกอดคนบนร่างไว้จนแทบไม่เหลือช่องว่างให้อากาศวิ่งผ่าน แลกจูบกันซ้ำ ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายรับรู้ได้ว่าเขายังคงเป็นคนเดิมแม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายปี
“วันนี้อยากทำอะไร?”
“อืม... ไม่รู้สิ นายล่ะ?”
จงอินยิ้มบาง ๆ ขณะมองความเปลี่ยนแปลงของคนใต้ร่างที่ต่างไปจากตอนมอปลายอยู่หลายอย่าง เซฮุนโตขึ้นและเขาเองก็เช่นกัน แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าเรายังคงถูกตรึงไว้ในช่วงเวลาเดิม ๆ ในวัยที่ต้องเรียนรู้ จงอินเกลี่ยปอยผมออกจากดวงหน้าขาวอย่างเบามือ ทะนุถนอมเหมือนกับวันแรกที่ได้แตะต้องคนตรงหน้า และยิ้มออกมาอย่างชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังมีความสุขกับชีวิตคู่
“ไปสวนสนุกกันเถอะ ฉันอยากพานายกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง”
TBC
ไปเที่ยวเกาหลีแล้วหายไปนานเลย ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้รอ แง TT ตอนหน้าคงยาวกว่าตอนนี้หน่อยนะคะ แต่เกี่ยวก้อยเลยว่าจะไม่ให้รอนาน คึคึ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อบอุ่นยิ่งกว่าไมโครเวฟก็จงอินซอนแซงนิมนี่ละ
ซอนแซงนิมน่ารักเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือความหื่น55555555