ตอนที่ 21 : Chapter 20 :: Your Dried Flowers
Chapter 20
Your Dried Flowers
“เซฮุน ลงไปทานข้าวกับแม่นะลูก”
“เซฮุน เปิดประตูให้แม่หน่อย”
เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มปล่อยให้แม่เรียกชื่อเขาอยู่อีกฟากฝั่งของประตูโดยไม่ลุกขึ้นไปเปิดให้ เซฮุนเอาแต่นอนฟุบหน้าลงร้องไห้ แล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาล้างความเศร้าจนหมอนเปียกเป็นวงกว้าง
ปล่อยให้พ่อกับแม่เข้าใจว่าลูกชายไม่สบาย หลังจากนั้นโอเซฮุนก็ขังตนเองอยู่ในห้อง อยู่กับความอึดอัดในใจตามลำพัง แม้จะผ่านไปเป็นวันแล้ว แต่ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างหมอนยังคงเป็นสิ่งหนึ่งที่ยืนยันให้รู้ว่ามันไม่ใช่ความฝัน
โอเซฮุนคงกลายเป็นคนบ้าไปแล้ว ที่เขาเอาแต่ส่งข้อความหาจงอินซ้ำ ๆ ไม่รู้กี่ครั้ง ก้มหน้าพิมพ์ความในใจออกไปโดยไม่ได้เรียบเรียง ทุกอย่างมันมาจากความรู้สึก ซึ่งค่อนข้างไปในทางงี่เง่า พูดจาไม่รู้เรื่อง
น้ำตาหยดลงบนจอจนพร่ามัวแต่เด็กหนุ่มก็ไม่ล้มเลิกความตั้งใจ เซฮุนยังพยายามต่อไปแม้ว่าอีกฝ่ายจะเงียบเฉย
‘ไม่เลิกกันได้ไหม ที่ฉันทำให้นายไม่สบายใจ ฉันขอโทษนะ’
‘ไม่ว่างเหรอ’
‘ตอนนี้นายคงไม่อยากคุยกับฉันใช่ไหม ไม่เป็นไรนะ ฉันรอได้ นานแค่ไหนก็จะรอ’
‘เช้าแล้วนะจงอิน...’
‘เรารักกันไม่ใช่เหรอ ตอบข้อความฉันบ้างได้ไหม ฉันไม่สบายใจ และฉันก็รู้ว่าฉันไม่มีสิทธิ์สบายใจได้ในตอนนี้ แต่ขอร้องล่ะ อย่าหายไปแบบนี้’
‘ฉันเสียใจ ให้โอกาสฉันอีกครั้งเถอะนะ’
‘จงอิน ได้โปรด’
ไม่สนใจว่าตนเองจะดูโง่แค่ไหน สิ่งเดียวที่โอเซฮุนรู้ตอนนี้ก็คือ เขาต้องการปรับความเข้าใจกับจงอิน มากกว่าการเคารพการตัดสินใจของอีกฝ่าย เขารักจงอินมาก จึงไม่อยากให้ทุกอย่างจบลงเพราะเรื่องนั้น
รอแล้วรอเล่า แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม จงอินไม่ตอบข้อความกลับมา ไม่ยอมรับสาย ผ่านไปหลายชั่วโมง โอเซฮุนถึงได้รู้ว่า
มันเปล่าประโยชน์
เด็กหนุ่มเปิดตู้เสื้อผ้า รื้อเอาเสื้อกันหนาวหนึ่งตัวออกมาสวมใส่ลวก ๆ เสียงฝีเท้าวิ่งย่ำลงตามขั้นบันไดยังไม่เร็วเท่ากับอัตราการเต้นของหัวใจ เซฮุนไม่หยุดขานตอบพ่อกับแม่ที่ตะโกนเรียกเมื่อเขาวิ่งผ่านห้องโถง เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้ยินเสียงใครนอกจากเสียงหัวใจตัวเอง
แท็กซี่ขับเทียบจอดข้างฟุตปาธ เด็กหนุ่มจ่ายค่าโดยสารเรียบร้อยแล้วจึงรีบวิ่งไปด้วยความเร็วทั้งหมดที่เขามี เซฮุนไม่อยากเสียเวลาไปแม้แต่วินาทีเดียว เด็กหนุ่มยังคงวิ่งโดยไม่สนใจสายตาผู้คนที่มองชุดนอนซึ่งถูกสวมทับด้วยเสื้อกันหนาวของเขา
หอบหายใจพร้อมโกยอากาศเข้าปอด เงยหน้าขึ้นหลังจากฝีเท้าหยุดยืนอยู่หน้าบ้านหลังที่คุ้นเคย ความกล้าไม่จำเป็นในตอนนี้แล้ว เขายอมโดนว่าที่มาหาถึงบ้านอย่างนี้ เด็กหนุ่มเอื้อมไปกดกริ่งครั้งแรกพร้อมภาวนาขอให้จงอินเปิดประตู
“จงอิน”
เสียงของเขาไม่ได้ดังเกินไป แต่มันก็เบาบางถ้าหากตั้งใจให้คนที่อยู่ด้านในได้ยิน
ตัดสินใจกดกริ่งเป็นครั้งที่สอง ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาคงคิดไปได้หลากหลายเหตุผลว่าทำไมจงอินถึงเปิดประตูช้า เพราะผู้ชายคนนั้นอาจจะอาบน้ำอยู่ หรือไม่ก็ยุ่งกับการล้างมือเอาคราบฟองน้ำยาล้างจานออก
กดกิ่งครั้งที่สาม สี่ ห้า ทำให้คนข้างบ้านชะโงกหน้าออกมาดู เซฮุนจึงได้รู้ว่าตอนนี้ไม่ได้รบกวนแค่บ้านตระกูลคิมหลังเดียว เด็กหนุ่มปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปราว ๆ สิบนาที ร่างกายที่เคยเหนื่อยหอบยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ ดวงตาแดงก่ำยังคงคาดหวังว่าฝันร้ายจะจบลงเสียที
‘ทำไงดี...’
สุดท้ายก็ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มอีกครั้ง เขาไม่อยากเอาความรู้สึกตอนนี้ไปเปรียบเทียบกับตอนที่ถูกเพื่อนเกลียด หรือตอนที่ถูกรังแกในโรงเรียน เพราะความเจ็บปวดแต่ละครั้งมันไม่เหมือนกัน
หน้าต่างห้องบานนั้นยังคงปิดสนิท ไม่มีแม้แต่การแหวกผ้าม่านออกมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงความลังเลใจ เซฮุนไม่อยากยอมรับ ว่าความเงียบที่ตอบกลับมาจนถึงวินาทีนี้ มันเป็นคำตอบโดยไม่ต้องออกเสียงว่า...
จงอินไม่ต้องการเจอหน้าเขาอีกแล้ว
มีไม่กี่วันที่นักเรียนทุกคนจะพร้อมใจกันแต่งกายอย่างถูกระเบียบ หนึ่งในนั้นคือพิธีจบการศึกษาที่ต้องไปรวมตัวกันในหอประชุม นั่งฟังผู้อำนวยการพูดอยู่เป็นชั่วโมงกว่าจะเสร็จสิ้นพิธี หลังจากนั้นก็แยกตัวกันออกไปถ่ายรูปเพื่อสร้างความทรงจำ
หันไปรอบข้างก็เห็นเหล่าปีสามแยกกันอยู่เป็นกลุ่มก้อน ถ่ายรูปกันเพื่อสร้างความทรงจำในวันสุดท้ายในรั้วโรงเรียนแห่งนี้ เซฮุนมองหาจงอินตั้งแต่นั่งอยู่ในหอประชุม แต่ก็เพิ่งได้เห็นตอนอีกฝ่ายเดินออกมาจากหอประชุม แต่เขาก็หาจังหวะเข้าไปหาไม่ได้เลย เมื่อถูกเหล่าเด็กผู้หญิงเข้ามารุมล้อมขอถ่ายรูปด้วย
“พี่เซฮุนเป็นอะไรคะ ทำไมใส่แว่น”
“ตาบวมด้วยอะ”
“อ๋อ... พี่ตาอักเสบน่ะ” เซฮุนได้ทำในสิ่งที่เขาไม่ชอบอีกครั้ง คือการยิ้มฝืนเพื่อให้เด็กสาวกลุ่มนี้สบายใจ มากกว่าจะอธิบายความจริงที่ไม่มีใครรู้
“ไปหาหมอดีไหมคะ หนูเป็นห่วงจัง”
“ใช่ ๆ ไปให้หมอตรวจนะ”
“พี่ไม่เป็นไร ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ”
เขาตัดจบบทสนทนา แล้วกลับไปถ่ายรูปกันอีกครั้ง เซฮุนยังคงมองหาจงอิน ทำอยู่อย่างนั้นตลอดหนึ่งชั่วโมงจนกระทั่งคนเริ่มซาลง ตอนนั้นถึงเห็นว่าอีกฝ่ายก็กำลังมองมาอยู่เช่นกัน
รู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุน ระยะเวลาสองอาทิตย์ที่ไม่เจอกันมันนานจนน่าใจหายขนาดนี้เลยหรือ เซฮุนกำมือแน่นพร้อมมองอีกคนที่ยืนอยู่อีกฟากฝั่ง ท่ามกลางผู้คนมากมาย จงอินกำลังมองมาทางนี้เช่นกัน
แต่แววตาคู่นั้น... มันต่างไปจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง
จงอินยืนนิ่ง ยิ้มบ้างเมื่อเพื่อน ๆ โบกมือให้ ในขณะจื่อเทายังคงเป็นที่สนใจของสาว ๆ ผู้ชายคนนั้นโบกมือลาเพื่อน พร้อมตะโกนโหวกเหวกตามประสาคนมีเพื่อนเยอะ ส่วนชานยอลยืนคุยกับแฟน หยอกล้อกันตามประสาก่อนจะกอดคอให้เดินมาด้วยกัน
หัวใจที่เหี่ยวเฉามาหลายวันกลับมาเต้นอีกครั้งหลังจากมันแหลกไปตั้งแต่วันนั้น เซฮุนเลียริมฝีปากคลายความประหม่า เขาสัญญาว่าจะไม่อ้าปากพูดอะไรทั้งนั้นถ้าหากจงอินหันไปบอกเพื่อนว่าเรากำลังคบกันอยู่
แต่มันไม่ใช่อย่างที่คิด
เมื่อสิ่งเดียวที่รู้สึกได้ ก็คือสายลมที่พัดผ่านเมื่อจงอินเดินสวนไปอย่างไร้เยื่อใยราวกับคนไม่รู้จักกัน ไม่มีแม้แต่การทักทาย หรือหยุดสายตาเพื่อให้เขารู้สึกดีขึ้นบ้างหลังจากจมกับความทุกข์มาเกือบครึ่งเดือน
จงอินไม่ได้มองหน้าเขาด้วยซ้ำตอนเดินผ่านไป ความเจ็บปวดทุกอย่างแล่นปราดไปหยุดอยู่ที่หัวใจ โอเซฮุนขยับขาไปไหนไม่ได้กับความเฉยชาเมื่อครู่นี้
“เฮ้ เป็นอะไรไป”
จื่อเทายิ้มพลางก้มหน้าลงจับผิดความเปลี่ยนแปลงของเพื่อนตัวผอม หลังจากที่เขาปล่อยให้เพื่อนสนิทเดินนำไปก่อนเพราะโชคดีเจอเซฮุนระหว่างทาง
“นี่”
รอยยิ้มบนใบหน้าเด็กหนุ่มชาวจีนเลือนหายไป และกลายเป็นความกังวลที่เข้ามาแทนที่ เมื่อเห็นปลายจมูกโด่งรั้นของคนตรงหน้าแดงก่ำ ริมฝีปากสั่นเครือ จนกระทั่งน้ำตาไหลออกมาอาบแก้มโดยไม่ได้บีบ
“เฮ้ย เป็นอะไร?”
“อย่ามายุ่งกับฉัน”
“ไม่ยุ่งได้ไงเล่า ใครทำอะไรนาย?” เด็กหนุ่มตัวสูงถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ถ้าเป็นไอ้พวกกุ๊ยนั่นมาพูดไม่ดีส่งท้ายล่ะก็ เขาจะตามไปกระทืบเรียงตัวแน่ สาบานได้เลย
แต่ดูเหมือนว่าประโยคเมื่อครู่จะทำให้เซฮุนร้องไห้หนักกว่าเดิม จื่อเทาเกาศีรษะเพราะทำตัวไม่ถูก หันซ้ายขวาเมื่อคนรอบข้างกำลังมองมาทางนี้ ถ้าคิดว่าเขาเป็นคนทำให้อีกคนร้องให้ล่ะก็ผิดถนัดเลย ในเมื่อตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมา โอเซฮุนเป็นฝ่ายหายตัวไปโดยไม่ยอมติดต่อกลับมาเลยสักครั้งเดียว
อยากถามว่าหายไปไหนมา แต่เวลานี้คงไม่เหมาะสักเท่าไหร่ ไปหาที่บ้านก็มีคนบอกว่าเซฮุนไม่อยู่ทุกที ไหนจะโทรไปก็ไม่รับสาย ไม่รู้จะยุ่งอะไรขนาดนั้น
“ฉันจะกลับแล้ว”
“งั้นฉันไปส่ง”
“ไม่เป็นไร”
“ไม่เป็นไรได้ไง นายร้องไห้หนักขนาดนี้แต่จะให้ฉันปล่อยไปเฉย ๆ น่ะเหรอ ฝันไปเถอะ” จื่อเทาเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม คว้าแขนอีกคนที่ทำท่าจะเดินหนีเอาไว้พร้อมขมวดคิ้ว โอเซฮุนต้องรับรู้ถึงความไม่พอใจของเขา “สองอาทิตย์ที่ผ่านมา นายตั้งใจหลบหน้าฉันใช่ไหม?”
“...”
“ตอบมาสิเซฮุน ถ้ามันเป็นเพราะฉันกดดันนายเรื่องนั้นเกินไปล่ะก็ ฉันขอโทษ ฉันจะไม่--”
“พอได้ไหม ฉันไม่ไหวแล้วนะ”
“...”
เด็กหนุ่มตัวสูงยืนนิ่ง หากแต่มือที่เคยยื้อเหนี่ยวรั้งอีกฝ่ายก็ยังไม่ปล่อยออก ในหัวมีคำถามว่า ‘อะไรที่ทำให้เซฮุนบอกกับเขาว่าไม่ไหว?’ ความรู้สึกที่อีกฝ่ายมีต่อเขา หรือว่าอะไรกันแน่?
หวงจื่อเทาเป็นไอ้บ้าดีเดือดที่ชอบเผด็จการอย่างเอาแต่ใจ ทั้งที่เห็นอยู่ว่าเซฮุนกำลังร้องไห้เพราะไม่สบายใจกับเรื่องอื่น แต่เขาก็ยังยัดเยียดความไม่สบายใจของตนเองเพื่อคั้นให้อีกฝ่ายตอบคำถาม
พอเห็นเซฮุนแสดงออกอย่างนี้เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก เขาหวังเพียงให้คนตรงหน้าพูดอะไรสักอย่าง อธิบายให้รู้สักคำว่ารู้สึกอย่างไร
แต่สิ่งที่หวงจื่อเทาได้รับกลับมา ก็คือภาพโอเซฮุนแกะมือเขาออก ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรกับเขาอีก
“เป็นยังไงบ้างวันนี้?”
“ดีครับ”
เด็กหนุ่มยิ้มฝืนให้พ่อที่กำลังง่วนอยู่กับการเล่นหุ้นในแท็ปเลต ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปอย่างอิดโรย ระหว่างทางตอนนั่งแท็กซี่กลับบ้านเขาก็ยังทำเหมือนทุกวันก็คือการโทรหาจงอินวันละสามสาย และส่งข้อความไป มันอาจจะไม่มากเท่าวันแรก ๆ แต่ก็คงสร้างความรำคาญให้จงอินได้ไม่ต่างกัน
ทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วเงยหน้าขึ้นมองเพดานห้อง ในหัวว่างเปล่าคล้ายว่ามันไม่มีอะไรอยู่ข้างใน ใช่ มันคงไม่มีตั้งแต่แรก ไม่อย่างนั้นโอเซฮุนคงจัดการทุกอย่างได้ โดยไม่ทำให้จงอินต้องเสียความรู้สึก
สายตายังไม่ละออกห่างจากที่เดิม เด็กหนุ่มเอื้อมมือควานหากล่องดนตรีที่คนรักเคยให้ เขามักจะหมุนก่อนนอน ฟังจนครบรอบพร้อมมองช่อดอกไม้แห้ง ร้องไห้ไปกับมันจนเผลอหลับ
แต่ควานหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เขาจึงหันกลับไปแล้วก็พบว่าข้างโคมไฟข้างเตียงมีเพียงแค่กรอบรูปถ่ายเท่านั้น เด็กหนุ่มเลื่อนระดับสายตาไปยังโต๊ะทำงาน กล่องดนตรีที่เป็นตัวแทนของจงอินมันถูกย้ายไปวางอยู่ตรงนั้น คาดว่าป้าแม่บ้านคงเข้ามาจัดห้องให้ระหว่างที่เขาเข้าพิธีจบการศึกษา
เด็กหนุ่มลุกขึ้นเดินไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะ คว้ากล่องดนตรีขึ้นมาหมุนแล้ววางลง ทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง มองความว่างเปล่าเหล่านั้นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะมองหาช่อดอกไม้แห้งที่ควรวางไว้คู่กันกับกล่องดนตรี แต่เขา... หามันไม่เจอ
คิ้วทั้งสองข้างขมวดมุ่น เซฮุนกวาดสายตาไปรอบ ๆ ก่อนจะเปิดลิ้นชักทุกตัวเพื่อหาของชิ้นสุดท้ายที่จงอินให้ไว้ จากที่เคยเฉาเหมือนคนไม่มีสติ ตอนนี้เด็กหนุ่มกำลังลนลานค้นห้องจนรกไปหมดเพียงเพราะหาของชิ้นเดียว
“พ่อครับ! เมื่อเช้าป้าแม่บ้านเข้าไปเก็บของในห้องผมใช่ไหม?!”
“อ่า? น่าจะใช่มั้ง มีอะไรเหรอ?”
“...!!!”
เด็กหนุ่มเสยผมขึ้นอย่างหัวเสีย รีบเข้าไปในครัวเพื่อรื้อถังขยะ แม่บ้านอีกคนเห็นอย่างนั้นจึงรีบเข้ามาห้าม “คุณหนูทำอะไรคะ?!”
“ช่อดอกไม้แห้ง... พี่เห็นมันไหมครับ”
สายตาของเซฮุนนั้นสิ้นหวัง ขณะสบตากับหญิงสาวเพื่อขอความช่วยเหลือ เธอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะจับมือเด็กหนุ่มออกจากถุงขยะสีดำ พร้อมคว้าเอาผ้ามาเช็ดมือให้
“ฉันไม่รู้ว่าคุณหนูกำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่ถ้าเป็นขยะล่ะก็ ฉันเอาไปทิ้งหน้าบ้านหมดแล้วค่ะ”
“...”
คนฟังเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ในหัวมีแต่คำว่า ‘แย่แน่’ ซึ่งเป็นตัวกดดันให้ขาทั้งสองข้างรีบลุกขึ้น สั่งให้มันรีบวิ่งออกไปหน้าบ้านโดยไม่สวมรองเท้า
“อ้าว เซฮุน จะรีบไปไหนน่ะ?”
เป็นอีกครั้งที่เขาไม่หยุดให้คำตอบพ่อ เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนวิ่งเท้าเปล่าไปบนพื้นอิฐเย็นเฉียบ เขาเปิดประตูบานเล็กออก แล้วตรงไปยังกองถังขยะซึ่งอยู่ไม่ห่างจากประตูมากนัก
เซฮุนไม่สนใจว่ากลิ่นโดยรอบจะเหม็นเน่าสักแค่ไหน ไม่สนว่าความสกปรกมันน่ารังเกียจอย่างไร เพราะสิ่งเดียวที่สมองสั่งการก็คือ... เขาต้องหาช่อดอกไม้แห้งของจงอินให้เจอ
“ไม่นะ... ขอร้องล่ะ”
เด็กหนุ่มพูดกับตัวเอง หากมีคนผ่านไปมาก็อาจเข้าใจว่าเขาเป็นไอ้เด็กเหลือขอที่ค้นถังขยะเพื่อหาเศษอาหารกินประทังชีวิต แต่เขาไม่สนใจสายตาใครทั้งนั้น หัวใจมันเต้นเร็วแรงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะความหวาดกลัว ถ้ารถขยะเอาไปทิ้งแล้วเขาจะทำยังไง
‘ดอกไม้สดอยู่ได้ไม่กี่วันก็เหี่ยว แต่ถ้าเป็นดอกไม้แห้ง มันจะเหมือนเดิมตั้งแต่วันแรกที่ได้รับ และวันที่นายเก็บมันขึ้นมาดูอีกครั้ง’
มือทั้งสองข้างสกปรกจนดูไม่ได้ มันเลอะไปด้วยเศษอาหารที่ถูกทิ้งไว้ค้างคืน เขาเช็ดหน้าตนเองด้วยแขนเสื้อ เพื่อให้ภาพตรงหน้าชัดขึ้นหลังจากมันพร่ามัวเพราะถูกบดบังด้วยน้ำตา เซฮุนได้ยินเสียงสะอื้นของตนเอง เขาไม่แน่ใจว่าความเจ็บปวดเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะคำพูดของจงอินในวันนั้นที่วิ่งวนอยู่ในความคิด หรือเป็นเพราะกลัวว่าจะหาช่อดอกไม้แห้งไม่เจอ
“คุณหนู!”
แม่บ้านทั้งสองรีบวิ่งตามออกมา เธอยกมือขึ้นป้องปากเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มตัวผอมกำลังนั่งร้องไห้อย่างหนักโดยมีช่อดอกไม้แห้งยับ ๆ ในมือ สะอึกสะอื้นเหมือนคนกำลังจะขาดใจ อีกทั้งแววตาคู่นั้นที่มองมา มันช่างน่าสงสารจนเธอทั้งคู่รู้สึกหดหู่ไปด้วย
“อย่า...”
“...”
“อย่าทิ้งของ ๆ ผม... นะครับ...”
แม่บ้านยังสาวยืนนิ่ง ในขณะที่แม่บ้านวัยห้าสิบกว่า ๆ ตัดสินใจเข้าไปหาคุณหนูของบ้าน เธอหยัดตัวนั่งลงยอง ๆ ตรงหน้าเด็กหนุ่มที่เธอเลี้ยงมาตั้งแต่ยังเด็ก เธอน้ำตาคลอ ลูบศีรษะอย่างอ่อนโยน
“ป้าขอโทษค่ะคุณหนู ป้านึกว่า--” เธอกลืนคำพูดทั้งหมดลงคอ ไม่คิดว่าช่อดอกไม้แห้งจะสำคัญกับเด็กหนุ่มมากถึงขนาดนี้ ที่เก็บมาทิ้งก็เพราะคิดว่าเป็นขยะ เหมือนที่คุณหนูเคยได้รับจากเด็กสาวที่โรงเรียน เมื่อเข้าสู่ช่วงเทศกาลต่าง ๆ พอมันเหี่ยวเฉา เธอก็เก็บมันมาทิ้งเหมือนครั้งก่อน ๆ
เธอโอบกอดคนตรงหน้าเอาไว้ ลูบศีรษะปลอบใจหวังให้คนที่กำลังสะอื้นจนตัวโยนสงบลง มันเคยใช้ได้ผลเมื่อตอนคุณหนูวิ่งเล่นจนหกล้ม แต่ตอนนี้เหตุผลของน้ำตามันคงต่างจากตอนนั้นอย่างสิ้นเชิง แต่ไม่ว่าอย่างไร เธอก็ไม่อยากให้เด็กคนนี้ต้องเจ็บปวด
‘เราเลิกกันเถอะ’
ได้โปรด... อย่าเอาความรักของโอเซฮุนไปทิ้ง
TBC
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เซฮุนเจ็บปวดแค่ไหน เชื่อว่าจงอินก็คงเจ็บมากเหมือนกัน ต้องทำเป็นใจแข็ง ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร ทำไมนะ ทั้งๆที่รักกันมากแท้ๆ
ไม่รู้จงอินคิดไรบ้าง แต่อยากให้โผล่มาเห็นฮุนจัง
ตอนนี้เราสงสารเซฮุนมากเลยยย