คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : Chapter 19 :: Your Way
CHAPTER 19
Your Way
ทุกคนต่างมีภาระและเรื่องที่จำเป็นต้องทำ เมื่อเวลาเดินทางมาจนถึงช่วงสอบปลายภาค เซฮุนมีวิชาที่ไม่ถนัดอยู่สองสามวิชา แต่เขาก็ไม่กล้าออกปากขอความช่วยเหลือจากคนรัก หลังจากรู้ว่าเพื่อนสนิทอีกสองคนก็ต้องการจงอินอยู่เหมือนกัน
ซึ่งถ้าอยู่พร้อมกันสี่คนคงไม่ดีแน่ เขาไม่ได้อยากโทษว่าการติวจะต้องพังเพราะจื่อเทา แต่ก็เชื่อว่าหมอนั่นคงไม่นั่งเงียบอยู่เฉย ๆ แน่ เพราะฉะนั้นเซฮุนจึงเลือกติวอยู่บ้านด้วยตนเอง
อุปสรรคทางความรู้ก็ว่ายากแล้ว ตอนนี้เด็กหนุ่มตัวผอมกำลังว้าวุ่นเพราะเอาแต่หันไปมองสมาร์ทโฟนที่วางอยู่ใกล้มือ หน้าจอยังคงมืดสนิท ซึ่งมันก็ควรเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เซฮุนถอนหายใจ ปล่อยปากกาลงบนโต๊ะจนเกิดเสียง ก่อนจะแนบแก้มลงกับหนังสือ พร้อมหยุดสายตาไว้กับมือถือเครื่องนั้น
อยากโทรหา อยากรู้ว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าจงอินกำลังติวกับเพื่อน แต่เขาก็ยังอยากคุยด้วย อยากได้ยินเสียง แต่ความต้องการเหล่านั้นมันเป็นเรื่องงี่เง่าในช่วงใกล้สอบอย่างนี้
ชำเลืองมองกล่องดนตรีที่อยู่ถัดไปจากสมาร์ทโฟนก่อนจะเอื้อมมือลากมันเข้ามาใกล้ สายตาจดจ้องกับหมีที่นั่งอยู่บนเปียโนสีขาว หมุนไขลานเพื่อให้ช่วยกลบบรรยากาศเหงา ๆ ในเวลานี้ราวกับว่าจะให้ความคิดถึงทุเลาลง
RRRRrrrrrr!!!
เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัวจนหนังสือและปากกาตกลงพื้น หัวใจที่เคยเหี่ยวเฉาถูกเยียวยาด้วยชื่อคนโทรเข้าและรูปประกอบ เซฮุนไม่รู้ตัวว่ากำลังยิ้มกว้างแค่ไหน ไม่เลยสักนิด เขาคว้ามือถือขึ้นมากดรับโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายต้องรอ
“ฮัลโหล”
( ทำอะไรอยู่ )
“อ่านหนังสือสิ”
( นึกว่าจะเล่นเกมอยู่เสียอีก )
“พูดเป็นเล่นไป พอถึงเวลาฉันก็ตั้งใจเรื่องเรียนเหมือนกันนะ” เซฮุนเห็นเงาตนเองในกระจก เขาถึงรู้ว่ากำลังยิ้มเหมือนคนบ้าแค่ไหน ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะของคนปลายสาย หัวใจก็ยิ่งพองโต
( ถ้าบอกว่าเล่นเกมหรือแอบหนีไปซ้อมเต้นล่ะก็... )
“จะดุหรือไง”
( โดนแน่ โอเซฮุน )
เจ้าของชื่อหัวเราะเบา ๆ เขาเดินไปหยุดอยู่ข้างเตียงแล้วทิ้งตัวลงนอน ปล่อยให้เสียงของอีกฝ่ายเยียวยาความรู้สึกแย่ทั้งหมดที่ฝังอยู่ในใจ
“จงอิน”
( หืม? )
“คิดถึง”
( ที่โทรมาก็เพราะอยากได้ยินแบบนี้ล่ะนะ )
“นายควรตอบว่าคิดถึงฉันเหมือนกันไม่ใช่หรือไง”
( ไม่เหมือนหรอก เพราะถ้าให้เดา ตอนนี้นายคงเอาแต่คิดถึงฉันจนไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ )
คนถูกรู้ทันถึงกับขมวดคิ้ว กลอกตามองไปรอบ ๆ ห้องราวกับกลัวว่าจะมีกล้องวงจรปิดติดอยู่ “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงแล้วยังไง ฉันไม่เหมือนนายนี่”
( ฉันทำไมหื้ม? )
“นายไม่ปล่อยให้ฉันเข้าไปในหัวตอนกำลังตั้งใจติวได้หรอก”
( แบบนั้นจะทำให้นายคิดว่าฉันไม่สนใจหรือเปล่านะ? )
“ก็... นิดนึง”
( เรียกว่าแยกแยะได้น่าจะรื่นหูกว่า เรื่องคิดถึงนายฉันทำจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่ถ้านายยังเข้ามาวิ่งในหัวตอนฉันอ่านหนังสืออยู่ล่ะก็ เทอมนี้ถ้าคะแนนตกคงต้องโทษนาย )
“เป็นข้อแก้ตัวที่ใช้ได้เลยนะ โอเค งั้นฉันจะไม่น้อยใจ” เซฮุนอมยิ้ม หยุดสายตาไว้กับเพดานห้อง
( นายเองก็ต้องตั้งใจอ่านหนังสือให้มากกว่านี้ รู้ใช่ไหม? )
“รู้แล้วน่า”
( อยากให้ไปช่วยติวหรือเปล่า )
เด็กหนุ่มตัวผอมไม่ได้ตอบในทันทีทั้งที่อยากให้จงอินมาหาเดี๋ยวนี้ แต่เขาก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะเหนื่อยมากกว่าเดิม “ไม่เป็นไร นายช่วยติวให้ชานยอลเถอะ เขาต้องการคะแนนสูง ๆ มากกว่าฉันเยอะเลย”
( ดูพูดเข้าสิ )
“ฉันหมายความว่า ฉันจะแสดงให้นายเห็นเองว่าฉันน่ะเจ๋งแค่ไหน” พูดจบก็หัวเราะกลบเกลื่อน ก่อนจะปล่อยให้ความเงียบได้ทำงาน
( ช่วงนี้เราต่างก็มีเรื่องให้เครียดกัน ว่าไหม? )
เซฮุนขานตอบในลำคอ พลางถอนหายใจกับความเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจที่สะสมมาเรื่อย ๆ จนถึงช่วงสอบปลายภาค ที่เป็นความหนักหนาสาหัสของทุกคน
“นายต้องอ่านทั้งหนังสือสอบ ไหนจะต้องอ่านหนังสือเตรียมเข้ามหาลัยด้วย เพราะงั้นไม่ต้องกังวลเรื่องของฉันนะ”
( มันเป็นไปได้ด้วยหรือไง? )
“...”
( ถ้าไม่กังวล ไม่นึกถึงเลย นั่นก็หมายความว่าฉันไม่ได้รักนายแล้ว รู้หรือเปล่า? )
รู้สึกอบอุ่นไปทั้งหัวใจ ราวกับจงอินรู้ว่าตอนนี้คนคิดมากอย่างเขากำลังตกอยู่ในสภาวะต้องการคำยืนยันเพื่อให้มีแรงสู้ต่อไป เซฮุนพลิกตัว คว้าเอาหมอนข้างมากอดพร้อมหลับตาลง
“อยากเจอนายจัง”
( ถามครั้งที่สองนะ อยากให้ไปหาไหม? )
“นายติวกับเพื่อนอยู่นี่ เอาไว้วันหลังดีกว่า” ถนัดนักล่ะเรื่องทำสวนทางกับความรู้สึก แต่ถ้าจงอินมาทั้งที่ยังมีเรื่องจำเป็นต้องทำ เขาก็คงมีความสุขไม่ได้
( งั้นหลังสอบเสร็จเป็นไง )
“เอาสิ เราก็ไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันมานานแล้ว”
เซฮุนรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ เพราะช่วงก่อนหน้านี้อีกฝ่ายก็ยุ่งอยู่กับการช่วยติวให้เพื่อน พอนึกถึงผู้ชายกวน ๆ ของชานยอลแล้วก็รู้สึกหวิวในใจยังไงก็ไม่รู้ จากที่จงอินเล่าให้ฟัง ทั้งชานยอลและแบคฮยอนต่างก็น่าสงสารในมุมมองของตนเอง
การที่ผู้ชายบ้าบอไปวัน ๆ คิดกลับตัวเป็นคนดี จึงเลือกมองการไกลเพื่อประคับประคองความรักในครั้งนี้ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันเสี่ยงแค่ไหนกับความรักระยะไกล แต่ที่น่าสงสารไปกว่านั้นก็คือ... จนถึงตอนนี้แบคฮยอนก็ยังไม่รู้ว่าชานยอลกำลังคิดจะทำอะไร
“นายอยากไปไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า” ในหัวเซฮุนเต็มไปด้วยแผนที่เกาหลีใต้ แต่ก็ยังนึกไอเดียดี ๆ ไม่ออก ถ้าให้ลุกขึ้นไปเปิดคอมเสิร์ชหาข้อมูลก็เกรงว่าจะโดนดุ เพราะตอนนี้จงอินคงอยากให้เขาตั้งใจอ่านหนังสือมากกว่าอะไร
( อืม... ไม่มีที่ไหนเป็นพิเศษนะ )
“ยังอยากไปเกาะนามิอีกครั้งอยู่ไหม หรือว่าอยากไปที่อื่นแล้ว” เด็กหนุ่มตัวผอมกำลังตื่นเต้นจนเก็บอาการไว้ไม่ไหวแล้ว จนกระทั่งจงอินหัวเราะออกมา เขาถึงเม้มปากแน่นแล้วซุกหน้าลงกับหมอน
( อยากไปไหนก็ว่ามาเลย )
“ฉันเคยเห็นในเน็ต มันมีกระทู้นึงน่าสนใจมากเลย หัวข้อว่า ‘ลองไปเที่ยวเหมือนไม่มีวันพรุ่งนี้อีกแล้วดูไหม?’ ฉันว่าแบบนั้นก็น่าสนใจดีเหมือนกันนะ”
( อืม น่าสนใจดีนะ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องวางแผนไว้หรอกว่าจะไปที่ไหน พอถึงเวลาก็ขึ้นรถเลย แบบนั้นคิดว่าไง? )
“โอเคเลย!”
( จากที่เราเคยไปเที่ยวด้วยกัน ดูเหมือนว่ายังกั๊ก ๆ ไว้อยู่ )
“อะไรล่ะที่ว่ากั๊ก”
( ฉันเขินนายล่ะมั้ง ก็เลยต้องเก๊กตลอดเวลา )
เซฮุนหัวเราะกับประโยคเมื่อครู่ สาบานเลยว่าถ้าจงอินอยู่ข้าง ๆ เขาจะผลักให้ล้มไปเลย เด็กหนุ่มยังคงยิ้มอย่างมีความสุขกับรางวัลที่รออยู่ข้างหน้า หลังจากสอบปลายภาคเสร็จ
“อยากให้ถึงวันนั้นเร็ว ๆ จัง”
เพราะได้กำลังใจจากจงอิน เซฮุนถึงฮึดตั้งใจอ่านหนังสือเป็นบ้าเป็นหลังจนทำให้ไม่เอ๋อตอนเจอโจทย์ข้อสอบยาก ๆ แต่จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ถูกเสียทีเดียว ที่จริงเขาแค่พยายามทำให้ความคิดถึงไม่สร้างปัญหาต่อคนรักก็เท่านั้น ถ้าคะแนนออกมาดีเท่าไหร่ รอยยิ้มของซอนแซงนิมก็จะกว้างขึ้นเท่านั้น นั่นคือสิ่งที่เซฮุนรู้
สิ้นสุดความเหนื่อยสักที วันนี้คือวันที่ทั้งคู่นัดกันออกไปเที่ยวข้างนอกอย่างที่เคยแพลนเอาไว้ตั้งแต่ก่อนสอบ เซฮุนยังคงเหมือนวันแรกที่ไปเดทกับจงอิน เขายังคงคิดว่ามันพิเศษจนการเลือกชุดกลายเป็นเรื่องใหญ่ระดับหนึ่ง
ทั้งคู่นัดเจอกันในร้านกาแฟ จงอินบอกว่าถ้าใกล้ถึงแล้วให้บอกก่อน ซึ่งมันทำให้เซฮุนอดยิ้มไม่ได้ เมื่อทันทีที่เข้าไปในร้านก็ได้พบว่าจงอินสั่งคาราเมลร้อนไว้ให้เขา มันเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ก็เพิ่มความน่ารักให้ผู้ชายคนนี้ไปอีกเท่าตัว กับการที่จงอินอยากให้เขาถือแก้วอุ่น ๆ เอาไว้เพื่อช่วยทุเลาความหนาวเย็น
ไม่มีการวางแผนว่าจะไปที่ไหน เราแค่เดินไปตามฟุตปาธด้วยกัน คุยเรื่องเรื่อยเปื่อยเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ และเริ่มต้นเดทวันนี้ด้วยร้านอาหารญี่ปุ่น ซึ่งเป็นทางที่ทั้งคู่เดินผ่าน
จงอินสั่งราเมนชามใหญ่มาชนิดว่ากินสามคนก็ไม่น่าจะหมด และเขาก็เช่นกัน ไม่มีใครเขินกับการก้มหน้าก้มตากิน ในเมื่อความเชื่อของชาวญี่ปุ่นที่ว่ายิ่งกินเสียงดังเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้พ่อครัวมีความสุขเท่านั้น
ทั้งคู่เงยหน้าขึ้นมาสบตากัน มันเป็นภาพที่ค่อนข้างตลก เมื่อกระพุ้งแก้มของเราอัดแน่นไปด้วยเส้น จงอินคว้าทิชชู่ขึ้นมาเช็ดปากให้ และแน่นอนว่าเซฮุนคงไม่ปล่อยตัวเองเขินอยู่ฝ่ายเดียว เขาจึงช่วยเช็ดปากให้บ้าง
จงอินเตรียมตัวมาดีจนเซฮุนคิดว่าเขาต้องเมื่อยปากตายแน่ ๆ ถ้าต้องยิ้มมากไปกว่านี้ ก่อนออกจากร้านจงอินบอกว่ามีบางอย่างจะให้ มันเป็นของเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ก็ยังคงเต็มไปด้วยความใส่ใจตามฉบับคิมจงอิน นั่นก็คือถุงมือสีน้ำตาล
ในเมื่อไม่มีแพลนว่าต้องไปไหน จงอินเลยจูงมือเข้าขึ้นแท็กซี่และบอกให้คนขับตรงไปเรื่อย ๆ ตลกชะมัดตอนเห็นสีหน้าโชเฟอร์หันมามอง แต่ถึงอย่างนั้นคุณลุงก็ยังใจดี ขับไปเรื่อย ๆ ตามที่ลูกค้าต้องการ
มือที่เคยวางอยู่บนหน้าขาถูกกุมเอาไว้ ก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสอดประสานในที่สุด เซฮุนหันไปมองเสี้ยวหน้าของคนข้าง ๆ ที่ทอดสายตาออกไปยังท้องถนน อมยิ้มเพียงเล็กน้อยแล้วหันมาสบตากัน
“จอดข้างหน้าครับ”
ถึงคนขับจะดูงง ๆ แต่ก็จอดเทียบข้างฟุตปาธในวินาทีถัดมา จงอินจัดแจงจ่ายเงินค่าโดยสารแล้วจูงมือเขาลงจากรถ เด็กหนุ่มตัวผอมหลุบสายตาลงมองมือที่ยังสอดประสานกันแน่น จงอินเพียงแค่หันมายิ้มขณะที่ขาทั้งสองข้างยังคงก้าวไปข้างหน้าเรื่อย ๆ
ไม่แคร์สายตาใคร ไม่สนใจว่าจะถูกมองเป็นพวกรักร่วมเพศ เราก็แค่เด็กผู้ชายสองคนที่รักกัน มันก็แค่นั้นเอง
เซฮุนยิ้มกว้างแล้วรีบวิ่งให้ทันอีกคน ท่ามกลางสายลมหวีดหวิวส่งท้ายฤดูหนาวที่ใกล้จะหมดไป สองขาหยุดยืนอยู่ข้างริมแม่น้ำ ที่ที่เขามักจะใช้เวลาร่วมกัน ทั้งคู่นั่งลงพลางเหยียดขาไปข้างหน้า ใช้สองมือยันไว้ข้างหลังพร้อมโกยอากาศเข้าปอดหลังจากวิ่งมาไกล
เราหันมาสบตากัน แล้วยิ้มกับความบ้าบอที่เพิ่งทำลงไปเมื่อครู่นี้ เซฮุนหยิบก้อนหินขึ้นมา แม้ระยะเวลาจะผ่านไปหลายเดือน แต่รอยปากกาที่เขาและจงอินเคยวาดลงไปก็ยังคงอยู่
ก้อนหินยิ้มตาหยีด้วยฝีมือของจงอินนั้นเป็นคำสั่งบอกให้เขายิ้มตาม พอหันไปข้างตัวก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังละเลงปากกาเปอร์มาเนนท์ลงไปบนหินก้อนใหม่ และหันมามองเขาเป็นระยะ
“ขอดูหน่อย”
“ตอนนี้เหรอ ไม่ได้หรอก”
“อะไรกัน งั้นฉันวาดนายบ้าง”
เซฮุนไม่ยอมแพ้หรอก เขาแบมือออกมาเป็นเชิงขอปากกา ซึ่งจงอินก็หยิบแท่งใหม่ในกระเป๋าให้อย่างรู้งาน เราสองคนทำอะไรเหมือนเด็ก ๆ เหมือนทุกครั้งเมื่อมาที่นี่ ก้มหน้าก้มตาวาดสีหน้าอีกฝ่ายลงไปแล้วแลกกันดู
“ฉันวาดเสร็จแล้วนะ”
“ขอเวลาอีกห้าวิ” เซฮุนเบี่ยงตัวหลบราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะแอบดูผลงานระดับโลกที่เพิ่งละเลงลงไปเมื่อครู่ ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ชั่วอึดใจเดียวเซฮุนก็หันไปแลกก้อนหินกันตามธรรมเนียม
“ทำไมฉันมีถุงใต้ตา”
“เพราะช่วงนี้นายเอาแต่อ่านหนังสือหนักจนนอนดึก ก็เลยมีมันเพิ่มขึ้นมาไง” คนตัวผอมหัวเราะ พลางจิ้มนิ้วชี้ลงบนโหนกแก้มอีกฝ่าย
“งั้นขอกลับบ้านแล้วกันนะ” เซฮุนเลิกคิ้ว ปกติเรามักจะวางมันไว้ข้างกันหลังจากวาดเสร็จอยู่ตลอดนี่ “ฉันจะพามันไปรักษาถุงใต้ตา นายเองก็ต้องเอาตัวเองกลับไปรักษาด้วยเหมือนกัน”
ได้ยินอย่างนั้นคนตัวผอมจึงก้มลงมองก้อนหินในมืออีกข้าง แล้วก็ได้พบว่าจงอินวาดหน้าตาของเขาเหมือนคนกำลังงง ๆ ตาลายคล้ายว่าจะเป็นลม “อะไรเนี่ย”
“นายคงวิ่งมากเกินไป ก็เลยทำหน้าแบบนี้”
“ฉันไม่ได้ทำสักหน่อย” จงอินยิ้มขำ พลางกุมท่อนแขนเมื่อถูกอีกฝ่ายชกเบา ๆ
“งั้นฉันจะพามันกลับไปนอนพักที่บ้าน จะได้ไม่เหนื่อยจนตาลาย ดีไหมล่ะ” เซฮุนชำเลืองมองคนรักที่เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ จงอินพยักหน้าตกลงพร้อมยีหัวเขาเบา ๆ
เด็กหนุ่มตัวผอมหลุดออกจากความคิด เมื่อคนที่หายไปเกือบห้านาทีกลับมาถึงแล้วหยัดตัวลงนั่งข้าง ๆ เขาเหมือนในทีแรก มันเป็นเรื่องบ้าบอจริง ๆ ที่เราสองคนเลือกตอกย้ำความหนาวด้วยไอศกรีมโคนอย่างนี้
ท้องฟ้าเริ่มถูกความมืดกลืนกินเมื่อตะวันใกล้จะตกดิน ทั้งคู่ยังคงทอดสายตาไปยังแม่น้ำเบื้องหน้า ซึ่งถูกแต่งแต้มความสวยด้วยท้องฟ้าสีส้มปนคราม เซฮุนรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก ความจริงการนั่งเฉย ๆ โดยที่ไม่พูดอะไรมันอาจจะมากพอแล้ว ขอแค่มีคนที่เรารักนั่งอยู่ข้าง ๆ
แต่เขาก็หลุดออกจากความคิด เมื่ออยู่ ๆ อีกฝ่ายก็เลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ พร้อมงับไอศกรีมรสช็อกโกแลตในมือเขา จนริมฝีปากของเราชนกันเล็กน้อย
ดวงตาคู่นั้นยังคงมีผลกระทบต่อความรู้สึกโอเซฮุนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นวันแรกหรือในตอนนี้ ทั้งคู่สบตากันไม่กี่วินาที ก่อนที่คนตัวผอมจะปิดเปลือกตาลงเพื่อรับจูบจากอีกฝ่าย
ริมฝีปากเราเลอะไปด้วยไอศกรีมรสช็อกโกแลต มันหวานและขมเล็กน้อย แต่กลับต่างจากที่กินเองจากโคนอย่างสิ้นเชิง วูบหนึ่งเซฮุนคิดว่าตนเองกลายเป็นไอศกรีมไปแล้ว เมื่ออีกฝ่ายค่อย ๆ ละเลียดจูบริมฝีปากของเขาจนแทบไม่เหลือรสหวานอีกต่อไป
หัวใจเต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมาอยู่รอมร่อ จูบครั้งนี้มันหวานหอม อบอุ่นจนรู้สึกแปลก ๆ จนกระทั่งคนผิวแทนถอนริมฝีปากออกไป เขาถึงรู้ว่าทำไอศกรีมที่เคยอยู่ในมือตกพื้นไปแล้ว และนั่นทำให้รอยยิ้มเกิดขึ้นบนใบหน้าจงอินได้อีกครั้ง
ฟ้ามืดครึ้ม เราเล่นเป่ายิ๊งฉุบเพื่อตัดสินว่ามื้อเย็นนี้จะกินอะไร และคนแพ้ต้องจ่าย ซึ่งเซฮุนเป็นฝ่ายชนะ เขาชูมือขึ้นสุดแขน หัวเราะออกมาอย่างชอบใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายปั้นหน้าเครียดพร้อมกุมขมับ
ก็รู้หรอกว่าจงอินแค่แกล้งทำไปอย่างนั้น แต่ก็น่ารักดี
มื้อเย็นจบลงจนท้องแทบแตก จงอินบ่นอุบอิบที่ถูกบังคับให้กินเยอะ จึงยื่นมือออกมาเป็นเชิงบอกให้เซฮุนลากไปด้วย อ้างว่าเดินเองไม่ไหวแล้ว เห็นไหมล่ะ... ใครนะที่บอกว่าจงอินเย็นชา เข้าถึงยาก ทั้งที่จริงผู้ชายคนนี้ก็มีมุมเด็กขี้อ้อนอยู่เหมือนกัน
เรามาถึงสวนสนุก ไฟรอบข้างถูกเปิดเพื่อเพิ่มความสว่างและตกแต่งให้บรรยากาศรอบข้างสวยงามยิ่งขึ้น จงอินไม่ชอบกินสายไหม แต่ก็ยอมรับมันเข้าปากง่าย ๆ เพราะเซฮุนป้อนให้ เราขึ้นเครื่องเล่นน่าหวาดเสียวกันไม่ต่ำกว่าห้าอย่าง เสียงหวีดร้องของเราสองคนน่าจะดังกว่าคนอื่นที่ขึ้นไปพร้อมกัน แต่นั่นก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ต้องแคร์
คนตัวผอมหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปคนที่นั่งกุมขมับอยู่บนม้าหมุนอีกตัว มันคงเป็นเครื่องเล่นชนิดเดียวที่ไม่ทำให้จงอินต้องทำใจก่อนขึ้นมาบนนี้ ทันทีที่รู้ตัวว่าถูกแอบถ่าย คนผิวแทนก็ยิ้มให้ ก่อนจะชูสองนิ้วขึ้นเพื่อเรียกรอยยิ้มจากเขา
เสียงดนตรีประกอบให้ม้าหมุนดูเป็นเครื่องเล่นที่น่ารัก ผสานกับเสียงเด็กเล็กที่ขึ้นมาพร้อมผู้ปกครอง ไม่สนใจคนอื่นนอกจากบุตรหลานของตนที่อยู่บนเครื่องเล่น ไม่มีใครสนว่าเด็กผู้ชายสูงร้อยแปดสิบสองคนจะนั่งสบตากันอยู่บนม้าหมุนที่เคลื่อนไหวเป็นวงกลมจนครบรอบ
จงอินหยิบมือถือขึ้นมาตั้งท่าเตรียมจะถ่ายรูป ซึ่งเซฮุนก็ยิ้มให้พร้อมชูสองนิ้วอย่างรู้งาน ผ่านไปเกือบนาทีแต่คนผิวแทนก็ยังไม่ส่งสัญญาณบอก เขาจึงเลิกคิ้วขึ้นแล้วขยับปากถามว่าถ่ายเสร็จหรือยัง ตอนนั้นถึงได้เบิกตากว้างเมื่อจงอินบอกว่า
‘ฉันเซลฟี่ตัวเองน่ะ’
เซฮุนยังไม่อยากกลับบ้าน และจงอินก็ไม่ว่าอะไร ถ้าหากว่าเราอยากยืดเวลาอยู่ด้วยกันต่ออีกสักนิด ทั้งคู่ใช้เวลาอยู่ในสวนสนุกนานพอสมควร เล่นทุกอย่างที่อยากเล่นจนกระทั่งเดินมาถึงชิงช้าสวรรค์ ต่อคิวไม่นานก็ได้ขึ้นไปชมความสวยงามยามค่ำคืนบนนั้น
“นายกลัวความสูงไหม?”
“ฉันกลัวเข้านิติฯ ไม่ได้มากกว่า” คำตอบของจงอินเรียกรอยยิ้มจากคนที่เกาะแหมะอยู่กับกระจกใสของชิงช้าได้เป็นอย่างดี
เซฮุนพลิกตัวหันกลับมาสบตาคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม จนถึงตอนนี้จงอินก็ยังคงยิ้ม ซึ่งนั่นคงเป็นคำตอบได้ว่าเดทในวันนี้ไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่กังวลอยู่ ความมืดโดยรอบถูกตกแต่งความสวยงามด้วยแสงไฟตามตึกสูงและบ้านเรือน จากตรงนี้สามารถมองเห็นได้ทุกทิศทาง จนอดไม่ได้ที่จะเอามือถือขึ้นมาถ่ายรูป
“นั่งนิ่ง ๆ ล่ะ ฉันจะข้ามไปหานายแล้ว” จงอินแกล้งทำท่าเหมือนว่ากระเช้ามันจะเอียงถ้าหากนั่งด้วยกัน เขาจึงหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้
เซฮุนขยับตัวเพื่อให้อีกฝ่ายนั่งได้อย่างถนัด เสียงถอนหายใจที่ผ่อนออกมาคาดว่าจงอินคงแอบกลัวความสูงอยู่บ้าง เมื่อก้มลงไปด้านล่างก็พบกระจกใสที่เป็นฐานกระเช้าเช่นกัน
“เผลอแป๊บเดียวก็จะหมดวันแล้ว”
“นั่นสิ ฉันรู้สึกเหมือนเพิ่งกินราเมนชามยักษ์หมดไปเมื่อกี้นี้เอง” พูดจบทั้งคู่ก็หันมามองหน้ากันแล้วหัวเราะ
“ไว้คราวหน้าเรามาเที่ยวแบบนี้กันอีกนะ” เซฮุนหันไปถามคนข้าง ๆ ซึ่งจงอินไม่ได้ขานตอบ แต่กลับยิ้มบาง ๆ ขณะสบตากัน แล้วเอื้อมมือมาบีบจมูกเขาเบา ๆ “นี่”
เจ้าของชื่อเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เซฮุนนิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อเรียบเรียงความคิด ขณะที่กระเช้าชิงช้าค่อย ๆ เคลื่อนตัวขึ้นสูงทีละนิด หยุดกึกเป็นระยะเพื่อรับคนใหม่ขึ้นมา
“เปล่า”
“มีอะไรก็ว่ามาสิ”
“ฉันว่าไม่พูดคงดีกว่า ไม่อยากทำลายบรรยากาศดี ๆ ตอนนี้” เขายิ้มเจื่อน รู้สึกโกรธตัวเอง ที่จริงไม่น่าหลุดพูดออกไปตั้งแต่แรกเลย
“เรื่องไอ้เทาเหรอ”
“...”
จงอินก็ยังคงเป็นจงอิน ที่รู้ทันเขาอยู่เสมอ เซฮุนเม้มริมฝีปากพลางพยักหน้าเป็นคำตอบ ถึงวันนี้จะมีความสุขมาก แต่ก็มีหลายครั้งที่รู้สึกได้ว่าจงอินยังมีอะไรในใจอยู่ ซึ่งก็คงไม่พ้นเรื่องนี้แน่ ๆ
“คงคิดว่าฉันจะกังวลเรื่องมันใช่ไหม?”
“อื้ม”
“อืม นายเดาไม่ผิดหรอก” คำตอบของจงอินทำเอาคนฟังตกใจอยู่ไม่น้อย ทั้ง ๆ ที่คิดไว้อยู่แล้ว แต่ก็มีอีกเสี้ยวหนึ่งที่หวังว่าอีกฝ่ายน่าจะตอบว่า ‘ไม่ใช่หรอก’ เหมือนทุกครั้ง “ฉันพยายามเข้าใจทุกคน รวมถึงตัวฉันเองด้วยน่ะ”
“...”
“แต่มันก็เป็นเรื่องยากเหมือนกันนะ” จงอินยังคงยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ถูกความอึดอัดแต่งแต้มลงไปด้วย “ฉันตลกตัวเองที่ให้คำแนะนำคนอื่นได้เสมอ แต่พอเป็นเรื่องตัวเอง ฉันกลับทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง”
เซฮุนรู้สึกเหมือนกำลังโดนชก ทั้ง ๆ ที่ประโยคนี้จงอินไม่ได้เขวี้ยงมันใส่หน้าเขาเลยสักนิด เด็กหนุ่มตัวผอมนั่งนิ่ง รู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไปอยู่ในห้องของหวงจื่อเทาในวันนั้น และถูกความอึดอัดเล่นงานเหมือนทุกครั้งถ้าเข้าเรื่องความรักที่เปิดเผยไม่ได้
“ไอ้เทามันชอบนายมาก รู้ใช่ไหม”
“อือ ฉันรู้”
“เพราะงั้นคงยากหน่อยถ้าจะรอให้มันตัดใจ” จงอินเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง ตอนนี้สายตาของเราทั้งคู่เลือกที่จะทอดมองไปยังกรุงโซลยามค่ำคืน มากกว่าเป็นการสบตากันระหว่างเข้าบทสนทนาน่าอึดอัด
“เดี๋ยวก็เรียนจบแล้ว พอเข้ามหาลัยจื่อเทาก็คงห่าง ๆ ไปเอง”
“ไม่หรอก ฉันรู้จักไอ้เทาดี ในสายตานาย ไอ้หมอนั่นอาจดูเหลาะแหละไหลไปเรื่อย แต่ถ้ามันเอาจริงกับอะไรสักอย่าง มันจะไม่หยุดจนกว่าจะได้มา”
“...”
“เหมือนเหรียญทองที่เป็นรางวัลแห่งชัยชนะซึ่งมันได้รับอยู่เสมอ”
“...”
“ฉันพยายามเข้าใจทุกคนแล้ว คิดว่านายก็คงเหมือนกัน แต่สิ่งหนึ่งที่นายควรรู้ไว้ว่าเราไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ ยิ่งเป็นเรื่องความรักแล้ว ไม่มีทางไหนเลยที่เราจะช่วยให้ไอ้เทารู้สึกดีขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรักข้างเดียว หรือเรื่องที่เราคบกัน”
“...”
“ปล่อยไปก็มีแต่จะถลำลึก เหมือนอย่างที่เป็นอยู่ ไอ้เทาจะไม่หยุดจนกว่ามันจะรู้ว่านายชอบใคร”
“ถ้าเขารู้ นายสองคนคงเข้าหน้ากันไม่ติดแน่”
“ใช่ แต่นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น ในเมื่อเราสองคนผิดที่ไม่ได้บอกมันตั้งแต่แรก”
ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก สุดท้ายเดทดี ๆ วันนี้ก็ถูกตบหน้าด้วยปัญหาเดิม ๆ อีกครั้ง ซึ่งเซฮุนคงไม่ขอโทษใครนอกจากตัวเอง แต่เขาก็ไม่อยากให้ทุกอย่างออกมาแย่ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน
“เราก็แค่ยอมรับในสิ่งที่ทำ”
“ถ้ายอมรับแล้วจะเป็นยังไงต่อ เราได้คบกันต่อไป แต่หลังจากนั้นล่ะจงอิน”
“นั่นสิ แล้วหลังจากนั้นล่ะ?” จงอินหันเข้าหาอีกฝ่าย “ช่วงแรก ๆ มันอาจจะยาก แต่สักวันไอ้เทาจะเข้าใจ”
“ระหว่างนั้นเราจะมีความสุขได้เหรอ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าจื่อเทากำลังเสียใจอยู่”
คนฟังนิ่งไป ชั่ววินาทีนั้นเขาก็ได้แต่ภาวนาขอให้จงอินเข้าใจเหตุผลที่เขาต้องการจะสื่อ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริง บรรยากาศตอนอยู่พร้อมกันสามคนคงแย่มากแน่ ๆ ไม่ใช่แค่เซฮุนที่จะถูกเมิน แต่จงอินล่ะ คนที่เป็นเพื่อนสนิทกันที่สุดจะต้องมาขุ่นเคืองใจกันเพราะเรื่องแบบนี้งั้นเหรอ
“ไม่เป็นไร ถ้านายคิดอย่างนั้นฉันก็จะไม่บังคับอีก” จงอินยิ้มบาง ๆ พลางวางมือลงบนศีรษะทุยของคนคิดมาก
ถึงจะคบกันได้ไม่นานนัก แต่เขาก็คิดว่ารู้จักเซฮุนดีพอสมควร และเพราะว่ารู้จักดี คิมจงอินถึงรู้ว่าเรื่องราวจะเดินไปในทิศทางไหน เรายอมให้ความตึงเครียดกัดกร่อนหัวใจมากี่ครั้งแล้ว ทั้งคู่ปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมกระเช้าชิงช้า จนกระทั่งมันหยุดชะงักไป
“ถึงช่วงโรแมนติกแล้ว” จงอินทอดสายตามองออกไปข้างนอก ก่อนจะหันมายิ้มให้กับเขาอีกครั้ง ราวกับว่าอยากให้คนโง่อย่างโอเซฮุนรู้สึกผ่อนคลาย “หลับตาลงสิ ฉันมีอะไรจะให้นาย”
คนตัวผอมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลงในวินาทีถัดมา เพียงครู่เดียวเท่านั้น เขาก็ลืมตาขึ้นเมื่อรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่วางลงบนมือ
มันคือช่อดอกไม้แห้งถูกมัดไว้ด้วยเชือกสีน้ำตาล เซฮุนเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายพร้อมฉายแววสงสัย จนถึงตอนนี้จงอินก็ยังคงยิ้มและหายใจเข้าลึก ๆ ขณะหลุบสายตาลงมองสิ่งของที่เพิ่งมอบให้กับเขา
“รู้ไหมว่าทำไมถึงเป็นดอกไม้แห้ง”
เซฮุนส่ายหน้าเป็นคำตอบ เด็กหนุ่มตัวผอมไม่ยอมละสายตาไปไหนทั้งนั้น ไม่แม้แต่จะมองช่อดอกไม้แห้งในมือ
“ดอกไม้สดอยู่ได้ไม่กี่วันก็เหี่ยว แต่ถ้าเป็นดอกไม้แห้ง มันจะเหมือนเดิมตั้งแต่วันแรกที่ได้รับ และวันที่นายเก็บมันขึ้นมาดูอีกครั้ง”
“...”
“ความรู้สึกของฉันที่มีต่อนาย มันเหมือนกับดอกไม้ช่อนี้” จงอินไล้ปลายนิ้วหัวแม่มือลงบนแก้มของเขาอย่างแผ่วเบา “ฉันรักนายจริง ๆ เซฮุน”
“...”
“ฉันไม่เคยเสียใจ เพราะถ้าย้อนเวลาได้ วันนั้นฉันก็จะกลับไปช่วยนายจากพวกนรกนั่น”
ไม่มีอีกแล้วรอยยิ้มที่เคยแต่งแต้มอยู่บนใบหน้า ราวกับว่าวันนี้เขาและจงอินต่างใช้มันไปอย่างสิ้นเปลืองในช่วงกลางวัน พอถึงตอนนี้มันถึงได้จางหายไปจนหมดสิ้น
“แต่มันนานแค่ไหนแล้วที่เราปล่อยให้เรื่องนี้ทำร้ายความรู้สึกกันและกัน”
“...”
“มีแต่ความอึดอัดใจ เพราะกลัวว่าไอ้เทาจะรู้เรื่องนี้ จนกลายเป็นว่าความรักของเรามันกลายเป็นความผิด”
“...”
“เราเลือกทำร้ายตัวเอง เพื่อรักษาความรู้สึกอีกคนเอาไว้”
ทั้งคู่สบตากันนานเกือบนาที จนกระทั่งจงอินค่อย ๆ เลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ และจูบริมฝีปากของเขาในที่สุด เสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นเมื่ออีกฝ่ายเลื่อนมือไปกดก่อนที่เสียงพนักงานจะแทรกเข้ามาผ่านทางวิทยุที่ติดอยู่ด้านบน
จูบครั้งนี้ต่างจากตอนกลางวัน เมื่อความหอมหวานที่เคยมีถูกแทนที่ด้วยความขมขื่น ทุกอย่างดูมึนงงจนเรียบเรียงสติไม่ได้ จงอินค่อย ๆ ถอนจูบออกก่อนจะเอาหน้าผากชนกัน และปล่อยให้ความเงียบดึงเราทั้งคู่ดำดิ่งลงไปในเหวลึก ก่อนที่อีกฝ่ายจะเงยหน้าขึ้น พร้อมดวงตาคู่นั้นที่แดงก่ำราวกับว่าน้ำตามันพร้อมจะไหลออกมา
“เราเลิกกันเถอะ”
เคยรู้สึกชาไปทั้งตัวไหม?
ชาจนรู้สึกเหมือนว่าเวลาได้หยุดหมุนไปแล้ว ก่อนหน้านี้โอเซฮุนขยับริมฝีปากออกเสียงพูดได้อย่างไร เคยแสดงออกอย่างไรเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจความรู้สึกในตอนนั้น ๆ ได้ สิ่งที่เขาทำในตอนนี้มีเพียงแค่นั่งนิ่ง ๆ สบตากับจงอินราวกับวอนขอให้เปลี่ยนใจ แต่พอรู้สึกตัวอีกทีประตูกระเช้าก็ถูกเปิดออก
จงอินเดินออกไปแล้ว และนั่นเป็นสัญญาณบอกโอเซฮุนว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันคือเรื่องจริง
ประตูกระเช้าถูกปิดลง ชิงช้าค่อย ๆ เคลื่อนตัวอีกครั้ง หากแต่ตอนนี้กลับมีเพียงแค่เด็กหนุ่มตัวผอมคนเดียวที่นั่งอยู่ด้านใน พร้อมช่อดอกไม้แห้งในมือ
หัวใจเต้นแผ่วเบาลง ตามมาด้วยหยดน้ำตาที่ไหลออกมาแม้ไม่ได้บีบ ภาพเบื้องหน้าพร่ามัว... ชัดขึ้น... พร่ามัว... ชัดขึ้น... สลับกันอยู่อย่างนั้นขณะจับจ้องอยู่กับความมืดของท้องฟ้ายามค่ำคืน
ประโยคเมื่อครู่ยังก้องอยู่ในหูราวกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นไปเมื่อหนึ่งวินาทีก่อน ริมฝีปากสั่นเครือเม้มเข้าหากันแน่นจนกระทั่งน้ำตาหยดลงบนกางเกงยีนส์สีซีดจนเป็นต่างดวง เซฮุนไม่มีโอกาสรั้งเลยสักนิด หรือถ้ามี เขาก็คงพลาดมันไปหลายครั้งแล้วกับโอกาสที่จงอินเคยมอบให้
รู้สึกเหมือนกำลังเอื้อมมือเข้าไปบีบหัวใจตัวเอง โอเซฮุนถึงได้รู้สึกเจ็บจนใจจะขาดอย่างนี้ เด็กหนุ่มตัวผอมหยุดสายตาอยู่กับเบาะฝั่งตรงข้ามที่ว่างเปล่า ชิงช้ายังคงเคลื่อนตัวไปเรื่อย ๆ ในขณะที่ความรักของเราหยุดลงแล้ว
‘ลองไปเที่ยวเหมือนไม่มีวันพรุ่งนี้อีกแล้วดูไหม?’
และแล้ว... ก็ไม่มีวันพรุ่งนี้สำหรับเราจริง ๆ
TBC
ความคิดเห็น