คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Chapter 08 :: My Feeling Depends On You (100%)
Chapter 8
My Feeling Depends On You
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ปาร์คชานยอลกลายเป็นคนขี้โมโห
อ้อ...
...ตั้งแต่เกิด
ตลอดคาบบ่ายเด็กตัวสูงเอาแต่นั่งเขียนตัวหนังสือโง่ ๆ ลงไปบนสมุดเล่มเดิมโดยไม่คิดจะหันไปมองคนข้าง ๆ ที่กำลังตั้งใจเรียนหนังสือผ่านตัวหนังสือของเขา อันที่จริงปาร์คชานยอลอยากปริปากพูดเหลือเกินเพราะตอนนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นมดงานโง่ ๆ ที่กำลังสร้างความดีให้กับผู้พิการทางสายตาอย่างไอ้บ้านนอกโดยที่มันไม่รู้ตัวเลยว่าลึก ๆ แล้วเขากำลังหงุดหงิดอยู่ถึงได้เงียบปากมาเป็นชั่วโมงแบบนี้
แต่ดูมันดิครับ...ตาตี่ ๆ ที่กำลังกระพริบปริบ ๆ ตอนมองมือลายมือเขานั่นน่ะ ไหนจะคิ้วทั้งสองข้างที่กำลังขมวดเข้าหากันเหมือนว่าอ่านไม่เข้าใจ วูบหนึ่งเห็นว่ามนุษย์ฮอบบิทเงยหน้าขึ้นไปมองอาจารย์ผู้สอนก่อนจะพยักหน้าหงึกอย่างกับมันเชื่อมโยงลายมือขั้นเทพของเขาเข้ากับสิ่งที่อาจารย์กำลังอธิบายได้
พูดสิไอ้บ้านนอก พูดอะไรก็ได้ให้ปาร์คชานยอลคนนี้ได้รู้สึกดีขึ้นมาบ้างหลังจากหงุดหงิดมานานเป็นชั่วโมงตั้งแต่เห็นมันไปงุ้งงิ้งอยู่กับดาวโรงเรียนอย่างฮันซอนฮวาเมื่อตอนเที่ยง พยายามปลอบใจตัวเองว่าที่เขารู้สึกแบบนี้คงเป็นเพราะหมั่นไส้ที่คนเห่ย ๆ อย่างมันได้รับความสนใจจากผู้หญิงสวย มากกว่าความรู้สึกอย่างอื่นที่ตัวเขาไม่อยากยอมรับ
ใช่ ปาร์คชานยอลขอยอมรับว่าอิจฉามันดีกว่าจะให้คิดเป็นอย่างอื่น
ช่วงบ่ายสองเศษ ๆ มีนักเรียนคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามาในห้องก่อนจะขออนุญาตอาจารย์เพื่อแจ้งว่าหลังเลิกเรียนให้มนุษย์ฮอบบิทไปรับของที่ห้องพักครูเพราะมีพัสดุส่งมาจากมกโพ จังหวะนั้นเด็กหนุ่มหันขวับไปมองคนข้าง ๆ ทันที เขาเห็นว่าตาตี่ ๆ ที่มองอะไรไม่เห็นกำลังวาวเป็นประกายหลังจากได้ยินประโยคนั้น
ตามสัญญาว่าต้องพาไปตัดแว่น คนที่ไม่มีเรียนเสริมต่างเก็บของเตรียมกลับบ้านและตัวเขาก็เช่นกัน แต่พอหันมาอีกทีไอ้บ้านนอกก็หายไปแล้ว คาดว่ามันคงรีบไปเอาของที่ห้องพักครู ไหนพวกแก๊งคนแคระบอกว่าพ่อแม่ไอ้เตี้ยเสียแล้ววะ แล้วใครหน้าไหนส่งของมาให้ ญาติพี่น้องที่ยึดบ้านไปน่ะเหรอ? ฟังดูไม่เข้ากันเลยสักนิด
หยิบหูฟังขึ้นมาใส่แล้วล้วงกระเป๋ากางเกงไปตามทางเดินยาวอย่างไม่เร่งรีบ เสียงพูดคุยจ้อเจื้อยของคนรอบข้างที่เดินสวนไปมานั้นเป็นเรื่องปกติซึ่งไม่จำเป็นต้องใส่ใจ กดเร่งระดับเสียงขึ้นเพื่อกลบเสียงเหล่านั้นก่อนจะหยุดยืนอยู่หน้าห้องพักครู
ไอ้บ้านนอกกำลังโค้งหัวขอบคุณอาจารย์ เขาเห็นว่ามันกอดซองสีน้ำตาลขนาดใหญ่ที่น่าจะห่อหลายชั้นไว้แนบอก แค่ครู่เดียวเท่านั้นไอ้เตี้ยก็เดินออกมา มันดูระวังทุกฝีก้าวจนเขาไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะมันไม่ได้ใส่แว่นหรือเพราะกลัวของที่กอดอยู่แนบอกตกพื้นกันแน่
“นั่นอะไร”
“กรอบรูป เพื่อนเราส่งมาให้” รอยยิ้มของคนตัวเล็กดูภูมิใจตอนเล่าถึงใครอีกคน ชานยอลได้แต่มองสิ่งที่ไอ้เตี้ยเรียกว่ากรอบรูปก่อนจะพยักหน้าส่ง ๆ
“รูปรุ่นไรงี้น่ะเหรอ”
“ไม่ ๆ รูปเพื่อนจะส่งตามมาทีหลัง แต่นี่เป็นรูปเรากับพ่อแม่” พูดจบเด็กตัวสูงก็เดินลงบันไดไปก่อน พอเสียงเงียบหายไปอีกทั้งยังรู้สึกว่าเดินอยู่คนเดียวเลยหันหลังไปดูแล้วก็พบว่าไอ้บ้านนอกมันกำลังก้าวลงบันไดอย่างระมัดระวังด้วยการก้าวขาขวาและตามด้วยขาซ้ายลงขั้นเดียวกัน
“ถ้าจะระวังขนาดนี้มึงไม่บอกให้เพื่อนมึงห่อใส่ตู้คอนเทนเนอร์มาเลยล่ะห่า” หันไปด่ามันสักดอก วันนี้กูเหลืออดกับมึงมากพอแล้วนะไอ้บ้านนอก มัวแต่เดินเอื่อยแบบนั้นชาติหน้าจะถึงร้านแว่นไหมกูอยากจะรู้นัก
“ก็เรามองไม่เห็นนี่ ชานยอลรีบมากทำไมไม่ไปตั้งแต่เมื่อวานล่ะ”
“อ้าว กวนตีนงี้ปากแตกอีกสักแผลดีไหมล่ะ” ชานยอลมองคาดโทษมนุษย์ฮอบบิทที่กำลังคลานลงมาทีละก้าวจนตอนนี้หยุดอยู่บันไดขั้นเดียวกับเขา ทั้งคู่สบตากันอย่างหยั่งเชิง แน่นอนว่าปาร์คชานยอลจะไม่ยอมแพ้มันเด็ดขาดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่เด็กหนุ่มก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นเมื่ออีกฝ่ายแลบลิ้นใส่ “เดี๋ยวปั๊ด!!!”
“เหนี่ยวเลย”
ดูมัน!!! ยังมีหน้ามาต่อประโยคได้ เห็นวันนี้กูใจดีด้วยแล้วทำเคลิ้มเหรอ!!!
“ชักช้างี้มึงน่าจะเกิดเป็นหอยทากให้รู้แล้วรู้รอด” ทนดูมันคลานต่อไปไม่ไหวสุดท้ายเลยแย่งกรอบรูปมาถือให้แล้วหิ้วคอเสื้ออีกคนให้เดินลงมาด้วยกัน
“โอ๊ะ! ด...เดี๋ยวสิชานยอล” แบคฮยอนเบิกตาอย่างตกใจ ภาพตรงหน้าพร่ามัวไปหมด เขารู้สึกหวาดเสียวกับการเดินลงบันไดทั้งที่มองเห็นได้ไม่ชัดเลยรีบคว้าแขนแกร่งเอาไว้อย่างทุลักทุเล
ทั้งสองคนเดินไปด้วยกันทั้งสภาพอย่างนั้น แบคฮยอนรู้สึกได้ถึงความใจดีของเพื่อนคนนี้ที่หันมาบอกให้ระวังพื้นต่างระดับแม้ว่าจะน้ำเสียงนั้นจะดูรำคาญเขาก็ตาม มือของชานยอลยังไม่ปล่อยจากคอเสื้อข้างหลังเลย ป่านนี้มันคงยับยู่ยี่ไปหมดแล้ว ถึงจะรุนแรงไปหน่อยแต่มันก็สมเป็นชานยอลดี
ร้านแว่นอยู่ไม่ห่างจากโรงเรียนมากนัก ไฟในร้านสว่างจ้ายิ่งกว่าห้องทดลองของอัมเบรลล่าคอร์ปอเรชั่น ชานยอลต้องลากมนุษย์ฮอบบิทเข้าไปข้างในเพราะถ้าขืนปล่อยให้มันเดินสุ่มสี่สุ่มห้ามีหวังชนตู้กระจกเขาแตกเสียหายหลายแสนอีก
ยืนคุยกับพนักงานเรื่องความสั้นของสายตา แน่นอนว่าปาร์คชานยอลเลือกที่จะถอยมานั่งฟังเพลงเล่นมือถือรอแล้วปล่อยให้มันยืนทำหน้าบื้อตอบคำถามไปตามลำพัง แต่ไอ้ความคิดในหัวเนี่ยมันน่ารำคาญจังว่ะครับ พอปล่อยเซอร์มันแล้วแต่ไอ้มือไม่รักดีก็เสือกดึงหูฟังออกเพื่อที่จะฟังว่าไอ้บ้านนอกถูกถามอะไรบ้าง
“เอาแบบราคาไม่แพงแต่ใช้ได้นาน พอจะมีไหมครับ?”
“แบรนด์ไหนก็ได้เหรอคะ?”
“ครับ ยังไงก็ได้ขอแค่คุณภาพดีก็พอ” ได้ยินเสียงหัวเราะเจื่อน ๆ ตามหลังประโยคนั้น ซึ่งพนักงานก็ไม่ได้เซ้าซี้ขายแว่นยี่ห้อแพง ๆ ให้มัน
“งั้นรอสักครู่นะคะ”
เด็กตัวสูงเดินไปหาคนที่กำลังดูแว่นหลากสีที่วางอยู่บนตู้กระจกระหว่างพนักงานเลือกแว่นสำเร็จรูปที่อยู่ในตู้โชว์ ชานยอลเท้าศอกลงแล้วมองหน้ามนุษย์ฮอบบิทที่ลองใส่แว่นเลนส์ปกติก่อนจะขมวดคิ้ว
“อันนี้สามแสนห้าหมื่นวอนแน่ะ...” เสียงกระซิบแหบ ๆ ของมันที่ดูเหมือนกลัวว่าพนักงานจะได้ยินเข้าทำให้เด็กตัวสูงลอบยิ้มในใจ ยิ่งตอนมนุษย์ฮอบบิทหันหลังไปดูเพื่อให้แน่ใจว่าหญิงสาวจะไม่ได้ยินก็ยิ่งตลก
“ก็ซื้อเลยสิ แบรนด์นี้ถือว่าดังนะเว้ย...”
“ไม่เอาอ่ะ เรามีงบแสนสาม...”
“ทำไมมึงยาจกแบบนี้วะฮอบบิท...”
“โหดูพูดสิ...รู้งี้ไม่น่าไปช่วยเลย...” คนตัวเล็กย่นจมูกแล้วถอดแว่นออก เห็นมันทำหน้าเหมือนคนแพ้แล้วก็รู้สึกดีขึ้นหลังจากหงุดหงิดมาตลอดทั้งวัน
“ไหนบอกว่าทิ้งกูไว้ตรงนั้นไม่ได้ไง...เป็นคนพูดจากลับกลอกตั้งแต่เมื่อไหร่วะ...” เด็กหนุ่มทั้งสองคนยังคงกระซิบกระซาบกันอยู่อย่างนั้นแม้ว่าบทสนทนาเรื่องราคาแว่นจะผ่านไปแล้ว
“ถ้าย้อนเวลาได้เราจะปล่อยให้ชานยอลโดนรุมตื้บ...”
“ปากดี...”
“โอ๊ะ!” แบคฮยอนหลับตาปี๋เพราะโดนดีดหน้าผากเข้าเต็มแรง ทันทีที่ลืมตาขึ้นก็พบว่าชานยอลกำลังยิ้มล้อเขาอยู่ ร่างเล็กลูบเหม่งป้อย ๆ แล้วหยิกพุงคนตัวสูงเป็นการแก้แค้น
“โอ้ย!! ไรวะ!!”
“หายกัน”
“ไม่หาย กล้าดียังไงมาแตะต้องตัวกู”
“ทีชานยอลยังดีดเหม่งเราเลยอ่ะ”
“นั่นมันกรณียกเว้น มึงหยุดก้าวร้าวกับกูได้แล้วฮอบบิท นับวันชักจะแข็งข้อเข้าไปทุกที พอมีสาวมาจีบแล้วห้าวเหรอ” เด็กหนุ่มโน้มหน้าลงไปมองใกล้ ๆ พร้อมส่งสายตาคาดโทษข่มขู่ ซึ่งปาร์คชานยอลก็ได้รู้ว่าคนตรงหน้าไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลย
นี่กูกากหรือมันแข็งแกร่งกันแน่วะตอบ - -
“ชานยอลรู้ได้ไงว่าซอนฮวาชอบเรา”
“เอ้าจริงดิ?” ตอนแรกก็เดาว่าคงเป็นอย่างนั้นแต่ก็ห้าสิบห้าสิบ ชั่งใจว่าบางทีฮันซอนฮวาอาจจะเข้ามาคุยกับมันขำ ๆ แต่ไม่ได้จริงจังไรงี้ แล้วที่แซวไปเมื่อกี้ก็ประชดล้วน ๆ ด้วยห่าจิก
“ใช่ ซอนฮวาบอกว่าชอบเรา”
“อะไรวะ! มันไม่ง่ายเกินไปหน่อยเหรอ?!”
กริบ...
เด็กตัวสูงยืนค้างอยู่ท่านั้นเมื่อตอนนี้ทั้งไอ้บ้านนอกและพนักงานขายแว่นต่างหันมามองเป็นตาเดียวกันหลังจากที่เขาเผลอตะโกนซะเสียงดัง กระซิบกระซาบอะไรไม่รู้จักแล้ว ตอนนี้เขากำลังงงไปหมดว่าทำไมผู้หญิงสวย ๆ อย่างฮันซอนฮวาถึงได้รุกหนักตั้งแต่วันแรกที่เข้าหาไอ้บ้านนอก
“ขอโทษครับ พอดีเรามีเรื่องไม่เข้าใจกันนิดหน่อย...” ชานยอลหันไปยิ้มเจื่อนกับพนักงานสาว เธอได้แต่ยิ้มแล้วขยับปากพูดแบบไม่มีเสียงว่า ‘ไม่เป็นไรค่ะตามสบายเลย’
“ชานยอลเสียงดังทำไมเนี่ย”
“เพราะมึงนั่นแหละ ถ้าไม่ถามก็ไม่คิดจะบอกกันเลยดิ”
“อ้าว ชานยอลอยากรู้ด้วยเหรอ”
“มาถึงขนาดนี้ไม่อยากรู้เลยมั้ง” ไม่อยากพูดถึงสีหน้าไอ้บ้านนอกเลยครับ ปาร์คชานยอลไม่ได้คิดไปเองแน่ ๆ ว่ามันกำลังลองเชิงเขาอยู่
“เล่าก็ได้ เราแลกเบอร์กับซอนฮวาแล้วนะชานยอลจำไว้ดี ๆ” นั่น กวนตีนกูอีก
“แลกเบอร์ด้วย?”
“ไลน์ก็แอด”
“อ้อ...กะจะคุยกันทุกทางเลยดิ ไม่บอกไปด้วยล่ะว่าบ้านช่องอยู่ไหน” เด็กตัวสูงเลิกคิ้วมอง พอหันเงาตัวเองผ่านกระจกร้านแล้วก็อยากร้องไห้ ตอนนี้กูเหมือนมนุษย์ป้าที่กำลังประสบปัญหาชีวิตหลังจากจับได้ว่าผัวไปมีเมียน้อยยังไงอย่างนั้น
“ซอนฮวาบอกว่าเริ่มต้นจากเพื่อนกันก่อนก็ได้ เราว่าเธอเป็นคนดี”
“โห เวลาจะจีบใครก็ต้องพยายามทำตัวเป็นคนดีให้อีกฝ่ายเห็นทั้งนั้นป่ะวะ”
“ก็ยังดีกว่าทำตัวถ่อยนะเราว่า”
“หลอกด่ากูอีกละ” อยากจะโบกหัวมันสักดอกแต่กำลังโมโหอยู่ ไม่สิ...ถ้าโมโหก็ต้องตบหัวมันได้ดิวะแต่นี่อะไร -_-
“เธอน่ารักดี”
“ก็เลยจะคบกันว่างั้น”
“ยังไม่ได้บอกเลยว่าจะคบ ทำไมชานยอลต้องพูดแปลก ๆ ด้วยเนี่ย” ร่างเล็กหรี่ตามองคนตรงหน้าที่กำลังเลิกลั่กทำตัวไม่ถูก เด็กตัวสูงเบือนหลบไปอีกทางแล้วปั้นหน้าปั้นตาให้เป็นปกติก่อนจะหันกลับมาสบตากับอีกคน
“มึงโดนหลอกแน่ฮอบบิท ผู้หญิงสวย ๆ ที่ไหนจะมาชอบผู้ชายเตี้ย ซื่อบื้ออย่างมึงวะ รวยก็ไม่รวย”
“ตอนแรกเราก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่นั่นคือเหตุผลที่ซอนฮวาบอกว่าเป็นเพื่อนกันไปก่อนจนกว่าเราจะชอบ เธอจะรอเรา”
“โห สวีทสัด ๆ”
“ชานยอลอิจฉาสินะ” ร่างเล็กหันเข้าหาเคาน์เตอร์หลังจากที่พนักงานเอาแว่นมาให้
“โท้ะ ๆ ๆ ไม่ได้คิดว่ากูหวังดีกับมึงเลยสินะ? นี่คือสิ่งที่คนดีเขาทำกันมึงไม่รู้เหรอ”
“ชานยอลกำลังอิจฉาที่เห็นคนอื่นได้รับสิ่งที่ดีกว่าก็เลยแสดงออกมาอย่างนั้น” แบคฮยอนสวมแว่นแล้วหันไปมองรอบข้างเพื่อลองสายตาก่อนจะหันมาพยักหน้ายิ้มบอกพนักงานว่าโอเคแล้ว
“ต้องให้บอกไหมว่ากูไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลยสักนิด ฮันซอนฮวาสวยก็จริงแต่ระดับกูแล้วไม่เคยง้อใครว่ะ” ชานยอลกำลังเลือดขึ้นหน้า นี่เขาเป็นบ้าอะไรถึงได้มาถกเถียงเรื่องส่วนตัวของมนุษย์ฮอบบิททั้งที่มันไม่เกี่ยวข้องกับเขาเลยสักนิดเดียว “มึงเห็นผู้หญิงนมโตที่มากับยัยนั่นไหม ชอนฮโยซองน่ะ นั่นก็ชอบกูมาตั้งนานแล้ว”
พูดจบแบคฮยอนก็ค้างอยู่ในท่ายื่นเงินสดให้พนักงานขายก่อนจะหันมามองอีกคนที่กำลังดูเหมือนว่ากำลังโมโหอยู่
“จริงเหรอ”
“เออดิ”
“แล้วทำไมชานยอลไม่ตกลงกับเธอดูล่ะ เราว่าฮโยซองเป็นคนดีเหมือนกัน”
“ก็ไม่ได้ชอบจะให้ทำไงวะ กูไม่ได้เหมือนมึงที่จะได้เออออห่อหมกกับผู้หญิงสวย ๆ ที่เข้ามาจีบวันแรก” หงุดหงิดว่ะ มันจะให้เขาคบกับผู้หญิงคนนั้นเพื่อที่จะได้เป็นแพ็คคู่หรือไงกัน
“เรายังไม่ได้ตกลงเลย ก็บอกแล้วไงว่าเริ่มจากเพื่อน” แบคฮยอนอธิบาย ทั้งคู่ไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้พวกเขากำลังถกเถียงกันอยู่ต่อหน้าพนักงานสาว
“เรื่องของมึงเหอะงั้น” ชานยอลจิ๊ปากแล้วเดินไปคว้าเอากระเป๋าเป้บนโซฟาขึ้นมาสะพายอย่างหัวเสีย ชักจะไม่แน่ใจแล้วว่าเขากำลังจะเป็นบ้าเพราะโมโหมันอย่างไร้เหตุผล หรือเพราะหงุดหงิดตัวเองที่เก็บเรื่องของมันมาเป็นประเด็นอย่างจริงจังกันแน่
“ดีแล้ว”
“อะไร?” หันกลับไปมองคนตัวเล็กที่เดินมาทางนี้พร้อมถุงกระดาษใส่กล่องแว่นใบเล็ก แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายยิ้ม ๆ แล้วส่ายหน้าเป็นคำตอบ
ชานยอลกลอกตาไปมาอย่างไม่เข้าใจ ตอนนี้มนุษย์ฮอบบิทเอากรอบรูปไปถือเองก่อนจะเดินนำไปหยุดอยู่หน้าประตูร้านแล้ว หน้าโง่ ๆ ของมันยังเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่เขาไม่เข้าใจความหมายจนกระทั่ง...
“ชานยอลอย่าคบกับคนที่ไม่ได้ชอบนะ”
60%
พอกลับไปถึงบ้านมนุษย์ฮอบบิทก็รีบเห่อแกะกรอบรูปออกมาดูใหญ่เลย ถามว่าตอนนั้นปาร์คชานยอลกำลังทำอะไรอยู่ก็คงพูดได้อย่างเต็มปากว่าเดินผ่านไปเฉย ๆ โดยไม่ได้หยุดดูรูปหรือผลักหัวมันแล้วบ่นอุบอิบกับความเห่อ แอร์ก็ยังไม่เปิด หน้าต่างก็เหมือนกัน ท่าทางมันจะดีใจมากกับพัสดุชิ้นแรกที่ส่งมาจากมกโพ
เขาเห็นว่าไอ้บ้านนอกยกกรอบรูปไปทาบกับผนังแล้วยืนนิ่งอยู่ท่านั้นพร้อมมือที่ค่อย ๆ ขยับมุมให้เท่ากัน ถ้าก่อนหน้านี้เขาทั้งสองคนไม่ได้คุยเรื่องของฮันซอนฮวา บางทีปาร์คชานยอลอาจจะเข้าไปตบหัวมนุษย์ฮอบบิทเบา ๆ แล้วช่วยจับกรอบรูปไว้ให้หากว่ามันจะตอกตะปูเข้ากับผนัง
แต่สิ่งที่เด็กหนุ่มทำก็แค่โยนกระเป๋าไว้มุมห้องแล้วคว้าผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำ เขาไม่ได้ทำอะไรสักอย่างเหมือนที่คิดเอาไว้ วันนี้ปาร์คชานยอลรู้สึกเหนื่อยกว่าวันไหน ๆ อาจเป็นเพราะผลลัพธ์จากการช่วยมนุษย์ฮอบบิทเรียนหนังสือตลอดทั้งวันไปจนถึงเรื่องที่ปล่อยให้มันเข้ามาวิ่งเล่นในหัวเขามากเกินไป
รู้ว่าไอ้จงอินกับไอ้เทาเพื่อนหน้าโง่กำลังคิดอะไรอยู่ แน่นอนว่าเป็นเพื่อนกันมาหลายปีมีครั้งไหนบ้างที่จะอ่านใจกันไม่ออก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อยากยอมรับความรู้สึกตัวเองเลยว่ากำลังรู้สึกดี ๆ กับไอ้บ้านนอกทั้งที่เคยรำคาญมันจนแทบไม่อยากอยู่ใกล้
ตลับเมตรที่เคยใช้เป็นอาวุธถูกวางไว้บนชั้นวางของให้ฝุ่นจับเล่นมาสักพักแล้ว มันเป็นอีกเรื่องที่ทำให้รู้ว่าปาร์คชานยอลนั่นแหละที่ปล่อยให้อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้เขามากเกินไปจนความรำคาญเปลี่ยนเป็นความรู้สึกบางอย่างที่เขาก็รู้ว่ามันคืออะไร
หรือความจริงมันอาจจะเป็นตัวเขา...ที่พยายามเข้าไปอยู่ใกล้ ๆ ไอ้บ้านนอกโดยไม่รู้ตัวก็ได้
บางทีปาร์คชานยอลน่าจะหาเวลาอยู่กับตัวเองเพื่อทบทวนและหาคำตอบว่าเขาควรจะปล่อยให้ความรู้สึกที่เป็นอยู่มันไปในทางไหน
แค่วันแรกยังขนาดนี้ ถ้าต่อไปไอ้บ้านนอกมันตกลงปลงใจคบกับฮันซอนฮวาเขาจะไม่หงุดหงิดตายเลยหรือไง เวรเอ้ย...มันจริงอย่างที่ใครเขาพูดนั่นแหละว่าคนเราหลอกคนอื่นได้ แต่ที่หลอกไม่ได้เลยก็คือตัวเอง ซึ่งปาร์คชานยอลก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไร แต่ที่เป็นอยู่มันก็คือความปอดแหกกับฟอร์มจัดที่กินไม่ได้เท่านั้น
เสียงของตกแตกทำให้เด็กตัวสูงหลุดออกจากความคิด แค่ครู่เดียวเท่านั้นก็เอื้อมมือไปปิดฝักบัว ใช้เวลาเช็ดตัวลวก ๆ เพียงแค่ไม่กี่วิ รีบใส่กางเกงนอนขายาวแล้วออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นทั้งที่ยังไม่สวมเสื้อ สองขาหยุดยืนกับที่เมื่อพบว่าไอ้บ้านนอกยืนนิ่งอยู่ตรงหน้ากรอบรูปที่แตกกระจายอยู่บนพื้น
“...”
“...”
ไม่มีใครพูดอะไรแม้แต่ตัวเขาที่ควรจะตะโกนถามไปว่า ‘ทำห่าไรของมึงวะ’ หรือคำด่าอะไรสักอย่างเช่น ‘โง่เอ้ย ทำยังไงให้ตกแตก’ เหมือนอย่างเคย แต่เพราะสีหน้าและแววตาของอีกคนที่กำลังมองมา วินาทีนั้นปาร์คชานยอลรู้สึกเหมือนคำพูดของเขาถูกกลืนลงคอไปหมดพร้อมกับน้ำลาย
เด็กหนุ่มยืนมองอีกคนที่กำลังก้มลงเก็บเศษกระจกทีละชิ้นอย่างไม่เร่งรีบ เขาจะทนยืนอยู่ตรงนี้เฉย ๆ โดยที่ไม่ทำอะไรสักอย่างได้แค่ไหน? อาจจะสักครึ่งนาทีเองมั้งสุดท้ายปาร์คชานยอลก็เดินไปเอาไม้กวาดกับที่โกยก่อนจะเข้าไปดึงแขนเล็กให้ลุกขึ้นยืน
“ถอยออกไป เดี๋ยวกูทำเอง” แบคฮยอนมองคนตัวสูงที่ก้มลงเก็บรูปถ่ายของเขาและครอบครัวขึ้นมาจากซากเศษกระจก
“เดี๋ยวเราเก็บเอง...”
“ไปอาบน้ำ”
“...”
ชานยอลจริงจังมากกว่าทุกครั้ง มันอาจจะดูธรรมดาที่อีกคนพูดห้วน ๆ กับเขาแต่คราวนี้มันต่างออกไป แบคฮยอนยืนมองคนตัวสูงเก็บซากกรอบรูปไปตั้งไว้ข้างพนังก่อนจะก้าวข้ามเศษกระจกมาหยิบไม้กวาดกับที่โกยอีกครั้ง
น่าแปลกที่ไม่ถูกด่าว่าโง่ แต่มันก็ดีเหมือนกันเพราะเขาคงไม่อยากร้องไห้ออกมาให้ดูเหมือนเด็กอนุบาลเพราะความซุ่มซ่ามของตัวเองที่ตอกตะปูไม่แน่นจนรูปตกลงมาแตกต่อหน้าต่อตา
แบคฮยอนก้มลงมองรูปถ่ายที่อยู่ในมือ รูปนี้ถ่ายที่ท่าเรือมกโพเมื่อนานมาแล้ว ละแวกนั้นเต็มไปด้วยเรือหาปลาลำเล็ก แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นมีเรือของพ่อด้วย แม้แต่ตอนถ่ายรูปเสร็จรอยยิ้มบนใบหน้าของเราก็ยังไม่จางหายไป การที่เราสามคนยืนจับมือกันโดยมีเขาอยู่ตรงกลาง บยอนแบคฮยอนยังจำความรู้สึกนั้นได้ดีว่ามันเป็นยังไงตอนสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของฝ่ามือของพ่อกับแม่
ตอนนี้ทั้งสองคนนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะญี่ปุ่นที่มีหม้อรามยอนสำเร็จรูปเดือดพร้อมกิน แต่ไอ้บ้านนอกกลับนั่งเหม่อมองตะเกียบในมือเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก ถึงปาร์คชานยอลจะเป็นผู้ชายถ่อย ๆ เหมือนอย่างพวกแก๊งห้องสมุดว่าไว้แต่เขาก็ไม่ได้ใจร้ายพอที่จะตอกย้ำคนที่กำลังเสียใจได้ลงคอ
แทบลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้หงุดหงิดคนตรงหน้ามากแค่ไหน มันคงจะดีกว่าถ้าหากไอ้บ้านนอกพูดจากวนประสาทเขาแทนที่จะนั่งทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้อยู่รอมร่อแบบนี้ ชานยอลมองคนตัวเล็กและก็ได้แต่คิดว่าจะต้องทำยังไงสถานการณ์ในตอนนี้ถึงจะดีขึ้น?
“รูปน่ะ เอาไปใส่กรอบใหม่ก็ได้” นี่อาจจะเป็นคำปลอบใจห่วยแตกที่สุดในโลก แต่เขาไม่รู้เลยว่าจะต้องพูดยังไงไอ้บ้านนอกถึงจะยอมง้างปากกินมื้อเย็นแล้วพูดกวนประสาทเขาเหมือนอย่างเคย
“เราก็คิดอย่างนั้น แต่ก็อดรู้สึกแย่ไม่ได้เลย...” เสียงของคนตัวเล็กแผ่วลงอีกทั้งยังสั่นเครือแม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามปรับให้เป็นปกติแล้วก็ตาม “ตอนแรกเราโทษตัวเองที่ทำอะไรไม่รอบคอบ...ก็รู้ว่ามันเอาไปใส่กรอบใหม่ได้...แต่...”
“...”
“...มันทำให้เรานึกถึงงานศพขึ้นมา”
เด็กหนุ่มนั่งนิ่ง สุดท้ายไอ้บ้านนอกก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหวจนต้องยกมือขึ้นปิดหน้าสะอื้น รามยอนในหม้อคงเป็นหมันไปโดยปริยาย ชานยอลเพียงแค่เอื้อมไปกดปิดสวิตซ์ไฟแล้วปล่อยให้อีกคนร้องไห้จนกว่าจะพอใจ
ไอ้บ้านนอกอาจจะเสียใจที่ทำกรอบรูปแตก แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่ต้นเหตุของน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้แม้ว่าคนตัวเล็กจะพยายามปาดมันออกอย่างลวก ๆ แล้วก็ตามที ปลายจมูกรั้นแดงระเรื่อ นี่เป็นอีกครั้งที่มนุษย์ฮอบบิทดูน่าสงสารจนคนปากหมาอย่างเขาไม่กล้าที่จะขยับตัวทำอะไรสักอย่าง
“พ่อเราตายตอนอายุเก้าขวบ...วันนั้นเป็นวันเกิดเรา...”
“...”
“พ่อรีบออกจากท่าเรือเพื่อที่จะเข้าไปซื้อเค้กในเมือง...แต่รถของพ่อไปชนกับรถอีกคัน...” ยิ่งพูดน้ำเสียงนั้นก็ยิ่งแย่เข้าไปทุกที แต่ชานยอลก็เลือกที่จะปล่อยให้อีกคนพูดต่อไปโดยไม่คิดจะขอให้หยุด “นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ทำให้เรารู้จักกับคำว่าโลกพัง...”
“...”
“หลังจากนั้นเราก็ไม่เคยจัดงานวันเกิดอีกเลย...”
คนตัวเล็กเม้มปากแน่นก่อนจะถอดแว่นออกมาเช็ดน้ำตา แม้ว่าจะพยายามเช็ดยังไงแต่น้ำตาที่เพิ่งไหลออกมามันก็หยดลงไปอีกอยู่ดี มันเหมือนกับความรู้สึกของแบคฮยอนไม่มีผิด ที่ไม่ว่าจะพยายามเข้มแข็งสักแค่ไหนแต่พอนึกถึงเรื่องการจากไปของพ่อกับแม่ทีไรเขาก็กลายเป็นคนอ่อนแอขึ้นมาทันที
“เราเพิ่งเสียแม่ไปเพราะโรคมะเร็ง ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากเลย แม่เป็นคนเจ้าเนื้อ...แต่พอเป็นมะเร็งแล้วก็เริ่มผอมลงจนซูบไปหมด”
“...”
“ไม่มีใครสนใจเราแม้กระทั่งญาติพี่น้อง จนช่วงที่แม่อาการหนักลุงกับป้าก็ย้ายเข้ามาอยู่บ้านด้วย เขาอ้างว่าจะได้ดูแลแม่สะดวกขึ้น แต่ความจริงแล้วพวกเขาแทบไม่ทำอะไรเลยนอกจากกิน ๆ นอน ๆ”
“...”
“พวกเขาทำเหมือนเราเป็นผู้อาศัย ถึงจะเป็นญาติกันแต่พวกเขาก็แสดงความเห็นแก่ตัวออกมาได้อย่างน่าเกลียด...แม่เรารู้เรื่องนี้ดี...นี่คือเหตุผลที่ทำให้เรามาอยู่ที่นี่”
“เพราะอะไร?” เด็กหนุ่มถามเสียงเรียบ
“เพราะแม่รู้ว่าถ้าเราอยู่ต่อคงได้เป็นบ้าตายแน่ พวกเขาทำเหมือนที่นั่นเป็นบ้านของตัวเอง เอาของไปใช้ไม่เคยขอสักคำ ตอนที่แม่อาการทรุดตัวลงแม่บอกให้เราเอาเงินก้อนนี้มาอยู่โซล...พอเรียนจบแล้วก็ให้กลับไปเอาบ้านคืน....แม่บอกให้ประหยัดแล้วก็พยายามอยู่คนเดียวให้ได้...”
“...”
“แต่การอยู่คนเดียวมันไม่ง่ายเลยนะว่าไหม...” ไอ้บ้านนอกร้องไห้อีกแล้ว อันที่จริงดูเหมือนว่าจะหยุดสะอื้นไปได้ครู่หนึ่งแล้วก็กลับมาอาการหนักอีกครั้งหลังจากเล่าเรื่องของแม่
“เล่าต่อสิ” ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ชานยอลจ้องหน้าเขาโดยที่ไม่หันหน้าหนีเหมือนอย่างเคย กลับกันแล้วผู้ชายคนนั้นยังแสดงออกทางสายตาว่ากำลังตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาพูด “กูฟังอยู่”
“...”
“เรื่องที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟังหรือเล่าไปแล้วไม่รู้สึกดีขึ้น...ก็เล่ามา”
“...”
“หรือถ้าอยากใช้เวลาไปกับการร้องไห้ งั้นก็ฟังเรื่องของกูฆ่าเวลาก่อน”
ประโยคนี้ไม่ได้มากับความฟอร์มจัด ชานยอลเลียริมฝีปากแล้วหลุบตาลงหลังจากคนตัวเล็กหยุดสะอื้นได้แล้ว นับว่าเป็นเรื่องดีแม้ว่าดวงหน้าขาวนั้นยังคงเต็มไปด้วยน้ำตา
“กูเป็นเด็กธรรมดาที่เคยอยู่ในครอบครัวที่คิดว่ามีความสุข มีบ้านหลังใหญ่ มีของเล่นเต็มไปหมด วันหยุดพ่อแม่ลูกออกไปเที่ยวด้วยกัน แต่นั่นมันก็แค่ตอนยังจำความไม่ได้” ชานยอลยังคงก้มหน้าอยู่อย่างนั้น แบคฮยอนรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อยที่คนตรงหน้ากำลังเล่าเรื่องส่วนตัวให้เขาฟัง “ทุกอย่างเปลี่ยนไปตอนกูอยู่เกรดสอง เมื่อพ่อกับแม่เริ่มทะเลาะกัน แล้วมันก็ค่อย ๆ หนักขึ้นจนเด็กอายุเจ็ดขวบกลัวการเห็นพ่อแม่อยู่ด้วยกัน”
“...”
“คิดว่ามึงคงจิตนาการไม่ออก...ว่าตอนพ่อแม่ตะโกนข้ามหัวลูกระหว่างกินข้าวทั้งเช้าเย็นเป็นเวลาสองปีมันรู้สึกยังไง”
“...”
“กูกลายเป็นคนติดหูฟัง มันช่วยทำให้กลายเป็นคนหูหนวกได้จนกว่าจะหลับไป ห้องนอนเป็นที่เดียวที่ทำให้หลุดพ้นจากความอึดอัดของครอบครัวได้ จนวันหนึ่งก็แจ็คพ็อตไปได้ยินอะไรดี ๆ เข้า” ชานยอลนิ่งไปครู่หนึ่ง แบคฮยอนเชื่อว่าตอนนี้คนตรงหน้าก็คงรู้สึกแย่ไม่แพ้กัน “แม่ขอหย่ากับพ่อ”
“...”
“ตอนนั้นกูยังไม่รู้เลยว่าหย่ากันมันหมายความว่ายังไง แต่พอได้ยินแม่บอกว่าจะย้ายออกไปอยู่กับผู้ชายอีกคนที่ดีกว่าคนห่วยแตกอย่างพ่อเท่านั้นแหละ...”
ได้แต่หัวเราะสมเพชตัวเองอยู่ในใจ เขารู้สึกเหมือนได้ไปยืนอยู่ตรงนั้นอีกครั้ง...แล้วมองตัวเองตอนเป็นเด็กที่นั่งชันเข่ากอดขาแอบฟังอยู่ตรงบันได
“พ่อก็เป็นผู้ชายห่วยแตกอย่างที่แม่ว่าจริง ๆ”
“...”
“หลังจากนั้นก็เกิดคำถามว่าใครจะเอากูไปเลี้ยง ให้ตายเถอะ...ถ้าย้อนเวลากลับไปได้กูคงไม่ยืนโง่เป็นตัวอะไรสักอย่างให้คนที่ไม่รักกันแล้วตัดสินใจว่าใครกันที่จะรับก้อนเนื้อที่เคยเกิดขึ้นจากความรักไปเลี้ยงดูแบบส่ง ๆ ให้มันโตเป็นผู้ใหญ่”
“...”
“พ่อตะโกนเสียงดังว่าถ้าแม่จะไปก็ไปแต่ตัวแต่อย่าเอาลูกไปด้วย ฟังดูเหมือนรักลูกมากใช่ไหม? แต่แม่ก็ตอกกลับมาจนพ่อหน้าชาเหมือนกัน ตอนนั้นจับใจความไม่ได้หรอก...แต่ไม่นานมานี้กูก็ได้รู้แล้วว่าแม่หมายถึงอะไร” เด็กตัวสูงแค่นยิ้มกับเรื่องราวในวัยเด็กที่ยังคงตามหลอกหลอนเขามาจนถึงทุกวันนี้ “พ่อเคยแต่งงานกับผู้หญิงคนจีนมาก่อนตามการตกลงของผู้ใหญ่ พ่อยอมทำตามที่ปู่กับย่าขอจนกระทั่งมีลูกชายคนแรกให้ฝ่ายนั้นได้พ่อถึงได้ขอหย่า”
“...”
“เอาเถอะ ถึงจะมารู้ทีหลังว่าอันที่จริงกูมันก็แค่ลูกเมียน้อยมันก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่ไปกว่าเดิมนักหรอก พอพ่อกับแม่จัดการเรื่องหย่าเรียบร้อยแม่ก็ย้ายของออกไปอยู่กับผู้ชายคนนั้น เราไม่ได้ลากันเลยด้วยซ้ำ หรือบางทีมันอาจจะเป็นความตั้งใจของแม่ที่อยากให้มันออกมาเป็นแบบนี้” ชานยอลเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “สิ่งนึงที่กูกับมึงเคยเจอเหมือนกันก็คือการสูญเสียคนที่รักมากที่สุดไปตอนอายุเก้าขวบ”
“พอก่อนไหม...”
ชานยอลเงยหน้าขึ้นมองอีกคนที่กำลังมองมายังเขาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ตอนนี้เด็กหนุ่มได้รู้แล้วว่าเขากำลังพ่นความในใจออกมาจนแทบจะหมดเปลือกอยู่แล้ว ไอ้บ้านนอกลุกขึ้นมานั่งข้าง ๆ เขาก่อนจะชันเข่าเข้าหาตัว
“เรากลัวชานยอลร้องไห้ ถ้านั่งอยู่ตรงนั้นเราจะมองเห็น”
“...”
“แต่จะร้องก็ได้นะ เรานั่งอยู่ตรงนี้มองไม่เห็นหรอก” ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ไอ้บ้านนอกหยุดร้องไห้และหันมาเป็นฝ่ายปลอบใจเขาแทนแบบนี้
คนตัวเล็กชำเลืองมองมาเป็นระยะก่อนจะหันกลับไปมองข้างหน้าทันทีที่เห็นว่าเขากำลังจ้องอยู่ มันก็นานมากแล้วที่ปาร์คชานยอลไม่ได้รู้สึกแบบนี้ ความเศร้าในวัยเด็กเป็นเหมือนแผลสดตลอดเวลาที่นึกถึง มันไม่เคยทุเลาลงเลยแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานมากแล้ว
พ่อสนใจแต่งาน เด็กหนุ่มถูกเลี้ยงด้วยเงินมาตลอดตั้งแต่แม่จากไป เขาไม่เคยสัมผัสคำว่าครอบครัวอีกตั้งแต่พ่อกับแม่ทะเลาะกันอย่างหนัก...ยอมรับว่าเขาก็เป็นเด็กธรรมดาทั่วไปที่ยังต้องการความรักจากพ่อแม่ และเขาก็ลืมมันไปหมดแล้วว่าความรู้สึกนั้นเป็นยังไง
“กูไม่อยากร้องไห้ มันน่าสมเพชเกินไป”
“แต่มันก็ยังดีกว่าเก็บไว้ไม่ใช่เหรอ” ชานยอลหันเข้าหาอีกคนก่อนจะสบตากัน เขาเห็นว่าดวงหน้าขาวนั้นมีคราบน้ำตาอยู่ เด็กหนุ่มกำมือแน่นเมื่อจู่ ๆ มือมันก็พาลจะยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้ แต่ดีที่ยั้งตัวเองไว้ได้ทัน
“เส้นอืดหมดแล้ว” เด็กตัวสูงเปลี่ยนประเด็น แบคฮยอนมองอีกคนที่กำลังเปิดฝาหม้อออกก่อนจะคีบเส้นรามยอนใส่ถ้วยใบเล็กแล้วก้มหน้าก้มตากินโดยที่ไม่พูดอะไรอีก เขารู้ว่าชานยอลไม่ชอบกินรามยอน ยิ่งสภาพเส้นอืด ๆ เจ้าตัวยิ่งกินไม่ลง แต่ว่าตอนนี้...
แบคฮยอนมองยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่ละสายตาไปไหนจนกระทั่งคนตัวสูงโน้มตัวไปหยิบตะเกียบกับถ้วยใบเล็กที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมายัดใส่มือเป็นเชิงบังคับนั่นแหละเขาถึงได้ยอมกิน
“ต่อให้ชานยอลร้องไห้ฟูมฟายเราก็ไม่สมเพชหรอก”
“...”
“เราดีใจนะที่ชานยอลเล่าให้ฟัง” เด็กหนุ่มยังคงก้มหน้าก้มตากินอย่างตั้งใจ บางทีเขาน่าจะฝืนตัวเองหันไปด่ามันแล้วผลักหัวแรง ๆ สักหน่อยเผื่อว่าสถานการณ์ในตอนนี้จะดีขึ้น จากตอนแรกที่จะช่วยมันกลายเป็นว่าตอนนี้เขาทั้งสองคนกลับจมดิ่งอยู่กับเศร้าด้วยกันเสียอย่างนั้น
“ดีใจทำไม ก็แค่มีคนแบ่งความทุกข์มาให้”
“มุมมองของชานยอลเป็นยังไงไม่รู้หรอก แต่สำหรับเราการเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครสักคนฟังมันต้องพึ่งความไว้ใจด้วย เหมือนที่เราไว้ใจชานยอล”
“...” เด็กหนุ่มมองคนตัวเล็กที่กำลังค่อย ๆ ยิ้มราวกับกลัวว่าเขาจะโพล่งคำหยาบออกมาให้ได้หน้าชาเล่น และมันคงเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ กับปาร์คชานยอลคนเมื่อตอนกลางวัน
“ที่พูดไปไม่ได้หมายความว่าจะให้ชานยอลไว้ใจเราเหมือนกันหรอกนะ เราก็แค่...” ยังพูดไม่จบก็ถูกปิดปากด้วยมือคนตัวสูง
“พอได้แล้ว”
“...”
“ความซื่อบื้อของมึงจะทำให้ลำบากในอนาคตรู้บ้างไหม?” แบคฮยอนเพียงแค่กระพริบตาเท่านั้น เพียงชั่วอึดใจเดียวชานยอลก็ปล่อยมือออกแล้ววางตะเกียบลง “โชคดีที่มึงได้เจอกับพวกแก๊งคนแคระ ถึงพวกมันจะบ้า ๆ บอ ๆ แต่ก็เป็นคนดี แต่ถ้ามึงเจอคนไม่ดีจะทำไงวะ คนอย่างมึงน่ะหลอกง่ายที่สุดในโลกแล้วไม่รู้เหรอ?”
“เรารู้”
“รู้แล้วทำไมไม่ระวัง อย่างกูเนี่ยนึกไงถึงยอมให้ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยง่าย ๆ ทั้งที่กูก็ไม่มีเงินสักวอนมาช่วยเป็นค่ามัดจำ ไม่คิดว่าจะถูกหลอกแดกบ้างเหรอ”
ปาร์คชานยอลกำลังจะเป็นบ้าที่กำลังโมโหความซื่อบื้อของไอ้บ้านนอกทั้งที่ตอนแรกมันก็คือเขาเองไม่ใช่เหรอต้องการให้มันออกมาเป็นแบบนี้แม้ว่าเพื่อนสนิทจะห้ามแล้วว่าอย่า ทำไมต้องรู้สึกแย่ขนาดนี้ด้วย...ถ้าเกิดมันไปเจอคนอื่นที่ไม่ใช่เขาล่ะ...อะไรจะเกิดขึ้น?
“เราไม่เคยคิดว่าจะถูกชานยอลหลอก”
“...”
“แล้วมันก็คงไม่เป็นอย่างนั้นด้วย”
“มั่นใจเกินไปแล้ว คนเราดูกันแค่ภายนอกได้หรือไงหัดใช้สมองคิดซะบ้างเถอะ” เด็กตัวสูงทำท่าจะลุกขึ้นยืนแต่ก็ถูกอีกคนคว้าแขนเอาไว้จนต้องกลับไปนั่งเหมือนเดิม
ทั้งคู่สบตากัน แบคฮยอนยังคงจับแขนแกร่งเอาไว้ด้วยสองมือราวกับกลัวว่าคนตรงหน้าจะหนีไป ชานยอลไม่ได้แกะมือออก เขาเพียงแค่มองเงาตัวเองจากดวงตาคู่นั้นอย่างไม่เข้าใจ
“ที่ชานยอลเตือนเราจะจำเอาไว้ ต่อไปนี้เราจะไม่ไว้ใจใครง่าย ๆ อีก” ร่างเล็กพูดทั้งที่ยังจ้องหน้าคนตัวสูงอยู่อย่างนั้น “แต่สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วเราจะขอเชื่อในความซื่อบื้อของตัวเองได้ไหม?”
“...”
“เราดีใจที่ชานยอลอยู่ตรงนี้”
“...”
“อย่ารำคาญเราเลยนะ”
รู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุน ปาร์คชานยอลเบิกตาอย่างตกใจเมื่อจู่ ๆ ไอ้บ้านนอกก็คุกเข่าขึ้นก่อนจะเข้ามากอดเขา วงแขนเล็กที่กอดหลวม ๆ นั้นค่อย ๆ แน่นขึ้นเมื่อตัวเขาไม่ได้แสดงออกว่ารังเกียจ
ตัวของไอ้บ้านนอกอุ่นอย่างน่าใจหาย มันนานมากแค่ไหนแล้วที่ปาร์คชานยอลไม่ได้กอดใครสักคนไม่ว่าจะด้วยความรู้สึกแบบไหน มือทั้งสองข้างที่วางอยู่บนพื้นค่อย ๆ เอื้อมขึ้นมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ มันจะเป็นอะไรไหมถ้าเกิดว่าเขาจะแสดงความอ่อนแอออกมา
และมันจะเป็นอะไรไหม...ถ้าเกิดว่าปาร์คชานยอลอยากจะกอดคนตรงหน้าเอาไว้เพื่อขับไล่ความรู้สึกแย่ ๆ ที่ฝังอยู่ในใจออกไปให้หมด
“...”
เปลือกตาปิดลงพร้อมกับวงแขนแกร่งที่กอดตอบร่างเล็ก ในทีแรกเด็กหนุ่มไม่กล้าออกแรงมากนักจนกระทั่งได้ยินเสียงกระซิบข้างหูว่า ‘ไม่เป็นไรนะ...’ เท่านั้น...การกอดในครั้งนี้เลยแนบแน่นขึ้นในวินาทีถัดมา ชานยอลปล่อยให้อีกฝ่ายลูบหลังปลอบใจโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรอีก...และเขาเองก็เช่นกัน...
ตอนนี้มีเพียงแค่เราสองคนเท่านั้น ที่เข้าใจความเศร้าของกันและกันได้ดีที่สุด
TBC
เด็กมีปมทั้งสองคนเล่าเรื่องของตัวเองให้อีกฝ่ายฟัง จากตอนแรกความรู้สึกของชานยอลที่มีต่อแบคฮยอนมันเริ่มชัดขึ้นแล้ว แต่เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ที่ทำให้ชานยอลรู้สึกว่าตัวเขามีตัวตนสำหรับใครสักคน
คนที่กอดเขาไว้แน่น ๆ โดยที่ไม่มีข้อแม้
แล้วแบคฮยอนล่ะ...ตอนนี้แบคฮยอนกำลังมองชานยอลแบบไหนกันนะ?
#นี่มันฟิคเศร้าเรอะ
ความคิดเห็น