คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Chapter 06 :: My Wounds, Your Wounds.
Chapter 6
My Wounds, Your Wounds.
หลังจากวันนั้นทุกอย่างก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม อ่อ...ที่พูดไปเมื่อกี้น่ะหมายถึงไอ้บ้านนอกนะ ส่วนปาร์คชานยอลอย่างเก่งก็แค่ตีหน้ามึนทำเหมือนว่าไม่เคยทะเลาะกันมาก่อน ทำเหมือนว่าไม่รู้สึกอะไร ทุกอย่างคือเรื่องเล็ก ในขณะที่เขาไม่ได้คิดอย่างนั้น
มนุษย์ฮอบบิทยิ้มและหัวเราะกะอีแค่เห็นหมาจรจัดเอาปากออกจากกล่องขนมข้างถังขยะไม่ได้ วินาทีนั้นเขาก็แค่มองอย่างรู้สึกผิด ทั้งที่พยายามปลอบใจตัวเองแล้วว่าถ้ารีบหาเงินมาคืนไอ้เตี้ยได้ความรู้สึกแบบนี้ก็จะหายไป
แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิ ถ้าเกิดว่าโดยเนื้อแท้แล้วปาร์คชานยอลเป็นเด็กเชี่ยคนนึงที่ไม่เซนซิทีฟเรื่องพรรค์นี้ก็คงดี แต่มันติดอยู่ที่ว่าเขากำลังรู้สึกสงสารและเห็นใจชีวิตไอ้บ้านนอกจนไม่กล้าเล่นแรง ๆ เหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว
วันนี้เด็กหนุ่มได้แต่นั่งฟังเพื่อนทั้งสองคนพูดถึงโอเซฮุนที่เรียนอยู่ห้องข้าง ๆ แน่นอนว่าปาร์คชานยอลได้ยินเรื่องนี้มานับครั้งไม่ถ้วนและมีหลายหนที่เขาเคยเข้าผสมโรงด้วย ซึ่งเหตุผลหลัก ๆ ก็ไม่พ้นการดักคอพวกมันทั้งสองคน และสาปแช่งว่าขอให้ตกหลุมรักมนุษย์หลงตัวเองอย่างโอเซฮุนเข้าสักวัน
ไอ้จงอินมันไม่ค่อยเสือกเรื่องของเขาอยู่แล้ว ถ้าถามไม่ตอบคือทุกอย่างจบ แต่ไอ้เทาไม่ใช่อย่างนั้น มันจะเซ้าซี้จนกว่าจะได้คำตอบซึ่งมันก็ได้รับกลับไปอย่างสวยงามเป็นฝ่ามือใหญ่ ๆ ของเขานี่แหละ
เป็นอีกครั้งที่ปาร์คชานยอลรู้สึกหงุดหงิดตัวเองที่ในหัวมีแต่เรื่องของไอ้บ้านนอก ว่ามันจะอยู่กินยังไงในอนาคต จะเอาเงินจากไหนมาจ่ายค่าเทอมในเมื่อไม่มีคนคอยอุปการะ อีกทั้งสายตาไม่รักดีที่เอาแต่มองหามันอยู่นั่น
มันเริ่มจะเกินขอบเขตแล้วนะปาร์คชานยอล
พักเที่ยงคือเวลาเดียวที่เด็กหนุ่มจะเลิกคิดเรื่องของมนุษย์ฮอบบิทได้ เขาสามารถคุยเรื่องฟุตบอล บาสเกตบอล ไปจนถึงเกมออนไลน์ที่ชอบอย่างออกรสโดยไม่ต้องหุบยิ้มแล้วจมอยู่กับความคิดอีก
เด็กตัวสูงอาสาเดินไปซื้อน้ำให้ด้วยเหตุผลว่าไอ้จงอินต้องเลี้ยง ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้บ่นทางสายตาหรือคำพูด มันเพียงแค่ยื่นเงินให้แล้วนั่งกินข้าวต่อไป
สองขาเดินไปข้างหน้าอย่างไม่เร่งรีบจนกระทั่งป๊ะหน้าเข้ากับคนแคระทั้งสี่ แน่นอนว่าคนแรกที่เขาสะดุดตาคือไอ้บ้านนอกที่ยืนอยู่ทางด้านซ้าย แต่พอเลื่อนระดับสายตาไปทางด้านขวาก็รู้สึกได้ถึงสายตาแปลก ๆ ของคนแคระอีกสามคนที่มองเหยียดเขาอยู่
อย่างกับเป็นระบบอัตโนมัติเมื่อจู่ ๆ พวกมันสามคนก็ค่อย ๆ ถอยหลังไปยืนต่อแถวหน้ากระดานตัวตรงแล้วปล่อยให้มนุษย์ฮอบบิทยืนอยู่กับเขาสองต่อสอง ไอ้ท่าทางแบบนั้นน่ะเขาเห็นมาแล้วล้านครั้งแต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีไอ้บ้านนอกอยู่ด้วย
“มายืนนี่สิแบคฮยอน!” จงแดดึงแขนเพื่อนให้มายืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะมองไปยังร่างสูงที่ยังไม่เดินไปไหน
“ทำไมล่ะ เราจะไปซื้อข้าวกันไม่ใช่เหรอ” ร่างเล็กหันไปถามเพื่อนก่อนจะหันไปยิ้มให้คนตัวสูงที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้มากนัก “ชานยอลกินข้าวหรือยัง”
“อ่าฮะ” เจ้าของชื่อตอบแบบขอไปทีขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่กับมนุษย์เตี้ยทั้งสี่ที่ยืนนิ่งเป็นเทพีเสรีภาพ หึ...ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าไอ้พวกคนแคระห้องสมุดมันมองเขายังไง เดี๋ยวมึงเดี๋ยว...
“ไงประธานชมรมห้องสมุด...”
“...!!!”
ทั้งสามคนยืนตัวเกร็งเมื่อชานยอลเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงกลาง เว้นแต่แบคฮยอนที่เอาแต่ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนเขาถึงได้เหงื่อแตกพลั่ก ๆ แบบนั้น
“อ...อะไร”
“วันนี้จะกินข้าวกับอะไรดีล่ะ”
“...”
“งั้นถามนายดีกว่า...โดคยองซู” เด็กตัวสูงหันไปทางคนที่ยืนอยู่ท้ายแถว แน่นอนว่าในร่างกายของคนตัวเล็กมีเพียงสิ่งเดียวที่ขยับได้นั่นก็คือตาที่กลอกไปมา “กินอะไรดีล่ะ เส้นผมสีดำแทนจาจังดีไหม...”
“ไปสักทีเถอะน่า!! ฮึก!!” จงแดทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ขนาดโดคยองซูผู้แข็งแกร่งต่อศาสตร์มืดมากที่สุดในกลุ่มยังขี้หดตดหายได้ขนาดนี้แล้วนับประสาอะไรกับเขาและจุนมยอนล่ะ ถ้าขืนอยู่ต่อนานไปกว่านี้พวกเขาต้องตายแน่ ๆ
“ชานยอลเป็นอะไรอ่ะ พูดเรื่องของกินแล้วก็หัวเราะอยู่คนเดียว ใครจะไปบ้ากินเส้นผมกัน ติงต๊องจัง”
“มึงเงียบไปเลยไอ้บ้านนอก” พูดจบก็หันไปตบหัวเบา ๆ ซึ่งเอาจริง ๆ แล้วก็แค่ปัดผมให้เสียทรงซะมากกว่า
“โห...เราเพิ่งอ้าปากพูดเมื่อกี้เองนะ ชานยอลไม่สบายเหรอทำไมเอาแต่พูดคนเดียวเหมือนพวกตัวโกงในหนัง คนอื่นไม่เห็นจะตลกด้วยเลย” เห็นปากแดง ๆ นั่นพูดแล้วก็หงุดหงิด มันชักจะไม่ธรรมดาแล้วล่ะที่มือของเขามันเริ่มใช้งานกับมนุษย์ฮอบบิทไม่ได้แล้ว ทั้งที่เมื่อก่อนมันมักจะไปไวกว่าความคิดเสมอ
“ปล่อยพวกเราไปเถอะ เราจะไม่มองหน้านายอีกแล้วก็ได้” จุนมยอนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อีกคน นี่ยิ่งปวดฉี่อยู่ด้วย ถ้าขืนยืนสบตากับหมอนี่นานกว่านี้มีหวังเยี่ยวราดแน่เลย
“อะไรกัน แค่ไปกินข้าวไม่เห็นต้องขอชานยอลเลยนี่...โอ้ย!” แบคฮยอนกุมหัวตัวเองก่อนจะเงยหน้ามองคนตัวสูงที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา ทั้งสามคนแทบผวากับภาพที่เห็น “เราเจ็บนะ ไหนชานยอลบอกว่าจะทำดีกับเราไง”
“กูบอกตอนไหน มีแต่มึงพูดเองเออเองคนเดียว”
“เอ้า ก็ชานยอลไม่ปฏิเสธก็ถือว่าเราตกลงกันแล้วนี่นา”
“ไม่มีการตกลงอะไรทั้งนั้นแหละ เลิกมองกูด้วยสายตาแบบนี้สักทีเดี๋ยวต่อยแว่นแตกเลย” พูดจบก็กำหมัดขึ้นมาให้ดู แต่ยังไม่ทันได้โชว์โหดก็ต้องรีบชักมือไปข้างหลังเพราะคนตัวเล็กทำท่าจะงับมือเขา “เดี๋ยวเหอะมึงเนี่ย!”
ถึงจะดุยังไงแต่ดูเหมือนว่าจะถูกใจไอ้มนุษย์ฮอบบิทไปซะทุกอย่าง ไอ้เตี้ยเอาแต่หัวเราะตาหยีจนน่าหมั่นไส้ ซึ่งมันทำให้เขาเสียศูนย์เป็นอย่างมากทันทีที่หันไปทางแก๊งคนแคระทั้งสามที่ยืนมองอยู่
“เย็นนี้กลับบ้านด้วยกันอีกนะ”
“ไม่กลับ”
“อ้าวทำไมล่ะ” ร่างเล็กเลิกคิ้วถาม ทั้งที่เมื่อวานกับเมื่อวานก่อนชานยอลยังซ้อนท้ายจักรยานเขากลับอยู่แท้ ๆ
“ไม่มีเหตุผล เลิกถามมากได้แล้ว” พูดจบก็ยีหัวอีกคนแรง ๆ จนยุ่งเหยิงไปหมด แบคฮยอนมุ่ยหน้ามองคนตัวสูงที่เดินล้วงกระเป๋ากางเกงไปอย่างหน้าตาเฉยจนกระทั่งเพื่อนอีกสามคนรีบเข้ามาช่วยจัดเผ้าผมให้
วันนี้เป็นวันเสาร์และมันทำให้เด็กหนุ่มใช้เวลาอยู่บนฟูกนุ่ม ๆ ได้นานขึ้นกว่าวันปกติที่ต้องแหกตาไปเรียน พอตื่นมาตอนเที่ยงก็พบเพียงแค่ความว่างเปล่า ซึ่งเขาไม่ชินเอาซะเลยที่เป็นแบบนี้เพราะปกติต้องเห็นไอ้บ้านนอกนั่งทำการบ้านไปด้วยดูทีวีไปด้วย ไม่ก็ทำความสะอาดทั่วห้องจนเขาต้องลุกขึ้นมาด่าให้มันเลิกส่งเสียงน่ารำคาญ
แต่วันนี้ไม่อยู่ อาทิตย์ที่แล้วก็ด้วย...มันหายหัวไปไหนวะ?
หรือว่าไปหางานพิเศษทำเพิ่ม?
ครั้งนึงไอ้บ้านนอกเคยขอยืมโน๊ตบุ้คของเขาใช้อินเทอร์เน็ต เห็นมันนั่งขมวดคิ้วจิ้มคีย์บอร์ดอยู่นานแต่ก็ไม่ได้สนใจว่ามันจะทำอะไร เพราะถ้าทำแบบนั้นปาร์คชานยอลคงได้ตบตีกับตัวเองเป็นรอบที่ล้านแน่ว่าทำไมเขาถึงต้องสนใจมนุษย์ฮอบบิทไปซะทุกเรื่องด้วย
คราวนี้เป็นไงล่ะ พอไม่เสือกก็ไม่รู้เลยว่ามันหายไปไหนตั้งแต่หัววันแบบนี้
เปิดตู้เย็นหาข้าวกินก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนจะนั่ง ๆ นอน ๆ เล่นมือถือไปเรื่อยจนถึงบ่ายสามโมงแล้วก็เบื่อเลยลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวออกไปข้างนอก ตอนนี้ไอ้จงอินเล่นเกมอยู่บ้านไอ้เทา แน่นอนว่าเขาจะตามไปถึงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
ระหว่างทางก็ไลน์ถามไอ้บ้านนอกว่ามันอยู่ไหน แน่นอนว่ามันเป็นประโยคที่ห้วนมากที่สุดและแสดงออกอย่างชัดเจนว่าแค่ถามไปอย่างนั้นไม่ได้คิดอะไรมากมาย นานพอสมควรเลยกว่ามนุษย์ฮอบบิทมันจะตอบกลับมา แต่อย่างน้อยเขาก็ได้รู้แล้วว่าตอนนี้มันทำอะไรอยู่ที่ไหน ยังไง และกับใคร
PM 15:55 มึงอยู่ไหนวะ
ไอ้บ้านนอก
อ๋อ ตอนนี้เราสอนภาษาเกาหลีอยู่ห้าง K น่ะ
ชานยอลเห็นข้าวในตู้เย็นแล้วใช่ไหม 16:33 PM
PM 16:34 เห็นละ แล้วมึงเอาอะไรไปสอนเขาวะฮอบบิท
พูดภาษาคนยังจะไม่รู้เรื่อง 555555555555555555555555555
ไอ้บ้านนอก
แม่เราเคยบอกว่าหมามันฟังภาษาคนรู้เรื่องแต่ควายอ่ะไม่แน่
เพราะงั้นคนที่ฟังเราพูดไม่รู้เรื่องก็คงเป็นควาย 16:35 PM
PM 16:35 นี่มึงหลอกด่ากู?
เชี่ยนี่ปากดีเดี๋ยวกูตามไปกระทืบถึงห้างเลยดีไหมเนี่ยหื้อ!!
ไอ้บ้านนอก
ไม่คุยด้วยแล้ว นักเรียนเราขยันมาก
ไม่เหมือนชานยอลเลยเอาแต่นั่งหลับในเวลาเรียน ใช้ไม่ได้ ๆ 16:37 PM
PM 16:37 เออไปเหอะ ไม่มีน้ำหูน้ำตาให้หรอก
ไอ้บ้านนอก
บ๊ายบาย
16:38 PM
PM 16:38 กาก
ขยับปากบ่นอุบอิบก่อนจะยัดมือถือใส่กระเป๋ากางเกง ใครบอกว่ามันเป็นคนซื่อ ๆ นี่ขอเถียงเลยครับ ไอ้บ้านนอกมันก็เป็นแค่เด็กเนิร์ดที่ชอบหลอกด่าคนอื่นตาใสเท่านั้นแหละ นี่กูโดนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
เอาเถอะ อย่างน้อยก็ได้รู้แล้วว่ามนุษย์ฮอบบิทมันยืมโน๊ตบุ้คไปทำอะไร ถ้าปาร์คชานยอลขยันได้สักเศษเสี้ยวของมันป่านนี้คงมีเงินใช้ไม่ขาดมือแล้ว แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ คนเรามันเหมือนกันซะที่ไหน มีคนขยันก็ต้องมีคนขี้เกียจมันคือสัจธรรมที่เป็นของคู่กัน
เล่นเกมกับเพื่อนไปจนถึงตอนพลบค่ำไอ้จงอินก็ขอกลับบ้านก่อนเขาก็เลยใช้โอกาสนั้นนั่งแท็กซี่ไปพร้อมมันแล้วขอให้จอดหน้าห้างที่ไอ้บ้านนอกสอนพิเศษอยู่ อยากรู้ว่ามันจะสอนเกาหลีให้ใคร คนต่างชาติเหรอ? เขาเห็นว่ามนุษย์ฮอบบิทมันชอบทำหน้าโง่ตอนคาบภาษาอังกฤษอยู่ประจำเพราะงั้นจะเป็นไปได้เหรอที่มันจะสอนให้ฝรั่ง?
การสอนพิเศษตามห้างคงไม่พ้นแมคโดนัลกับสตาร์บั้ค ซึ่งเด็กตัวสูงเลือกที่จะเข้าแมคโดนัลก่อนแต่เดินวนรอบร้านแล้วก็ไม่เจอ ตอนนั้นได้แต่บอกกับตัวเองว่าอาจจะมาเสียเที่ยวก็ได้ เพราะบางทีไอ้บ้านนอกอาจจะกลับบ้านแล้ว แต่พอไปถึงสตาร์บั้คเท่านั้นก็ได้คำตอบ...
เมื่อเขาเห็นไอ้บ้านนอก...กำลังนั่งคุยกับพี่ชายต่างแม่ของเขาอย่างออกรส
“อ้าวชานยอล!”
“...”
“...”
เหมือนกับเวลาหยุดนิ่งเมื่อทั้งคู่หันมาสบตากัน มีเพียงแค่แบคฮยอนคนเดียวเท่านั้นที่ยิ้มให้กับคนมาใหม่ในขณะที่หนุ่มชาวจีนยังคงอึ้งเมื่อได้เห็นน้องชายต่างแม่อีกครั้งหลังจากเจ้าตัวหนีออกจากบ้านไปหลายเดือน
ลู่หานหยัดตัวลุกขึ้น เขาเลียริมฝีปากคลายอาการประหม่าตอนมองไปยังเด็กตัวสูงที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้มากนัก แบคฮยอนมองทั้งสองคนสลับกันไปมาอย่างไม่เข้าใจจนกระทั่งชานยอลตรงมาเก็บซองใส่ปากกาและสมุดยัดเข้ากระเป๋าเป้ที่วางอยู่ข้างตัวร่างเล็กอย่างลวก ๆ แล้วดึงแขนอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นมา
“เดี๋ยวนะชานยอล เกิดอะไรขึ้น?”
“กลับบ้าน”
“ชานยอล” ลู่หานคว้าแขนเด็กตัวสูงเอาไว้ แน่นอนว่าเขายังไม่ละสายตาออกห่างจากน้องชายตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เจอกันอีกครั้ง
เด็กตัวสูงสะบัดแขนออกอย่างไม่ใยดีทั้งที่ยังไม่ละสายตาออกห่างเช่นกัน สิ่งที่ปาร์คชานยอลต้องการสื่อให้ผู้ชายคนนี้เห็นก็คือความว่างเปล่าที่เขามีให้พี่ชายต่างแม่
“Dad wants you to come home.” (พ่ออยากให้นายกลับบ้าน)
“I'm sure he never says that, I know him more than you do.” (เขาไม่มีทางพูดแบบนั้นหรอก ผมรู้จักพ่อดีกว่าคุณ)
“I also want you to come.” (พี่เองก็อยากให้นายกลับมาอยู่บ้านเหมือนกัน)
“It doesn't matter.” (เปล่าประโยชน์)
เด็กหนุ่มพูดเสียงเย็นเป็นประโยคสุดท้ายก่อนจะลากคนตัวเล็กออกไป แบคฮยอนหันกลับไปมองข้างหลังเป็นระยะ เขาเห็นว่าสีหน้าลู่หานแย่ลงอย่างเห็นได้ชัดทั้งที่เจ้าตัวหัวเราะมาตลอดทั้งวันกับทักษะการพูดภาษาเกาหลีที่ยังไม่แข็งแรงนัก
“มึงไปรู้จักกับมันได้ยังไง?”
ประโยคแรกที่ชานยอลพูดขึ้นหลังจากที่เขาถูกลากออกมาข้างนอก ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว มีเพียงแค่แสงสว่างจากเสาไฟฟ้าและไฟหน้ารถที่วิ่งผ่านมาเท่านั้นที่ทำให้มองเห็นหน้ากันและกันได้ แบคฮยอนไม่รู้ว่าเขาทำอะไรผิดทำไมอีกคนถึงโมโหเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้
“เราบอกชานยอลไปแล้วนี่ว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของเรา”
“เรื่องนั้นกูรู้ แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไง? มึงรู้ว่ามันเป็นพี่ชายต่างแม่กูหรือว่าเป็นแผนของมัน?”
“หา? อะไรนะ?”
“...” เด็กตัวสูงขบกรามแน่น เขากำลังโมโหสุด ๆ ทั้งที่เห็นอยู่ตำตาว่าไอ้บ้านนอกมันไม่ได้รู้เรื่องด้วยเลย เพราะถ้าใช่...ก็คงเป็นแผนของไอ้คนฉลาดสุดโต่งคนนั้นที่พยายามหาทางเข้าหาเขาอยู่ทุกวิถีทาง
“พี่ลู่หานเป็นพี่ชายของชานยอลเหรอ”
“ไม่ใช่พี่ชาย ก็แค่คนที่มีสายเลือดเดียวกันครึ่งนึง”
“...”
“...”
ชานยอลถอนหายใจแล้วเบือนหน้าหลบไปอีกทางก่อนจะเสยผมขึ้นอย่างหัวเสีย เด็กหนุ่มเพิ่งรู้สึกผิดก็ตอนเห็นไอ้บ้านนอกทำหน้าหงอยราวกับจะขอความเป็นธรรมว่ามันไม่ได้ทำอะไรผิด
“เราไม่รู้จริง ๆ ชานยอลอย่าโมโหได้ไหม” เสียงของคนตัวเล็กแผ่วลงราวกับว่ากำลังรู้สึกผิดกับความผิดที่ไม่ได้ทำ
“ช่างมัน”
“จุนมยอนแนะนำว่างานสอนพิเศษก็ได้เงินดีเราก็เลยสนใจ” แบคฮยอนยังคงไม่ละสายตาจากคนตัวสูงที่ไม่แม้แต่จะหันหน้ามาฟังเขาพูด “เขาบอกว่าแค่บรรยายความสามารถที่มีลงไปในอินเทอร์เน็ต ตอนนั้นเราไม่ได้คิดอะไรเลยขอแค่มีคนติดต่อมาเราก็โอเคแล้ว ฟิสิกส์เราก็พอได้ คณิตศาสตร์เราสอนได้ เราเรียนศิลป์จีนมาเลยพอพูดจีนได้บ้าง แล้วพี่ลู่หานก็ติดต่อมาพอดี”
“...”
“เรารู้ว่าถ้าพูดแบบนี้ชานยอลอาจจะโมโห แต่พี่เขาไม่ได้พูดถึงชานยอลเลยนะ เขาก็แค่อยากพูดภาษาเกาหลีได้”
“...”
“ชานยอล”
“มึงจะไปไหนก็ไป”
เด็กตัวสูงถอนหายใจก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนหินขัดหน้าบ่อน้ำพุ เขาต้องเป็นบ้าตายเพราะไอ้บ้านนอกเอาแต่พรรณนาถึงความดีของผู้ชายคนนั้นแน่ ๆ ในหัวมีแต่คำถามว่า ‘ทำไม?’ เพราะโลกกลมหรือไงลู่หานถึงได้เป็นนักเรียนของมัน หรือเป็นเพราะความจงใจกันแน่?
แต่จากสีหน้าท่าทางของผู้ชายคนนั้นแล้วเห็นทีว่าข้อหลังมันไม่น่าจะใช่ถ้าเขาลบอคติลงไปสักนิด ซึ่งต่อให้เป็นอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาเลย เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ที่เห็นหน้าผู้ชายคนนั้น มันก็เป็นการตอกย้ำว่าพ่อไม่ได้มีแค่แม่คนเดียว ถึงแม้ว่าความจริงแล้วแม่ของเขาจะมาทีหลังแม่ของลู่หาน...
หรือความจริงที่มันทิ่มแทงใจปาร์คชานยอลทุกวันนี้ว่าทั้งพ่อและแม่ของเขาต่างก็แยกย้ายไปมีชีวิตของตัวเอง
“แล้วจะให้เราไปไหน”
“อะไร?”
“ก็เรามาที่นี่เพราะพี่ลู่หานไปรับ ตอนขากลับเขาก็อาสาว่าจะไปส่งด้วย แล้วชานยอลไล่ให้กลับเองงี้เราจะกลับยังไงอ่ะ”
เด็กตัวสูงขมวดคิ้วมองหน้าโง่ ๆ ของอีกฝ่ายที่ไม่ได้ดูสะทกสะท้านกับคำด่าทอของเขาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เลยสักนิด มนุษย์ฮอบบิทเอาแต่ยืนก้มหน้าค้นหาปากกาสิบกว่าแท่งที่ตกลงไปอยู่ใต้กระเป๋าขึ้นมาก่อนจะเก็บมันใส่ซองใสอย่างเป็นระเบียบ
มันหันกลับมาอีกแล้ว คราวนี้เด็กหนุ่มใช้เวลาหลายวินาทีพอสมควรกับการสังเกตดูท่าทีว่ามันจะน้อยอกน้อยใจที่ถูกเหวี่ยงหรือเปล่า ทั้งที่ไอ้บ้านนอกเคยออกปากว่าอยากให้ปาร์คชานยอลคนนี้ใจดีด้วย ซึ่งเขาก็ไม่เคยแสดงออกให้มันเห็นเลยสักครั้งเดียว
“จะไม่กลับด้วยกันจริงอ่ะ”
“กูไม่กลับ”
“ทำไมล่ะ เดินคนเดียวมืด ๆ งี้อันตรายนะ เหงาด้วย”
“ใครจะไปกล้าทำอะไรมึงเหรอมนุษย์ฮอบบิท ส่วนเหงาไม่เหงานี่เรื่องของมึงแล้ว ไปซะ กลับบ้าน” ชานยอลทำมือปัด ๆ มายืนหัวโด่อยู่ได้เดี๋ยวกูด่าระบายอารมณ์อีกยกซะหรอก
“แล้วจะให้เราไปทางไหน” ร่างเล็กกระพริบตาปริบ ๆ นั่นทำให้คนถูกถามถึงกับเลือดขึ้นหน้า
“ไปทางซ้ายคือกลับบ้าน ทางขวาคือนรก มึงเลือกเอาว่าอยากไปทางไหน!!!”
“อ้อ” แบคฮยอนพยักหน้าช้า ๆ แล้วบิดข้อเท้าไปทางขวาก่อนที่เท้าซ้ายจะเลื่อนมาชิดกันในวินาทีถัดมา “กลับบ้าน!”
“...” ได้แต่มองตามไอ้เตี้ยที่เอาแต่พึมพำกับตัวเองว่า ‘ซ้ายขวาซ้าย’ อย่างกับพวกลูกเสือสำรองกำลังเดินสวนสนาม ชานยอลตบหน้าผากตัวเองอย่างแรง จนถึงวินาทีนี้เขาถึงได้ทบทวนกับตัวเองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันใหญ่หลวงมากขนาดต้องพาลไอ้บ้านนอกด้วยเหรอวะ
พอหันไปทางด้านซ้ายก็เห็นร่างเล็กยืนนิ่งอยู่ข้างเสาไฟก่อนจะชี้ซ้ายชี้ขวาเพราะไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อ พอเห็นอย่างนั้นเด็กตัวสูงเลยลุกขึ้นยืนอย่างหัวเสียแล้วตรงเข้าไปหาอีกคนด้วยความเร็วก่อนจะคว้าคอเสื้อฮู๊ดเอาไว้แล้วดึงขึ้นจนแบคฮยอนต้องห่อไหล่
“โอ๊ะ!”
“มึงนี่มันเหลือทนจริง ๆ”
“ยอมกลับบ้านกับเราแล้วเหรอ เห็นไหมล่ะ สุดท้ายชานยอลก็เหงา” ร่างเล็กยิ้มกว้างก่อนจะอ้าปากหวอเพราะถูกหิ้วคอเสื้อให้เดินข้ามถนนเมื่อสัญญาณเปลี่ยนเป็นสีเขียว
พอข้ามฝั่งมาได้ชานยอลก็ปล่อยมือออก มือที่เคยสัมผัสโดนต้นคออุ่น ๆ นั้นปัจจุบันเลื่อนลงมาอยู่ในกระเป๋าเสื้อฮู๊ดสีดำ สายตามองไปยังเบื้องหน้าในเวลาค่ำคืน เสียงรถยนต์ที่ขับผ่านไปมานั้นดังกว่าเสียงฮัมเพลงของคนข้าง ๆ แต่เชื่อเถอะว่าหูของเขาได้ยินแต่เสียงแหบทุ้มที่ฟังแล้วเพราะใช้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“หนวกหู”
ยิ่งพูดเหมือนยิ่งยุ ไอ้บ้านนอกร้องดังขึ้นแล้วหันมายิ้มให้เด็กตัวสูง ชานยอลเบือนหลบไปอีกทางพร้อมดันหน้าอีกคนออกไปแต่มันหลบได้ทัน สองขานั้นเดินถอยหลังนำเขาไป เพลงที่มันร้องโคตรน่ารำคาญแต่มันก็เพราะในเวลาเดียวกัน
“Baby baby 그대는 caramel macchiato
Baby baby เธอคือคาราเมล มัคคิอาโต้
여전히 내 입가엔 그대 향이 달콤해
ยังคงติดริมฝีปากฉัน กลิ่นของเธอช่างหอมหวาน
Baby, baby, tonight
Baby baby ในค่ำคืนนี้
Baby baby 그대는 caffè latte 향보다
Baby baby เธอหวานยิ่งกว่าคาเฟ่ลาเต้
포근했던 그 느낌 기억하고 있나요
เธอจะจำความรู้สึกนี้ได้หรือเปล่านะ ความหวานละมุนนี้
Baby, baby, tonight
Baby baby ในค่ำคืนนี้”
เพลง Coffee Latte ของ Urban Zakapa ทำให้บรรยากาศในตอนนี้ดูผ่อนคลายขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ สายตาของเขานั้นจดจ้องอยู่กับใครอีกคนที่สะพายกระเป๋าเป้โง่ ๆ เดินนำไปข้างหน้า ขานั้นก้าวข้ามตามบล็อกสี่เหลี่ยมเหมือนกับเด็ก หลายครั้งที่มนุษย์ฮอบบิทหันมายิ้มให้เขาก่อนจะหันกลับไปเดินเหมือนในทีแรก
ที่ไอ้บ้านนอกเป็นแบบนี้เพราะมันอ่อนต่อโลกหรือเพราะมองทุกอย่างในแง่ดีไปหมดกันแน่? เพราะไม่ว่าเขาจะทำอะไรมันก็ไม่เคยโกรธเลย ยกเว้นแต่เรื่องที่เอาเงินไปทำในเรื่องผิด ๆ เหมือนกับตอนนั้น ไหนจะไม่เคยอ้าปากทวงเงินอีก
ปาร์คชานยอลตกอยู่ในห้วงของความคิด กับสิ่งที่ยังหาคำตอบไม่ได้แน่นอนว่ามันจะวนเวียนอยู่ในหัวไปอย่างนี้จนกว่าทุกอย่างจะกระจ่าง แต่ก็ต้องหลุดออกจากความคิดเมื่อร่างของเขาถูกถีบจากข้างหลังจนล้มลงไปกับพื้น และมันทำให้รู้สึกแสบโหนกแก้มและฝ่ามือไปหมด
แบคฮยอนหยุดร้องเพลงก่อนจะหันกลับไปเพราะได้ยินเสียงฝีเท้ากับเสียงโอดร้องของใครอีกคน มันทำให้คนตัวเล็กถึงกับเบิกตาอย่างตกใจเมื่อพบว่าตอนนี้ชานยอลกำลังถูกเด็กผู้ชายห้าคนที่ตัวสูงไล่เลี่ยกันรุมทำร้ายอยู่
ถึงชานยอลจะเสียเปรียบแต่ก็สามารถเอาคืนได้ด้วยการซัดหมัดใส่หน้าจนอีกฝ่ายเสียหลักก่อนที่แขนทั้งสองข้างจะถูกล็อกเอาไว้จากข้างหลัง และนั่นมันทำให้เด็กหนุ่มกลายเป็นเป้านิ่ง แต่ถึงอย่างนั้นขาทั้งสองข้างก็ยังกระโดดถีบอีกคนจนเซถอยไปข้างหลังได้แม้ว่าแขนจะถูกล็อกอยู่
“เวรเอ้ย!!”
ทั้งใบหน้าและช่วงท้องถูกต่อยไปแล้วไม่รู้กี่ครั้ง แต่ชานยอลก็ไม่คิดจะปริปากร้องขอให้หยุด แบคฮยอนได้ยินคนพวกนั้นคุยกันแล้วก็จับใจความได้ว่าชานยอล จงอิน และจื่อเทาเคยมีเรื่องกับคนกลุ่มนี้มาก่อน
“น่าเสียดายที่เพื่อนมึงอีกสองคนไม่อยู่ ไม่งั้นคงได้จัดหนักพร้อมกันทั้งสามตัว”
ร่างเล็กยืนนิ่ง เขาไม่เคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้กับตาเลยสักครั้งตั้งแต่เกิดมา ในละครมันดูเบากว่านี้เป็นไหน ๆ ถึงจะรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เด็กผู้ชายจะมีเรื่องกัน แต่การที่รุมทำร้ายคน ๆ เดียวมันไม่แฟร์เอาเสียเลย แบคฮยอนกำหมัดแน่นเมื่อเห็นว่าชานยอลหันมาทางเขาแม้ริมฝีปากกับโหนกแก้มจะมีรอยแดง ๆ พร้อมเลือดที่ซึมออกมา
‘วิ่ง’
ประโยคเดียวที่หลุดออกมาจากปากคนเจ็บ ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีเสียงแต่เขาก็สามารถเข้าใจมันได้ง่าย ๆ แม้ว่าชานยอลจะพูดอยู่บ่อย ๆ ว่าเขาน่ะโง่แล้วก็ซื่อบื้อที่สุดในโลก หัวใจของคนตัวเล็กเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ แบคฮยอนกำลังจะสติแตกเพราะเห็นเพื่อนถูกรุมทำร้ายจนแทบไม่มีแรงยืนหากไม่ถูกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังล็อกแขนขึ้นมา
“...!!!”
ทุกสายตาหันไปทางอีกคนที่เซไปชนกับถังขยะเพราะถูกกระเป๋าเป้ที่อัดแน่นไปด้วยหนังสือเหวี่ยงใส่เต็มแรง แบคฮยอนยืนลนลานทำตัวไม่ถูกและนั่นเป็นจังหวะให้ชานยอลโหม่งหัวไปข้างหลังจนอีกฝ่ายเสียหลักต้องปล่อยแขน
เด็กหนุ่มหลบหมัดอีกฝ่ายได้อย่างหวุดหวิดก่อนจะเอาคืนด้วยการคว้าคอนั้นไว้แล้วทุ่มลงกับพื้น แต่ไวเท่าความคิด ทุกอย่างมันเกิดเร็วมาก พอหันไปอีกทีก็เห็นว่าไอ้บ้านนอกกำลังคลานอยู่บนพื้นโดยมีใครอีกคนเดินไล่ต้อนไปอย่างช้า ๆ
“ลุกขึ้นมาสิไอ้แว่น”
คนตัวเล็กหรี่ตามองเมื่อภาพเบื้องหน้ามันมัวไปหมด แว่นที่เคยทำให้โลกของเขาชัดขึ้นนั้นหล่นหายไปตอนถูกชกเมื่อครู่นี้ ได้ยินเสียงตะโกนเรียก ‘ไอ้บ้านนอก’ คำนี้มันกลายเป็นชื่อที่สองของเขาไปแล้วโดยไม่รู้ตัว แต่มันคงไม่ทำให้ทุกอย่างน่ากลัวไปกว่านี้เท่ากับเสียงในลำคอของชานยอลตอนถูกรุมทำร้ายอีกแล้ว
“หาแว่นอยู่เหรอวะ?” เสียงนี้ทำให้ร่างเล็กต้องเงยหน้าขึ้นก่อนจะพบว่าใครคนหนึ่งถือแว่นของเขาเอาไว้พร้อมยิ้มมุมปาก ผู้ชายคนนั้นยื่นคืนมาให้ พอเห็นว่าเขากำลังจะคว้ามันแว่นก็ถูกปล่อยลงพื้นก่อนจะถูกเหยียบด้วยรองเท้าสนีกเกอร์จนแตกออกจากกรอบ
“ไม่นะ”
เสียงหัวเราะเยาะดังก้องอยู่ข้างหูประสานกับเสียงของชานยอลที่ถูกรุมกระทืบอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ ซึ่งเขามองเห็นได้ไม่ชัด แบคฮยอนไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นกำลังมองมาด้วยสายตาแบบไหน แต่ที่รู้คือเสียใจที่เขาช่วยอะไรชานยอลไม่ได้เลย
“เฮ้ยตำรวจมา!!!”
เด็กหนุ่มทั้งห้าละความสนใจจากทั้งสองคนที่นอนอยู่บนพื้นก่อนจะเตะท้องคู่อริซ้ำเป็นครั้งสุดท้ายแล้ววิ่งหนีไปเพราะเห็นแสงไฟจากรถตำรวจที่จอดเทียบอยู่ข้างฟุตปาธ ชานยอลพยายามหยัดตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลแล้วตรงไปช่วยประคองอีกคนให้ลุกขึ้น
“ก...กระเป๋ากับแว่นเรา” เสียงของคนตัวเล็กแผ่วลงและมันทำให้ชานยอลหงุดหงิดเพราะต้องวกกลับไปเก็บของที่ตกอยู่บนพื้นทั้งที่เขาทั้งสองคนควรจะไปจากตรงนี้ได้แล้ว
เด็กตัวสูงเหวี่ยงกระเป๋าเป้ไปข้างหลังแล้วก็เห็นแว่นที่เลนส์แตกหักเป็นสามชิ้นอยู่บนพื้นซึ่งสภาพของมันคงใช้งานไม่ได้อีกต่อไป เขาจำเป็นต้องตัดใจทิ้งมันแล้วหิ้วปีกไอ้บ้านนอกให้วิ่งหนีตำรวจไปด้วยกัน ถึงจะเป็นฝ่ายถูกทำร้าย แต่เขาคงไม่รู้สึกดีขึ้นกับความเป็นธรรมที่ได้รับหากว่าทางตำรวจจะโทรตามผู้ปกครองมาที่สถานีตำรวจ
ทั้งคู่ผลัดกันไปอาบน้ำโดยที่ชานยอลไล่ให้เขาเข้าไปอาบก่อน สายตาคนตัวสูงในตอนนั้นน่ากลัวและจริงจังมากจนคนตัวเล็กไม่กล้าหือ ตอนนี้ทั้งสองคนนั่งอยู่บนพื้นโดยมีกล่องพยาบาลเล็ก ๆ ตั้งอยู่ตรงกลาง แน่นอนว่าสภาพของชานยอลในตอนนี้สาหัสกว่าเขาเยอะ แต่ถึงอย่างนั้นคนตัวสูงก็ไม่ได้ปริปากบ่น
“ทำแผลแล้วก็รีบนอนซะ”
“เราทำแผลให้”
“ไม่ต้อง”
“ให้เราทำเถอะ ชานยอลทำเองไม่ถนัดหรอก” ถ้าถามว่ากลัวชานยอลเหวี่ยงหรือกลัวชานยอลเจ็บ แบคฮยอนขอตอบว่ากลัวอย่างหลังมากกว่า เพราะงั้นคนตัวเล็กเลยเลือกที่จะเปิดกล่องออกมาแล้วเทเบตาดีนลงบนสำลีให้พอชุ่มก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับคนตัวสูง
ชานยอลเห็นว่ามือของไอ้บ้านนอกกำลังสั่น ตรงข้อนิ้วชี้นั้นมีรอยแผลถลอกซึ่งคงแสบมาก ๆ ตอนอาบน้ำ ไหนจะตรงแก้มขาวนั่นอีก ของตัวเองไม่รู้จักทำยังมีหน้ามาดูแลคนอื่น จะไม่ให้โมโหได้ไงกัน?
แบคฮยอนไม่รู้ตัวว่ากำลังเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเพราะมองเห็นได้ไม่ชัด นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้ทำแผลให้ใครสักคน มันต่างจากตอนทำแผลให้เพื่อนตอนอยู่มกโพเพราะมันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ แบบนี้
“ทำไมไม่วิ่ง”
“เราจะวิ่งได้ไง”
“กูบอกให้มึงวิ่ง กูรู้ว่ามึงเห็น”
“อ้าวเหรอ ตอนนั้นเรานึกว่าชานยอลบอกให้ ‘ลุย!’ ซะอีก” คนตัวเล็กยิ้มขำเบา ๆ ก่อนจะนิ่วหน้าเล็กน้อยเพราะเจ็บริมฝีปากตรงที่ถูกชก
ชานยอลถอนหายใจ เขาไม่เคยคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ตอนอยู่กับไอ้บ้านนอกสองคน แน่นอนว่าถ้ามีไอ้จงอินกับไอ้เทาอยู่ด้วยพวกมันทั้งห้าคงไม่รอด เด็กหนุ่มไม่รู้เลยว่าไอ้อาการไม่สบายใจที่เป็นอยู่มันเป็นเพราะถูกกระทืบหรือเพราะลากคนตรงหน้าเข้ามาเอี่ยวด้วยอย่างไม่ตั้งใจกันแน่
แบคฮยอนชะงักมือก่อนจะหลุบตาลงมองอีกคนที่กำลังเทเบตาดีนลงบนสำลี ก่อนจะเบิกตาอย่างตกใจเมื่อมันถูกแตะลงบนแก้มเขา ดวงตาคู่นั้นจดจ้องอยู่กับรอยแผล และมันดีมาก ๆ เลยที่ชานยอลไม่คิดจะหันมาสบตากับเขาในเวลาแบบนี้
เป็นเรื่องคาดไม่ถึงที่คนตรงหน้ากำลังหยิบยื่นความช่วยเหลือให้เขาโดยที่ไม่ได้ร้องขอ แบคฮยอนกำลังเรียกสติตัวเองกลับคืนมาหลังจากสับสนอยู่นานว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับผู้ชายคนนี้
คนตัวเล็กไม่แน่ใจว่าตอนเห็นชานยอลถูกรุมทำร้ายกับตอนชานยอลกำลังทำแผลให้เขา...อันไหนมันทำให้ใจเต้นแรงได้มากกว่ากัน
“เราจะทิ้งชานยอลไว้ตรงนั้นได้ไง”
“...”
“ขอโทษที่ช่วยไล่เตะตูดพวกนั้นไม่ได้นะ”
มือใหญ่ชะงักไว้แค่นั้นก่อนจะหันมาสบตากับคนตรงหน้า ถึงจะเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วหลายครั้ง แต่การมองตาคู่นี้โดยไม่มีแว่นคั่นกลางนั้นมันไม่ชินเอาเสียเลย ไอ้บ้านนอกมันพูดออกมาอย่างหน้าตาเฉยได้ยังไงกัน
“ถ้าบ่นว่ากูทำตัวเป็นเด็กเกเรที่เอาแต่ก่อเรื่องให้คนอื่นเดือดร้อนสิถึงจะสมเป็นมึง”
“ชานยอลไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนสักหน่อย เราสองคนแค่เดินกลับบ้าน คนพวกนั้นนั้นต่างหากที่เกเร” ร่างเล็กยิ้มเจื่อนก่อนจะหันไปสนใจแผลตรงโหนกแก้มคนตัวสูงอีกครั้ง
“มึงไม่กลัวเจ็บหรือไง?”
“กลัว แต่เจ็บสองคนก็ยังดีกว่าเจ็บคนเดียวนะ อย่างน้อยก็แบ่งคนมาทางนี้บ้าง” แบคฮยอนหัวเราะเบา ๆ “ถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตแล้วกัน เพื่อนเราเคยบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกถ้าเด็กผู้ชายจะมีเรื่องชกต่อยกับคนอื่น ก็ไม่ได้ถึงขั้นต้องนอนซมโรงพยาบาลเพราะแขนขาหักน่ะนะ”
“เพื่อนมึงนี่คงผ่านตีนมาเยอะ”
“ไม่ขนาดนั้น เราสองคนแค่ปลอบใจตัวเองเวลาถูกพวกขาโจ๋ในโรงเรียนแกล้งน่ะ”
“มึงเคยถูกแกล้งแบบนั้นด้วย?”
“ไม่ใช่ ๆ” ร่างเล็กเม้มปากแล้วส่ายหน้าก่อนจะแกะพลาสเตอร์มาแปะให้อีกคน “เราเป็นคนง่าย ๆ เลยไม่เคยมีเรื่องกับใคร เวลาถูกสั่งให้ทำอะไรก็ทำหมดแต่เพื่อนเราไม่ทำ”
“ก็เลยโดนอัดสินะ” สิ้นสุดคำถามแบคฮยอนก็พยักหน้าเป็นคำตอบ
“แต่เราไม่เคยเห็นกับตาหรอก ทุกครั้งที่เห็นเขาก็กลับมาในสภาพปากแตก หน้าช้ำไปหมด แต่เพื่อนเราเจ๋งนะ พอถูกแกล้งบ่อย ๆ เลยมีแรงฮึดเข้าชมรมมวย ฝึกซ้อมอยู่เป็นเดือน ๆ หลังจากนั้นเขาก็ไม่ถูกแกล้งอีกเลย” แบคฮยอนหัวเราะเมื่อนึกไปถึงเพื่อนที่อยู่มกโพ “โอ้ย!” คนตัวเล็กนิ่วหน้าเพราะอีกฝ่ายลงน้ำหนักมือมากขึ้นกว่าเดิม
“พูดมากจริงมึงไม่เจ็บปากไง?”
“เจ็บ แต่ถ้าไม่พูดแล้วมันเงียบอ่ะ...” แบคฮยอนพูดเสียงอู้อี้
“ก็เปิดทีวีดิ”
“ไม่เอา ชานยอลก็คุยกับเราด้วยสิ”
“ไม่คุย กูเจ็บปากจะตายห่าอยู่ละยังจะให้พล่ามอะไรอีก” เด็กตัวสูงถลึงตามองไอ้เตี้ยที่กำลังทำหน้าเหมือนหมาหูตก แถมยังเบ้ปากขอความเห็นใจอีก
“ถ้าเราทำให้ชานยอลเจ็บ ชานยอลจะว่าเราไหม”
“ไม่ว่า แต่จะต่อยหน้าเลย”
“โหดอีกแล้วอ่ะ...” ร่างเล็กย่นจมูกแล้วสังเกตการณ์อยู่ไม่กี่อึดใจก่อนจะออกแรงกดสำลีลงบนแผลไปเล็กน้อย
“โอ้ย!!!!!”
“โอ๊ะ!!!” แบคฮยอนทำตาโต พอเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองมาทางนี้ด้วยสายตาอาฆาตก็รีบลุกขึ้นเดินถอยหลัง ชานยอลลุกขึ้นยืนกัดฟันแน่นพลางหลับตาลงถอนหายใจหนัก ๆ ซึ่งคนตัวเล็กสามารถเข้าใจได้ง่าย ๆ ว่าอีกฝ่ายกำลังโมโห “หายกันนะ?”
“หายเชี่ยไร มึงมานี่!!!” เด็กตัวสูงก้าวดุ่ม ๆ เข้าหาอีกฝ่ายแต่ก็ต้องหยุดฝีเท้าเมื่อสองมือเล็กนั้นยกขึ้นตั้งการ์ด
“เข้ามาเราสู้!!!”
“...”
“อิส อิส” แบคฮยอนทำท่าฮุคหมัดโชว์เหมือนในรายการทีวีที่เคยดูตอนอยู่มกโพ ซึ่งภาพที่เห็นมันตลกมากจนเด็กตัวสูงอยากระเบิดหัวเราะออกมาดัง ๆ
“ทำไรของมึงวะมนุษย์ฮอบบิท”
“นักมวยสากลรุ่นไลท์เวท มุมแดง...บยอน...แบคฮยอน...” คนตัวเล็กเลียนเสียงโฆษกในรายการมวยทั้งที่ยังไม่เลิกทำท่าชก “ผู้สนับสนุนหลักคือข้าวกล่องวันต่อวันจากร้านสะดวกซื้อที่ทำงานพิเศษ ส่วนมุมน้ำเงินมาจากรุ่นเฮฟวี่เวท...ปาร์คชานยอล!!”
“เพี้ยนแล้วมึง” เด็กหนุ่มยิ้มขำก่อนจะเอามือดันศีรษะคนตัวเล็กที่กำลังพยายามจะชกอกเขา
“ชานยอลอย่าขี้โกงสิ ปล่อยมือเร็ว อิส อิส”
“เร็วไปสิบปีว่ะ” เด็กตัวสูงรู้สึกได้ถึงแรงดันจากศีรษะอีกทั้งสองมือนั้นที่เคยทำท่าชกอากาศแต่ก็ไม่ถึงตัวเขาสักที จนสุดท้ายไอ้บ้านนอกเลยต้องคว้าแขนแกร่งเอาไว้แล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา
“ดีใจจังที่ชานยอลกลับมาพร้อมกัน”
“...”
“อย่าคิดมากนะ เดี๋ยวแผลเราก็หายแล้ว”
“กูไม่ได้กังวลเรื่องนั้น มึงช่วยดูตัวเองก่อนค่อยคิดเรื่องคนอื่นเถอะ” เด็กตัวสูงปล่อยมือออกแล้วเดินไปนั่งลงบนที่นอน “จะเอาแว่นจากไหนใส่ไปเรียน ร้านแว่นเปิดทีก็ตอนสาย”
“จริงด้วยอ่ะ”
“ลาก่อน” ชานยอลนอนหันหลังให้แล้วปล่อยให้อีกคนยืนบื้ออยู่ที่เดิมโดยไม่หันไปสนใจ คนตัวเล็กยืนเกาหัว พออีกคนพูดถึงแว่นเขาก็เพิ่งนึกได้ว่ามันถูกเหยียบจนพังไปแล้วต่อหน้าต่อตา
“ถ้าไม่มีแว่นแล้วเราจะทำยังไงล่ะ พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียน ต้องเดิน ต้องข้ามถนน ต้องปั่นจักรยาน ต้องมองกระดานด้วย โอ้ย...กว่าจะถึงตอนเย็นนี่แย่แน่เลย”
เสียงกุกกักดังมาจากข้างหลังหลังจากมันเลิกบ่นอุบอิบแล้ว แน่นอนว่าพรุ่งนี้เขาต้องเอาเรื่องพวกมันทั้งห้าตัวไปเล่าให้เพื่อนสนิททั้งสองฟังเพื่อที่จะได้ไปเอาคืน จะได้เอาค่าแว่นมาคืนไอ้บ้านนอกด้วย ไอ้พวกห่านี่ชักจะเหิมเกริม เล่นด้วยแล้วทำเคลิ้ม มันต้องปากแตกจนแดกข้าวไม่ได้ ฟั้ค
ได้ยินเสียงขาโต๊ะญี่ปุ่นครูดกับพื้นพร้อมเสียงซี๊ดปากของไอ้บ้านนอก พอแอบชำเลืองหันกลับไปก็เห็นว่ามันกำลังหรี่ตาคลำหาสวิตซ์ไฟอยู่ ทันทีที่แสงสว่างดับลงก็มีเพียงแค่แสงจากดวงจันทร์เท่านั้นที่ทำให้มองเห็นภาพลาง ๆ ได้ และท่าทางตอนมนุษย์ฮอบบิทกำลังเดินทีละก้าวท่ามกลางความมืดอย่างระมัดระวังนี่...
ทำไมมันน่ารักจังวะ?
TBC
ไอ้บ้านนอกแว่นแตกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ปล. ขอบคุณอี @dhiver0111 ที่ช่วยแปลช่วงบทสนทนาภาษาอังกฤษให้นะคะ มันบอกว่าจะได้มีเครดิตท้ายตอนแล้วเขินมาก ตอแหลสุด 55555555555555555555555
ความคิดเห็น