คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #30 : One Shot : Special Baekhyun Birthday ; BEST FRIEND EVER?
BEST FRIEND EVER?
One Shot : Special Baekhyun Birthday
ถ้าถามถึงอุณหภูมิในห้องนี้เหรอ มันเย็นถึงขนาดต้องห่มผ้าเลยก็ว่าได้ แต่ถึงอย่างนั้น... ตามขมับของปาร์คชานยอลก็ยังคงชื้นไปด้วยเหงื่อ หลังจากตัดสินใจอัพรูปอวยพรวันเกิดใครอีกคนในอินสตาแกรมไป
เป็นชั่วโมงเลยทีเดียวกับการนั่งโง่เลือกรูปคู่ มันไม่ใช่เรื่องยากสักนิด แค่หลับตาจิ้มเลือกมาสักรูปก็จบ และนั่นเป็นหนึ่งเหตุผลหลัก ๆ ว่าทำไมเขาถึงมาอัพเอาป่านนี้
ไม่ลองเป็นปาร์คชานยอลบ้างจ้างให้ก็ไม่เข้าใจ การเลือกรูปคู่กับคนที่ชอบมันเป็นเรื่องยาก เชื่อว่าคนที่ตกอยู่ในสภาวะแอบชอบใครสักคนคงเข้าใจเป็นอย่างดี โดยเฉพาะตอนที่ต้องใช้เวลาคิดว่า ‘รูปไหนแบคฮยอนน่ารักที่สุด?’ ซึ่งมันก็เป็นโจทย์ที่ค่อนข้างยากมากเลยทีเดียว
เพราะในสายตาปาร์คชานยอลแล้ว อะไรที่เป็นบยอนแบคฮยอนก็ดูน่ารักไปหมด
หลังมือคงเป็นตัวช่วยซับเหงื่อตามขมับได้ดีที่สุด ชานยอลรู้สึกเหมือนเป็นไก่อ่อน ที่กำลังตื่นเต้นว่าคนบางคนจะมาเห็นรูปนี้เมื่อไหร่ และถ้าเห็นแล้วเจ้าตัวจะรู้สึกยังไง ดีใจไหม? หรือว่าไม่รู้สึกอะไรเลย
มันอาจจะเป็นเรื่องปกติสำหรับเมมเบอร์คนอื่นถ้าได้เห็นรูปที่เขาเพิ่งอัพในไอจี แต่สำหรับแฟนคลับที่เป็นชิปเปอร์คู่เขากับแบคฮยอนก็คงมีกรี๊ดแตกกันบ้างล่ะ พวกเราเป็นไอดอล แน่นอนว่าทางบริษัทได้พูดถึงเรื่องแฟนเซอร์วิสที่เป็นอีกส่วนหนึ่งของการตลาด และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขากับแบคฮยอนได้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น
ในทีแรกทุกอย่างก็ดูเหมือนเรื่องสนุก แค่เขากับแบคฮยอนคุยกัน แฟนคลับก็เก็บไปเป็นโมเม้นอย่างจริงจัง พูดแบบแย่ ๆ ก็ได้ว่าแอบรู้สึกดีกับการเช็กเรตติ้ง แต่พอนานไปเรื่อย ๆ ปาร์คชานยอลก็ได้รู้ว่ามันไม่สนุกอีกต่อไป
เมื่อเขาคิดว่าการแตะต้องตัวแบคฮยอน มันมากเกินกว่าแฟนเซอร์วิสอย่างที่เคยทำ
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาติดนิสัยการแอบมองแบคฮยอน ไม่ว่าจะเป็นด้านข้าง ด้านหลัง หรือในระยะไกลบนเวทีคอนเสิร์ต
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาคิดว่าการแตะเนื้อต้องตัวอีกฝ่ายมันเป็นเรื่องต้องห้าม ทั้งที่แบคฮยอนก็ไม่ได้ว่าอะไรเลยด้วยซ้ำ มีแต่ปาร์คชานยอลนั่นแหละ ที่รู้สึกว่ามันไม่ควร
ตอนนั้นเขาทั้งสองคนเริ่มห่าง ๆ กันออกมา เรื่องนี้จะโทษใครก็ไม่ได้นอกจากตัวเองที่เป็นฝ่ายทำตัวแปลก ๆ ก่อน จนแบคฮยอนรู้สึกอึดอัดทำตัวไม่ถูกเวลาอยู่ด้วยกัน
เขายังจำได้เป็นอย่างดี กับช่วงเวลาที่เคยสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง ว่าที่คิดกับแบคฮยอนมันเป็นอารมณ์ชั่ววูบหรือเพราะอะไรกันแน่ เขาพยายามเข้าหาคนอื่น สกินชิพบ้าง เข้าไปแกล้งบ้าง กอดคอ เล่นหยอกล้อกัน รวมไปถึงการถ่ายรูปคู่
แต่พอเป็นกับแบคฮยอน... เขากลับไม่กล้าทำอย่างนั้น
ยิ่งคิดยิ่งฟุ้งซ่าน บางทีปาร์คชานยอลก็น่าจะคิดเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาว่า ‘อวยพรวันเกิดให้เพื่อนในวง’ แค่นั้นทุกอย่างก็จบ ตัวเขาจะได้สบายใจ ไม่ต้องมาคิดมากแบบนี้
แต่มันก็เปล่าประโยชน์อยู่ดี มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริง ๆ ที่ในหัวของเขาจะมีแต่เรื่องของแบคฮยอนอยู่เต็มไปหมดเมื่อมีเวลาว่าง แต่งเพลงก็แล้ว เกากีต้าร์เล่นก็แล้ว... แต่มันไม่ช่วยอะไรเลยจริง ๆ
เขานึกถึงช่วงเวลาที่ได้เล่นกีต้าร์คลอไปกับเสียงร้องเพลงของแบคฮยอน
ชายหนุ่มส่ายหัวไล่ความคิดก่อนจะลุกขึ้นยืน บางทีเขาควรจะไปหาน้ำเย็น ๆ ดื่มสักแก้วเพื่อดับความบ้าบอของตัวเองสักหน่อย ก่อนอาการจะหนักมากไปกว่านี้
แต่พอไปถึงห้องครัวขายาวก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อเห็นว่าเจ้าของวันเกิดยืนอยู่หน้าตู้เย็น ชานยอลรู้สึกเหมือนถูกสาปให้กลายเป็นหิน เพียงเพราะดวงตาคู่นั้นกำลังมองมายังเขา โดยไม่เบือนหลบไปทางอื่น หลังจากรู้ว่าเราสบตากันนานเกินไปเหมือนครั้งก่อน ๆ
บรรยากาศตอนนี้มันแย่งั้นเหรอ ไม่เลย สำหรับปาร์คชานยอลมันไม่แย่เลยสักนิดเดียว แต่สำหรับคนตรงหน้าน่ะเขาไม่รู้
เอาจริงไหม... ถึงเซฮุนจะบอกว่าเขาเป็นคนฉลาด มีไหวพริบ และแก้สถานการณ์เก่ง แต่พอเป็นเรื่องของบยอนแบคฮยอนแล้ว ความโง่เกิดขึ้นกับปาร์คชานยอลได้เสมอ เขาไม่เคยอ่านความคิด อ่านการตัดสินใจของคนตัวเล็กเลยได้สักครั้ง
ชายหนุ่มเบิกตาโพลงอย่างตกใจ เมื่อเห็นว่าในมืออีกคนถือสมาร์ทโฟนเอาไว้ ซึ่งแสงสว่างที่ฉายอยู่ตรงคาง มันบ่งบอกว่ากำลังถูกใช้งานอยู่
จากที่เคยเหงื่อออก ตอนนี้คอก็เริ่มแห้งไปด้วย แน่นอนว่าเขาอยากให้แบคฮยอนเห็นคำอวยพรนั้น แต่ถ้าเป็นวินาทีนี้เห็นทีว่ามันคงไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่...
ท่าทางขลาดเขินของเขาทั้งคู่มันน่าตลกเสียจริง ทั้ง ๆ ที่ในรายการทีวีเราต่างก็เข้ากันได้ดี รับส่งมุกสร้างเสียงหัวเราะให้พิธีกรในรายการอยู่ตลอด แต่ตอนนี้สิ่งที่ชานยอลสัมผัสได้ มีเพียงแค่ความอึดอัดที่โรยตัวอยู่โดยรอบ ซึ่งมันไม่ใช่ครั้งแรก เพราะมันเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ปาร์คชานยอลรู้ตัวว่าคิดไม่ซื่อกับเพื่อนตัวเอง
แบคฮยอนถอยหลังก้าวหนึ่ง ราวกับจะเปิดโอกาสให้เขาได้ทำอะไรมากกว่ายืนทื่ออยู่หน้าทางเข้าครัว ชานยอลพยายามปั้นหน้าเป็นปกติ แล้วเดินไปเปิดตู้เย็น
“เห็นพี่จุนมยอนบ้างไหม?” เสียงของแบคฮยอนอยู่ในโทนปกติ อืม... ที่จริงทุกอย่างมันก็ปกติหมดนั่นแหละ ยกเว้นปาร์คชานยอลคนนี้
“ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกเหรอ?”
“ไม่นะ”
“อ่า... ไม่รู้สิ” รู้สึกเฟลแปลก ๆ ที่เขาทำได้เพียงแค่ยิ้มแห้ง ๆ ประกอบการปฏิเสธ ซึ่งถ้ารู้ว่าพี่จุนมยอนอยู่ที่ไหนมันอาจจะยืดบทสนทนาของเราให้นานกว่านี้ได้
ชานยอลกระดกน้ำอกใหญ่หลังจากบทสนทนาสั้น ๆ สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ มันเป็นเรื่องปกติสำหรับปัจจุบัน แต่มันคงเป็นเรื่องแปลกตอนที่เรายังสนิทกันมาก ๆ เหมือนช่วงแรก
เขายังจำสีหน้าแบคฮยอนในตอนนั้นได้ดี กับคำถามที่ว่า ‘เป็นอะไรหรือเปล่า?’ ที่มาพร้อมสายตาซึ่งเต็มไปด้วยความกังวล ‘ฉันเผลอทำอะไรให้นายไม่พอใจเหรอ ฉันไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมว่าพักนี้นายตั้งใจหลบหน้าฉัน?’
รู้สึกผิด... นั่นคือความรู้สึกแรกที่ผุดเข้ามาในหัวหลังจากได้ยินประโยคนั้นพร้อมสีหน้าหงอย ๆ ของอีกฝ่าย มันเป็นเรื่องแย่ที่เขาทำได้เพียงแค่ส่ายหน้ายิ้ม ๆ แบบขอไปที ซึ่งถ้าย้อนเวลาได้ เขาก็อยากจะแก้ไขสถานการณ์ให้ดีกว่านั้น ซึ่งมันมีอยู่สองทางเลือก ระหว่างโกหกให้แนบเนียนกว่า หรือบอกไปตามความจริงเลยว่าเขารู้สึกไม่เหมือนเดิม และอยากรู้สึกมากกว่าที่เป็นอยู่
แต่ตัวเลือกที่สองมันก็อันตรายเกินไปสำหรับความสัมพันธ์ที่เรียกว่าเพื่อน
แบคฮยอนยังไม่ได้เดินออกไปจากครัว วินาทีนี้เขาได้แต่ถามตัวเองว่าถ้าหันไปพูดว่า 'สุขสันต์วันเกิดนะ' มันจะดูง่าวเกินไปหรือเปล่า มันจะดูเหมือนอวยพรส่ง ๆ ไปไหม และถ้าเป็นอย่างนั้นบรรยากาศคงน่าอึดอัดกว่าเดิมแน่ ๆ เขาไม่อยากให้แบคฮยอนรู้สึกแย่ตั้งแต่เข้าชั่วโมงแรกของวันเกิด ไม่เอาดีกว่า... เขาจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น ถือว่าได้อวยพรในไอจีไปแล้ว พอ ปาร์คชานยอล
“เห็นไอจีแล้วนะ”
พรวดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!
น้ำเย็น ๆ ... พุ่ง... ออกมา... หมด... เลย...
เขาเช็ดปากด้วยหลังมือ แล้วค่อย ๆ ชำเลืองมองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังอย่างหวาด ๆ ในมือของแบคฮยอนยังคงถือสมาร์ทโฟนเอาไว้เหมือนในทีแรก และที่ยิ่งกว่านั้นคือ...เจ้าตัวกำลังยิ้ม
“ดีนะที่ไม่ออกทางจมูก”
“นั่นสิ... เมื่อกี้ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ใช่ไหม” แบคฮยอนยิ้มขำกับประโยคแก้เขินของเขา ชานยอลมองอีกคนอย่างประหม่า ก่อนที่คนตัวเล็กจะหันหน้าจอให้ดูเป็นการยืนยันว่าไม่ได้ทำอย่างที่เขาพูด
“คิดว่าเป็นคนแรกจริง ๆ เหรอ” คำถามของคนตรงหน้าทำเอาใจแป้ว ยิ่งตอนแบคฮยอนชำเลืองมองนาฬิกาแขวนผนังดูเวลาปัจจุบันแล้วก็ยิ่งตึ้บเข้าไปใหญ่
เออว่ะ... ปาร์คชานยอลไปเอาความกล้ามาจากไหน ถึงได้คิดว่าตัวเองอวยพรแบคฮยอนเป็นคนแรก
เขายืนนิ่งระหว่างใช้ความคิด ในหัวเอาแต่ประมวลผลว่าใครกันนะที่จะอวยพรแบคฮยอนเป็นคนแรก พี่จุนมยอนเหรอ รายนั้นตัดไปได้เลย เพราะแบคฮยอนเพิ่งจะถามหาไปเมื่อครู่นี้ คยองซู...? ไม่น่าจะใช่... จงอินหรือไง? หมอนั่นน่าจะหลับไปแล้ว...
ความคิดในหัวเป็นเหมือนฟองสบู่ และเหมือนมันจะถูกจิ้มด้วยเข็มจนแตกออก เมื่ออีกคนก้าวเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา
ไม่บ่อยนักจะมีโอกาสได้อยู่ใกล้กันขนาดนี้ นอกจากเวลาอยู่บนเวทีหรือในรายการทีวี แต่ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือปัจจุบัน มันก็ยังคงทำให้หัวใจของปาร์คชานยอลเต้นเร็วได้ดีอยู่เสมอ
“มีคนชิงตัดหน้าอวยพรไปก่อนแล้วเหรอ” เขาคิดว่าตัวเองคงกำลังทำหน้าโง่สุด ๆ ตอนยิงคำถามนี้ออกมาเพื่อทำลายความเงียบ
แบคฮยอนหลุดหัวเราะ ซึ่งเขาไม่แน่ใจเลยว่าเป็นเพราะคำถามโง่ ๆ ที่ออกมาพร้อมสีหน้าโง่ ๆ ของเขา หรือเป็นเพราะอะไรกันแน่
“พูดเหมือนเป็นเรื่องสำคัญ ใครอวยพรก่อนหลังก็มีค่าเท่ากันหมดนั่นแหละ”
“แน่ใจเหรอ” ชานยอลหลุบสายตาลงมองคนตรงหน้า เขาชอบที่จะมองแบคฮยอนในระยะนี้ ซึ่งมันไม่มีเหตุผลหรอกว่าเพราะอะไร แต่การที่เขาตอบแฟนคลับว่าชอบผู้หญิงส่วนสูงร้อยห้าสิบ เรื่องนั้นมันมีเหตุผล...
ว่าเขาอยากหลีกเลี่ยงคำตอบที่โยงไปจนถึงแบคฮยอน
“ทำไมถามงั้น”
“ถ้าฉันทำเฉยไปจนเกือบเที่ยงคืนของอีกวัน นายก็จะไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไง”
ชานยอลไม่รู้เลยว่าตอนนี้เขากำลังทำหน้าแบบไหนหลังจากถามโง่ ๆ ออกไป มันอาจจะติดน้อยใจอยู่บ้างที่ได้ยินคำตอบแบบนั้น แต่แบคฮยอนก็ไม่ผิดอีกนั่นแหละ สำหรับคนที่อยู่ในสถานะเพื่อน ทุกอย่างต้องอยู่กลาง ๆ ไม่มากและไม่น้อยเกินไป
“เดี๋ยวนะ ขอคิดแป๊บนึง”
“...”
“รู้สึกมั้ง?”
“ถ้ามีปากกาดำ ฉันจะเอามันขีดฆ่าคำว่า ‘มั้ง’ ออก” ชานยอลทำมือประกอบ แล้วทำท่าขีดเส้นลากตรงระดับจมูกคนตัวเล็ก ซึ่งแบคฮยอนก็เอาแต่ยิ้มตาหยีแล้วปัดมือคนตัวสูงออกไป “ยอมรับได้แล้วว่าคนแรกเป็นเรื่องสำคัญ”
“ช้าไปตั้งชั่วโมงยังจะกล้าพูดอีกนะ” คนตัวเล็กเลิกคิ้วแล้วชกแผงอกแกร่งเบา ๆ จนร่างสูงต้องยกมือขึ้นทาบรอยสะกิด
“อะไรกัน หยวน ๆ หน่อยไม่ได้หรือไง”
“ถ้าพูดถึงคนแรกจริง ๆ ก็ต้องอวยพรตั้งแต่เที่ยงคืนแล้ว นี่ปามาตั้งตีหนึ่ง เอ็กโซแอลไม่ได้ใจเย็นเหมือนนายหรอกนะ”
“ไม่นับแฟนคลับสิ นับคนที่อยู่ด้วยกัน” เขาเห็นว่าคนตรงหน้าแอบเบ้ปาก บางทีแบคฮยอนก็ไม่ควรจ้องเขาในระยะใกล้แบบนี้ ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะตั้งใจคาดโทษให้ยอมรับผิดก็เถอะ “ไหน ใครอวยพรก่อน?”
แกล้งแย่งมือถืออีกคนมาดูแก้เก้อ บอกตามตรงว่าเฟลเหมือนกันที่โดนชิงตัดหน้าไปก่อน แต่เรื่องนี้จะโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง ปาร์คชานยอลสะเพร่าที่เอาแต่นั่งโง่เลือกรูปอยู่เป็นชั่วโมง ทั้ง ๆ ที่ควรเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวาน
“อย่าเพิ่ง” รู้สึกเหมือนถูกไฟช็อต ตอนที่แบคฮยอนเข้ามาคว้ามือถือเอาไว้ ซึ่งมือนุ่ม ๆ นั้นทาบทับลงบนมือเขาอีกที
ชานยอลได้แต่ชำเลืองมองศีรษะทุยที่อยู่ระดับปลายคางของเขา เสียงงึมงำคล้ายว่าเจ้าตัวกำลังบ่นน่ะ เขาชอบฟังเป็นไหน ๆ ถึงแม้เพื่อนร่วมวงจะพากันตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าแบคฮยอนน่ารำคาญก็ตาม
“ดูไม่ได้เหรอ แค่นี้ทำหวง ทีเมื่อก่อนพาสยังจำได้” ไม่อยากพูดแบบนี้เลยนะแต่ถ้าทำตัวอ่อนปวกเปียกก็จะสงสารตัวเองเกินไป แบคฮยอนย่นจมูกแล้วเอาไหล่ชนกับไหล่เขาจนเซไปทางด้านข้างเล็กน้อย ก่อนจะแย่งมือถือคืนไป
“ฉันก็จำได้เหมือนกันนั่นแหละ”
“แล้วไง สุดท้ายนายก็หวง ไม่ยอมให้ดู” ไม่ได้อยากงี่เง่างอแงอยากดูให้ได้หรอกนะ แต่ถ้ายอมปล่อยไปเฉย ๆ มันก็จะดูเก้อ ๆ เกินไปสำหรับบรรยากาศตึง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเขาสองคน
“ก็ยังไม่ได้เปิดดู”
“...”
“ของคนอื่นน่ะยังไม่ได้เปิดดู”
“อะไร?”
ปาร์คชานยอลไม่ใช่คนโง่ แต่ที่ถามก็เพราะอยากได้รับคำยืนยันจากปากอีกฝ่ายกับหูตัวเองเท่านั้นว่าไม่ได้คิดไปเอง แบคฮยอนขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะหงุดหงิดที่เขาเป็นไอ้บื้อที่ไม่เคยเข้าใจอะไร
“ที่ไม่ได้อ่านข้อความของคนอื่นก็เพราะเปิดดูของนายก่อนเป็นคนแรกไงล่ะ ทำไมถึงซื่อบื้อแบบนี้นะโยดา”
ปาร์คชานยอลตายไปแล้ว ตอนนี้เหลือแค่กายหยาบที่ยืนทำหน้าโง่อยู่ตรงหน้าแบคฮยอน เขากำลังใจเต้นแรงกับความสำคัญที่ไม่รู้ว่าจะคิดเข้าข้างตัวเองได้หรือเปล่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาได้แต่บอกตัวเองว่าอย่าคาดหวังมาก เพราะความหวังเหล่านั้นจะผลักเขาให้ตกลงไปกระแทกพื้นอย่างแรงจนเจ็บสาหัส
แต่ทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ ได้คุยกัน มันก็อดที่จะหวังไม่ได้ แม้จะแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย ปาร์คชานยอลปอดแหกเกินกว่าที่จะแสดงความกล้าให้บยอนแบคฮยอนรู้ว่า ‘ฉันคิดกับนายมากกว่าเพื่อน’
“ไหนบอกว่าฉันช้าเป็นชั่วโมงไง” ปาร์คชานยอลกำลังยิ้มโง่ ๆ ให้คนตรงหน้า ตอนนี้เขารู้สึกเมื่อยแก้มไปหมด แถมมือไม้ที่เคยวางข้างตัวมันก็อยู่ไม่สุข ยกขึ้นมาเกาท้ายทอยแก้เขิน
“ก็ช้า” แบคฮยอนเบือนหน้าหลบไปอีกทาง พลางกัดริมฝีปากล่างคลายอาการประหม่า “แต่พอดีกดเปิด Notification ไอจีของนายไว้”
คำถามแรกคือ... ใครควรจะเป็นฝ่ายได้รับความรู้สึกดี ๆ ในวันเกิด? มันควรเป็นบยอนแบคฮยอนผู้ซึ่งเกิดวันที่ 6 พ.ค. มากกว่าปาร์คชานยอลคนนี้ไม่ใช่เหรอ
แบคฮยอนไม่ควรทำตัวน่ารักในเวลาแบบนี้ มันดึกแล้วและปาร์คชานยอลก็กำลังรู้สึกดีมากด้วย มือไม้มันอยู่ไม่สุข เหมือนว่ามันอยากดึงคนแถวนี้เข้ามากอดยังไงอย่างนั้น
“เห็นไหม บอกแล้วว่าเป็นคนแรก” ขอพูดแก้เขินหน่อยเถอะ เพราะถ้ายืนอยู่เฉย ๆ ก็กลัวว่าจะเป็นบ้าเป็นบอหลุดยิ้มออกมาอย่างไร้สาเหตุก็ได้ ไม่สิ... การที่เขายิ้มมันมีสาเหตุอยู่แล้ว
“ไหนล่ะ ของขวัญ?” แบคฮยอนแบมือ
“อยากได้ด้วยเหรอ?”
“ไม่อยากให้หรือไง”
ทำไมต้องย้อนถาม แค่ตอบเฉย ๆ ไม่ได้หรือไงกัน...
“ก็เปล่า คือ...”
“ล้อเล่นน่า” แบคฮยอนหลุดยิ้มออกมา หลังจากเห็นว่าแกล้งเขาได้สำเร็จ ชานยอลไม่ได้พูดเล่น ๆ เรื่องของขวัญน่ะมีอยู่แล้ว แต่...
“ไปนอนแล้วนะ ฝันดี”
แบคฮยอนพูดตัดบทกลางอากาศ มันเป็นสัญญาณเตือนว่าบทสนทนาแรกในวันเกิดของคนตรงหน้าได้สิ้นสุดแล้ว และเขาก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น
ชายหนุ่มยืนนิ่ง เขารู้สึกเก้อและวูบตรงหัวใจอย่างบอกไม่ถูก ปาร์คชานยอลยังอยากยืนอยู่ตรงนี้เพื่อคุยกับบยอนแบคฮยอนต่อไป ไม่ว่าหัวข้อบทสนทนานั้นจะไร้สาระมากก็ตาม
นานแค่ไหนแล้วที่ทำได้เพียงแค่มองแบคฮยอนจากข้างหลัง ซึ่งมันทำให้เขาโทษตัวเองทุกครั้งหลังจากปล่อยให้อีกฝ่ายเดินไป โดยที่ไม่หาวิธีรั้งเอาไว้
ร่างสูงคว้าคว้าข้อมือคนตัวเล็กทั้งที่ยังไม่ได้ให้สมองช่วยตัดสินว่ามันจะเป็นสิ่งที่ควรทำจริง ๆ หรือเปล่า ในเมื่อการแตะต้องตัวแบคฮยอนนั้นมันเป็นเรื่องต้องห้ามมาตลอด
แต่มันเป็นสิ่งเดียวที่ยืดเวลาระหว่างเขาทั้งสองคนออกไปได้ ถ้าปาร์คชานยอลไม่ใช้วิธีเข้าไปกอดอีกคนจากข้างหลัง ซึ่งเขายังไม่มีความกล้ามากพอถึงขนาดนั้น
“ของขวัญน่ะ” แบคฮยอนหันกลับมา เขาเห็นว่าแววตาคู่นั้นฉายไปด้วยความสงสัย “...อยู่...ในห้อง”
เกือบสิบวินาทีเห็นจะได้ ที่ทั้งคู่ปล่อยให้ความเงียบเล่นงานแล้วสบตากันอยู่อย่างนั้น ชานยอลรู้สึกเหมือนกลั้นหายใจอยู่ตลอดเวลา เขาอยากพูด อยากทำอะไรให้ได้มากกว่านี้ แต่ความกล้ามันก็หายไปทันทีที่เห็นหน้าแบคฮยอน
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อแบคฮยอนใช้มือข้างที่ว่างอยู่มาจับข้อมือของเขา ชานยอลเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ จนกระทั่งได้เห็นรอยยิ้มที่เขาชอบแอบมองอยู่บ่อย ๆ
และแน่นอนว่ามันทำให้หัวใจของคนขี้ขลาดพองโตได้อย่างง่ายดาย
“งั้นก็พาไปดูสิ”
ความอุ่นตรงข้อมือได้ถูกส่งมาถึงหัวใจของคนปอดแหกในวินาทีถัดมา ชานยอลยังไม่ละสายตาจากคนตัวเล็ก ก่อนจะพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“คนอื่นหายไปไหนหมดนะ” เสียงของแบคฮยอนช่วยผ่อนคลายบรรยากาศน่าอึดอัดในตอนนี้ให้ดีขึ้นตามลำดับ ร่างสูงผ่อนลมหายใจออกมาทางริมฝีปากเพื่อรวบรวมความกล้า ก่อนจะค่อย ๆ แกะมืออีกคนออกจากข้อมือ แล้วเปลี่ยนเป็นสอดประสานเรียวนิ้วแทน
'อย่าปล่อยนะ ขอร้องล่ะ'
นั่นคือสิ่งที่ชานยอลภาวนาอยู่ในใจ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด ที่จับมือแบคฮยอนไว้แบบนี้ มันก้าวข้ามผ่านระดับที่เพื่อนทำกัน แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายจะอ่านความคิดเขาออก เมื่อมือที่จับอยู่นั้น ค่อย ๆ สอดประสานกับเรียวนิ้ว... จนแทบไม่เหลือช่องว่าง
“มือเย็นนะ”
“มือนายก็ร้อน”
ชานยอลไม่รู้ว่าตอนนี้แบคฮยอนกำลังทำหน้าแบบไหน เมื่อความรู้สึกทั้งหมดมันหยุดอยู่ที่ความนุ่มของมือแบคฮยอน หัวใจที่เคยเหี่ยวเฉากำลังได้รับการรดน้ำจนกลับมาเบ่งบานเหมือนดอกทานตะวันโดนแสงแดด ขอบคุณแบคฮยอนที่ไม่ปล่อยมือ ขอบคุณตัวเองสำหรับความกล้าอันน้อยนิด
“งั้นฉันจะไม่ปล่อย มือของเราจะได้อุ่นพอดี” เสียงของเขาเบามาก จนคิดว่าบางทีแบคฮยอนอาจจะไม่ได้ยินก็ได้
“งั้นก็อย่าปล่อยจนกว่ามือจะอุ่นนะ”
มันเกินกว่าคำว่าอุ่นแล้ว เมื่อมือของเราทั้งคู่เริ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ ชานยอลยังคงอมยิ้มกับความสุขที่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า จนเขาอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้
ร่างสูงเปิดประตูห้องและให้อีกคนเข้ามา เขารู้สึกดีเหลือเกินที่รูมเมทไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นบรรยากาศฟุ้ง ๆ แบบนี้คงถูกดูดกลืนหายไปจนยากที่จะดึงกลับมาได้
เราปล่อยมือกันแล้ว ชานยอลคิดว่ามันคงน่าตลกถ้าเกิดเขาจะจูงมือแบคฮยอนไปเอากล่องของขวัญ แล้วยื่นให้ด้วยมือเดียว
เปิดลิ้นชักแล้วเอากล่องของขวัญขนาดเหมาะมือออกมา พอหันกลับไปก็เห็นว่าแบคฮยอนกำลังเล่นอยู่กับคุมะบนเตียงแคบ ๆ ของเขา ร่างสูงหยัดตัวนั่งลงข้าง ๆ คนตัวเล็ก แล้วยื่นกล่องของขวัญให้ และอีกฝ่ายก็รับเอาไว้พร้อมรอยยิ้ม
“นี่คนแรกไหม”
“คนแรกก็ได้” ชานยอลไหวไหล่กับคำตอบ ถ้าแบคฮยอนไม่ได้ออกไปไหนมาตอนเที่ยงคืน เขาก็มั่นใจว่านี่ต้องเป็นของขวัญชิ้นแรกแน่ ๆ
บรรยากาศโดยรอบถูกครอบคลุมด้วยความเงียบอีกครั้ง ชานยอลไม่เคยคิดว่าการนั่งอยู่กับเพื่อนบนเตียงแคบ ๆ ที่เดิมจะทำให้เป็นเรื่องชวนเหงื่อตกได้ขนาดนี้ทั้งที่เมื่อก่อนมันเป็นเรื่องปกติ ธรรมดา
แต่อะไร ๆ ก็เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อตอนนี้สมองมันเอาแต่คิดถึงหัวข้อบทสนทนาที่จะยืดเวลาให้อีกฝ่ายอยู่ต่อ โดยที่ไม่ลุกขึ้นยืนแล้วบอกกับเขาว่า ‘ไปนอนแล้วนะ’
“งั้นไปแล้วนะ”
ว่าแล้วไง...
ชานยอลไม่ได้ตอบกลับไป เขาเพียงแค่นั่งนิ่ง ๆ แล้วชำเลืองมองคนตัวเล็กที่กำลังมองเขาอยู่เช่นกัน
สักพักเลยทีเดียวที่ทั้งคู่ปล่อยให้เวลาเดินผ่านไป และให้สายตาสื่อสารแทนคำพูด โอกาสได้อยู่ด้วยกันแบบนี้มันไม่บ่อย เรื่องนี้ปาร์คชานยอลรู้ ซึ่งเขาก็ไม่อยากหลบแววตาคู่นี้อีกแล้ว เขาไม่อยากแกล้งทำร้ายร่างกายอีกฝ่ายเวลาเขินจนทำตัวไม่ถูกเหมือนทุกครั้งอีก
“อยากพูดอะไรหรือเปล่า”
นั่นคือคำถามเดียวกับความคิดของเขาในตอนนี้...
“ชานยอล”
“...”
“งั้นฉันไปนะ” เขาเงยหน้ามองคนตัวเล็กที่ลุกขึ้นยืนพร้อมรอยยิ้มตามมารยาท ก่อนจะชูกล่องของขวัญขึ้นมาระดับหัวไหล่ “ขอบคุณสำหรับของขวัญ”
“...”
“ไว้วันเกิดเดี๋ยวซื้อคืนนะ” แบคฮยอนชูสองนิ้วแล้วงอลงสามครั้งเป็นท่าประกอบก่อนจะหันหลัง สายตาคนตัวเล็กมองไปยังประตูห้องที่ปิดสนิท เขาคิดว่าปาร์คชานยอลคงอยากพูดอะไรมากกว่าประโยคสั้น ๆ บนเวที แต่ดูเหมือนว่าเขาจะคาดหวังเกินไป
“...”
แบคฮยอนยืนนิ่งเมื่อถูกสวมกอดจากข้างหลังโดยไม่ทันตั้งตัว เขารู้สึกได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจของใครอีกคน พร้อมวงแขนแกร่งที่คาดอยู่กับช่วงคอ และใบหน้าที่แนบอยู่กับแก้มของเขา
“ไม่ว่าจะรู้สึกยังไง แต่อย่าเพิ่งบอกให้ฉันปล่อยได้ไหม?”
“...”
ร่างเล็กเม้มริมฝีปาก เสียงถอนหายใจแผ่วเบาอยู่ข้างแก้มนั้นเขารู้สึกได้ ไม่ใช่แค่ชานยอลที่กำลังประหม่ากับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ บยอนแบคฮยอนเองก็เช่นกัน กับความรู้สึกที่ห่างเหินไปนานจนน่าใจหาย
“แล้วต้องอยู่แบบนี้อีกนานแค่ไหน” ตอนนี้กลายเป็นบยอนแบคฮยอนที่ดูเหมือนคนโง่ เขาเพียงแค่ยืนนิ่งให้อีกฝ่ายกอด หลังจากสร้างสถานการณ์ให้ทุกคนออกไปข้างนอก แล้วอ้างว่าจะตามไปทีหลังพร้อมชานยอล ซึ่งพี่จุนมยอนก็ดูจะประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
และที่แกล้งถามหาลีดเดอร์กับคนซื่อบื้อก็เป็นเรื่องโกหก
“เท่าที่นายอยากอยู่”
คนปอดแหก...
“...”
ร่างสูงหลุบสายตาลงมองคนตัวเล็กที่คลายวงแขนเขาออก ก่อนจะพลิกตัวหันหน้าเข้าหา ทั้งคู่สบตากันอย่างหยั่งเชิง ปาร์คชานยอลเพียงแค่กัดริมฝีปากล่างเพื่อบังคับตัวเองไม่ให้เบือนหน้าหนีเพราะความขลาดเขิน พอเป็นเรื่องบยอนแบคฮยอนทีไร เขาก็กลายเป็นไอ้ซื่อบื้อทุกที
“เราน่าจะไปดื่มฉลองกัน”
“ตอนนี้น่ะเหรอ” ชานยอลมองนาฬิกาข้อมือ ก่อนที่ร่างเล็กจะพยักหน้าเป็นคำตอบ
“เมาแล้วเผื่อจะกล้าพูด กล้าทำอะไรมากกว่านี้”
“...”
ประโยคของคนตรงหน้าทำให้คนตัวสูงพูดไม่ออก ทั้งที่มันก็ดูธรรมดาไม่มีนัยยะแฝงอะไร แต่ทำไมปาร์คชานยอลถึงรู้สึกว่ามันเข้าตัวยังไงก็ไม่รู้
“อ่า เอางั้นเหรอ” ร่างสูงยิ้มเจื่อนพลางเกาท้ายทอย ในขณะที่คนตัวเล็กเอาแต่จ้องหน้าเขา
“เหมือนวันนั้น”
“...”
“วันที่นายไปแม่น้ำฮันกับเซฮุน แล้วก็เมาแอ้กลับมากวนประสาทคยองซูจนได้เรื่อง ฉันนอนอยู่บนโซฟาได้ยินทุกอย่าง ตั้งแต่เสียงอ้อแอ้ไปจนถึงเสียงฝ่ามือของหมอนั่นที่ฟาดลงบนตัวนาย”
ชานยอลไม่ได้อุทานออกมาว่า ‘อ๋อ... วันนั้นน่ะเหรอ’ หรือแสดงท่าทีว่าจำได้ เมื่อมันมีบางอย่างที่ทำให้เขาอยากลบความทรงจำในวันนั้นออกไปให้หมด กับสิ่งที่ทำลงไปเพราะฤทธิ์เหล้า
ซึ่งเขาได้แต่หวังว่าแบคฮยอนจะ...
“คืนนั้น” ชานยอลเว้นจังหวะไปชั่วอึดใจ ขณะที่สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่กับใบหน้าอีกฝ่าย “นาย...ไม่ได้หลับอยู่หรอกเหรอ?”
หัวใจของปาร์คชานยอลเต้นเร็วแรงอย่างน่าประหลาด ถ้าคนตรงหน้าเป็นตำรวจที่กำลังสอบสวนผู้ต้องสงสัยล่ะก็ เขาคงถูกลากคอเข้าคุกเพราะแสดงพิรุธออกมาอย่างชัดเจนเกินไป ร่างสูงรู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ซึมออกมาจากขมับอีกครั้ง จากสายตาแบคฮยอนที่มองมา ราวกับอยากจะบอกว่า ‘ฉันจำทุกอย่างที่นายทำในวันนั้นได้’ ยังไงอย่างนั้น
“ฉันกับคยองซูเล่นกันเสียงดังจนนายตื่นเลยใช่ไหม” ชานยอลยังปั้นหน้ายิ้มแม้ว่าสมองและร่างกายจะรวนไปหมด มันคือประโยคที่ดีที่สุดในตอนนี้หากว่าเขาต้องการเปลี่ยนไปเรื่องอื่น
“เปล่า” ร่างสูงผ่อนลมหายใจออกทางริมฝีปากอย่างแผ่วเบาแล้วพยักหน้ากับคำตอบของแบคฮยอน ก่อนจะยืนนิ่งเมื่ออีกคนยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “ฉันตื่นเพราะถูกจูบ”
“...”
รู้สึกเหมือนเวลาหยุดอยู่กับที่ รวมไปถึงหัวใจของปาร์คชานยอลด้วย ร่างสูงยืนนิ่งกับคำตอบที่เหมือนหมัดลุ่น ๆ ที่ซัดเข้าเต็มหน้าเขาจนน็อกดาวน์ลงไปฟุบกับพื้น
ภาพสีซีเปียฉายเข้ามาในหัวเป็นฉาก ๆ เสียงหัวเราะของเซฮุนตอนไปนั่งดื่มด้วยกันที่แม่น้ำฮัน เสียงเพลงและเสียงบทสนทนาเกี่ยวกับเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาทดสอบในชีวิตบนรถ ไปจนถึงฝ่ามือหนัก ๆ ของคยองซูที่หวดลงบนร่างเขาอย่างไม่ยั้ง
และภาพของแบคฮยอนที่นอนหลับอยู่บนโซฟา...
ปาร์คชานยอลไม่แน่ใจว่าเบียร์แค่ไม่กี่ขวด หรือจิตใต้สำนึกที่เป็นแรงจูงใจให้เขาเลื่อนใบหน้าเข้าไปจูบแบคฮยอนตอนหลับในวันนั้น ถึงจะแค่ปากแตะปาก แต่มันก็เป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับคนเป็นเพื่อนกัน ชานยอลรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องและมันไม่ควรที่จะเกิดขึ้น แต่ตอนนั้นมันก็ยากเกินที่จะหักห้ามใจ และที่ทำลงไปก็คิดว่าแบคฮยอนคงไม่รู้
“พูดอะไรบ้างสิ อย่าเอาแต่เงียบ”
ร่างเล็กรู้สึกใจวูบเมื่อเห็นสีหน้าและท่าทีของอีกฝ่าย ไม่ใช่แค่ชานยอลที่คิดมากกับเรื่องวันนั้น เพราะตัวเขาเองก็เช่นกัน กับเรื่องจูบที่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ลบล้างมันออกไปจากหัวไม่ได้
แบคฮยอนพยายามทำตัวให้เป็นปกติแล้ว กับการที่ตอนนั้นชานยอลเลือกห่างออกไป เขาก็แกล้งทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร ทั้งที่เกิดคำถามในหัวอยู่ตลอดว่าทำไม
ชานยอลรู้แล้วเหรอ? เขาแสดงออกมากเกินไปใช่ไหม? หมอนั่นถึงได้ตีตัวออกห่างเพราะรู้ว่าบยอนแบคฮยอนคิดไม่ซื่อ
แต่เพราะจูบวันนั้น ที่ทำให้เขากลับมาคิดมากกับเรื่องนี้อีกครั้ง
“ตกใจใช่ไหม? ขอโทษนะ” ร่างสูงไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายซึ่ง ๆ หน้านานเกินสองวินาทีอีกแล้ว สิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือการก่นด่าตัวเองในใจ “ฉันไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี ถ้ามันทำให้นายรู้สึก...”
พูดยังไม่ทันจบประโยคร่างสูงก็เซถอยหลังไปก้าวหนึ่งเพราะถูกคนตรงหน้าโถมเข้าจูบ ปาร์คชานยอลมีเวลาเพียงไม่กี่วินาทีกับการเรียบเรียงคำถามในหัว ก่อนที่มือทั้งสองข้างจะโอบรั้งร่างคนตัวเล็กเข้ามากอดเพื่อแลกจูบที่แนบแน่นยิ่งขึ้น
ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร หรือกำลังรู้สึกแบบไหน ปาร์คชานยอลขอเทเรื่องบ้า ๆ พวกนั้นทิ้งไว้ข้างหลังก่อนได้ไหม?
เพราะสิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดในตอนนี้ก็คือการสัมผัสคน ๆ คนตรงหน้า คนที่เขาทำได้เพียงแค่มองอยู่ห่าง ๆ โดยที่ไม่กล้าแตะต้องตัวเหมือนที่ทำกับเมมเบอร์คนอื่น ๆ
ชานยอลเอียงใบหน้าปรับองศาเพื่อให้ลิ้นร้อนทำหน้าที่ได้อย่างถนัด เราจูบกันเหมือนคนเก็บกดมานาน ซึ่งเขาก็คงไม่ปฏิเสธ
มีเพียงแค่เสียงถอนลมหายใจของคนสองคนเท่านั้นที่ทำลายความเงียบในตอนนี้ ชานยอลคิดว่าสิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดคือการกอดและจูบแบคฮยอนให้พอใจ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะได้อะไรมากกว่านั้น เมื่อร่างของเราทั้งคู่ล้มลงไปนอนบนเตียงแคบ โดยที่จับมือใครดมไม่ได้ว่าใครเป็นฝ่ายชักนำ
มันควรเป็นแบบนี้เหรอ? นั่นคือสิ่งที่ปาร์คชานยอลถามตัวเอง แต่ในเวลาแบบนี้ไม่ว่าใครก็คงหาคำตอบไม่ได้
ร่างสูงผละริมฝีปากออกแล้วยันมือไว้กับผืนเตียงทั้งที่ยังคร่อมร่างอีกคนเอาไว้ แต่ยังไม่ทันได้เรียบเรียงคำพูดก็ต้องกุมหัวตัวเองเมื่อมันดันไม่รักดีโขกกับสันไม้สีน้ำตาลอ่อนเข้าอย่างจัง
ไอ้เตียงบ้านี่นอกจากจะทำให้เซลฟี่กับน้องคุมะได้อย่างลำบากแล้ว มันยังกล้าดีหักหน้าเขาในช่วงเวลาแบบนี้อีก
แบคฮยอนที่นอนราบอยู่บนเตียงหลุดขำออกมาอย่างห้ามไม่ได้ จากบรรยากาศที่ร้อนแรงจนแทบลุกเป็นไฟ แปรเปลี่ยนเป็นทุ่งดอกไม้โง่ ๆ อย่างไม่ทันตั้งตัว
“บ้าเอ๊ย...”
“เจ็บไหม”
“เจ็บสิ”
“ซื่อบื้อจริง”
แบคฮยอนยันศอกไว้กับเตียง แล้วใช้มืออีกข้างลูบหัวคนที่กำลังเสียฟอร์มอย่างหนัก ร่างสูงคว้าข้อมือเล็กเอาไว้แล้วจ้องหน้า ก่อนที่ร่างของเขาจะค่อย ๆ โน้มลงเข้าหาคนตัวเล็กราวกับโดนแม่เหล็กดูด
“น่าขายหน้าชะมัด”
“งั้นจะแกล้งทำเป็นไม่รู้แล้วกัน”
“...”
“เลิกทำหน้าแบบนี้สักทีสิ...” แบคฮยอนรู้ว่าชานยอลกำลังประหม่า เพราะเขาเองก็รู้สึกไม่ต่างกันนัก
“ขอโทษ ฉันตื่นเต้นเกินไปหน่อย... ว่าแต่นายไม่ได้ดื่มมาใช่ไหม?” ชานยอลสบตากับคนใต้ร่างในระยะใกล้ แน่นอนว่าสถานการณ์ปัจจุบันมันไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้อย่างปกติ แบคฮยอนส่ายหน้าเป็นคำตอบ ก่อนจะโอบใบหน้าอีกฝ่ายเอาไว้
“ชานยอล”
“...”
“กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม?”
“...”
ประโยคขอร้องที่มาพร้อมแววตาคู่นี้ แน่นอนว่ามันมีผลต่อปาร์คชานยอลเสมอ ร่างสูงเลียริมฝีปากที่แห้งผากแล้วสบตากับคนตัวเล็ก ชั่วอึดใจเลยทีเดียวที่เขาเงียบไป ก่อนจะพยักหน้าเป็นคำตอบตามที่อีกคนต้องการ
“เหมือนเดิม”
“แต่พิเศษกว่าเดิม”
“...”
ชานยอลมองรอยยิ้มของคนใต้ร่างแล้วก็ได้แต่นิ่งไป กับสถานการณ์ที่เป็นอยู่มันก็เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าคงไม่มีเพื่อนคนไหนเขาทำกันแบบนี้ แต่พอได้ยินจากปากแบคฮยอนเองมันก็ทำให้คนปอดแหกใจชื้นขึ้นมาเป็นเท่าตัว
ชานยอลอมยิ้มแล้วพยักหน้า ก่อนจะคลอเคลียปลายจมูกรั้นแล้วจูบกันอีกครั้ง คราวนี้มันเริ่มต้นอย่างเนิบนาบ ค่อยเป็นค่อยไป ร่างสูงจูบปลายคางมนอย่างทะนุถนอม ก่อนจะเลื่อนไปตามซอกคอหอมในวินาทีถัดมา
เสียงครางในลำคอของคนใต้ร่างนั้นเป็นสิ่งแปลกใหม่ ชานยอลกำลังประหม่า เขากำลังพยายามตั้งสติ และคอยมองหน้าอีกฝ่ายอยู่ตลอด ซึ่งถ้าแบคฮยอนบอกให้หยุด เขาก็จะยอมทำตามโดยไม่อิดออด
เสื้อยืดสีขาวถูกถลกขึ้นจนถึงช่วงอก แบคฮยอนหลับตาลงรับสัมผัสวาบหวามจากไอ้บ้าที่ปั่นหัวเขามาเป็นเวลานาน ริมฝีปากที่เคยเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระกำลังพรมจูบตามหน้าท้องเขา แล้วค่อย ๆ เลื่อนมาจนถึงยอดอก
ทุกอย่างมันดีจนต้องผ่อนลมหายใจร้อน ๆ ออกมาเป็นจังหวะ แบคฮยอนเผลอแอ่นอกรับลิ้นร้อนที่กระหวัดวนรอบแล้วดูดดึงกระตุ้นอารมณ์ สองมือที่เคยกำผ้าปูที่นอนจนยับเลื่อนขึ้นมาวางลงบนกลุ่มผมสีเทาหม่น สอดเรียวนิ้วเข้าไปแล้วขย้ำเบา ๆ เผื่อผ่อนคลายอารมณ์
เตียงแคบ ๆ นั้นไม่ใช่ปัญหา ทั้งสองคนเอาแต่หัวเราะในลำคอเพื่อแก้อาการขลาดเขินกับสถานการณ์ที่ไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้น ชานยอลเป็นคนขี้เขินงั้นเหรอ แบคฮยอนเพิ่งรู้วันนี้ ทั้ง ๆ ที่เขาคิดว่าตัวเองคงอายจนต้องปิดหน้าแท้ ๆ
“ไม่หยุดแล้วนะ”
“อ่า...ฮะ”
ชานยอลยิ้มกับคำตอบของคนตัวเล็ก ก่อนจะก้มลงไปจูบให้หายหมั่นเขี้ยว แบคฮยอนกอดรอบคอแกร่งไว้เพื่อรั้งไม่ให้อีกคนผละออกพร้อมหัวเราะในลำคอ ทั้งที่ยังไม่ผละริมฝีปากออกจากกัน
ไม่ว่าใครจะอวยพรเป็นคนแรก ไม่ว่าใครจะซื้อของขวัญชิ้นใหญ่ให้สักแค่ไหน
แต่ไม่ว่ายังไง... สิ่งที่บยอนแบคฮยอนอยากได้เป็นของขวัญมากที่สุด ก็ยังคงเป็นปาร์คชานยอลอยู่ดี
“รู้ไหมว่าของขวัญชิ้นนี้มันวิเศษยังไง?”
“ไม่รู้ ไหนบอกซิ”
“มันวิเศษตรงที่นายสามารถ ‘แกะกล่อง’ มันได้ทุกวันยังไงล่ะ”
คนเป็นเจ้าของวันเกิดยิ้มขำแล้วพลิกตัวขึ้นคร่อมทับช่วงกลางลำตัวคนปอดแหกที่กำลังปากดี มือเรียวลูบไปตามแผงอกแกร่งผ่านเสื้อยืดสีดำก่อนจะหยุดอยู่ที่หน้าท้อง แล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับร่างสูง
“วันอื่นไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้ฉันอยากแกะกล่องของขวัญของวันนี้แล้ว”
END
Happy Birthday Baekhyun (:
ความคิดเห็น