คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : INTRO
INTRO
“เฮ้ย สายแล้ว”
“...”
“ถ้ามึงยังไม่ตื่นกูจะเอาตีนขยี้หรรมมึง”
“เอ้อ...อีกห้านาที” เด็กหนุ่มใช้นิ้วตีนหนีบผ้าห่มขึ้นมากอดพร้อมกับนอนหันหลังให้เพื่อนสนิทที่ยืนทำหน้าระอาอยู่ข้างเตียง คิมจงอินเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มแล้วขยับปากด่าเบา ๆ ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ข้างเปียโนตัวโปรดที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้อง
!!!!!!
“โว้ย!!!” ชานยอลเอาหมอนอุดหูเมื่อเสียงบรรเลงเพลงแสบดากลั่นไปทั่วอาณาบริเวณอย่างไม่เกรงกลัวว่าบ้านข้าง ๆ จะตะโกนด่าพ่อล้อแม่เข้าให้หรือเปล่า เด็กตัวสูงดีดตัวลุกขึ้นนั่งอย่างหัวเสียแล้วมองไปยังเพื่อนตัวดีที่มือข้างหนึ่งของมันยังวางอยู่บนเปียโนแถมยังนั่งไขว่ห้างเลิกคิ้วมองกวนส้นตีนอีก คิดว่าหล่อมากป่ะห่าจิก
“กูให้เวลามึงห้านาที เพราะถ้าช้ากว่านี้ทั้งกูทั้งมึงได้โดนฮีนิมโบกกระบาลเรียงตัวแน่” แค่นึกถึงหน้าฝ่ายปกครองที่ยืนตรวจระเบียบตรงประตูทางเข้าโรงเรียนแล้วก็ถอนหายใจ
“วันแรกเขายังไม่สอนอะไรหรอก มึงจะรีบไปไหนวะห่า นอนอยู่บ้านเหอะกูว่า” หงุดหงิดจริง ๆ ทำไมเขาต้องตื่นแต่เช้าเพื่อที่จะมาเจออะไรแบบนี้ด้วย มันคือเรื่องที่เด็กอายุสิบเก้าต้องตื่นมาพบเจอเหรอ บ้าไปแล้ว
“พ่อกูขู่ว่าจะโทรเช็คกับครูที่ปรึกษา ถ้าไม่ไปเรียนวันนี้กูกับมึงได้อดตายทั้งอาทิตย์แน่” เด็กหนุ่มว่าพร้อมกับโยนผ้าขนหนูไปให้แล้วชานยอลก็รับไว้ได้ด้วยมือเดียว
โอเค เหตุผลของไอ้จงอินดูจะฟังขึ้นเมื่อตอนนี้เขาทั้งสองคนเป็นเหมือนหนูมอม ๆ ที่ถูกไล่ต้อนเข้ารูก่อนจะมีแผงกาวดักหนูวางไว้ตรงปากทางออก หลังจากมาอยู่กับเพื่อนสนิทได้ประมาณเดือนครึ่งปาร์คชานยอลก็ได้สำเหนียกว่าการใช้ชีวิตอยู่นอกบ้านมันช่างอัปรีย์เสียนี่กระไร
แต่จะทำยังไงได้ก็บ้านของเขามันโคตรจะไม่น่าอยู่แล้วหลังจากที่พ่อได้อัญเชิญลูกของเมียคนแรกให้มาอยู่ด้วยกันโดยที่ไม่ถามความสมัครใจของคนที่อยู่ก่อนหน้านี้เลยสักคำว่าเห็นดีเห็นงามด้วยไหม
ถ้าจะให้เท้าความก็คงใช้เวลานาน เอาเป็นว่ามนุษย์ที่ชื่อ ‘ลู่หาน’ ผู้ซึ่งเป็นลูกชายต่างแม่เพิ่งย้ายมาจากปักกิ่งเพื่อเรียนต่อมหาลัยที่โซล นี่ยังไม่นับเด็กเหี้ยที่เป็นลูกเมียน้อยอีกคนนะ มันชื่ออะไรก็ไม่อยากจำหรอกแต่ถ้าอยากรู้จะบอกก็ได้ว่ามันชื่อเจโน่อายุสิบสามปี วัยกำลังเห่อมอยฟ์เลยสึด
แทนที่มันจะก่อดราม่าช่วยกันแต่เสือกไปนับญาติกับไอ้เจ๊กหน้าหวานลูกเมียหลวงอีก โอย สุดหล่อรู้สึกเศร้า แล้วเหตุผลที่พ่อจับลูกของเมียทุกคนมากระจุกอยู่ด้วยกันก็เพราะอยากให้ลูกทั้งสามทำความรู้จักกันไว้โตขึ้นจะได้ช่วยเหลือกัน แต่ก่อนจะทำอะไรนี่ช่วยถามความเห็นลูกที่สร้างแลนด์มาร์คอยู่บ้านหลังนั้นก่อนดีไหมครับเสด็จพ่อว่าต้องการความรัก ความสามัคคีจากคนอื่นหรือเปล่า?
เพราะแค่เจอกันวันแรกก็แทบจะเบ้ปากเป็นรูปตีนแล้ว ไอ้คนเล็กยังไม่เท่าไหร่ มันยังใสและอ่อนต่อโลกเพราะงั้นปาร์คชานยอลเลยต้องรับบทหนักกับการคุยกับไอ้เจ๊กโคกนั่นคนเดียว แล้วดูไอ้ลู่หานดิ...พยายามชวนคุยอยู่ได้มึงช่วยสำเหนียกตัวเองก่อนได้ไหมว่าพูดคนละภาษากัน กูเหนื่อยทรานส์ด้วยตัวเอง เหนื่อยจะใช้สมองมากแค่ไหน นี่ถ้าอยู่เฉย ๆ เหมือนฟันข้างบนได้ก็จะขอบคุณมาก
ปาร์คชานยอลรู้สึกไม่ถูกชะตาและไม่อยากนับพี่นับน้องกับพวกมันเลยสักนิดเดียว เศษเสี้ยวขี้เล็บก็ไม่ เพราะฉะนั้นการหนีออกจากบ้านตั้งแต่วันที่สามหลังจากมนุษย์ลูกเมียหลวงกับมนุษย์ลูกเมียน้อยคนเล็กย้ายเข้ามาอยู่ด้วยมันก็เป็นเรื่องที่เหลือทนแล้วจริง ๆ
คนบางคนแค่มองหน้าก็รู้แล้วป่ะครับว่าไม่ถูกชะตา เพราะฉะนั้นมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรอีกที่ปาร์คชานยอลจะไปนับญาติกับคนพรรค์นั้นที่พูดภาษาเกาหลีได้นิด ๆ หน่อย ๆ แล้วที่พ่นออกมาแต่ละคำก็มีแต่ประโยคกวนส้นตีนทั้งนั้น ไม่รู้ว่าใครสอนให้มัน กูงง
แต่ยังไงก็ตาม มันก็แค่ช่วงแรกเท่านั้นแหละที่พ่อดราม่าแล้วออกตามหาเขา พอรู้ว่าลูกชายคนกลางอยู่ที่ไหนก็กลับไปทำงานทำการต่อ ถึงจะรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าก็เถอะแต่มันก็ดีแล้วที่พ่อไม่มาบังคับขู่เข็ญให้กลับไปอยู่บ้าน หนักหน่อยก็แค่ไม่ให้เงินใช้เท่านั้นแหละ
นี่คือการตัดหางปล่อยวัดขั้นเริ่มต้นใช่หรือไม่?
เขาเป็นเหมือนเด็กถูกทิ้งตรงที่แม่ก็หนีไปแต่งงานใหม่ตั้งแต่อยู่เกรดสี่ ตอนนั้นภาพมันพร่ามัวไปหมด แต่ก็พอจำได้ว่ากระโปรงลูกไม้ของแม่มันลื่นมากจนเขาไม่สามารถดึงเอาไว้ได้ ปาร์คชานยอลได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วร้องไห้เหมือนโลกทั้งใบถูกขโมยไปต่อหน้าต่อตา ผู้ชายคนนั้นพาแม่ของเขาไปแล้ว และแน่นอนว่านั่นคือครั้งสุดท้ายที่ชานยอลได้เห็นแม่
เด็กหนุ่มตัวสูงทั้งสองคนในชุดนักเรียนฤดูร้อนเดินทอดน่องไปตามฟุตปาธอย่างไม่เร่งรีบ แน่นอนว่าคิมจงอินไม่ปล่อยให้เพื่อนของเขาเอ้อละเหยลอยชายอย่างที่มันชอบเป็นเลยต้องโขกสับทุกวินาทีจนกระทั่งออกจากบ้านในเวลาตามที่คาดเอาไว้ ชานยอลป้องปากหาวปรือตามองถนนเบื้องหน้า วันนี้ก็เป็นวันที่น่าเบื่อเพราะเป็นวันแรกของภาคเรียน ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ชีวิตของปาร์คชานยอลดูเส็งเคร็งและไร้ชีวิตชีวาแบบนี้
“มึงกะจะอยู่กับกูไปจนถึงเมื่อไหร่”
“ที่ถามนี่คือจะเฉดหัวไล่กูว่างั้น”
“เปล่า แต่ถ้ามึงเป็นพ่อคนมึงคงสงสัยว่าไอ้เด็กห่านี่เป็นลูกเต้าเหล่าใครถึงได้มาอยู่กินกับลูกชายตัวเองเป็นเดือน ๆ แถมยังไม่ช่วยงานบ้านอะไรเลยสักอย่างเดียว” จงอินพูดในท่าทีสบาย ๆ
“เอ้า! แล้วจะให้กูทำอะไรล่ะวะ? พ่อมึงก็จ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดทุกวันเสาร์ไม่ใช่ไง?”
“แต่กว่าจะถึงวันเสาร์บ้านกูก็กลายเป็นโรงงานขยะเพราะมึงนี่ไงครับ รีบไปหาหออยู่เลยสัด เป็นภาระชีวิตกูเหลือเกิน”
“นี่แหละเพื่อนแท้” ชานยอลมองคนข้าง ๆ ด้วยสายตาเรียบเฉยแต่อัดแน่นไปด้วยความตื้นตันใจ เคยคิดมาตลอดครับว่าเพื่อนกันต้องช่วยเหลือกันทุกอย่างแต่มันตรงกันข้ามกับไอ้ห่านี่อย่างสิ้นเชิง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เวลาโดดเรียนก็โดดด้วยกัน ไปเล่นเกมก็ไปด้วยกัน นี่แค่ขออยู่บ้านด้วย กินข้าวด้วย ใช้คอมพ์ด้วย ใช้เสื้อผ้าด้วย ใช้ห้องนอนด้วยมันหนักหนาสาหัสมากเหรอครับกูอยากรู้
“อยู่บ้านก็ดีอยู่แล้วเสือกหนีออกมา เรื่องบางเรื่องก็ปลงบ้างเถอะ อีโก้จะทำให้มึงอดตายเข้าสักวัน”
“มึงก็พูดได้สิ ไอ้คนครอบครัวสุขสันต์”
“ต่อให้มึงพูดไปก็เท่านั้น เพราะการที่มึงหนีออกมาคือมึงต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับการรับผิดชอบชีวิตตัวเองแล้ว” จงอินเอามือออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วโค้งหัวให้กับอาจารย์ฝ่ายปกครองที่ถือไม้เรียวอยู่หน้าโรงเรียน
“กูเพิ่งอายุสิบเก้านะ ยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วย นั่นหมายความว่ายังมีอีกหลายเรื่องบนโลกใบนี้ที่กูไม่สามารถจัดการด้วยตัวเองได้ กูเหมือนกับผ้าขาว”
“เปื้อนขี้”
“ขี้ที่หน้ามึงเถอะ”
“หาหออยู่ แล้วก็หางานทำ จบนะ” จงอินชูนิ้วโป้งชี้กลางพร้อมกับโบกไปมาก่อนจะเดินนำหน้าไปแล้วทิ้งให้เด็กตัวสูงยืนหงิดอยู่กลางสนามหญ้าตามลำพัง
คาบโฮมรูม
มันเป็นเรื่องปกติที่เสียงพูดคุยจะดังจอแจออกไปนอกห้องพร้อมกับม้วนกระดาษที่เขวี้ยงข้ามหัวกันไปมาและหนึ่งในนั้นก็เป็นฝีมือของชานยอล จนกระทั่งชายวัยกลางคนเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับคนตัวเล็กใส่แว่นกรอบดำนั่นแหละสงครามถึงได้หยุดลง
“สวัสดีตอนเช้าของวันเปิดภาคเรียนนะทุกคน ครูชื่อยูแจซอกสอนวิชาศิลปะและเป็นครูที่ปรึกษาของพวกเธอตลอดหนึ่งปีนี้”
“ไอ้ครูแป๊ะยิ้มนั่นหน้าตาตลกชิบหาย...ถ้าถือหัวสิงโตไว้บนหัวนี่กูว่าใช่” ชานยอลเอนตัวไปกระซิบเพื่อนสนิท “ไอ้นั่นท่าจะเป็นเด็กใหม่”
“คงงั้น”
“เตี้ยอย่างกับฮอบบิท” พูดจบทั้งคู่ก็หลุดขำออกมาพร้อมกัน “มึงดูดิ โปรยยิ้มทำไมวะ มันคิดว่าตัวเองเป็นซุปเปอร์โมเดลเหรอ”
“ห่านี่ก็จับผิดจัง ชีวิตมึงดีมากมั้งเนี่ย”
“ว่าได้เหรอ ถ้ากูกับมันไปยืนกลางสนามหญ้า ให้ทายว่าสาวจะวิ่งเข้าหาใคร”
“ครับพี่ พี่หล่อมากที่สุดไม่มีใครสู้ได้อยู่แล้วล่ะ ทั้งแผ่นดินสาวเกาหลีต้องพลีกายให้” จงอินพนมมือยกขึ้นเหนือหัว
“วันแรกครูคงไม่มีอะไรจะพูดสักเท่าไหร่ เอาเป็นว่าวันนี้ครูมีเพื่อนใหม่มาแนะนำให้ทุกคนรู้จักนะ...เดินไปข้างหน้าแล้วแนะนำตัวสิ” ครูศิลปะว่าพร้อมกับดันหลังนักเรียนใหม่ออกมา คนตัวเล็กยิ้มเจื่อนพลางกลอกตาไปรอบ ๆ ตอนนี้เขากำลังตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน และมันเป็นเรื่องที่เขาไม่ชินนัก
“สวัสดีทุกคน เราชื่อบยอนแบคฮยอน” เด็กหนุ่มโค้งหัวเล็กน้อยทั้งที่ยังยิ้มเจื่อนอยู่
“บอกด้วยสิว่ามาจากไหน...” ครูแจซอกกระซิบ
“เรามาจากมกโพ”
“เด็กมกโพนี่โก้จริง ๆ ป่ะวะ”
“หะ...หา?”
“5555555555555555555555555555555555”
“เต้นให้ดูหน่อย!!! ขอเพลงสาวมกโพ!!!”
แบคฮยอนทำตาปริบ ๆ เขากำลังงงกับสิ่งที่เพื่อนร่วมห้องกำลังเป็นอยู่ ไอ้อาการตะโกนข้ามหัวกันโดยไม่เกรงใจครูที่ปรึกษาที่ยืนอยู่หน้าห้องมันคืออะไรกันเหรอ แถมยังบอกให้เต้นอีก เขาว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ควรทำในวันแรกของการเปิดเทอมนะ
“ครูครับ การเต้นให้เพื่อนดูมันเป็นพิธีรับเด็กใหม่เหรอ” แบคฮยอนหันไปถาม ครูที่ปรึกษายิ้มค้างอยู่ท่านั้นก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาแล้วดันหลังเด็กหนุ่มให้ไปนั่งประจำที่ซึ่งอยู่หลังสุดติดหน้าต่าง
“นั่งนี่นะ”
“อะ...ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มโค้งหัว จนถึงตอนนี้เพื่อนในห้องก็ยังส่งเสียงกันไม่หยุด รู้ตัวอีกทีก็ปวดหัวแล้ว เขาได้แต่สงสัยว่าคนพวกนี้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนถึงได้เอาแต่แหกปากอยู่นั่นแทนที่จะเก็บแรงไว้เรียนทั้งวัน
“คาบแรกเรียนภาษาอังกฤษใช่ไหม ขอให้สนุกกับการเรียนนะ ครูไปล่ะ” ครูแจซอกซับเหงื่อก่อนจะเดินออกไปจากห้อง และทันทีที่ประตูบานเลื่อนปิดลงเด็กหนุ่มสาวเกือบสิบคนก็กรูเข้ามารุมโต๊ะเด็กใหม่พร้อมกัน
“เฮ้ย ชื่อแบคฮยอนใช่ป่ะ”
“มาจากไหนนะ? มกโพเหรอ ที่นั่นมีอะไรน่าสนใจบ้างวะ?”
“ใส่แว่นแบบนี้ต้องเด็กเรียนแน่เลย ไว้ทำการบ้านมาให้ลอกมั่งนะ”
“ช่วยตัวเองครั้งแรกตอนอายุเท่าไหร่วะบอกหน่อย 5555555555555”
“55555555555555555555555555555555555”
แบคฮยอนมองแต่ละคนสลับกันไปมา เขาไม่คิดเลยว่าการย้ายมาอยู่ที่นี่จะได้รับการสนใจมากขนาดนี้ ในขณะที่ตอนอยู่โรงเรียนเก่าเพื่อนร่วมห้องต่างก็สนใจแต่เรื่องของตัวเอง ไม่มีหรอกที่จะมาถามไถ่กันแบบนี้
“เราขอทีละคำถามได้ไหม”
“ได้สิ งั้นกูถามก่อนเลยแล้วกัน ทำไมย้ายมาจากมกโพวะ”
“อ๋อ แม่เราขอให้ย้ายมาน่ะ” ชานยอลขมวดคิ้วกับคำตอบของไอ้เตี้ยนั่น มันน่าแปลกที่ตอนนี้ไอ้เด็กใหม่เอาแต่ยิ้มทั้งที่โดนรุมขนาดนั้น ถ้าเป็นคนอื่นคงได้แต่นั่งหงอจนทุกคนทยอยกลับไปนั่งที่เพราะเซ็งที่เสือกไม่สำเร็จ
“แม่ขอให้ย้าย? แล้วนี่มึงอยู่กับใคร?”
“เราเช่าบ้านอยู่ มีใครอยู่หอคนเดียวไหม ย้ายมาหารค่าบ้านกับเราได้นะจะได้ประหยัด” ทันทีที่คนตัวเล็กพูดจบเด็ก ๆ ที่ยืนอออยู่ก็หันไปมองหน้ากันแล้วระเบิดหัวเราะออกมา และภาพตรงหน้ามันทำให้แบคฮยอนสงสัยอีกแล้ว คนพวกนี้ขำอะไรกันนักหนา เขาเพิ่งรู้วันนี้แหละว่าคนเมืองกรุงเส้นตื้นมากขนาดนี้ “ทุกคนขำอะไรกันเหรอ”
“เฮ้ย” จงอินสะกิดแขนคนข้าง ๆ ที่กำลังมองเด็กใหม่อย่างไม่ละสายตา แถมยังขมวดคิ้วมุ่นอย่างกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่อีก “สนใจอะไรไอ้เด็กใหม่วะ?”
“เปล่า กูไม่ได้สนใจมัน”
“หืม?”
“แต่กูสนใจสิ่งที่มันเพิ่งพูดเมื่อกี้” พูดจบก็เลื่อนเก้าอี้ออกก่อนจะตรงดิ่งเข้าไปหานักเรียนใหม่ที่ถูกเพื่อนนับสิบรายล้อมอยู่ แบคฮยอนเงยหน้ามองคนตัวสูงที่เดินแทรกเข้ามายืนอยู่ข้าง ๆ เขา ท่าทางคนนี้ดูไม่ค่อยเป็นมิตรสักเท่าไหร่เลยแฮะ “ไงเด็กใหม่?”
“อ้อ...สวัสดี”
“เออ” ทันทีเด็กตัวสูงนั่งลงบนโต๊ะคนอื่น ๆ ก็ถอยออกห่าง มันเป็นเรื่องแปลกจริง ๆ ที่ชานยอลเป็นฝ่ายเข้าหาเพื่อนใหม่ก่อนเพราะใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าไอ้หมอนี่กับคิมจงอินน่ะโคตรหยิ่ง ทะนง จองหอง เกเร ถ่อย ชอบชกต่อยกับเด็กโรงเรียนอื่นจนไม่มีใครอยากคบหาด้วยนอกจากพวกเด็กเกเรเหมือนกัน
“หรือว่ามันจะอัดเด็กใหม่วะ...” เสียงกระซิบที่ดังมาจากข้างหลังบวกกับแววตาใส ๆ ของไอ้เตี้ยที่กำลังมองมาผ่านเลนส์แว่นทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวเหี้ยขึ้นมาอย่างปฏิเสธไม่ได้
“ทำไมนายนั่งบนโต๊ะล่ะ มันบาปนะ”
“บาปหรือมึงเมื่อยคอกันแน่”
“แค่มองหน้าเอง เราจะเมื่อยได้ไง” แบคฮยอนตอบเสียงเรียบนั่นทำให้คนรอบข้างซุบซิบกันเสียงดังยิ่งกว่าเดิม จงอินเลิกคิ้วมองอย่างประหลาดใจ ถ้าไอ้เด็กใหม่นั่นไม่กลัวตายก็คงอยากลองท้าทายอำนาจมืดของไอ้ชานยอลอยู่แน่ ๆ “แต่ถ้าเมื่อยเราจะยืนคุยกับนายแบบนี้ก็ได้นะ”
“อุ่บส์...” เสียงกลั้นหัวเราะของคนที่อยู่รอบข้างทำให้ปาร์คชานยอลรู้สึกคันตีนอย่างบอกไม่ถูก บอกเลยว่า 90% นั้นมาจากไอ้เด็กใหม่ทั้งนั้น
“นี่มึงยืนแล้วเหรอ”
“ใช่สิ นายเห็นเรานั่งอยู่เหรอ” ร่างเล็กขมวดคิ้วแล้วก้มลงชี้เก้าอี้ให้ดู ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงถามอะไรแปลก ๆ แบคฮยอนได้แต่สงสัย
ชานยอลกัดฟันแน่นพร้อมกับหายใจเข้าลึก ๆ ปลายนิ้วเรียวเคาะลงบนหน้าขาตัวเองเพื่อสงบสติอารมณ์ มันคงไม่ดีแน่ถ้าเกิดว่าเขากระชากคอมันมาซัดหมัดเข้าที่แก้มขาว ๆ นั่นสักดอกเพื่อให้หายหงุดหงิดในขณะที่มันคือเป้าหมายหลักในการหาที่อยู่ใหม่ เพราะอย่างที่ไอ้จงอินบอก เขาไม่สามารถอยู่บ้านมันไปได้ตลอดและการหารค่าห้องมันก็เป็นอะไรที่น่าสนใจอยู่พอสมควร
“ช่างเถอะ กูไม่อยากหาเรื่องมึงเพราะคิดว่าเราน่าจะอยู่ร่วมโลกด้วยกันได้” เด็กตัวสูงแค่นหัวเราะแล้วหันหน้าไปทางอื่นแต่แค่ครู่เดียวก็หันกลับมามองหน้าเนิร์ด ๆ ของไอ้เด็กใหม่อีกครั้ง “มึงถ่างหูฟังกูนะ”
“อื้ม” แบคฮยอนทำหน้าจริงจัง ซึ่งมันทำให้เขาหงุดหงิดอีกแล้ว สรุปมันกวนตีนตาใสหรือว่ายังไงกันแน่วะ? นี่จับทางมันไม่ถูกแล้วนะ
“เห็นมึงบอกว่าเช่าบ้านอยู่คนเดียว ถูกไหม?”
“ใช่”
“งั้นกูขอหารค่าบ้านกับมึง ไอ้บ้านนอก”
“เยดดดดดดดดดดดดดดดด” เสียงเพื่อนร่วมห้องอุทานออกมาพร้อมกัน จงอินอ้าปากค้างแล้วมองภาพคนสองคนอย่างไม่เชื่อสายตา เขาได้แต่คิดในใจว่าที่ชานยอลมันทำแบบนั้นอาจเป็นเพราะอยากประชดที่เขาไล่มันออกไปหาหออยู่ แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขากำลังจะหลุดพ้นออกจากบ่วงกรรมนี้แล้วโดยมีไอ้เด็กใหม่รับบทแทน
“จริงเหรอ?!” แบคฮยอนทำตาโตก่อนจะยิ้มออกมา “สุดยอดเลยอ่ะ!”
“มึงดีใจอะไรฮอบบิท” ชานยอลมองคนตัวเล็กอย่างรำคาญ ตามบทแล้วมันต้องยี๊เขาแล้วบอกว่า ‘ไม่เอาอ่ะ จะเป็นใครก็ได้ยกเว้นผู้ชายแย่ ๆ แบบนี้!’ ไม่ใช่เรอะ
“นายชื่ออะไรล่ะเราจะได้เรียกถูก เราชื่อบยอนแบคฮยอนนะ” จนถึงตอนนี้เพื่อน ๆ ก็เริ่มทยอยกลับไปนั่งที่แล้วหลังจากการเสือกมันไม่สนุกอีกต่อไปจะมีก็แค่สองสามคนเท่านั้นที่ยังเกาะติดสถานการณ์อยู่ ทั้งที่ลุ้นอยู่ตั้งนานว่าไอ้เด็กใหม่จะถูกสั่งสอนเพราะพูดจากวนตีนแต่ก็ไม่
“กูชื่อชานยอล...ปาร์คชานยอล จะเรียกว่าลูกพี่ก็ได้นะถ้ามึงอยากอยู่ในการปกครองของกู”
“โอเค ชานยอล” คนตัวเล็กยิ้มตาหยีไม่ได้สนใจคำว่าลูกพี่ลูกหาบที่อีกคนพูดเลยสักนิด มึงดีใจอะไรขนาดนั้นเหรอครับมนุษย์บ้านนอก เดี๋ยวกูโบกหัวโชว์เพื่อนตั้งแต่วันแรกเลยดีไหมเนี่ย นี่มึงกำลังทำกูเสียศูนย์นะ จะโหดก็โหดได้ไม่เต็มที่เพราะมึงเสือกยิ้มสวนกลับมาเนี่ยแหละ “จะย้ายเข้ามาวันไหน นายเอาเบอร์เราไปไหม ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็ย้ายมาเลย”
“...” ชานยอลมองคนตัวเล็กที่หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาถือไว้ จากที่ดูภายนอกแล้วท่าทางคงเพิ่งซื้อมาได้ไม่นาน ไอ้หมอนี่ท่าทางจะมีตังค์ว่ะ และมันหมายความว่าถ้าเขาย้ายไปอยู่บ้านหลังเดียวกันกับไอ้เตี้ยนี่ก็คงไม่อดตาย
“ของเยอะหรือเปล่า ถ้าไม่ไหวบอกได้นะเดี๋ยวเราไปช่วยขนของ ช่วงนี้เราไม่ได้ทำอะไรอ่ะ ว่างมากไม่ต้องเกรง...” ชานยอลเอามือปิดปากร่างเล็กที่เอาแต่พูดไม่หยุดจนในหัวของเขาได้ยินแค่เสียงของคนตรงหน้าทั้งที่ถ้าตั้งสติดี ๆ ก็ได้ยินเสียงเพื่อนร่วมห้องดังเซ็งแซ่ไม่หยุด แบคฮยอนทำตาปริบ ๆ จนกระทั่งคนตัวสูงยอมปล่อยมือลงแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ นั่นแหละ...
มันไม่ใกล้เกินไปสำหรับเด็กผู้ชายด้วยกันเหรอ?
“ตอนเย็นรอกูอยู่หน้าตึก ส่วนเรื่องอื่นค่อยเก็บไว้คุยกันที่บ้าน เข้าใจไหมไอ้มนุษย์ฮอบบิท...”
TBC
ฟิคเรื่องนี้ไม่ค่อยมีอะไรหรอกค่ะ พล๊อตตลาด ๆ เคะซื่อบื้อ ๆ กับเมะปากเสีย นักเลง ๆ หาอ่านได้ทั่วไป ไม่รู้ว่าจะถูกใจกันรึเปล่านะคะ เราไม่มั่นใจเลยว่าจะสนุกสำหรับคนอ่านรึเปล่า สกรีมได้ในแท็กนี้เลยนะ #มนุษย์แบคฮยอน ค่ะ
เดี๋ยวรอให้กิ๊งว่าง ๆ แล้วจะขอให้น้องมาช่วยแต่งบทความให้ ตอนนี้ใช้แบบกะโปก ๆ ไปก่อน 55555
FANART น่ารัก ๆ จากคุณ @MIFFIES_ จ้า น่ารักมาก ขอบคุณนะคะ <3
อันนี้ FANART ของคุณ @f0xqer น่ารักมากเลย ขอบคุณเช่นกันนะคะ
ความคิดเห็น