คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #37 : Special KaiHun :: His Teria (100%)
Special KAIHUN
His Teria
มีคนเคยบอกว่าไม่ต้องโหยหาความรักหรอก
พอถึงเวลาเดี๋ยวโลกก็เหวี่ยงคนเชี่ย ๆ มาให้เราเองแหละ
“แฮ่ก ๆ ๆ”
ตอนนี้ไอดอลหน้าใหม่กำลังเพลิดเพลินไปกับเอ็นคอร์โดยมีเหล่าแฟนคลับร้องแฟนชานท์ตามได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยนหลังจากศิลปินที่พวกเธอเสียเงินโหวตให้ได้รับรางวัล แน่นอนว่าพวกบอยแบนด์กลุ่มนี้เป็นที่สนใจของแฟนคลับในห้องส่ง แต่ไม่ใช่คนสองคนที่เพิ่งร่วมรักกันจนเสร็จแล้วเปิดทีวีทิ้งไว้ให้นักร้องในจอร้องแข่งกับคนที่อยู่ใต้ร่างของเขา
จงอินผละตัวออกมานอนแผ่หลาเหมือนคนใกล้ตายหลังจากเสร็จกิจกรรมในร่มและเซฮุนก็เช่นกัน มือกรัง ๆ เอื้อมไปหยิบรีโมททีวีแล้วกดเปลี่ยนช่องรำคาญ นี่ถ้าไม่ติดว่าเก็บเห็ดกับฮุนจ๋าอยู่กูจะเดินไปทุบจอแล้วกระโดดทิ้งศอกใส่สักทีข้อหาแย่งรางวัลสามสาวออเรนจ์ราคาแมวของพี่ไป
ไอดอลเงินล้านขยับเข้าไปนอนบดเบียดคนรักโดยไม่รังเกียจกลิ่นเหงื่อ หนำซ้ำเขายังคิดว่ามันมีเสน่ห์อีกด้วย หลายครั้งที่โอเซฮุนถามตัวเองว่าเป็นโรคจิตหรือเปล่าที่ชอบอะไรแปลกประหลาดกว่าชาวบ้านเขา นี่ก็ถามตัวเองมาสิบปีแล้วแต่ก็ไม่ได้คำตอบสักที
“หยิบพิซซ่าให้หน่อย” ตบหน้าผากคนรักแล้วชี้ไปยังถาดกระดาษที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียงและจงอินก็ไม่ปล่อยให้พ่อยอดขมองอิ่มของเขาทนหิวนานไปกว่านี้ มือหนาเอื้อมไปหยิบพิซซ่ามาป้อนให้มนุษย์แฟนที่นอนทับแขนอยู่แล้วปากนิ่ม ๆ ก็อ้าปากงับแถมยังมองตาเขาอย่างมีเลศนัยอีกด้วย
“แดกเถอะที่รัก ไส้กรอกอีสานกูคงเหี่ยวไปถึงพรุ่งนี้เช้า”
“เซ็ง”
เซฮุนรับพิซซ่ามาถือเองแล้วพลิกตัวไปนอนดี ๆ หลังจากที่อีไคจ๋าบอกทางอ้อมแล้วว่าคืนนี้เครื่องยนต์ของมันคงใช้งานไม่ได้อีก จงอินเอื้อมไปหยิบพิซซ่ามากินบ้างก่อนจะกดเปลี่ยนช่องไปเรื่อย ๆ และจบลงที่ช่องรายการทำอาหาร
“น่าอร่อยว่ะ” พูดทั้งที่พิซซ่าคำโตยังอยู่ในปาก เซฮุนหรี่ตามองแล้วส่ายหน้า เขาไม่เห็นด้วยเลยสักนิดกับสิ่งที่คนรักพูดเมื่อครู่
“รสชาติอย่างกับน้ำล้างตีน กูไปลองแดกมาละตอนไปถ่ายละครที่ญี่ปุ่น”
“เออ จะว่าไปแล้ววันนี้มึงไม่มีงานเหรอวะที่รัก”
“ไม่มีอ่ะ จะทำทำไมเยอะแยะ คนรวยแล้วเขาไม่ทำงานกันหรอก”
“เออ ที่รักพูดถูก”
“...”
“...”
“ถุ้ย”
หลังจากปล่อยให้ความเงียบกับความโง่แดกหัวอยู่นานคิมจงอินเลยหันไปถุยน้ำลายแห้งใส่คนข้าง ๆ เซฮุนหัวเราะร่าแล้วเอาขาก่ายอีกคน จะว่าไปมันก็นานพอสมควรแล้วนะที่ไอดอลเงินล้านอย่างเขาไม่ได้พักผ่อนแบบนี้
ถึงแม้ว่าเดือนก่อนเพิ่งจะพาไอ้จงอินบินไปเที่ยวยุโรปมาก็เถอะ นึกแล้วก็เซ็งเล็ก ๆ ที่คนรักของเขาเป็นพวกติดดิน ติดจนแทบจะเอาหน้าไปคลุกขี้ฝุ่นเลยก็ว่าได้ ก็จะอะไรอีกล่ะ...พอไปถึงยุโรปแทนที่จะได้แดกเมนูอินเตอร์ ๆ แต่เสือกร้องจะเอากิมจิ ใครจะนั่งหมักให้มึงเหรอครับกูอยากจะรู้นัก
พาไปนั่งกินร้านอาหารในโรงแรมหรูชนิดที่ว่าค่าหัวราคาซื้อบัตรคอนเสิร์ตจัสตินบีเบอร์แถวหน้าสุดได้มันก็เสือกนั่งเงอะ ๆ งะ ๆ ใช้ช้อน ใช้มีดไม่เป็น ไอ้จงอินเอาแต่นั่งบ่นอุบอิบว่ารสชาติมันห่วยแล้วยังจะแดกยากอีก แต่ที่ทำให้เขายิ้มออกมาได้ก็คือประโยคสุดท้ายที่มันบอกว่า ‘รามยอนสำเร็จรูปฝีมือฮุนจ๋าอร่อยกว่าเป็นไหน ๆ’ เรื่องความหรูหราอลังการเลยกลายเป็นขี้ตีนไปโดยปริยาย
“ถามจริงนะไคจ๋า”
“ยังไง ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมานี่มึงถามกูเล่น ๆ มาตลอดเหรอ”
“แค่มองกูแล้วพยักหน้าก็พอแล้วป่ะห่า” ดาราใหญ่หันไปมองค้อนไอ้กรังที่เคี้ยวพิซซ่าเหมือนควายเคี้ยวเอื้อง “มึงเคยคิดอยากไปเป็นครูบ้างป่ะวะ”
“ถามงี้หมายความว่าไง” สายตาของทั้งคู่ยังคงจับจ้องอยู่กับรายการอาหารง่อย ๆ ทั้งที่ปากยังคงเคี้ยวพิซซ่าไม่หยุด ร้อยวันพันปีไม่เคยจะเข้าเรื่องมีสาระ วันนี้นึกครึ้มอะไรถึงได้วกเข้าเรื่องวิชาการ
“เปล่า กูเห็นไอ้แบคฮยอนแล้วก็สงสารมึงขึ้นมา” เขารู้สึกละอายใจเหลือเกินที่ปิดกั้นคนรักไม่ให้ออกไปทำงานทำการเป็นแม่พิมพ์ของชาติ ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่อยากให้ไอ้กรังไปลำบากทั้งที่จริงแล้วกูแค่กลัวมันติดสาว
“มันไม่สายไปหน่อยเหรอที่รัก กูเรียนจบมาห้าปีกว่าแล้วมึงเพิ่งมาคิดได้อะไรตอนนี้” ถ้าเป็นรายการทีวีคงมีเสียงหมัดฮุคหลังจากที่จงอินพูดประโยคนี้จบ
“เออจริง” ทั้งคู่เงียบไปอีกครั้งแล้วฟังเสียง MC ในทีวีพูดไปเรื่อย ๆ “จงอิน”
“อ่า” ชายหนุ่มขานตอบในลำคอ นานมากแล้วที่เขาไม่ได้ยินเซฮุนเรียกด้วยชื่อนี้ ปกติถ้าไม่ไคจ๋าก็ต้องเชี่ยถ่านหรืออะไรต่าง ๆ บนโลกที่หาความดีไม่ได้ จากบรรยากาศและบทสนทนาแปลก ๆ เมื่อครู่ทำให้เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอะไรบางอย่าง
“วันนี้เป็นวันครบรอบ”
“ห้ะ”
“มึงจำไม่ได้สินะ” เซฮุนหันไปมองตัดพ้อคนข้าง ๆ แน่นอนว่าสิ่งที่ไอดอลเงินล้านแสดงออกมานั้นเขาสัมผัสและเข้าใจได้ง่าย ๆ ว่าตอนนี้มันกำลังรู้สึกยังไงอยู่ ถึงฮุนจ๋ามันจะเอนิเวอร์อยู่ทุกปีก็เถอะแต่ยอมรับแบบเหี้ย ๆ ก็ได้ว่าคิมจงอินผู้นี้ไม่เคยจำได้เลย
“ขอโทษ” ไม่รู้จะว่าไงเลยจุดนี้ จงอินดูดนิ้วทั้งห้าที่เลอะคราบซอสพริกก่อนจะละไปกุมมือคนข้าง ๆ แล้วทำหน้าหงอย ถ้าจะทำหน้าเซ็งแล้วบอกว่า ‘มึงจะใส่ใจทำไมวะที่รักกะอีแค่วันครบรอบ’ ก็จะโดนถีบตกเตียงอีกล่ะ
“กูก็จำไม่ได้เหมือนกัน นี่มือถือแจ้งเตือนเลยรู้” ไอดอลหนุ่มหยิบมือถือขึ้นมาโชว์หน้าตาเฉยแล้วปล่อยให้ความเงียบและความว้าเหว่แดกหัวกันและกันอีกครั้ง ห่าเอ้ย กูก็นึกว่ามึงจะดราม่า
“จะคบนานแค่ไหนก็ช่างมันเถอะ ขอแค่มึงจำวันแรกที่เรามีกันได้ก็พอแล้วที่รัก” จงอินกุมมือแน่นขึ้นพร้อมกับส่งสายตาหวานซึ้งไปชนิดว่าไอดอลเงินล้านอย่างมันต้องระทวยกันไปข้าง เซฮุนหลุบตาลงมองมือกรัง ๆ ที่ยังเลอะน้ำลายอยู่ก่อนจะเงยหน้าขึ้น อยากจะชักมือกลับเพราะความซกมกแต่ก็กลัวอีไคจ๋าจะเฟล
“แล้วมึงจำได้ไหมว่าเรื่องของเรามันเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่”
“จำได้สิ...วันนั้นเป็นวันที่...”
“ทางนี้ ๆ”
“เอาเลย ๆ สามแต้มนะเซฮุน!!” เขาได้ยินเสียงตะโกนในสนามบาสชัดเจนดี ร่างบางหันซ้ายขวาเพื่อหาจังหวะชู้ตสามแต้มตามที่เพื่อนร่วมทีมบอก แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลยแม้กระทั่งการเลี้ยงลูกเอาไว้ในมือ
จังหวะนั้นหันไปเห็นเพื่อนสนิทที่อยู่ไม่ห่างจากตรงนี้ จงอินกำลังมองมาที่เขาด้วยสีหน้าแน่วแน่ เซฮุนเอี้ยวตัวหลบคนตัวสูงที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังและกำลังหวังจะแย่งบอลจากเขาก่อนจะส่งต่อไปยังเพื่อนสนิท
เด็กหนุ่มกระโดดรับลูกบาสได้ก่อนฝั่งตรงข้ามอย่างฉิวเฉียด เสื้อแขนกุดสีขาวดำเลิกขึ้นจนเห็นหน้าท้องสีแทนก่อนที่ไนกี้สีเดียวกันกับชุดจะเหยียบลงบนพื้น แน่นอนว่าตอนนี้ทีมฝั่งตรงข้ามกำลังคิดหนักเมื่อลูกบาสตกไปอยู่ในมือตัวปั่นประสาทอย่างคิมจงอิน
ไม่ใช่แค่ฝีมือการเล่นที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกหงุดหงิด แต่มันรวมถึงสีหน้าท่าทางการแสดงออกของเด็กผู้ชายคนนี้ด้วย จงอินยักคิ้วขณะเลี้ยงลูกบาสอยู่กับที่ แน่นอนว่าการเล่นสงครามประสาทกับพวกเด็กปีสามมันคือเรื่องสนุก
“สักทีเถอะห่า”
“โห ไม่รีบดิพี่” เด็กหนุ่มหัวเราะ ในปากยังคงเคี้ยวหมากฝรั่งเหมือนอย่างเคย
เซฮุนยืนมองเพื่อนสนิทไม่ละสายตา เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าการเต้นของหัวใจมันแปลกเข้าไปทุกทีตอนที่มองหน้าจงอิน มันสักพักแล้วล่ะที่เขาเป็นแบบนี้ แล้วมันก็แย่มาก ๆ ที่จะต้องพยายามทำตัวให้เป็นปกติทั้งที่กำลังรู้สึกผิดปกติสุด ๆ
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ไอ้ดำมันดูเท่ไปหมด ทั้ง ๆ ที่หน้ามันก็บ้าน ๆ ไม่ได้โดดเด่นเลยด้วยซ้ำ หลายครั้งที่โอเซฮุนเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับมันว่าใครมีข้อดีมากกว่า ซึ่งการตัดสินก็รู้ ๆ กันอยู่นับจากจำนวนผู้หญิงที่เข้าหา แต่ถามว่าทำไมถึงต้องเปรียบเทียบในเมื่อมันไม่ได้อะไรขึ้นมาเลยนอกจากความผิดปกติทางด้านความรู้สึกของเขา
เราสองคนสนิทกันมากถ้าเทียบกับแบคฮยอนที่ชอบหมกตัวอยู่กับการเรียน แต่ก็ใช่ว่าไอ้เตี้ยนั่นจะดูเป็นส่วนเกินอะไรหรอกนะ เพราะคำว่าเพื่อนในความคิดของโอเซฮุนนั้นไม่จำเป็นต้องทำเหมือนกันทุกอย่าง ไม่ต้องชอบเหมือนกันก็ได้แต่ขอแค่คุยกันรู้เรื่องและเข้าใจกันก็พอ
ไอ้จงอินชอบเล่นเกมและเซฮุนก็ชอบเหมือนกันแต่ไม่ได้ถึงขั้นติด แต่ที่ทำเป็นเหมือนว่ามีความสุขนักหนาตอนเกมใหม่ออกก็เพราะว่าจะได้มีเวลาอยู่กับไอ้เวรนั่นมากขึ้นโดยที่ไม่ต้องหาข้ออ้างอื่น
มันโคตรตลกสิ้นดีเลยว่ะ ทำไมคนหล่อ รวย ดูดี เพอร์เฟ็คอย่างโอเซฮุนถึงต้องมาทำอะไรแบบนี้ทั้งที่มีผู้หญิงอีกเป็นสิบตามจีบอยู่ บาสนี่ก็เหมือนกัน เขาไม่ได้รู้สึกหลงรักมันเหมือนกับไอ้จงอินเลยสักนิด แต่ที่เล่นก็เพราะว่าอยากอยู่กับมันเท่านั้นแหละ
เคยถามตัวเองในกระจกว่าเป็นเกย์หรือเปล่าแต่ก็ไม่อยากยอมรับ เพราะเด็กหนุ่มก็ไม่เห็นว่าคนอื่นจะเข้าตาเลยสักคนแม้กระทั่งรุ่นพี่ยุนโฮที่เรียนจบไปเมื่อหลายปีก่อนก็ยังดูธรรมดาในสายตาเขา
เซฮุนพยายามถอยห่างออกมาทีละนิดโดยทำเหมือนว่าติดโซเชียลเน็ตเวิร์ค ทั้งที่มันก็ไม่ได้สนุกอะไร เขาคิดแค่ว่าจะทำยังไงในหัวถึงจะลบภาพไอ้กรังนี่ออกไปได้แล้วให้เรื่องอื่นกลบทับเข้ามาแทน
“...!!!”
เด็กหนุ่มตัวขาวนิ่วหน้าเซถอยหลังก่อนจะล้มลงไปกับพื้นซีเมนต์หลังจากถูกลูกบาสอัดหน้าโดยไม่รู้ตัว ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามารุมล้อมและหนึ่งในนั้นคือเพื่อนสนิทของเขาที่เข้ามาถึงก่อนใคร
“เป็นไรเปล่าวะ?” เซฮุนส่ายหน้า ร่างบางกุมจมูกตัวเองแล้วปรือตามองก่อนจะเห็นว่าตอนนี้เพื่อน ๆ กับพี่ปีสามในสนามกำลังยืนมุงดูอาการของเขา “ใจลอยไปถึงไหนแล้วมึงเนี่ย เมื่อกี้อดสามแต้มเลย”
จงอินหัวเราะแล้วก้มหัวลงพร้อมกับจับแขนเขาพาดไหล่ส่วนมืออีกข้างก็ช่วยประคองเอวเขาให้ลุกขึ้นยืน ทั้งเพื่อนและรุ่นพี่ในสนามพอเห็นว่าร่างบางไม่ถึงกับตายก็กระจายตัวกลับเข้าไปในสนาม โอเซฮุนก็ยังคงงง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ถึงอย่างนั้นตัวเขาก็ปล่อยให้เพื่อนสนิทหิ้วปีกไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ยาวที่มีขวดน้ำกับกระเป๋านักเรียนวางกองกันอยู่
“โหเลือดกำเดาออกด้วย โทษเว้ย” จงอินนั่งลงยอง ๆ พร้อมกับเงยหน้ามองเพื่อนตัวบางที่ตอนนี้สีหน้าไม่สู้ดีนัก เซฮุนแตะปลายนิ้วลงใต้จมูกก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลงเพราะยังรู้สึกเจ็บอยู่
“ฝีมือมึงเหรอ”
“เออ แต่ไม่ได้ตั้งใจนะ กูเห็นมึงมองอยู่ก็นึกว่ารอ”
“รอห่าไรล่ะ กูหาจังหวะชู้ตยังไม่ได้เลย” ร่างบางรับผ้าขนหนูสีเข้มขึ้นมาซับจมูก กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของมันทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาได้เหมือนกับทุกครั้งที่ใส่เสื้อผ้าของจงอินเวลาไปค้างด้วย
ใช่ เขาชอบกลิ่นของจงอิน
“โชคดีที่มึงไม่ได้ทำดั้งมา” จงอินยิ้มขำแล้วก้มลงผูกเชือกรองเท้าให้คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เด็กหนุ่มมองการกระทำของคนตรงหน้าก็ใจเต้นแรงอีกแล้ว บางทีถ้าไอ้ห่านี่ทำตัวถ่อย ๆ ใส่เขามันอาจจะง่ายกว่าในการตัดใจ เพราะโอเซฮุนก็ไม่อยากรู้สึกอะไรกับมันมากไปกว่านี้แล้วจริง ๆ
“ถ้ากูทำมึงได้ขายบ้านมาจ่ายให้ค่ารักษากูแน่”
“ไรวะ นี่มึงกล้าเรียกร้องค่าเสียหายกับเพื่อนจน ๆ ได้ลงคอเลยเหรอ นี่ถ้าไอ้เตี้ยอยู่ด้วยกูจะบอกให้มันประนามมึง” จนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่เงยหน้าขึ้นมา แถมยังพลิกข้อเท้าของเขาดูอาการอีกด้วย
“ตีนกูไม่ได้เป็นอะไร”
“กูว่ามึงเปลี่ยนรองเท้าเหอะเซฮุน” จงอินยังคงง่วนอยู่กับรองเท้าของเขา แน่นอนว่ามันเป็นแค่รองเท้าผ้าใบที่ราคาแพงกว่าโรงเรียนขาย แต่มันก็ไม่ได้เหมาะที่จะเอาไว้เล่นบาสเก็ตบอล ซึ่งตัวเขาก็ปวดเข่าปวดขาเพราะมันมาแล้ว
“เปลี่ยนทำไม”
“มึงเล่นบาสกับกูออกจะบ่อย ถึงจะไม่ใช่นักบาสทีมโรงเรียนก็เถอะแต่ถ้าจะเล่นเรื่อย ๆ เอาความสะดวกสบายก็น่าจะซื้อเฉพาะไปเลยนะ ลองขอให้พ่อมึงซื้อรองเท้าดี ๆ ให้สักคู่ดิ” กูจะไปรู้ไหมล่ะ ก็ไม่ได้รอบรู้เรื่องกีฬาขนาดนั้น นี่เล่นก็เพราะว่ามีมึง ส่วนกติกาการเล่นก็พอจำได้บ้างตอนเรียนม.ต้น ส่วนที่เหลือก็ไปศึกษาเอาในอินเทอร์เน็ต
“มึงว่าแบบไหนดีกว่าล่ะ”
“อืม...” จงอินเงียบไประหว่างใช้ความคิด เด็กหนุ่มผละตัวออกมานั่งลงบนพื้นซีเมนต์แล้วชันเข่าทั้งสองข้างขึ้น เขาเห็นว่าคิ้วสีเข้มนั้นกำลังขมวดเข้าหากัน มันทำให้โอเซฮุนรู้สึกดีอีกแล้วที่ไอ้เวรนั่นกำลังคิดเรื่องของเขา “NIKE ก็นุ่มดีนะ ช่วยเซฟซับแรงกระแทกด้วย แต่มึงไม่ได้เป็นนักบาสเล่นขำ ๆ งี้ก็ลอง ADIDAS ไหมล่ะกูว่ามันทนปูนดี”
“อ่าฮะ”
“แต่ถ้าชอบคอมโบ นุ่ม ทน กระชับก็จัด Jordan ไปเลยก็ได้ แต่ถ้าถามว่าอันไหนดีที่สุดก็คงบอกไม่ได้ว่ะ เพราะเรื่องเซฟตัวเองนี่จะพึ่งรองเท้าอย่างเดียวไม่ได้ มันอยู่ที่ตัวคนด้วย ต่อให้ใส่รองเท้าคู่เป็นแสนวอนแต่ทรงตัวไม่ดีข้อเท้าก็พลิกได้เหมือนกัน” จงอินจะดูจริงจังมากเวลาพูดเรื่องที่มันชอบ อย่างเช่นตอนนี้ “มึงชอบแบบไหนล่ะเดี๋ยวกูพาไปเลือกดูก่อน กว่าจะซ้อมบาสลงแข่งกีฬาสีก็อาทิตย์หน้ากูยังพอมีเวลาอยู่”
เชื่อเถอะว่าตอนนี้ในหัวของโอเซฮุนไม่มีเรื่องรองเท้าอยู่เลยสักนิด เด็กหนุ่มกำลังคิดว่า ‘ไปเลือกดู’ ของจงอินนั้นคือการไปด้วยกันสองคนใช่ไหม? มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เขาสองคนจะไปไหนมาไหนด้วยกัน ถึงจะมีแบคฮยอนไปด้วยแต่ก็ไม่ได้รู้สึกแตกต่างกันมากนัก ถ้าจะต่างไปจากเดิมก็ตอนที่เขาเริ่มคิดไม่ซื่อนี่แหละ...ให้ตายเถอะ โอเซฮุนจินตนาการไม่ออกเลยว่าถ้าวันหนึ่งไอ้จงอินมันรู้เรื่องนี้แล้วจะเป็นยังไง
เราคงเข้าหน้ากันไม่ติดเพราะคำว่า ‘เกย์’ แน่ ๆ
“ไม่อ่ะ ช่วงนี้กูติดสาวในไซเวิลด์ คงไม่มีเวลาไปกับมึงหรอก” เหมือนกับผีผลักให้พูดออกไป เซฮุนเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองเป็นไอ้โง่ที่กำลังทำเรื่องถูกต้องก็ตอนที่เห็นอีกฝ่ายนิ่งไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นมันก็ไหวไหล่แล้วเอื้อมไปคว้าขวดน้ำมาเปิดดื่ม
เห็นไหมล่ะว่ามันก็ไม่ได้ใส่ใจ ไอ้จงอินก็แค่หวังดีเลยอยากแนะนำรองเท้าดี ๆ สักคู่ให้คนมีตังค์อย่างเขาแค่นั้น มันไม่ได้แซวหรือชักสีหน้าหาว่าเขาเห็นผู้หญิงดีกว่าเพื่อนเลยถ้าเทียบกับไอ้แบคฮยอน
มันเป็นเรื่องน่าสมเพชที่โอเซฮุนกำลังผิดหวังเพราะอีกฝ่ายไม่แสดงท่าทีอะไรออกมาเลยสักอย่าง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติของเด็กผู้ชายทั่วไปที่จะแสดงออกแบบนี้เวลาได้ยินเพื่อนสนิทบอกว่ามีนัดกับผู้หญิง
คาดหวัง...ใช่...เขาแอบคาดหวังอยู่ลึก ๆ ว่าไอ้จงอินจะห้ามหรือประชดประชันเป็นตุ๊ดบ้างแต่มันกลับเฉย และที่เห็นอยู่ในตอนนี้มันทำให้เขาแน่ใจแล้วว่าควรจะให้ทุกอย่างมันเดินไปในทางไหน
โอเค...โอเซฮุนควรหยุดความรู้สึกตัวเองก่อนที่มันจะมากไปกว่านี้
“มึงไม่กลับเข้าสนามแล้วเหรอ”
“ไม่ล่ะ เดี๋ยวกูไปส่งบ้านแล้วกัน ปวดดั้งแบบนี้กูกลัวมึงหน้ามืดล้มกลางทาง” เด็กหนุ่มว่าแล้วลุกขึ้นคว้ากระเป๋าเป้
“ได้ข่าวว่าบ้านมึงก็อยู่คนละฟาก” เซฮุนยังคงนั่งอยู่กับที่โดยไม่เอื้อมไปเอากระเป๋าเป้ของตัวเอง
“กูพอมีตังค์จ่ายค่าแท็กซี่ คิดซะว่าชดใช้ที่อัดบอลใส่หน้ามึงแล้วกัน” ถ้าจะพาขึ้นรถเมล์ก็คงหลายต่ออีกทั้งช่วงเย็นคนก็เยอะกลัวคนเพิ่งโดนบอลอัดรู้สึกไม่สบายตัวเลยคิดว่ากลับทางแท๊กซี่น่าจะดีที่สุด
“ไม่ต้อง” จงอินขมวดคิ้วมองอีกคนที่หยัดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เซฮุนคว้ากระเป๋าเป้แล้วมองหน้าเขาก่อนจะเดินถอยหลังทีละก้าว “กูมีนัดแล้ว แยกกันกลับเหมือนเดิมแล้วกัน”
“อ้าว นัดไรวะทำไมกูไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“กับคนที่กำลังคุย ๆ อยู่ เขาเพิ่งส่งเมจเสจมาบอกกูว่าอยากเจอ” ทั้งคู่ยังคงสบตากันอยู่อย่างนั้นแม้ว่าคนปากดีจะถอยหลังห่างออกไปทุกทีแล้ว จงอินไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรให้เขาคาดเดาได้ ไอ้เวรนั่นเพียงแค่ปั้นสีหน้าเรียบเฉยพร้อมกับมองมาที่เขาเท่านั้น
“งั้นก็ตามใจ”
“เออ”
เด็กหนุ่มเอี้ยวตัวหันหลังให้อีกฝ่าย กระชับเป้สะพายแล้วเดินไปข้างหน้าด้วยความรู้สึกอัดอั้นเกินบรรยาย ไม่ได้อยากทำแบบนั้นเลยสักนิด เขารู้ว่ามันโคตรจะงี่เง่าที่ต้องพูดตรงข้ามกับความรู้สึก แต่ให้ทำไงได้...อย่างน้อยคำว่า ‘มีคนที่กำลังคุยอยู่’ มันก็ช่วยกลบเกลื่อนความรู้สึกที่เขามีต่อมันได้บ้าง
หลังจากวันนั้นเซฮุนก็ตีตัวออกมาและให้เพื่อนทั้งสองคนเข้าใจว่าเขากำลังเห่อโซเชียลเน็ตเวิร์คที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่เด็กวัยรุ่นเช่นไซเวิร์ล ไฮไฟฟ์ เอ็มเอสเอ็น ทุกอย่างมีครบหากแต่โอเซฮุนไม่ได้รู้สึกสนุกไปกับมันเลยสักนิด
เพราะไม่มีคิมจงอิน
หลายครั้งที่ทำได้แค่มองเพื่อนสนิทเล่นบาสอยู่ห่าง ๆ เกมออนไลน์ที่เล่นด้วยกันก็ปล่อยร้างรกเดสก์ท็อปไว้ให้แทงใจเล่น ๆ ว่าอย่ากดเข้าไปเล่น มันโคตรจะเศร้าเลยที่เขาถอยออกมาเรื่อย ๆ แต่กลับรู้สึกชอบมันมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก ชอบจนไม่อยากฝืนทำแบบนี้ต่อไปแล้ว
วันนี้มีทำคัทเอาท์แสตนด์เชียร์ และโอเซฮุนจะไม่มาโรงเรียนเด็ดขาดถ้ารู้ว่าไอ้จงอินก็มาช่วยเพื่อนทำด้วย เขายอมให้เพื่อนทั้งห้องด่าว่าเป็นคนเจ้าสำอางโดนแสงแดดไม่ได้ยังดีกว่าต้องนั่งเงียบไม่พูดไม่จากับมัน
เพราะตอนนี้เขากับไอ้จงอินนั้นห่างกันออกไปจนแทบไม่ได้ยินเสียงกันและกันแล้ว
ถึงจะมีผู้หญิงจากโรงเรียนอื่นรายล้อมอยู่รอบข้างพร้อมไอ้เด็กกะโปกผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหลานของเพื่อนสนิทอยู่ด้วย แต่ในสายตาเขากลับมองเห็นแค่คนกรัง ๆ ที่กำลังตอกตะปูอยู่ข้าง ๆ ไอ้แบคฮยอนที่นั่งทาสีอยู่ตรงป้ายคัทเอาท์
ไม่ไหวแล้ว ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้เขาต้องเป็นบ้าตายเพราะไม่ได้คุยกับไอ้หอกหักนั่นแน่ ๆ
เซฮุนหยัดตัวลุกขึ้นแล้วดันไหล่เด็กสาวที่ยืนมุงอยู่ให้พ้นทาง สองขาก้าวไปข้างหน้าตรงไปยังเพื่อนสองคนที่กำลังนั่งทำคัทเอาท์อยู่ พอได้แล้ว...ทำตัวห่างเหินบ้าบออะไรกันมันไม่ใช่เรื่องจำเป็นเลยสักนิด สู้ให้เก็บความรู้สึกไว้ยังดีกว่าต้องกลายเป็นคนแปลกหน้าในสายตาของไอ้จงอินโอเซฮุนคิดอย่างนั้น
“ทำไมกูต้องอิจฉามันด้วยวะ”
ประโยคนี้ทำให้ฝีเท้าหยุดยืนอยู่กับที่ เซฮุนมองไปยังเสี้ยวหน้าของคนที่กำลังตอกตะปูอยู่ จงอินดูไม่สบอารมณ์นักหลังจากพูดประโยคเมื่อครู่และตัวเขาเองก็เช่นกัน
“เอ้า! กูจะรู้ไหมล่ะ ควายยังเกรงใจที่จะถามคำถามนี้อ่ะ”
“ถ้าจะทำอย่างมันกูก็ทำได้ แต่มันไม่จำเป็นป่ะวะ?”
“เพื่อนพูดถูก”
“ห่า”
“เออน่าปล่อยมัน”
“กูปล่อยนานละ”
ปล่อยงั้นเหรอ?
“ถ้าเพื่อนไม่เข้าใจเพื่อนแล้วจะไปเข้าใจหมาที่ไหนวะถูกป่ะ นี่กูยังสงสัยอยู่เลยว่าทุกวันนี้เป็นเพื่อนกับพวกมึงสองคนได้ยังไง คนนึงบ้าเกมบ้าบาส อีกคนบ้าโลกอินเทอร์เน็ต” แบคฮยอนเอาพู่กันชี้หน้าจงอิน
บทสนทนาของเพื่อนสนิททั้งสองที่กำลังพูดถึงตัวเขาทำให้ขาทั้งสองข้างก้าวไม่ออก ไม่ใช่เพราะกำลังตกเป็นประเด็นจนถูกพูดถึง แต่สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกชาไปหมดนั่นก็คือน้ำเสียงและคำพูดของคิมจงอินที่บ่งบอกว่ากำลังหงุดหงิดแค่ไหนเวลาพูดถึงเขา
“เออ กูเข้าใจแล้ว”
“แน่ใจเหรอว่าเข้าใจ”
นี่คือประโยคสุดท้ายที่โอเซฮุนจำได้ว่าพูดอะไรออกไปก่อนที่ทั้งสองคนจะหันมามองหน้าเขา หลังจากนั้นทุกอย่างมันก็เลือนราง อาจเป็นเพราะเด็กหนุ่มกำลังรู้สึกเจ็บจนรวนไปหมดอยู่ล่ะมั้ง พอรู้ตัวอีกทีจงอินก็เดินหนีไปแล้ว...
“กูกลับก่อนนะ”
เสียงของเพื่อนสนิทเรียกให้หลุดออกจากความคิด เซฮุนมองสองน้าหลานที่มานั่งเล่นนอนเล่นอยู่บ้านเขาก่อนจะพยักหน้าส่ง ๆ แล้วเดินไปส่งมันขึ้นรถเมล์หน้าหมู่บ้าน ไอ้เด็กหูกางหันมาโบกมือให้เขาพร้อมกับส่งจูบ ถ้าเป็นปกติโอเซฮุนคงยกตีนให้แล้วบอกว่ารีบกลับไปดูดนมแม่เถอะ แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์ทำอะไรทั้งนั้น
กลับมาอยู่คนเดียวอีกแล้ว เซฮุนมองเหม่อไปยังถนนใหญ่ที่มีรถราวิ่งผ่านไม่ได้ขาดช่วง วูบหนึ่งเขารู้สึกว่างเปล่าจนอยากร้องไห้ออกมายังไงอย่างนั้น แน่นอนว่าตลอดเวลาหลายชั่วโมงที่อยู่กับสองน้าหลานเขาต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการอดกลั้นที่จะไม่ร้องไห้ออกมา
ไม่เคยคิดเลยว่าไอ้ชั่วนั่นมันจะมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเขาขนาดนี้ มันเป็นใครกันวะ กะอีแค่ผู้ชายธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่ติสม์แตกชอบถ่ายรูปบ้า ๆ อัพลงไซเวิลด์แล้วใส่คำคมกาก ๆ เข้าไป ไอ้หอกหักที่ชอบคุยเรื่องเกมกับการ์ตูนเป็นตุเป็นตะอย่างกับว่าชีวิตคงไม่มีอะไรวิเศษเท่านี้อีกแล้ว แดกเก่งก็ที่หนึ่ง อีกทั้งผิวสีแทนที่พอทาบกับแขนของเขาแล้วมันสีตัดกันจนเพื่อนเรียกว่าคู่หูหยินหยางนั่นน่ะ
เพราะตัวสูงเท่า ๆ กัน
เพราะชอบอะไรเหมือนกัน
เพราะสนิทกัน
แต่เรา...ไม่ได้รู้สึกเหมือนกัน
ถ่ายรูปน้ำฝนที่เกาะอยู่ตามประตูระเบียงกระจกแล้วอัพลงไซเวิลด์พร้อมกับแคปชั่นใต้ภาพว่า ‘ไม่ชอบฝน’ ไม่ถึงนาทีก็มีคนแห่มาเมนท์รูปโง่ ๆ ว่า ‘เดี๋ยวมันก็หยุดแล้ว ไม่เป็นไรนะเซฮุนเราอยู่ตรงนี้’ ซึ่งตัวเขาไม่ได้รู้สึกดีเลยสักนิดที่มีคนเป็นร้อยกำลังให้ความสนใจในตัวเขา
โอเซฮุนไม่ได้อยากให้ใครมาปลอบ สิ่งที่เด็กหนุ่มต้องการในตอนนี้คือใครคนหนึ่งที่เคยนั่งหันหลังพิงกันตอนอ่านหนังสือการ์ตูนในวันที่ฝนตกหนักแล้วกินขนมซองเดียวกันหมดไปวันละสี่ห้าห่อ
แต่ดูตอนนี้สิ? ทั้งที่ห้องกำลังอุ่นได้ที่แต่เขากลับรู้สึกหนาวเหน็บไปจนถึงขั้วหัวใจ
ขายาวขดเข้าหาตัวพลางทอดสายตาออกไปนอกประตูระเบียง ตอนนี้ฝนเริ่มซาลงแล้วแต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด เซฮุนซบหน้าลงกับหัวเข่าแล้วถอนหายใจครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ นี่คือผลลัพธ์ของการแอบรักเพื่อนสินะ มันคือบทลงโทษที่เขาคิดไม่ซื่อกับเพื่อนสนิทของตัวเอง
ทั้งที่ไอ้ห่านั่นไม่ผิดเลยสักนิด มันก็อยู่ของมันอย่างนั้นแต่ตัวเขาต่างหากที่ดิ้นไปเองคนเดียว เริ่มรักเองแล้วก็จบด้วยตัวเอง ทรมานสิ้นดี
“...”
ชำเลืองมองไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เปิดทิ้งไว้หลังจากได้ยินเสียงเอ็มเอสเอ็นเด้งขึ้นมา ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติที่จะมีคนทักมาคุยกับเขา แต่ที่ทำให้ร่างกายขยับไม่ออกนั่นก็คือชื่อของคนที่ทักมาเมื่อครู่นี้ต่างหาก
จงอิน : ทำไร
คำถามปกติทั่วไปที่ไม่ได้มีความหมายนัยยะอะไรให้คิดเป็นอย่างอื่น แต่เชื่อเถอะว่ามันทำให้คนที่กำลังตกอยู่ในความเศร้าดีใจจนน้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เซฮุนวางมือลงบนคีย์บอร์ด ร่างบางไม่รู้แม้แต่วิธีการตอบโต้กลับไปทั้งที่เขามีสิทธิ์จะหยาบคายกับมันแค่ไหนก็ได้
คุณ : นั่งหายใจเฉย ๆ แล้วมึงล่ะ?
จงอิน...กำลังพิมพ์...
เกิดมาไม่เคยเป็นฝ่ายต้องรอใคร แล้วไอ้ชั่วนี่ก็เป็นคนแรกที่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสภาพกระวนกระวายแบบนี้ มันยากมากเหรอกะอีแค่ตอบกลับมาว่าทำอะไรอยู่ คนที่ต้องใช้ความคิดกับการตอบคำถามมันคือตัวเขามากกว่าไหม?
จงอิน : กูอยากเจอมึง
คราวนี้เห็นทีว่าไอ้หอกนั่นจะต้องเป็นฝ่ายต้องรอบ้างแล้วล่ะ เพราะตอนนี้โอเซฮุนกำลังเจอกับปัญหาระดับโลกที่ไม่รู้ว่าจะต้องตอบยังไงกลับไปให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุดทั้งที่กำลังดีใจขนาดนี้
คุณ : ทำไมวะ
จงอิน : เมื่อกลางวันอ่ะ ขอโทษ
คุณ : เออ ไม่เป็นไร ช่างเหอะ
จงอิน : มึงก็เหี้ยเองที่ทำให้กูโมโห
คุณ : มึงก็เหมือนกัน
ไอ้จงอินไม่ตอบอะไรกลับมาอยู่พักใหญ่ ๆ จนกระทั่งมันออฟไลน์ไป แน่นอนว่าตอนนี้โอเซฮุนยังคงจับจ้องอยู่ที่หน้าต่างแชทเดียวทั้งที่ไอคอนสีส้มยาวเต็มแถบทาสก์บาร์ ระหว่างรอมันกลับมาออนก็วางมือลงบนคีย์บอร์ดอีกครั้งแล้วพิมพ์ถามว่า ‘มึงหายไปไหน’ ถ้าไอ้จงอินเข้ามาใหม่คงเห็นข้อความนี้ แต่ยังไม่ทันกดปุ่มเอ็นเทอร์เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นเสียก่อน
“เซฮุน จงอินมาหาน่ะลูก”
60%
ในห้องสี่เหลี่ยมเงียบ ๆ ไม่มีเสียงอะไรเลยแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของตัวเองโอเซฮุนก็ไม่ได้ยิน เด็กหนุ่มวางกระป๋องโค้กลงบนพื้นพรมตรงหน้าเพื่อนสนิทที่นั่งพิงกับเตียงก่อนจะหยัดตัวนั่งลงข้าง ๆ ซึ่งตัวเขานั้นเว้นระยะห่างไว้พอสมควร
“จะออฟก็ไม่บอกนะมึง”
“บอกไม่บอกก็มีค่าเท่าเดิมป่ะวะเพราะกูก็ถ่อหนังหน้ามาถึงนี่แล้ว” อยากตบหัวไอ้เชี่ยนี่จริง ๆ ถ้าไม่ติดว่าชอบมันไปแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกันจนมาถึงวันนี้สันดานของคิมจงอินเคยเป็นยังไงก็ยังเป็นอย่างนั้นไม่มีผิด ทั้งคู่มองไปยังทีวีจอใหญ่ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะราคาแพง บางทีเขาควรจะเปิดรายการอะไรสักอย่างเพื่อให้ช่วยทำลายความเงียบในตอนนี้บ้าง
“ที่บอกว่าอยากเจอกูอ่ะ มึงมีอะไรจะพูดเปล่าวะ” มันยากจริง ๆ ที่ต้องพยายามปรับน้ำเสียงและบทสนทนาให้ดูธรรมดาที่สุด เซฮุนกำมือแน่น เขาไม่เคยรู้สึกประหม่าขนาดนี้มาก่อนเลย
“มีดิ” จงอินเว้นช่วงไปนานพอสมควรและมันควรสำเหนียกได้แล้วว่าตอนนี้มีคนรอให้มันพูดต่ออยู่ “กูว่ามันแย่ว่ะที่เราไม่คุยกันแบบนี้”
“...”
“มึงเป็นไรวะเซฮุน” เจ้าของชื่อไม่ได้ตอบในทันที ซึ่งคำถามนี้เด็กหนุ่มก็เคยถามตัวเองมานับครั้งไม่ถ้วนว่าเขาเป็นอะไรกันแน่
แต่คนเราก็เป็นซะแบบนี้ พอมีความรักแล้วก็สูญเสียความเป็นตัวเองจนควบคุมอะไรไม่ได้เลย กลายเป็นคนโง่ที่ไม่รู้จักแม้แต่วิธีเลือกการแสดงออก ทั้งที่โอเซฮุนสามารถปั่นหัวเด็กผู้หญิงได้เป็นร้อยเป็นพันคนแท้ ๆ แต่เชื่อเถอะว่ามันใช้กับคิมจงอินไม่ได้เลย
“มึงหงุดหงิดที่กูเป็นแบบนี้เหรอ” เด็กหนุ่มผินหน้าหันไปถามเพียงเล็กน้อย เขาเห็นเพียงแค่กางเกงยีนส์สีเข้มของคนข้าง ๆ ที่อยู่ใกล้กระป๋องน้ำอัดลมเท่านั้น โอเซฮุนไม่กล้าแม้แต่จะมองดูว่าตอนนี้คิมจงอินกำลังทำหน้าแบบไหน
“ถึงจะไม่อยากตอบอย่างนั้นแต่กูยอมรับก็ได้ว่าใช่”
“แล้วมึงรู้สึกยังไง” ไหน ๆ ก็ได้พูดแล้วงั้นก็เคลียร์ไปเลยแล้วกัน เด็กหนุ่มบอกตัวเองในใจว่าอย่าเพิ่งพูดอะไรมากไปกว่านี้จนกว่าจะทนไม่ไหวจริง ๆ เพราะถ้าขืนโพล่งออกไปว่าชอบ ไอ้จงอินคงช็อกจนหนีกลับบ้านไม่ทันแน่ ๆ
“ก็บอกแล้วไงว่าหงุดหงิด มันมีคำซ้อนของคำนี้ด้วยเหรอวะ”
“ไม่มี แต่กูอยากรู้เผื่อมันจะมากกว่านั้น”
“ไม่มีหรอก”
“เออ ก็แค่นั้นแหละ”
เซฮุนประสานมือไว้บนหน้าขาส่วนสายตากำลังจับจ้องไปยังกรอบรูปที่ตั้งอยู่ข้างเครื่องเสียง มันคือภาพถ่ายของเขาสามคนตอนไปทัศนศึกษาปีที่แล้ว น่าแปลกนะ ทั้งที่ตอนนั้นเดินกอดคอกันปีนขึ้นเนินเขาก็ไม่เห็นจะรู้สึกอะไร แต่ตอนนี้แค่หายใจข้าง ๆ มันหัวใจของโอเซฮุนก็เต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว
“อันที่จริงกูมี”
เด็กหนุ่มหันไปมองคนข้าง ๆ ที่เพิ่งถอนหายใจออกมาราวกับว่ากำลังอึดอัดกับความคิดในหัว จงอินหันมาสบตากับเพื่อนสนิท แววตาคู่นั้นดูประหม่าและไม่เป็นตัวของตัวเอง นี่เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่เขาสองคนมองหน้ากันนาน ๆ ได้โดยที่ไม่ระเบิดหัวเราะออกมาแล้วฟาดแขนกันระบายความตลก
“มึงมีแฟนแล้วเหรอวะ”
“ห้ะ?” เซฮุนเลิกคิ้วขึ้นกับคำถามของอีกฝ่าย แต่เขาก็ได้แต่ส่ายหน้าเป็นคำตอบถึงจะยังงง ๆ อยู่ และดูเหมือนว่าคิ้วหนาที่เคยขมวดเข้าหากันจะค่อย ๆ คลายออกอย่างกับว่าไอ้จงอินกำลังรู้สึกผ่อนคลายทันทีที่ได้ยินเขาพูด
“แล้วผู้หญิงในไซเวิลด์ล่ะ”
“ไม่”
“อ้าว กับคนที่ว่าคุย ๆ อยู่ก็เลิกไปแล้วเหรอ?” หลังจากที่ห่างกันไปเขาก็เลือกไม่รับรู้เรื่องส่วนตัวของเซฮุนอีกเพราะงั้นที่ได้ฟังเมื่อครู่เลยทำให้เขาประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
เขาเห็นว่าเซฮุนนิ่งไป คิมจงอินเพิ่งรู้ว่าคำถามนี้มันอาจจะแทงใจดำเพื่อนสนิทได้ถ้าเกิดว่ามันกับผู้หญิงคนนั้นจบไม่สวย เด็กหนุ่มผิวสีแทนถูจมูกเบา ๆ เขากำลังพยายามหาทางออกให้กับความอึดอัดที่ทั้งคู่มีต่อกันในตอนนี้
“กูโกหก”
“...”
“กูไม่เคยคบกับผู้หญิงคนไหน”
“...”
“เพราะกูมีคนที่ชอบอยู่แล้ว”
เพิ่งรู้ตัวว่าบีบมือตัวเองแน่นก็ตอนรู้สึกเจ็บ แต่ถึงอย่างนั้นคนที่เพิ่งพูดประโยคกล้าตายก็ยังไม่คลายมือออก โอเซฮุนไม่กล้าหันไปมองว่าตอนนี้ไอ้เวรคิมจงอินกำลังทำหน้าแบบไหน เพราะเขาคงเฟลไปถึงชาติหน้าแน่ ๆ ถ้าเกิดว่าอีกฝ่ายกำลังเบ้หน้าเป็นเชิงบอกทางอ้อมว่า
‘กูไม่เชื่อมึงหรอก’
“ใครวะ” อาจเป็นเพราะห้องนี้เงียบมากเขาถึงได้ยินคำถามนี้แม้ว่าเสียงมันจะเบาบางกว่าประโยคก่อน ๆ เซฮุนรู้สึกว่าตัวเองเป็นไอ้โง่ยิ่งกว่าเดิมก็ตอนที่เขาส่ายหน้าเป็นคำตอบแทนที่จะโกหกไปก็ได้ว่าเป็นผู้หญิงโรงเรียนไหนสักแห่ง “มึงชอบเขามานานยัง?”
“ก็พอสมควร”
“แล้วจะคบกับเขาเปล่า”
“กูไม่รู้”
“ทำไม”
“เพราะกูไม่เคยบอกเขาว่ารู้สึกยังไง”
“ทำไมถึงไม่บอกวะ”
“แล้วทำไมมึงต้องเอาแต่ถามว่าทำไม ๆ ด้วยวะ” เซฮุนขมวดคิ้วหันไปมองคาดโทษเพื่อนสนิทที่เอาแต่ไล่ต้อนให้พูดอยู่ได้ ถ้าเกิดเขาหลุดปากออกไปแล้วจะทำยังไง
“ถามโง่ ๆ ก็เพราะว่ากูอยากรู้ไงไอ้ชิบหาย” จงอินสวนกลับมาโดยไม่ทิ้งจังหวะให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว ทั้งคู่สบตากันนิ่งโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก
พวกเราดูเหมือนกันไปหมดแม้กระทั่งท่านั่งและสีหน้าในตอนนี้ คิ้วของเรากำลังขมวดเข้าหากันกับความหงุดหงิดที่อีกฝ่ายพูดออกมา ทำไมมันน่าอึดอัดแบบนี้ เซฮุนชันขาขึ้นแล้วประสานแขนไว้บนเข่า สุดท้ายมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลยสักนิด
“กูบอกไม่ได้หรอก”
“...”
“ถ้ากูพูด...ทุกอย่างต้องพังแน่”
“เพราะอะไร” อีกแล้ว ทำไมมันต้องถามกลับมาทุกครั้งที่เขาตอบด้วย คนเรามีขีดจำกัดความอดทนไม่เท่ากันนะไอ้เชี่ยจงอินควรจะรู้เอาไว้ และคิดว่าสำหรับเขามันก็คงหมดแล้ว เซฮุนหันไปมองคนข้าง ๆ ที่กำลังรอคำตอบจากปากเขา
ได้จงอิน...มึงทำให้กูต้องพูดเองนะ
“เพราะมึงไง”
“...”
“กูชอบมึงจงอิน”
“...”
“ที่กูทำตัวส้นตีนให้มึงต้องโมโหก็เพราะว่ากูชอบมึงมากเกินไป กูทำเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้วมึงเข้าใจไหม พออยู่ใกล้ ๆ มึงแล้วใจกูไม่เป็นตัวของตัวเองเลย กูอยากอยู่กับมึงนาน ๆ ก่อนนอนก็อยากได้ยินเสียง มีแค่มึงคนเดียวที่กูเอาเรื่องเกมขึ้นมาอ้างเพื่อที่จะได้คุยกันก่อนนอน กูมีความสุขชิบหายตอนที่มึงหลับคาโทรศัพท์ เสียงลมหายใจของมึงทำให้กูรู้สึกว่าไม่ได้นอนอยู่คนเดียว กูจะทำอะไรได้วะ เราเป็นเพื่อนกัน เหมือนกูกับมึงขีดเส้นคั่นไว้แต่แรกแล้วว่ามีสิทธิ์ในตัวกันและกันได้แค่ไหน เพื่อนน่ะ...ต่อให้สำคัญยังไงมันก็มีข้อจำกัด ทำเหมือนที่แฟนทำก็ไม่ได้ แล้วแม่งแย่ตรงที่กูอยากทำกับมึงแบบนั้น” เด็กหนุ่มกำลังลน ทั้งที่ตั้งใจว่าจะพูดสั้น ๆ แต่พอได้ระบายออกมาก็กลายเป็นว่าต้องพูดจนหมดเปลือก
จงอินนั่งนิ่ง และนั่นทำให้คนที่กำลังประหม่ากลัวความจริงยิ่งขึ้นไปอีก บางทีถ้าไอ้เวรนี่ตะคอกใส่หน้าเขาหรือเดินหนีไปเฉย ๆ โอเซฮุนอาจจะรู้สึกดีขึ้นกว่านี้ก็ได้แต่มันไม่ทำอย่างนั้น ไอ้หอกหักยังคงมองไม่ละสายตาอยู่อย่างนั้น ก็รู้ว่ากำลังอึ้งแต่ก็ช่วยแสดงออกอะไรบ้างสิ ไม่ใช่เอาแต่เงียบแบบนี้ ไม่รู้หรือไงว่าคนเขากำลังกลัวมากแค่ไหน
“มึงกลับบ้านเหอะ กูคิดว่ากูพูดหมดแล้ว” รู้สึกชาไปหมดทั้งตัว จนถึงตอนนี้หัวใจของโอเซฮุนยังคงเต้นแรงเหมือนในทีแรกไม่มีผิด
สักสามนาทีได้ไหมที่เราไม่พูดอะไรกันเลย เด็กหนุ่มกระวนกระวายจนทนไม่ไหวเลยหันหน้าเข้าหาอีกฝ่ายเพื่อที่จะย้ำประโยคเมื่อครู่อีกครั้ง แต่มันก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าเพราะไอ้เพื่อนชั่วตัวดีมันยันมือไว้กับพื้นแล้วโน้มใบหน้าเข้ามาจูบ
“...”
เด็กหนุ่มเบิกตาอย่างตกใจ ร่างของเขาเอนไปข้างหลังเพราะแรงกดจูบที่ย้ำเข้ามาราวกับว่าการที่ริมฝีปากแตะกันเพียงเบาบางนั้นมันไม่เพียงพอกับความรู้สึกในตอนนี้ โอเซฮุนไม่สามารถเรียบเรียงเหตุการณ์หรือคำพูดใด ๆ ได้เลย สิ่งที่เขามองเห็นมีเพียงแค่แพรขนตาของไอ้เพื่อนชั่วที่กำลังพยายามดันลิ้นเข้ามาในโพรงปากของเขาเท่านั้น
เด็กหนุ่มค่อย ๆ หลับตาลง เขารู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมาดัง ๆ กับสิ่งที่ได้รับตอนนี้ มันเหมือนกับความฝันที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นจริง ทั้งที่ก่อนหน้านี้กลัวว่าจะไม่สามารถกลับไปเป็นเพื่อนกันได้อีกเพราะระยะห่างที่โอเซฮุนเป็นคนขีดคั่นมันเองกับมือ
แต่ตอนนี้ไม่แล้ว...เขาเชื่ออย่างนั้น
“...”
เซฮุนลืมตาขึ้นเมื่ออีกคนผละริมฝีปากออก ตอนนี้ใบหน้าของจงอินห่างอยู่แค่ช่วงลมหายใจเท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาสองคนมองกันและกันในระยะใกล้ขนาดนี้ ถึงจะรู้สึกแปลก ๆ ไปจากเดิมแต่ก็รู้สึกดี
“มึงนี่มันสุดตีนแล้วเซฮุน”
“...”
“ทำให้กูคิดมากอยู่ตั้งนานเพราะกลัวว่ามึงจะไปชอบใคร สันขวาน” จงอินดึงอีกคนให้กลับมานั่งดี ๆ จนถึงตอนนี้โอเซฮุนก็ยังทำตัวไม่ถูก เขาไม่สามารถตบหัวคนตรงหน้าหรือสาดคำหยาบกลับไปได้เลยสักคำเดียว
“เหรอ ไม่บอกไม่รู้ว่ามึงก็คิดเรื่องกูด้วย” เด็กหนุ่มกุมขมับ พอตั้งสติแล้วถึงได้รู้ว่าเมื่อกี้นี้เขาเพิ่งจะจูบกับไอ้หอกหักไป แถมแลกลิ้นกันอีกด้วย
“กูจะพูดได้ไงก็มึงเป็นเพื่อนกู”
“นั่นดิ” เซฮุนกลืนน้ำลายก่อนจะหันไปมองคนข้าง ๆ ที่กำลังมองเขาด้วยแววตาที่ต่างออกไป แน่นอนว่ามันไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เราเคยมองกันและกัน “แล้วมึงคิดว่าเราควรทำไงดีวะ”
“...ทำห่าไรล่ะ” เสียงของจงอินแผ่วลง ไม่ได้กระแทกแดกดันอย่างที่ชอบเวลาพ่นคำหยาบใส่เขา “มึงชอบกู”
“...”
“ส่วนกูก็ชอบมึง...แล้วจะทำอะไรได้อีกนอกจากเป็นแฟนกันวะ”
จะด่าก็ด่าไม่ออก โอเซฮุนแทบลืมไปหมดแล้วว่าเมื่อก่อนเขามองไอ้เชี่ยนี่ยังไง ลืมไปแล้วว่าเคยพูดคุยกันด้วยคำหยาบประโยคไหนบ้าง ชื่อพ่อชื่อแม่ก็ล้อกันมาเป็นปี ๆ ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะพูดชวนขนลุกแบบนี้ ลืม...ลืมทุกอย่าง...เขาใจเต้นแรงจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว
“โทษทีว่ะ เวลาได้ยินมึงเล่าเรื่องผู้หญิงในไซเวิลด์ทีไรกูก็โมโหทุกที” จงอินถอนหายใจแล้วเอนหลังพิงกับเตียง
“มึงเป็นเกย์เหรอวะจงอิน”
“เปล่า แล้วมึงอ่ะ?”
เขาหันไปมองคนข้าง ๆ ที่กำลังส่ายหน้าเป็นคำตอบ แน่ล่ะ ผู้ชายป๊อป ๆ อย่างไอ้เซฮุนน่ะเหรอจะเป็น เพราะปกติมันก็ไม่มีท่าทีว่าจะชอบผู้ชายด้วยกันแถมยังก่นด่าพวกที่พยายามทำตัวเท่อีกต่างหาก ยอมรับว่าตอนแรกตกใจตอนได้ยินมันบอกว่าชอบเขา แต่ยิ่งกว่านั้นก็คือความรู้สึกดี
“แต่คงได้เป็นเพราะมึงนี่แหละ”
เซฮุนมองมืออีกคนที่เลื่อนมาจับมือเขา บอกเลยว่ายังไงก็ไม่ชินกับสัมผัสแบบนี้รวมถึงจูบที่เพิ่งเกิดขึ้นด้วย มือไอ้จงอินหยาบกร้านแต่พอจับแล้วโคตรรู้สึกดีเลย พอเงยหน้าขึ้นอีกทีก็เห็นมันกำลังยิ้มอยู่ จู่ ๆ ไอ้หน้าปลาตีนอย่างคิมจงอินก็เสือกหล่อขึ้นมาในสายตาเขาเสียอย่างนั้น
“มึงจะเสน่ห์แรงแค่ไหนก็เรื่องของมึง แต่อย่าเลิกชอบกูได้ไหมวะ”
จงอินจับมือเขาแน่นยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าเป็นปกติโอเซฮุนคงขนสวนสัตว์หันไปด่ามันสักหนึ่งย่อหน้ากระดาษถ้าไม่ติดว่าแววตาของมันตอนนี้โคตรอบอุ่นน่ะนะ
“กูอยากให้มึงอยู่ตรงนี้ ที่เป็นทั้งเพื่อนแล้วก็แฟนของกู”
“...”
“กูมั่นใจว่ากูรู้จักมึงดีกว่าผู้หญิงคนไหนในโลก แล้วกูก็มั่นใจมากด้วยว่ากูจะรักมึงได้มากกว่าวันนี้”
“มึงจริงจังมากป่ะเนี่ยห่า...” เซฮุนรู้สึกได้ว่าเสียงของเขากำลังสั่น อีกทั้งแก้มที่กำลังร้อนผ่าวอยู่ตอนนี้ด้วย นี่ไอ้จงอินกะฆ่าเขาให้ตายด้วยคำพูดเลยใช่ไหม นั่นมันไม่ใช่สิ่งที่คนแอบชอบอย่างเขาต้องพูดหรอกเหรอ
“มากกว่าที่มึงคิดแล้วกัน” จงอินหลุบตาลง สีหน้าของมันในตอนนี้เหมือนคนกำลังคิดหนักว่าควรจะพูดยังไงต่อดี
“เหรอ งั้นแสดงว่ามันต้องน้อยมาก” เขาก็ไม่ต่างกันนักหรอก แต่ถ้าจะให้พูดว่า ‘พอเถอะจงอิน กูเขินจนจะระเบิดตัวตายอยู่แล้ว’ มันก็ไม่ใช่เรื่อง
“กูจริงจังถึงขั้นที่ว่าถ้าเรียนจบแล้วก็อยากมีบ้านสักหลังอยู่กับมึงสองคน”
“ห้ะ...”
“แล้วมึงล่ะเซฮุน...มึงจริงจังกับกูมากแค่ไหนวะ”
ช่วงคบกันแรก ๆ โคตรลำบากเพราะต้องแกล้งทำเหมือนทุกอย่างปกติดีถ้าไม่อยากถูกเพื่อนจับได้ เพื่อนที่ว่านั่นไม่ได้หมายถึงไอ้แบคฮยอนนะ เพราะรายนั้นมันบอกว่ารู้แล้วตั้งแต่วันที่เขากับไอ้จงอินทะเลาะกันว่างั้น ก็อยากจะซักไซ้ถามว่ารู้ได้ไงแต่กลัวว่าถามไปถามมาแล้วจะได้เรื่องเลยปล่อยให้มันเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น
หลายครั้งที่หาเรื่องไปค้างบ้านไอ้จงอินเพราะอ้างว่ามีทำรายงานบ้างล่ะ ติวหนังสือสอบบ้างล่ะ เรานอนด้วยกันบนเตียงสามฟุต โอเซฮุนเพิ่งรู้ข้อดีของมันก็ตอนที่รู้สึกว่ากอดกันแน่นขึ้นทั้งที่ก็ไม่ต่างอะไรจากตอนกอดบนเตียงหลังใหญ่ที่บ้านเขา
ถึงจะเป็นแฟนกันแล้วแต่เราก็ยังเหมือนเดิม ทั้งตัวเซฮุนและจงอินก็สบายใจกับการเป็นแบบนี้มากกว่าจะพยายามเปลี่ยนสถานะให้ต่างออกไป อีกอย่าง...เขาไม่อยากให้แบคฮยอนต้องอึดอัดกับการที่เพื่อนในกลุ่มคบกันเองด้วย
ทั้งคู่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น เล่นเกมด้วยกัน อ่านหนังสือการ์ตูน หัวเราะ แล้วก็เปิดหนังโป๊ดูเหมือนอย่างที่เคยทำ ซึ่งเอาจริง ๆ แล้วเราก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิมมากนัก จะมีก็แต่นอนกอด หอมแก้ม จูบกันตอนที่รู้สึกอยากแสดงความรักก็เท่านั้น
เด็กหนุ่มสองคนกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงสามฟุตในคืนวันฝนตก ผ้านวมสีน้ำตาลคลุมขึ้นมาถึงช่วงเอว เสียงขนมขบเคี้ยวสู้กับเสียงสายฝนข้างนอก จงอินวางโน๊ตบุ้คไว้บนตักพร้อมเข้าเวปไซต์หนังโป๊ ถ้าเป็นเรื่องจังไรล่ะก็ขอให้บอกเถอะ ทั้งสองคนน่ะถนัดเป็นไหน ๆ แต่พอหนังเล่นไปได้แค่ห้านาทีจงอินก็กดหยุดเอาไว้และนั่นทำให้เซฮุนขมวดคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ
“เป็นไรวะ”
“ดูเรื่องใหม่กัน”
“ทำไมอ่ะ เรื่องนี้ไม่สนุกเหรอ?” เซฮุนได้แต่เลิกคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ นี่ถ้ามันเคยดูแล้วก็น่าจะบอกกันก่อน หรือว่าไอ้จงอินมันดูบ่อยจนหลง ๆ ลืม ๆ วะ
“เปล่า กูอยากลองดูหนังเกย์”
“...”
“มึงไม่อยากรู้เหรอวะว่ามันได้กันยังไง”
ให้ตายเถอะเจสัน ร้อยวันพันปีกูไม่เคยต้องมาเขินเพราะหนังโป๊แต่นี่ต้องมาหน้าแดงเพราะคำพูดไอ้หอกหักคิมจงอิน แล้วมันก็ไม่ได้พูดเฉย ๆ ด้วยนะ แม่งมองหน้าเขาด้วยไง โอเซฮุนกลอกตาไปมาระหว่างใช้ความคิดก่อนจะทำท่าไหวไหล่แล้วเอนไปนอนหมอนดี ๆ เป็นเชิงบอกว่า ‘แล้วแต่มึงเถอะ’
พอเห็นแฟนไม่พูดอะไรคิมจงอินก็กดออกไปหน้าหลักแล้วเลือกเข้าโหมดหนังเกย์ ร่างบางมองอีกคนที่เอาแต่เลื่อนสกอร์เมาส์ดูรูปตัวอย่างหนังเรื่อย ๆ โดยที่ไม่คิดจะกดเข้าไปดูสักเรื่อง
“หาแบบ SM ไง?” เซฮุนหรี่ตามองอีกคนจากข้างหลัง แต่ไอ้แฟนตัวดีเสือกเงียบไม่ปริปากอีก นี่มึงจริงจังมากไหม “ไหนดูดิ๊” สุดท้ายก็ทนไม่ไหวจนต้องลุกขึ้นมาช่วยเลือกซะเอง
ในความคิดโอเซฮุนหนังเกย์มันก็เหมือน ๆ กันแหละน่าจะคัดสรรค์อะไรเยอะแยะ ทั้งตัวเขากับจงอินก็ไม่ได้เป็นพวกที่มองเห็นผู้ชายทั่วไปแล้วเกิดอารมณ์สักหน่อย ดูแล้วจะฟินเหมือนหนังโป๊ชายหญิงหรือเปล่ายังไม่รู้เลย
“เลือกอะไรนักหนาวะ”
“กูกำลังเลือกฝ่ายรับที่หน้าเหมือนมึงอยู่”
“...”
“...”
ทั้งคู่หันมาสบตากันอย่างมีความหมาย ซึ่งโอเซฮุนก็ไม่ได้ควายขนาดที่จะไม่เข้าใจว่าแฟนของเขาหมายถึงอะไร ร่างบางปล่อยให้ไอ้คนทะลึ่งตึงตังหาคลิปต่อไปจนกระทั่งได้เรื่องที่คิดว่าหน้าเหมือนแล้ว แต่พูดก็พูดเถอะ โอเซฮุนน่ะหล่อกว่าเยอะ
“ทำไมดูเฟค ๆ จังวะ”
“ไม่รู้ดิ มันไม่เหมือนชายหญิงตรงที่ไม่ต้องฝืนมั้ง”
ทั้งสองคนดูหนังโป๊เกย์อย่างเอื่อยเฉื่อย ดูมันจูบกันแบบเฟค ๆ ไร้ความเป็นธรรมชาติก่อนจะขมวดคิ้วทีละนิดเมื่อเกย์ในคลิปทั้งสองคนถอดกางเกงให้กันและกันทั้งที่ยังแลกลิ้นอยู่
“มึงว่าใครรุก”
“กูว่าไอ้หัวทอง”
“เห้ยใช่เหรอ ไอ้นั่นมันเล็กนิดเดียวเองนะ”
“ใครเป็นคนตัดสินฝ่ายรุกฝ่ายรับกันด้วยเป้ากางเกงวะ ถ้าเกิดมึงใหญ่กว่ากูงี้ มึงก็ต้องเป็นฝ่ายรุกงั้นสิ?” จงอินหันมามองคาดโทษแฟนที่ทำหน้ามึนอยู่ พอได้ยินอย่างนั้นเซฮุนเลยหัวเราะออกมา
“มึงคิดไปถึงเรื่องนั้นแล้วเหรอวะแฟน”
“หรือมึงไม่คิด?” ถามหน้าด้าน ๆ อย่างนี้แหละ และมันก็ทำให้เซฮุนพูดไม่ออก
“ก็คิด แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นอยากทำป่ะวะ”
“ทำไมถึงไม่อยาก หนังโป๊ก็ดูออกจะบ่อย กูรู้ว่ามึงชอบช่วยตัวเอง...เอ้า!!” พูดจบก็กุมหัวตัวเองหลังจากโดนคนรักโบกกระบาลอย่างแรง เซฮุนดีดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วมองคาดโทษคนข้าง ๆ
“โห มึงไม่เคยช่วยเลยว่างั้น”
“ก็ช่วยไง หรือมึงจะให้กูไปทำกับคนอื่น”
“ก็ลองดิ มีหัวแตกอ่ะกูบอกแค่นี้” เซฮุนชี้หน้าอีกฝ่ายพร้อมกับส่งสายตาบอกว่า ‘ถ้ามึงทำกูเอาจริงแน่’ จงอินยิ้มพอใจแล้วจับเรียวนิ้วเอาไว้ก่อนจะจุ๊บลงไปเบา ๆ
“กูไม่อยากช่วยตัวเองแล้ว”
“...”
CUT
“ครั้งแรกเห็นขัดขืนหัวชนฝา แล้วดูตอนนี้ดิ” จงอินหันไปเบ้ปากใส่คนรักที่กำลังกัดพิซซ่าชิ้นที่สี่โดยที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแดกง่าย ๆ
“ถ้าวันนั้นมึงยอมให้กูเป็นฝ่ายเสียบจริง ๆ ก็คิดสภาพตอนนี้ไม่ออกเลยว่ะ”
“นั่นดิ”
“...”
“...”
ทั้งสองคนกินพิซซ่าต่อไปโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก อย่าว่าให้จินตนาการกับเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยครับ บางทีคิมจงอินอาจจะเป็นอีตุ๊ดหัวโปกที่เป็นเมียเก็บเซฮุนโอป้าก็ได้ แค่นึกถึงสภาพตัวเองตอนเป็นเมียก็เสียวหัวนมแปลก ๆ แล้ว
โชคดีที่วันนั้นเซฮุนสมยอม ถ้าเกิดมันนึกสู้นี่กูมีหนาวขี้ เพราะหุ่นของเขาสองคนก็ใช่ว่าจะไซส์ต่างกันเลย แถมปัจจุบันไอ้เชี่ยไอดอลเงินล้านก็เสือกสูงกว่าแล้วด้วย แต่ไม่ว่าส่วนสูงหรืออะไรใด ๆ ในโลกก็ไม่สามารถขัดขวางความรักของสองเราได้
“นี่กูไม่คิดเลยนะว่าจะทนมึงมาได้ขนาดนี้” เซฮุนบีบซอสใส่พิซซ่าที่อีกคนยื่นมาก่อนจะซดโค้กเย็น ๆ ซะอึกใหญ่ ตอนนี้สายตาของจงอินยังคงจดจ้องอยู่กับรายการทีวีก่อนจะรับพิซซ่ามากิน
“กูก็เหมือนกัน” จงอินเว้นจังหวะแล้วกัดพิซซ่าคำโต “ตอนที่คบกันแรก ๆ กูว่าอย่างเก่งก็ห้าเดือน”
“พอนึกถึงตอนคบกันแรก ๆ แล้วก็ตลกว่ะ” พูดจบก็ชำเลืองมองไอ้คนไร้ความรู้สึกที่จู่ ๆ ก็หัวเราะออกมา จะว่าเป็นเพราะรายการทีวีที่ดูอยู่ก็ไม่ใช่ จงอินหันมามองหน้าเขาแล้วบีบจมูกเบา ๆ
“แก่แล้วดิ เอาแต่พูดเรื่องอดีต”
“เปล่า กูแค่คิดว่าสันดานมึงตอนนั้นโคตรหล่อเลย ทำอะไรกูก็เขินไปหมด แต่ตอนนี้ไม่แล้ว” เซฮุนขยับปากบ่นไปอย่างนั้น
“มึงก็เหมือนกันแหละ”
“พูดเป็นอยู่ประโยคเดียวไง? เหมือนกัน ๆ อยู่ได้ วันนี้ก็ว่างทั้งวันไหม มึงเล่าบ้างดิกูอยากฟัง” ไม่บ่อยหรอกที่เขาสองคนจะมานั่ง ๆ นอน ๆ คุยกันเรื่องแบบนี้
ด้วยความที่เป็นผู้ชายทั้งคู่เลยทำให้การพูดเรื่องหวาน ๆ กันสองต่อสองมันคงเป็นอะไรที่น่าเลี่ยนไป ถ้าจะกล้าพูดก็ต้องอยู่ต่อหน้าไอ้แบคฮยอนเท่านั้น ก็แน่ล่ะ พวกเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องตลกถ้าสามารถทำให้ไอ้เตี้ยหงุดหงิดได้ด้วยพฤติกรรมแบบนั้น
“มึงอย่ารู้เลย ให้โอเซฮุนตอนอายุสิบเจ็ดอยู่ในความทรงจำของกูก็พอละ” จงอินยิ้มขำ แน่นอนว่าเขาจะไม่มีวันเล่าให้พ่อไอดอลชื่อดังฟังหรอกว่าตัวมันน่ะน่ารักแค่ไหน ถึงเมื่อสิบกว่าปีก่อนเซฮุนมันจะขี้อายกว่านี้ก็เถอะ
แต่มันก็น่าจะเป็นอย่างนี้ทุกคู่ไม่ใช่เหรอ? คบกันแรก ๆ อะไรก็สวยงามดูดีไปหมด แต่พอถึงจุดอิ่มตัวแล้วความหวาน ความโรแมนติกก็ลดลงไปตามกาลเวลา แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังเหมือนเดิมก็คือความรักที่เขาทั้งสองคนมีให้กัน
“มึงเคยคิดอยากเลิกกับกูแบบจริงจังป่ะวะจงอิน”
“เคย โดยเฉพาะตอนที่มึงงี่เง่าไม่ฟังเหตุผลน่ะ นี่เปิดใจคุยกันตรง ๆ ป่ะ?” ต้องหันไปถามเอาความแน่ใจเพราะถ้าขืนพูดไปโดยไม่ได้รับการอนุมัติเดี๋ยวมีดราม่าอีก แล้วมันก็เป็นสัญญาณที่ดีเมื่อเซฮุนพยักหน้า
“มึงเล่าก่อน เดี๋ยวกูตาม”
“เออ มึงน่ะชอบประชด ขึ้นเสียงใส่เวลาโมโห ไม่ฟังกูอธิบายเหตุผลห่าอะไรสักอย่าง ทั้งที่เราเคยคุยเรื่องนี้ตั้งแต่คบกันปีแรกแล้ว”
“อันนั้นกูรู้แล้วก็พยายามปรับปรุงมาตลอด ถ้าเทียบตอนนี้กับปีแรกกูว่ากูใจเย็นลงกว่าเมื่อก่อนเยอะแล้วนะ แต่มึงก็งี่เง่าเหมือนกันนั่นแหละที่ชอบทำให้กูโมโห ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ากูไม่ชอบให้ทำแบบนั้น”
“เพราะงั้นเราถึงต้องถอยกันคนละก้าวเหมือนอย่างที่เคยทำไงวะที่รัก มึงไม่เบื่อเหรอเวลาทะเลาะกัน”
“เบื่อหนังหน้ามึงอ่ะ” เซฮุนมองอีกคนด้วยหางตาพร้อมกับแค่นหัวเราะ
“แล้วเลิกรักกูได้ไหมล่ะ” จงอินดึงทิชชู่ออกมาเช็ดมือแล้วหันไปยิ้มกริ่มใส่คนรักที่กำลังด่าเขาทางสายตา “ถ้าเลิกไม่ได้ก็อย่าปากดี”
“อย่าท้า”
“กูไม่เคยคิดจะเอาชนะมึงอยู่แล้วฮุนจ๋า มึงก็น่าจะรู้” ร่างหนายิ้มขำ “ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมามีใครบ้างที่ยอมมึงได้นานเท่ากูกับพี่มินซอก ไหนบอกกูซิ?”
“...”
“มีใครบ้างที่รองรับอารมณ์มึงได้ดีเท่ากูกับไอ้แบคฮยอน”
“...”
“แล้วข้อสุดท้ายเนี่ย”
จงอินพลิกตัวหันเข้าหาคนรักที่ถือพิซซ่าค้างไว้อยู่อย่างนั้น แต่สายตาก็ยังคงมองเขาราวกับว่าต้องการฟังประโยคต่อไป ชายหนุ่มอมยิ้มน้อย ๆ แล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ ก่อนจะกระซิบข้างหูให้คนฟังรู้สึกดีจนต้องยิ้มออกมา
“จะมีใครรักมึงเท่ากูอีก ไหนบอกกูหน่อยซิโอเซฮุน?”
END
ฉาก CUT ดูใน BIO เราเหมือนเดิมนะคะแอค @_malinworld ไม่ก็เสิร์ทกูเกิ้ลว่า malinworldfiction ก็จะเจอบล็อกของเรา
แหม
ก่อนจะมาเป็นไคจ๋าฮุนจ๋า เขาก็มีอดีตที่เคยงุ้งงิ้งกันมาก่อน จริง ๆ เราว่าจะไม่เขียนสเปคู่นี้นะ แต่เพราะมีคนรีเควสมาว่าอยากอ่านตอนก่อนมาคบกันก็เลยจัดให้ แล้วมันก็ไม่ตลกเหมือนตอนหลักที่เขียนไป กลัวจะเฟลกัน
แต่เราอยากให้เห็นอีกมุมนึงว่าคู่รักคู่นี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบตั้งแต่แรก เด็กอายุสิบเจ็ดที่เริ่มชอบผู้ชายด้วยกันเป็นยังไง ประหม่า กลัวแค่ไหนกับการชอบเพื่อนตัวเอง ก่อนจะมาเป็นไอดอลหยิ่ง ๆ โอเซฮุนก็เคยกลัวที่จะเสียคิมจงอินไปเหมือนกัน <3
ความคิดเห็น