คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #33 : Chapter 31 :: His Warm Body (100%)
Chapter 31
His Warm Body
ชานยอลมองตามแผ่นหลังน้าชายตัวเล็กที่เดินเข้าไปในห้องครัวทั้งที่ไฟเพิ่งจะเปิดติด เด็กหนุ่มรู้สึกเป็นกังวลจริง ๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ ระหว่างขากลับแบคฮยอนก็เอาแต่เงียบตลอดทั้งทาง สิ่งเดียวที่ปาร์คชานยอลทำได้ดีในตอนนั้นคือเอื้อมไปจับมือเล็กที่วางอยู่บนหน้าขาโดยที่ไม่พูดอะไรออกไป
“ชานยอล กินข้าวกัน”
ถ้าเป็นปกติเขาคงถอนหายใจแล้วก็เดินไปบ่นใกล้ ๆ หูว่า ‘จะบ้าเหรอแบคฮยอน เราเพิ่งกินกันมาเมื่อกี้นี้เอง’ เด็กหนุ่มตามเข้าไปในครัวแล้วก็ได้ยินเสียงไมโครเวฟกำลังทำงานอยู่ ไฟสีส้มในเครื่องทำให้เห็นภาชนะใส่ข้าวที่เหลือจากเมื่อวาน
ร่างเล็กยืนอยู่หน้าตู้เย็นกำลังดื่มน้ำรวดเดียวหมดแก้ว ถ้าเกิดว่าน้าชายบ่นด่าหรือสาปแช่งไอ้ครูนั่นบ้างเขาอาจจะรู้สึกดีกว่าที่เป็นอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่เวลาที่แบคฮยอนจะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้คนรอบข้างสบายใจ รวมถึงตัวเขาด้วยเช่นกัน
ชานยอลมองตามน้าชายที่กำลังเปิดไมโครเวฟ พอเห็นว่าอุ่นข้าวเสร็จเรียบร้อยก็ใส่ถุงมือแล้วเอาโถข้าวแสตนเลสออกมา แบคฮยอนเอาอาหารทุกอย่างเหลือจากเมื่อวานมารวม ๆ กันตามด้วยกิมจิและซอสสารพัดรสก่อนจะคลุก ๆ รวมกันจนไม่หลงเหลือความน่ากิน
“เก็บไว้อีกสองวันก็เสียแล้ว” น้าชายตัวเล็กว่าพร้อมกับตักข้าวยัดใส่ปากจนแก้มทั้งสองข้างบวมตุ่ย “จะเททิ้งขยะก็เสียดายของ”
แบคฮยอนชะงักมือเมื่อถูกเด็กหนุ่มสวมกอดจากข้างหลัง มันทำให้รู้ว่าตอนนี้เขากำลังทำให้อีกคนเป็นห่วง ซึ่งคนตัวเล็กไม่ต้องการแบบนั้น นัยน์ตาหลุบลงมองอีกคนที่ค่อย ๆ เอาช้อนจากมือเขาออกก่อนจะวางลง แบคฮยอนนิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะหันหน้าเข้าหาหลานชายทั้งที่ข้าวยังคงเต็มปากอยู่แล้วก็ได้เห็นว่าตอนนี้ชานยอลกำลังทำหน้าหงอย
“เดี๋ยวก็ท้องแตกตายหรอก กินอะไรเยอะแยะ” ถึงจะบ่นอย่างนั้นแต่หลานชายตัวโตก็ใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดมุมปากให้กับเขา แบคฮยอนเคี้ยวข้าวแล้วกลืนลงไปส่วนหนึ่งก่อนจะหลุบตาลงเมื่อถูกอีกคนสวมกอด “กอดผมสิ”
“...”
“เสียใจแค่ไหนก็กอดผมให้แน่นขึ้นเท่านั้น”
“...”
“ผมรู้ว่าน้ากำลังเสียใจ แต่บอกหน่อยได้ไหมว่าผมควรจะทำยังไงน้าถึงจะรู้สึกดีขึ้น?” สิ่งที่แบคฮยอนมองเห็นในตอนนี้มีเพียงเสื้อตัวนอกของชานยอลเท่านั้น เขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นหรือผละตัวออกมาจากอ้อมกอดนี้ “ยังชอบมันอยู่เหรอ”
“ไม่ใช่ ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะ” ร่างเล็กผละออกเล็กน้อยพลางเงยหน้าขึ้นมองหลานชาย สายตาของชานยอลในตอนนี้คงไม่ต่างจากเขาสักเท่าไหร่ "น้าก็แค่..."
“...”
“ไม่รู้สิ มันบอกไม่ถูก” แบคฮยอนเสยผมพลางถอนหายใจ “ถ้าให้บอกว่ากำลังรู้สึกยังไงก็คงได้ แต่คงประติดประต่อรวมกันแล้วอธิบายให้แกฟังไม่ได้”
“ก็ยังดีกว่าไม่พูดอะไรเลย” เด็กหนุ่มมองมาด้วยแววตาจริงจัง คนตัวเล็กปล่อยให้ความเงียบในห้องครัวโรยตัวอยู่ครู่หนึ่ง อาจจะสองถึงสามนาทีโดยประมาณ ซึ่งอันที่จริงแล้วเขาก็ไม่อยากพูดถึงความรู้สึกในตอนนี้นัก แต่ถ้าไม่พูดชานยอลก็คงเข้าใจผิด
“ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนโง่”
“...”
“ยังไงดีล่ะ ก็พี่อี้ฟานทำเหมือนว่าชอบฉันมาก แต่ก็ได้รู้เองว่าเขามีคนอื่นอยู่แล้ว ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าได้ยินเขาเล่าเองกับปากแล้วจะรู้สึกดีกว่านี้ไหม ก็ดูสิ พี่อี้ฟานมาคุยกับฉันเพราะอยากลืมคนนั้น มันฟังดูแย่นะ” แบคฮยอนพูดวนไปวนมา เขากำลังเสียหลักจนไม่สามารถเรียบเรียงประโยคได้ “ก่อนหน้านี้ฉันก็รู้สึกผิดมากที่ปฏิเสธเขา เพราะพี่อี้ฟานแสดงออกให้เห็นว่าเศร้า เสียใจ แต่พอรู้แบบนี้แล้วฉันก็เลยสงสัยว่าที่เขาแสดงออกมาน่ะ...อะไรที่เป็นความจริง”
“...”
“ถ้ามีคนที่ชอบอยู่แล้วก็อย่าทำเหมือนว่าเสียใจสิ แล้วแบบนี้ฉันจะทำหน้ายังไง”
“ผมฟังอยู่”
“ฉันมันโง่อย่างที่แกเคยว่าจริง ๆ นั่นแหละ” เสียงของแบคฮยอนเบาลง “แต่ฉันก็เข้าใจนะ จะมีผู้ชายหล่อ ดี ๆ จากไหนที่จะจริงจังกับผู้ชายด้วยกัน ดูอย่างขนาดผู้ชายคนนั้นสิ ชื่ออะไรนะ? อี้ชิง? ใช่ ฉันได้ยินชัดเต็มสองหูเลย ขนาดผู้ชายคนนั้นชอบพี่อี้ฟานยังหันไปคบผู้หญิงได้ นับประสาอะไรกับผู้ชายหล่อ ๆ อย่างพี่เขา”
แบคฮยอนกลอกตาไปมา ชานยอลไม่ได้พูดแทรกหรือขอให้หยุด เด็กหนุ่มยังคงแสดงออกทางสีหน้าและแววตาว่ากำลังตั้งใจฟังคนตัวเล็กบ่น
“ให้ตายเถอะ ไอ้ดอกไม้ช่อนั้นก็ไปเอามาจากร้านเขาด้วยสินะ เฮงซวยเอ้ย” แบคฮยอนพูดลอดไรฟัน ตอนนี้เขาเริ่มจะแยกแยะอารมณ์ไม่ออกแล้วว่ากำลังรู้สึกยังไงอยู่ ทั้งเฟล อึ้ง ไปจนถึงโกรธนิด ๆ “เขาสองคนควรไปลงนรกอย่างที่แกว่าจริง ๆ นั่นแหละ”
“...”
“...คิดมากเหรอ” น้าชายตัวเล็กเงยหน้าขึ้นสบตากับเด็กตัวสูง แววตาชานยอลที่กำลังฉายถึงความกังวลนั้นแบคฮยอนรู้สึกได้ ร่างเล็กถอนหายใจแล้วเอื้อมมือไปยีหัวเด็กหนุ่มที่เพิ่งพยักหน้าเป็นคำตอบ
“ผมกลัวว่าน้ายังชอบมันอยู่”
“บ้าน่า...”
“ผมยังเด็ก ไม่รู้หรอกว่าผู้ใหญ่เขารักกันแบบไหน ไอ้ครูนั่นอาจจะซื้อใจน้าด้วยการใช้คำพูดดี ๆ แล้วผมก็ทำแบบนั้นไม่เป็น ผมคงพูดหวาน ๆ หรือพูดจาหว่านล้อมให้ดูมีหลักการเหมือนมันไม่เป็น แต่ผมมีอย่างนึงที่อู๋อี้ฟานทำไม่ได้” เด็กหนุ่มเว้นจังหวะไว้ชั่วอึดใจ “คือการแสดงออกให้เห็นผ่านการกระทำว่าผมรักแบคฮยอนแค่คนเดียว”
“...”
“ถึงผมจะปัญญาอ่อนอย่างที่น้าชอบด่า ดูเหมือนเด็กไร้สาระที่ไม่คิดอะไรเลย แต่รู้ไหมว่าพอเป็นเรื่องของน้าแล้วผมกังวลไปหมด” แบคฮยอนกำลังอึ้งกับความในใจที่เด็กตัวสูงกำลังเผยออกมา แน่นอนว่าเขาคิดแบบนั้นตามที่ชานยอลพูดไม่มีผิด “ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่น้ายอมให้ผมจับ ให้ผมกอดแบบนี้เป็นเพราะว่าผมยัดเยียดให้หรือเปล่า” ชานยอลกำลังประหม่าและกลัวความคิดที่อยู่ในหัวตัวเอง เขาอยากจะรู้เหลือเกินว่าแววตาคู่นั้นที่กำลังมองมากำลังคิดอะไรอยู่
“มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง?”
“...”
“แกคิดว่าตัวเองมีอิทธิพลขนาดบังคับให้น้าทำอะไรโดยที่ไม่เต็มใจได้งั้นเหรอ”
“...”
“น้าไม่ได้คิดจะรักษาน้ำใจแกด้วยวิธีแบบนั้นหรอกนะ” แบคฮยอนมองคนตรงหน้าก่อนจะก้มลงมองมือแกร่งที่วางอยู่ข้างตัวแล้วเอื้อมไปกุมเอาไว้ “กับเรื่องพี่อี้ฟานก็แค่เสียความรู้สึก แต่ถ้าเกิดแกทำแบบนั้นกับน้าล่ะก็ไม่ได้ตายดีแน่”
แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นสบตากับหลานชายอีกครั้ง เด็กตัวสูงเบ้ปาก พอได้ยินแบบนี้แล้วน้ำตาก็รื้นขึ้นมาซะอย่างนั้น น้าชายของเขาทำไมนิสัยเสียแบบนี้นะ รู้ไหมว่าคำพูดทุกอย่างที่ออกมาจากปากนั่นน่ะมันมีผลกระทบต่อความรู้สึกเขามากแค่ไหน
จะดีใจ เสียใจ มีความสุขได้แบคฮยอนล้วนแต่เป็นคนกำหนดมัน ซึ่งตอนนี้เขากำลังมีความสุขและโล่งใจจนน้ำตาจะร่วงอยู่รอมร่อแล้ว คนตัวเล็กหลุดยิ้มออกมาแล้วบีบจมูกรั้นที่กำลังแดงระเรื่อของชานยอลก่อนจะถูกรวบตัวเข้าไปกอด
“รักผมให้มาก ๆ นะแบคฮยอน”
“ที่ให้ไปยังไม่พออีกหรือไง จะเอามากแค่ไหนกัน” คนตัวเล็กยิ้มขำก่อนจะกอดตอบ ถึงอุณหภูมิในบ้านกำลังอบอุ่นพอดี แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงความเย็นเฉียบของความหวาดกลัวที่อีกฝ่ายมีอยู่ และพอเป็นแบบนั้นบยอนแบคฮยอนถึงได้กระชับกอดให้แน่นยิ่งขึ้นอีก
“งั้นเอาใหม่...เราต้องรักกันให้มาก ๆ นะ” เด็กหนุ่มพูดเสียงอู้อี้ก่อนจะกดจมูกลงบนกลุ่มผมสีเข้มเบา ๆ “แบบนี้โอเคไหม”
“ถ้ามากกว่านี้ฉันคงตายเพราะสำลักความรักของแกเข้าสักวัน”
“ช่วยไม่ได้ ผมเองก็สำลักไปแล้ว” ทั้งคู่หัวเราะก่อนจะผละตัวออกมาสบตากัน แบคฮยอนเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้หลานชาย และมันทำให้เด็กตัวสูงรู้สึกเสียฟอร์มจนต้องรีบยกมือขึ้นเอาแขนเสื้อเช็ดหน้าตัวเองแรง ๆ
“อยู่เฉย ๆ น่า”
“อะไรเล่า ผมไม่ได้ร้องไห้นะ นี่แค่แสบตา”
“ไอ้เด็กขี้แย บอกให้เอามือออกไง” แบคฮยอนหัวเราะแล้วจับข้อมือหลานชายไว้ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ ราวกับจับผิดว่าชานยอลจะร้องไห้อีกไหม
เด็กตัวสูงเกร็งหน้าจนเมื่อย ปาร์คชานยอลอยากจะเอาหัวมุดส้วมตายจริง ๆ ที่ร้องไห้ต่อหน้าคนที่เขารัก มันทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกสูญเสียความเป็นผู้นำ รู้สึกว่าตัวเองกลับไปเป็นเด็กทารกอีกครั้ง บ้าเอ้ย...เขากลายเป็นเด็กในสายตาแบคฮยอนอีกแล้ว
“กลัวน้าทิ้งเหรอ” สุดท้ายชานยอลก็ยอมให้เขาเช็ดน้ำตาให้แต่โดยดี ถึงมันจะไม่ไหลออกมาพราก ๆ แต่ที่คลออยู่มันก็ทำให้ไอ้เด็กตัวแสบดูสิ้นฤทธิ์จนน่าสงสารจริง ๆ
“แล้วแบคฮยอนกลัวผมทิ้งบ้างไหม”
“ตอนแรกก็กลัว แต่พอเห็นแกเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อพี่อี้ฟานเท่านั้นแหละ” แบคฮยอนยิ้มก่อนจะเขี่ยปลายจมูกหลานชายตัวแสบที่กำลังจ้องหน้าเขาอยู่
“ถึงแบคฮยอนไม่ห้าม ผมก็ไม่ต่อยมันหรอก”
“แน่ใจ?”
“ผมรู้ว่าถ้าทำแบบนั้นแล้วน้าต้องโกรธแน่ แล้วเรื่องอะไรที่ผมจะต้องทำเพื่อที่จะให้ไอ้ครูนั่นดูน่าสงสารขึ้นมาด้วยล่ะ” ชานยอลทำหน้าจริงจัง และมันทำให้น้าชายอย่างเขาหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้
“ฉันก็คิดว่าแกจะบอกว่า ‘เพราะผมโตแล้ว ผมคิดได้ว่าอะไรควรไม่ควร มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ใช้กำลัง’ อะไรทำนองนั้นซะอีก”
“โธ่แบคฮยอน ไม่เห็นเหรอว่ามันทำหน้าเรียกตีนมากแค่ไหน นี่พูดแล้วก็ขึ้น กลับไปเล่นแม่งเลยดีไหมล่ะ” เด็กหนุ่มทำท่าจะเดินออกไปแต่ก็ถูกน้าชายดึงคอเสื้อจากข้างหลังไว้เสียก่อน
“เว่อ”
“ผมพูดเล่น” ชานยอลยิ้มกว้างแล้วคว้าเอวอีกคนเข้ามาใกล้ ๆ “ผมไม่ให้คิดมากแล้วนะ น้าเสียเวลาไปกับเรื่องของมันมาเกินชั่วโมงนึงแล้ว เก็บเวลาไว้คิดเรื่องผมดีกว่า เข้าใจไหมแบคฮยอน?”
วันนี้เป็นวันแรกที่บยอนแบคฮยอนไม่อยากไปโรงเรียนเพียงเพราะรู้ว่าจะต้องไปเจอหน้าพี่อี้ฟาน นึกแล้วก็ถอนหายใจ พอส่งชานยอลถึงมหาลัยแล้วเขาก็อยากจะวกกลับบ้านเสียอย่างนั้น แต่ด้วยจรรยาบรรณความเป็นครู เขาต้องแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับงานให้ออก
แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าทุกอย่างมันก็ไม่ได้เสียไปซะทีเดียวก็คือตอนที่ชานยอลมันไม่ยอมลงจากรถสักทีจนกว่าเขาจะยิ้มได้นั่นแหละ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่บยอนแบคฮยอนเพิ่งรู้ว่าหลานชายของเขาก็เป็นกังวลเรื่องต้องไปเจอหน้าพี่อี้ฟานเหมือนกัน
‘อย่าไปมอง ถ้ามันคุยด้วยก็ทำเหมือนไม่ได้ยินนะ’
‘มันไม่มีสิทธิ์โกรธ ไม่มีสิทธิ์น้อยใจที่น้าจะเมินมันแบบนั้น เราเป็นผู้ถูกกระทำ อย่าไปยอม’
‘ว่างแล้วไลน์มานะ ถึงจะเรียนอยู่แต่หูผมก็ฟังอาจารย์พูด มือผมก็แชทคุยกับน้าได้เชื่อดิ’
‘มาจุ๊บหน่อยเร็วเดี๋ยวจะไปเรียนแล้ว’
นั่นแหละที่ทำให้บยอนแบคฮยอนยิ้มได้
จอดรถเรียบร้อยแล้วก็ตรงไปที่ห้องพักครู แล้วมันก็เป็นอย่างที่คิดไม่ผิดว่าเขาจะต้องเจอกับใครอีกคนที่อยู่ข้างใน อู๋อี้ฟานนั่งอยู่บนเก้าอี้พร้อมกับมองมายังเขาก่อนจะลุกขึ้นยืน ความอึดอัดถูกส่งไปยังอีกฝ่ายผ่านทางสายตา ไม่มีรอยยิ้มจากใบหน้าของคนสองคน หรือแม้แต่คำทักทายก็ถูกกลืนลงคอไปหมด
แบคฮยอนโค้งหัวตามมารยาทแล้วเดินไปที่โต๊ะก่อนจะจัดแจงหนังสือเพื่อเตรียมเข้าสอน ตอนนี้มีเพียงแค่ครูหมวดภาษาอังกฤษกับครูหมวดคณิตศาสตร์อีกสามสี่คนเท่านั้นที่อยู่เป็นอุปสรรคในการพูดคุยระหว่างเขากับแบคฮยอนตอนนี้
อู๋อี้ฟานควรทำอะไรสักอย่าง เขาไม่สามารถนอนหลับได้เพราะเป็นกังวลเรื่องของแบคฮยอน เมื่อคืนทั้งโทรหา ส่งข้อความไปทางไลน์แต่อีกฝ่ายกลับปิดมือถือตั้งแต่เขาโทรเข้าสายที่สอง ร่างเล็กมองมือถือบนโต๊ะที่สั่นจนเกิดเสียงก่อนจะคว้าขึ้นมาเปิดดูแล้วก็พบข้อความของคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง
คุณได้รับข้อความจาก...
‘พี่อี้ฟาน’
[ พี่อยากคุยด้วย สอนเสร็จเมื่อไหร่โทรหาพี่นะครับ...พี่จะรอ ]
ทิ้งช่วงหลังจากอ่านจบไปเกือบห้าวินาทีแบคฮยอนก็วางมือถือลงบนหนังสือก่อนจะเดินออกไปโดยที่ไม่หันกลับไปมองหน้าเจ้าของข้อความนั้นเลยสักนิดเดียว
40%
เซฮุนเปิดประตูเข้ามาในบ้านในสภาพอิดโรยสุด ๆ วันนี้เขารู้สึกเหนื่อยล้าไปกับการถ่ายละครเหลือเกิน นี่ก็ชักจะไม่แน่ใจแล้วว่าบทที่เล่นมันหนักหนาสาหัสเกินไปหรือเป็นเพราะเขาแก่ชราภาพเข้าไปทุกวันกันแน่
พอหันไปทางห้องนั่งเล่นก็ผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพคุณแฟนอันเป็นที่รักนอนตาลอยมองมือตัวเองอยู่บนโซฟา อีกทั้งยังมีไอ้เตี้ยเพื่อนรักที่หายหนังหน้าไปพักใหญ่ ๆ นั่งสติหลุดอยู่โซฟาเดี่ยวตัวข้าง ๆ อีก ก็เห็นแหละครับว่ารถมันจอดอยู่ข้างนอกเลยคิดว่าคงแวะมาเยี่ยมเยียนกันแต่ไม่คิดว่าจะเห็นมันในสภาพไม่ต่างจากไคจ๋าแบบนี้
“กลับมาแล้วเหรอวะ...” แบคฮยอนถามเสียงยานคาง นี่มึงพกวิญญาณมาด้วยไหมกูอยากรู้ ทำหน้าโศกากันให้หมดทั้งเพื่อนทั้งแฟน เจริญพวง
“ไม่มั้ง? ตอนนี้กูยังอยู่กองถ่าย และที่เห็นตอนนี้คือเทวดาหน้าหล่อมาปรากฏกายต่อหน้ามึง” เซฮุนว่าแล้วถอดผ้าพันคอโยนทิ้งลงพื้นอย่างไม่ใยดี
“ฮุนจ๋าาาาา”
“โอ๋...ว่าไงครับไคจ๋า” เห็นเชี่ยถ่านเบะปากอ้าแขนออกกว้างแล้วก็สมเพชเหลือทนเลยเข้าไปกอดหัวแล้วลูบผมปรอยสักหน่อย ใครจะเถื่อนก็เถื่อนไปครับ วินาทีนี้มีแต่เด็กชายคิมจงอินห้าขวบครึ่งที่กำลังซบหน้ากับอกกูแล้วสะอื้นน้ำตาแห้งอย่างน่าเวทนาเท่านั้น
อยากจะด่าเหลือเกินว่ามึงจะโศกอะไรนักหนาแต่แฟนที่ดีต้องเก็บอาการ ตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะที่อีห่าไคจ๋าเอาแต่นอนมองนิ้วมือตัวเองเนี่ย ลองเอาแหย่รูจมูกตัวเองดูไหมล่ะเผื่อจะซึ้งเข้าถึงความรู้สึกเบี้ยนอย่างถ่องแท้ ขนาดไอดอลเงินล้านอย่างกูยังมีแฟนเป็นตัวผู้แล้วทำไมน้องฮยอนอาของมึงจะมีผัวเป็นทอมไม่ได้ มึงควรจะสำนึกแล้วตัดใจซะนะที่รัก
“เออ มึงมาก็ดีละ จะได้บอกกูสักทีว่ามันเป็นส้นตีนไร” แบคฮยอนหรี่ตามองเพื่อนกรัง ๆ ที่ยังคงโศกไม่หยุด เซฮุนได้ยินอย่างนั้นเลยเบ้ปากเล็ก ๆ ทั้งที่ยังลูบหัวคนรักอยู่
“มันโดนน้องฮยอนอาคนดีเซอร์ไพร์สมา”
“หา?”
“นางมีผัวเป็นทอมครับ ฮัลโหล”
“ม่ายยยยยยยยยยยยยยย ฮือออออออออออออออ”
“สัด!! มึงจะร้องอะไรนักหนา!!” บ้องหูคนในอ้อมกอดไปทีนึง กูกำลังจะนินทานางเอกคู่ขวัญมึงจะแหกปากขึ้นมาขัดจังหวะไปเพื่อใคร นี่ถือว่ากูอดทนกับมึงมากแล้วนะจงอิน อย่าให้อารมณ์ขึ้น
“โถ กูก็นึกว่าเป็นอะไร กะโปกว่ะ”
“มึงพูดแบบนี้ได้ไงวะแบคฮยอน นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายเลยนะเว้ย มึงคิดดูดิ...” จงอินทำท่างัดแขนให้ดูพร้อมกับกัดริมฝีปากล่าง “ของกูตั้งเท่านี้...แต่น้องฮยอนอาเสือกเลือกนิ้ว...” เสียงของเพื่อนตัวดำกระเส่าเหมือนจะตรอมใจตาย
“เขารู้ยังว่ามึงเกิด”
“ตั้งแต่คบกันมาสิบกว่าปีมีวันนี้แหละที่มึงพูดจาเข้าหูกูที่สุด” เซฮุนว่าแล้วโน้มตัวไปแท็กมือกับเพื่อนตัวเตี้ย คนที่กำลังเศร้าถึงกับไล่น้ำตากลับเข้าเบ้าไม่ทันเพราะตอนนี้เขากลายเป็นตัวอะไรสักอย่างที่กำลังถูกเพื่อนกับแฟนรุม
“ใช่สิ มึงสองคนมันพวกไม่มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ คงไม่มีวันเข้าใจหัวอกติ่งอย่างกูหรอก” จงอินแค่นยิ้ม “มึงไปทำงานเจอแต่ผู้หญิงคงไม่รู้สึกรู้สาอะไรอยู่แล้ว ไหนกลับบ้านมาก็เจอกูนอนรออยู่อีก ไม่ต้องกลัวว่าแฟนจะนอกใจไปไหน...ส่วนมึง” พูดกับแฟนจบก็หันหน้าเข้าหาเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่โซฟาอีกตัว
“อะไร กูทำไม?”
“คนมีแฟนแล้วก็คงไม่เข้าใจกูเหมือนกันนั่นแหละ ตอนนี้คงคบกับครูคนนั้นแล้วอ่ะดิ” คนตัวเล็กชะงักไปกับคำพูดของจงอิน เซฮุนกลอกตามองคนรักก่อนจะหันไปหยุดที่แบคฮยอน
“เออ ว่าแต่เรื่องมึงกับพี่อี้ฟานไปถึงไหนแล้ววะ”
“ก็...” เหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างมาจุกอยู่ที่คอ แบคฮยอนไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากจุดไหนกับการเล่าให้เพื่อนสนิททั้งสองคนฟัง “ที่กูมาหาพวกมึงก็เพราะเรื่องนี้แหละ”
“มาเลย กูเข้าลู่รอนานละ” ตั้งแต่ไลน์ไปถามตอนนั้นก็คาใจมาตลอด ความเสือกยังคงหลอกหลอนอยู่ในหัวเหมือนกับก้อนเนื้อร้าย โอเซฮุนผลักหัวคนรักออกอย่างไม่ใยดีแล้วตั้งหน้าตั้งตารอฟัง
“ที่รู้คร่าว ๆ พี่อี้ฟานมีคนที่ชอบอยู่แล้ว”
“เหยดดดดดดดดดดดดดดด”
“กูว่าแล้วไง! มีอย่างที่ไหนคนหล่อ ๆ จะมาตามจีบผู้ชายหน้าหักอย่างมึงได้นอกจากว่าเขาจะเล่น ๆ กับมึง” จงอินพูดจบก็หันไปแท็กมือกับเซฮุน
“เออ มึงพูดถูกหมดเลยห่า” แบคฮยอนถอนหายใจอย่างหัวเสีย “กูไม่รู้ว่าตอนนี้จะต้องรู้สึกยังไง”
“แต่มึงเคยบอกว่าเลิกชอบพี่เขาไปนานแล้วไม่ใช่เหรอวะ?” เซฮุนขมวดคิ้ว เพราะจำได้ลาง ๆ ว่าไอ้แบคฮยอนเคยมาระบายให้ฟังช่วงหลานมันหอบสำมะโนครัวย้ายออกไปอยู่หอเมื่อปีที่แล้ว ตอนนั้นก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าอะไรเข้าสิงมันถึงได้เลิกชอบคนหล่อ ๆ แบบนั้นได้ บอกเลยว่าแอบเสียดายอยู่นิด ๆ แต่ถ้าจะให้มันถ่ายโอนมาให้ก็เกรงใจไคจ๋า
“ใช่ เพราะงั้นกูเลยโมโหตัวเองที่รู้สึกแบบนี้ไง” ร่างเล็กหลุบสายตาลง “เพราะเรื่องกูกับพี่เขาก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นตั้งแต่แรก เหมือนคนดู ๆ กันพอไม่เวิร์กเลยกลับไปเป็นพี่น้องกันซะมากกว่า”
“แล้วมันยังไงกันวะที่บอกว่าพี่แกมีคนที่ชอบอยู่?”
“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ตอนนั้นกูช็อกเลยจำไม่ได้ว่าอะไรเป็นอะไร เหมือนระเบิดดังอยู่ข้างหน้าอ่ะ กูรู้สึกเหมือนกำลังหูอื้อจนจับต้นชนปลายไม่ถูกเลย”
“ตอนแรกก็เห็นอี้ฟานดูใส่ใจมึงออก แต่ก็ว่าไม่ได้ว่ะ...เขาดีกับมึงได้ก็ดีกับคนอื่นได้เหมือนกัน” เซฮุนมองเพื่อนอย่างเวทนา เห็นมันโสดมานานแล้วก็เห็นใจอยู่ลึก ๆ พอมีคนมาชอบหน่อยก็เป็นแบบนี้ นี่ดีนะที่ไม่ยุให้มันตัดสินใจแดกพี่แกซะตั้งแต่ตอนนั้น ไม่งั้นคงมีดราม่าน้ำตาเช็ดหัวเข่า “แล้วมึงรู้ได้ไง พี่อี้ฟานบอกเหรอ?”
“เปล่า กูรู้เอง”
“เซอร์พร๊ายยยยยยยยยยยยส์” จงอินอ้าแขนออกกว้างก่อนจะลงไปกองกับพื้นเพราะถูกเซฮุนถีบอย่างแรง ห่านี่จะกวนตีนก็ช่วยดูเวลาบ้างซั้ซ
“กูหลบหน้าพี่เขาทั้งวัน โคตรกากเลยอ่ะ” แบคฮยอนกุมขมับ มันไม่ใช่นิสัยของคนตัวเล็กเลยสักนิดที่จะหนีปัญหาด้วยวิธีนี้ทั้งที่พี่อี้ฟานก็แสดงออกขนาดนั้นว่าต้องการคุยกับเขา
“มึงเคืองอ่ะดิ”
“ใช่ ถ้าเป็นมึงสองคนจะทำยังไงวะ กูก็ไม่ได้เกลียดพี่อี้ฟานนะ แต่ยังไงดีล่ะ...กูรู้สึกแย่อ่ะ จะว่าไงดี...ถึงจะไม่ได้ชอบแล้วก็เถอะแต่คนมันเคยรู้สึกดี ๆ ต่อกันแล้วพี่เขาก็ทำเหมือนว่ารอกูตลอด แต่อยู่ ๆ ก็ได้รู้ว่าพี่อี้ฟานมีคนที่ชอบอยู่ แถมคน ๆ นั้นก็มีแฟนแล้วด้วย”
“กูงง” จงอินขมวดคิ้วและเซฮุนก็เช่นกัน
“กูก็งง เออ งงไปหมดแล้วเนี่ย” แบคฮยอนเอนหลังพิงพนักโซฟาพร้อมกับนวดขมับตัวเองย้ำ ๆ
ครืดดด...
“ไลน์เข้า”
“เออ” แบคฮยอนตอบทั้งที่ยังหลับตานวดขมับอยู่อย่างนั้น
“พี่อี้ฟานว่ะ”
“...”
“มึงไม่ลองหันหน้าคุยกับพี่เขาดี ๆ เลยวะจะได้เคลียร์กันไป” เซฮุนว่าทั้งที่ยังมองหน้าจอสมาร์ทโฟนที่สว่างจ้าเพราะป๊อปอัพไลน์เด้งขึ้นมา “มึงคิดว่าจะหลบหน้าพี่แกไปได้ถึงเมื่อไหร่ ไปโรงเรียนทุกวันยังไงก็ต้องเจออยู่แล้ว”
“ไงล่ะสัด ขนาดที่รักกูไม่ได้เป็นแม่พิมพ์ของชาติยังมีความเป็นครูได้ขนาดนี้” จงอินเอนตัวลงนอนตักเซฮุนขณะมองไปยังเพื่อนตัวเตี้ยที่ยังทำหน้าคิดไม่ตก
“กูควรคุยกับเขาเหรอวะ”
“เพื่อความสบายใจของมึงในอนาคตว่ะ ถ้าเกิดเป็นแบบนี้ก็มีแต่จะอึดอัด สู้รู้สึกแย่ไปเลยทีเดียวไม่ดีกว่าเหรอ” ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นโอเซฮุนจริงจังแบบนี้ เพราะปกติก็อย่างที่เห็น มันกับไอ้จงอินมีแต่จะกวนส้นตีนไปวัน ๆ ไม่ค่อยได้ให้สาระอะไรเท่าไหร่
“ถ้ามันจะมีอะไรดีขึ้น...กูจะลองดูแล้วกัน”
ถึงจะได้คำแนะนำจากเพื่อนทั้งสองคนมาแล้วก็ตามทีเถอะ แต่บยอนแบคฮยอนก็ทนอยู่กับความอึดอัดมาจนถึงวันศุกร์โดยไม่พูดกับครูชีวะที่นั่งอยู่ข้างหลังเลย ยิ่งพอเห็นแววตาคู่นั้นที่ฉายแววรู้สึกผิดแล้วก็ยิ่งแย่ หลายครั้งที่คนตัวเล็กรู้สึกไม่ดีเพราะสิ่งที่กำลังเป็นอยู่จนนึกไปว่าความจริงแล้วคนที่ใจร้ายมันอาจจะเป็นเขาก็ได้
ถึงจะเหมือนเคยโดนหลอกให้รู้สึกดีแต่ตอนนี้เขาก็ไม่ได้ถลำลึกจนต้องเกลียดพี่อี้ฟานไม่ใช่เหรอ พอคิดได้อย่างนั้นแบคฮยอนเลยยอมกัดฟันหันหน้าเข้าหาครูชีวะที่นั่งอยู่ข้างหลังในคาบสุดท้ายของเย็นวันศุกร์ และแน่นอนว่าตอนนี้มีแต่ความอึดอัดที่ทั้งคู่ส่งต่อถึงกัน
“พี่ขอโทษ”
ไม่ผิดอย่างที่คิดเอาไว้ว่าพี่อี้ฟานต้องพูดคำนี้เป็นการเปิดบทสนทนา แบคฮยอนพยักหน้าน้อย ๆ แล้วมองไปรอบข้าง ตอนนี้ครูหมวดอื่น ๆ เริ่มทยอยกลับไปบ้างแล้วจนเหลือแค่ครูหมวดพละคนสุดท้ายที่กลับมาเก็บของ
“พี่อยากเล่าให้ผมฟังไหมว่าเรื่องมันเป็นมายังไง”
“ครับ มันคือสิ่งที่พี่อยากทำมาตลอดหลายวัน”
อี้ฟานมองคนตรงหน้าด้วยแววตาจริงจัง ทั้งคู่นั่งอยู่หน้าโต๊ะของตัวเองและหมุนเก้าอี้หันเข้าหากัน ร่างสูงเลียริมฝีปากเล็กน้อย เขากำลังพยายามเรียบเรียงคำพูดเพื่อให้ออกมาดูน่าฟังแทนที่จะจุดฉนวนให้แบคฮยอนรู้สึกแย่ไปกว่าเดิม
“จะบอกว่าเราเข้าใจผิดก็คงไม่ถูก เพราะมันก็เป็นอย่างที่เห็น” แบคฮยอนไม่ได้พยักหน้าหรือขานตอบกลับไป พอเห็นอย่างนั้นอี้ฟานเลยต้องอธิบายต่อ “เรื่องของพี่กับอี้ชิงน่ะ”
“...”
“มันเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้เรียกว่าแฟน” ร่างสูงเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “ตอนนั้นพี่เพิ่งย้ายมาอยู่เกาหลี มีแค่อี้ชิงที่คุยกับพี่รู้เรื่องแล้วก็คอยสอนภาษาเกาหลีให้ เราสองคนสนิทกัน ทุกอย่างมันเริ่มต้นจากคำว่าเพื่อนแล้วก็มากกว่านั้นโดยไม่รู้ตัว” อี้ฟานดูท่าทีอีกฝ่าย เขาได้แต่คิดว่าเรื่องที่พูดไปมันจำเป็นหรือเปล่า หรือเขาควรจะเล่าแค่ประเด็นหลักให้แบคฮยอนฟังกัน “ถ้าพูดถึงอายุ ตอนนั้นเราก็มีวุฒิภาวะมากพอแล้ว แต่ถ้าพูดถึงความรัก อี้ชิงยังกลัวสายตาสังคมกับเรื่องรักร่วมเพศ”
“...”
“คนรอบข้างสงสัยว่าเราเป็นอะไรกัน แค่เพื่อนจริงน่ะเหรอ? ตอนนั้นอี้ชิงคิดมากอยู่พอสมควรในขณะที่พี่ไม่ได้แคร์เรื่องนั้นเลยสักนิด” น้ำเสียงของอี้ฟานยังอยู่ในโทนปกติ “เราอยู่กับความสัมพันธ์ที่ระบุไม่ได้ราว ๆ ปีครึ่งจนกระทั่งวิคตอเรียเข้ามา แล้วพี่ก็ถูกหักอก”
“...”
“อี้ชิงไม่ได้ชอบผู้ชายตั้งแต่แรก มันก็คงไม่แปลกที่เขาจะรู้สึกดีกับผู้หญิง วิคตอเรียไว้ใจพี่และเราทั้งสามคนก็สนิทกันมาก เธอมักจะย้ำอยู่เสมอว่าพี่คือเพื่อนที่ดีที่สุด” แบคฮยอนมองหน้าร่างสูงและตอนนี้ไม่มีใครเป็นฝ่ายหลบตาไปก่อน “ภายนอกดูยังไงก็รู้ว่าสองคนนั้นเป็นแฟนกันส่วนพี่คือเพื่อนสนิท เลยทำให้ข่าวลือระหว่างพี่กับอี้ชิงเงียบไปแล้วกลบด้วยเรื่องรักสามเส้าแทน” อี้ฟานนิ่งไปชั่วอึดใจ “พี่ปล่อยให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าพี่ชอบวิคตอเรียเพื่อที่จะให้อี้ชิงสบายใจ ฟังดูแปลกใช่ไหม? แต่ก็นั่นแหละ อี้ชิงไม่อยากให้ใครรู้เรื่องระหว่างพี่กับเขา”
“ครับ”
“แต่คนเราจะทนมองคนรักไปรักคนอื่นได้นานแค่ไหนกัน? พี่เคยพยายามหนีแต่มันก็ไม่สำเร็จ เพราะไม่ว่าจะไปไกลแค่ไหนสุดท้ายพี่ก็กลับไปหาอี้ชิงอยู่ดี”
อี้ฟานเงียบไปเมื่อมีครูคนหนึ่งเดินเข้ามาข้างใน ทั้งสองคนยิ้มพร้อมกับโค้งหัวให้จนกระทั่งผู้มาใหม่เดินออกไปหลังจากเก็บของเสร็จ
“เราห่างกันช่วงอี้ชิงกลับฉางซา แต่เขาบินกลับมาเกาหลีเพื่อมาหาพี่โดยไม่บอกวิคตอเรีย” สีหน้าของแบคฮยอนลดลงอย่างเห็นได้ชัด เขารู้ว่าตอนนี้คนตัวเล็กคงกำลังมองเขาในแง่ร้ายมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ถึงอย่างนั้นอู๋อี้ฟานก็ยังอยากเล่าถึงความใจร้ายของเขาให้อีกฝ่ายฟัง “พี่งี่เง่ามากถึงขั้นยอมลาป่วยเพื่อที่จะได้ใช้เวลาอยู่กับเขาทั้งอาทิตย์”
“...”
“เราสวมเขาให้วิคตอเรียอยู่นานมาก...จนพี่คิดว่าควรจบเรื่องนี้สักที” ร่างสูงถอนหายใจก่อนจะก้มหน้าลงพลางประสานมือไว้บนหน้าขา
“แล้วพี่ก็มาเจอผมใช่ไหม” อี้ฟานเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่าย แบคฮยอนไม่ได้แสดงออกว่ากำลังรู้สึกยังไง และมันทำให้เขาหวั่นใจกับแววตาคู่นั้นที่ไม่สามารถคาดเดาได้ “พี่สองคนไม่ละอายใจกันเลยเหรอ”
“...”
“ผมรู้ว่าเรื่องหัวใจมันห้ามกันยาก แต่ผู้หญิงคนนั้นผิดอะไร”
“...”
“เธอแค่รักคุณอี้ชิงแล้วก็ไว้ใจพี่ที่เป็นเพื่อนสนิทของเธอ” คำพูดของแบคฮยอนเหมือนมีดแหลมที่กำลังแทงลงกลางอกเขาซ้ำ ๆ นับครั้งไม่ถ้วน “ตอนนี้พี่ไม่ต้องกังวลว่าผมจะรู้สึกยังไงหรอกครับ” อี้ฟานพูดไม่ออก ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้วแต่พอเอาเข้าจริง ๆ เขากลับคาดหวังอยู่ลึก ๆ ว่าแบคฮยอนจะเข้าใจและทุกอย่างคงจบลงด้วยดี ซึ่งมันก็เป็นแค่ความคิดของคนเห็นแก่ตัว “พี่อาจจะอยู่กับสถานะแบบนั้นได้ แต่เธอล่ะ?” คนตัวเล็กมองอีกฝ่าย เขารู้สึกผิดหวังในตัวผู้ชายคนนี้จริง ๆ “ทั้งเพื่อนทั้งแฟน...คุณวิคตอเรียเหมือนถูกคนรักทั้งสองคนยัดมีดใส่มือ แล้วก็แทงอกเธอซ้ำ ๆ”
“...”
“ไม่ต้องพูดนะว่าพี่เคยชอบผมจริง ๆ หรือว่ามันเป็นเรื่องโกหก” แบคฮยอนหลุบสายตาลงแล้วหายใจเข้าลึก ๆ “ให้ผมเกลียดพี่เถอะครับ ถ้าเป็นแบบนั้นผมคงรู้สึกดีกว่าถ้าจะต้องสงสารพี่”
พูดจบร่างเล็กก็หันไปคว้ากระเป๋าแล้วลุกขึ้นโค้งหัวให้คนตัวสูง ทั้งคู่สบตากันแค่ครู่เดียวเท่านั้นและแบคฮยอนคิดว่าอีกฝ่ายคงมีเรื่องที่อยากจะพูดอีก โดยเฉพาะเรื่องความรู้สึกที่มีต่อเขา แต่ถึงอย่างนั้นบยอนแบคฮยอนก็เลือกที่จะเดินออกไป แต่ยังไม่พ้นประตูขาทั้งสองข้างก็หยุดอยู่ตรงนั้นก่อนจะหันหลังกลับ
“ไม่ต้องสงสารผมหรอกนะ เพราะตอนนี้ผมมีความสุขดี”
“...”
“ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือโกหก แต่ก็ขอบคุณสำหรับความรู้สึกดี ๆ ที่เคยมีให้ผมนะครับ”
ขับรถเข้ามาในบ้านแล้วดึงเบรกมือขึ้น แบคฮยอนฟุบหน้าลงกับพวงมาลัยพลางหลับตาลงกับเหตุการณ์เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ที่เปลี่ยนความรู้สึกของเขาที่มีต่อคน ๆ หนึ่งไปอย่างสิ้นเชิง จากตอนแรกก็สงสารตัวเองที่ดูเหมือนคนโง่ที่ถูกหลอกให้ไว้ใจ แต่หลังจากได้ฟังคำอธิบายทั้งหมดแล้วบยอนแบคฮยอนก็ได้รู้ว่าคนที่น่าสงสารที่สุดคือคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยต่างหาก
พอเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมา แบคฮยอนหายใจเข้าลึก ๆ แล้วคิดว่าควรทิ้งเรื่องแย่ ๆ ไว้ข้างนอกและเข้าไปในบ้านพร้อมกับรอยยิ้มแทนที่จะให้ชานยอลเห็นหน้าเขาที่เต็มไปด้วยความทุกข์ใจ
แต่พอเปิดประตูเข้าไปก็พบแต่ความว่างเปล่าทั้งที่ปกติชานยอลจะนอนเล่นเกมอยู่บนโซฟาแล้วดีดตัวลุกขึ้นมาทำหน้าเหมือนหมาตอนเห็นเจ้านายกลับบ้าน สองขาเดินเข้าไปข้างในพลางกวาดสายตามองหาแต่ก็ไม่เห็น
บางทีชานยอลอาจจะเล่นคอมพ์อยู่ในห้องเพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์กับการเรียน ร่างเล็กหมุนลูกบิดเข้าไปในห้องแล้วก็เอื้อมไปกดสวิตซ์ไฟ แน่นอนว่ามันทำให้เขาประหลาดใจที่ไม่เห็นหลานชายอยู่ในนี้เช่นกัน
ล้วงเอามือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดโทรหา เพียงแค่สองวิสายก็ติดหากแต่เสียงริงโทนกลับอยู่ในระยะใกล้จนน่าประหลาดใจที่ไม่เห็นเจ้าของเครื่อง แบคฮยอนมองไปยังเตียงสามฟุตที่มีสมาร์ทโฟนส่องแสงสว่างอยู่บนนั้นก่อนจะเข้าไปเก็บขึ้นมาดูแล้วก็เห็นโน้ตแผ่นหนึ่งแปะอยู่มุมบนของจอ
‘แม่พาผมกลับปูซานแล้ว
แบคฮยอน...ช่วยผมด้วย... L’
TBC
อิหลานโดนลากคอกลับปูซานแล้ว
ไม่แน่อาจจะจบตอนหน้า หรืออีก 2 ตอน
ใจหายเนอะ
แล้วก็มีสเปอีกสามตอนล่ะค่ะ TT พออัพตอนนี้แล้วขอลาสองวันนะคะจะไปนอนบ้านน้อง ไว้จะรีบมาอัพให้อ่านค่ะ :3
ความคิดเห็น