คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : Chapter 16 :: His Cooking Skills
Chapter 16
His Cooking Skills
แบคฮยอนแง้มประตูห้องน้ำออกมา สิ่งแรกที่เห็นคือสายตาของผู้ชายสองสามคนที่มองมายังเขาเป็นตาเดียวกัน แน่นอนครับเพราะในนี้เป็นห้องน้ำชายเพราะฉะนั้นกูคงไม่สามารถเห็นผู้หญิงมายืนถกกระโปรงฉี่อยู่ทางด้านซ้ายมือได้
ร่างเล็กยิ้มแห้ง ๆ แล้วเดินไปหยุดอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ ปัดมือผ่านสแกนเพื่อให้น้ำในอ่างล้างมือไหลออกมา จนถึงขนาดนี้แล้วยังยังมองอยู่อีก นี่พวกมึงสงสัยอะไรในตัวกูกันนักหนา แต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะอ่านความคิดเขาออก สายตาคู่นั้นเลยหลุบลงมองมือถือที่เขาวางไว้อยู่ข้างอ่างเพื่อบอกให้รู้ว่าว่าเมื่อกี้เขาคุยโทรศัพท์เสียงดังเกินไป
“ท้องผูกน่ะพี่ ขี้นานไปนิดนึง” แบคฮยอนพยักหน้ายิ้ม ๆ พร้อมรัวดึงทิชชู่แผ่นแข็งออกมาสี่แผ่นแล้วขย้ำทิ้งถังขยะก่อนจะเดินออกไปข้างนอก
สองขาหยุดกึกเมื่อเห็นว่าเป้าหมายยังคงนั่งอยู่ที่เดิม แบคฮยอนมองนาฬิกาข้อมือแล้วก็แทบเหงื่อตกทันทีที่คำนวณออกมาได้ว่าการเข้าไปเยี่ยวในครั้งนี้มันนานกว่าการซักผ้าแบบหยอดเหรียญอีก คนตัวเล็กหายใจเข้าลึก ๆ นี่ไม่ได้กลัวถ้าพี่อี้ฟานจะบ่น แต่ที่กลัวคือพี่แกจะเงียบนี่แหละ คนแบบนั้นน่ากลัวกว่าพวกที่แสดงออกอย่างชัดเจนอีก
“แหะ ๆ” แบคฮยอนยิ้มโง่พร้อมกับนั่งลงฝั่งตรงข้าม ร่างสูงที่ยังคงนั่งกอดอกพลางมองไปยังคนตรงหน้าที่ห่อไหล่ลงเหมือนคนกำลังรู้สึกผิด
“นึกว่าหลับไปแล้วซะอีกครับ”
“โธ่พี่ ตอนแรกก็ว่าจะฉี่เฉย ๆ แหละไป ๆ มา ๆ ดันปวดท้อง...” แบคฮยอนงอหน้าพร้อมกับทาบมือลงกับท้องตัวเอง อี้ฟานยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหันซ้ายขวาอยู่ในที
“กลับกันเลยไหม?”
“ก็ดีครับ ใกล้ถึงเวลาเข้าสอนแล้วด้วย” แบคฮยอนก้มลงมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้งแล้วยิ้มให้อีกคน
ร่างสูงพยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง บยอนแบคฮยอนไม่อยากเป็นคนเซนส์ดีเลยครับนี่พูด ไม่บอกก็รู้ว่าตอนนี้พี่อี้ฟานกำลังไม่โอเคเป็นอย่างมากกับการที่เขาทิ้งพี่เขาไว้ตรงนี้แล้วหายเบ้าหน้าไปนานสองนาน
“พี่”
อี้ฟานเลิกคิ้วมองอีกคนก่อนจะลดระดับสายตามองมือเล็กที่จีบแขนเสื้อเขาไว้เล็กน้อย ทั้งคู่สบตากัน ดูเหมือนว่าตอนนี้แบคฮยอนกำลังอยากจะพูดอะไรสักอย่าง ซึ่งเขาก็หวังว่าจะได้ยินข้อแก้ตัวดี ๆ หลังจากเข้าไปได้ยินบทสนทนาของสองน้าหลานในห้องน้ำเมื่อครู่นี้
“ว่าไงครับ?”
“โกรธผมใช่ไหม” สีหน้าแบคฮยอนในตอนนี้เหมือนกับลูกหมาตัวเล็ก ๆ ไม่มีผิด แต่ถึงอย่างนั้นอู๋อี้ฟานก็ไม่ได้รู้สึกสบายใจมากไปกว่าที่เป็นอยู่
ถ้าเป็นคนอื่นเขาอาจจะไม่รู้สึกอะไรก็ได้ แต่เพราะว่าเป็นเด็กคนนั้น
เด็กที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหลาน ที่คอยขัดขวางเขากับแบคฮยอนอยู่ตลอดเวลา
“คำตอบของพี่มันจะทำให้บรรยากาศแย่ลงเปล่า ๆ ครับ”
“โห...นี่โกรธจริงดิ...” แบคฮยอนขยับปากพูดเบา ๆ ร่างสูงหลุดหัวเราะออกมาก่อนจะวางมือลงบนหัวคนตัวเล็กกว่าแล้วเดินออกมาจากร้านกาแฟด้วยกัน “คนมันปวดขี้ให้ทำไงอ่ะ...”
อี้ฟานยังคงยิ้มแม้ว่าจะได้ยินคำโกหกจากคนข้าง ๆ ซึ่งเขาพอจะเข้าใจว่าแบคฮยอนไม่ได้ตั้งใจ ไม่สิ...คนตัวเล็กตั้งใจจะโกหกเขาเพื่อให้เขาสบายใจ
“เอาเป็นว่าถ้าอยากให้พี่รู้สึกดีขึ้นก็ไปทานข้าวเย็นกับพี่แล้วกันครับ”
“เย็นนี้?”
“ครับ ไม่ว่างเหรอ?” ทั้งคู่หยุดยืนอยู่ข้างรถ ร่างสูงมองอีกฝ่ายที่กำลังขมวดคิ้วใช้ความคิดทั้งที่ก่อนหน้านี้แบคฮยอนแทบจะตอบตกลงทันทีทุกครั้งที่เขาออกปากชวน
ใช่...เขาจงใจชวนเพราะรู้ว่าเด็กคนนั้นนัดคนตัวเล็กไว้นั่นแหละ
ขอโทษแบคฮยอน...พี่ไม่ใช่คนใจดีอย่างที่เราคิดหรอก
“ไว้วันหลัง...ได้ไหมครับ”
“เย็นนี้มีธุระเหรอ?” ร่างสูงยังคงเก็บอาการไว้ภายใต้สีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ถึงอย่างนั้นแบคฮยอนก็พอจะดูออกว่าอี้ฟานก็แค่ไม่อยากชักสีหน้าแสดงความไม่พอใจใส่เขา
“ครับ...ผมนัดเพื่อนไว้แล้วน่ะ ไอ้เซฮุนที่เคยเล่าให้พี่ฟังไง” ร่างเล็กยิ้มเจื่อน อี้ฟานพยักหน้าช้า ๆ แล้วเดินอ้อมไปที่นั่งคนขับ
“งั้นไม่ทานข้าวก็ได้ครับ แต่วันจันทร์พี่จะไปรับเราไปโรงเรียนพร้อมกัน...คราวนี้ยังจะปฏิเสธอยู่ไหมหืม?” ร่างสูงเท้าแขนบนหลังคารถ แบคฮยอนยืนนิ่งแล้วทำตาปริบ ๆ ก่อนจะอมยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเป็นคำตอบ
“โว้วว!!! ดูซิใครมา” จงอินทำหน้าตกใจทันทีที่เปิดประตูแล้วเห็นใครคนหนึ่งยืนจังก้าอยู่ตรงประตูรั้ว “ฮุนจ๋า ครูที่ปรึกษามึงมาเยี่ยมบ้านว่ะ รีบแต่งตัวเร็ว”
แบคฮยอนยืนทำหน้าเซ็งอยู่ตรงนั้นแล้วก็ได้แต่คิดว่าเมื่อไหร่ไอ้เพื่อนหอกหักมันจะเปิดประตูให้เขาสักที จงอินเดินออกมาในท่าที่คนปกติไม่ทำกัน ไหล่ทั้งสองข้างยึกยักไปมา ปากก็ผิวอยู่นั่น มึงคงสุนทรีย์บันเทิงสุขกันมากสินะ
แบคฮยอนเดินเข้าไปในบ้านเมื่อเพื่อนรักมูนวอร์คถอยหลังมาเปิดประตูให้ พอเข้าไปข้างในก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นการต้อนรับชั้นสองคือซากบ๊อกเซอร์ที่กองอยู่บนพื้น
“อะไรของเนี่ย อย่าบอกนะว่าพวกมึงเพิ่งบวชนาผืนน้อยกันเสร็จ” คนตัวเล็กเบ้หน้าแล้วชี้ไปยังซากอารยธรรมอย่างรังเกียจ
“ก็แย่ละ เห็นกูเป็นคนยังไงกันวะ กะอีแค่เห็นบ๊อกเซอร์วางอยู่บนพื้นมึงก็คิดไปไกลละ ขนาดศิลปินอย่างกูยังจินตนาการไม่ได้เท่านี้”
จงอินบ่นแล้วเดินไปเก็บบ๊อกเซอร์ใส่ตะกร้าผ้า พอเดินไปอีกนิดก็เห็นเสื้อ กางเกง เข็มขัด หลักฐานคาตาขนาดนี้นี่มึงยังจะแถอีกเหรอสึด รู้จักกันมาตั้งแต่มึงทำหัวเกรียนจนตอนนี้หนวดขึ้นจนแทบจะถักเปียเป็นทรงเดทร็อคได้ละ เหลือแค่อย่างเดียวที่กูไม่รู้คือพวกมึงสองคนได้กันท่าไหนบ้างเท่านั้นแหละ
“กูสงสัยจริง ๆ ว่าทำไมเซฮุนมันถึงยอมปล่อยให้มึงไว้หนวดได้”
“มันบอกว่าเวลาหนวดทิ่มคอแล้วจั๊กจี้ดี”
“อ๋อจ้า” แบคฮยอนหรี่ตาอ้าปากประชด
“คนไม่มีแฟนไม่เข้าใจหรอกว่าเวลาหนวดทิ่มคอแล้วมันฟินมากแค่ไหน” แบคฮยอนแค่นหัวเราะเมื่อเพื่อนตัวดีอีกคนโผล่เบ้าหน้าออกมาปกป้องยอดรักของมันพร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กที่พาดอยู่กับต้นคอ เซฮุนยีผมที่เปียกลู่ก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟา
“มึงก็ไว้บ้างสิ ไอ้จงอินจะได้ฟินมั่ง”
“อย่าเลย กูกราบแทบเท้า” จงอินยกมือไหว้ขึ้นเหนือศีรษะ
“ไง คุณครู”
“เหนื่อย”
“ลาออกเลยเชื่อกู” <- จงอิน
“กูเห็นด้วยกับจงอิน มึงไม่เหนื่อยเหรอวะต้องตื่นไปสอนแต่เช้าทุกวี่ทุกวันแบบนั้น แถมเด็กบางคนก็โคตรทำตัวกะโปก ไม่รู้จักฟังครูบาอาจารย์ บางคนไม่รักดีโดดเรียนอีก นี่มึงกำลังแบกความลำบากของโลกใบไว้กับตัวรู้ไหมแบคฮยอน” เซฮุนขมวดคิ้วพูดอย่างจริงจัง แต่ที่พูดมานี่คือพวกมึงสองคนทั้งนั้น
“แล้วเป็นไร ทำหน้าเหมือนคนไม่มีใครเอา”
“ปากมึงละเชี่ยจงอิน” แบคฮยอนยกเท้าขึ้นแล้วจงอินก็แกล้งทำท่าผวา
“เออ เห็นที่รักกูมันมันเล่าว่าช่วงนี้มึงแฮปปี้กับครูที่โรงเรียนมาก เป็นไงมั่งวะ”
สึด นั่นแหละปัญหาชีวิต
“ไม่รู้จะเริ่มพูดตรงไหนดีเนี่ย”
“ก็เล่าไปดิว่าเขากำลังเล่นกับความรู้สึกมึง อีกสักพักก็จะโดนทิ้งตามระเบียบ” ห่าจงอิน ปากมึงนี่ก็เรียกส้นตีนเหลือเกิน
“มีรูปป่ะ ขอดูหน่อยดิ” เซฮุนขยับมานั่งข้าง ๆ เพื่อนตัวเล็ก แบคฮยอนทำท่าอิดออดอยู่ในทีแต่สุดท้ายก็ยอมควักมือถือออกมา “เหยด...ถ่ายรูปไว้ด้วยเว้ยเฮ้ย เออ ๆ กูเข้าใจว่าคนอย่างมึงต้องเก็บรูปเขาไว้ฟินก่อนนอนอยู่แล้วตามประสาคนไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตน กูขอทายว่าคงเป็นครูใส่แว่นหน้าตาแบบพวกโอตาคุ ชนิดที่เห็นนักเรียนหญิงเดินผ่านแล้วหอบหายใจแฮ่ก ๆ”
“มโนแล้วมึงฮุนจ๋า กูเคยเล่าให้ฟังแล้วป่ะว่าครูสอนจีนของไอ้แบคฮยอนมันหล่อแค่ไหน”
“สอนชีวะ”
“เออนั่นแหละ” จงอินชี้นิ้วไปทางแบคฮยอน “กูสับสนที่ว่าพี่แกเป็นคนจีน”
“โทษที ตอนนั้นท่องบทอยู่ไม่ได้ฟัง” เซฮุนวางแขนลงบนพนักโซฟาขณะรอเพื่อนตัวเล็กหารูปให้ดู “โว้วววววววววววววววววววววว”
“ไงล่ะ ใช่ย่อยที่ไหน” จงอินมองเพื่อนที่กำลังอมยิ้มขณะมองรูปหนุ่มชาวจีนในมือถือ เซฮุนแย่งโทรศัพท์ไปดูใกล้ ๆ แล้วใช้นิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือขยายรูปออก
“หล่อมากอ่ะ นี่ครูจริงดิ”
“เออ”
“ไอ้เตี้ยมันได้ของดีแบบนี้จริง ๆ เหรอวะไคจ๋า?” เซฮุนหรี่ตามองคนรักเพื่อให้ยืนยันกับสิ่งที่เขาคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นมูลความจริง จงอินพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้เชื่อเถอะว่าแบคฮยอนเพื่อนรักของเราสองมันสอยดาวได้รางวัลที่หนึ่งแล้ว “แล้วเป็นไงเนี่ย แค่คุย ๆ กันหรือว่าไง?”
“ก็ประมาณนั้นแหละ เมื่อตอนกลางวันกูแทบช็อคตอนพี่แกขอคบ”
“เหยดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด” คู่รักหยินหยางประสานเสียงพร้อมกันขณะมองมายังเขา
“กูนี่งงไปหมด ทั้งฟิน ทั้งตกใจ”
“แล้วทำไง กูว่ามึงคงรีบตอบตกลงทันที” เซฮุนถามกลับโดยไม่ทิ้งจังหวะนานไปกว่านี้
“เปล่า กูยังไม่ได้ตอบอะไรเลย”
“เป็นไปได้เหรอ” <- เซฮุน
“ตอแหลแล้วจากสภาพ” <- จงอิน
“ก็หลานบังเกิดเกล้าส่งข้อความมาขัดจังหวะก่อนอ่ะดิ หลังจากนั้นก็เลยเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นเฉย กูก็อยากจะวกกลับไปเรื่องนั้นหรอกนะแต่...”
“แต่...” ทั้งสองคนประสานเสียงกันพร้อมกับแสดงสีหน้าอาการอยากเสือกอย่างชัดเจน
“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ กูอยากคบกับพี่อี้ฟานใจจะขาดแต่อีกใจก็ไม่กล้าคบ”
“เข้าเรื่องเถอะ มือไม้กูสั่นไปหมดละ” เซฮุนเขย่ามือประกอบ
“ช่วงนี้ไอ้ชานยอลมันชอบทำตัวแปลก ๆ เพราะมันนั่นแหละ” แบคฮยอนขมวดคิ้วเมื่อนึกถึงหน้ากวน ๆ ของหลานชาย
“มันเป็นไรอีกล่ะ” <- เซฮุน
“หาเรื่องไล่มึงออกจากบ้านอีกแล้วสินะ” <- จงอิน
“คือกูแฮปปี้กับพี่อี้ฟานมากนะ แต่ฟินได้ไม่เคยสุดเพราะไอ้ห่าหลานรักขัดจังหวะตลอด”
“อ้าว ไหงงั้น”
“นี่คือเหตุผลที่กูมาหาพวกมึงสองคน” แบคฮยอนมองหน้าเพื่อนสลับกันไปมา “ช่วงนี้ชานยอลมันทำตัวดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เวลากูจะไปกับพี่อี้ฟานก็มาออดอ้อนไม่อยากให้ไปด้วย แล้วก็ชอบแสดงอาการไม่พอใจเวลากูอยู่กับพี่เขา”
“หืม...”
“ยังไงน้อ...”
ทั้งสองคนมองเพื่อนตัวเล็กอย่างหวาด ๆ ใช่แล้วล่ะ...ที่ได้ฟังจากปากแบคฮยอนมันเป็นเรื่องแปลกประหลาดพิสดารเกินไป เพราะพวกเขาต่างก็เห็นสองน้าหลานมาตั้งแต่ไอ้เด็กนั่นยังตีนเท่าฝาหอยจนตอนนี้สูงชะลูดทะลุหอไอเฟลแล้วทำไมจะไม่รู้ว่าสันดานหลานที่ทำให้ไอ้แบคฮยอนปวดหัวทุกวี่ทุกวันมันเป็นยังไง
“กูทำตัวไม่ถูกเลยเวลามันเป็นเด็กดีแบบกวนส้นตีน แต่จะด่ามันเหมือนเมื่อก่อนก็ยังไงอยู่” แบคฮยอนพูดต่อ
“หลานมึงกินยาไม่เขย่าขวดเปล่าวะ” เซฮุนทำหน้าจริงจัง
“หรือไม่ก็อาจจะเดินชนเสาจนสมองกลับ” จงอินเสริม
“ขอสาระครับเพื่อน กูขับรถมาตั้งไกลนี่ไม่ใช่มานั่งฟังพวกมึงวิเคราะห์ซิทคอมน่ะห่า”
“คิดมากไรวะ หลานมึงอาจจะแค่ไม่โอเคกับการที่มึงจะมีแฟนก็ได้ อาการของเด็กหวงของเล่นอ่ะเข้าใจป่ะ” เซฮุนพูดในท่าทีสบาย ๆ ราวกับว่าเรื่องของแบคฮยอนมันเล็กน้อยขี้ปะติ๋วหลิว
“หน้ากูเหมือนของเล่นมากเหรอ” ร่างเล็กชี้หน้าตัวเองอย่างเนือย ๆ
“ถ้าอ้วนกว่านี้นิดนึงมึงอาจจะกลายเป็นกระสอบทรายไว้ให้มันอัดเช้าเย็นในอนาคตก็ได้” จงอินว่า
“มึงคิดนะ สมมติมึงมีพี่ชายที่อยู่ด้วยกันทุกวัน แต่จู่ ๆ พี่มึงก็เสือกไปมีแฟน วันนั้นมึงรู้สึกเหมือนกับว่าโลกนี้มันว่างเปล่าเพราะพี่มึงไปให้ความสนใจคนอื่นมากกว่า เลยเกิดอาการงิด เรียกร้องความสนใจ พยายามเอาความรักกลับคืนมา” เซฮุนวางมือลงบนไหล่เพื่อนพร้อมกับอธิบายเป็นฉาก ๆ
“รู้สึกเหมือนโดนทิ้ง”
“ไคจ๋าพูดถูก”
“มึงพูดเหมือนกับว่าไอ้ชานยอลมันเคยโหยหาความรักจากกู” ทันทีที่พูดจบคู่รักหยินหยางก็เงียบกริบ ทั้งสามคนมองหน้ากันโดยที่ไม่พูดอะไร
“นั่นน่ะสิ” <- เซฮุน
“มนุษย์หลานเกลียดเบ้าหน้ามึงอย่างกะอะไรดี” <- จงอิน
“ใช่ไหมล่ะ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น?”
“กูจะรู้ไหม มึงอยู่กับมันทุกวันทำไมไม่รู้จักสังเกต มึงเป็นน้ามันนะ กูก็อยู่กับไคจ๋าฝั่งนี้ใช่ว่าได้ไปนั่งเฝ้าติดตามชีวิตมึงเหมือนบ้าน AF จะได้รู้วงจรชีวิตมึงสองคนไปซะทุกเรื่อง!” เซฮุนรัวด่าเพื่อนตัวเล็ก แบคฮยอนปาดคราบน้ำลายออกจากหน้าอย่างเบามือแล้วมองเพื่อนด้วยสายตาเรียบเฉย
“ห่านี่ก็อินจั๊ง”
“กูว่ามันอาจจะแค่หวงอย่างที่ฮุนจ๋าพูดนั่นแหละ ถึงมันจะไม่ได้แสดงออกว่ารักมึงก็เถอะ คงเป็นอารมณ์ที่ว่าไม่อยากให้คนรอบข้างไปสนใจคนอื่นนอกจากตัวเอง” จงอินอธิบาย ซึ่งประโยคนี้ฟังเข้าท่ากว่าที่ไอ้เซฮุนพูดนิดนึง
“จริงเหรอวะ”
“หรือมึงคิดว่ามันจะเป็นอย่างอื่นได้ล่ะ”
อย่างอื่น...?
“ถ้าไม่หวงก็คงหึง จบนะเพื่อน”
“ร่างบางเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อเสื้อตัวบางถูกกระชากออกจนเผยให้เห็นรอยรักสีกุหลาบอยู่ตามร่างกาย ร่างสูงกัดฟันกรอด มือหนากำหมัดแน่นแล้วชักไปยังกระจกจนแตกกระจายไม่เหลือชิ้นดีกับความโทสะที่ประทุขึ้น”
ชานยอลขมวดคิ้วก่อนจะหยุดมือที่กำลังผัดข้าวในกระทะ เด็กตัวสูงหันกลับไปมองเพื่อนที่นั่งอ่านฟิคอยู่ข้างหลังแถมยังกระดิกขาอย่างอารมณ์ดีอีก จื่อเทาลดระดับหนังสือลงก่อนจะสบตากับเพื่อน
ใช่แล้ว...สุดท้ายเขาก็โทรตามไอ้หอกนี่ให้มาอยู่เป็นเพื่อนอยู่ดี
“ร่างเหี้ยอะไรเยอะแยะไปหมดวะสัด นี่ฟิควายหรือเวทีมวยปล้ำ” ชานยอลโพล่งออกมาอย่างใส่อารมณ์ พอได้ยินอย่างนั้นจื่อเทาถึงกับเลิกคิ้วขึ้นสูง
“เอ้า แล้วมึงจะให้เขาแทนตัวว่าไงอ่ะ เป็นเคะก็ร่างบาง เป็นเมะก็ร่างสูง มันคือสัจธรรมนะ”
“แล้วอะไรคือรอยรักสีกุหลาบ เป็นไข้เลือดออกเหรอ”
“รอยคิสมาร์คสิว้า มึงนี่โคตรไร้จินตนาการเลยอ่ะ นี่กูกำลังอ่านหนังสือให้ควายฟังอยู่ใช่ไหมเนี่ย เฮ้อ” จื่อเทาส่ายหน้ากับสิ่งที่เขาได้พยายามสื่อให้เพื่อนเข้าใจกับโลกที่เขามีชีวิตอยู่ เด็กหนุ่มรู้สึกผิดหวังในตัวเพื่อนคนนี้เหลือเกิน
“กูไม่มีจินตนาการตรงไหน คนห่าอะไรจะดูดทั้งตัวแบบนั้น ชาติที่แล้วไอ้คนรุกมันเกิดเป็นปลิงไง?”
“ไม่เว้ยมึง คือเรื่องนี้เคะมันโดนตัวโกงข่มขืนมา แล้วบทตัวโกงมันหื่นอ่ะ แบบตอน NC ก็ดูดทำรอยไว้ทั้งตัว”
“โอ้โห...อัศสะจอรอหรรการันต์ยอ” ชานยอลปั้นหน้าปั้นตาใส่เพื่อนที่นั่งเบ้ปากมองเขาก่อนจะหันกลับไปผัดข้าวต่อเพราะตอนนี้เริ่มได้กลิ่นแปลก ๆ
“มึงเสียมารยาทนะรู้เปล่า” ชานยอลผินหน้าหันไปมองเพื่อนที่กำลังเอาคางเกยไหล่เขาแถมยังทำจมูกฟุตฟิตดมกลิ่นข้าวที่กำลังผัดอยู่อีกต่างหาก
“เสียตรงไหน กูแค่วิจารณ์กับสิ่งที่มันขัดแย้งความเป็นจริง”
“มันก็แค่ฟิคป่ะว้า มึงแม่งแย่อ่ะ บอกให้กูเอามาอ่านให้ฟังละเสือกทำกูเสียความรู้สึก” เทาบ่นอุบอิบแล้วเอื้อมมือไปหยิบแครอทส่วนที่เหลือมาเคี้ยวแก้เซ็ง
ชานยอลเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม ถูกอย่างที่ไอ้เทาพูดนั่นแหละ เขาเป็นคนบอกให้มันเอาฟิคชายรักชายมาด้วย จริง ๆ ก็ไม่ได้สนใจอะไรขนาดนั้นมันก็แค่อยากรู้ว่านิยายแนวนี้มันเป็นยังไง แค่รู้สึกอยากเปิดโลก โอเคนะ
“ถอยไปสัด กูร้อน”
“กับเพื่อนนี่ใจร้ายตลอด” เทาเบ้ปากแล้วขึ้นไปนั่งบนซิงค์ข้าง ๆ เด็กหนุ่มเปิดหนังสือหน้าต่อไปแล้วกระแอมไอเบา ๆ “ร่างบางหลับตาปี๋ สองมือยันแผงอกแกร่งไว้ก่อนจะเบิกตากว้าง”
“สรุปมันจะหลับตาหรือจะลืมตากันแน่วะ”
“โอ้ย ตอนเป็นเด็กแม่มึงให้แดกเครื่องหมายเควสชั่นมาร์กแทนซีรีแลคป่ะเนี่ย สงสัยไปซะทุกอย่างเลย ตอนเอากันบ้านมึงพาถ่างตามองกันตลอดเวลาเลยเหรอ มันต้องมีเคลิ้ม หลับตาเขิน เบิกตากว้างเพราะเจ็บมั่งดิ กูเริ่มเบื่อมึงแล้วนะชานยอล”
“ก็ฟิคที่มึงอ่านมันกะโปกอ่ะ”
“กะโปกตรงไหน เรื่องนี้ติดท็อปเลยนะมึงไม่เชื่อไปเสิร์ทหาได้เลย ‘แรงพิศวาสอาฆาตร้อยรัก’ นี่ขึ้นหน้าแรก”
“นิยายเล่มละสิบบาทมาก”
ชานยอลส่ายหน้าหน่าย ๆ แล้วเติมเครื่องปรุงลงไป ถ้ามัวแต่หันไปด่าไอ้เพื่อนตัวดีเห็นทีว่าข้าวผัดของเขาจะกลายเป็นอะไรสักอย่างที่จำเป็นต้องเททิ้งลงถังขยะแทนที่จะยัดมันลงท้องเป็นมื้อเย็น
“อ๊ะ...อ๊ะ...อ๊ะ...อื้ม...อย่าฮะ...ฮ้า...งื้อ...”
“...” เส้นเลือดตรงขมับถึงกับกระตุกทันทีที่ได้ยินเพื่อนส่งเสียงประหลาด ๆ ออกมา นี่กูคิดว่ามึงจะหยุดอ่านแล้ว ยังจะต่ออีกเรอะ
“ต...ต...ตรงนั้น...อ๊า”
“...” สองมือหยุดกึก ยิ่งได้ฟังยิ่งรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก ใช่ว่าจะไม่เคยได้ยินเสียงแบบนี้ โอเค เขาเคยได้ยินแต่มันก็ไม่อุบาทว์ชาติชั่ววัวกระทิงอย่างที่ไอ้ห่าเทาส่งเสียงออกมา บอกตามตรงเลยครับว่าปาร์คชานยอลถึงกับมีอารมณ์...อารมณ์อยากเตะปากคน
จากตอนแรกที่กำลังคิดหนักเพราะไม่รู้จะใส่ลงไปเพื่อให้ข้าวผัดมันรสชาติดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ แต่ก็ต้องมาเครียดเพราะเพื่อนตัวเขียวที่ยังคงอินกับฟิคชั่นที่อยู่ในมือ
“หืม? ตรงนี้เองเหรอ? ร่างสูงยิ้มมุมปากอย่างย่ามใจก่อนจะขยับ...”
“พอ!”
“เหวอ!!!” จื่อเทาสะดุ้งสุดตัวทันทีที่ได้ยินเสียงทัพพีกระทบกับกระทะอย่างแรง เด็กหนุ่มทาบมือลงกับอกพลางถอนหายใจเมื่อหลุดพ้นจากอาการโคม่าได้แล้ว “มึงอ่ะ กูยิ่งเป็นคนขวัญอ่อนอยู่”
“แล้วครางหาพ่อ”
“ก็ในฟิคมันเขียนเงี้ย” จื่อเทาเปิดหนังสือให้ดูแต่ชานยอลก็ไม่สนใจ เด็กหนุ่มเดินไปหยิบจานสองใบออกมาวางไว้แล้วตักข้าวผัดใส่ “งั้นกูเลิกอ่านละ”
“เออ พอเถอะ”
“อ่านไปมึงก็วิจารณ์เสีย ๆ หาย ๆ ถ้ากูเป็นคนเขียนคงช้ำใจตายเพราะคำพูดของมึง ฆาตกร”
“จ้ะ”
“อ่านแล้วต้องจินตนาการตามให้ได้ดิ อย่างกูเนี่ยคิดภาพออกมาได้เป็นฉาก ๆ เลยนะว่าเมะกดเคะยังไง”
“แล้วมึงเคยลองทำจริง ๆ ป่ะห่า เหตุการณ์จริงมันไม่ได้เวิ่นเว้อเหมือนที่มึงอ่านเลยสักนิด” ชานยอลหันไปเหวี่ยงใส่เพื่อนอีกครั้ง จื่อเทาขมวดคิ้วก่อนจะหรี่ตามองคนตัวสูงอย่างสงสัย
“มึงพูดเหมือนเคยงั้นแหละ”
“...”
“ช่ะ?”
“ช่ะที่หน้ามึง กูจะไปเคยทำอย่างนั้นได้ยังไงวะ” ชานยอลขมวดคิ้วกลอกตาไปมาอย่างมีพิรุธ เทาวางหนังสือไว้ข้างตัวแล้วลงมาจากซิงค์ก่อนจะค่อย ๆ เดินไปประชิดเพื่อน
“ช่ะ...”
“...”
“ช่ะ...ช่ะ...”
“ช่า...” เอาสิ มึงมึนมากูมึนกลับ ชานยอลสบตากับเพื่อนที่กำลังมองจับผิดก่อนจะตักข้าวผัดยัดใส่ปากมันเพื่อหนีประเด็นนี้
“แหวะ! แผละ ๆ” จื่อเทาอ้าปากที่เต็มไปด้วยข้าวผัดร้อน ๆ อีกทั้งรสชาติเหมือนน้ำล้างตีนที่ฟุ้งกระจายอยู่ทั่วโพรงปาก มันทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกสาปให้กลายเป็นขี้หมาแห้งระยะสุดท้าย
“เป็นไงวะ?”
“หมาไม่แดกอ่ะ...TT_TT”
“แต่มึงต้องแดก” พูดจบแล้วยกจานขึ้นมาดมกลิ่นใกล้ ๆ พร้อมกับขมวดคิ้ว กลิ่นมันก็ไม่ได้แย่ ส่วนรสชาตินี่...
“คำเดียวก็เกินพอ...TT”
“มึงแค่ร้อน เดี๋ยวคำนี้กูเป่าให้” ชานยอลว่าแล้วตักข้าวอีกคำขึ้นมาเป่าอย่างลวก ๆ แล้วจ่อไปยังปากหนูลองยาที่ส่ายหน้าพรืดทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้อยู่รำไร
“พอเถอะมึง~”
“ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่มึงมาอ่านฟิคให้กูฟังถึงบ้าน”
“เฮ้ยเรื่องแค่นี้เอง กูทำเพื่อเพื่อนได้อยู่แล้ว มึงไม่ต้องคืนความสุขให้กูขนาดนี้ก็ได้เว้ย...” เทาหลุบสายตาลงมองข้าวผัดสีเข้มที่เป็นตัวการของความเค็มของสรรพสิ่งในปากเขา
“เอาน่า กูอุตส่าห์ป้อนมึงเลยนะ หมาที่ปูซานกูยังไม่ใจดีกับมันขนาดนี้เลย” ชานยอลไม่พูดเปล่า เขายัดข้าวผัดคำต่อไปใส่ปากเพื่อนอีกครั้ง สีหน้าของเทาในตอนนี้คงไม่ต้องพูดถึง มันช่างกล้ำกลืนฝืนทนจนยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูด
“เททิ้งเหอะ แล้วก็อย่าคิดทำอาหารอีก เชื่อกูนะเพื่อนTT”
“...”
“แค่เทน้ำร้อนใส่รามยอนมึงยังทำให้แดกไม่ได้เลย นึกไงทำกับข้าวว้า...อึ่ก ๆ” เทาอัดน้ำเปล่าไปครึ่งขวด ชนิดว่าถ้าปวดขี้ตอนนี้ได้ก็ยิ่งดี
“กูแค่อยากเข้าครัวบ้าง ผิดตรงไหน”
“ผิดตรงที่คนแดกไม่ใช่มึงไง...”
“เออ งั้นมึงกลับบ้านไปได้ละ” ชานยอลกอดคอเพื่อนออกมาจากห้องครัว จื่อเทามองอีกคนอย่างงง ๆ เมื่อจู่ ๆ ก็โดนเฉดหัวไล่ออกไปทั้งที่มันเป็นคนเร่งให้เขารีบมาหาเองแท้ ๆ
“ไรมึงอ่ะ”
“ขอบใจที่มา” ชานยอลทาบฟิคเล่มหนาลงบนอกเพื่อนก่อนที่เทาจะรับมันเอาไว้ สีหน้าของเด็กหนุ่มยังเต็มไปด้วยความงงงวย
“ทำไมไล่”
“ไล่อะไรวะ มึงดูนาฬิกาดิว่ากี่โมงแล้ว” ชานยอลจับข้อมืออีกคนขึ้นมาแล้วก้มลงดูนาฬิกา “นี่มันเวลากินข้าวเย็นกับครอบครัว มึงควรจะกลับไปแดกข้าวที่แม่มึงทำแล้วก็ชมว่ามันอร่อยที่สุดในโลกอย่างที่ไม่เคยลิ้มลองมาก่อน”
“แล้วมึงอ่ะ”
“กูก็รอกินกับน้าไง”
“เหวย! กินข้าวกับน้า?” จื่อเทาทำหน้าตกใจพลางมองเพื่อนอย่างหวาด ๆ “นี่กูหูฝาดป่ะ”
“มึงฟังถูกละ อย่าสงสัยให้มากถ้าพ่อไม่ได้ชื่อเจ้าหนูจำไม”
“อย่าบอกนะ” เด็กหนุ่มชะโงกหน้าเข้าไปในบ้านแล้วหันกลับมามองหน้าเพื่อนสนิท “ว่ามึงจะให้น้าแบคกินข้าวผัดจานนั้น...”
“...”
“...”
“...”
“เฮ้ย~ ถ้าท้องไม่ทำด้วยเหล็กนี่ถึงตายเลยนะเว้ย”
“บาย”
ชานยอลปิดประตูบ้านโดยไม่เปิดโอกาสให้เพื่อนสนิทได้พูดอะไรอีก เด็กหนุ่มเดินกลับเข้าไปข้างในแล้วหยุดยืนอยู่กับที่พลางกอดอกก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นมากกัดปลายนิ้วหัวแม่มือขณะใช้ความคิด
เด็กตัวสูงเดินวนไปวนมาอยู่กับที่เพราะคำพูดของไอ้เพื่อนชั่วที่ทำให้เขาหมดความมั่นใจ คิดในแง่ดีว่าที่ไอ้เทามันแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่อร่อยนั้นอาจเป็นเพราะว่ามันเป็นคนจีน รสชาติฝีมือการทำอาหารของเขาอาจจะไม่ถูกปากมันก็ได้
ชานยอลเดินกลับเข้าไปในครัวแล้วถือจานข้าวผัดสำหรับน้าชายขึ้นมาดู ชั่งใจอยู่นานว่าจะเททิ้งดีไหมเพราะกลัวว่าถ้าเกิดแบคฮยอนกินแล้วพูดเหมือนไอ้ห่าเทาเขาคงเฟลไปถึงชาติหน้าตอนบ่าย ๆ แน่
แต่จะเอาไปทิ้งก็ไม่ได้อีก เขาอุตส่าห์ตั้งใจเข้าครัวทำกับข้าวเป็นครั้งแรก นี่ลงทุนเปิดอินเตอร์เนตแล้วทำตามสูตรที่เขาบอกมาเลยนะ ถ้าไม่มีมื้อเย็นอยู่บนโต๊ะทุกอย่างมันก็คงกลับไปเป็นเหมือนเดิมที่ไม่มีอะไรพิเศษ ปาร์คชานยอลมีความเชื่อว่าถ้าทำความดีแล้วจะต้องถูกผู้ใหญ่ชมเหมือนตอนที่เขาเป็นเด็ก
โอเค...งั้นเขาจะรอกินข้าวพร้อมแบคฮยอน
คนตัวเล็กเดินลงมาจากรถในสภาพเนือยสุดชีวิต ไม่บ่อยนักที่เขาจะหาสาระจากเพื่อนทั้งสองคนได้ และคิดว่าวันนี้ก็เป็นอีกวัน ในที่สุดบยอนแบคฮยอนก็สบายใจขึ้นมาบ้างหลังจากสับสนอยู่นานว่าสิ่งที่หลานชายเป็นอยู่มันคืออะไร
กดปิดรีโมทแล้วเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูบ้านก่อนจะหมุนลูกบิดเข้าไป สิ่งแรกที่เห็นคือหน้าหลานชายที่นั่งสลอนเอาคางพาดตรงโซฟาขณะมองมายังเขา แบคฮยอนค้างอยู่ท่านั้นพลางกลอกตาไปมาแล้วหยุดอยู่ที่เดิมเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมปริปากพูด
“กลับช้า”
“แวะไปหาไอ้จงอินมาน่ะ กินข้าวยัง” แบคฮยอนวางกระเป๋าไว้บนโซฟาก่อนจะแกะกระดุมแขนเสื้อแล้วพับขึ้นมาไว้ตรงข้อแขนเตรียมทำมื้อเย็น
“ยัง ผมบอกแล้วนี่ว่าจะรอกินด้วย” ชานยอลรีบพุ่งไปประกบหลังคนตัวเล็กที่กำลังเดินเข้าไปในครัว ทันทีที่เปิดไฟสองขาก็ต้องหยุดกึกเมื่อเห็นข้าวสองจานวางบนโต๊ะอาหารรออยู่แล้ว
“โอ้...”
“ไง” ชานยอลยิ้มกว้างขณะมองหน้าคนเป็นน้าที่ดูเหมือนจะตกใจอยู่ไม่น้อยกับภาพที่เห็น
แบคฮยอนชำเลืองมองหลานชายตัวสูง ไม่คิดไม่ฝันเลยจริง ๆ ว่ามันจะทำกับข้าวอย่างที่พูดเอาไว้ ทั้งคู่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรอีกและสุดท้ายคนที่เดินไปนั่งก่อนก็เป็นน้าชาย
“กินเลยสิ ผมเพิ่งเอาไปเวฟเมื่อกี้นี้เอง”
“เวฟ? นี่แกทำไว้นานแล้วเหรอ” แบคฮยอนเอาช้อนเขี่ยซากข้าวผัดเละ ๆ ในจานขณะรอคำตอบ
“ใช่ ก็ผมไม่รู้ว่าน้าจะกลับมาเมื่อไหร่เลยเอาเข้าเวฟไปแล้วสามรอบ กินตอนร้อน ๆ คงดีกว่าอยู่แล้วจริงป่ะ?” ชานยอลพูดด้วยสีหน้าปลื้มปิติกับผลงานชิ้นเอกของตัวเอง
“ว่าไงนะ สามรอบเลยเรอะ?!” นี่มึงบ้าหรือบ้ากันแน่เนี่ยมิสเตอร์ชาร์ล คนปกติที่ไหนเขาทำกับข้าวเสร็จแล้วเอาไปเวฟซ้ำ ๆ เพราะอยากให้ความร้อนคงที่
“ใช่ แปลกเหรอ” แบคฮยอนถึงกับกุมขมับกับคำตอบของหลาน คนตัวเล็กพยักหน้าแบบขอไปทีก่อนจะตักข้าวผัดคำแรกเข้าปาก
ชานยอลจ้องหน้าคนตัวเล็กอย่างลุ้น ๆ แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาคาดหวังเอาไว้จะไม่เป็นผลสำเร็จเมื่อน้าชายของเขาเพียงแค่อมมันไว้ในปากโดยที่ไม่เคี้ยวแล้วกลืนลงคอ
“เป็นไงบ้างแบคฮยอน”
“...”
“นี่”
“มันเรียกว่าอะไร” คนตัวเล็กถามทั้งที่ข้าวยังคงเต็มอยู่ในปาก สายตาที่มองมานั้นเหมือนคนที่พร้อมจะชักปืนออกมายิงหัวเขาได้ทุกเมื่อ
“ข้าวผัดไง...โอ๊ะ!!” ชานยอลกุมหัวตัวเองพลางเลิกคิ้วมองน้าชายที่อุตส่าห์โน้มตัวข้ามมาโบกหัวเขาได้ “ตีทำไมเนี่ย!” เด็กหนุ่มลูบหัวตัวเองป้อย ๆ
“ข้าวผัดพลีชีพอ่ะดิ รสชาติอย่างกับอาหารหมาหมดอายุ”
“โห!!!!!!!!!!!!!!!!!!” ชานยอลทำตาเหลือกกับคำพูดเชือดเฉือนใจที่ออกมาจากปากคนที่เขาคาดหวังว่าจะได้รับคำชมหลังจากทำความดีไว้รอ “พูดงี้เลยเหรอแบคฮยอน!”
“เออดิ แล้วนี่ใครจะไปกินหมด ข้าวก็เละตุ้มเปะ เค็มจนสากลิ้น เวลาทำได้ชิมบ้างไหม” แบคฮยอนเท้าคางข้างหนึ่งพลางเขี่ยข้าวผัดในจาน
“ไม่อ่ะ ก็รอให้น้ามากินเองจะได้บอกว่ามันรสชาติยังไง”
“อ๋อเหรอ งั้นมานี่มา”
พอเห็นอีกคนกระดิกนิ้วเรียกชานยอลเลยยักไหล่ก่อนจะเดินไปนั่งเก้าอี้ตัวข้าง ๆ น้าชาย แบคฮยอนห่อไหล่เล็กน้อยเมื่อเด็กหนุ่มเท้าแขนข้างหนึ่งลงบนเก้าอี้ตัวที่เขานั่งอยู่ก่อนจะอ้าปากรอให้เขาป้อน
ทั้งคู่สบตากันอยู่อย่างนั้น แบคฮยอนไม่ได้โง่ที่จะไม่รู้ว่าไอ้เด็กนี่กำลังต้องการอะไรอยู่และกลายเป็นแบคฮยอนที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ คนตัวเล็กตักข้าวยัดใส่ปากหลานชายเพื่อเลี่ยงการสบตาในครั้งนี้
“อุ่ก!”
“ไงล่ะ” ทันทีที่หลานชายทำท่าพะอืดพะอมเหมือนคนโดนวางยาพิษแบคฮยอนเลยส่ายหน้าแล้วลุกขึ้นเดินไปหยิบแก้วก่อนจะกดน้ำหน้าตู้เย็นให้ “ต้องเอาข้าวที่เย็นแล้วไปผัดสิไม่ใช่ข้าวเพิ่งสุก ถ้าจะหัดเข้าครัวก็ควรเริ่มจากเมนูง่าย ๆ ก่อน”
คนตัวเล็กหันกลับมาแล้วก็สะดุ้งถอยหลังไปชนกับตู้เย็นเมื่อป๊ะหน้ากับหลานชายชนิดที่ว่าหน้าห่างกันแค่ไม่กี่คืบ ชานยอลคว้าแก้วในมืออีกคนเอาไว้ได้ทันแม้ว่ามันจะหกเลอะมือเขาอยู่บ้าง
แบคฮยอนหลุบตาลงมองมือแกร่งที่ทาบทับอยู่กับมือตัวเองก่อนจะเงยหน้าสบตาคนเป็นหลานที่ยังคงจ้องเขาอยู่อย่างนั้น คนตัวเล็กค่อย ๆ คลายมือออกแล้วปั้นหน้าให้เป็นปกติเมื่อทุกอย่างมันกลับเข้าสู่บรรยากาศน่าอึดอัดอีกแล้ว
“คนเราก็มีครั้งแรกกันทั้งนั้น”
“เออ แล้วก็อย่าลืมล้างกระทะด้วย” แบคฮยอนเบือนสายตาไปทางซิงค์ล้างจานก่อนจะหันมาผงะกับใบหน้าของหลานชายที่ยังคงอยู่ตำแหน่งเดิม
“ถ้าน้ากินข้าวผัดพลีชีพของผมไม่ลงก็สอนผมทำสิ”
“นึกไงให้สอน ผีเข้าเหรอ” ร่างเล็กหรี่ตามองเด็กตัวสูง ชานยอลย่นจมูกเป็นเด็ก ๆ แล้วถอยหลังไปนั่งบนซิงค์
“ใช่ ผีเข้า”
“ก็ว่างั้นแหละ” แบคฮยอนถอนหายใจเบา ๆ อย่างโล่งอกเมื่อไอ้เด็กนั่นยอมเฟดตัวเองถอยออกไปจากตรงนี้แล้ว
“เข้าหลายวันแล้วไม่ยอมออกไปสักที”
“...” ร่างเล็กเหล่มองเด็กหนุ่มที่อยู่ทางด้านซ้ายที่พูดจาแปลก ๆ อีกแล้ว แบคฮยอนขยับปากบ่นเมื่อคนเป็นหลานชายยักคิ้วกวนใส่ก่อนจะหมุนตัวหันไปเปิดตู้เย็นเพื่อหาวัตถุดิบสำหรับการทำมื้อเย็น
“ผมจะทำยังไงดี” แบคฮยอนไม่ได้ตอบคำถาม เขาพยายามทำเหมือนว่าประโยคนั้นมันไร้สาระแม้ในหัวจะคิดไปต่าง ๆ นานาแล้วว่าคำพูดของชานยอลมันมีนัยยะที่สื่อไปถึงอะไรบางอย่าง
“ให้ผีช่วยติวหนังสือสิ สอบเสร็จก็ต้องเตรียมเข้ามหาลัยแล้วนี่ ตกลงจะเอาไง กลับไปเรียนที่ปูซานเหรอ” แบคฮยอนวางของไว้บนโต๊ะแล้วปิดตู้เย็น
“ไม่อยากกลับแล้ว”
“...”
“ผมอยากอยู่ที่นี่” แบคฮยอนใช้เวลาคิดตามคำพูดอีกฝ่ายอยู่ครู่เดียวก่อนจะหันไปมองเจ้าของประโยคนี้ “ช่วยคุยกับแม่ให้หน่อยสิแบคฮยอน นะนะนะ”
“ติดใจเมืองกรุงจนไม่อยากกลับบ้านเกิดแล้วสิ?”
“ใช่ ติดใจ” เด็กหนุ่มยิ้มกว้างแล้วเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ น้าชายก่อนจะแกะกล่องกิมจิแล้วใช้มือหยิบมากิน
“โอ๊ย!” ชานยอลกุมหัวตัวเองเพราะถูกคนตัวเล็กตบหัวอีกแล้ว
“นิสัยเสีย ไปล้างมือเลยนะ”
“เออ คนนิสัยดี” เด็กตัวสูงมองคาดโทษคนเป็นน้าแล้วเดินไปเปิดก๊อกน้ำก่อนจะหันกลับไปมองคนตัวเล็กเป็นระยะ “กินข้าวเที่ยงกับพี่อี้ฟานอร่อยเหาะเลยดิ”
“แกเห็นปีกที่ปักอยู่ข้างหลังฉันไหมล่ะ” พูดจบก็ทำมือกระพือปีกกวนประสาทคนตรงหน้า ชานยอลเอาลิ้นกระพุ้งแก้มแล้วหันไปขยับปากบ่นอย่างหัวเสีย “บอกมาว่าจะให้สอนทำอะไร”
“ตอนเที่ยงน้ากินอะไรมา”
“ไก่ตุ๋นโสม แกงเต้าเจี้ยว ทำไมเหรอ?” แบคฮยอนมองคนตรงหน้าพร้อมกับฉายแววตาสงสัย
“งั้นทำอะไรก็ได้ยกเว้นสองอย่างนี้” ชานยอลยิ้มกวนแล้วโคลงหัวไปมา
“เรื่องมาก ไปล้างกระทะไป”
“จ้ะ”
เด็กหนุ่มขยิบตาก่อนจะยกมือขึ้นบังเมื่อคนตัวเล็กทำท่าจะโบกกระบาลเขาอีกแล้ว ชานยอลยิ้มขำกับท่าทางของน้าชายที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังหงุดหงิดเขามากแค่ไหน
“นี่แบคฮยอน”
“อือ?” เจ้าของชื่อขานในลำคอพร้อมจัดแจงวัตถุดิบไปด้วย หลังจากเทข้าวผัดพลีชีพทิ้งแล้วชานยอลก็สวมถุงมือยางเพื่อเตรียมล้างกระทะ
“อาทิตย์หน้าผมแข่งดนตรี ไปดูไหม”
“ถามทำไม ปกติไม่เคยเห็นชวน”
“ก็เมื่อก่อนเห็นเหมือนไม่ชอบ แต่พอผมเห็นว่าน้าก็สนใจวงดนตรีข้างถนนวันนั้นก็เลยลองชวนดู”
“สมัยเรียนไอ้จงอินเคยบอกว่าน้าเป็นตัวซวย ไปเชียร์มันแข่งบาสทีไรแพ้ตลอด บางทีแกอาจจะแพ้เพราะน้าไปดู”
“ไม่อยากไปก็บอกตรง ๆ อย่าชักแม่น้ำทั้งโลก”
“เห้ยนี่พูดจริง ไม่เชื่อเหรอ”
“ไม่เชื่อ เพราะงั้นน้าต้องไปดู เดี๋ยวผมทิ้งแผนที่ไว้ให้” ชานยอลเผด็จการ ทั้งคู่หันไปสบตากันแล้วแบคฮยอนก็ยักไหล่
“ถ้าว่างแล้วจะไป”
“วันเสาร์คือวันครอบครัวนะแบคฮยอน นี่บอกไว้เผื่อไม่รู้”
“อ้อเหรอออ เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าคนแถวนี้เห็นฉันเป็นครอบครัวด้วย” แบคฮยอนกระแนะกระแหน
“คนเป็นครูมีสอนแค่จันทร์ถึงศุกร์ เพราะฉะนั้นต้องว่างวันเสาร์”
“เออ ไม่เอาโซ่มาล่ามคอฉันแล้วจูงไปด้วยเลยล่ะพ่อ”
“ทำได้ด้วยเหรอ ว้าว ๆ ๆ” ชานยอลหันมาทำตาเป็นประกาย แบคฮยอนเลยเขวี้ยงมะเขือเทศใส่และเด็กตัวสูงก็รับมันไว้ได้พอดี
“ใกล้ถึงวันแล้วเตือนด้วย”
“ครับ~”
ชานยอลยิ้มขำแล้วหันไปล้างกระทะต่อ ท่ามกลางความเงียบภายในห้องครัว แต่ในความคิดของสองน้าหลานกลับมีแต่เสียงของอีกฝ่าย เขาทั้งคู่ต่างก็พยายามทำตัวให้เป็นปกติกับความผิดปกติที่เริ่มก่อตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัว...
TBC
ตอนนี้มาเนิบ ๆ อีกแล้วค่ะ
กะว่าจะให้ไปดูแข่งดนตรีภายในตอนนี้เลยแต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ ต้องผลัดไปตอนหน้าอีกแล้ว กรั่ก ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ปล. ฝาก OPV ฟิคด้วยนะคะ น้อง @_oharha เพิ่งทำให้ น่ารักมากกกกก >>>> http://youtu.be/qcMwjmPYHtM
#มนุษย์ชานยอล
ความคิดเห็น