คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #84 : Chapter 79 :: Separate Ways
Chapter 79
Separate Ways
“มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า?”
จงแดเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของผู้มาใหม่ เจ้าหน้าที่หนุ่มยิ้มรับแล้วผินหน้าไปทางท่อนไม้ที่ซีวอนกับเทาช่วยกันแบกลงมาจากท้ายกระบะ คยองซูกับซูโฮเลยเข้าไปช่วยอีกแรง เหลือแค่แบคฮยอนกับมินซอกที่ยังยืนอยู่ตรงนี้
“เลื่อยไม้เป็นไหม ถ้าเป็นตรงหลังบ้านมีเลื่อยอยู่ ไปเอามาสิ” พอจงแดพูดจบมินซอกก็หันหลังกลับแต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อแบคฮยอนยืนขวางทางไว้
“เดี๋ยวฉันไปเอาเอง” เด็กหนุ่มยิ้มแล้วเดินไปโดยที่ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบอะไรกลับมา มินซอกมองแผ่นหลังของอีกคนอยู่แค่ครู่เดียวก็ก้าวขาข้ามท่อนไม้ไป แน่นอนว่าเขาไม่จำเป็นต้องยื้อต้องเถียงกับบยอนแบคฮยอนเพราะเรื่องแค่นั้น ร่างเล็กหยุดยืนมองท่าทีอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็หันไปทางเจ้าหน้าที่
“อ้อ รู้สึกว่าไม้ท่อนนั้นจะทับเลื่อยอยู่น่ะ ลองยกขึ้นดูสิ” จงแดชะงักมือแล้วหันไปบอกคนตัวเล็ก มินซอกยกท่อนไม้ขึ้นตามที่อีกคนบอกก่อนจะเอาเลื่อยออกมา
“ใช้เป็นไหม?” เจ้าหน้าที่หนุ่มถาม เขาเห็นว่าเด็กคนนั้นนิ่งไปหลายวินาทีก่อนจะหันมามองหน้าเขา
“ผมเคยเห็นคนอื่นทำ แบบนี้หรือเปล่า?” มินซอกยกขาซ้ายขึ้นเหยียบท่อนไม้แล้วถือเลื่อยให้ดู จงแดยิ้มขำแล้วพยักหน้า
“ประมาณนั้นแหละ แต่ต้องออกแรงเยอะหน่อยนะ” พูดจบเจ้าหน้าที่หนุ่มก็เลื่อยไม้ต่อ มินซอกมองท่าทีอีกฝ่ายแล้วจำไปทำบ้าง ก่อนจะหันไปทางด้านข้างเมื่อแบคฮยอนเดินมาถึง
เด็กหนุ่มทั้งสองคนมองหน้ากัน มันเป็นแบบนี้มาตลอดหลายอาทิตย์ที่พวกเขามีทีท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่สุดท้ายก็จบลงด้วยการเดินแยกไปอีกทาง แบคฮยอนอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องไปทางด้านซ้ายนิดหน่อย มินซอกชำเลืองมองอีกคนที่กำลังจัดท่าที่เหมาะสมกับการเลื่อยไม้ท่อนเดียวกันแล้วก็แค่นหัวเราะ
“ทำแบบนั้นปีหน้าคงเสร็จหรอกนะ” แบคฮยอนมองเจ้าของเสียงเย็น ๆ แล้วก็หันกลับมาดูมือตัวเองทั้งสองข้างที่กำลังจับเลื่อยไว้มั่น และมันคงเป็นอย่างที่อีกคนว่าจริง ๆ
“มินซอกเลื่อยไม้เป็นด้วยเหรอ”
“เดี๋ยวก็เป็น”
“อ้าว อย่าบอกนะว่านี่ครั้งแรก”
“แต่ฉันก็ไม่ได้ใช้สองมือจับด้ามเลื่อยแล้วนั่งยอง ๆ แบบนั้นแล้วกัน” มินซอกมองอีกคนด้วยหางตาแต่แบคฮยอนกลับหลุดขำออกมาเสียอย่างนั้น
“งั้นทำให้ดูหน่อยได้ไหม”
“เรื่องอะไรที่ฉันจะต้องทำตามที่นายพูด”
“ถ้ามินซอกทำแล้วฉันจะได้ทำตามไง ไม่ดีเหรอ” เจ้าของชื่อเบือนหน้าหลบไปอีกทางแล้วถอนหายใจ เขาล่ะเบื่อจริง ๆ เวลาหมอนั่นทำหน้าซื่อ ๆ เวลาเขาพูดไม่ดีด้วย
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อหันมาแล้วก็พบว่าเจ้าหน้าที่ประจำอุทยานกำลังกลั้นขำจนไหล่สั่น พอเห็นว่าคนตัวเล็กกำลังมองคาดโทษเลยต้องกลืนเสียงหัวเราะลงคอให้หมด
แน่นอนว่าภาพนี้ไม่ได้เห็นบ่อย ๆ ถึงคิมจงแดจะไม่สนิทกับเด็กพวกนี้แต่ทุกอย่างก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขาแยกกลุ่มกันอยู่ ยกตัวอย่างเช่นคยองซูกับมินซอกที่สนิทกันและช่วงหลัง ๆ ก็มีซูโฮเข้าไปร่วมด้วย ส่วนเทามักจะอยู่ตามลำพังในขณะที่แบคฮยอนยังอยู่กับเซฮุนบ้างในบางครั้ง
“ขอบคุณนะ”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องในค่ายทหาร” คนตัวเล็กละสายตาจากท่อนไม้ก่อนจะหันไปทางเจ้าของคำพูดที่กำลังพยายามเลื่อยไม้ตามเขาอยู่ “ถ้าไม่ได้มินซอกฉันต้องแย่แน่”
“...”
“มันดีมากเลยนะที่เราผลัดกันช่วยแบบนั้นน่ะ ฉันดีใจที่มินซอกไม่เป็นอะไร” พอเห็นแบคฮยอนยิ้มแบบนั้นแล้วคนตัวเล็กเลยวางเลื่อยลงแล้วหันหน้าเข้าหาอย่างจริงจัง
“จะทวงบุญคุณหรือไง?”
“เปล่านะ ไม่ใช่อย่างนั้น” แบคฮยอนทิ้งเลื่อยลงแล้วยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปฏิเสธ จงแดมองเด็กน้อยทั้งสองคนที่อยู่ในสภาวะกระอักกระอ่วนแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าเนือย ๆ “ฉันหมายความว่าเราเข้ากันได้ดีต่างหาก”
“คิดไปเองทั้งนั้น” มินซอกส่ายหน้าแล้วหันไปสนใจกับท่อนไม้อีกครั้ง แต่ยังไม่ทันได้ออกแรงเลื่อยก็ต้องหันกลับไปมองอีกคนที่ขยับมานั่งทับท่อนไม้เอาไว้
“ช่วย”
“ช่วยหรือทำให้มันยากขึ้น”
“ฉันเห็นว่าตอนมินซอกเลื่อยแล้วท่อนไม้มันเคลื่อน ถ้าเราต่างคนต่างเลื่อยมันต้องหล่นไปทับเท้าใครสักคนแน่” แบคฮยอนว่าแล้วเปลี่ยนเป็นท่านั่งคาบ
“แน่นอนว่ามันต้องไม่ใช้เท้าฉัน”
“ใช่ เพราะฉันช่วยจับไว้ให้แล้ว”
“...”
มินซอกถอนหายใจ เขาได้แต่คิดว่านอกจากลู่หานแล้วยังมีบยอนแบคฮยอนอีกคนที่น่ารำคาญเป็นอันดับต้น ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่ได้หันไปบ่นอะไรอีก นอกเสียจากการขยับเท้าเล็กน้อยเพื่อช่วยอีกคนยึดท่อนไม้เอาไว้
“ว้าว หุงข้าวเป็นด้วยเหรอ?” ซูยอนมองอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อเห็นว่าเซฮุนกำลังง่วนอยู่กับหม้อสนามซึ่งปกติมีแต่ควอนยูริที่ใช้อุปกรณ์เหล่านั้นเป็น เด็กหนุ่มค้างหม้อทิ้งไว้แล้วหันไปยิ้มให้กับหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ จงอิน
“ใครสอนให้น่ะ?” ยูริถามเสียงเรียบหากแต่สีหน้าที่แสดงออกมานั้นบ่งบอกได้ดีว่าเธอกำลังรู้สึกกับเซฮุนไปในทางบวกหลังจากเห็นว่าชายหนุ่มทั้งสองกลับมาพร้อมกับข้าวและเสบียงจำนวนหนึ่ง
เซฮุนไม่ได้ตอบคำถามในทันที แน่นอนว่าเขาจำได้เป็นอย่างดีว่าใครสอนอะไรให้บ้างตั้งแต่การใช้ปืน การเอาตัวรอด และถ้าเป็นเรื่องหุงข้าวด้วยหม้อสนามก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากชานยอล
“จงอินเป็นคนสอนผมครับ”
“เอ๋?”
“พูดจริง?” เด็กหนุ่มเลือกที่จะโกหก แต่ไหนแต่ไรเขาไม่ใช่คนชอบพูดเพื่อเอาใจคนอื่น แต่คราวนี้โอเซฮุนขอเป็นคนเด็กขี้โกหกสักครั้งถ้าหากว่ามันจะทำให้ควอนยูริมองจงอินดีขึ้นมาบ้าง
ดูเหมือนว่าสองพี่น้องยังไม่เชื่ออย่างสนิทใจ ยูริหันไปมองจงอินด้วยสายตาหวาด ๆ และแม้แต่คนที่ถูกพูดถึงก็แทบจะไม่อยากเชื่อเรื่องที่เด็กหนุ่มพูดเช่นกัน เซฮุนยิ้มตาหยีแล้วเปิดอาหารกระป๋องออกเพื่อเตรียมมื้อเย็นระหว่างรอข้าวสุก
“เมื่อก่อนผมทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ก็ได้เขาแหละครับที่คอยสอนให้” ทั้งสามคนนั่งฟังเงียบ ๆ นั่นเป็นเรื่องดีที่เซฮุนจะใช้โอกาสนี้เพื่อเล่าเรื่องเก่า ๆ เผื่อว่าจงอินจะนึกอะไรออก “มีครั้งหนึ่งเราเข้าไปหาเสบียงในโรงงานอาหารกระป๋อง ผมกับเขาแล้วก็คนอื่น ๆ ถูกล้อมด้วยพวกกินคนเป็นสิบแต่จงอินยังพาผมหนีออกไปได้”
“...”
“วันนี้เขาฆ่าพวกมันสองตัวด้วยไขควงอันนั้น” เด็กหนุ่มหลุบตามองไขควงที่อยู่ในมืออีกคน จงอินเพิ่งรู้ตัวว่าเขาถือมันไว้ตลอดจนกระทั่งเซฮุนมองมา “ผมเชื่อว่าวันข้างหน้าเขาต้องทำได้มากกว่านี้”
“พอเถอะน่า” คนถูกยอขมวดคิ้วมอง พอเห็นอย่างนั้นเซฮุนก็ยิ้มแห้ง ๆ สองพี่น้องมองหน้ากันแล้วหันไปมองชายหนุ่มทั้งสอง ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ทำให้น่าแปลกใจอยู่ไม่น้อย
ควอนยูริเป็นคนมองโลกในแง่ลบ ตั้งแต่เกิดเรื่องเธอก็ไม่เคยไว้ใจใครอีกนอกจากตัวเอง เพราะฉะนั้นการที่เธอเห็นความพยายามของเด็กคนนี้และยังยิ้มได้ตอนมองไปยังใครอีกคนที่เขาเรียกว่า ‘ครอบครัว’ นั้นมันทำให้คิดได้ว่าถ้าโอเซฮุนไม่ใช่คนที่โลกสวยสุด ๆ ก็คงเป็นเด็กติดพี่ชายน่าดู
เวลาผ่านไปประมาณสิบนาทีข้าวก็สุก จนถึงตอนนี้ก็ยังคงเป็นโอเซฮุนที่คอยจับนั่นจับนี่เสิร์ฟให้ ควอนยูริดูตกใจไม่น้อยที่เธอเป็นคนได้รับอาหารเย็นเป็นคนแรกและตามด้วยจองซูยอน ความเป็นสุภาพบุรุษของเซฮุนทำให้หญิงสาวมองเขาอย่างไม่ละสายตาหลังจากพยายามจับผิดมาตั้งแต่วินาทีแรกที่โอเซฮุนเดินเข้ามาที่นี่ และเธอก็ได้คำตอบว่าเด็กคนนี้ไม่มีจุดประสงค์อื่นเลยนอกจากต้องการพาคิมจงอินกลับไป
“เล่าให้ฟังหน่อยสิว่านายสองคนเจอกันครั้งแรกยังไง?” ควอนยูริพูดทั้งที่สายตายังคงจับจ้องอยู่กับมื้อเย็น จงอินเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มที่กำลังมองมาที่เขาเช่นกัน เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกว่าสายตาเด็กคนนั้นมันแปลก
“มันจะเสียมารยาทหรือเปล่าครับถ้าผมเอาแต่เล่าเรื่องของตัวเอง” เซฮุนถามเพราะก่อนหน้านี้เขาก็เอาแต่เล่าเรื่องของจงอินให้เจ้าตัวฟัง “ปกติผมจะเป็นผู้ฟังน่ะครับก็เลยไม่ค่อยชิน คุณสองคนมีเรื่องอยากจะเล่าบ้างไหมครับ อย่างเช่นเรื่องตลกหรือเรื่องที่คิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นน่ะ...” เด็กหนุ่มยิ้มเจื่อน
“เอางั้นก็ได้ นายจะได้ไม่อึดอัดมากไปกว่านี้” คนเป็นพี่สาวว่า ทำให้จองซูยอนเลิกคิ้วอย่างไม่เชื่อหูตัวเองและจงอินก็เช่นกัน
“โห ผีเข้าหรือเปล่าเนี่ย”
“กินข้าวไปเลยไป” ยูริผลักหัวคนตัวเล็กกว่า ซูยอนหัวเราะเบา ๆ แล้วหันไปยิ้มให้กับเซฮุน เขาไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมจงอินถึงชอบผู้หญิงคนนี้ เพราะถ้าจะให้เปรียบเทียบ จองซูยอนนั้นดูสดใสเหมือนกับท้องฟ้าตอนเช้าทั้ง ๆ ที่โลกนี้มันโสมมจนทำให้การยิ้มกลายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก
“ทีกับฉันน่ะด่าเอาด่าเอา” จงอินหันไปมองหญิงสาวแล้วแค่นหัวเราะ
“ก็ไม่อยากจะเปรียบเทียบหรอกนะ แต่ฉันยังหาความดีจากตัวนายไม่ได้เลยคิมจงอุน”
“จงอินว่ะครับ” เจ้าของชื่อรีบสวนกลับไปทันทีที่อีกฝ่ายเรียกชื่อผิด ยูริยักไหล่อย่างไม่ยี่หระในขณะที่เซฮุนกำลังนั่งยิ้มเพราะเห็นจงอินมีปฏิกิริยากับชื่อตัวเอง
“เอาล่ะ เรื่องตลกที่ฉันจะเล่าก็คือ การเป็นผู้หญิงในโลกเส็งเคร็งที่ต้องมีผ้าอนามัยกับยาปวดท้องประจำเดือนติดกระเป๋าไว้ตลอดเวลา ชนิดว่าเสบียงหมดได้แต่ของพวกนี้ต้องมีติดกระเป๋าสักชิ้น” ทันทีที่ยูริพูดจบซูยอนก็ปิดปากขำ “แล้วมันก็แย่มาก ๆ ที่ยัยนี่มีความเชื่อว่าประจำเดือนเป็นโรคติดต่อ และมันดันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ”
“ย่าห์! อย่าพูดเรื่องนั้นตอนกำลังกินข้าวสิ” ซูยอนฟาดแขนยูริเบา ๆ ในขณะที่จงอินกับเซฮุนยังคงเจริญอาหารต่อไปได้
“ทำไม? นอกจากเลือดของพวกกินเนื้อแล้วยังมีอะไรที่น่าขยะแขยงอีกเหรอ?”
“มันก็ถูก แต่ตอนนี้เราอยู่ในที่ปลอดภัย ไม่ต้องวิ่งหนีพวกมันแล้วสักหน่อย มันจำเป็นหรือไงที่เราต้องพูดเรื่องที่ทำให้รู้สึกแย่ให้น้องฟังน่ะ” ซูยอนเลิกคิ้วเถียงคอเป็นเอ็นก่อนจะผินหน้าไปทางเซฮุน แต่ยูริกลับกลอกตาขึ้นบนอย่างรำคาญ
“ก็ได้ งั้นฉันจะพูดถึงเรื่องโกนขนจั๊กแร้”
“เออดี อร่อยเลยกู” จงอินพูดแล้วตักข้าวเข้าปากอีกคำแล้วอมไว้อย่างนั้นก่อนจะมองไปยังเด็กหนุ่มที่กำลังนั่งหัวเราะจนตัวสั่น
“เห็นไหม ฉันทำให้เด็กคนนั้นหัวเราะได้”
“ไม่เห็นจะตลกเลย โอ้ย” ซูยอนย่นจมูกพลางลูบหัวตัวเองหลังจากถูกยูริเขกหัว
“ตานายเล่าแล้วไอ้หนู”
“เห็นบอกว่าไม่ใช่พี่น้องแท้ ๆ เราเลยอยากรู้ว่าเซฮุนเจอจงอินได้ยังไงน่ะจ้ะ” ซูยอนถามก่อนจะหันไปยิ้มให้กับจงอิน เด็กหนุ่มเบนสายตาไปทางควอนยูริ มันคงดีกว่าหากว่าเขาเลือกที่จะไม่มองภาพตรงหน้าถ้ามันจะทำให้เขาต้องเจ็บ
“วันนั้นผมถูกกัดครับ”
“หา?”
“...?!”
“...”
ทั้งสามคนมีสีหน้าไม่ต่างกัน โอเซฮุนเกือบลืมไปว่าจงอินจำอะไรไม่ได้จนกระทั่งเห็นแววตาคู่นั้นที่กำลังฉายแววสงสัย ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้เขากำลังจะตายเพราะเห็นว่ามือของซูยอนวางอยู่บนหน้าขาของจงอินล่ะก็เขาก็คงหัวเราะออกมาเพราะนึกขำตอนที่คิดย้อนกลับไปถึงวันแรกที่ได้เจอกัน
“วันนั้นผมถูกจับขังไว้ในกรง แล้วอี้ฟาน...ชานยอล...ลู่หาน...แล้วก็แบคโฮไปช่วยผมเอาไว้” เซฮุนพูดชื่อแต่ละคนอย่างช้า ๆ ขณะมองไปยังร่างหนา “เราโดนล้อม ผมกับแบคโฮโดนกัดแต่อี้ฟานก็พาเรากลับไปที่บ้านของเขา ประโยคแรกที่คุณพูดทันทีที่เห็นผมคือ ‘ไปหิ้วเด็กนี่มาจากไหน? ช่วยมาทำไม?’ ตอนนั้นเราสองคนเริ่มต้นกันไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่”
“แล้วเป็นยังไงต่อเหรอ” ซูยอนถาม สีหน้าของเธอในตอนนี้กำลังลุ้นกับเรื่องที่เขากำลังเล่าอยู่
“พวกเขาตัดสินใจขังผมกับแบคโฮไว้ในห้องเก็บของ มัดมือมัดเท้าแล้วก็เอาเทปผ้าปิดปากเราไว้ มันเป็นวิธีที่เข้าท่านะครับถ้าเกิดว่าใครสักคนเปลี่ยนเป็นพวกมันขึ้นมา” เซฮุนยิ้มขำแล้วทำท่าลอกเทปผ้าออกจากปากตัวเองประกอบ
“ถูกกัดตรงไหน?” จงอินถาม ร่างบางนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจับหัวไหล่ตัวเอง
“คุณเป็นคนช่วยทำแผลให้ผม” เซฮุนยังคงมองจงอินไม่ละสายตา เขาได้แต่คิดว่าอีกคนจะนึกอะไรออกเพิ่มขึ้นมาบ้างหลังจากที่เขาเล่าเรื่องนี้จบ “ทั้ง ๆ ที่คุณเป็นคนบอกว่าเดี๋ยวผมก็จะตายแล้ว”
“ใจดีนะเราอ่ะ” ซูยอนหัวเราะแล้วเอาศอกสะกิดแขนจงอินเบา ๆ
“นายบอกว่าถูกกัดนี่หมายถึงถูกพวกกินเนื้อกัดน่ะเหรอ?” ควอนยูริถาม
“ครับ เมื่อครึ่งปีที่แล้ว”
“อ๋า จริงด้วย ฉันลืมไปเลยว่าคนที่ถูกกัดจะต้องตาย” ซูยอนมองอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง เธอก็เผลอนั่งฟังเพลินจนลืมนึกถึงเรื่องนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเธอเห็นคนถูกกัดแล้วไม่เปลี่ยน
“มีภูมิคุ้มกันเหรอ หรือว่ายังไง?” หญิงสาวถามต่อ
“อาจจะอย่างนั้นมั้งครับ แต่ไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวหรอกนะที่เป็นแบบนี้”
“หมายความว่าถ้าถูกกัดอีกก็ไม่เป็นอะไรน่ะสิ?” จงอินถาม เซฮุนถอนหายใจแล้วจู่ ๆ ภาพห้องทดลอง ภาพชายหนุ่มในชุดกาวน์ ภาพทหารในชุดลายพรางหิมะลอยเข้ามาในหัว
“คงไม่แล้วครับ”
“...”
“ถ้าถูกกัดอีกครั้ง ผมคงไม่รอดแล้ว”
จากที่เคยมีเสียงหัวเราะเพราะเรื่องตลกเมื่อก่อนหน้านี้กลับกลายเป็นความเงียบที่เข้ามาแทน เซฮุนหลุบสายตาลงและสองสาวไม่ได้ถามอะไรอีก ถ้าพูดถึงเรื่องความเป็นความตายแล้วเธอทั้งคู่นั้นเข้าใจดี
“เฮ้เด็กโข่ง”
“ครับ” เซฮุนเงยหน้าขึ้นมองร่างหนา จงอินใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดริมฝีปากตัวเองแล้วลุกขึ้นยืนก่อนจะคว้าเอาจานของสองพี่น้องมาซ้อนไว้กับจานของตัวเอง
“กินข้าวเสร็จแล้วต้องล้างจาน...เจอกันที่แม่น้ำนะ” พูดจบก็เดินออกไปจากตรงนั้น ทั้งสามคนมองตามแผ่นหลังของชายหนุ่มที่เดินหายออกไปจากตรงนี้แล้วและซูยอนก็ขยับไปนั่งใกล้ ๆ เซฮุน
“อย่าคิดมากนะ จงอินแค่รู้สึกไม่ดีเวลาพูดถึงเรื่องตายน่ะ” เซฮุนมองหน้าหญิงสาวที่คิ้วทั้งสองข้างกำลังขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เธอดูจริงจังมากตอนที่พยายามพูดแก้ต่างให้จงอิน
“ผมเข้าใจครับคุณซูยอน”
“เขาอาจจะรู้จักหมอนั่นดีกว่าเธอก็ได้” เสียงของยูริทำให้ทั้งคู่หันไปมอง “ฉันพูดถูกไหมเซฮุน?”
“...”
“อ่า นั่นสินะ ก็เซฮุนอยู่กับจงอินมาตั้งนานนี่นา” ซูยอนหัวเราะแล้วมองจานข้าวของอีกคนที่พร่องไปแค่นิดเดียว “กินสิ ตอนกลางคืนจะได้ไม่หิว” เด็กหนุ่มพยักหน้าแล้วกินข้าวต่อ เขารู้สึกเกร็งอยู่ไม่น้อยที่ต้องนั่งกินข้าวต่อหน้าผู้หญิงทั้งที่มือของพวกเธอไม่ได้ถือช้อนเหมือนกับเขา
“ไม่ต้องอายหรอก เป็นเรื่องปกติที่พวกเรากินข้าวเร็ว” ยูริพูด
“ใช่ ยิ่งตอนต้องวิ่งหนีทั้งที่ข้าวเต็มปากนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง” ซูยอนป้องปากกระซิบ จนถึงตอนนี้เธอก็ยังคงยิ้มแม้ว่าหัวข้อที่พูดถึงจะไม่ตลกอย่างที่ควร “จงอินฝังใจเรื่องที่เขาเกือบตายน่ะ เพราะงั้นอาจจะต้องใช้เวลาหน่อย อย่าโกรธเขานะจ้ะเซฮุน”
“ครับ” เด็กหนุ่มยิ้มบาง ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน “งั้นผมไปช่วยจงอินล้างจานก่อนนะ”
“อื้ม ขอบคุณสำหรับมื้อนี้นะ” เซฮุนพยักหน้ารับแล้วก้มลงเก็บหม้อและฟืนขึ้นมาจำนวนหนึ่งก่อนจะเดินไปแม่น้ำ ไม่นานนักก็มาถึงแล้วก็พบว่าจงอินนั่งอยู่บนโขดหินโดยมีซากจานกับช้อนวางอยู่ข้างล่าง
“จงอินครับ” เจ้าของชื่อหันกลับมามองต้นเสียง เซฮุนวางฟืนลงบนพื้นแล้วเอาจานมาวางซ้อนกันก่อนจะเอากิ่งไม้เล็ก ๆ มาวางสุมไว้แล้วจุดไฟ ไม่ถึงห้านาทีทั้งคู่ก็ได้รับความอบอุ่น เซฮุนใส่ฟืนเข้าไปแล้วเอาหม้อไปตักน้ำมาวางอย่างรู้งาน “ผมเห็นคุณถือจานมาอย่างเดียวก็เลยคิดว่ามันคงไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ถ้าเกิดเราจะล้างจานทั้งที่น้ำเย็นแบบนั้น”
“...”
“ผมขอต้มน้ำก่อนนะครับ แป้บเดียวก็สุกแล้วล่ะ” ร่างบางยิ้มแล้วโน้มหน้าลงไปเป่าไฟให้ปะทุขึ้น
จงอินมองการกระทำของอีกคนอย่างไม่ละสายตา อีกแล้วกับความรู้สึกนี้ ทำไมเขาถึงรู้สึกแปลก ๆ เวลามองโอเซฮุน ถ้าความรู้สึกของเขามันมีสี ตอนนี้มันคงกลายเป็นสีเทาตอนที่มองคนตรงหน้า ทำไมถึงรู้สึกแย่ ทำไมถึงมีความรู้สึกอยากมองนาน ๆ ทั้งที่เขาจำเรื่องของเด็กคนนี้ไม่ได้เลยสักนิดเดียวนอกจากภาพนั้นที่ผุดเข้ามาในหัวเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้
“เซฮุน”
“ผมฟังอยู่ครับ” เด็กหนุ่มพูดทั้งที่ไม่เงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่าย จงอินถอนหายใจเบา ๆ แล้วประสานมือไว้
“เรื่องที่นายเล่าน่ะ...โกหกใช่ไหม?”
“...”
“ที่บอกว่าฉันสอนนาย ที่บอกว่าฉันดีนักหนา” สายตาของจงอินนั้นจริงจัง จนถึงตอนนี้เขายังคงรอคำตอบจากเซฮุนอยู่ “ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันก็ไม่ดีใจหรอกนะถ้าสองพี่น้องจะมองฉันดีขึ้นเพราะเรื่องในอดีต”
“...”
“เพราะตอนนี้ฉันก็เป็นแค่ไอ้กระจอกคนนึงที่ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง”
ทั้งคู่เงียบไป มีเพียงแค่เสียงกิ่งไม้แตกตอนโดนไฟเผาเท่านั้นที่เขาได้ยิน สุดท้ายแล้วคนแพ้ก็เป็นจงอิน เขาลงมานั่งข้าง ๆ อีกคนที่ยังคงง่วนอยู่กับจานชาม ร่างหนาเอากิ่งไม้มาเขี่ยกองไฟเพื่อไม่ให้ดูเก้อมากนักกับสถานการณ์ชวนอึดอัดแบบนี้
“คุณพูดถูกครับ ผมโกหก”
“...”
“คุณไม่เคยสอนให้ผมหุงข้าวด้วยหม้อสนาม เพราะคนที่สอนผมคือชานยอล”
“...”
“ถ้านอกจากเรื่องนี้แล้วทุกอย่างมันเป็นความจริงทั้งหมด”
“เช่นอะไร? เรื่องที่ฉันพานายหนีออกมาจากโรงงานอะไรนั่น หรือเรื่องที่ฉันเคยขุดหลุมฝังศพเพราะคิดว่าเพื่อนที่ชื่อลู่หานตายแล้ว หรือว่าจะเป็นเรื่องที่ฉันเกือบถูกกัดในไร่ข้าวโพดล่ะ?” ทั้งคู่สบตากัน เซฮุนนิ่งไปชั่วอึดใจแล้วพยักหน้ากับเรื่องที่เขาเล่าให้จงอินฟังในวันนี้
“รวมถึงเรื่องที่ผมอยากอยู่กับคุณด้วยครับ”
“...”
เซฮุนยกหม้อลงมาจากกองไฟแล้วเดินไปตักเอาน้ำเย็นเพิ่มเพื่อให้น้ำร้อนอุ่นอยู่ในระดับพอดี ร่างบางวางหม้อลงแล้วเริ่มล้างจานโดยไม่หันไปมองอีกคนที่อยู่ข้างหลัง จงอินกำลังคิดหนัก เขาควรจะทำยังไงกับความอยากรู้ที่ไม่มีคำถาม? ร่างหนามองไปยังแผ่นหลังเด็กหนุ่มแล้วก็ลุกขึ้นยืน
“นายคงไม่ได้เป็นเกย์หรอกใช่ไหม?”
สองมือชะงักอยู่กับจานที่ถืออยู่ ซึ่งคำตอบนี้มันต้องมีผลกระทบต่อในอนาคตหากว่าเขาตอบผิดพลาดไป และโอเซฮุนก็รู้ดีว่าการตอบตามความจริงมันไม่ช่วยอะไรในเมื่อจงอินจำไม่ได้
“ทำไมคุณพูดแบบนั้นล่ะครับ”
“ก็เพราะว่าอยากรู้ก็เลยถามดู” จงอินยังคงมองท่าทีของเด็กหนุ่มที่หันหลังให้เขา “ฉันแค่รู้สึกแปลก ๆ เวลานายมองหน้าฉัน”
“บางทีคนที่แปลกอาจจะเป็นคุณก็ได้” เซฮุนสะบัดน้ำออกจากจานแล้ววางซ้อนกันก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าจงอิน ร่างหนาขมวดคิ้วมองเด็กหนุ่มที่กำลังทำตาโตเล็กน้อยพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ เขา ไอ้ความรู้สึกแบบนี้มันมาอีกแล้ว ให้ตายเถอะ กูใจสั่นเพราะอะไร? “คนที่คิดเรื่องแบบนี้แล้วกล่าวหาคนอื่นเป็นเกย์นี่มันยังไงกันนะ...”
“...?”
“อ่า...ตอนนี้ตาคุณมันเป็นรูปหัวใจด้วยล่ะครับจงอิน...”
“หัวใจบ้าไร? เพี้ยนว่ะ”
ร่างหนาผลักหัวอีกคนเบา ๆ จนเงนไปข้างหลัง แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารอยยิ้มตาหยีของเด็กคนนี้มีผลกระทบต่อความรู้สึกเขาพอสมควร บ้าเอ้ย! ไม่อยากจะคิดเลยว่าคิมจงอินกำลังรู้สึกแปลก ๆ กับผู้ชายด้วยกันอย่างที่โอเซฮุนว่าจริง ๆ
ไม่จริงน่า ตอนนี้ก็แค่รู้สึกดีเวลาอยู่กับคนที่เคยอยู่ด้วยเท่านั้นแหละ เพราะอย่างที่รู้ ๆ อยู่ว่าผู้หญิงที่เขารู้สึกดีด้วยก็คือจองซูยอน
“จะไปไหน?” เทาหยุดชะงักกับคำถามจากคนที่อยู่บนท้ายรถกระบะ เด็กหนุ่มหันมามองด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะตอบสั้น ๆ
“น้ำตก”
“อ้อ” ซีวอนพยักหน้ารับแล้วก้มลงแบกท่อนไม้ชุดสุดท้ายลงจากรถ โดยมีลูกชายที่วิ่งเข้ามาช่วยอีกแรง และเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธหรือไล่ให้ลูกไปนั่งดูอยู่เฉย ๆ เหมือนอย่างเคย “ระวังเท้านะลูก”
“ครับพ่อ”
เทาเดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ อย่างไม่เร่งรีบ เขารู้สึกเกลียดฤดูหนาวขึ้นมาเพราะมันทำให้นึกถึงเหตุการณ์วันนั้นทุกครั้งที่หันไปเห็นหิมะ ขายาวก้าวข้ามไปตามโขดหินและนั่งลงที่เดิมเหมือนกับทุกครั้ง
นัยน์ตาคมทอดมองไปอย่างไร้จุดหมาย เขารู้สึกเบื่อหน่ายทุกอย่างในชีวิตแม้กระทั่งการกระพริบตา เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนจะระเบิดออกมาทุกครั้งกับปัญหาที่ถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่องราวกับว่ามันเกิดขึ้นวันต่อวันจนไม่มีเวลาให้จิตใจได้รับการเยียวยา
ตั้งแต่เรื่องอึนจีที่คิดว่าเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตและตามด้วยเรื่องของจงอินไปจนถึงเซฮุน เด็กหนุ่มรู้สึกเกลียดคำว่าเหตุผลและความรักเพราะมันมักจะพ่วงคำว่าความตายมาด้วย ใช่ว่าหวงจื่อเทาจะอยากหาเรื่องลู่หาน แต่ทุกคนที่นี่ก็ควรรู้ไม่ใช่เหรอว่าสิ่งที่ควรทำคือการฟื้นฟูสภาพจิตใจไม่ใช่รนหาที่สร้างเรื่องเพิ่มขึ้นอีก
ไอ้หมอนั่นก็บ้าดีเดือดพอกัน ถึงจะรู้อยู่เต็มอกก็เถอะว่าลู่หานก็ไม่ได้อยากให้เรื่องออกมาเป็นแบบนี้แต่แล้วยังไงล่ะ? คนทั้งโลกก็ล้วนไม่ได้ตั้งใจทั้งนั้นแหละถ้ารู้ล่วงหน้าแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เด็กหนุ่มก้มลงกำหิมะขึ้นมากำเอาไว้เพื่อบอกตัวเองว่าในวันนี้เขายังมีความรู้สึก แต่ก็แค่ครู่เดียวก็ต้องยอมแพ้ความเย็นของมันเพราะมือทนความหนาวเย็นต่อไปไม่ไหว นี่ก็ใกล้จะฟ้ามืดแล้วแต่สามคนนั้นยังไม่กลับมาอีก
พักนี้หวงจื่อเทากลายเป็นคนโมโหง่ายเพียงเพราะทุกอย่างไม่เป็นตามที่ต้องการ ซึ่งมันก็เป็นไปไม่ได้หรืออาจจะเป็นไปได้ยากที่จะให้ทุกอย่างได้ดั่งใจ ขนาดความคิดตัวเองเขายังบังคับไม่ได้ส่วนคนอื่นคงไม่ต้องพูดถึง ถึงความต้องการของเขาจะแฝงไปด้วยความหวังดีก็เถอะ แต่ในสายตาคนอื่นมันก็เป็นเพียงแค่ความงี่เง่าจุดใหญ่ ๆ ที่ทุกคนไม่เห็นด้วย
เด็กหนุ่มหันไปมองข้างหลังเป็นระยะ และก็พบเพียงแค่รอยเท้าบนหิมะที่เขาเพิ่งเดินผ่านมากับถนนโล่งซึ่งมีรอยล้อรถยาวไปจนถึงปากทาง บางทีถ้าได้ยินเสียงรถขับเข้ามาในอุทยานเขาอาจจะรู้สึกดีกว่านี้ก็ได้
หวงจื่อเทารู้ดีว่าสภาพตัวเองในตอนนี้มันแย่มากแค่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถกลับไปทำตัวร่าเริงและสร้างเสียงหัวเราะให้กับใครได้อีก เพราะทุกอย่างที่แสดงออกไปทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นด้วยสีหน้า ท่าทาง หรือเสียงหัวเราะมันก็ล้วนแต่เกิดขึ้นเพราะจองอึนจี
ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้จากไปเฉย ๆ แต่เธอกลับเอาทุกอย่างที่เป็นเขาไปด้วย หวงจื่อเทาไม่แน่ใจว่าถ้าก่อนหน้านี้เขาสารภาพรักกับอึนจีแล้วทั้งคู่ตกลงปลงใจคบกัน แล้ววันหนึ่งไปกันไม่รอดจนต้องเลิกกันพอถึงตอนนั้นเขาจะเศร้าแบบนี้ไหมถ้าหากว่าต้องเห็นผู้หญิงคนนั้นตายไปต่อหน้าต่อตา?
ไม่มีใครรู้อนาคต ไม่มีใครรู้เรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่หวงจื่อเทารับรู้ได้ดีคือความเจ็บปวดของคนที่ยังอยู่ นี่แหละคือสิ่งที่เขาคิดว่ามันคือความขมขื่นของการมีชีวิตอย่างแท้จริง
ปัง!!
“...!!!” เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัวแล้วหันไปรอบ ๆ เพื่อหาเสียงปืนที่ดังขึ้นมา
ปัง ๆ ๆ ๆ !!!!
คราวนี้เป็นเสียงปืนกล เทาลุกขึ้นยืนนิ่ง ๆ แล้วจับทิศทางของต้นเสียงซึ่งมันไม่ได้อยู่ไกลจากที่นี่มากสักเท่าไหร่ แต่ไม่ว่ามันจะมาจากไหนยังไงซะเขาก็ต้องรีบกลับไปหาทุกคนที่บ้านเสียก่อน
ขายาวรีบวิ่งกลับไปในอุทยานแล้วก็พบว่าตอนนี้กาฮี อี้ชิงและเพื่อนของเขายืนรวมกันอยู่หน้าบ้าน เด็กตัวสูงหยุดยืนอยู่ตรงหน้าครูสาวที่มีสีหน้าไม่ต่างจากคนอื่น ๆ แล้วก็เป็นกังวล
“เกิดอะไรขึ้น?”
“เสียงปืนดังมาจากในอุทยาน...คุณจงแดกับคุณซีวอนเลยออกไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“...”
“คุณจงแดบอกว่าอาจจะมีคนบุกเข้ามา” แบคฮยอนอธิบายเสริม ตอนนี้ทุกคนแสดงออกทางสีหน้าอย่างเห็นได้ชัดว่ากำลังเป็นกังวลกับเรื่องนี้มากแค่ไหน
“พวกเขามีปืนกล แต่สองคนนั้นมีแค่ปืนพกคนละกระบอก มันจะดีเหรอถ้าพวกเราอยู่ที่นี่แทนที่จะออกไปกับพวกเขา” มินซอกมาพร้อมกับปืนไรเฟิล แน่นอนว่าเขาเตรียมพร้อมที่จะเป็นกำลังเสริมหากว่าปาร์คกาฮีอนุมัติ
“ไม่ได้มินซอก คุณซีวอนบอกให้ทุกคนรออยู่ที่นี่” หญิงสาววางมือลงบนไหล่ลูกศิษย์
“เราต้อง – ใจเย็น ๆ ก่อน – รอพวกเขา – กลับมา – ทั้งสองคนนั้น – แล้วก็พวกอี้ฟาน” คำพูดของอี้ชิงทำให้เด็ก ๆ ไม่กล้าพูดอะไรอีก ซึ่งพวกเขาก็รู้ดีว่าการสู้กับคนที่มีปืนจุดจบคงไม่พ้นการเลือดตกยางออกหรือไม่ก็ตาย
“ขอให้ไม่มีอะไรทีเถอะ...” ปาร์คกาฮีพูดกับตัวเองเบา ๆ ขณะมองไปยังปากทาง ซึ่งมีเพียงแค่ซูโฮที่ยืนอยู่ตรงนั้น คยองซูเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ แล้ววางมือลงบนไหล่คนที่ยืนรอซีวอนอยู่
“พ่อ...”
“นี่” ซูโฮก้มลงมองมือตัวเองที่ถูกอีกคนแกะออกจากกันราวกับรู้ว่าเขากำลังบีบมือตัวเองเพราะความตื่นเต้น เด็กหนุ่มเงยเงยหน้าขึ้นสบตากับคนข้าง ๆ ที่มองมาด้วยแววตาเรียบเฉย “พ่อนายต้องกลับมา”
“ผมไม่เคยห่างกับพ่อแบบนี้มาก่อน ผมกลัวว่าพ่อจะเป็นอะไรไป”
ปัง!!!
“...!!!”
ซูโฮยืนห่อไหล่พร้อมกับหลับตาแน่นหลังจากเสียงปืนดังอีกครั้ง คยองซูวางมือลงบนหัวอีกคนเป็นเชิงปลอบก่อนจะหันกลับไปข้างหลังแล้วก็พบว่าทางด้านผู้ใหญ่ยังคงคุยกันอยู่ แต่พอหันกลับมาอีกทีทั้งคู่ก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นชายหนุ่มสองคนหิ้วปีกกันมาอย่างทุลักทุเล
“พ่อ!!!”
“มาช่วยทางนี้หน่อย!” ซีวอนตะโกนลั่น ทุกคนที่ยืนอยู่หน้าบ้านเลยรีบวิ่งไปหยุดอยู่ข้างซูโฮแล้วก็พบว่าร่างสูงกำลังหิ้วปีกจงแดขึ้นมาตามทางเนิน
“พระเจ้า...” กาฮีอุทานทันทีที่เห็นเลือดตามช่วงท้องจงแดที่ทะลักไหลออกมาตามง่ามนิ้วไม่หยุด และอี้ชิงกับเทาก็รีบวิ่งเข้าไปช่วยซีวอนอีกแรง
“บ้าเอ้ย! เกิดอะไรขึ้น?!”
“มีคนบุกเข้ามาในอุทยาน! จงแดขอให้หยุดแต่คนพวกนั้นกลับยิงเรา! ซูโฮรีบไปเปิดประตูบ้าน!” ซีวอนตะโกนบอกแล้วลูกชายตัวเล็กก็รีบวิ่งไปเปิดประตูบ้านอย่างรู้งานแม้ว่าจะตกใจกับภาพที่เห็นอยู่ก็ตาม
“เคลียร์เตียงห้องผม – แล้วก็ขอน้ำกับผ้าสะอาด!” อี้ชิงตะโกนบอกแล้วแบคฮยอนกับมินซอกก็พยักหน้าอย่างรู้กันก่อนจะแยกไปหาของตามที่บุรุษพยาบาลบอก กาฮีกับคยองซูช่วยกันจุดเทียนและตะเกียงเพื่อให้ความสว่างในห้องของอี้ชิงหลังจากฟ้ามืดแล้ว
“อึ่ก...!!” จงแดนิ่วหน้าหลังจากร่างของเขาถูกวางลงบนเตียง เขาบีบมือซีวอนไว้แน่นกับความเจ็บปวดที่แล่นปราดไปทั่วร่างกาย ซีวอนตบแก้มเจ้าหน้าที่หนุ่มเบา ๆ เพื่อเรียกสติ ตอนนี้เขาก็ลนไม่แพ้กันหลังจากเห็นจงแดถูกยิงไปต่อหน้าต่อตา
“เฮ้ ๆ ๆ มองหน้าผม”
“...!!!” นัยน์ตาของคนที่นอนอยู่บนเตียงกำลังสั่น ความเจ็บปวดของจงแดนั้นถูกส่งผ่านมายังมือที่กำลังออกแรงบีบมากยิ่งขึ้นในขณะที่อี้ชิงกำลังช่วยดูแผลให้ “ประ...ประตู...”
“อย่าเพิ่งพูดอะไร แค่มองหน้าผมแล้วก็อย่าหลับ...โอเคไหม?” ซีวอนใช้มืออีกข้างปาดเหงื่อให้จงแดอย่างเบามือก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยเมื่อมินซอกส่งผ้าสะอาดให้อี้ชิงและตามด้วยแบคฮยอนที่มาพร้อมกับกะละมังใบเล็ก “How was it?, Yixing?” (เป็นยังไงบ้างอี้ชิง?)
“I think the bullet probably pierced through.” (ผมคิดว่ากระสุนน่าจะเจาะทะลุไป)
“So, it's a luck?” (นั่นเรียกว่าโชคดีได้ไหม?)
“Yes and it would be better if me own a luck too.” (มันจะดีกว่านี้ถ้าโชคของเขาไม่ได้อยู่ในมือผม)
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก!!!” อี้ชิงกดผ้าขนหนูไว้หลังจากประคองอีกคนให้นอนลง เลือดสีสดกระจายเป็นวงกว้างจากรอยกระสุนที่ถูกยิงจนทะลุช่วงสีข้าง เขาต้องเร่งมือให้เร็วที่สุดหากว่าไม่อยากให้คิมจงแดต้องตายเพราะเสียเลือดกับทนพิษบาดแผลไม่ไหว บุรุษพยาบาลหนุ่มสบถเป็นภาษาจีนกับความเครียดที่อยู่ในมือเขา
“บ้าเอ้ย ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาทำเรื่องแบบนี้อีกครั้ง”
“ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้เขาต้องเสียเลือดจนตายแน่!” เทาเสยผมอย่างหัวเสีย คล้ายกับว่าพระเจ้ากำลังเล่นกับความรู้สึกของเขาที่ส่งเรื่องแย่ ๆ เข้ามาให้ได้ปวดหัวไม่หยุดไม่หย่อน เด็กตัวสูงเดินไปมาในขณะที่ซูโฮกำลังช็อกจนคยองซูต้องพาออกไปข้างนอกเพื่อไม่ให้เกะกะการรักษา
“ช่วย...อุทยาน...”
“...”
“ถ้าผมตาย...ช่วย...” จงแดปรือตามอง เขาไม่สามารถรู้ได้ว่าใครบ้างที่ยืนอยู่รอบตัวเขาเพราะสติที่เริ่มเลือนรางกับน้ำตาที่คลอเพราะความเจ็บปวดที่ได้รับ
“พวกอี้ฟานกลับมาหรือยัง?” ซีวอนหันกลับไปถามแต่ก็ได้รับคำตอบเป็นใบหน้าที่ส่ายไปมา “ลำพังเราแค่นี้สู้พวกเขาไม่ไหวแน่!”
“พวกมันต้องการอะไร?”
“ผมไม่รู้ แต่ที่เห็นคือพวกเขาฆ่ากวางไปแล้วสองตัว แล้วผมไม่แน่ใจว่าคนพวกนั้นจะเข้ามายึดที่นี่ด้วยหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงพวกเราต้องแย่แน่ถ้าพวกอี้ฟานยังไม่กลับมา”
“เวรเอ้ย! แล้วคุณได้ยิงตอบโต้ไปบ้างไหม?”
“ผมยิงกลับไป แต่ทางนั้นมีกันหลายคนมาก จงแดโดนยิงตั้งแต่พวกเราเริ่มชักปืนออกมา วินาทีนั้นผมคงไม่คิดจะทำอะไรอีกนอกจากรีบพาเขากลับให้เร็วที่สุด”
“พวกเขาเข้ามาได้ยังไงกัน ข้างนอกมีลิงอยู่ไม่ใช่เหรอคะ? จะไปไหนน่ะเทา? เทา!!” ปาร์คกาฮีตามเด็กตัวสูงที่จู่ ๆ ก็วิ่งออกไปข้างนอกพร้อมกับไฟฉายเมื่อท้องฟ้าเริ่มใกล้มืดเต็มทีและไม่ลืมที่จะเอาปืนไปด้วย หญิงสาวหยุดฝีเท้าอยู่ตรงบันไดหน้าบ้านเมื่อเห็นว่าเทาวิ่งหายเข้าไปในอุทยานแล้ว
“เทา!!!!”
ไฟฉายถูกเปิดใช้เมื่อความมืดเริ่มกลืนกินทุกอย่างที่อยู่รอบตัว สามหนุ่มค่อย ๆ เดินไปข้างหน้าอย่างไม่เร่งรีบ สายตากลอกมองอย่างระมัดระวัง อี้ฟานหยุดยืนพร้อมกับกระดิกนิ้วบอกเป็นเชิงให้อีกสองคนแยกกันไปจัดการตัวกินคนที่ยืนขวางทางเดิน
มันคงดีกว่าถ้าทางขากลับไม่มีพวกมันเป็นอุปสรรคสำหรับการหลบหนีถ้ามีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น แน่นอนว่าทั้งสามคนไม่มีใครชินกับการต่อสู้ตอนฟ้ามืด เพราะฉะนั้นทุกฝีก้าวคือความเป็นความตาย
“ไหวนะลู่หาน?” อี้ฟานหันไปถามคนข้าง ๆ ที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก หากแต่เจ้าตัวกลับขานตอบในลำคอเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร
ศพจำนวนมากนอนตายเกลื่อนอยู่บนถนน ไม่ว่าจะด้วยฝีมือของลู่หานเมื่อตอนกลางวันหรือฝีมือของพวกเขาทั้งสามคนเมื่อครู่นี้ ชานยอลกดเปิดไฟฉายแล้วหันหน้าเข้าหาเพื่อนร่วมทางทั้งสองคน
“ถ้าเข้าไปลึกกว่านี้เราต้องแย่แน่ถ้าต้องกลับตอนฟ้ามืดสนิทแล้ว”
อี้ฟานขมวดคิ้วเล็กน้อย มันจริงอย่างที่ชานยอลว่าเมื่อความมืดกำลังไล่ต้อนให้พวกเขาจนมุม ซึ่งฝ่ายเสียเปรียบคือมนุษย์ที่สามารถตายได้หากถูกโจมตีโดยผีดิบที่ไม่รู้ว่าซ่อนตัวอยู่ส่วนไหนของความมืด
ชานยอลมองอีกคนที่กำลังหอบหายใจหนักทั้งที่ยืนอยู่เฉย ๆ เขาสังเกตมาสักพักแล้วว่าลู่หานดูอ่อนแรงลงหลังจากสู้กับพวกผีดิบไปได้สักพัก จากที่ได้ฟังมาลู่หานคงกำลังมีไข้เพราะตกน้ำเมื่อตอนกลางวันอีกทั้งยังต้องออกตามหาเซฮุนเป็นเวลาหลายชั่วโมงแบบนี้ เพราะฉะนั้นมันคงไม่ดีนักหากว่าจะต้องมีใครเป็นอะไรไปอีก
“เราตามหามาเกือบครึ่งหมู่บ้าน จากความน่าจะเป็นแล้วผมว่ามันยากมากที่เซฮุนจะเข้าไปลึกกว่านี้” อี้ฟานพูด
“งั้นพรุ่งนี้เช้าเราค่อยออกมาตามหากันอีกทีดีไหม? พอถึงตอนนั้นทางคงสะดวกกว่าตอนนี้เป็นไหน ๆ เพราะพวกเราก็จัดการไปได้เยอะแล้ว”
“แล้วเซฮุนล่ะ?” ถึงชานยอลจะพูดถูกแต่เขาก็ไม่มีหน้ากลับไปอุทยานหากว่ายังตามหาเด็กคนนั้นไม่เจอ
“ถ้ายังไม่ตาย ผมเชื่อว่าตอนนี้เขาต้องหาที่อบอุ่นอยู่ที่ไหนสักแห่ง”
“ฝันดีนะ”
เสียงของซูยอนเป็นเสียงสุดท้ายที่ได้ยินก่อนที่ตะเกียงจะดับลง ตอนนี้มีเพียงแค่แสงจากดวงจันทร์เท่านั้นที่ส่องผ่านหน้าต่างรถบ้านเข้ามา บนเตียงนอนแคบ ๆ ที่ต้องมีใครสักคนหนึ่งนอนหันข้างหากว่าอีกคนจะนอนหงาย ซึ่งแน่นอนว่าเป็นโอเซฮุนที่หันหน้าเข้าหาผนังรถ
ความเงียบโรยตัวอยู่โดยรอบแล้วปล่อยให้ความคิดได้ทำงานแม้ว่าตอนนี้เขาควรจะหลับตาลงแล้วให้สมองได้หยุดพักผ่อน ผ้านวมผืนนี้มันคงไม่มีปัญหาสำหรับเขาทั้งคู่ในอดีต แต่ตอนนี้มันเป็นเหมือนกับเส้นสีแดงที่ถูกขีดคั่นไว้ให้เขาพยายามรักษาระยะห่างระหว่างจงอินให้มากที่สุด
จะหันไปกอดก็ทำไม่ได้ จะหันไปถาม ไปพูดคุยก็ต้องคิดให้ดีก่อนถ้าไม่อยากถูกมองว่าเป็นเกย์ตามที่จงอินถามอย่างเมื่อตอนกลางวัน ร่างบางถอนหายใจ นับครั้งไม่ถ้วนที่โอเซฮุนได้แต่ปลอบตัวเองว่ามันดีแค่ไหนแล้วที่จงอินยังมีชีวิตอยู่และเขายังสามารถมองเห็นผู้ชายคนนี้ในระยะสายตาได้
“ผ้าห่มมันผืนเล็ก ขยับเข้ามาสิ” เสียงของคนข้าง ๆ ทำให้เด็กหนุ่มหลุดออกจากความคิด เซฮุนค่อย ๆ เอี้ยวหน้าหันกลับไปข้างหลังแล้วก็พบว่าจงอินยังคงหลับตาอยู่
“ได้เหรอครับ”
“หนาวไม่ใช่หรือไง?” ร่างหนาหันมาสบตากับอีกคนในความมืด เสียงของทั้งคู่แผ่วเบาราวกับว่าต้องการให้ได้ยินกันแค่สองคน เซฮุนอมยิ้มเล็กน้อยแล้วพลิกตัวหันเข้าหาอีกฝ่ายพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นคลุมถึงหัวไหล่ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ ๆ
“งั้นขอเบียดหน่อยนะครับ...”
“...”
ตัวของเด็กคนนี้เย็น...เย็นจนเขารู้สึกว่าอยากทำให้อุ่นเร็ว ๆ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นแค่ความคิดที่ต้องสิ้นสุดลงหลังจากคิมจงอินบอกตัวเองว่ามันไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่เขาจะต้องทำแบบนั้น ร่างหนาขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อรู้สึกได้ถึงหัวทุยที่เฉียดหัวไหล่เขาไป
ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าเซฮุนกำลังหดขาเข้าหาตัวเพราะความหนาว และมันเป็นเรื่องที่บ้าอย่างถึงขีดสุดที่เขากำลังบิดตัวเหมือนคนปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อเพื่อที่จะตีเนียนขยับตัวเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อให้เด็กคนนี้ห่มผ้าได้มากขึ้น
“...”
ทุกอย่างยังคงอยู่ในความเงียบ นัยน์ตาคมเหม่อลอยมองเพดานรถบ้านท่ามกลางความมืด จะบอกว่านอนไม่หลับเพราะไม่ชินที่มีคนนอนอยู่ข้าง ๆ ก็ไม่ใช่ แต่ถ้าจะบอกว่ารู้สึกดีก็คงไม่ถูกอีกนั่นแหละ แต่ความรู้สึกลึก ๆ ที่เป็นอยู่มันแปลกเกินไป ทำไมถึงต้องเป็นห่วงโอเซฮุน หรือเพราะเด็กคนนี้บอกว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน?
ใช่...มันอาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ เพราะถ้าคิมจงอินมีเพื่อนสนิทที่ชื่อลู่หาน งั้นแสดงว่าเด็กคนนี้ก็คงเป็นน้องชายที่น่าเอ็นดูคนหนึ่ง
“จงอินครับ”
“...”
“หลับหรือยัง”
“...”
“ถ้าผมเบียดเกินไปก็บอกนะครับ ผมจะได้ขยับออกไป”
“เปล่า”
ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกหลังจากเซฮุนเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาขึ้นมาท่ามกลางความมืด จงอินยังคงมองเพดานรถโดยที่ไม่คิดจะหันไปมองร่างบางที่นอนอยู่ข้าง ๆ ในขณะที่เซฮุนเองก็เช่นกัน เขาเพียงแค่จับจ้องไปยังเสื้อของอีกคนที่เปลี่ยนสีไปเพราะแสงของดวงจันทร์
“ฉันคิดว่านายหลับไปแล้ว”
“ยังครับ”
“ก็นะ นี่ก็เพิ่งจะหัวค่ำ” จงอินเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่ง “บางทีนายอาจจะรู้สึกแปลกที่หรือว่าคิดถึงอุทยานอะไรนั่น?”
“ผมกลัวน่ะ” เด็กหนุ่มเหม่อมองไปยังความมืดแล้วปิดเปลือกตาลงก่อนจะซุกหน้าผากลงกับหัวไหล่คนข้าง ๆ เซฮุนไม่ได้อธิบายต่อว่าความกลัวของเขาคืออะไร ซึ่งมันคงจะดีกว่าหากว่าจงอินตีความหมายไปเองแทนที่จะได้ฟังความจริงจากปากเขา
‘ผมกลัวว่าถ้าหลับแล้วตื่นมาจะไม่เจอคุณอีก’
‘ผมกลัวว่านี่จะเป็นแค่ความฝัน’
‘ผมกลัวว่าเสียงของคุณที่ได้ยินมันจะเป็นเรื่องโกหก’
“กลัวอะไร”
“...”
“ผี?”
“...”
“เหอะ บู๊แหลกกับพวกกินเนื้อมาทั้งวันแต่ดันกลัวผี ปัญญาอ่อนจริง ๆ ตอนกลางวันนายน่าจะเล่าเรื่องนี้นะเพราะมันค่อนข้างที่จะตลก” จงอินแค่นหัวเราะก่อนจะขมวดคิ้วเพราะอีกคนกำลังขยับเข้ามาอีกจนเขาต้องละแขนที่ก่ายหน้าผากขึ้นไว้บนอากาศเพราะไม่รู้จะวางไว้ตรงไหนและตอนนี้หัวของเซฮุนกำลังนอนทับแผงอกของเขา
“อย่าล้อนะครับ ผมกลัวจริง ๆ นะ”
“ไม่ใช่แค่ล้อ จะแกล้งให้กลัวด้วย” จงอินขยับปากบ่นเมื่อตอนนี้เขากลายเป็นแค่ไอ้โง่ที่ไม่รู้แม้แต่วิธีจะวางแขน พอหลุบสายตาลงก็เห็นหัวทุยที่ซบอยู่กับแผงอกแข็ง ๆ ของเขาโดยที่ไม่ขยับไปนอนหมอนนุ่มดี ๆ “เฮ้ หมอนก็มีทำไมไม่หนุน”
“ผมกลัว”
“โอเซฮุน”
“ครับ” เซฮุนยิ้ม เด็กหนุ่มรู้สึกดีทุกครั้งที่จงอินเรียกชื่อเขา
“ใครปลูกฝังให้นายเชื่อเรื่องผีวะ?”
“นั่นสิ ผมกลัวไปหมดแล้ว” พูดจบก็บดเบียดตัวเข้าหาร่างหนา จงอินจิ๊ปากอย่างหัวเสียก่อนจะผลักหัวเด็กหนุ่มเบา ๆ เพราะหมั่นเขี้ยว
“ช่างพูดนักนะ”
“...” ให้ตายเถอะ นี่ครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่เขาต้องขมวดคิ้วเพราะเด็กนี่ เขาล่ะสงสัยจริง ๆ ว่าไอ้คนกลัวผีที่ไหนมันจะมีอารมณ์หัวเราะได้อีกนอกจากโอเซฮุน?
“จะคุยกันก็ออกไปข้างนอก คนจะหลับจะนอน” เสียงของควอนยูริทำให้เซฮุนต้องรีบตะปบปากตัวเอง เขาเพิ่งรู้ตัวว่าสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นก็ตอนที่ถูกเตือนนี่แหละ
“ขอโทษได้ไหมล่ะ”
“หุบปาก”
“จ้ะแม่คุณ”
“จงอินครับ เดี๋ยวคุณซูยอนตื่น...” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นกระซิบเบา ๆ เป็นจังหวะที่จงอินก้มหน้าลงมาพอดี ทั้งคู่ชะงักอยู่ท่านั้น เหมือนกับว่าเวลาถูกหยุดไว้หลังจากไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก
“...”
“...”
จงอินไม่รู้ว่าตอนนี้เซฮุนกำลังมองเขาด้วยแววตาแบบไหนในความมืด ซึ่งบางทีมันอาจจะเป็นเรื่องดีที่เขาไม่รู้ ชายหนุ่มใช้เวลาอยู่พอสมควรกว่าจะเรียกสติตัวเองกลับมาได้ จงอินเอาแต่บอกกับตัวเองว่าวันนี้เขาเหนื่อยมามากพอแล้วและควรจะพักผ่อนมากกว่าการต้องมาสติแตกเพราะเด็กคนหนึ่งที่เป็นผู้ชายด้วยกัน
“ผมจับแขนคุณไว้ได้ไหมครับจงอิน”
“ทำไมต้องจับ?”
“อย่างที่คุณบอก ผมมันปัญญาอ่อนเพราะกลัวผี ถ้าผมรู้สึกว่ายังมีใครสักคนอยู่ตรงนี้ผมก็จะนอนหลับได้โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกผีหลอก”
“...”
“แค่จับเสื้อก็ได้ครับ...” เซฮุนพูดเสียงแผ่ว เขารู้สึกเหมือนกำลังจะตายกับการที่ต้องฝืนสร้างระยะห่างทั้งที่อยากกอดจงอินมากแค่ไหน ทั้ง ๆ ที่ผู้ชายคนนี้อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ตอนนี้คิมจงอินนั้นกลายเป็นคนที่เขาไม่สามารถจับต้องได้เหมือนอย่างเคย
ระยะเวลาสำหรับการตอบคำถามนานเกินกว่าปกติ และเซฮุนคิดว่ามันคงเป็นคำตอบได้แล้วว่าอีกคนไม่อนุญาตซึ่งมันคงไม่ดีแน่ถ้าหากเขายังคงรั้นจะหาวิธีสัมผัสจงอินอยู่แบบนี้ แต่ผิดคาด...ร่างบางเบิกตากว้างเมื่อคนข้าง ๆ กำลังขยับตัวพร้อมกับยื่นแขนมาให้แม้ว่าจะไม่หันมามองหน้าเขาเลยก็ตาม
“อยากทำอะไรก็ทำ”
“...”
“ปัญญาอ่อนจริง ๆ ผีบ้าผีบออะไรมันมีที่ไหนกัน” จงอินบ่นอุบอิบแต่กลับเรียกรอยยิ้มจากร่างบางได้เป็นอย่างดี เซฮุนประคองแขนแกร่งไว้แล้วสอดแขนเข้าไปกอดก่อนจะซบหน้าลงกับต้นแขนแกร่ง
“ดีจัง”
“...”
“ขอบคุณนะครับจงอิน”
“...”
“ขอบคุณที่ยังอยู่กับผม...”
TBC
พิสูจน์ให้เห็นกันตรงนี้เลยว่า อุทยาน หมู่บ้าน และรถบ้าน สามที่นี่สถานการณ์ต่างกันมากแค่ไหน....
พี่จงแดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!!!!!!!! ;_; อิน้องเทามึงใจเย๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนน
ขอบคุณน้องเอ็มที่ช่วยแปลทรานส์อิ้งพี่ซีวอนกับอี้ชิงให้นะคะ <3 เลิ้บ
ความคิดเห็น