คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #80 : Chapter 75 :: Turning Point
Chapter 75
Turning Point
สองมือจับพวงมาลัยไว้มั่นแล้วเหยียบคันเร่งจนมิด รถกระบะโฟวิลขับฝ่าฝูงผีดิบจำนวนมากที่กำลังวิ่งตรงมาทางนี้ก่อนจะชนพวกมันกระเด็นออกไปคนละทิศทาง มันเป็นเรื่องที่เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้จริง ๆ เพราะถ้าหากขับช้ากว่านี้เพื่อนร่วมทางที่อยู่ท้ายกระบะคงโดนพวกมันกัดเข้าแน่ ๆ
กึง!! กึง!!
อี้ฟาน ลู่หานและเทาทำหน้าที่คุ้มกันด้านข้าง การใช้มีดขณะรถกำลังวิ่งด้วยความเร็วสูงมันไม่ใช่วิธีที่เข้าท่านัก ไหนจะกระสุนที่หมดเกลี้ยงจนไม่มีเหลือพอจะเจาะหัวพวกมันอีก ทั้งสามคนเลยทำได้เพียงแค่ฟาดสันปืนใส่เหล่าผีดิบที่เกาะอยู่ตรงขอบท้ายกระบะให้ร่วงลงไปเท่านั้น
มินซอกถอดเสื้อตัวนอกออกมาคลุมช่วงอกให้คนที่นอนหมดสติอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่มร่างสูงซึ่งนั่งพิงอยู่ทางด้านในสุดของรถ ริมฝีปากของพวกเขาต่างก็สั่นไม่แพ้กันเพราะความหนาวเหน็บที่สาดเทเข้ามาจนตัวแทบแข็ง ชานยอลมีเพียงแค่เสื้อเชิ้ตแขนยาวของนักวิทยาศาสตร์เพียงตัวเดียวเท่านั้นที่ช่วยปิดบังกระแสลม และแน่นอนว่ามันแทบจะช่วยอะไรไม่ได้เลย เขารู้สึกได้ถึงลมที่ทะลุผ่านเสื้อที่สวมอยู่ทุกวินาทีและอาการปวดจี๊ดที่หัวกับสภาพอากาศ
“เลือดเขาไหลอีกแล้ว”
ชานยอลกระชับกอดอีกคนเอาไว้ก่อนจะใช้เสื้อกาวน์ที่คลุมอยู่ถึงช่วงคอร่างบางขึ้นมาซับคราบเลือดกำเดาที่กำลังไหลออกมาอีกครั้ง อาการของเซฮุนค่อนข้างน่าเป็นห่วง ขืนยังอยู่แบบนี้ต่อไปคงได้หนาวตายก่อนแน่
“จับไว้แน่น ๆ !!”
แบคฮยอนตะโกนออกไปนอกหน้าต่างรถพร้อมกับหักพวงมาลัยเลี้ยวโค้งจนคนที่อยู่ท้ายกระบะเซไปกองอยู่ทางเดียวกันหมด มินซอกเกือบกระเด็นตกจากรถแต่โชคดีที่ลู่หานคว้าตัวเขาไว้ได้ทัน
เครื่องยนต์ดับลงบนถนนเส้นยาวหลังจากขับออกมาไกลพอสมควรแล้ว รอบข้างเต็มไปด้วยป่าไม้และหิมะ ทุกอย่างขาวโพลนไปหมดไม่ต่างจากในหัวเขาในตอนนี้ แบคฮยอนซบหน้าผากลงบนมือที่กำพวงมาลัยไว้แน่น มันกำลังสั่นเครือจนยากที่จะหยุดมันได้
ประตูรถถูกเปิดออกจากคนที่อยู่ทานด้านนอก อี้ฟานเอื้อมมือไปวางบนไหล่อีกคนแล้วพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้แบคฮยอนออกมา ลู่หานกระโดดลงจากรถแล้ววิ่งมาเปิดประตูเบาะหลังส่วนเทาช่วยเปิดท้ายรถเพื่อให้ชานยอลอุ้มเซฮุนลงมา มันคงไม่ดีแน่ถ้าหากยังให้เด็กคนนั้นนอนอยู่ข้างหลังทั้งที่ปลายทางยังอีกไกล
“คุณทำดีแล้วแบคฮยอน...ไม่เป็นไรนะ” อี้ฟานคว้าคนตรงหน้าเข้ามากอดปลอบพร้อมกับลูบหัว ร่างเล็กกำลังตัวสั่น หากแต่ต้นเหตุของมันนั้นไม่ใช่ความหนาวเหน็บที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่
แบคฮยอนรู้สึกเหมือนแบกโลกเอาไว้ทั้งใบกับการที่ต้องขับรถพาทุกคนหนีออกมาจากที่นั่นท่ามกลางฝูงผีดิบมากมายที่รายล้อมอยู่ทุกสารทิศ ถึงตอนนี้จะพ้นเขตอันตรายแล้วแต่ความกลัวที่มีอยู่ก็ยังไม่จางหายไป บยอนแบคฮยอนยังคงรู้สึกได้ถึงเสียงโหยหวนของพวกมันที่ก้องอยู่ในหู
“เราต้องรีบไปแล้ว” อี้ฟานผละตัวออกแล้วกุมหัวไหล่น้องเล็กเอาไว้พร้อมกับก้มลงมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ “เราต้องรีบพาเซฮุนกลับอุทยาน”
“ครับ...ผมรู้...”
“แล้วไอ้จงอินล่ะ...” ลู่หานถาม สีหน้าของเขาในตอนนี้เหมือนคนพร้อมจะสติแตกได้ทุกเมื่อหลังจากทิ้งเพื่อนสนิทไว้ข้างหลังแล้วหนีออกมาแบบนี้ และแน่นอนว่าไม่มีใครตอบคำถามของเขาได้
อี้ฟานเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างตัวรถ ควันสีขาวที่พ่นออกมาจากปากทุกลมหายใจเข้าออกนั้นบ่งบอกได้ดีว่าพวกเขากำลังอดทนอยู่กับสภาพอากาศที่เป็นอยู่มากสักแค่ไหน ร่างสูงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะมองเข้าไปในรถที่มีคนหลับไม่ได้สติอยู่ในอ้อมกอดของปาร์คชานยอล
“ขึ้นรถก่อนเถอะ ครั้งนี้ถือว่าผมขอร้อง”
“...”
ทั้งคู่สบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ลู่หานเข้าใจว่าอี้ฟานกำลังสื่อถึงอะไรและสิ่งที่เขาทำอยู่มันไม่ใช่เรื่องที่สมควรในตอนนี้ เซฮุนกำลังอาการหนัก คนอื่น ๆ ก็เช่นกัน พวกเขาต่างหนีตายออกมาอย่างสะบักสะบอม แต่มันก็อดนึกถึงเพื่อนของเขาที่ยังคงอยู่ตรงนั้นไม่ได้จริง ๆ
“มินซอก เข้ามานั่งข้างในไหม?”
“ผมอยู่ตรงนี้ได้” คนตัวเล็กตอบแล้วอี้ฟานก็พยักหน้า ในรถแคบแบบนั้นถ้าให้เขาเข้าไปนั่งเบียดอีกคนคงอึดอัด มันคงดีกว่าถ้าให้โอเซฮุนได้นอนอย่างสบายตัว
อี้ฟานพยักหน้าแล้วเปิดประตูรถ ชานยอลส่งเสื้อของมินซอกที่คลุมตัวเซฮุนออกมาให้อย่างรู้งาน ร่างสูงคืนเสื้อให้กับคนตัวเล็กที่ต้องนั่งอยู่ข้างหลังก่อนจะหันหน้าเข้าหาลู่หานอีกครั้ง พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ต่อต้านอะไรอี้ฟานเลยเดินไปเปิดประตูรถที่นั่งฝั่งคนขับ หลังจากได้ยินเสียงสตาร์ทรถเขาเลยต้องปีนขึ้นไปนั่งบนท้ายกระบะกับเด็กหนุ่มอีกสองคนอย่างปฏิเสธไม่ได้
ตุ่บ!
“ถ้านายถาม มึงจะบอกว่าไงวะ”
“บอกไปว่าค่ายโดนปล้นสะดม ถ้าขืนเล่าความจริงพวกเราโดนเละแน่”
“แล้วจะเอาไงกับมันดี?”
“ที่แน่ ๆ เอากลับเข้าไปในค่ายไม่ได้แล้ว เกิดมันตื่นขึ้นมาแล้วโวยวายพวกเราได้ชิบหายกันพอดี”
“...”
ทหารนายอื่นที่เคยอยู่ตรงนี้ได้ไปรวมพลกันในค่ายเพื่อออกไปจัดการกับพวกผีดิบที่กำลังพยายามพังประตูทางเข้า ตอนนี้เหลือเพียงแค่ทหารสามนายที่ยังคงยืนอยู่ตรงนี้ จูจีฮุนมองร่างชายหนุ่มที่นอนหมดสติอยู่บนพื้นพร้อมกับเลือดสีสดที่ไหลออกมาจากหัวหลังจากโดนเพื่อนทหารของเขาซ้อมจนอ่วมอีกทั้งยังโดนฟาดด้วยท่อนไม้ไปที่หัวจนหมดสติ ถ้าเกิดเขาไม่ห้ามไว้คนพวกนี้คงกะถึงเอาตาย
“งั้นก็ฆ่ามันทิ้งซะ”
“...”
จีฮุนเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนทั้งสองคนที่กำลังพยักหน้าอย่างรู้กัน ร่างสูงกลอกตาไปทางด้านข้างก่อนจะดันแผงอกแกร่งเอาไว้
“กูว่าลากไปฆ่าทิ้งในป่าดีกว่า”
“ทำไมวะ ก็ฆ่ามันซะตรงนี้จะเป็นไรไป”
“เหตุผลเดียวกับมึง ว่ากูไม่อยากให้นายรู้ว่ามันยังมีชีวิตอยู่” ทหารหนุ่มสบตากับเจ้าของคำพูดซึ่งค่อนข้างมีน้ำหนักอยู่พอสมควร แต่ไหนแต่ไรจูจีฮุนก็เป็นแนวหน้าทั้งเรื่องลุยและเรื่องรบ บางทีมันอาจจะเข้าท่ากว่าหากว่าเชื่อคำพูดของมัน
“...”
“หรือมึงจะทิ้งศพมันไว้ตรงนี้? ชาวบ้านที่อยู่ข้างในก็เคยเห็นหน้ามันแล้วทั้งนั้น ถ้าเกิดนายรู้ว่ามึงฆ่าพลเรือน คนที่จะโดนเล่นเป็นใครมึงคงรู้” จีฮุนพูดเสียงเรียบและดูเหมือนว่าชายหนุ่มอีกสองคนจะกำลังคิดหนัก
“เออ ในป่าก็ในป่า”
“งั้นก็รีบจัดการ อย่าเสียเวลามากไปกว่านี้” พูดจบจีฮุนก็ก้มลงไปคว้าท่อนแขนแกร่งเอาไว้ก่อนที่ทหารอีกคนจะเข้ามาช่วย ทหารอีกคนเดินนำหน้าเพื่อคอยจัดการพวกผีดิบให้หากว่ามันโผล่ออกมา ทั้งสองคนลากร่างของจงอินไปตามทางทิ้งไว้เพียงแค่เลือดสีสดที่ลากเป็นทางยาว
“กูล่ะเชื่อพวกมันเลย เก่งกันมาจากไหนถึงได้ล่อค่ายเราจนเละเทะถึงขนาดนี้”
“นั่นสิ ถ้าเหตุผลแค่ว่าเข้ามาช่วยผู้ทดลองมันก็จะเกินไปเปล่าวะ”
“ทำไม?”
จูจีฮุนไม่ได้เข้าร่วมบทสนทนานี้ ชายหนุ่มเพียงแค่เงียบและรับฟังเพื่อนทั้งสองคนและจมอยู่กับเรื่องที่ทำให้เขาลำบากใจมาตั้งแต่วินาทีแรกที่คิมจงอินเข้ามาในค่าย ไม่สิ...ไม่ใช่แค่ผู้ชายคนนี้ที่ทำให้เขารู้สึกผิด มันหมายถึงทุก ๆ คนที่เขาพากลับมาที่นี่และแสร้งทำเป็นคนดีเพื่อให้คนพวกนั้นไว้ใจ
เพียงเพราะต้องการผู้ทดลองไปทำยารักษา
“มันมีด้วยเหรอ คนที่เข้าไปช่วยเพื่อนฝูงทั้งที่รู้ว่าความตายรออยู่ข้างหน้า”
“ทำไมวะ? มึงจะสื่อว่าถ้ากูโดนจับไปมึงก็จะปล่อยกูไว้อย่างนั้นสินะ”
“ก็เออน่ะสิ ฮ่า ๆ”
“ควายเอ้ย!”
“...”
เสียงหัวเราะของชายหนุ่มสองคนไม่ใช่เรื่องน่ายินดีในตอนนี้ แม้ว่ามันคือสิ่งที่พวกเขาทุกคนต่างโหยหาแต่สุดท้ายแล้วเสียงหัวเราะที่ได้ยินทุกครั้งกลับมาจากสิ่งเลวร้ายแทนที่จะเป็นเสียงที่เกิดจากความสุขจริง ๆ
มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่ต้องทนอยู่กับความโสมมของคนรอบข้าง จริงอยู่ที่โลกนี้มันเปลี่ยนไปแล้วซึ่งเขาไม่สามารถทำให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ด้วยตัวคนเดียว หลายครั้งที่เขาต้องทนทำเป็นมองไม่เห็นเวลาพวกทหารอีกกลุ่มลากผู้หญิงไปข่มขืน แม้ว่าบางคนจะสมยอมเพราะอยากมีชีวิตรอดก็ตาม และเขาไม่สามารถเข้าไปปกป้องผู้หญิงเหล่านั้นได้ ตราบใดที่คนพวกนั้นไม่ฆ่าคนตายตามที่นายได้สั่งเอาไว้ เขาก็คงทำได้เพียงแค่ปิดตาข้างหนึ่ง...หากว่าต้องการมองโลกใบนี้เพียงด้านที่เขาอยากจะมองเห็นมัน
เพราะฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการไม่มีปัญหากับใคร
บนถนนเต็มไปด้วยซากศพหลังจากเสียงรัวกระสุนของเหล่าทหารเงียบไป จูจีฮุนลดระดับสายตาลงมองใครอีกคนที่ยังคงไม่ได้สติ หวังว่าสิ่งที่เขาทำอยู่ในตอนนี้มันจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องครั้งแรกตั้งแต่ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้น
ทั้งสามคนช่วยกันแบกร่างของจงอินเข้าไปในป่า เสียงเหยียบกิ่งไม้ที่ฝังอยู่ใต้หิมะคือสิ่งเดียวที่พวกเขาได้ยิน ไม่มีเสียงพูดคุยจากเพื่อนร่วมทางทั้งสองคนอีก พวกเขาต่างก็รู้ดีว่าในสถานที่แบบนี้นั้นควรมีสติให้มาก เพราะไม่ใช่แค่พวกผีดิบที่น่ากลัว แต่ยังมีสัตว์ป่าบางชนิดที่สามารถทำให้เลือดตกยางออกได้หากว่าไม่ระวังตัว
ร่างของจงอินถูกทิ้งลงบนพื้น ทหารทั้งสามนายยืนมองอยู่ครู่เดียวก่อนที่ใครคนหนึ่งจะดึงมีดพกออกมาแต่จูจีฮุนห้ามไว้เสียก่อน
“เดี๋ยว”
“อะไรวะ?”
“ได้ยินเสียงอะไรไหม?” ร่างสูงขมวดคิ้วพร้อมกับเงี่ยหูฟังก่อนที่เพื่อนอีกสองคนจะหันไปทางด้านขวา
“เสียงอะไรวะ?”
“มันดังมาจากทางนั้นน่ะ”
“...”
“แกสองคนไปดูหน่อยสิ” จีฮุนผินหน้าไปทางต้นเหตุของเสียงที่เพื่อนอีกสองคนไม่ได้ยิน ทหารหนุ่มทั้งคู่ยกปืนขึ้นเตรียมพร้อมยิงหากว่ามีตัวประหลาดโผล่ออกมาก่อนที่ขาทั้งสองข้างจะค่อย ๆ ย่ำไปตามพื้นหิมะ
พอเบนความสนใจของได้แล้วจีฮุนก็หันหน้าเขาหาจงอินอีกครั้ง เขาเดินอ้อมไปหยุดอยู่ตรงศีรษะอีกคนก่อนจะสอดมือเข้าไปใต้วงแขนแล้วลากเข้ามาใต้ต้นไม้ ถ้าขืนทิ้งไว้ตรงนั้นผู้ชายคนนี้อาจจะหนาวตายก่อนได้มีโอกาสหนีเพราะถูกหิมะตกลงมาทับถมแน่
จีฮุนตบแก้มอีกฝ่ายเพื่อเรียกสติพร้อมกับหันหลังไปมองต้นทางเป็นระยะ ตอนนี้เพื่อนของเขายังไม่กลับมา มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเขารีบเร่งมือจัดการให้มันจบ ๆ ชายหนุ่มเบิกตากว้างเมื่อจงอินเริ่มขยับตัว เขาดึงมีดพกออกมาแล้วจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ
“ฟังนะจงอิน”
“...”
“อย่าเพิ่งขยับตัวจนกว่าผมจะไปจากตรงนี้...คุณได้ยินผมใช่ไหม?” ร่างสูงโน้มหน้าเข้าไปใกล้ ๆ ก่อนจะชำเลืองมองข้างหลังเมื่อเขาได้ยินว่าเพื่อนอีกสองคนกำลังเดินกลับมาแล้ว
“...”
“ผมขอโทษ”
“อื้อ...!!!!!”
ยังไม่มีโอกาสได้ส่งเสียงร้องริมฝีปากของเขาก็ถูกปิดด้วยมือแกร่ง จงอินนิ่วหน้าเจ็บเมื่อปลายมีดแหลมกรีดเข้าตรงช่วงต้นแขนของเขา แม้แผลจะไม่ลึกแต่ก็สร้างความเจ็บปวดให้กับคนที่อาการสาหัสได้เป็นอย่างดี
นัยน์ตาปรือมองอีกฝ่ายที่กำลังทำอะไรสักอย่าง ภาพมันพร่ามัวจนไม่สามารถเดาออกได้ว่าวินาทีต่อไปนี้เขาจะถูกทำอะไร
เสื้อยืดแขนยาวสีดำขาดตรงช่วงแขนเพราะรอยมีด จีฮุนบีบแขนจงอินเพื่อรีดเลือดออกมาแล้วป้ายมันไปตามใบหน้าและช่วงต้นคอของอีกคนก่อนจะค่อย ๆ ปล่อยมืออีกข้างออกเมื่ออีกฝ่ายหมดสติไปอีกครั้ง ร่างกายของผู้ชายคนนี้คงบอบช้ำมากเกินกว่าจะทนรับบาดแผลใด ๆ ได้อีก ซึ่งเขาคิดว่าได้พยายามเลือกวิธีที่ดีที่สุดให้กับจงอินแล้ว
มือแกร่งปะป่ายเลือดไปตามแขนเสื้อลายพรางแล้วรีบถอยออกมาจากตรงนั้นเพื่อเป็นการรั้งเพื่อนอีกสองคนไว้ไม่ให้เดินเข้าไปใกล้มากไปกว่านี้ ชายหนุ่มได้แต่ภาวนาในใจว่าขอให้จงอินหลับไปอีกสักพัก หลังจากนั้นจะตื่นขึ้นมาแล้วหาวิธีเอาตัวรอดยังไงก็คงต้องปล่อยไปตามเวรตามกรรม แต่ขออย่างเดียว...อย่าฟื้นขึ้นมาตอนนี้ก็พอ
“กูจัดการเรียบร้อยแล้ว”
“หือ? ตอนไหนวะ?”
“ตอนที่พวกมึงเดินไปทางนั้นไง เป็นไงบ้างล่ะ เจอตัวอะไรหรือเปล่า?” จีฮุนยังคงปั้นหน้านิ่งเฉยไม่ให้อีกฝ่ายจับพิรุธได้
ทหารทั้งสองนายหันไปมองร่างที่นอนแน่นิ่งใต้ต้นไม้อยู่ครู่หนึ่ง พอเห็นแบบนั้นเลยถอดใจเดินหันหลังกลับโดยที่ไม่พูดอะไรอีกเพราะคิดว่าสภาพปางตายขนาดนั้นคงไม่น่ารอดแล้ว ซึ่งมันทำให้ใครอีกคนที่ยืนลุ้นอยู่เงียบ ๆ ถอนหายใจอย่างโล่งอก
จีฮุนเดินตามหลังเพื่อนทั้งสองคนไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดเดิน ร่างสูงหันกลับไปมองชายหนุ่มที่นอนอยู่ใต้ต้นไม้ท่ามกลางความหนาวเหน็บในป่าซึ่งเต็มไปด้วยหิมะเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเบือนหน้าหนี...แล้วเดินไปจากตรงนั้น
เสียงรถขับเข้ามาในอุทยานทำให้คนที่รออยู่หน้าบ้านลุกขึ้นยืน พวกเขาทุกคนต่างตื่นเต้นและร้อนใจจนอยากวิ่งเข้าไปดูใกล้ ๆ ว่ามีใครเป็นอะไรหรือเปล่า คนแรกที่กระโดดลงมาจากท้ายรถคือเทา เด็กหนุ่มรีบไปเปิดประตูรถแล้วช่วยชานยอลประคองเซฮุนออกมา
“เปิดประตู! ขอผ้าสะอาดให้ผมด้วย!” อี้ฟานตะโกนบอกแล้วอี้ชิงก็พยักหน้าก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในบ้านหลังแรก
“คุณพระช่วย...” กาฮียกมือขึ้นป้องปากเมื่อเห็นสภาพแบคฮยอนที่เพิ่งลงมาจากรถ หญิงสาวเข้าไปช่วยประคองเด็กหนุ่มไว้ก่อนจะหันไปมองลูกศิษย์อีกคนที่ลงมาจากรถในสภาพไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
“ผมไหวครับ” มินซอกตอบเพื่อให้ครูสาวเลิกพะวงในตัวเขา จงแดเป็นอีกคนที่วิ่งตามเข้าไปสมทบในบ้านหลังแรก ตอนนี้เหลือเพียงแค่ซีวอน คยองซู และซูโฮที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
เด็กหนุ่มเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ พี่ชายที่กำลังเหม่อมองไปข้างหน้าราวกับคนหมดอาลัยตายอยาก ซูโฮกระตุกแขนเสื้อลู่หานเบา ๆ พร้อมกับถามเสียงแผ่ว
“แล้ว...พี่จงอินล่ะครับ”
“...”
“ซูโฮ ถอยมาก่อนลูก” ซีวอนวางมือลงบนหัวลูกชายก่อนจะเลื่อนลงไปกอดคอเด็กหนุ่มให้เดินออกไปจากตรงนั้น คยองซูมองลู่หานกับมินซอกก่อนที่เขาจะเลือกเดินเข้าไปหาคนตัวเล็ก
“มีอะไรให้ช่วยไหม”
“ช่วยเข้าไปดูพวกเขาที” มินซอกชี้ไปที่บ้านหลังแรกพลางเลียริมฝีปากที่แห้งผาก คยองซูนิ่งไปชั่วอึดใจ เขาพยักหน้าแล้วถอดเสื้อกันหนาวออกมาวางไว้บนมืออีกคนก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน
มินซอกก้มลงมองเสื้อกันหนาวสีเข้มแล้วหันไปทางคนที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ลู่หานเดินถอยหลังก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ไม้อย่างคนหมดแรง ท่ามกลางความเงียบและความเย็นยะเยือกของสภาพอากาศ เด็กหนุ่มอยากขอบคุณพระเจ้าที่ไม่ได้โปรยหิมะลงมาทับถมความรู้สึกของพวกเขามากไปกว่านี้
ลู่หานก้มหน้าลงพร้อมกับยกมือขึ้นกุมขมับ เป็นเวลานานเลยทีเดียวที่มินซอกยืนมองภาพนั้นโดยที่ไม่คิดเดินหนีไปไหน คนตัวเล็กกำเสื้อกันหนาวไว้แน่น เขาหวังว่ามันอาจจะช่วยบรรเทาความอึดอัดและความลังเลของความคิดตอนนี้ได้
“ไม่เข้าไปในบ้านล่ะ” ลู่หานค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงคนที่เพิ่งนั่งลงข้าง ๆ เขา สิ่งแรกที่มองเห็นคือเสื้อกันหนาวของคยองซูที่วางอยู่บนตักนั้น “ข้างนอกมันหนาว”
ลู่หานไม่ได้พูดอะไร ถ้าเป็นก่อนหน้านี้คงตอบกลับไปอย่างอ้อล้อเหมือนที่เคยทำ แต่เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์นั้น เพราะสิ่งที่ผู้ชายอย่างลู่หานอยากทำมากที่สุดในวินาทีนี้คือการไปค้นหาอาวุธที่เหลือแล้วกลับไปช่วยจงอิน
“อยากรู้น่ะ” ลู่หานพูดหลังจากที่ปล่อยให้ความเงียบโรยตัวอยู่นาน มินซอกหันไปมองคนข้าง ๆ ด้วยความไม่เข้าใจ “ว่ามันจะหนาวมากแค่ไหน”
“...”
“ไอ้จงอินใส่แค่เสื้อยืดโง่ ๆ ตัวเดียวเพราะมันถอดเสื้อกันหนาวของตัวเองให้เซฮุนใส่”
“...”
“ถ้ามันยังอยู่ตรงนั้น...ที่ ๆ มีแต่หิมะ” ลู่หานก้มลงกำหิมะขึ้นมา นัยน์ตามองไปยังน้ำแข็งสีขาวที่อยู่ในมือ เพียงแค่ครู่เดียวความเย็นของมันก็ซึมผ่านถุงมือสีดำลงไปอย่างรวดเร็ว “คงหนาวกว่านี้ร้อยเท่า”
ทุกอย่างกลับเข้าสู่ความเงียบ อันที่จริงมินซอกจะเดินเข้าบ้านเพื่อไปดูอาการโอเซฮุนเลยก็ได้ แต่พอเห็นว่าลู่หานยังอยู่ตรงนี้ด้วยความรู้สึกผิดที่ทุกคนต่างก็มีเหมือนกัน เขาก็เลยปล่อยให้ผู้ชายคนนี้อยู่ตามลำพังไม่ได้
มินซอกยอมทิ้งทิฐิที่มีอยู่ออกไปชั่วขณะ ถ้าเป็นเรื่องของความรู้สึกที่ไม่เกี่ยวกับความรักแน่นอนว่าตอนนี้ลู่หานเป็นคนที่น่าสงสารมากที่สุดถ้าไม่นับใครอีกคนที่นอนหมดสติอยู่ในบ้านหลังแรก
เขาเข้าใจดีกับความรู้สึกที่ต้องทิ้งเพื่อนไว้ข้างหลังโดยที่ทำอะไรไม่ได้ ความรู้สึกผิดบาปมันจะยังคงฝังในใจคนที่ยังมีชีวิตอยู่เสมอแม้ว่าเราจะไม่ตั้งใจให้เรื่องมันเกิดขึ้น มินซอกกำมือแน่นจนรู้สึกเจ็บไปหมด เขาไม่แน่ใจว่าความรู้สึกนี้เป็นเพราะความหนาวหรือเป็นเพราะความกดดันกันแน่ แต่สุดท้าย...คนตัวเล็กก็เอื้อมมือไปวางบนหน้าขาอีกคนหลังจากทำใจอยู่นาน
“อยากระบายอะไรหรือเปล่า”
ลู่หานไม่ได้หันไปมองหน้าคนข้าง ๆ ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วถามว่าเกิดอะไรขึ้นเด็กคนนี้ถึงได้นึกใจดีขึ้นมา เขาเพียงแค่จับจ้องไปยังมือเล็กที่เคยตบหน้าเขาด้วยแววตาที่แสดงออกถึงความเกลียดชัง แต่วินาทีนี้มันวางอยู่บนหน้าขาเขา ราวกับจะบอกให้รู้ว่าลู่หานไม่ได้จมอยู่ในหลุมดำที่ชื่อว่าความรู้สึกผิดตามลำพัง
“คิดว่ามันจะเป็นอะไรไหม?” คำถามโง่ ๆ ส่งไปยังคนตัวเล็ก แน่นอนว่าตอนนี้ลู่หานไม่ได้อยากฟังความจริง เพราะสิ่งที่เขาอยากได้ยินคือคำโกหกที่สามารถทำให้เขารู้สึกดีขึ้นได้มากกว่าเรื่องจริงที่อาจทำให้เขาสติแตกจนต้องรีบขับรถกลับไปที่นั่นแล้วตามหาจงอิน
“ขอโทษนะ ผมคงให้คำตอบคุณไม่ได้”
“...”
“ผมเสียใจเรื่องจงอิน”
“มินซอก...อย่า”
“ฟังก่อน” มินซอกบีบขาลู่หานเบา ๆ เมื่ออีกฝ่ายทำท่าเหมือนกับว่าไม่อยากฟังเขาพูดอีกต่อไปแล้ว “ทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้ เพียงแค่เราไม่รู้”
“...”
“เขาอาจจะรอด”
“...”
“แต่ตอนนี้เราไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง” มินซอกพยายามอธิบาย “แต่ผมอยากบอกอะไรคุณอย่างนึง”
“...”
“ว่าคนที่อยู่กับคุณที่นี่...ไม่ได้มีแค่จงอินนะ”
“...”
พอเห็นว่าลู่หานยังคงเงียบ ไม่โต้ตอบกลับมาคนตัวเล็กถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ทำไปมันเปล่าประโยชน์ เพราะนอกจากจะทำให้คนข้าง ๆ มองเขาในแง่ลบว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวที่พูดแบบนั้นแล้วคิมมินซอกคงไม่สามารถพูดให้ลู่หานเข้าใจไปในทางอื่นได้อีก
เป็นเวลาเกือบนาทีที่มินซอกรอให้ลู่หานพูดอะไรกลับคืนมา แต่ก็เหมือนเดิม ผู้ชายคนนี้ยังคงนิ่งเงียบและไม่หันมามองหน้ากัน คนตัวเล็กลุกขึ้นยืน บางทีเขาควรจะเข้าไปในบ้านเพื่อดูว่าข้างในนั้นเป็นยังไงบ้าง แต่เดินไปได้แค่ก้าวเดียวก็ต้องหยุดชะงักเมื่อถูกอีกคนคว้ามือเอาไว้ มินซอกก้มลงมองก่อนจะนั่งลงที่เดิมเมื่อลู่หานออกแรงดึงเพียงเล็กน้อย
“อยู่กับพี่ก่อน”
“ถ้าอยู่ต่อ คุณอาจจะอยากชกหน้าผมก็ได้”
“ก็อย่าพูดทำร้ายจิตใจพี่นักสิ เราก็รู้ว่าพี่กำลังจะเป็นบ้าเพราะเรื่องไอ้จงอิน”
“เพราะผมรู้ ผมถึงได้บอกกับคุณแบบนั้น”
“โอเค พี่เข้าใจว่าเราปลอบใจคนไม่เป็น แต่ช่วยพูดถนอมใจคนฟังกว่านี้ไม่ได้เหรอมินซอก”
“ผมไม่ถนอมน้ำใจคุณตรงไหน ที่พูดไปทั้งหมดก็เพราะอยากให้คุณรับความจริงให้ได้” เด็กหนุ่มเว้นจังหวะไปเพื่อรอดูว่าอีกฝ่ายจะแสดงท่าทียังไงตอบกลับมา แต่ก็เหมือนเดิม ลู่หานยังคงปั้นหน้าไม่สบอารมณ์กับคำพูดของเขา หรือบางทีผู้ชายคนนี้อาจจะรับฟังแต่ไม่อยากออกความเห็นอะไรอีก “ตอนอึนจีตายผมก็ต้องใช้เวลาทำใจเหมือนกัน ผมไม่ได้วิ่งออกไปนอกอุทยานเพื่อตามหาตัวที่กัดเพื่อนผม แล้วฆ่ามันให้ตายซ้ำอีกรอบ”
“...”
“ไม่ใช่แค่คุณที่กำลังรู้สึกแย่กับการที่ต้องทิ้งจงอินไว้ตรงนั้น ทั้งผม คุณ อี้ฟาน เราทุกคนต่างก็รู้ว่าอาจจะต้องเจอเรื่องแบบนั้นหลังจากตัดสินใจเข้าไปช่วยพวกเขา”
“...”
“แบคฮยอน” มินซอกชี้ไปที่บ้านที่อยู่เบื้องหน้า “หมอนั่นโดนซ้อมจนน่วม เขามีสิทธิ์ตายมากกว่าคุณร้อยเท่า แต่เขาก็เลือกที่จะไป”
“...”
“หรือว่าคุณยอมให้ใครตายก็ได้ยกเว้นจงอิน”
“มินซอก...” ลู่หานหันไปมองคนตัวเล็กอย่างอ่อนใจ เขารู้สึกได้ว่าแววตาคู่นั้นกำลังมองมาอย่างตัดพ้อแม้ว่าแว่นข้างหนึ่งจะร้าวก็ตาม
“เราห้ามไม่ให้คนที่เรารักจากไปได้ด้วยเหรอ” เด็กหนุ่มเบือนหน้าไปอีกทาง ทุกคืนก่อนนอนเขาใช้เวลาจมอยู่กับความมืดแล้วคิดว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น จะมีใครตายจากไปอีกหรือเปล่า “บางทีคนต่อไปอาจจะเป็นผมก็ได้”
ลู่หานยังคงจ้องหน้ามินซอกอยู่อย่างนั้น และประโยคเมื่อครู่มันทำให้เขารู้สึกไม่ดีมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
“คิดว่าพี่จะยอมเหรอ”
“...”
“เราต้องเป็นคนอยู่ดูพี่ตาย ไม่ใช่พี่ เข้าใจไหมมินซอก” มินซอกก้มลงมองมือตัวเองที่ถูกอีกฝ่ายกุมเอาไว้ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากัน “เจ็บตรงไหนบ้าง?”
“เพิ่งนึกได้เหรอว่าควรถาม”
“แว่นร้าวเลยเห็นไหม” ลู่หานค่อย ๆ ถอดแว่นคนตรงหน้าออกมาอย่างเบามือก่อนจะพ่นไอร้อนลงบนเลนส์ข้างหนึ่งแล้วเอาชายเสื้อเช็ด
“ลู่หาน”
“อืม”
คนตัวเล็กมองคนข้าง ๆ ที่ยังคงตั้งใจเช็ดเลนส์แว่น ก่อนหน้านี้ก็เป็นห่วงเทาที่เอาแต่เงียบไม่พูดไม่จากับใครเพราะเสียเพื่อนอีกคนไป และคราวนี้เขาก็กลัวว่าลู่หานจะเป็นแบบนั้นไปอีกคน
“ถ้าเซฮุนฟื้นแล้ว...กลับไปตามหาจงอินกันไหม?” ลู่หานเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย เป็นอีกครั้งที่เขาไม่อยากเชื่อหูตัวเองว่าคนตรงหน้ากำลังแสดงออกถึงความหวังดีต่อเขา “ผมจะไปกับคุณเอง”
“...”
“ผมรู้ว่าคุณอยากไปที่นั่นเดี๋ยวนี้เลยแต่ว่า...” เด็กหนุ่มเงียบไปขณะสบตากับอีกฝ่าย “ผมขอแว่นอันใหม่ก่อน คุณหามาให้ผมได้หรือเปล่า”
มินซอกพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แม้จะมองหน้าลู่หานได้ไม่ชัดเท่าที่ควรหลังจากถอดแว่นออกแต่ก็พอจะรู้ว่าตอนนี้คนข้าง ๆ กำลังยิ้มให้เขาแล้วพยักหน้าตกลง
ท่ามกลางความเงียบในห้องสี่เหลี่ยมที่ไม่กว้างมากนัก แต่ทุกคนกลับพร้อมใจกันมารวมตัวอยู่ในนี้เพื่อรอดูอาการเซฮุนที่ยังคงหลับไม่ได้สติโดยที่มีอี้ชิงนั่งอยู่ข้างเตียง
“เขาเป็นยังไงบ้าง?” จงแดถาม อี้ชิงกระชับผ้าห่มให้อีกคนก่อนจะเงยหน้าขึ้น
“ผมไม่รู้ – ว่าเขา – เป็นอะไร” บุรุษพยาบาลหนุ่มพยายามอธิบาย “สิ่งที่เราทำได้ – ตอนนี้ – คือเฝ้าดู – อาการ”
“เขาจะเปลี่ยนหรือเปล่าครับ...” ซูโฮถามหลังจากได้ฟังเรื่องราวที่ชานยอลเพิ่งเล่าให้ฟัง
“ยังไม่ใช่ – ตอนนี้” อี้ชิงลุกขึ้นยืน “ถ้าจะเปลี่ยน – อาการแรกเริ่ม – ต้องตัวร้อน – และมีไข้”
“...”
“แต่เซฮุน – ไม่มีไข้ – แต่ผมก็ตอบไม่ได้ – ว่าทำไมเขาถึง – เลือดไหล” อี้ชิงยกมือขึ้นประจมูกทำท่าประกอบ
“เพราะเขาถูกทดลองมา มันอาจจะเป็นผลข้างเคียงหรือเปล่า?” ซีวอนถาม เขายืนกอดอกอยู่หน้าประตูห้องและดูเหมือนว่าคนอื่น ๆ จะเห็นด้วยกับความเห็นของเขา
“ไม่รู้เหมือนกัน” อี้ชิงตอบสั้น ๆ
“เราควรมัดมือเขาไว้ไหม?” จงแดยังคงไม่ละสายตาจากเด็กหนุ่มที่นอนหลับไม่ได้สติอยู่ตรงนั้น
“ล็อกก็บ้าละ หมอนั่นแทบจะไม่มีแรงลุกขึ้นนั่งเลยด้วยซ้ำ” เทาหันไปมองอีกฝ่าย
“ผมไม่ได้อยากพูดแบบนี้นะ แต่ถ้าเซฮุนเกิดเปลี่ยนขึ้นมา ผมคิดว่าเขามีแรงมากพอที่จะกระชากไส้คุณออกมาทั้งยวง” จงแดพูดก่อนจะหันไปมองคนอื่น ๆ เจ้าหน้าที่หนุ่มหยัดตัวลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปจากห้องเมื่อรู้ว่าไม่มีใครเห็นด้วยกับคำพูดของเขาซึ่งไม่ได้เกิดประโยชน์ในแง่ดี
“พวกคุณแยกย้ายไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวผมอยู่เฝ้าเซฮุนเอง” คำบอกของอี้ฟานทำให้ทุกทยอยออกไปจากห้องในขณะที่ลู่หานกับมินซอกเพิ่งเดินเข้ามา “เห็นทีว่าคืนนี้คุณคงต้องพักห้องผมแล้วล่ะ” มินซอกพยักหน้าแล้วมองไปยังเพื่อนตัวสูงที่ยังคงหลับอยู่บนเตียง
“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่เซฮุน...?”
“อย่างที่เห็น” อี้ฟานหันกลับไปมองร่างบาง “ชานยอลบอกว่าเซฮุนคงไม่มีภูมิคุ้มกันอีกแล้ว”
“ใช่” ลู่หานพูดแล้วทั้งสองคนก็มองมายังเขา “นักวิทยาศาสตร์ที่นั่นบอกว่าจุดจบของคนทดลองทุกคนคือตาย”
“...”
“หมายถึงว่าพวกมันจะทดลองกับคนนั้นจนกว่าจะตาย”
“แล้วเซฮุนล่ะ?” มินซอกถามต่อโดยไม่ทิ้งช่วงไปไปนานกว่านี้
“เห็นมันคุยกับไอ้ชานยอลเรื่องการถ่ายเลือดแล้วฉีดเชื้อเข้าไปแทน มันก็เหมือนกับการฆ่าภูมิคุ้มกันอะไรสักอย่างนี่แหละฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ถ้าเข้าใจไม่ผิด...ถ้าเซฮุนถูกพวกกินคนกัดอีกครั้ง...คราวนี้คือตายชัวร์”
“...”
“งั้นแสดงว่าตอนนี้เขายังมีโอกาสรอดใช่ไหม?” คำถามของมินซอกนั้นลู่หานไม่ได้ตอบในทันที อี้ฟานยืนฟังเงียบ ๆ โดยที่ไม่ออกความเห็น ร่างสูงหันกลับไปมองร่างที่ยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง เขาได้แต่หวังว่าว่าเซฮุนลุกขึ้นมาแล้วเรียกชื่อเขาแทนที่จะโผเข้ากัดใครเพราะความหิวกระหาย
ประตูห้องทดลองถูกเปิดออก มีเพียงแค่ไฟตรงมุมห้องเท่านั้นที่ยังคงเปิดทิ้งเอาไว้ บ่งบอกได้ว่าวันนี้นักวิทยาศาสตร์ทุกคนได้แยกย้ายกลับไปพักผ่อนแล้วหลังจากการทดลองในวันนี้สิ้นสุดลง หากแต่ยังเหลือใครอีกคนที่ยังคงยืนอยู่ตรงแผงควบคุมหน้าห้องทดลองด้านในสุด
เสื้อกาวน์สีขาวเต็มไปด้วยคราบโคลนสกปรก ผู้ชายคนนั้นเพียงแค่ยืนเฉย ๆ โดยที่ไม่หันกลับมามองเขา จูจีฮุนยืนเรียบเรียงความคิดอยู่หน้าประตูครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ข้างหลังอีทงเฮ
“คุณจินฮยอกบอกว่าคุณอยู่ในนี้”
“...”
ร่างสูงมองหน้าอีกฝ่ายผ่านกระจกใสของห้องทดลอง แววตาคู่นั้นเหม่อมองไปยังเตียงชุดไฮเทคสีขาวที่เคยมีคนมากมายขึ้นไปทดลองและตายตรงนั้น จะว่าไปแล้วเขาก็ไม่ได้เข้ามาในศูนย์วิจัยบ่อยนัก ช่วงเดือนแรกที่เกิดเหตุเราทุกคนในค่ายต่างอยู่อย่างยากลำบาก สูญเสียเพื่อนทหารและนักวิทยาศาสตร์ไปกับการออกหาเสบียงและการทดลอง
เขาได้มีโอกาสนั่งดื่มเหล้ากับอีทงเฮ มันเกิดขึ้นเพราะความเคว้งคว้างหลังจากการทดลองล้มเหลวซ้ำ ๆ ซาก ๆ และบทสนทนาระหว่างทั้งคู่คงไม่พ้นเรื่องการตาย ความหวัง และการเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้
ในทีแรกพวกเราดูหยั่งเชิง กักกั้นความรู้สึกของตัวเองจนกระทั่งถูกครอบงำด้วยของมึนเมาเขาถึงได้รู้ว่าอีทงเฮได้แบกรับความหวังไว้ภายใต้ความทุกข์มากมายแค่ไหน ตั้งแต่วันนั้นจูจีฮุนได้ตั้งปณิธานกับตัวเองว่าจะพยายามให้มากกว่าที่เป็นอยู่ ในเมื่อยังมีความหวังเขาก็จะไม่หยุดจนกว่าจะตายเหมือนกัน
ถึงการทดลองจะล้มเหลวไม่เป็นท่าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สิ่งที่เราทั้งคู่มีเหมือนกันก็คือภาระที่ไม่สามารถทิ้งมันไว้ข้างหลังได้แม้ว่าเขานั้นเคยคิดอยากฆ่าตัวตายให้หลุดพ้นจากความทุกข์ก็ตาม พวกเรามีพลั่วอยู่ในมือ เราช่วยกันขุดหลุมฝังคำว่าจรรยาบรรณอาชีพลงไปให้ลึกที่สุดแล้วฝังกลบทับด้วยคำว่าความหวังลงไป
“ผมเอาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน”
“ผมไม่ได้เข้าไปข้างในนั้น ไม่ต้องกังวลว่าเชื้อโรคตามตัวผมจะเป็นปัญหากับการทดลองในครั้งต่อไป”
“แต่คุณอยู่ตรงนี้มาสามชั่วโมงแล้ว คุณควรจะพักผ่อน”
เหมือนเดิม...
นักวิทยาศาสตร์หนุ่มยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นโดยที่ไม่คิดจะทำอะไรสักอย่างกับตัวเอง แม้แต่ชเวจินฮยอกที่ว่าสนิทกันก็ยังไม่กล้าเข้ามายุ่งกับอีทงเฮในตอนนี้ อาจเป็นเพราะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าพยายามไปเท่าไหร่ก็สูญเปล่า
“คุณดูดวงอาทิตย์ขึ้นครั้งล่าสุดเมื่อไหร่”
“...”
จีฮุนมองเงาอีกฝ่ายผ่านกระจกห้องทดลองอีกครั้ง คำถามนั้นทำให้เขาเดาทางไม่ถูกว่าอีทงเฮกำลังคิดอะไรอยู่
“ถ้ามีเวลา” ชายหนุ่มเว้นจังหวะไปชั่วอึดใจ “คุณน่าจะดูมันอีกสักครั้ง”
“ผมไม่มีเวลาขนาดนั้นหรอก” จีฮุนหลุบสายตาลงก่อนที่อีกคนจะหันกลับมามองเขา
“คุณไม่ต้องติดอยู่ในนี้ ที่ ๆ หันไปทางไหนก็เจอแค่ผนังกับเครื่องมือการทดลอง” ทั้งคู่เงยหน้าขึ้นมาสบตากัน สายตาของอีทงเฮดูว่างเปล่าเหมือนกับวันที่เขานั่งดื่มเหล้าด้วยกันในวันนั้น
“...”
“เพราะฉะนั้นคุณยังมีเวลาอีกมากมายที่จะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า”
“...”
“ไม่ใช่หนูที่ต้องวิ่งอยู่บนล้อหมุนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนกับผม”
“นายโอเคนะ”
คนที่กำลังถอดเสื้อตัวนอกออกหันหลังกลับไปแล้วก็พบว่าคยองซูยืนอยู่หน้าประตูพร้อมกับแผงยาและน้ำเปล่าในมือ พอเห็นว่าแบคฮยอนพยักหน้าเป็นคำตอบเขาเลยเดินเข้ามาข้างในแล้ววางของที่ถือไว้ลงบนเตียง
“แทบดูไม่ได้”
“หลับตาสิ นายจะได้ไม่ต้องเห็นสภาพฉันในตอนนี้” คำพูดของแบคฮยอนทำให้บรรยากาศเข้าสู่ความเงียบ แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็หลุดยิ้มออกมา
“ดีแล้วที่กลับมา”
“นายต้องบอกว่า ‘ดีใจที่นายกลับมานะ’ ไม่ใช่เหรอ?”
“อยากได้ยินแบบนั้นก็พูดเอาเองแล้วกัน” คยองซูว่าแล้วนั่งลงบนเตียง แบคฮยอนยิ้มแล้วหยิบแผงยาขึ้นมาดู
“เอามาให้ฉันเหรอ”
“อืม เห็นแล้วสงสารน่ะ”
“ใจดีกับฉันบ้างก็ได้ ทีกับมินซอกน่ะเห็นเอาใจตลอดเลย ฉันเห็นนะว่าเสื้อนายอยู่กับเขา” แบคฮยอนนั่งลงข้าง ๆ คยองซูก่อนจะแกะแผงยาแก้ปวดออกมาแล้วบิดฝาขวดน้ำ
“ไม่ได้เอาใจ แต่เพราะเขาไม่พูดฉันถึงชอบอยู่กับเขา”
“ทำอย่างกับว่าปกติเราคุยกันงั้นแหละ” คยองซูหันไปมองคนข้าง ๆ ที่อมยาไว้ในปากแล้วดื่มน้ำตาม
“ผู้ชายคนนั้นน่ะ” แบคฮยอนกลืนยาลงคอแล้วหันไปทางอีกคนที่เปิดประโยคขึ้นมาอีกครั้ง “เขา...” เด็กหนุ่มเงียบไปทั้งที่ยังถามไม่จบ
คยองซูถอนหายใจเบา ๆ แล้วหันไปมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำของเพื่อนร่วมห้องที่เขาสามารถดูออกได้ง่าย ๆ ว่าแบคฮยอนกำลังไม่สบายใจกับบทสนทนาหัวข้อนี้
“ฉันถามได้หรือเปล่า” หลังจากปล่อยให้ความเงียบทำงานอยู่ราว ๆ หนึ่งนาทีคยองซูก็คิดว่าควรพูดอะไรสักอย่าง “เพราะฉันไม่รู้จะถามเรื่องนี้กับใคร ดูเหมือนว่าพวกเขาจะยุ่งอยู่กับเรื่องของเซฮุน”
“อือ”
“เขาไม่ได้ถูกฆ่าใช่ไหม นายเห็นหรือเปล่า?”
“...”
“บอกตามตรงว่าฉันใกล้จะเป็นบ้าเข้าไปทุกวันแล้วที่ต้องเห็นคนรอบข้างจากไปทีละคน” คยองซูถูปลายจมูกเบา ๆ แล้ววางมือทั้งสองข้างลงบนหน้าขาตัวเอง ถึงการจากไปของอึนจีจะผ่านไปแล้วถึงครึ่งเดือนแต่เขากลับรู้สึกเหมือนว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้
“ถึงเราทุกคนจะต้องอยู่กับความเป็นจริง แต่นายอย่าพูดแบบนั้นได้ไหม” แบคฮยอนถอนหายใจเบา ๆ “ครั้งแรกที่รู้สึกว่าโลกนี้มันโหดร้ายก็คือตอนที่ฉันรู้ว่าพี่ชายกำลังจะตาย”
“...”
“แต่ที่ทำให้ฉันรู้สึกเสียหลักจนไม่รู้จะทำยังไงต่อไปก็คือตอนได้เห็นศพเขา”
“...”
“ถ้าไม่เห็นกับตาว่าตายแล้ว หรือยังไม่เห็นศพเขา ฉันก็จะไม่พยายามคิดเรื่องร้าย ๆ บั่นทอนจิตใจตัวเอง นายเข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหมคยองซู?” เจ้าของชื่อไม่ได้ขานตอบ แต่มันก็ทำให้แบคฮยอนเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ขัดแย้งกับคำพูดของเขา
“ถือว่าเป็นโชคของนายที่ยังคิดในแง่ดีได้ทั้งที่โลกเป็นแบบนี้”
“นายคิดว่าฉันกำลังหลอกตัวเองเหรอ”
“เราทุกคนก็ทำแบบนั้นมาตลอด ยกตัวอย่างเช่นหวงจื่อเทา ฉันเห็นหมอนั่นชอบไปนั่งคุยกับหลุมศพทุกทีที่มีเวลา”
“มันผิดด้วยเหรอที่เขาจะบรรเทาความเศร้าด้วยวิธีนั้นในเมื่อยาแก้ปวดมันช่วยไม่ได้”
“อ่า ฉันผิดเองแหละที่พูดถึงเรื่องนั้นทั้งที่นายเลือกที่จะใช้ชีวิตกินอยู่กับการหลอกตัวเอง”
“ถ้าพูดถึงเรื่องจงอิน มันไม่ใช่การหลอกตัวเอง” แบคฮยอนมองหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตาจริงจัง โดคยองซูรู้ว่าอีกไม่นานใครสักคนต้องเดินออกไปจากห้องนี้เพราะทนฟังคำพูดของอีกฝ่ายต่อไปไม่ไหว ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่เขา
“แล้วการให้ความหวังมันไม่ใช่การหลอกตัวเองหรือไง?”
“ไม่ใช่”
“ฟังฉันแล้วจินตนาการภาพตามนะ” คยองซูมองหน้าอีกฝ่าย “พวกนายทุกคนบุกเข้าไปในค่าย ฆ่าทหารนับไม่ถ้วนแล้วช่วยเซฮุนออกมา ถ้าฉันเป็นคนที่นั่นแล้วบังเอิญจับไว้ได้หนึ่งคน ฉันคงไม่ปล่อยให้มันเดินกลับบ้านได้อย่างสวัสดิภาพ”
‘คือฉันอ่านภาษาอังกฤษไม่ค่อยออก ไอ้นี่มันแปลว่าอะไรเหรอ’
“ถ้าเกิดพวกมันใจดีก็อาจจะทิ้งเขาไว้ตรงนั้น ลองคิดดูสิว่าคิมจงอินจะทนสภาพอากาศข้างนอกได้นานแค่ไหน นี่ฤดูหนาว เดี๋ยวหิมะก็ตกแล้ว”
‘จริงอยู่ที่แบคโฮฝากนายไว้ แต่ที่ฉันทำอยู่มันไม่ใช่เพราะหน้าที่’
“บาดเจ็บสาหัส”
‘มันต้องมีใครสักคนที่มีชีวิตอยู่เพื่อเราและเราก็มีชีวิตอยู่เพื่อเขา’
“ถ้าเขาไม่ถูกฆ่าตายตรงนั้น...”
“จงอินไม่ทิ้งเราหรอก”
ไม่มีคำพูดไหนออกมาจากปากโดคยองซูอีกหลังจากที่เห็นว่าคนข้าง ๆ กำลังพยายามที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้แต่สุดท้ายมันก็ไหลลงมาอาบแก้มอยู่ดี เด็กหนุ่มลดระดับสายตาลงมองสองมือที่มีรอยแผลถลอก แบคฮยอนกำลังกำหมัดแน่นเมื่อนึกถึงเรื่องของใครอีกคน
“แม้แต่วินาทีสุดท้าย เขาก็ยังช่วยให้พวกเราหนี”
“...”
“เขาต้องกลับมา...ฉันเชื่ออย่างนั้น”
ต่อให้ไม่มีใครชี้หน้าด่าว่าโดคยองซูเป็นคนเลวเขาก็รู้สึกได้ด้วยตัวเอง เป็นอีกครั้งที่เขาได้เรียนรู้ว่าคำพูดของเขามันสามารถฆ่าใครคนหนึ่งให้ตายได้
คยองซูนั่งมองอีกคนที่ก้มหน้าสะอื้นเงียบ ๆ หมอนั่นไม่ได้ฟูมฟายร้องไห้โฮเหมือนกับเด็ก ๆ แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกผิดจนต้องเบือนหน้าหลบไปอีกทาง รู้สึกโกรธตัวเองอยู่ไม่น้อยที่ผลลัพธ์มันออกมาเป็นแบบนี้ ทั้งที่ตั้งใจแค่ว่าอยากให้แบคฮยอนพยายามทำใจรับความจริงให้ได้ก็เท่านั้น
เด็กหนุ่มลุกขึ้นเดินไปหยุดอยู่หน้าประตู แน่นอนว่าการเข้าไปกอดปลอบหมอนั่นมันไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากจะทำ และแล้วก็กลายเป็นเขาที่ทนอยู่ต่อไปไม่ไหวจนต้องเดินออกไปจากห้องนี้
เปลือกตาค่อย ๆ ลืมขึ้น สิ่งแรกที่มองเห็นคือเพดานไม้สีน้ำตาลเข้มแทนที่จะเป็นผนังปูนพร้อมกับแสงไฟนีออนที่ทำให้แสบตาทุกครั้งตอนตื่นนอน เด็กหนุ่มเหม่อมองอยู่อย่างนั้นก่อนจะหันไปเห็นเงาใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างเตียง
ผู้ชายคนนั้น...กำลังยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน
“จงอิน...”
คล้ายกับว่าเสียงของเขาเป็นเข็มปลายแหลมและใครอีกคนเป็นลูกโป่ง ทันทีที่เอ่ยชื่อภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไป ชายหนุ่มที่ยิ้มให้เขาเมื่อครู่ถูกซ้อนทับด้วยภาพของความจริงเมื่อคนที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้คือปาร์คชานยอล
“...”
“เป็นยังไงบ้าง?”
ร่างสูงโน้มตัวลงมาเล็กน้อยพร้อมกับปัดไรผมออกจากหน้าผากมนอย่างเบามือ ลู่หานเดินที่ยืนกอดอกพิงผนังอยู่ก่อนหน้านี้ค่อย ๆ เดินมาหยุดอยู่ข้างเตียงเพื่อดูอาการคนที่เพิ่งฟื้น
“ได้ยินผมไหม?”
“จงอินล่ะครับ...” เซฮุนกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก พอเห็นอย่างนั้นลู่หานเลยเดินไปหยิบขวดน้ำก่อนที่ชานยอลจะรับมาป้อนให้อีกคน
หลังจากดื่มน้ำเสร็จเซฮุนก็มองหน้าชายหนุ่มทั้งสองสลับกันไปมาระหว่างรอคำตอบ หากแต่ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ พวกเขาเพียงแค่แสดงสีหน้าออกมาแทนการอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เซฮุนนั่งนิ่ง เขาไม่ได้โง่ที่จะไม่รู้ว่าคำตอบมันจะออกมาในทางไหน เด็กหนุ่มหันไปมองคนข้าง ๆ ที่ลดระดับสายตาลง ภาพล่าสุดที่จำได้คือตอนที่ถูกส่งตัวข้ามกำแพงไปอีกฝั่ง หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นอีกเขาก็จำไม่ได้
“ชานยอลครับ...”
“...”
“จงอิน...” เด็กหนุ่มเลื่อนมือที่กำลังสั่นเครือไปวางทับกับมือแกร่งเพื่อขอให้อีกฝ่ายตอบคำถามที่เขาอยากได้ยิน หากแต่ร่างสูงกลับนั่งนิ่งเช่นในทีแรก
พอไม่ได้คำตอบจากคนข้าง ๆ เซฮุนเลยหันหน้าเข้าหาลู่หาน สีหน้าของผู้ชายคนนั้นไม่ต่างจากเขาในตอนนี้นัก มันเป็นเรื่องผิดปกติเกินไปที่ลู่หานจะไม่ให้คำตอบกับเขาทั้งที่เจ้าตัวมักจะแสดงออกอย่างชัดเจนกับทุก ๆ เรื่อง
“เขาไม่ได้กลับมากับเรา”
แค่ประโยคเดียวเท่านั้นที่หลุดออกมาจากปากชานยอล แต่มันก็สามารถทำให้โลกทั้งใบของเซฮุนพังได้ในพริบตา ร่างบางนั่งนิ่งอยู่บนเตียงโดยที่ไม่พูดอะไรอีก ชายหนุ่มทั้งสองคนต่างรู้ว่าตอนนี้เซฮุนกำลังช็อกจนทำอะไรไม่ถูกแม้แต่การหาตำแหน่งวางมืออีกข้าง
“...”
ร่างสูงมองอีกคนที่กำลังก้มหน้าลง เพียงแค่ครู่เดียวเซฮุนก็ร้องไห้ออกมา ทั้งที่ไม่มีเสียงสะอื้นแต่เขากลับรู้สึกได้ว่าเด็กคนนี้กำลังจะขาดใจกับเรื่องที่เผชิญอยู่ ชานยอลหันไปทางลู่หาน ดูเหมือนว่าผู้ชายคนนั้นก็ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักกับการเก็บอารมณ์ไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉย
“ไม่...”
“...”
“จงอิน...ไม่...”
ชานยอลรั้งอีกคนเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดพร้อมกับกดหัวให้ซบลงกับแผงอก ลู่หานหันหลังพลางเม้มริมฝีปากแน่น เขาได้รู้วันนี้ว่าการร้องไห้มันเป็นโรคติดต่อ เสียงสะอื้นของเซฮุนสามารถเรียกน้ำตาของเขาออกมาจนได้
ตลอดเวลาที่ผ่านมาลู่หานบอกกับตัวเองว่าคนเราต้องยืนหยัดอยู่กับความเป็นจริง และต้องยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วให้ได้ ซึ่งเขาก็ทำอย่างนั้นมาตลอด ถึงความตายจะอยู่รอบตัว แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องมีวันนี้
ทั้งที่คุยกับมินซอกแล้วว่าจะออกไปตามหาจงอินกันพรุ่งนี้ และมันทำให้เขาสบายใจขึ้นกว่าการอยู่เฉย ๆ โดยที่ไม่คิดจะทำอะไรสักอย่าง แม้ว่าความเป็นไปได้จะเท่ากับศูนย์ หรืออาจจะติดลบก็ตาม...แต่เขาก็ยังอยากเห็นกับตาว่าสิ่งที่กำลังกลัวอยู่นั้นมันเป็นจริงหรือเปล่า
‘กูคิดว่ามึงตายห่าแล้วก็เลยขุดหลุมให้น่ะ กูกลัววิญญาณมึงจะไม่มีที่สิงสถิต’
ยังจำรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของจงอินในวันที่เขากลับไปถึงโรงเรียนได้เป็นอย่างดี การกอดกับเพื่อนมันเป็นเรื่องน่าขนลุก แต่มันก็แลกมาซึ่งความรู้สึกดี ๆ ที่ทำให้ได้รู้ว่าชีวิตนี้มันมีความหมาย
คนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน พวกเขาก็แค่ผู้รอดชีวิตที่บังเอิญมาเจอกันอย่างไม่ตั้งใจแล้วเดินไปตามทางที่มีป้ายเขียนว่า ‘ความตาย’ อยู่เบื้องหน้า ซึ่งมันเป็นโชคของเราทุกคนที่สามารถก้าวผ่านมันไปได้ทุกครั้ง
เราเดินทาง กิน นอน ยิ้ม หัวเราะ แล้วก็เศร้าไปด้วยกัน เขาไม่ได้ยึดติดกับเรื่องความยุติธรรมมากนักเพราะฉะนั้นพระเจ้าไม่ต้องทำให้เขาต้องเป็นฝ่ายรอเพื่อนกลับมาเหมือนตอนอยู่โรงเรียนก็ได้
“ผมขอโทษ...”
“...”
“ถ้าผมไม่อยากไปที่นั่น...เรื่องมันคงไม่เป็นแบบนี้...”
แทบจะจับใจความไม่ได้ว่าเด็กคนนั้นกำลังพูดอะไรเพราะเสียงสะอื้นที่อู้อี้อยู่ในอ้อมกอดปาร์คชานยอล ลู่หานไม่ได้รู้สึกโกรธเซฮุนที่เชื่อในความหวัง แต่ที่เขาจะโกรธก็คือไอ้เพื่อนเฮงซวยที่กล้าดีตะโกนบอกให้พวกเขาทิ้งมันไว้ตรงนั้นแล้วหนีออกมา
เซฮุนร้องไห้อย่างหนักพร้อมกับกำคอเสื้อไว้แน่น คราวนี้มันไม่เหมือนกับตอนไปเกาะเชจูเพราะครั้งนั้นเขายังมีความหวังว่าจะได้เจอกับจงอิน แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะความดื้อรั้นของเขา ที่จงอินต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ก็เพราะเขาคนเดียว
“จงอินครับ...ผมขอโทษ...”
TBC
นี่เราร้องไห้อยู่คนเดียวป่ะ
ร้องตั้งแต่ฉากแบคโด้ละ บาย
ความคิดเห็น